Categories
HEALTH

เตือนภัยหน้าร้อน! พยาธิตืดหมูซ่อนในอาหารดิบ กินสุกปลอดภัย

การบริโภคอาหารสุก ป้องกันโรคถุงพยาธิตืดหมูในช่วงหน้าร้อน

ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากอาหารที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารดิบที่อาจปนเปื้อนพยาธิหรือเชื้อโรค กรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย “ไอ้แจ๋ว เมืองจันท์” โพสต์เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 เกี่ยวกับภาพเอกซเรย์ที่เผยให้เห็นถุงพยาธิตืดหมูในร่างกายผู้ป่วย เป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายของการบริโภคอาหารดิบหรืออาหารที่ปนเปื้อนไข่พยาธิ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคถุงพยาธิตืดหมู (Cysticercosis) และโรคอื่น ๆ ที่มากับอาหาร

อันตรายจากอาหารดิบ กรณีโรคถุงพยาธิตืดหมู

โพสต์จาก “ไอ้แจ๋ว เมืองจันท์” เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อน ขณะทำงานเป็นผู้ช่วยเอกซเรย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบภาพเอกซเรย์ของผู้ป่วยที่เผยให้เห็นถุงพยาธิตืดหมูในร่างกาย ซึ่งต่อมาอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อธิบายว่าเป็นโรค Cysticercosis เกิดจากตัวอ่อนของพยาธิตืดหมู (Taenia solium) ฝังตัวในอวัยวะต่าง ๆ เช่น กล้ามเนื้อ สมอง ลูกตา หรือหัวใจ สาเหตุหลักเกิดจากการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนไข่พยาธิ หรือการที่พยาธิในลำไส้ขย้อนไข่กลับสู่กระเพาะอาหาร ไข่พยาธิจะฟักเป็นตัวอ่อน ไชผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด และฝังตัวตามอวัยวะต่าง ๆ

โรคนี้พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคกลาง จากข้อมูลระหว่างปี 2490-2547 มีผู้ป่วยประมาณ 500 ราย (ที่มา: วารสารการแพทย์ไทย) อาการขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตัวอ่อนฝังตัว เช่น อาการชักหรือปวดศีรษะหากอยู่ในสมอง หรือตาบอดหากอยู่ในลูกตา การบริโภคเนื้อหมูดิบ หรือผักที่ปนเปื้อนไข่พยาธิจากปุ๋ยคอกที่ไม่สะอาด เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อ

ความอร่อยไม่ต้องดิบก็เป็นเอกลักษณ์ที่น่าลิ้มลอง และเป็นที่น่าจดจำ

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งริเริ่มโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6 มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนลดการบริโภคอาหารดิบและหันมาปรุงอาหารให้สุกอย่างถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อโรคและพยาธิเจริญเติบโตได้ดี แคมเปญนี้ไม่ห้ามกินอาหารดิบโดยสิ้นเชิง แต่ชวนให้ลองปรับเมนูดิบเป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติที่คุ้นเคยและเพิ่มความปลอดภัย

ตัวอย่างเมนูที่แนะนำ เช่น ลาบสุก ที่ใช้เนื้อหมูหรือวัวย่างจนสุกก่อนคลุกเคล้ากับเครื่องเทศและสมุนไพร หรือจิ้นส้มหมกไข่ที่เปลี่ยนจากการหมักดิบเป็นการอบหรือนึ่งจนสุก เมนูเหล่านี้ยังคงรสชาติเปรี้ยวเผ็ดและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านภาคเหนือ การเลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่ได้รับการรับรอง เช่น ตลาดที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ และล้างผักให้สะอาดก่อนปรุง ช่วยลดความเสี่ยงจากไข่พยาธิและเชื้อโรคอื่น ๆ

การป้องกันโรคถุงพยาธิต T. solium คำเตือนในช่วงหน้าร้อน

กรณีโรคถุงพยาธิตืดหมูชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกในช่วงหน้าร้อน ซึ่งสภาพอากาศร้อนชื้นเอื้อต่อการเจริญเติบโตของพยาธิและเชื้อโรค เพจ Drama-addict อธิบายเพิ่มเติมว่า การติดเชื้อแบบนี้ไม่เพียงเกิดจากการกินเนื้อดิบที่มีตัวอ่อนพยาธิเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการกินผักดิบที่ปนเปื้อนไข่พยาธิจากปุ๋ยคอกที่ไม่สะอาด หรือการกินยาขับพยาธิผิดวิธีจนปล้องพยาธิขย้อนกลับสู่กระเพาะอาหาร ทำให้ไข่พยาธิฟักเป็นตัวอ่อนในร่างกาย

คำแนะนำจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ระบุถึง 5 โรคหน้าร้อนที่เกี่ยวข้องกับอาหารไม่ปลอดภัย เช่น อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ และไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยหลัก “สุก ร้อน สะอาด” การปรุงอาหารที่อุณหภูมิอย่างน้อย 63°C หรือจนเนื้อเปลี่ยนสีขาวสนิท และการแช่แข็งเนื้อหมูที่ -20°C เป็นเวลา 1-3 วัน ช่วยฆ่าตัวอ่อนพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่าการบริโภคอาหารสุกเป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องสูญเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบ การปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุกสามารถทำได้โดยไม่ยุ่งยาก เช่น การย่างเนื้อแทนการใช้ดิบ หรือการนึ่งส่วนผสมแทนการหมัก ตัวอย่างเช่น น้ำพริกอ่องที่ใช้หมูสับปรุงสุกยังคงความเผ็ดจัดจ้าน หรือข้าวซอยไก่ย่างที่คงความหอมของเครื่องแกงไว้อย่างครบถ้วน การล้างผักและผลไม้ให้สะอาด และเลือกซื้อเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ผ่านการตรวจสอบ เช่น ตลาดที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากไข่พยาธิ

แคมเปญนี้ยังเชิญชวนให้ประชาชนแชร์เมนูสุกที่ทำเองผ่านโซเชียลมีเดียด้วยแฮชแท็ก #กิ๋นสุกเป๋นสุข #สุกอร่อยปลอดภัย และ #ลดดิบเพิ่มสุข เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ในช่วงหน้าร้อนที่ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น การเลือกกินอาหารสุกไม่เพียงป้องกันโรคถุงพยาธิตืดหมูและโรคที่มากับอาหาร แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาว กรณีภาพเอกซเรย์ที่เผยถุงพยาธิในร่างกายเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“กิ๋นสุก เป๋นสุข” รับหน้าร้อน! สธ.เตือน 5 โรค ควบคู่ทลายแก๊งค์หมู

การบริโภคอาหารสุก ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัยในช่วงหน้าร้อน

ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อุณหภูมิที่สูงขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากอาหารที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารดิบหรือเนื้อสัตว์ที่มาจากแหล่งที่ไม่ได้รับการรับรอง กรณีการจับกุมผู้ลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรในกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 และคำเตือนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเกี่ยวกับโรคที่มากับฤดูร้อน สะท้อนถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารที่ปรุงสุกและการเลือกวัตถุดิบที่สะอาด แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน โดยเน้นการปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติและความปลอดภัย

ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัย กรณีซากสุกรที่ไม่ทราบแหล่งที่มา

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กก.1 บก.ปทส.) ร่วมกับกรมปศุสัตว์ เข้าจับกุมนายธนะพล อายุ 41 ปี ในข้อหาลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรโดยไม่ได้รับอนุญาต ณ โรงชำแหละซากสุกรไม่มีชื่อ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร พบของกลางเป็นซากสุกร 1,800 กิโลกรัมจากทั้งหมด 7,500 กิโลกรัม ที่ไม่มีเอกสารรับรองแหล่งที่มา ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ในพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ผู้ต้องหามีความผิดตามมาตรา 65 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การตรวจสอบพบว่าโรงชำแหละดังกล่าวดำเนินการโดยไม่ถูกสุขอนามัย ซากสุกรบางส่วนถูกวางบนพื้นโดยไม่มีภาชนะปกป้อง ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวนและอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนโดยรอบ กรณีนี้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ซาลโมเนลลา อีโคไล หรือพยาธิ ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้บริโภคที่ได้รับเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในเมนูที่ใช้เนื้อดิบ เช่น ลาบดิบ หรือก้อยดิบ

ความอร่อยไม่ต้องดิบก็เป็นเอกลักษณ์ที่น่าลิ้มลอง และเป็นที่น่าจดจำ

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งริเริ่มโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6 มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่อาจมากับอาหารดิบ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี แคมเปญนี้ไม่ห้ามการบริโภคอาหารดิบโดยสิ้นเชิง แต่เน้นให้ประชาชนลองปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติที่คุ้นเคยและยกระดับความปลอดภัย

ตัวอย่างเมนูที่แคมเปญนำเสนอ เช่น จิ้นส้มหมกไข่ ซึ่งปกติเป็นแหนมที่หมักดิบ แต่เมื่อนำมาอบหรือนึ่งจนสุก จะได้รสชาติเปรี้ยวเผ็ดที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ หรือลาบสุกที่ใช้เนื้อวัวหรือหมูย่างก่อนคลุกเคล้ากับเครื่องเทศและสมุนไพร เมนูเหล่านี้ยังคงความหอมและรสชาติเข้มข้นไว้ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนจากเนื้อดิบ การเลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่ได้รับการรับรอง เช่น ตลาดที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของอาหาร

เฝ้าระวังโรคในช่วงหน้าร้อน คำเตือนจากสาธารณสุข

นพ.เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้ออกมาเตือนประชาชนเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ถึงภัยสุขภาพในช่วงหน้าร้อน โดยระบุ 5 โรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ อหิวาตกโรค และไวรัสตับอักเสบเอ โรคเหล่านี้ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ซึ่งมักพบในอาหารดิบหรืออาหารที่เก็บรักษาไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและพยาธิ

คำแนะนำจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายสอดคล้องกับโพสต์บนแพลตฟอร์ม X จากบัญชี @ddc_riskcom เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2568 ที่แนะนำให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” เพื่อป้องกันโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษในช่วงฤดูร้อน การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสม เช่น ต้ม ย่าง หรือนึ่ง สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่กระทบต่อรสชาติหรือคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่าการบริโภคอาหารสุกเป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องสูญเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบ การปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุกสามารถทำได้โดยไม่ยุ่งยาก เช่น การย่างเนื้อแทนการใช้ดิบ การนึ่งหรืออบส่วนผสมแทนการหมัก ซึ่งยังคงความหอมของเครื่องเทศและสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน ตัวอย่างเช่น จิ้นส้มหมกไข่ที่อบจนสุกจะมีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น หรือน้ำพริกอ่องที่ใช้หมูสับปรุงสุก ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านตามสูตรดั้งเดิม

นอกจากนี้ การเลือกวัตถุดิบที่สะอาดและมีแหล่งที่มาชัดเจน เช่น เนื้อสัตว์ที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ หรือผักที่ล้างสะอาดก่อนปรุง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แคมเปญนี้ยังเชิญชวนให้ประชาชนแชร์เมนูสุกที่ทำเองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยแฮชแท็ก #กิ๋นสุกเป๋นสุข #สุกอร่อยปลอดภัย และ #ลดดิบเพิ่มสุข เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคในวงกว้าง

ในช่วงหน้าร้อนที่ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น การเลือกกินอาหารสุกไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรคที่มากับอาหาร เช่น อุจจาระร่วงหรืออาหารเป็นพิษ แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาว กรณีการลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรที่ไม่ทราบแหล่งที่มาเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่ทั้งง่ายและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพที่ดี โดยไม่ต้องละทิ้งความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

หิมะตกหนักถล่มเทือกเขาแอลป์สวิตเซอร์แลนด์-ฝรั่งเศส

พายุหิมะหนักถล่มยุโรป นักท่องเที่ยวติดค้างนับพันรายที่สวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส

สถานการณ์พายุหิมะรุนแรงในเทือกเขาแอลป์

สวิตเซอร์แลนด์, 19 เมษายน 2568 – จากรายงานของ BBC เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 พายุหิมะหนักได้พัดถล่มบริเวณเทือกเขาแอลป์ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพื้นที่สกีรีสอร์ตชื่อดังอย่างเซอร์มัต (Zermatt) ในสวิตเซอร์แลนด์ และติญ (Tignes) ในฝรั่งเศส โดยเมืองเซอร์มัตถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวได้รับคำสั่งให้อยู่แต่ในที่พักอาศัย ขณะที่เมืองติญ นายกเทศมนตรีได้ประกาศให้ประชาชนระมัดระวังภัยหิมะถล่มอย่างเร่งด่วน

ผลกระทบที่เกิดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ถนนและทางรถไฟที่เชื่อมต่อกับเมืองเซอร์มัตต้องหยุดให้บริการ ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากติดอยู่ในเมืองโดยไม่มีไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ เนื่องจากหิมะที่ตกอย่างต่อเนื่องปกคลุมทั่วทั้งเมืองอย่างหนาแน่น ร้านค้าส่วนใหญ่ต้องปิดให้บริการ มีเพียงซูเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่ ส่งผลให้มีการต่อแถวยาวเพื่อซื้อสินค้าที่จำเป็น

นอกจากนี้ ยังมีการเตือนจากแอปพลิเคชัน Alertswiss ถึงอันตรายจากหิมะถล่มและต้นไม้ล้ม รวมถึงการคมนาคมที่หยุดชะงักในเขตวาเล (Valais) และเบิร์นเนอร์ โอเบอร์ลันด์ (Bernese Oberland) โดยโรงเรียนในเมืองซียง (Sion) ต้องปิดการเรียนการสอนชั่วคราว และเจ้าหน้าที่ได้แนะนำให้นักท่องเที่ยวที่วางแผนเดินทางในช่วงเทศกาลอีสเตอร์เลื่อนกำหนดการออกไปก่อนจนถึงวันเสาร์เป็นอย่างน้อย

สถานการณ์ในฝรั่งเศสและอิตาลี

ในขณะเดียวกัน พายุหิมะดังกล่าวยังสร้างความเสียหายร้ายแรงในพื้นที่ใกล้เคียงของฝรั่งเศสและอิตาลี โดยเมืองติญในฝรั่งเศสได้รับผลกระทบจากหิมะที่ตกหนาถึงกว่า 1 เมตร ส่งผลให้มีบ้านเรือนจำนวนหลายพันหลังคาเรือนในภูมิภาคซาวัว (Savoie) ไม่มีไฟฟ้าใช้งาน

ส่วนในประเทศอิตาลี บริเวณหุบเขาอาออสตา (Aosta Valley) พบว่า 37 จาก 74 เทศบาลประสบปัญหาไฟฟ้าดับ และในเมืองบีเอลลา (Biella) สะพานถล่มลงเนื่องจากฝนตกหนัก อีกทั้งยังมีรายงานผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมฉับพลัน คือชายสูงวัยวัย 92 ปี ในเมืองมอนเตอู ดา โป (Monteu da Po) ใกล้กับเมืองตูริน (Turin)

นอกจากนี้ แม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำโป (Po) และแม่น้ำโดรา (Dora) ในเมืองตูริน ยังได้เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้ร้านอาหารและบาร์หลายแห่งต้องปิดบริการชั่วคราว

นักท่องเที่ยวไทยติดค้างในเมืองเซอร์มัต

ด้านอาชิตา ศิริภิญญานนท์ ยูทูปเบอร์ชื่อดังชาวไทย เจ้าของช่อง ARCHITA STATION และทีมงาน ได้ติดค้างอยู่ในเมืองเซอร์มัตเช่นกัน โดยเธอได้บรรยายสถานการณ์ผ่านโซเชียลมีเดียว่า ในช่วงเช้าวันที่ 17 เมษายน 2568 เมืองทั้งเมืองได้ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาแน่น จนไม่สามารถออกจากโรงแรมได้ ไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดขาด ทำให้ทุกคนต้องอยู่ในโรงแรมเป็นเวลา 2 วัน โดยรับประทานอาหารจากโรงแรมได้เพียงพิซซ่าที่ใช้เตาถ่านในการปรุงอาหาร อย่างไรก็ตาม เธอและทีมงานได้รับการช่วยเหลือให้ออกจากเมืองอย่างปลอดภัย และกำลังเดินทางกลับสู่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

จุดวิเคราะห์เหตุการณ์และข้อเสนอแนะ

เหตุการณ์พายุหิมะครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในแง่การแจ้งเตือนภัยที่รวดเร็ว การจัดเตรียมอุปกรณ์และทรัพยากรที่จำเป็นในภาวะฉุกเฉิน รวมทั้งการมีแผนรองรับนักท่องเที่ยวที่ตกค้าง เพื่อป้องกันและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ภัยธรรมชาติในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยายุโรป (European Meteorological Services) พบว่าปริมาณหิมะที่ตกในพื้นที่เทือกเขาแอลป์ในเดือนเมษายน 2568 สูงกว่าค่าเฉลี่ยประจำปีถึง 50% โดยบางพื้นที่พบปริมาณหิมะหนาถึง 100 เซนติเมตรภายในระยะเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติและส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบโครงสร้างพื้นฐาน (แหล่งข้อมูล: European Meteorological Services, เมษายน 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

จิ้นส้มหมกไข่อร่อยเด็ด! ปลอดภัย สไตล์คนเหนือ

กิ๋นสุก เป๋นสุข เปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุกเพื่อสุขภาพ

ความอร่อยไม่ต้องดิบก็เป็นเอกลักษณ์ที่น่าลืมลอง

อาหารดิบเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและอีสาน เช่น ลาบดิบ ก้อยเนื้อ หรือส้มตำปูดิบ ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และเป็นที่ชื่นชอบของหลายคน อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารดิบอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การติดเชื้อพยาธิหรือแบคทีเรียที่อาจปนเปื้อนในวัตถุดิบ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเกิดขึ้นเพื่อชวนทุกคนหันมาปรุงอาหารให้สุก ลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ แต่ยังคงรักษารสชาติที่คุ้นเคยและความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ได้ การเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุกไม่ใช่เรื่องยาก และยังคงความสนุกในการลิ้มลองรสชาติที่หลากหลายได้อย่างปลอดภัย

สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบริโภคอาหารดิบและความเสี่ยงต่อสุขภาพ

จากการสำรวจของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารดิบของประชาชน พบว่า:

  • ประชาชนร้อยละ 28 บริโภคอาหารดิบอย่างน้อย 1 อย่าง
  • ร้อยละ 22.2 นิยมบริโภคอาหารทะเลดิบ เช่น ตำกุ้งสด ปลาหมึกช็อต หรือยำปูทะเล
  • ร้อยละ 10.9 ชอบอาหารจากสัตว์น้ำจืดดิบ เช่น ก้อยปลาดิบ หรือยำหอยดิบ
  • ร้อยละ 7.3 บริโภคเนื้อวัวดิบ เช่น ซอยจุ๊ หรือลาบเลือด
  • ร้อยละ 5.9 บริโภคเนื้อหมูดิบ เช่น ก้อยหมู หรือหลู้หมู

นอกจากนี้ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รายงานว่า การบริโภคอาหารสุกๆ ดิบๆ อาจนำไปสู่โรคอุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ หรือการติดเชื้อพยาธิ เช่น พยาธิใบไม้ตับ ซึ่งพบในผู้ที่บริโภคปลาน้ำจืดดิบ ดร.สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการโภชนาการอิสระ ยังเตือนว่า การกินอาหารดิบ เช่น หมูดิบซาชิมิ หรือปลาไทยซาชิมิ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไข้หูดับจากเชื้อสเตรปโตคอคคัส ซูอิส ซึ่งอาจทำให้หูหนวกหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้

กินอาหารสุก ไม่ยากและไม่เสียรสชาติ

การปรุงอาหารให้สุกไม่จำเป็นต้องสูญเสียรสชาติที่คุ้นเคย การใช้ความร้อนในการปรุงอาหาร เช่น ต้ม ผัด นึ่ง หรือย่าง สามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของเมนูไว้ได้ ตัวอย่างเช่น:

  • ลาบหมูสุก: จากลาบดิบที่ใช้เนื้อหมูดิบ สามารถปรับเป็นลาบหมูสุกโดยการผัดเนื้อหมูให้สุกก่อนปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว พริก และข้าวคั่ว ยังคงได้รสชาติเผ็ดแซ่บแบบเดิม
  • ก้อยปลาสุก: แทนที่จะใช้ปลาดิบ สามารถนำปลาไปย่างหรือนึ่งให้สุก แล้วปรุงรสด้วยเครื่องปรุงแบบก้อย ได้ทั้งความหอมและความปลอดภัย
  • ส้มตำกุ้งสุก: เปลี่ยนจากกุ้งสดเป็นกุ้งลวกสุก ยังคงความกรอบและรสชาติที่ลงตัวเมื่อคลุกเคล้ากับน้ำส้มตำ

การปรุงสุกยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารบางชนิดได้ดีขึ้น เช่น ผักโขมที่ปรุงสุกจะช่วยลดกรดออกซาลิก ทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียมได้ดีกว่าการกินดิบ

จิ้นส้มหมกไข่คืออะไร

จิ้นส้มหมกไข่ เป็นเมนูพื้นบ้านของภาคเหนือที่นำ “จิ้นส้ม” (แหนมหมู) มาปรุงสุกโดยการหมกหรืออบกับไข่ไก่ เมนูนี้เป็นตัวอย่างของการปรับเมนูดิบให้เป็นเมนูสุกที่ทั้งอร่อยและปลอดภัย จิ้นส้มดิบอาจมีความเสี่ยงจากเชื้อแบคทีเรียหากไม่ผ่านการหมักอย่างถูกวิธี แต่เมื่อนำมาหมกกับไข่และเครื่องปรุง เช่น ข่า ตะไคร้ และใบมะกรูด แล้วอบหรือนึ่งให้สุก จะได้เมนูที่มีกลิ่นหอม รสชาติเปรี้ยวเค็มกลมกล่อม และเนื้อสัมผัสที่นุ่มจากไข่ที่ผสมผสานกับจิ้นส้ม เมนูนี้เป็นที่นิยมในครัวเรือนภาคเหนือและเป็นตัวอย่างของการรักษารสชาติท้องถิ่นไว้ได้โดยไม่ต้องกินดิบ

วิธีทำจิ้นส้มหมกไข่ (สูตรง่ายๆ)

ส่วนผสม:

  • จิ้นส้ม (แหนมหมู) 200 กรัม
  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด (ซอยละเอียด) อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ
  • พริกขี้หนู 5-10 เม็ด (ตามชอบ)
  • น้ำปลา 1 ช้อนชา
  • ใบตองสำหรับห่อ (หรือภาชนะทนความร้อน)

วิธีทำ:

  1. หั่นจิ้นส้มเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับไข่ไก่ในชาม
  2. ใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และพริกขี้หนู ปรุงรสด้วยน้ำปลา
  3. ตีส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วห่อด้วยใบตองหรือใส่ในภาชนะทนความร้อน
  4. นึ่งในหม้อนึ่งประมาณ 15-20 นาที หรือจนไข่สุก
  5. เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมข้าวเหนียวหรือข้าวสวย

เมนูนี้ไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังลดความเสี่ยงจากจิ้นส้มดิบ และเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการจากไข่ที่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ชวนเปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุก

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” มุ่งส่งเสริมให้คนไทยปรับพฤติกรรมการกินโดยลดการบริโภคอาหารดิบและหันมาปรุงอาหารให้สุกมากขึ้น โดยไม่ห้ามการกินดิบอย่างสิ้นเชิง แต่เน้นการสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัยและสุขภาพ ผ่านแนวคิด:

  • ปรุงสุก อร่อยเหมือนเดิม: ใช้เทคนิคการปรุง เช่น นึ่ง ย่าง หรือผัด เพื่อรักษารสชาติและเนื้อสัมผัส
  • เลือกวัตถุดิบสะอาด: ล้างวัตถุดิบให้สะอาดก่อนปรุงเพื่อลดการปนเปื้อน
  • ปรับเมนูท้องถิ่น: นำเมนูดิบที่คุ้นเคยมาปรุงสุก เช่น จากก้อยดิบเป็นก้อยย่าง หรือจากลาบดิบเป็นลาบผัด
  • สร้างความหลากหลาย: ลองเมนูใหม่ๆ ที่ปรุงสุก เช่น จิ้นส้มหมกไข่ หรือยำปลานึ่ง เพื่อเพิ่มความสนุกในการกิน

แคมเปญนี้ยังสนับสนุนให้ร้านอาหารและผู้บริโภคเลือกซื้อวัตถุดิบจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และปรุงอาหารตามหลักสุขอนามัย เช่น การใช้ความร้อนให้ทั่วถึง และหลีกเลี่ยงการปรุงรสจัดเกินไปเพื่อรักษาสุขภาพโดยรวม

กินสุกเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า

การกินอาหารสุกไม่ใช่การละทิ้งวัฒนธรรมหรือรสชาติที่เรารัก แต่เป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ชวนทุกคนลองเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุก ลิ้มลองความอร่อยที่ยังคงเอกลักษณ์ และสัมผัสความสุขจากการมีสุขภาพที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจิ้นส้มหมกไข่ ลาบสุก หรือก้อยย่าง ทุกเมนูสามารถเป็นทั้งความอร่อยและความปลอดภัยได้ในจานเดียว ลองเริ่มต้นวันนี้เพื่อตัวคุณเองและคนที่คุณรัก!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, สำรวจพฤติกรรมการบริโภคอาหารดิบ
  • กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสุข, แนะนำการบริโภคอาหารสุก
  • ดร.สง่า ดามาพงษ์, นักวิชาการโภชนาการอิสระ, ความเสี่ยงจากอาหารดิบ
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, คุณค่าทางโภชนาการของผักปรุงสุก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AUTOMOTIVE

Nissan Kicks e-POWER หาดใหญ่สู่กัวลาลัมเปอร์

นิสสันเปิดประสบการณ์ขับสนุกข้ามพรมแดนแบบไร้กังวล กับ Nissan Kicks e-POWER
รถยนต์พลังไฟฟ้า 100% จากหาดใหญ่สู่กัวลาลัมเปอร์

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย (1 เมษายน 2568) – การเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถยนต์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เหล่านักท่องเที่ยวได้สัมผัสการท่องเที่ยวแบบเต็มอิ่ม โดยเฉพาะการขับข้ามพรมแดนที่เปิดประสบการณ์การเดินทางสู่โลกกว้างที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น ล่าสุด นิสสันได้จัดทริปสุดพิเศษแนะนำเส้นทางเดินทางข้ามพรมแดนจากหาดใหญ่ ประเทศไทย ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พร้อมทดสอบสมรรถนะของ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ รถยนต์พลังไฟฟ้า 100% ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะแหล่งผลิตรถยนต์นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ และส่งออกไปยังทั่วภูมิภาคอาเซียน โดยล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศมาเลเซียเป็นที่เรียบร้อย

ขับสนุกทุกเส้นทาง แถมไร้กังวลตลอดทริป

ทริปนี้ไม่ใช่แค่การขับรถเที่ยวทั่วๆ ไป นิสสันชวนเดินทางด้วย Nissan Kicks e-POWER 2nd Generation รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จากไทยไปมาเลเซีย ที่ให้ทั้งความตื่นเต้นเร้าใจจากอัตราเร่งที่ทรงพลัง แต่นุ่มนวล ออกตัวได้เร็ว แรงดั่งใจ ไร้กังวลจากการหาจุดชาร์จไฟฟ้าเพราะระบบ e-POWER ที่เป็นเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของนิสสัน ช่วยเปลี่ยนน้ำมันเป็นไฟฟ้าได้โดยตรง ทำให้สามารถขับระยะไกลในทริปนี้ได้สบายกว่า 650 กิโลเมตร โดยให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้ท้าทายโดยใช้น้ำมันเพียงหนึ่งถังเท่านั้นตลอดการเดินทาง มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยและความสะดวกสบายครบครัน และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่อย่างใด แถมยังขับสนุกตลอดทางด้วยเส้นทางภูเขาที่มีความสวยงาม และจุดแวะเที่ยวเด็ดๆ มากมาย เหมาะสำหรับสายขับรถเที่ยว ที่ต้องการทั้งความสนุกในการขับขี่และความสะดวกสบาย

แชร์เส้นทาง Road Trip ไทย-มาเลเซีย พร้อมจุดเช็คอินสุดชิค

จุดเริ่มต้น: หาดใหญ่ เมืองคึกคักแห่งภาคใต้

เริ่มต้นความสนุกและเตรียมความพร้อมกันที่หาดใหญ่ สีสันแห่งภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นย่านการค้าที่คึกคักและยังเป็นแหล่งรวมอาหารชื่อดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นติ่มซำ หรือโรตี-ชาชัก ที่หลายคนต้องแวะลองเมื่อมาถึง

เมื่อพร้อมแล้วจึงมุ่งหน้าสู่เบตง ด้วยระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร โดยเส้นทางจากหาดใหญ่ไปเบตงถือเป็นการท้าทายความสามารถของคนขับด้วยเส้นทาง โค้งตัว S และถนนขึ้นลงเขา เต็มไปด้วยแนวต้นไม้เขียวขจีและเนินเขาสูงชันตลอดเส้นทาง ซึ่งสามารถขับขึ้นลงเขาได้อย่างมั่นใจ ด้วยการใช้งานเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ หรือ e-Pedal Step ของ Nissan Kicks e-POWER ที่ช่วยลดการใช้เบรกซ้ำๆ เมื่อต้องขับผ่านโค้งและเส้นทางคดเคี้ยว อีกทั้งความคล่องตัวของรถที่มีขนาดและรูปทรงเหมาะสม ทำให้การขับขี่ในสภาพถนนเช่นนี้สามารถทำได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้แรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้ายังทำให้เร่งแซงง่ายและขับขึ้นเขาได้สบายกว่าเดิม

จุดแวะพักไฮไลต์: สะพานโต๊ะกูแช ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แวะพักชมทัศนียภาพอันน่าทึ่งของทะเลสาบฮาลา-บาลา และ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ ไฮไลต์ของเมืองชายแดนที่ไม่ควรพลาด

จากเบตง มุ่งสู่อิโปห์ ระยะทาง 250 กิโลเมตร

หลังจากผ่านชายแดนที่อำเภอเบตง ถนนจะแคบลง มีทางขึ้นลงเนินผ่านภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ยังคงเป็นทางเขาที่สวยงาม แต่อาจจะแปลกตาจากภูมิประเทศที่ต่างกันระหว่างไทยและมาเลเซีย โดยเฉพาะเมื่อผ่านโซนหุบเขา Lenggong Valley ในรัฐเประ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกยูเนสโกที่มีธรรมชาติสวยงามตระการตา โดยตลอดทั้งเส้นทางเพื่อนคู่ใจอย่างระบบ NissanConnect ที่ช่วยเชื่อมต่อแอพพลิเคชันนำทาง เปิดเพลงโปรดจากแอพสตรีมมิ่งเพลงชื่อดังได้อย่างลื่นไหล ทำให้การเดินทางไกลเป็นเรื่องสนุก ไม่น่าเบื่อ และ ที่ชาร์จไร้สาย ช่วยให้โทรศัพท์มีแบตเตอรี่พร้อมใช้งานตลอดเวลา โดยไม่ต้องกังวลเรื่องพกสายชาร์จ

จุดแวะพักไฮไลต์: แวะเติมคาเฟอีนด้วยกาแฟคุณภาพที่ร้านคาเฟ่ชื่อดังอย่าง White Coffee คาเฟ่ในตำนานแห่งเมืองอิโปห์ ที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อ 1 ใน 4 ของเอเชียที่เป็นสุดยอดด้านกาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาแฟขาวสูตรต้นตำรับแสนอร่อย  นอกจากนี้บริเวณเมืองอิโปห์ยังมีสตรีทอาร์ตและตึกเก่าเมืองอิโปห์ ซึ่งอุดมไปด้วยสถาปัตยกรรมจากยุคอาณานิคม เหมาะมากสำหรับสายถ่ายรูป

อิโปห์ สู่ กัวลาลัมเปอร์ ระยทาง 250 กิโลเมตร

เข้าสู่การเดินทางวันสุดท้าย ซึ่งมุ่งหน้าสู่กัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย เส้นทางเริ่มจากการขับผ่านย่านเมืองเก่าของอิโปห์ ก่อนเข้าสู่เส้นทางหลวงที่ตรงยาว ระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างขับขี่จะได้สัมผัสความทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

เมื่อเข้าใกล้กัวลาลัมเปอร์ เส้นทางเปลี่ยนจากทางหลวงสู่ถนนในเมืองใหญ่ที่คึกคักและเต็มไปด้วยการจราจรและด้วยเทคโนโลยี Nissan 360 Safety Shield ที่จัดเต็มมากับ Nissan Kicks e-POWER ช่วยให้การขับขี่ในเมืองใหญ่เป็นเรื่องง่ายและมั่นใจทุกเส้นทาง โดยเมื่อเข้าสู่เขตมหานครที่มีการจราจรหนาแน่น กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor) และ เทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection) ทำให้ควบคุมรถในพื้นที่แคบทำได้อย่างสะดวกง่ายดาย ขณะที่การเดินทางด้วยความเร็วบนถนนหลวง เทคโนโลยีความปลอดภัย อาทิ ระบบเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) ที่แจ้งเตือนผู้ขับขี่เมื่อมีรถอื่นเข้ามาในจุดที่มองไม่เห็น หรือระบบเตือนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning) ระบบเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Forward Emergency Braking) และอีกหลากหลายฟังก์ชันล้ำสมัย จะช่วยเสริมความมั่นใจในทุกพื้นที่ที่การจราจรต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

จุดแวะพักไฮไลต์:  ตึกแฝดเปโตรนาส แลนด์มาร์กสุดฮิปของกรุงกัวลาลัมเปอร์ จุดหมายปลายทางหลักทริปนี้ ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปเช็คอิน

เดินทางชิลๆ หมดห่วงเรื่องหาจุดชาร์จไฟ กับ Nissan Kicks e-POWER 2nd Generation

นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ ให้ประสบการณ์การขับขี่ด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า 100% ที่มอบแรงบิดดี ขับสนุก และเงียบ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาจุดชาร์จไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยี e-POWER เจเนอเรชัน 2 ที่เปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้า ให้ฟีลขับสนุกแบบ EV โดยไม่ต้องเสียบปลั๊ก รุ่นใหม่นี้มาพร้อมแรงบิดที่ดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ เร่งแซงง่าย ขับขึ้นทางชันลื่นไหล และระบบขับขี่เงียบกว่าเดิม ทำให้การเดินทาง ผ่อนคลายและสนุกขึ้น นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี e-Pedal Step ที่ช่วยให้การควบคุมรถทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นหรือถนนขึ้นลงเขา โดยสามารถใช้ได้ในโหมดการขับขี่แบบ อีโค (Eco) และ แบบสปอร์ต (Sport)

บทสรุปว่าทำไมต้องลอง Road Trip ไทย-มาเลเซีย กับ Nissan Kicks e-POWER

  • Road Trip ขับสนุกเต็มที่ ด้วยเส้นทางที่หลากหลาย ทั้งเนินเขา ทางโค้งตัว S ไฮเวย์ และถนนในเมือง พร้อมวิวสวยตลอดทาง
  • เหมาะกับสายเที่ยว & รักษ์โลก ที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางที่ให้การขับขี่ที่เหนือชั้น แบบรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 100% ไร้กังวลเรื่องการหาจุดชาร์จไฟ อีกทั้งประหยัดน้ำมันเชื้อเพลงที่พิสูจน์แล้วโดยการเดินทางกว่า 650 กิโลเมตรด้วยน้ำมันเพียงหนึ่งถัง
  • เทคโนโลยี e-POWER Gen 2 มอบประสบการณ์ขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ทั้งความเงียบ แรงบิด และการตอบสนองที่ฉับไว เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่ต้องกังวลกับการชาร์จไฟฟ้า
  • Nissan Kicks e-POWER เป็นรถยนต์คุณภาพ การันตีโดยได้รับรางวัล Car of the Year ปี 2025 สาขา Best Hybrid SUV under 1,300 cc

นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ เปิดตัวครั้งแรกในอาเซียนที่ประเทศไทยในปีพ.ศ. 2563 และนับตั้งแต่นั้นมาก็ได้ขยายไปยังตลาดรวม 6 แห่งในอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และล่าสุดคือ มาเลเซีย ถือเป็นการตอกย้ำความพยายามของนิสสันในการนำการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาสู่ตลาดต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาค

หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์การเดินทางแบบใหม่ที่ให้ทั้งความสนุกและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Nissan Kicks e-POWER อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา พร้อมพาคุณไปสนุกให้สุดในทุกการเดินทาง!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

ลาบเมืองเหนือใครสุด เชียงรายแข่งครั้งแรก ชวนกินสุกปลอดภัย

วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568”

เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2568 เวลา 17.00 น. ณ ลานกิจกรรม ล้านเมืองไนท์มาร์เก็ต จังหวัดเชียงราย ตลาดล้านเมืองได้จัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568” โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยนายไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไปตลาดล้านเมือง กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งประกอบด้วยส่วนราชการ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

การแข่งขันครั้งนี้มีทีมเข้าร่วมทั้งสิ้น 10 ทีม ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น “สุดยอดทีมลาบ” เพื่อชิงตำแหน่งแชมป์สล่าลาบคนแรกของตลาดล้านเมือง โดยรางวัลสูงสุดเป็นถ้วยรางวัลชนะเลิศจากนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมเงินรางวัล 5,000 บาท รายชื่อทีมที่เข้าร่วมแข่งขันประกอบด้วย 1. ทีมลาบตาลตะวัน 2. ทีมลาบโสภี 3. ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย) 4. ทีมเสน่ห์ลาบ 5. ทีมแจ๊คคาราบาว 6. ทีมลาบลุงพันธ์ 7. ทีมดาขันข้าว 8. ทีมป้อหลวงตั้ม 9. ทีมลาบไว้ลาย และ 10. ทีมลาบป่าบงหลวง

คณะกรรมการและผลการแข่งขัน

การตัดสินการแข่งขันครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวัฒนธรรม อาหาร และการท่องเที่ยว ดังรายนามต่อไปนี้:

  1. คุณนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  2. คุณพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  3. คุณเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  4. คุณณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  5. คุณไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไป (ตลาดล้านเมือง)
  6. ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลา อาจารย์ประจำสาขาวิชาคณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  7. คุณกิตติ โชติชินสิริ ผู้จัดการร้านลาบลุงน้อย
  8. คุณพรศักดิ์ นันตะรัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ (ตลาดล้านเมือง)
  9. คุณภัทราพร พวงมาลา หัวหน้าฝ่ายล้านเมืองไนท์วิลเลจและการตลาดประชาสัมพันธ์

ผลการแข่งขันมีดังนี้:

  • รางวัลชนะเลิศ: ทีมลาบตาลตะวัน
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1: ทีมเสน่ห์ลาบ
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมแจ๊คคาราบาว
  • รางวัลลาบลีลา: ทีมดาขันข้าว
  • รางวัลชมเชย: ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย)
  • รางวัลประกาศนียบัตร: ทีมป้อหลวงตั้ม, ทีมลาบลุงพันธ์, ทีมลาบไว้ลาย, ทีมลาบป่าบงหลวง และทีมลาบโสภี

วัตถุประสงค์และความสำคัญของงาน

การจัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของล้านนา โดยเฉพาะเมนูลาบที่มีความเป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ยังเป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมอันดีงามให้คงอยู่สืบไป รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวในพื้นที่ นอกพื้นที่ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เข้ามาร่วมสัมผัสประสบการณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยทีมงานนักวิชาการวัฒนธรรม ได้แก่ นายสุพจน์ ทนทาน, นายอภิชาต กันธิยะเขียว และนางสาวสุทธิดา ตราชื่นต้อง ได้เข้าร่วมงานเพื่อสนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้าน และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาสุขภาพของชุมชน

วัฒนธรรมการกินดิบ ความนิยมที่แพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมการบริโภคอาหารดิบ โดยเฉพาะเมนูลาบดิบ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่วัยรุ่น ซึ่งมองว่าการกินดิบเป็นทั้งประสบการณ์ที่แปลกใหม่และเป็นการเชื่อมโยงกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมของล้านนา ความเผ็ดร้อนและรสชาติที่เข้มข้นของลาบดิบ รวมถึงความรู้สึกถึงความดั้งเดิม ทำให้เมนูนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นบ้าน

อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารดิบอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ หรือการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซาลโมเนลลา และอีโคไล ซึ่งพบได้บ่อยในเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการปรุงสุก ดังนั้น การรักษาความสวยงามของวัฒนธรรมการทำลาบพื้นบ้านไว้ โดยปรับเปลี่ยนให้ปลายทางเป็นเมนูที่ปรุงสุก จึงเป็นทางเลือกที่สามารถคงเอกลักษณ์ของรสชาติและวิธีการปรุงแบบดั้งเดิมไว้ได้ พร้อมทั้งยกระดับความปลอดภัยด้านสุขภาพในเวลาเดียวกัน

กิ๋นสุก เป๋นสุข” ชวนเปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุก อร่อยและปลอดภัย

ภายในงานนี้ยังมีการรณรงค์แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชิญชวนให้ประชาชนหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร จากเมนูดิบสู่เมนูที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านไว้ แคมเปญนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อห้ามการกินดิบโดยสิ้นเชิง แต่เน้นให้ทุกคนลองลดการบริโภคอาหารดิบ และทดลองนำเมนูดิบที่คุ้นเคยมาปรุงให้สุก เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ตัวอย่างเช่น ลาบดิบที่ปกติใช้เนื้อดิบเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถปรับเป็นลาบสุกโดยนำเนื้อไปย่างหรือต้มให้สุกก่อน แล้วปรุงรสด้วยเครื่องเทศตามสูตรดั้งเดิม ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านและกลิ่นหอมของสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงความสวยงามของวัฒนธรรมการปรุงอาหารล้านนาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่า การกินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบไป การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสมสามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนคุณค่าทางโภชนาการหรือความอร่อยของเมนูพื้นบ้าน เมนูอย่างแหนมหมกไข่ หรือก้อยดิบ ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเมนูสุกได้ เช่น การนึ่งหรืออบ ซึ่งยังคงรสชาติที่เข้มข้นและถูกปากคนไทยไว้เช่นเดิม

“เราต้องการให้ทุกคนเห็นว่าการกินอาหารสุกเป็นเรื่องง่าย และยังคงความอร่อยแบบที่คุ้นเคยไว้ได้ แคมเปญนี้จะช่วยจุดประกายให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจสุขภาพ โดยไม่ต้องละทิ้งวัฒนธรรมการกินที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา” ตัวแทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายกล่าว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2567 พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงทั่วประเทศกว่า 800,000 ราย โดยส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก นอกจากนี้ โรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งพบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้ป่วยสะสมกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศ (ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, รายงานสถานการณ์โรคประจำปี 2567)

รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยทั่วโลกกว่า 600 ล้านรายต่อปี โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มีผู้ป่วยจากอาหารไม่ปลอดภัยถึง 150 ล้านรายต่อปี (ที่มา: WHO, Food Safety Factsheet, 2020)

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป็นสุข” จึงเป็นแนวทางที่ผสานทั้งการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการส่งเสริมสุขภาพอย่างลงตัว เพื่อให้คนไทยทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นที่เริ่มหันมาสนใจอาหารพื้นบ้าน ได้รับประโยชน์ทั้งจากรสชาติที่คุ้นเคยและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

กิ๋นสุก เป๋นสุข : “กาดละอ่อนเชียงราย” แข่งลาบเมือง สุกอร่อย สไตล์ล้านนา

ลาบเมืองชิงแชมป์รสเด็ด! กินสุกก็อร่อย ปลอดภัย สไตล์ล้านนา

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 – การแข่งขัน “ลาบเมือง” ศิลปะแห่งรสชาติล้านนา ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.), สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย, ศูนย์เยาวชนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และเชียงรายเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ จัดงาน “กาดละอ่อนเชียงราย” พร้อมจัดการแข่งขัน “ลาบเมือง – ส้มตำลีลา” ศิลปะแห่งรสชาติล้านนา เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย โดยงานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-2 เมษายน 2568 ณ ชั้น G โซนทางเชื่อมจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

การแข่งขันครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การแข่งขันลาบเมือง และส้มตำลีลา โดยมีรางวัลที่น่าสนใจ ได้แก่ โล่รางวัล, มีดทองคำ, ครกทองคำ, เกียรติบัตร และเงินรางวัล เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปได้แสดงความสามารถด้านการปรุงอาหารพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์ของล้านนา การแข่งขันลาบเมืองแบ่งเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นอายุไม่เกิน 25 ปี และรุ่นอายุ 25 ปีขึ้นไป

โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมและอาหารตัดสินผลงานอย่างเป็นธรรม ดังรายนามต่อไปนี้:

  1. คุณฐิติวัชร ไลสรรพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำนักงานการศึกษา อบจ. เชียงราย
  2. คุณอดิศักดิ์ เทพวงค์ ประธานสภาเยาวชน อบจ. เชียงราย
  3. คุณสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  4. คุณพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  5. คุณโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

งานนี้ได้รับเกียรติจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. เชียงราย พร้อมด้วยนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ., นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ., และนางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ. ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดและมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการแข่งขัน

ผลการแข่งขัน: ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ในรสชาติล้านนา

ผลการแข่งขันในรุ่นอายุไม่เกิน 25 ปี มีดังนี้:

  • รางวัลชนะเลิศ: ทีมลาบ 65
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1: ทีมตำลาบห้าดาว
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมสล่าเริงปอย

ผลการแข่งขันในรุ่นอายุ 25 ปีขึ้นไป มีดังนี้:

  • รางวัลชนะเลิศ: ทีมลาบเฒ่าลีลา
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1: ทีมลาบลุงเป็ง ฝั่งหมิ่น
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมลาบเริงปอย
  • รางวัลชมเชย: ทีมไส้อั่วแม่อุ้ยเขียว และทีมดาขันข้าว

การแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเวทีแสดงฝีมือการปรุงอาหาร แต่ยังเป็นการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมการทำอาหารพื้นบ้านของล้านนาให้คงอยู่ต่อไป รวมถึงสร้างความรักและความสามัคคีในชุมชนผ่านกิจกรรมที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้

กิ๋นสุก เป๋นสุข”: ชวนเปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุก อร่อยและปลอดภัย

นอกเหนือจากการแข่งขันแล้ว งานนี้ยังร่วมรณรงค์แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก เพื่อสุขภาพที่ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของอาหารพื้นบ้านล้านนาที่บางเมนู เช่น ลาบดิบ หรือแหนมหมกไข่ มักนิยมรับประทานแบบดิบ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพหากไม่มีการควบคุมความสะอาดอย่างเหมาะสม

แคมเปญนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก ซึ่งพบได้บ่อยในหลายภูมิภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือที่เมนูลาบดิบเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย แม้ว่าจะมีรสชาติที่ถูกปากและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกิน แต่เมนูเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น พยาธิ แบคทีเรีย และไวรัส ซึ่งอาจนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคพยาธิใบไม้ในตับ หรือแม้แต่โรคติดเชื้อรุนแรง

“กิ๋นสุก เป๋นสุข” ไม่ได้ห้ามการรับประทานอาหารดิบโดยสิ้นเชิง แต่ต้องการชวนให้ทุกคนลองปรับเปลี่ยนเมนูดิบที่คุ้นเคยมาปรุงให้สุก เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยยังคงรักษารสชาติที่อร่อยและเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านไว้ได้ แคมเปญนี้เน้นแนวคิด “สุกก็อร่อยได้” เพื่อให้ทุกครัวเรือนได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยและดีต่อร่างกาย

ความเสี่ยงจากอาหารดิบและประโยชน์ของอาหารสุก

ข้อมูลจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุกเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยในประเทศไทย โดยเฉพาะเมนูที่ทำจากเนื้อสัตว์ดิบ ปลาน้ำจืดดิบ หรือผักหมักที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม โรคที่พบได้บ่อยจากการบริโภคอาหารเหล่านี้ เช่น โรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งพบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และโรคอุจจาระร่วงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซาลโมเนลลา และอีโคไล

ในทางกลับกัน การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสมสามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนคุณค่าทางโภชนาการหรือรสชาติของอาหาร การเปลี่ยนมาใช้เมนูสุกจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคภัย และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ยังเน้นย้ำว่า การกินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่จำเป็นต้องเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบไป ตัวอย่างเช่น ลาบดิบที่ปกติใช้เนื้อดิบเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถปรับเปลี่ยนเป็นลาบสุกโดยการนำเนื้อไปปรุงให้สุกก่อน แล้วปรุงรสตามสูตรดั้งเดิม ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านและกลิ่นหอมของเครื่องเทศไว้ได้อย่างครบถ้วน หรือแหนมหมกไข่ที่สามารถอบหรือนึ่งให้สุก ก็ยังคงความอร่อยแบบดั้งเดิมได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย

“เราต้องการให้ทุกคนเห็นว่าการกินอาหารสุกเป็นเรื่องง่าย และยังคงรักษาความอร่อยที่คุ้นเคยไว้ได้ แคมเปญนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการลดความเสี่ยงจากโรคภัย และส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทยทุกคน” ผู้แทนจากกรมอนามัยกล่าว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี 2567 มีผู้ป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงทั่วประเทศกว่า 800,000 ราย และมีผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับสะสมกว่า 6 ล้านคน โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก (ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, รายงานสถานการณ์โรคประจำปี 2567)

นอกจากนี้ รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยทั่วโลกกว่า 600 ล้านรายต่อปี และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มีผู้ป่วยจากอาหารไม่ปลอดภัยถึง 150 ล้านรายต่อปี (ที่มา: WHO, Food Safety Factsheet, 2020)

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของคนไทย ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

อนันตราเปิดเต็นท์หรู สัมผัสธรรมชาติสามเหลี่ยมทองคำ

อนันตราเปิดตัว The Mekong Explorer Tent เต็นท์แคมป์ลักชัวรี่ใจกลางธรรมชาติสามเหลี่ยมทองคำ

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท จังหวัดเชียงราย เปิดตัวเต็นท์แคมป์สุดหรูแห่งใหม่ “The Mekong Explorer Tent” อย่างเป็นทางการ ถือเป็นหนึ่งในที่พักแบบเต็นท์ที่หรูหราที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงสุดของรีสอร์ท บนพื้นที่กว่า 16 ไร่ โอบล้อมด้วยป่าไผ่อันเขียวขจี มองเห็นแม่น้ำโขงและทิวทัศน์ของสามประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว และเมียนมาร์ ได้อย่างชัดเจนแบบพาโนรามา

เต็นท์สุดหรูสไตล์โคโลเนียลผสานล้านนา

The Mekong Explorer Tent ได้รับแรงบันดาลใจจากนักสำรวจในอดีต ผสานศิลปะตะวันตกแบบโคโลเนียลกับความงามแบบล้านนา ห้องพักออกแบบอย่างประณีตด้วยวัสดุไม้สีเข้ม หนังแท้ และผ้าไหมจิม ทอมป์สัน เพิ่มความหรูหรา กลมกลืนกับธรรมชาติอย่างลงตัว

ภายในประกอบด้วย 2 ห้องนอนขนาดใหญ่ เตียงคิงไซส์ พร้อมห้องน้ำในตัวและอ่างอาบน้ำกลางแจ้งบนระเบียงส่วนตัวขนาด 22 ตารางเมตร รวมพื้นที่ใช้สอย 75 ตารางเมตรต่อห้อง มีสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาด 3×5 เมตร รองรับผู้ใหญ่สูงสุด 3 ท่าน และเด็ก 1 คน หรือผู้ใหญ่ 2 ท่านกับเด็ก 2 คน

เปิดประสบการณ์การพักผ่อนเหนือระดับ

แพ็คเกจการเข้าพักเริ่มต้นที่ราคา 110,000 บาทต่อคืน ซึ่งรวมบริการพิเศษมากมาย อาทิ

  • บัตเลอร์ส่วนตัว
  • อาหารเช้าสไตล์ In-Tent Dining
  • ดินเนอร์สุดพิเศษแบบ 3 คอร์ส ณ ห้องอาหารแสมสาร
  • อาหารครบ 3 มื้อ พร้อมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไม่จำกัด
  • Sky Bite Adventure ชมทัศนียภาพแม่น้ำโขงและฝูงช้างบนความสูง 40 เมตร
  • เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์หอฝิ่นเพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์สามเหลี่ยมทองคำ
  • ล่องเรือหางยาวบนแม่น้ำโขง

ของที่ระลึกสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น

ในห้องพักมีของที่ระลึกที่สะท้อนวัฒนธรรมและวิถีชุมชนของภาคเหนือ อาทิ

  • ชาสวรรค์บนดิน จากกลุ่มชาวบ้าน
  • ช็อกโกแลตจาก Kad Kokoa จังหวัดเชียงใหม่
  • คุกกี้เนยรูปช้างโฮมเมด
  • ผลิตภัณฑ์เห็ดอบกรอบจากดอยตุง
  • ถุงผ้าทอมือแพรวา อัตลักษณ์ของชนเผ่าภาคเหนือ

ทั้งหมดเลือกใช้วัสดุที่ยั่งยืน สื่อถึงความเอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อมของรีสอร์ท

กิจกรรมหลากหลายเติมเต็มการพักผ่อน

อนันตราสามเหลี่ยมทองคำ ยังมีกิจกรรมมากมายสำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม เช่น

  • Walking with Giants เดินเคียงข้างช้างพร้อมควาญ
  • คลาสเรียนทำอาหารไทย Spice Spoons
  • รับประทานอาหารบนกระเช้าลอยฟ้า Canopy
  • คลาสโยคะ พิลาทิส และแพคเกจสปาทรีตเมนต์ส่วนตัว

เชียงรายยกระดับสู่จุดหมายลักชัวรี่ระดับโลก

การเปิดตัว The Mekong Explorer Tent เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับบนที่มองหาประสบการณ์พิเศษ และมีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ราคาเริ่มต้นการเข้าพัก: 110,000 บาท/คืน (ข้อมูลจาก Anantara Golden Triangle Elephant Camp & Resort)
  • ขนาดห้องพัก: 75 ตารางเมตร/ห้อง พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว
  • จำนวนห้องพักในโครงการ The Mekong Explorer Tent: 1 ยูนิต (เต็นท์แบบ Exclusive)
  • พื้นที่รีสอร์ทโดยรวม: กว่า 16 ไร่ (ข้อมูลจาก อนันตรา เชียงราย)
  • จำนวนกิจกรรมภายในรีสอร์ท: มากกว่า 10 รายการ (ข้อมูล ณ มีนาคม 2568)

Anantara Golden Triangle Unveils The Mekong Explorer Tent: Where Luxury Meets Adventure in the Heart of Northern Thailand

 

Bangkok, 24th February 2025 – Anantara Golden Triangle Elephant Camp & Resort unveils one of Thailand’s most unique and luxurious stays – The Mekong Explorer Tent. The exceptional hillside retreat offers unrivaled panoramic views of Northern Thailand’s breathtaking landscapes, serving as a serene haven for stargazers, nature enthusiasts, and intrepid explorers alike.

Located just 4 km from the iconic Golden Triangle, The Mekong Explorer Tent sits where the borders of Thailand, Laos, and Myanmar converge. Nestled in a 160-acre bamboo forest, the tent offers sweeping views of the verdant jungle, the mighty Mekong River, and the Golden Triangle Asian Elephant Foundation’s 20 rescued elephants roaming below.

The two-bedroom luxury retreat is thoughfully designed with explorers in mind, featuring a tasteful mix of leather, wood, and accents of Jim Thompson fabrics that exude timeless elegance. Handcrafted furniture and locally sourced amenities immerse guests in the region’s rich culture, including locally made, sustainable teas from Sawanabondin, chocolates from Kad Kakao in Northern Thailand, homemade elephant shaped butter cookies, crispy mushrooms in collaboration with DoiTung, and a Praewa cloth bag, traditionally used by hilltribes in the Lanna region. Each spacious bedroom boasts an en-suite bathroom and oversized king-size beds for unparalleled comfort. Outside, two private terraces each feature a 5m x 3m infinity pool and an outdoor bathtub, offering a serene soak amidst nature.

Guests of The Mekong Explorer Tent also enjoy tailored luxuries, including an Explorer’s Arrival via traditional longtail boat, a Sky Bike adventure, full-board gourmet dining, unlimited non-alcoholic beverages, a fully stocked minibar, and access to the Hall of Opium Museum. Additionally, each night’s stay includes a choice of unforgettable activities, such as the Walking with Giants elephant experience, a Spice Spoons cooking class with a local market visit, a 60-minute spa treatment, or a private yoga or Pilates session.

The resort will further elevate its offerings with the introduction of the Mekong Explorer Suites. These suites, inspired by intrepid explorers of the Mekong River, blend Thai Lanna elements with colonial influences. Dark wood paneling, elephant-inspired décor, and antique-style travel trunks evoke a sense of tradition and adventure. Each suite features a balcony with jungle views, a cantilevered Thai daybed, a rain shower, a terrazzo soaking tub, and locally sourced amenities.

The Mekong Explorer Tent is part of the resort’s array of unique luxury accommodations, including the Jungle Bubble and Jungle Bubble Lodge, which offer guests an unforgettable safari-style experience. Guests can dine on a private deck overlooking elephants and enjoy personalized butler service, two bedrooms, and a private plunge pool in these off-the-grid retreats.

 

Anantara Golden Triangle Elephant Camp & Resort is renowned for its commitment to sustainable tourism and wildlife conservation. The resort provides sanctuary for 20 rescued elephants through the Golden Triangle Asian Elephant Foundation, offering guests ethical and educational interactions with these gentle giants. Guests can also enjoy world-class amenities, including luxurious suites, fine dining inspired by the region’s three countries, a rejuvenating spa, and a 30-meter infinity pool overlooking the elephant plains. From birdwatching in the 160-acre bamboo forest to breakfast in the treetops with the Canopy dining experience, every moment at Anantara Golden Triangle is extraordinary. The resort also offers a truly sustainable experience. From the complete elimination of single-use plastic to a reliance on solar power, the resort is also home to its own farm, complete with herb and vegetable gardens, grey Oyster mushroom farm, bee hives, and free-range chickens.

A stay in The Mekong Explorer Tent* starts from $3,800++ per night, including an Explorer’s Arrival, a Sky Bike adventure, full-board gourmet dining, unlimited non-alcoholic beverages, a fully stocked minibar, and access to the Hall of Opium Museum. Additionally, each night’s stay includes a choice of unforgettable activities. For more information and the best available rates, visit anantara.com/en/golden-triangle-chiang-rai, email goldentriangle.ccc@contact.anantara.com, or call +66 53 784 084. For the latest news, follow the resort on Instagram @anantara_goldentriangle

*The Mekong Explorer Tent

  • 2 King Bedrooms 52 sqm with a 22 sqm private balcony, totaling 75 sqm per unit.
  • 2 x oversized king-size beds
  • 2 x bathrooms
  • Outdoor bathtub on the deck for a serene soak amidst nature
  • Private swimming pool measuring L4.8m x W3.15m.
  • Maximum 3 adults & 1 child or 2 adults & 2 children

**The Golden Triangle Luxury Explorer Package includes return luxury airport transfers, full board dining, inclusive of breakfast, lunch and dinner, as well as in-room dining, unlimited non-alcoholic beverages, in-room minibar and admission to the Hall of Opium Museum. Every guest also receives one unforgettable activity for every night stayed including an elephant experience, Spice Spoons cooking class, a 60-minute spa treatment or a 60-minute private yoga or Pilates class.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • อนันตราสามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท – www.anantara.com

  • ข้อมูลรีวิวจาก TripAdvisor และ Booking.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ล่องแพแม่น้ำคำ เชียงราย พัฒนาท่องเที่ยว สร้างรายได้ชุมชน

อบจ.เชียงราย ร่วมขับเคลื่อนการท่องเที่ยว “ล่องแพลำน้ำคำ” ตำบลแม่ฟ้าหลวง ยกระดับแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่น สร้างรายได้ชุมชน

ผนึกกำลังทุกภาคส่วน เปิดเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติ พายเรือเก็บขยะ ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยการนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.เชียงราย เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวตำบลแม่ฟ้าหลวง ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ณ ลำน้ำคำ บ้านสามัคคีใหม่ หมู่ที่ 13 ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเชียงราย (อพท.เชียงราย) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ เพื่อเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ “ล่องแพลำน้ำคำ” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนให้เป็นที่รู้จัก กระตุ้นการท่องเที่ยวในเขตภาคเหนือ และยกระดับรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

เปิดเส้นทาง “ลำน้ำคำ” เส้นเลือดธรรมชาติ เชื่อมชุมชนสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ

กิจกรรมหลักภายในงาน ได้แก่ การล่องแพสำรวจเส้นทางธรรมชาติของลำน้ำคำ ซึ่งถือเป็นแหล่งน้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านชุมชนบ้านสามัคคีใหม่ บรรยากาศโดยรอบยังคงอุดมด้วยธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ ภูเขา และวิถีชีวิตพื้นบ้านที่เรียบง่ายและมีเสน่ห์ นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมพายเรือคายัคเก็บขยะในลำน้ำ เพื่อรณรงค์ให้เกิดความตระหนักในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและแหล่งน้ำในพื้นที่

หนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวและประชาชนที่มาร่วมงาน คือการ “สร้างฝ่ายเบี่ยงทางน้ำ” เพื่อควบคุมระดับน้ำให้เหมาะสมต่อการล่องแพในช่วงฤดูแล้ง อีกทั้งยังเป็นการป้องกันตลิ่งพังและช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศของลำน้ำในระยะยาว

ย้ำการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ต้องควบคู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.เชียงราย เปิดเผยว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยไม่ละเลยประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน โดยโครงการในลักษณะนี้จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชนในพื้นที่

“เราต้องการให้ชุมชนสามารถใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นสร้างรายได้ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เพราะความงดงามของธรรมชาติ คือหัวใจของการท่องเที่ยวเชียงราย” นายรามิลกล่าว

ด้านผู้แทนจากสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ระบุว่า เส้นทาง “ล่องแพลำน้ำคำ” เป็นหนึ่งในแผนพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบ “Eco Tourism” หรือการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชน และการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้คงอยู่ในระยะยาว

เสียงจากคนในพื้นที่ – การท่องเที่ยวช่วยฟื้นเศรษฐกิจชุมชน

นางสาคร สมบุญ อายุ 54 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 13 ตำบลแม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า หลังจากที่มีโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ รายได้ของครอบครัวเพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าแปรรูป เช่น กล้วยตาก ผ้าทอพื้นเมือง และอาหารท้องถิ่น ซึ่งนักท่องเที่ยวให้ความสนใจอย่างมาก

“เมื่อก่อนลำน้ำคำแทบไม่มีใครรู้จัก แต่ตอนนี้คนเริ่มมาเที่ยวมากขึ้น ชาวบ้านก็ได้มีโอกาสขายของ บางคนก็เอาเรือมาพายให้บริการล่องแพ เป็นรายได้เสริมที่สำคัญมากในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้” นางสาครกล่าว

ในขณะเดียวกัน นายสุริยา แก้วคำ ผู้ใหญ่บ้านบ้านสามัคคีใหม่ กล่าวว่า การที่หน่วยงานภาครัฐเข้ามาสนับสนุนทำให้ชาวบ้านมีความเชื่อมั่นและพร้อมจะร่วมมือในการพัฒนาชุมชนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวอยากกลับมาอีกครั้ง

มุมมองจากนักอนุรักษ์ – ควรติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าการส่งเสริมการท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่นักสิ่งแวดล้อมบางรายให้ความเห็นว่า จำเป็นต้องมีการติดตามผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องความสมดุลของระบบนิเวศในลำน้ำคำ การสร้างฝ่ายเบี่ยงน้ำและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแหล่งน้ำ ควรมีการศึกษาและวางแผนร่วมกับนักวิชาการด้านทรัพยากรธรรมชาติเพื่อป้องกันผลกระทบในระยะยาว

ทัศนคติอย่างเป็นกลาง – ข้อดีควบคู่กับความระมัดระวัง

ในภาพรวม โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวลำน้ำคำของตำบลแม่ฟ้าหลวงนับเป็นตัวอย่างของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่สามารถสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ห่างไกล แต่ในขณะเดียวกันต้องมีการวางระบบการจัดการแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน ควบคู่กับมาตรการอนุรักษ์และการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและขยายรูปแบบการท่องเที่ยวลักษณะเดียวกันไปยังพื้นที่อื่นของจังหวัด เพื่อให้ประชาชนในแต่ละชุมชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าเยี่ยมชมพื้นที่แม่ฟ้าหลวง ปี 2567: ประมาณ 85,000 คน (สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย)
  • รายได้เฉลี่ยจากการขายสินค้าชุมชนต่อครัวเรือน/เดือน ในพื้นที่ตำบลแม่ฟ้าหลวง: 4,500 บาท (จากการสำรวจโดย อพท.เชียงราย)
  • จำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมกิจกรรมล่องแพและพายเรือเก็บขยะ: 37 ครัวเรือน
  • พื้นที่ลำน้ำคำที่ใช้ในการจัดกิจกรรม: ประมาณ 3.5 กิโลเมตร
  • งบประมาณที่ใช้ในกิจกรรม “ล่องแพลำน้ำคำ” ครั้งนี้: 350,000 บาท (จาก อบจ.เชียงราย และการสนับสนุนร่วมจากภาคีเครือข่าย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.เชียงราย)
  • ข้อมูลภาคประชาชนจากบ้านสามัคคีใหม่ ตำบลแม่ฟ้าหลวง
  • รายงานผลกิจกรรม “ล่องแพลำน้ำคำ” ประจำปีงบประมาณ 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

MFU Coffee Fest 2025 ยกระดับกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน

มฟล. จัดงาน MFU Coffee Fest 2025 ดันอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงเกษตร-ธุรกิจ-นวัตกรรม

เชียงราย, 22 มีนาคม 2568 – มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยส่วนจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม สถาบันวิจัยและนวัตกรรม จัดงาน “MFU Coffee Fest 2025” อย่างคึกคัก ณ โรงแรมแสนโฮเทล จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมการแปรรูปกาแฟอะราบิกาและยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงานราชการและภาคเอกชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-23 มีนาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชกาแฟอะราบิกาผ่านการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิชาการ นวัตกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมการแปรรูปกาแฟในระดับชุมชนให้มีศักยภาพในระดับประเทศและสากล

ภาคเหนือ: หัวใจของกาแฟอะราบิกาไทย

จากข้อมูลของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งครอบคลุมจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และแม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่เพาะปลูกกาแฟอะราบิกาที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย โดยในปี 2567 ประเทศไทยมีผลผลิตกาแฟอะราบิการวมประมาณ 9,000 ตัน และกว่า 3,000 ตันมาจากกลุ่มจังหวัดในภาคเหนือตอนบนนี้

นายชรินทร์กล่าวว่า “การพัฒนากาแฟไทยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย เกษตรกร และภาคธุรกิจ โดยการใช้องค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาจะช่วยยกระดับคุณภาพกาแฟให้ตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

กิจกรรมวิชาการเข้มข้น เสริมทักษะผู้ประกอบการ-นักวิจัย

ภายในงาน MFU Coffee Fest 2025 มีกิจกรรมทางวิชาการที่หลากหลาย เช่น การประชุมวิชาการเรื่อง “ทิศทางการวิจัยกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน” การเสวนาในหัวข้อสำคัญ เช่น การจัดการสวนกาแฟภายใต้ภาวะโลกร้อน การใช้วัสดุเหลือใช้จากกระบวนการแปรรูป และการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากกาแฟเพื่อเพิ่มมูลค่า

อีกทั้งยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้มีส่วนร่วม เช่น การผสมน้ำหอมจากกลิ่นกาแฟ การทำเทียนหอม และบอดี้ออยล์จากสารสกัดกาแฟ รวมถึงคราฟต์โซดาจากเปลือกเชอร์รี่กาแฟ ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดการใช้วัตถุดิบอย่างครบวงจร ลดของเสีย เพิ่มมูลค่าอย่างสร้างสรรค์

เวทีแข่งขันสร้างความตื่นตัว “MFU ท้าชงชวนดริป”

สำหรับผู้ชื่นชอบการชงกาแฟ งานนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษอย่างการแข่งขันดริปกาแฟ “MFU ท้าชงชวนดริป 2025” ที่เปิดโอกาสให้นักชงกาแฟทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพได้ประชันฝีมือและสร้างชื่อเสียง พร้อมกับกิจกรรม Sensory Test และ Cupping Lab ที่เปิดให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์วิเคราะห์รสชาติและกลิ่นของกาแฟสายพันธุ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด

Coffee Connect เวทีจับคู่ธุรกิจเชื่อมโยงตลาด-เกษตรกร

อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานคือกิจกรรม Coffee Connect ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการกาแฟ โกโก้ และชา ได้พบปะ เจรจาธุรกิจ และสร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและผู้ประกอบการจากต่างประเทศ โดยเน้นการสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์และการต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่ตลาดสากล

ตลอดสองวันของการจัดงาน มีผู้ประกอบการกว่า 40 รายจากทั่วประเทศมาออกร้านแสดงสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกาแฟคั่วบด เมล็ดกาแฟสด ผลิตภัณฑ์แปรรูป รวมถึงอุปกรณ์การชงกาแฟและสินค้าจากวัตถุดิบท้องถิ่นในภาคเหนือ

มุมมองจากทั้งสองฝ่าย: โอกาส-ความท้าทายของกาแฟไทย

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเวทีให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการกาแฟได้แสดงศักยภาพของตน ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าและการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อก้าวสู่ตลาดที่มีการแข่งขันสูง อีกทั้งการส่งเสริมให้ปลูกกาแฟใต้ร่มเงาไม้ยังช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดการเผาป่า และเป็นเกษตรกรรมเชิงอนุรักษ์ที่ยั่งยืน

ในอีกด้านหนึ่ง นักวิชาการบางรายมีความเห็นว่า แม้การสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยจะช่วยสร้างนวัตกรรม แต่เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากยังขาดเครื่องมือและทุนในการเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าว อีกทั้งตลาดกาแฟในประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาราคาผันผวน และความท้าทายในการเจาะตลาดต่างประเทศ ซึ่งต้องการมาตรฐานและคุณภาพระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ผลผลิตกาแฟอะราบิกาทั่วประเทศ ปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 9,000 ตัน
    (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2567)
  • พื้นที่เพาะปลูกกาแฟภาคเหนือตอนบน 2 คิดเป็นสัดส่วนกว่า 35% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั้งประเทศ
    (ที่มา: กรมส่งเสริมการเกษตร, 2567)
  • แนวโน้มการบริโภคกาแฟในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 5-7% ต่อปี
    (ที่มา: ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, 2567)
  • การปลูกกาแฟใต้ร่มไม้สามารถช่วยลดการเผาป่าได้ถึง 60% และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ปลูก
    (ที่มา: สำนักวิจัยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมป่าไม้, 2566)
  • ประเทศไทยมีผู้ประกอบการกาแฟรายย่อยกว่า 10,000 ราย ทั่วประเทศ
    (ที่มา: สมาคมกาแฟพิเศษไทย, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • สำนักวิจัยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมป่าไม้
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News