Categories
TRAVEL

ตำบลบ่อสวก น่าน คว้ารางวัลชุมชนท่องเที่ยวยอดเยี่ยมโลก 2024

ตำบลบ่อสวก น่าน คว้ารางวัลชุมชนท่องเที่ยวยอดเยี่ยมโลก Best Tourism Village 2024

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข่าวดีว่า องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Tourism) ได้มอบรางวัล Best Tourism Village 2024 ให้แก่ชุมชนตำบลบ่อสวก จังหวัดน่าน ถือเป็นรางวัลชุมชนท่องเที่ยวยอดเยี่ยมโลกแห่งแรกของประเทศไทย สะท้อนความสำเร็จของการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนโดยชุมชน

นายจิรายุระบุว่า ตำบลบ่อสวกมีจุดเด่นด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต และแหล่งโบราณคดี โดยเฉพาะเตาเผาเครื่องปั้นโบราณที่มีชื่อเสียง รวมถึงงานหัตถกรรมพื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสประสบการณ์เรียนรู้วัฒนธรรมชุมชน พร้อมทั้งเพลิดเพลินกับการทำกิจกรรมร่วมกับคนในพื้นที่

“ความสำเร็จครั้งนี้เป็นผลมาจากการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน รวมถึงการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายต่างๆ” นายจิรายุกล่าว พร้อมย้ำว่ารางวัลนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของหมู่บ้านและตำบลในประเทศไทยที่สามารถก้าวขึ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม

โครงการประกวดรางวัล Best Tourism Villages by UN Tourism เริ่มขึ้นในปี 2563 มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาชุมชนสู่มาตรฐานสากล ลดความเหลื่อมล้ำ สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ และใช้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา โดยมีเกณฑ์การประเมิน 9 ด้าน เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมวัฒนธรรม การพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจชุมชน และการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

นายจิรายุยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “รัฐบาลขอเชิญชวนผู้นำท้องถิ่นค้นหาสิ่งดีๆ ในชุมชนของตน เพื่อแสดงศักยภาพและเผยแพร่ความงดงามของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก” ทั้งนี้ ประเทศไทยมีหมู่บ้านกว่า 74,000 แห่งและอำเภอมากกว่า 800 แห่งที่รอการพัฒนาสู่แหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

รางวัล Best Tourism Village 2024 ไม่เพียงช่วยยกระดับตำบลบ่อสวกให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับนานาชาติ แต่ยังตอกย้ำถึงศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและความยั่งยืนในประเทศไทยอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น / น่าน บันดาลใจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
LIFESTYLE

เรื่องราวของ ‘ผอ.เขตฯ’ ครูดีในดวงใจ สร้างแรงบันดาลใจให้ศิษย์

เรื่องราวประทับใจจากห้องเรียน: ความทรงจำที่ไม่มีวันลืมกับครูดีในดวงใจ

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 นางนัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน ได้โพสต์เรื่องราวที่สร้างความประทับใจในเพจ “นัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา สหายใบไผ่” เกี่ยวกับการตรวจเยี่ยมโรงเรียนน่านนคร พร้อมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเยี่ยมชมห้องเรียนที่สะท้อนถึงความสำคัญของครูในดวงใจ และแรงบันดาลใจที่ไม่มีวันเลือน

นางนัฑวิภรณ์เล่าว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้ไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนน่านนครเพื่อติดตามการดำเนินนโยบาย “เรียนดีมีความสุขสู่ห้องเรียน” ขณะที่เดินผ่านอาคารเรียนเพื่อขึ้นห้องประชุมชั้นสอง ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงการสอนที่อบอุ่นของครูในห้องเรียน จึงตัดสินใจแวะเข้าไปดู และได้พบกับครูเรืองฤทธิ์ ดวงภูเมฆ ซึ่งเคยเป็นครูสอนของเธอเองเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนที่อำเภอสันติสุข

ครูในดวงใจ: ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียน

ครูเรืองฤทธิ์กำลังสอนนักเรียนเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ โดยใช้ภาพที่แสดงผ่านโปรเจ็กเตอร์เป็นภาพของนางนัฑวิภรณ์ และครูกณิศา ซึ่งเป็นครูอีกท่านหนึ่งที่เคยสอนเธอ ครูเรืองฤทธิ์กล่าวกับนักเรียนด้วยความภาคภูมิใจว่า “นี่คือตัวอย่างของคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ และไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค” คำพูดนี้สร้างความซาบซึ้งในใจของทุกคนในห้องเรียน

เมื่อครูมอบไมโครโฟนให้นางนัฑวิภรณ์พูดกับนักเรียน เธอได้กล่าวถึงความสำคัญของครูในชีวิต พร้อมขอบคุณครูเรืองฤทธิ์ที่อบรมสั่งสอนตลอด 6 ปี ทำให้เธอมีวันนี้ นักเรียนทุกคนในห้องต่างซาบซึ้งจนเงียบไปชั่วขณะ มีนักเรียนคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ผมไม่ทันตั้งตัวเลยครับ เพราะมันเร็วเกินไป” เมื่อครูบอกว่ากำลังจะเกษียณในอีก 10 เดือน ทุกคนในห้องน้ำตาซึม รวมถึงครูเรืองฤทธิ์เองที่สะท้อนความรักและผูกพันต่อศิษย์

ความประทับใจที่ไม่มีวันเลือน

นางนัฑวิภรณ์กล่าวปิดท้ายว่า “ขอบคุณความบังเอิญที่ทำให้ได้พบครูในวันนี้ และขอบคุณครูที่ได้อบรมสั่งสอนตลอดมา” เธอเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของครูที่ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจและความหวังในชีวิตของศิษย์

ครูเรืองฤทธิ์ ดวงภูเมฆ: ครูดีในดวงใจ

ครูเรืองฤทธิ์ ดวงภูเมฆ คือภาพแทนของครูที่มีหัวใจทุ่มเทเพื่อศิษย์ เขาเป็นตัวอย่างของความเสียสละ ความรัก และความมุ่งมั่นในอาชีพครู การสอนของครูเรืองฤทธิ์ไม่เพียงแต่เน้นการให้ความรู้ แต่ยังส่งเสริมคุณค่าของการเป็นคนดี การมีความมุ่งมั่น และการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค

เรื่องราวนี้สะท้อนถึงความสำคัญของครูในชีวิตของนักเรียน และความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างครูและศิษย์ เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า “ครู” ไม่ใช่เพียงผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่คือผู้สร้างรากฐานชีวิตและแรงบันดาลใจที่ไม่มีวันลบเลือน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา สหายใบไผ่ / สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS TRAVEL

อนันตรา เชียงราย เปิดตัวต้นคริสต์มาสน้องโต ผสานศิลปะรักษ์โลก

อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย ร่วมกับดอยตุง สร้างสรรค์ต้นคริสต์มาส “น้องโต” รักษ์โลก ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ได้จับมือกับโครงการพัฒนาดอยตุง เปิดตัวต้นคริสต์มาสสุดสร้างสรรค์ในชื่อ “น้องโต” ประติมากรรมรักษ์โลกที่ผสานความเชื่อท้องถิ่นและวัฒนธรรมคริสต์มาส ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี โดยต้นคริสต์มาสดังกล่าวได้แรงบันดาลใจจาก “น้องโต” สัตว์มงคลในตำนานของชาวไทใหญ่ ที่มีศีรษะคล้ายกวางและลำตัวเหมือนสิงโต ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและความเป็นสิริมงคล

ต้นคริสต์มาส “น้องโต” มีความสูงกว่า 6 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณโถงล็อบบี้ของโรงแรม ภายใต้แนวคิดรักษ์โลกที่เน้นการใช้วัสดุเหลือใช้จากโครงการพัฒนาดอยตุง เช่น เศษผ้าที่เหลือจากการทอผ้า และวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิต โดยทีมออกแบบได้นำเศษผ้ามาผูกติดกับโครงสร้างทีละชิ้นด้วยมือทั้งหมด รวมถึงเย็บเป็นเครื่องประดับตกแต่ง เช่น ลูกบอลกลมและกล่องของขวัญ เพิ่มสีสันและความสวยงาม

เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการรีไซเคิล พื้นโดยรอบต้นคริสต์มาสได้ตกแต่งด้วยเศษกิ่งไม้และใบไม้แห้งที่เก็บรวบรวมจากป่าในบริเวณใกล้เคียง สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นธรรมชาติ ช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับพื้นที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนโรงแรมในช่วงเทศกาล

นายสมชาย วัฒนธรรม ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรม กล่าวว่า “น้องโต” ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความมุ่งมั่นของโรงแรมในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านการสร้างสรรค์ผลงานที่ใช้วัสดุรีไซเคิล ตอกย้ำแนวคิดความยั่งยืนที่เรายึดมั่นเสมอมา”

นักท่องเที่ยวสามารถร่วมสัมผัสบรรยากาศเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ในสไตล์รักษ์โลก พร้อมเพลิดเพลินกับกิจกรรมและแพ็คเกจพิเศษที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพักได้ที่โทร. 053-784-084

นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมท้องถิ่นและนานาชาติได้อย่างลงตัว พร้อมส่งต่อความสุขและแรงบันดาลใจให้กับผู้มาเยือนในเทศกาลแห่งความสุขนี้.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FOOD

Bus Cafe คาเฟ่สร้างโอกาสในเรือนจำกลางเชียงราย

“เรือนจำกลางเชียงราย เปิดตัว ‘Bus Cafe’ คาเฟ่สร้างโอกาสผู้ต้องขัง”

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เรือนจำกลางเชียงราย โดย นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย เปิดตัว “Bus Cafe” โครงการส่วนขยายของร้าน “หับเผยคาเฟ่ by กลางเชียงราย” ที่ตั้งอยู่บนรถบัสปลดระวางอายุการใช้งานกว่า 20 ปี พร้อมตกแต่งใหม่ทั้งหมดเพื่อสร้างบรรยากาศสำหรับการนั่งจิบกาแฟ ชมผลงานศิลปะ และเพลิดเพลินกับเมนูอาหารและเครื่องดื่ม

ภายใน Bus Cafe นอกจากจะมีพื้นที่นั่งพักผ่อนแล้ว ยังจัดแสดงผลงานภาพวาดและงานปักผ้าจากฝีมือผู้ต้องขัง เพื่อสร้างความเข้าใจและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับผู้ต้องขัง โดยนายพัศพงศ์ได้โชว์การดริปกาแฟให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับชม พร้อมนำเสนอเมนูเด่น เช่น ชาเลือดมังกร กาแฟสดจากยอดดอย และเบเกอรี่มาตรฐาน Clean Food Good Taste

โครงการเพื่อฟื้นฟูผู้ต้องขังและสังคม

นายพัศพงศ์ กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการว่า Bus Cafe เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมวิชาชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขังใกล้พ้นโทษ ให้มีทักษะสำหรับการกลับคืนสู่สังคมและสามารถพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้แสดงฝีมือและสร้างรายได้ในระหว่างการฟื้นฟู นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่เชื่อมโยงให้ประชาชนได้สนับสนุนและให้กำลังใจผู้ต้องขัง

จาก “หับเผยคาเฟ่” สู่ “Bus Cafe”

“หับเผยคาเฟ่ by กลางเชียงราย” ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ ด้วยบรรยากาศร่มรื่นใต้ร่มเงาไม้ฉำฉา โครงการ “Bus Cafe” นี้จึงเป็นการต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการนำรถบัสที่ปลดระวางมาปรับปรุงเป็นพื้นที่ฝึกอบรมและให้บริการ โดยเน้นที่คุณภาพสินค้าและบริการ

สร้างทักษะใหม่และความหวัง

Bus Cafe ไม่ได้เป็นเพียงคาเฟ่สำหรับการพักผ่อน แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้ต้องขังได้พัฒนาทักษะและสร้างโอกาสในชีวิตใหม่ โครงการนี้เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้มีส่วนร่วมในการผลิตสินค้าและบริการ โดยฝึกฝนฝีมือผ่านการทำอาหาร เครื่องดื่ม และงานศิลปะที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์

ชุมชนมีส่วนร่วม

ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนถือเป็นหัวใจสำคัญในการฟื้นฟูผู้ต้องขัง Bus Cafe เป็นสถานที่ที่ประชาชนสามารถมาเยี่ยมเยือน ชิมกาแฟ และสนับสนุนผลงานศิลปะของผู้ต้องขังได้

เชิญร่วมสัมผัสประสบการณ์

เรือนจำกลางเชียงราย ขอเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม “Bus Cafe” เพื่อชิมกาแฟคุณภาพจากยอดดอย เพลิดเพลินกับผลงานศิลปะ และร่วมสนับสนุนการพัฒนาทักษะผู้ต้องขังเพื่อก้าวสู่ชีวิตใหม่

โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเรือนจำกลางเชียงรายในการพัฒนาผู้ต้องขังให้สามารถกลับคืนสู่สังคมอย่างมีศักยภาพ สร้างความเข้าใจในสังคม และช่วยฟื้นฟูจิตใจให้ผู้ต้องขังพร้อมเผชิญอนาคตด้วยความหวังและกำลังใจใหม่.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

‘พราวตะวัน’ เชียงราย ผสานอาหาร เหนือ-ไทย ท่ามกลางธรรมชาติ

“พราวตะวัน เชียงราย” ร้านอาหารใหม่ริมอ่างเก็บน้ำห้วยสัก สะท้อนวิถีเหนือในบรรยากาศทันสมัย

เชียงรายเปิดตัวร้านอาหารใหม่ล่าสุด “พราวตะวัน” โดยเป็นผลงานต่อยอดจากทีมผู้สร้างความสำเร็จของ พันดาว 1000 Stars ร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยสัก โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงามและเงียบสงบ

การตกแต่งและบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์

พราวตะวัน ถูกออกแบบให้สะท้อนความเป็นชนบท ชนเผ่า และวิถีชีวิตท้องถิ่นของคนเหนือ ผสมผสานกับความทันสมัยอย่างลงตัว โดยไฮไลท์ของร้านคือทางเดินไม้ไผ่สานมือที่ลดหลั่นคล้ายกับนาขั้นบันได พร้อมด้วยแปลงดอกดาวเรืองสีส้มทองที่สะท้อนความสวยงามของชนบท

เมนูอาหารที่ผสานวัฒนธรรมเหนือและไทย

พราวตะวันนำเสนอเมนูอาหารที่หลากหลาย โดยมีทั้งอาหารเหนือพื้นเมืองและอาหารไทยที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน เช่น

  • เซ็ตขันโตก ‘s Story’ ที่เล่าเรื่องราวประเพณีและวัฒนธรรมผ่านอาหาร 4 เซ็ต ได้แก่ โปรยข้าวตอกดอกข้าวขวัญพราวตะวัน, ละอองจันทร์ขึ้นเปียงฟ้าวันปีใหม่, สืบชะตาตานบุปผาปักตุงไชย และฟ้อนสาวไหมใจดีดซึงรำพึงเพียงเธอ
  • อาหารไทย เช่น ผัดไทย ยำใบพลูทอด ปลาทอดสมุนไพร และปลาผัดฉ่า

บาร์น้ำชาดอกไม้ไทยและเครื่องดื่มซิกเนเจอร์

บาร์น้ำของพราวตะวันเน้นใช้วัตถุดิบธรรมชาติจากท้องถิ่น โดยมีเซ็ตเครื่องดื่มแนะนำ เช่น

  • “อยู่เพียงดิน” น้ำสมุนไพรจากดอกไม้ 3 ชนิด เช่น อัญชัน ข้าวคั่ว และตะไคร้
  • น้ำผลไม้ปั่น แรงบันดาลใจจากบทกลอน เช่น
      • น้ำหว่านดอกไม้
      • น้ำกล่อมเดือนหงาย
      • น้ำถักทอฝัน
      • น้ำเกี่ยวสายรุ้ง
      • น้ำพราวตะวัน
      • น้ำพันดารา
      • น้ำนภาพราย
  • เซ็ตซิกเนเจอร์ อย่าง น้ำซ่อนรักไว้ในนภา (น้ำมะขาม) และน้ำซ่อนห่วงหาในสายลม (น้ำผลไม้รวม

แรงบันดาลใจและความหวังใน “พราวตะวัน”

พราวตะวันถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดแห่งความหวังที่สวยงามดั่งแสงตะวัน โดยร้านนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่สำหรับการรับประทานอาหาร แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับการเติมเต็มกำลังใจและความสุขใจ

สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น

พราวตะวันให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ เช่น การสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการให้พื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

เวลาเปิดให้บริการและตำแหน่งที่ตั้ง

ร้านพราวตะวันเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 21.00 น. ตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยสัก จังหวัดเชียงราย เพียงไม่กี่นาทีจากตัวเมือง

แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/o27m6mAJ58XT2DZ57 

บทสรุป

“พราวตะวัน เชียงราย” คือร้านอาหารที่ผสมผสานวัฒนธรรมและความทันสมัยอย่างลงตัว พร้อมบรรยากาศธรรมชาติที่งดงาม เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ที่ต้องการพักผ่อนจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
Facebook: พันดาว 1000 Stars

คอลัมน์โดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

นักวิจัยญี่ปุ่นพัฒนาพลาสติกย่อยสลายในทะเล ลดมลพิษไมโครพลาสติก

นักวิจัยญี่ปุ่นพัฒนาพลาสติกย่อยสลายได้ในทะเล ลดปัญหาขยะไมโครพลาสติก

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 คณะนักวิจัยที่นำโดย ทาคุโซะ ไอด้า จากศูนย์วิทยาศาสตร์สสารใหม่เกิดขึ้น (CEMS) ภายใต้สถาบันวิจัยริเค็น ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาพลาสติกชนิดใหม่ที่แข็งแรงทนทานและสามารถย่อยสลายได้ในน้ำทะเล ซึ่งเป็นการค้นพบที่อาจช่วยลดปัญหามลพิษจากไมโครพลาสติกในมหาสมุทร รายงานผลการทดลองนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Science เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ปัญหาไมโครพลาสติกและการพัฒนาวัสดุทางเลือก

ไมโครพลาสติกเป็นพลาสติกขนาดเล็กกว่า 5 มม. ที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของพลาสติกทั่วไปและไม่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ พลาสติกเหล่านี้เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศทางทะเลและอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์

แม้ว่าพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ เช่น พลาสติก PLA จะมีอยู่แล้ว แต่ปัญหาหลักคือเมื่อพลาสติกดังกล่าวหลุดรอดไปในทะเล มันไม่สามารถย่อยสลายได้ในน้ำ เนื่องจากไม่ละลายน้ำ ทำให้เกิดปัญหาไมโครพลาสติกสะสมในธรรมชาติ

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ทีมวิจัยจึงพัฒนาพลาสติกซูปราโมเลกุล (Supramolecular Plastics) ซึ่งมีโครงสร้างที่ยึดติดกันด้วยพันธะเคมีแบบย้อนกลับได้ (Reversible Interactions) โดยใช้โมโนเมอร์ไอออนิก 2 ชนิด ได้แก่ โซเดียมเฮกซะเมตาฟอสเฟต ซึ่งเป็นวัตถุเจือปนอาหาร และโมโนเมอร์กวานิดิเนียมไอออนที่สามารถย่อยสลายได้ด้วยแบคทีเรีย

ขั้นตอนการพัฒนาและคุณสมบัติพิเศษ

นักวิจัยค้นพบว่า การเชื่อมโยงโครงสร้างพลาสติกผ่าน “สะพานเกลือ” (Salt Bridges) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับพลาสติก แม้ว่าสะพานเกลือดังกล่าวจะคงตัวในสภาพปกติ แต่เมื่อสัมผัสกับอิเล็กโทรไลต์ในน้ำทะเล โครงสร้างของพลาสติกจะอ่อนตัวลงและเริ่มย่อยสลาย

การทดสอบในเบื้องต้นพบว่า เมื่อพลาสติกชนิดใหม่นี้สัมผัสกับน้ำทะเล จะย่อยสลายอย่างสมบูรณ์ในไม่กี่ชั่วโมง และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย โดยนักวิจัยสามารถนำโซเดียมเฮกซะเมตาฟอสเฟตกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 91% และกวานิดิเนียมได้ 82% นอกจากนี้ ในการทดสอบในดิน แผ่นพลาสติกสามารถย่อยสลายได้ภายใน 10 วัน และยังช่วยเติมฟอสฟอรัสและไนโตรเจนให้กับดินคล้ายกับปุ๋ยธรรมชาติ

การใช้งานและอนาคตของพลาสติกชนิดใหม่

พลาสติกซูปราโมเลกุลชนิดใหม่นี้มีความแข็งแรงและปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดพิษ รวมถึงสามารถหลอมและขึ้นรูปได้ที่อุณหภูมิ 120°C นอกจากนี้ นักวิจัยยังสามารถปรับแต่งคุณสมบัติของพลาสติกให้เหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น พลาสติกแข็งทนต่อรอยขีดข่วน พลาสติกที่ยืดหยุ่นคล้ายซิลิโคน หรือพลาสติกที่รับน้ำหนักได้มาก

พลาสติกเหล่านี้ยังเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรม 3D Printing และการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ เนื่องจากสามารถย่อยสลายในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ เช่น น้ำทะเล

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ความสำเร็จของพลาสติกชนิดใหม่นี้อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมพลาสติกทั่วโลก โดยช่วยลดมลพิษจากไมโครพลาสติกและสนับสนุนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติในการลดขยะพลาสติกและปกป้องระบบนิเวศทางทะเล

ทาคุโซะ ไอด้า กล่าวว่า “เราสร้างพลาสติกชนิดใหม่ที่แข็งแรง เสถียร รีไซเคิลได้ และไม่ก่อให้เกิดไมโครพลาสติก ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในความพยายามแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก”

พลาสติกชนิดใหม่นี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ในด้านนวัตกรรมวัสดุที่สามารถใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมได้อีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : riken

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AUTOMOTIVE

เปิดตัว MINI Countryman S ALL4 ใหม่ ประกอบในไทย พร้อมพลังรุ่นใหญ่!

เปิดตัว All NEW MINI Countryman S ALL4 (U25) ในไทย พร้อมนวัตกรรมและความหรูหรา

กรุงเทพฯ, 28 พฤศจิกายน 2567 – MINI Thailand ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด “All NEW MINI Countryman S ALL4 (U25)” ที่มีการประกอบในประเทศไทย พร้อมนำเสนอในราคาที่เป็นทางการ 2,599,000 บาท สำหรับรุ่น Classic และ 2,799,000 บาท สำหรับรุ่น Hightrim ความพิเศษของรุ่นนี้คือการกลับมาประกอบในไทยอีกครั้ง ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและเสนอราคาที่ดีให้กับผู้บริโภคไทยได้มากยิ่งขึ้น

สมรรถนะและดีไซน์

All NEW Countryman S ALL4 มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร TwinPower Turbo ที่ผลิตพละกำลังได้สูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร รองรับการขับขี่ที่ดุดันด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 จังหวะ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ALL4 ทำให้สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.4 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 228 กม./ชม.

รุ่นใหม่นี้มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นเดิมในทุกมิติ ทั้งความยาว 4,433 มม., กว้าง 1,843 มม. และสูง 1,656 มม. โดยผู้ใช้สามารถสัมผัสถึงความหรูหราและสะดวกสบายด้วยห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง พร้อมด้วยสีตัวถังใหม่ ได้แก่ สีน้ำเงิน Slate Blue, สีเขียว Smokey Green, และอื่นๆ อีกทั้งยังมีรุ่น Classic ที่มีล้อขนาด 18 นิ้ว และรุ่น Hightrim ที่มีล้อทูโทนขนาด 19 นิ้ว

สมรรถนะและดีไซน์

All NEW Countryman S ALL4 มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร TwinPower Turbo ที่ผลิตพละกำลังได้สูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร รองรับการขับขี่ที่ดุดันด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 จังหวะ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ALL4 ทำให้สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 7.4 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 228 กม./ชม.

รุ่นใหม่นี้มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นเดิมในทุกมิติ ทั้งความยาว 4,433 มม., กว้าง 1,843 มม. และสูง 1,656 มม. โดยผู้ใช้สามารถสัมผัสถึงความหรูหราและสะดวกสบายด้วยห้องโดยสารที่ตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง พร้อมด้วยสีตัวถังใหม่ ได้แก่ สีน้ำเงิน Slate Blue, สีเขียว Smokey Green, และอื่นๆ อีกทั้งยังมีรุ่น Classic ที่มีล้อขนาด 18 นิ้ว และรุ่น Hightrim ที่มีล้อทูโทนขนาด 19 นิ้ว

ความต่างที่น่าสนใจ

รุ่น Hightrim โดดเด่นด้วยหลังคากระจกแบบพาโนรามา และเบาะนั่งแบบ John Cooper Works Sport ส่วนรุ่น Classic เน้นความสปอร์ตเช่นกัน แต่มีการตั้งค่าสำหรับการขับขี่ที่สะดวกสบายมากขึ้น ทั้งสองรุ่นมาพร้อมระบบ Dynamic Stability Control (DSC) และ Dynamic Brake Control (DBC) ซึ่งช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

All NEW MINI Countryman S ALL4 (U25) ไม่เพียงแต่นำเสนอสมรรถนะที่ดีเยี่ยม แต่ยังคำนึงถึงความสะดวกสบายและของผู้ขับขี่ ทำให้การเดินทางทุกครั้งเป็นไปอย่างสบายและปลอดภัย โดยเสนอการรับประกันตัวรถนาน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมบริการบำรุงรักษาฟรีนาน 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร รถยนต์รุ่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของ MINI ในการนำเสนอรถยนต์ที่มีคุณภาพและสมรรถนะเหนือชั้นในทุกการเดินทาง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

K-pop กับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ซีดีที่สร้างขยะพลาสติกมหาศาล

การผลิตอัลบั้ม K-pop กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 The Jakarta Post รายงานเรื่องราวที่สะท้อนถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตอัลบั้ม K-pop โดยเฉพาะการสะสมซีดีจำนวนมากที่มาพร้อมกับแคมเปญการตลาดที่ดึงดูดใจแฟนเพลงทั่วโลก

ปัญหาการผลิตและขยะซีดี K-pop

คิม นา-ยอน แฟนเพลง K-pop ชาวเกาหลีใต้เผยว่า ในอดีตเธอเคยซื้อซีดีจำนวนมากเพียงเพื่อตามหา “โฟโต้การ์ด” หรือของสะสมจากศิลปินในอัลบั้ม จนกระทั่งเธอเริ่มตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการสะสมเหล่านี้ โดยซีดีที่ผลิตจากโพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) แม้จะสามารถรีไซเคิลได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการเฉพาะเพื่อป้องกันก๊าซพิษที่อาจปล่อยออกมา ข้อมูลจากการศึกษาของ Keele University ในสหราชอาณาจักรเผยว่า การผลิตซีดี 1 แผ่น สร้างการปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณ 500 กรัม หากคำนวณจากยอดขายรายสัปดาห์ของวง K-pop ชั้นนำ ยอดการปล่อยคาร์บอนอาจเทียบเท่ากับการเดินทางรอบโลก 74 ครั้ง

แคมเปญการตลาดและความนิยมซีดี

ถึงแม้แฟนเพลงจำนวนมากจะฟังเพลงผ่านสตรีมมิ่งแล้ว แต่ยอดขายซีดียังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2023 อุตสาหกรรม K-pop ขายซีดีได้มากกว่า 115 ล้านแผ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ยอดขายทะลุ 100 ล้านแผ่น การส่งเสริมการขายผ่านแคมเปญ เช่น การแถม “โฟโต้การ์ด” รุ่นลิมิเต็ด หรือโอกาสลุ้นวิดีโอคอลกับศิลปิน กลายเป็นแรงจูงใจให้แฟนเพลงซื้อซีดีมากขึ้น นอกจากนี้ อัลบั้มบางชุดยังออกแบบให้มีหลายปก เพื่อเพิ่มยอดขาย

โรซา เดอ จอง แฟนเพลง K-pop อีกรายกล่าวว่า การซื้ออัลบั้มเปรียบเสมือนการซื้อลอตเตอรี่ เพราะแฟนๆ ต้องการโอกาสในการได้ของสะสมหรือสิทธิพิเศษจากศิลปิน แต่กลับทำให้เกิดขยะพลาสติกสะสมในที่สาธารณะ เช่น ถนนและบันไดในกรุงโซล

การเรียกร้องให้ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

กลุ่ม Kpop4Planet ที่ก่อตั้งโดยแฟนเพลงชาวอินโดนีเซียในปี 2020 เริ่มรณรงค์ให้บริษัทบันเทิงลดการผลิตซีดีพลาสติก พวกเขาจัดการประท้วงและรวบรวมลายเซ็นเพื่อยื่นคำร้องให้บริษัทลดการใช้วัสดุพลาสติกและเปลี่ยนวิธีการตลาดที่กระตุ้นการบริโภค

HYBE บริษัทผู้จัดการวง BTS ระบุว่า บริษัทพยายามใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการผลิตอัลบั้มและสินค้า แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม ด้านกระทรวงสิ่งแวดล้อมของเกาหลีใต้พยายามลดการผลิตซีดีโดยการเก็บค่าปรับสำหรับการสร้างขยะพลาสติกตั้งแต่ปี 2003 แต่ค่าปรับเพียง 2 พันล้านวอน (ประมาณ 143,000 ดอลลาร์) ในปี 2023 กลับไม่มีผลกระทบมากนัก

แฟนเพลงยังคงสนับสนุนศิลปิน

คิม นา-ยอน ยืนยันว่า แม้เธอจะวิพากษ์วิจารณ์บริษัทบันเทิงเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่เธอไม่สามารถบอยคอตศิลปินได้ เพราะแฟนเพลงทุกคนต้องการเห็นศิลปินของตนประสบความสำเร็จ เธอเชื่อว่าปัญหานี้ต้องเริ่มแก้ไขจากการตลาดและการผลิตของบริษัทโดยตรง ไม่ใช่ตัวศิลปิน

อนาคตของอุตสาหกรรม K-pop และสิ่งแวดล้อม

ในขณะที่ยอดขายอัลบั้มพุ่งสูงขึ้น ความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมกลายเป็นความท้าทายใหญ่ของอุตสาหกรรม K-pop แฟนเพลงและกลุ่มเคลื่อนไหวต่างหวังว่าบริษัทบันเทิงจะเริ่มหันมาใช้แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยไม่กระทบต่อความนิยมของศิลปินและความสุขของแฟนเพลงทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : the jakarta post

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ไทยเร่งปรับตัวสู้วิกฤตโลกร้อน ป้องภัยอนาคตสุดร้อนแรง

ไทยต้องปรับตัวรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอด

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 หนังสือพิมพ์ Bangkok Post รายงานถึงความเร่งด่วนในการปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังส่งผลกระทบต่อทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่มีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน

ความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โลกกำลังเผชิญกับปัญหาอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และสภาพอากาศสุดขั้วที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนและเศรษฐกิจ เช่น ภูเขาไฟฟูจิในญี่ปุ่นที่ไม่มีหิมะปกคลุมในเดือนตุลาคมเป็นครั้งแรกในรอบ 130 ปี ถือเป็นสัญญาณชัดเจนของภาวะโลกร้อน

ในส่วนของประเทศไทย การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิส่งผลต่อภาคเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และเศรษฐกิจโดยรวม การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1% ของโลก แต่ประเทศไทยกลับติดอันดับ 9 ในดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Index) และประสบกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วถึง 146 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ผลกระทบสำคัญที่ประเทศไทยต้องเผชิญ

  1. น้ำท่วมและการกัดเซาะชายฝั่ง: กรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงอาจจมน้ำในอีก 30 ปีข้างหน้า เนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการทรุดตัวของดิน เช่น วัดขุนสมุทรจีนในสมุทรปราการที่กลายเป็นเกาะกลางน้ำ
  2. ภัยแล้งและคลื่นความร้อน: จังหวัดแม่ฮ่องสอนอาจมีวันปราศจากฝนถึง 100 วันต่อปี ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนน้ำและอุณหภูมิสูงถึง 40°C
  3. ผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ: ความร้อนที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อแรงงานกลางแจ้ง เช่น เกษตรกรและพนักงานขนส่ง ที่ต้องลดชั่วโมงการทำงานลง พร้อมกับเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพและลดผลิตภาพทางเศรษฐกิจ

แนวทางการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เสนอแนะ 3 กลยุทธ์หลักในการรับมือ ได้แก่

  1. การป้องกันและลดความเสี่ยง:

    • พัฒนาพันธุ์พืชที่ทนแล้ง
    • ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทนทานต่อพายุและน้ำท่วม
    • ปลูกป่าชายเลนเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
    • พิจารณาการย้ายถิ่นฐานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
  2. การเตรียมพร้อมและการตอบสนอง:

    • ระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการพยากรณ์อากาศที่น่าเชื่อถือ
    • จัดทำแผนฟื้นฟูชุมชนและระบบบริการฉุกเฉิน
  3. การฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่น:

    • มุ่งเน้นการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน
    • จัดทำระบบประกันภัยและเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม
    • หลีกเลี่ยงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น เขื่อนกั้นน้ำโดยไม่มีการศึกษาอย่างรอบคอบ

บทเรียนจากต่างประเทศ

  • เนเธอร์แลนด์: ใช้ระบบกำแพงกันน้ำที่ออกแบบจากการศึกษาสภาพแวดล้อมและความคิดเห็นของชุมชน
  • ญี่ปุ่น: ใช้เทคโนโลยี Digital Twin เพื่อจำลองสถานการณ์น้ำท่วม
  • สิงคโปร์: ลงทุนในพื้นที่สีเขียวเพื่อลดผลกระทบจากคลื่นความร้อน

การบริหารจัดการที่ยั่งยืน

รัฐบาลไทยควรตั้งกองทุน Green Transition and Adaptation Fund ผ่านการจัดเก็บภาษีคาร์บอน เพื่อสนับสนุนกลุ่มเปราะบางและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สอดรับกับอนาคต ลดการพึ่งพาการแจกเงินช่วยเหลือเฉพาะหน้า และส่งเสริมงานวิจัยเพื่อสร้างอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สรุป

ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ทั้งการป้องกัน ฟื้นฟู และพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในการพัฒนาประเทศและสร้างความยืดหยุ่นต่ออนาคตที่ร้อนขึ้นทุกวัน

นี่คือเวลาที่ประเทศไทยต้องลงมือทำอย่างจริงจังเพื่ออนาคตที่ดีกว่า!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bangkokpost

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สนุกกับ Low Carbon Tourism เที่ยวรักษ์โลก : เพื่ออนาคตยั่งยืน

#แอ่วล้ำแอ่วเหลือ: เที่ยวแบบรักษ์โลก สนุกแบบ Low Carbon Tourism

ในยุคที่โลกของเรากำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อน ผลกระทบของมันไม่ได้อยู่แค่ในข่าวสารที่เราได้ยินเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของเราอย่างชัดเจน ซึ่งต้นเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โครงการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน หรือ Low Carbon Tourism จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้ และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ทั้งสนุกและรับผิดชอบต่อโลกใบนี้

Low Carbon Tourism: เที่ยวสนุกแบบมีความรับผิดชอบ

หลายคนอาจสงสัยว่า “การท่องเที่ยวเกี่ยวอะไรกับการลดคาร์บอน?” คำตอบคือ ทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ทั้งการใช้พาหนะที่ปล่อยมลพิษ การบริหารจัดการของเสียในแหล่งท่องเที่ยว หรือแม้แต่การเลือกซื้อสินค้าในท้องถิ่น ล้วนส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น การเปลี่ยนพฤติกรรมการท่องเที่ยวเพียงเล็กน้อย เช่น การเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถสาธารณะ การเข้าพักในโฮมสเตย์ที่มีมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม หรือการเข้าร่วมกิจกรรมที่สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า สภาวะโลกร้อนในปัจจุบันส่งผลกระทบทั้บเรื่องมลพิษและก๊าซเรือนกระจก จนทำให้โลกกำลังก้าวเข้าสู่สภาวะโลกเดือด ซึ่งในอนาคตอันใกล้หากทั้งโลกไม่ช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในทุกกิจกรรมของการดำเนินชีวิต จะส่งผลให้สภาพอากาศและสมดุลทางธรรมชาติแปรปรวน ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งหมดบนโลก รวมถึงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีการเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมการท่องเที่ยวกับสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่ออกเดินทางโดยใช้พาหนะต่างๆ ตลอดจนการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของสถานประกอบการ ทำให้พบว่ามีบทบาทสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากขึ้น

โครงการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน

กรมการท่องเที่ยวได้ริเริ่มโครงการนี้ด้วยวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และชุมชนท้องถิ่น เห็นความสำคัญของการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมที่เกิดขึ้นในโครงการมีหลากหลาย ตั้งแต่การจัดอบรมพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน การสร้างต้นแบบเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน เช่น เส้นทางโฮมสเตย์ไทย หรือการท่องเที่ยวโดยชุมชน ไปจนถึงการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวระหว่างจังหวัดในหลายภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งมี 11 เส้นทางทั่วประเทศครอบคลุมทุกภูมิภาคของไทย ประกอบด้วย เส้นทางขอนแก่น – ชัยภูมิ, อุดรธานี – หนองคาย, เลย – เพชรณ์, จันทบุรี – ตราด, กาญจนบุรี – ราชบุรี, สมุทรสงคราม – สมุทรสาคร, เชียงราย – พะเยา, เชียงใหม่ – ลำปาง, อุทัยธานี – นครสวรรค์, กระบี่ – สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต – พังงา

ตัวอย่างเส้นทางที่น่าสนใจ ได้แก่

  • เชียงราย – พะเยา: ดื่มด่ำกับธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชน
  • อุดรธานี – หนองคาย: สัมผัสวัฒนธรรมอีสานและความสวยงามของแม่น้ำโขง
  • กระบี่ – สุราษฎร์ธานี: ชมทะเลสวยและการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล

ร่วมมือเพื่อความยั่งยืน

โดยการท่องเที่ยวแบบ Low Carbon ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องลดความสนุก แต่เป็นการเพิ่มมิติใหม่ของการท่องเที่ยวที่ใส่ใจโลกและช่วยสร้างความยั่งยืน ทุกก้าวเดินของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่พัก การเดินทาง หรือกิจกรรมในท้องถิ่น ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโลกใบนี้ให้คงอยู่เพื่อคนรุ่นต่อไป

อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวทิ้งท้ายว่า กิจกรรมประชาสัมพันธ์ต้นแบบเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำที่กรมการท่องเที่ยว จัดขึ้นในครั้งนี้ มุ่งหวังให้นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการทุกภาคส่วน และชุมชนท่องเที่ยว เกิดความตระหนักรู้ในเรื่อง การลดก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากทุกกิจกรรมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สร้างการมีส่วนร่วมเพื่อรับผิดชอบต่อส่วนรวมของคนในพื้นที่ สร้างเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและยั่งยืนอย่างแท้จริงตามกระแสและกฎระเบียบใหม่ของโลก

วัดร่องขุ่น อ.เมือง จ. เชียงราย

ชมวัดร่องขุ่น ศิลปะงดงามแห่งความยั่งยืน

หากพูดถึงจุดหมายปลายทางที่ทั้งงดงามและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย คงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อยู่ในใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยความวิจิตรตระการตาของสถาปัตยกรรมที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) วัดร่องขุ่นจึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศ

ความโดดเด่นของวัดแห่งนี้อยู่ที่การออกแบบอันมีเอกลักษณ์ ใช้เวลาสร้างสรรค์ยาวนานกว่า 13 ปี โดยสะท้อนถึงความรักในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการก่อสร้าง ทุกมุมมองของวัดล้วนเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ถ่ายทอดความหมายเชิงศาสนาอย่างลึกซึ้ง

นอกจากความงดงาม วัดร่องขุ่นยังยึดมั่นในแนวทางการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการขยะที่เป็นระบบ เช่น การคัดแยกขยะ การใช้เตาเผาขยะไร้ควัน และการส่งถุงพลาสติกจากนักท่องเที่ยวไปรีไซเคิล นี่คือตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวที่ไม่เพียงแต่สนุก แต่ยังใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • เวลาเปิด-ปิด: 08.00 – 17.00 น.
  • ค่าเข้าชม: คนไทยเข้าชมฟรี, ชาวต่างชาติ 100 บาท
สิงห์ปาร์ค อ.เมือง จ. เชียงราย

สถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร มีพื้นที่เกษตรกรรม ไร่ชา และธรรมชาติที่สวยงามในพื้นที่กว่า 8,000 ไร่ ในช่วงฤดูหนาวมีทุ่งดอกคอสมอส ทุ่งปอเทือง และผลไม้ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ พุทราพันธุ์ซื่อหมี่ และชาสูตรพิเศษนานาชนิดที่เป็นสูตรเฉพาะจากไร่
และยังมีกิจกรรมให้เช่าจักรยานปั่นภายในไร่ การโหนซิปไลน์ ชมไร่ชาในมุมสูงรอบทิศ 360 องศา รถรางบริการนำเที่ยวชมในไร่ตามจุดต่าง ๆ และให้อาหารสัตว์ เช่น ยีราฟ ม้าลาย อย่างใกล้ชิด

ในการเดินทางท่องเที่ยวที่เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมและเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ, สิงห์ปาร์ค ในจังหวัดเชียงรายนับเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าสนใจที่สุด ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ที่สวยงามทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบอย่างของการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

สิงห์ปาร์คได้ส่งเสริมการปลูกพืชและปลูกป่าร่วมกับชุมชน เพื่อลดการเผาป่าและการทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และควันไฟฟ้าควันอื่นๆ ที่เป็นผลพวงจากกิจกรรมเหล่านี้ นอกจากนี้ การร่วมมือกันเหล่านี้ยังช่วยให้ชุมชนมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

การดูแลแหล่งน้ำกว่า 50 บ่อที่สิงห์ปาร์คนั้นเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการรักษาความสมดุลของระบบธรรมชาติและเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่รองรับกิจกรรมการเกษตรในพื้นที่ รวมถึงการใช้เป็นแหล่งน้ำในการช่วยเหลือเหตุการณ์ดับไฟป่าที่อาจเกิดขึ้นได้

อีกทั้งการควบคุมการใช้สารเคมีต่างๆ ถือเป็นการปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อมจากการสัมผัสสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย การปฏิบัติการอย่างเข้มงวดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของสิงห์ปาร์คที่จะรักษาสุขภาพของชุมชนและความสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่

การเยือนสิงห์ปาร์คในเชียงรายจึงไม่เพียงแต่ให้ประสบการณ์ท่องเที่ยวที่สวยงามและผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่ช่วยให้ทั้งชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้รับประโยชน์ร่วมกัน นี่คือการท่องเที่ยวนอกเส้นทางที่จะทำให้ผู้เยี่ยมชมได้รับการตระหนักรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย.

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • เวลาเปิด-ปิด: 08.30 – 18.00 น.
    ค่าเข้าชม:
  • รถรางนำเที่ยว ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็กสูงไม่เกิน 110 เซ็นติเมตร 50 บาท เวลา 09.00-16.00 น.
  • ค่าเช่าจักรยาน รอบละ 2 ชั่วโมง ราคา 200 บาท เวลา 08.30-17.00 น.
  • ค่าเช่าจักรยานไฟฟ้า (E-bike) รอบละ 2 ชั่วโมง ราคา 300 บาท
  • รถกอล์ฟส่วนตัวขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่ง ระยะเวลา 2 ชั่วโมง ราคา 600-1,500 บาท
  • ค่าเช่ารถ ATV ระยะเวลา 40 นาที ราคา 1,200 บาท ระยะเวลา 1.20 ชั่วโมง ราคา 1,400 บาท
  • Zip Line คนละ 300 บาท เวลา 11.00–17.00 น.
  • สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า รอบละ 1.30 ชั่วโมง ราคา 300 บาท
  • กิจกรรมปีนผา ราคา 150 บาท เปิดทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น.
ชุมชนบ้านโป่งแดง อ.พาน จ.เชียงราย

สำรวจการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำที่ชุมชนบ้านโป่งแดง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

การท่องเที่ยวชุมชนบ้านโป่งแดงให้คุณได้เห็นแง่มุมใหม่ของการเกษตรที่ก้าวหน้าแต่ยังคงรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งได้พัฒนาจากการเกษตรแบบดั้งเดิมสู่เกษตรอัจฉริยะ หรือ “Smart Farming” ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการจัดการและปรับปรุงคุณภาพการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูง.

 

ทัวร์ชมศูนย์การเรียนรู้ Smart Farm and Smart Home

การเยี่ยมชมศูนย์ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ Smart Farm and Smart Home ที่บ้านโป่งแดงจะให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ระบบสั่งงานด้วยมือถือในการบริหารจัดการเกษตรกรรม ช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการทำงานและประโยชน์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม.

ชมการแปรรูปสมุนไพรเพื่อเพิ่มมูลค่า

ในการเดินทางครั้งนี้ คุณจะได้ชมการสาธิตการแปรรูปสมุนไพรที่ทางชุมชนได้พัฒนาขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตร การเรียนรู้วิธีการเหล่านี้จะทำให้เห็นถึงความสำคัญของการนำความรู้และเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น.

สัมผัสวิธีการผลิตข้าวเกรียบว่าวแบบดั้งเดิม

ตอนหนึ่งของการท่องเที่ยวที่ทำให้คุณได้สัมผัสความเป็นมาของอาหารพื้นบ้าน คือการดูการผลิตข้าวเกรียบว่าว ที่ยังคงรักษากรรมวิธีแบบดั้งเดิมไว้อย่างดี การรับชมขั้นตอนเหล่านี้ให้ความรู้สึกที่แท้จริงของวัฒนธรรมอาหารและการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน.

เดินป่าและกิจกรรมยิงหนังสติ๊กปลูกป่า

การเดินทางผ่านป่าชายเขาและร่วมกิจกรรมยิงหนังสติ๊กปลูกป่าเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมโดยตรงกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและการฟื้นฟูป่าไม้.

พักผ่อนที่น้ำพุร้อน

ปิดท้ายวันด้วยการแช่น้ำพุร้อนให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย สนุกสนานกับการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกเหนื่อยล้าจากกิจกรรมทั้งหมด.

การเดินทางท่องเที่ยวที่บ้านโป่งแดงไม่เพียงมอบประสบการณ์ที่สนุกสนานและสร้างความผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังให้ความรู้และมุมมองใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตร่วมกันกับโลกและชุมชนท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม.

ท่าเรือวัดติโลกอาคาม อ.เมือง จ.พะเยา

ท่าเรือวัดติโลกอาคาม: จุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ

ท่าเรือวัดติโลกอาคาม ตั้งอยู่ในจังหวัดพะเยา เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการดำเนินการที่มุ่งหวังให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ซึ่งการเลือกใช้พลังงานทดแทนและการเดินทางด้วยการขนส่งที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ถือเป็นหัวใจหลักในการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและไม่ทำลายธรรมชาติ

กิจกรรมใส่บาตรข้าวเหนียว: ประเพณีที่เชื่อมโยงกับชุมชน หนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญในท่าเรือวัดติโลกอาคามคือการใส่บาตรข้าวเหนียว ซึ่งเป็นประเพณีที่ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมของชุมชน แต่ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีความยั่งยืน โดยกิจกรรมนี้จะช่วยให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

ความยั่งยืนในการท่องเที่ยวริมกว๊านพะเยา การท่องเที่ยวริมกว๊านพะเยาเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กว๊านพะเยาเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ การสนับสนุนให้ผู้มาเยือนท่องเที่ยวด้วยการเดินทางที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้จักรยานหรือการเดินเท้า เป็นวิธีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและรักษาความงามของแหล่งท่องเที่ยวนี้

การเดินทางคาร์บอนต่ำในพื้นที่: วิธีการเดินทางที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม 

ในการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ การเลือกการเดินทางที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้จักรยาน เดินเท้า หรือรถสาธารณะที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ การใช้ยานพาหนะไฟฟ้าหรือพลังงานทดแทนก็เป็นทางเลือกที่ดีในการเดินทางไปยังท่าเรือวัดติโลกอาคามและริมกว๊านพะเยา การเลือกกิจกรรมท่องเที่ยวที่รักษาสิ่งแวดล้อม การเลือกกิจกรรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น การเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติ การเข้าร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ง่าย เป็นตัวอย่างของกิจกรรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ ข้อดีของการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น อีกทั้งยังทำให้ผู้ท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาธรรมชาติ

ประโยชน์ของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมใส่บาตรข้าวเหนียว

การเข้าร่วมกิจกรรมใส่บาตรข้าวเหนียวไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนและนักท่องเที่ยว แต่ยังเป็นการส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรมและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในรูปแบบที่ยั่งยืนการสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยการส่งเสริมให้ชุมชนใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ ช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน

การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในบริเวณกว๊านพะเยา กว๊านพะเยาเป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี การท่องเที่ยวในบริเวณนี้ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความงามของแหล่งน้ำสำคัญ แต่ยังช่วยสร้างความตระหนักในเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยการท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ บทบาทของชุมชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ชุมชนเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ พวกเขามีบทบาทในการให้ข้อมูล การแนะนำกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ: ข้อแนะนำในการวางแผนท่องเที่ยว ในการวางแผนท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ควรคำนึงถึงการเลือกกิจกรรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้ยานพาหนะที่ลดการปล่อยคาร์บอน และการพิจารณาความยั่งยืนของการเดินทาง การรักษาความสะอาดในพื้นที่ท่องเที่ยว การรักษาความสะอาดในพื้นที่ท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญ การจัดกิจกรรมทำความสะอาด หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย ช่วยลดการสะสมของขยะและรักษาความงามของสถานที่ท่องเที่ยว การลดการใช้พลังงานในการท่องเที่ยว การลดการใช้พลังงานในระหว่างการท่องเที่ยวสามารถทำได้โดยการใช้แหล่งพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ การเดินทางด้วยจักรยาน หรือการเข้าพักในที่พักที่มีการใช้พลังงานจากแหล่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อนาคตของการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำในจังหวัดพะเยา การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำในจังหวัดพะเยามีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต เนื่องจากการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและชุมชนท้องถิ่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจะช่วยรักษาความสมดุลของธรรมชาติและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว

บ้านดอกบัวท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา จังหวัดพะเยา

กิจกรรม เยี่ยมชมตลาดชุมชน / ชมสวนเศรษฐกิจพอพียง / workshop eco print  /สาธิตกาทำอาหารพื้นเมือง

การท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนวิถีชีวิตชุมชน หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือ เส้นทางการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำของชุมชนบ้านดอกบัวท่าวังทอง ในตำบลท่าวังทอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผสมผสานการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการรักษาสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว การท่องเที่ยวเส้นทางคาร์บอนต่ำที่ชุมชนบ้านดอกบัวท่าวังทอง จังหวัดพะเยา เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชนอย่างแท้จริง โดยไม่ละเลยความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว ถ้าคุณกำลังมองหาประสบการณ์ท่องเที่ยวที่แตกต่างและมีคุณค่า เส้นทางนี้คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ!

กิจกรรมที่น่าสนใจในบ้านดอกบัวท่าวังทอง

  1. เยี่ยมชมตลาดชุมชน
    ตลาดชุมชนบ้านดอกบัวเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าออร์แกนิกและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่ผลิตขึ้นโดยชาวบ้าน และงานหัตถกรรมที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของชุมชน

  2. ชมสวนเศรษฐกิจพอเพียง
    เรียนรู้วิถีชีวิตที่พึ่งพาตนเองผ่านสวนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจัดแสดงการทำเกษตรอินทรีย์ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และการปลูกพืชผักที่หลากหลายภายในพื้นที่เล็ก ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร

  3. Workshop Eco Print จากธรรมชาติ
    หนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตคือการทำ Eco Print โดยใช้ใบไม้หรือดอกไม้พิมพ์ลวดลายลงบนผ้า นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้กระบวนการที่ละเอียดอ่อน ตั้งแต่การเลือกใบไม้ในท้องถิ่น เช่น ใบสัก ใบมะม่วง ใบละหุ่ง จนถึงการนำผ้าไปนึ่งที่อุณหภูมิและเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ลวดลายและสีสันที่ไม่ซ้ำกัน

  4. สาธิตการทำอาหารพื้นเมือง
    สัมผัสเสน่ห์ของอาหารพื้นบ้านภาคเหนือผ่านการสาธิตและลงมือทำอาหารด้วยตนเอง เมนูยอดนิยม เช่น ส้มตำ  ตำมะม่วง  หรือจะลาบ ก็สร้างประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยรสชาติและความอบอุ่นจากชาวบ้าน

  5. เรียนรู้วิถีชุมชนคนลุ่มน้ำอิง
    ชุมชนบ้านดอกบัวตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำอิง นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้ระบบนิเวศที่เชื่อมโยงระหว่างเขา ป่า นา และน้ำ พร้อมกับการใช้ชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติอย่างยั่งยืน

การส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน

กรมการท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืน โดยการสนับสนุนและอบรมผู้ประกอบการให้มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการก๊าซเรือนกระจก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ชุมชนและนักท่องเที่ยวมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การลดการใช้พลาสติก การจัดการขยะอย่างเหมาะสม และการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เส้นทางนี้ ส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติ: การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

  • สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: รายได้จากการท่องเที่ยวถูกกระจายกลับไปยังชุมชน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่
  • สร้างประสบการณ์ที่ยั่งยืน: นักท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตดั้งเดิม

เครดิตภาพ : กีรติ ชุติชัย

ข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News