Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารบกตรวจแม่สาย คืบหน้าป้องกันน้ำหลาก ดินโคลน

เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารบกลงพื้นที่แม่สาย ติดตามแผนฟื้นฟูแหล่งน้ำชายแดนแม่สาย ปี 2568

เร่งฟื้นฟูแหล่งน้ำ-เสริมแนวป้องกันตลิ่งแม่น้ำสาย เพิ่มความมั่นคงปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนไทย–เมียนมา

เชียงราย, 17 เมษายน 2568 – ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เวลา 08.00 น. พลโท จินตมัย ชีกว้าง เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารบก เดินทางลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนปรับปรุงและฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่สาย ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญด้านความมั่นคงและการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในเขตชายแดน โดยมีพลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ให้การต้อนรับและร่วมติดตามภารกิจอย่างใกล้ชิด

ตรวจเยี่ยมจุดผ่านแดนถาวรแม่น้ำสายแห่งที่ 1 แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก จุดยุทธศาสตร์สำคัญของชาติ

หลังเดินทางถึงจังหวัดเชียงราย คณะได้ลงพื้นที่บริเวณสะพานข้ามจุดผ่านแดนถาวรแห่งที่ 1 ข้ามแม่น้ำสาย ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อเยี่ยมชมพื้นที่ก่อสร้างโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่สาย ซึ่งมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้เป็นจุดเชื่อมโยงชายแดนไทย–เมียนมา ที่มีการสัญจรของประชาชนและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศจำนวนมาก

คณะได้รับการต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ได้แก่ ปลัดอำเภอแม่สาย, หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก, กองกำลังผาเมือง และเจ้าหน้าที่จากกรมการทหารช่าง โดยได้จัดเวทีสรุปสถานการณ์และรายงานความคืบหน้าโครงการให้แก่ผู้แทนส่วนกลาง

กรมการทหารช่างเผยแนวทางฟื้นฟูแบบบูรณาการ เสริมความแข็งแรงแนวป้องกันชายแดน

พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง ได้ชี้แจงถึงรายละเอียดโครงการปรับปรุงและฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่สาย ประจำปีงบประมาณ 2568 ว่า เป็นการดำเนินงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความสามารถในการป้องกันภัยจากน้ำหลากและดินโคลนถล่มในพื้นที่เสี่ยงของอำเภอแม่สาย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ระดับน้ำในแม่น้ำสายมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การดำเนินการในเฟสปัจจุบันประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่

  1. การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำใหม่ ซึ่งใช้เทคโนโลยีเสริมโครงสร้างด้วยวัสดุธรรมชาติและโครงเหล็ก
  2. การเสริมแนวป้องกันเดิมให้มั่นคงยิ่งขึ้น โดยเน้นจุดที่เคยเกิดการพังทลายหรือทรุดตัวในปีที่ผ่านมา
  3. การออกแบบร่วมกับชุมชน โดยปรับให้แนวป้องกันสอดรับกับอาคาร บ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้างดั้งเดิม เพื่อไม่รบกวนวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ทั้งนี้ การดำเนินงานได้รับการประสานจากหลายหน่วยงานภาครัฐและชุมชน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การฟื้นฟูแหล่งน้ำ = เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงชายแดน

พลโท จินตมัย ชีกว้าง กล่าวในระหว่างการเยี่ยมพื้นที่ว่า การฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่สายเป็นภารกิจสำคัญที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงของประเทศโดยตรง เนื่องจากอำเภอแม่สายเป็นพื้นที่การค้าชายแดนที่มีมูลค่าการค้ากับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมากว่าหลายพันล้านบาทต่อปี หากปล่อยให้แหล่งน้ำเสื่อมโทรม หรือเกิดภัยธรรมชาติกะทันหัน อาจส่งผลต่อระบบโลจิสติกส์และความปลอดภัยของประชาชนได้โดยตรง

“การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำในพื้นที่ชายแดน ไม่ใช่เพียงเรื่องของการป้องกันน้ำหลาก แต่ยังเป็นการวางรากฐานความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม” พลโทจินตมัยกล่าว

ฟื้นฟูแหล่งน้ำชายแดน ความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์

เมื่อพิจารณาจากสภาพพื้นที่ชายแดนภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์เชื่อมโยงจีน–ลาว–เมียนมา ภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เช่น น้ำหลากหรือดินโคลนถล่ม จึงไม่ใช่เพียงปัญหาท้องถิ่น แต่คือความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำแม่สายจึงถือเป็นหนึ่งในกลไกเชิงยุทธศาสตร์ของกองทัพไทย ที่ใช้ทรัพยากรทางวิศวกรรมทหารควบคู่กับความร่วมมือของประชาชน เพื่อเปลี่ยนจาก “จุดอ่อนทางธรรมชาติ” ให้กลายเป็น “ปราการความมั่นคง” ที่ยั่งยืน

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • จากข้อมูลของ กรมอุตุนิยมวิทยา ช่วงฤดูฝนปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีฝนตกเฉลี่ยมากกว่า 1,800 มม./ปี เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยเดิม 12%
  • รายงานของ กรมโยธาธิการและผังเมือง ปี 2566 ระบุว่า พื้นที่อำเภอแม่สาย มีแนวตลิ่งพังจากน้ำกัดเซาะกว่า 2.1 กม. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • สำนักงาน ด่านศุลกากรแม่สาย รายงานว่าปี 2567 มูลค่าการค้าชายแดนไทย–เมียนมาผ่านแม่สายสูงถึง 17,500 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา (www.tmd.go.th)
  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (www.dpt.go.th)
  • กรมศุลกากร (www.customs.go.th)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สงกรานต์อุ่นใจ เชียงรายคุมเข้มรถโดยสาร พนักงานพร้อม

เชียงรายตรวจเข้มรถโดยสารเทศกาลสงกรานต์ ย้ำมาตรการเข้มความปลอดภัยผู้โดยสาร

รองผู้ว่าฯ นำคณะตรวจเยี่ยมสถานีขนส่ง สร้างความมั่นใจประชาชนช่วงเดินทางกลับบ้าน

เชียงราย, 16 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเพิ่มความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเมื่อเวลา 18.00 น. นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกตรวจเยี่ยมสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงรายแห่งที่ 2 เพื่อติดตามมาตรการควบคุมความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะและพนักงานขับรถ พร้อมให้คำแนะนำแก่ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา

ลงพื้นที่ตรวจเข้มทุกขั้นตอน สร้างความมั่นใจแก่ผู้โดยสาร

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ มีหน่วยงานสำคัญร่วมปฏิบัติงานอย่างพร้อมเพรียง ได้แก่

  • สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงราย โดย นางสุภมาศ ลีลารักษ์กุล ขนส่งจังหวัด
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดย นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย โดย นายเสริฐ ไชยานันตา
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย โดย นายครรชิต ชมภูแดง
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย โดย นางสาวนันทวรรณ กันคำ

ทุกหน่วยงานร่วมกันตรวจสอบและดูแลมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างใกล้ชิดในทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสภาพรถ พนักงานขับรถ หรือความพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน

GPS – วัดแอลกอฮอล์ – ตรวจสารเสพติด ดำเนินการครบวงจร

ในการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ คณะเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบความเร็วของรถโดยสารผ่านระบบ GPS ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์กับศูนย์ควบคุมของกรมการขนส่งทางบก เพื่อป้องกันการใช้ความเร็วเกินกำหนด พร้อมตรวจสอบใบอนุญาตขับขี่ สมุดประจำรถ และตรวจวัดแอลกอฮอล์ของพนักงานขับรถทุกคน

นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะโดยเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ส. ภาค 5 เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ขับขี่ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของยาเสพติดออกเดินทาง

ตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะ ครอบคลุมทุกระบบเพื่อความปลอดภัย

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ได้ตรวจสอบระบบความปลอดภัยของรถโดยสารโดยละเอียด ทั้งในด้าน

  • ระบบไฟส่องสว่าง
  • สภาพยางรถ
  • ถังดับเพลิง
  • ค้อนทุบกระจก
  • ประตูทางออกฉุกเฉิน
  • เข็มขัดนิรภัย
  • กล้องวงจรปิดภายในรถ

นอกจากนี้ ยังได้ให้คำแนะนำกับผู้โดยสารโดยตรง เพื่อเน้นย้ำให้สวมเข็มขัดนิรภัยขณะโดยสาร และสังเกตความผิดปกติของพนักงานขับรถ หากพบสามารถแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทันที

แจกของที่ระลึก – ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ด่านหน้า

เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งมิตรภาพและความปลอดภัย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ ยังได้มอบของที่ระลึกให้กับประชาชนที่ใช้บริการรถโดยสาร พร้อมกล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำสถานีขนส่ง ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเทศกาล ที่ต้องทำงานต่อเนื่องอย่างเหน็ดเหนื่อย โดยขอบคุณในความเสียสละ และย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเน้นความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ

แนวทางยกระดับมาตรการความปลอดภัยหลังเทศกาล

จากการประเมินสถานการณ์เดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จังหวัดเชียงรายมีจำนวนผู้โดยสารเข้า-ออกสถานีขนส่งเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละกว่า 4,000 คน ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการวางแผนรองรับในระยะยาว โดยที่ประชุมระดับจังหวัดเตรียมยกระดับการบริหารจัดการจราจรและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องในช่วงเทศกาลปีใหม่ และวันหยุดสำคัญอื่น ๆ

มาตรการที่กำลังผลักดัน ได้แก่

  • การติดตั้งกล้อง CCTV เพิ่มเติมในสถานีและบนรถโดยสาร
  • การอบรมพนักงานขับรถเป็นประจำทุกไตรมาส
  • การประเมินคุณภาพรถทุกคันก่อนเทศกาลใหญ่
  • การขยายความร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่

การตรวจเข้มคือกลไกเชิงรุก ลดอุบัติเหตุได้จริง

ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า การตรวจเข้มและการใช้ระบบติดตามรถผ่าน GPS สามารถช่วยลดอุบัติเหตุจากความประมาทของพนักงานขับรถลงได้ถึง 25% โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่มีปริมาณการเดินทางสูง การดำเนินมาตรการของจังหวัดเชียงรายจึงถือเป็นต้นแบบของการทำงานเชิงป้องกันที่มุ่งเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง และแหล่งอ้างอิง

  • กรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 มีผู้โดยสารใช้บริการรถโดยสารสาธารณะทั่วประเทศมากกว่า 7.2 ล้านคน
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า อุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถโดยสารลดลง 19.4% เมื่อมีการบังคับใช้มาตรการตรวจ GPS และวัดแอลกอฮอล์
  • กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ผู้โดยสารรถสาธารณะที่ไม่สวมเข็มขัดนิรภัยมีความเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าปกติถึง 2.3 เท่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการขนส่งทางบก (www.dlt.go.th)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (www.ddc.moph.go.th)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารเชียงราย เคาะประตูบ้าน ต้านไฟป่า PM2.5

มทบ.37 เดินหน้ากิจกรรม “เคาะประตู สู่ความห่วงใย” รณรงค์ลดหมอกควัน PM2.5 เชียงแสน

กองทัพภาคที่ 3 ผสานพลังจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ลงพื้นที่หมู่บ้านแนวชายแดนจังหวัดเชียงราย ย้ำความร่วมมือทุกภาคส่วนในการหยุดเผา ลดปัญหาฝุ่นพิษ

ประเทศไทย, 16 เมษายน 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 โดยกำลังพลจิตอาสาพระราชทานภายใต้โครงการ “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ลงพื้นที่จัดกิจกรรม “เคาะประตู สู่ความห่วงใย ใส่ใจสุขภาพประชาชน” ณ บ้านปงของ หมู่ 5 บ้านปงของเหนือ หมู่ 10 และบ้านธารทอง หมู่ 11 ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ตามนโยบายของจังหวัดเชียงราย ที่ได้ประกาศมาตรการ “92 วันปลอดการเผา” ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 อย่างเข้มข้น

ร้อยตรี ณัฐพลพล บุญทับ นำจิตอาสาลงพื้นที่

การปฏิบัติงานครั้งนี้ นำโดย ร้อยตรี ณัฐพลพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานการคุ้มครองป้องกันชุมชน สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมด้วยกำลังพลจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ของมณฑลทหารบกที่ 37 ซึ่งได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการลงพื้นที่พบปะประชาชนอย่างใกล้ชิด ให้คำแนะนำ สร้างความเข้าใจ และแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันสุขภาพในห้วงสถานการณ์ฝุ่นควัน

สร้างการรับรู้ หยุดไฟ หยุดควัน อย่างยั่งยืน

กิจกรรมในครั้งนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมพฤติกรรมเชิงบวก และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ปัญหาเชิงรุก โดยเฉพาะเรื่องการหลีกเลี่ยงการเผาในที่โล่งทุกชนิด และการลดการก่อให้เกิดเชื้อเพลิงที่อาจลุกลามเป็นไฟป่าในฤดูแล้ง โดยจุดเน้นที่ถ่ายทอดแก่ประชาชนในพื้นที่ ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงการเผาขยะ หญ้าแห้ง ตอซังข้าว กิ่งไม้ หรือวัสดุใด ๆ ที่ติดไฟง่าย
  • สอนแนวทางการทำปุ๋ยหมักจากเศษพืชแทนการเผา
  • ส่งเสริมการแยกขยะอย่างถูกวิธี และการนำวัสดุอินทรีย์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
  • สนับสนุนการทำแนวกันไฟในพื้นที่ล่อแหลมใกล้แนวป่า
  • แนะนำการจัดการเชื้อไฟในพื้นที่การเกษตรอย่างปลอดภัย

แจกหน้ากากอนามัย รับมือ PM2.5 เกินมาตรฐาน

จากการตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่พบว่ามีค่า PM2.5 เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ส่งผลต่อสุขภาพโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง มณฑลทหารบกที่ 37 จึงได้แจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้ประชาชนในพื้นที่ เพื่อใช้ป้องกันตนเองจากฝุ่นละอองขนาดเล็กที่อาจก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้การแจกจ่ายหน้ากากอนามัยได้รับความร่วมมือจากผู้นำชุมชนและอสม.ในพื้นที่อย่างดียิ่ง

ประกาศ 92 วันปลอดการเผา – กลไกขับเคลื่อนสู่การลดฝุ่นควัน

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศ “92 วัน ปลอดการเผาในที่โล่ง” ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เป็นนโยบายสำคัญในช่วงฤดูแล้ง เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าหมายการลดจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ให้ลดลงอย่างน้อย 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ชุมชนคือหัวใจสำคัญของการป้องกันไฟป่า

แม้จะมีมาตรการจากภาครัฐอย่างเข้มข้น การลดปัญหาไฟป่าและหมอกควันจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดความร่วมมือจากประชาชนในระดับรากหญ้า การลงพื้นที่พบประชาชนของจิตอาสาทหารในกิจกรรม “เคาะประตู สู่ความห่วงใย” ครั้งนี้ จึงถือเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมจาก “การเผาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์” ให้กลายเป็น “ความเข้าใจและการมีส่วนร่วม” ได้อย่างแท้จริง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง และแหล่งอ้างอิง

  • ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ (PCD) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายพบจุดความร้อน (Hotspot) เฉลี่ย 1,800 จุดต่อปีในช่วงฤดูแล้ง โดยมากเกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตร
  • จากข้อมูล กรมอนามัย ปี 2566 พบว่า ค่าเฉลี่ย PM2.5 ในภาคเหนือตอนบนในช่วงมีนาคม-เมษายน สูงถึง 55-70 µg/m³ ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 50 µg/m³
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การสัมผัส PM2.5 ต่อเนื่องสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคระบบทางเดินหายใจได้ถึง 20–30%
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เขื่อนแม่สรวยเข้ม เจ้าหน้าที่ตั้งด่าน รวบนักดื่ม 6 ราย เมาไม่ขับจับจริง

แม่สรวยตรวจเข้ม! เมาแล้วขับไม่รอด วันที่ 2 สงกรานต์ 2568 พบผู้กระทำผิด 6 ราย

อำเภอแม่สรวยเดินหน้าเชิงรุก บูรณาการทุกภาคส่วนตั้งด่านตรวจรอบเขื่อน คุมเข้มความปลอดภัยทางถนนในช่วงสงกรานต์

เชียงราย, 12 เมษายน 2568 – เวลา 16.00 น. นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอแม่สรวย ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง นำโดยปลัดอำเภอ พร้อมด้วยสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) บูรณาการร่วมกับสถานีตำรวจภูธรแม่สรวย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่สรวย และกำนันตำบลแม่สรวย จัดตั้งจุดตรวจบริเวณเขื่อนแม่สรวย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่ เพื่อควบคุมการใช้รถใช้ถนนของประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมา

ผลการดำเนินการเข้ม พบผู้กระทำผิดเมาแล้วขับจำนวน 6 ราย

จากการดำเนินการตรวจเข้มในวันที่สองของช่วงควบคุมเข้มสงกรานต์ 2568 เจ้าหน้าที่ได้ตั้งจุดตรวจหลักบริเวณทางเข้าออกเขื่อนแม่สรวย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นในช่วงวันหยุด โดยมีประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาเล่นน้ำที่ “แพเปียก” และกิจกรรมสงกรานต์ริมน้ำ ส่งผลให้การตั้งจุดตรวจต้องมีความเข้มข้นและต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

ผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายผู้ขับขี่ พบผู้กระทำผิดรวมทั้งสิ้น 6 ราย มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทันที โดยนำตัวผู้กระทำผิดส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สรวย เพื่อดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ต่อไป

ดำเนินมาตรการเชิงรุก เพื่อป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยง

การดำเนินการตรวจจับเมาแล้วขับครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในมาตรการเชิงรุกของอำเภอแม่สรวย ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีประชาชนเดินทางเข้าออกจำนวนมาก ทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ใช้รถใช้ถนนตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ เปิดเผยว่า การตรวจเข้มในพื้นที่รอบเขื่อนแม่สรวยไม่เพียงแต่เพื่อบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความจริงจังของภาครัฐในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในช่วงเทศกาลสำคัญ พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกวันตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์

ศูนย์ปฏิบัติการฯ เผยแนวโน้มผู้ฝ่าฝืนยังคงพบต่อเนื่อง จำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมเข้ม

จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนนอำเภอแม่สรวย ระบุว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาของเทศกาลสงกรานต์ มีผู้กระทำผิดในข้อหาเมาแล้วขับเฉพาะในพื้นที่เขื่อนแม่สรวยรวม 9 ราย เฉลี่ยวันละ 4.5 ราย ซึ่งยังถือเป็นตัวเลขที่สูง และบ่งชี้ถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินมาตรการควบคุมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลาหลัง 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนมักเริ่มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้กระทำผิดส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 25–40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มวัยทำงานที่มีอัตราการเดินทางท่องเที่ยวสูงในช่วงเทศกาล โดยมากใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลัก

ผสานความร่วมมือภาครัฐ-ท้องถิ่น-ชุมชน สร้างวินัยจราจรอย่างยั่งยืน

มาตรการที่อำเภอแม่สรวยดำเนินการในครั้งนี้ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการตรวจจับผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่ยังเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และอาสาสมัครในพื้นที่ ซึ่งร่วมมือกันในการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และแจ้งเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

โดยเฉพาะการให้ความรู้ในระดับชุมชนเกี่ยวกับอันตรายของการขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมา การแจกใบปลิวให้ความรู้แก่ผู้มาเที่ยว รวมถึงการใช้เสียงตามสายประกาศเตือนในเขตหมู่บ้านล้อมรอบเขื่อน เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในระดับรากหญ้า

เมาแล้วขับยังเป็นปัญหาเรื้อรัง ต้องบูรณาการหลายมิติ

จากการติดตามข้อมูลและรายงานจากหลายหน่วยงาน พบว่าปัญหาเมาแล้วขับยังคงเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ประชาชนเดินทางและเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้น แม้ว่าจะมีการดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่พฤติกรรมเสี่ยงของบางกลุ่มยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง

การดำเนินการของอำเภอแม่สรวยจึงนับเป็นต้นแบบของการดำเนินงานเชิงรุกในระดับอำเภอ ที่สามารถใช้ศักยภาพของภาครัฐและชุมชนท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างวินัยจราจร และลดสถิติอุบัติเหตุในระยะยาว

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง และแหล่งอ้างอิง

  • รายงานจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั่วประเทศ 264 ราย โดยกว่า 38% ของอุบัติเหตุเกิดจากการดื่มแล้วขับ
  • จากสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี 2567 พบว่า อัตราการจับกุมผู้ขับขี่ที่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่ากฎหมายกำหนดในช่วงสงกรานต์เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 12
  • สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รายงานว่า กลุ่มวัยทำงานอายุ 25–45 ปี เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการดื่มแล้วขับสูงที่สุดในช่วงเทศกาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (www.ddc.moph.go.th)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th)
  • คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (www.alcoholwatch.in.th)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สงกรานต์วันแรก! เชียงรายดับ 1 เจ็บ 8 เมาแล้วขับ

เชียงรายเผยสถิติอุบัติเหตุวันแรกสงกรานต์ 2568 เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 8 ราย

จังหวัดเชียงรายสรุปผลปฏิบัติการเข้ม ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน สั่งเข้มทุกหน่วยงานเดินหน้าควบคุมแอลกอฮอล์

เชียงราย, 12 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมสรุปผลการปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2568 โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่าย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อรายงานผลการดำเนินงานของวันที่ 11 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการควบคุมเข้มข้นด้านความปลอดภัยในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์

สถิติอุบัติเหตุวันแรก 8 เหตุการณ์ บาดเจ็บ 8 ราย เสียชีวิต 1 ราย

จากรายงานของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 พบว่าเกิดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่รวม 8 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 ราย แบ่งเป็นเพศชาย 6 ราย เพศหญิง 2 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย โดยพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่คือรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 7 คัน และรถเพื่อการเกษตร หรือที่เรียกว่า “รถอีแต๊ก” อีก 1 คัน

ช่วงเวลาที่พบการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือระหว่างเวลา 12.00 – 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนเดินทางกลับจากการทำบุญ หรือเริ่มออกเดินทางเพื่อท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ

สาเหตุหลักยังคงเดิม “ดื่มแล้วขับ” และ “ขับเร็วเกินกำหนด”

สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในวันดังกล่าว ยังคงมีลักษณะใกล้เคียงกับทุกปีที่ผ่านมา ได้แก่

  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ยานพาหนะ
  • การขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
  • การตัดหน้ากระชั้นชิด และ
  • ทัศนวิสัยไม่ดีขณะขับขี่

ทั้งนี้ จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินมาตรการในการประชาสัมพันธ์และบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งมักเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุรุนแรง

ตั้งจุดตรวจ 33 จุดหลัก และ 177 ด่านชุมชน ระดมกำลังดูแลทั่วพื้นที่

เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ประชาชน จังหวัดเชียงรายได้จัดตั้งจุดตรวจหลักรวม 33 จุด และตั้งด่านชุมชนกระจายตามพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 177 จุด โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดรวม 1,065 นาย ครอบคลุมถนนสายสำคัญ เส้นทางเข้า-ออกชุมชน และพื้นที่จัดกิจกรรมสงกรานต์

ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายจับกุมผู้ฝ่าฝืนกฎหมายกว่า 1,800 รายในวันเดียว

จากการรายงานของตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในวันที่ 11 เมษายน 2568 มีการดำเนินคดีตามมาตรการ “10 รสขม” (10 ข้อหาหลักที่มักนำไปสู่อุบัติเหตุ) โดยมีการออกใบสั่งจำนวน 1,896 ราย และมีการว่ากล่าวตักเตือนผ่านแอปพลิเคชัน “ขับดี” อีกจำนวน 51 ราย ซึ่งสะท้อนถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงบนท้องถนน

ขนส่งจังหวัดเชียงรายตรวจเข้มรถโดยสารสาธารณะ สร้างความมั่นใจผู้โดยสาร

สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการตรวจสอบสภาพรถโดยสารสาธารณะรวม 390 คัน และตรวจความพร้อมพนักงานขับรถ 406 ราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสารว่าการเดินทางในช่วงเทศกาลจะเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด

เร่งควบคุมแอลกอฮอล์ในชุมชน เน้นป้องกันเชิงรุก

ในที่ประชุม นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเคร่งครัด โดยให้รายงานผลการดำเนินงานต่อที่ประชุมทุกวัน พร้อมกำชับให้ประสานงานกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เพื่อตรวจและประเมินผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง รวมถึงจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนในชุมชนตามแนวทางที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติกำหนด

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน เพื่อส่งเสริมบทบาทของด่านชุมชน และเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง เช่น ถนนใกล้สถานที่จัดงาน หรือตลาดที่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเปิดเผย

เยาวชนคือจุดอ่อนใหม่ของการเกิดอุบัติเหตุ คำสั่งเข้มให้ผู้ปกครองร่วมควบคุม

ที่ประชุมได้หยิบยกประเด็นสำคัญอีกประการคือ พฤติกรรมของเด็กและเยาวชนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนและหลังจากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของอุบัติเหตุที่เพิ่มขึ้นทุกปี จึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครองในการกำชับบุตรหลานให้ใช้งานรถจักรยานยนต์อย่างปลอดภัย และไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ระบุว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเกิดอุบัติเหตุในช่วงสงกรานต์รวม 69 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บ 72 ราย
  • รายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า พฤติกรรม “ดื่มแล้วขับ” เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุกว่า 42% ของทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค ระบุว่า เด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 15 – 24 ปี เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์สูงที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (www.roadsafetythai.org)
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (www.ddc.moph.go.th)
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จับแล้ว! หนุ่มแม่ลาวเผาป่า อ้างหารังผึ้ง พบทั้งปืน ยา

แม่ลาวสนธิกำลังจับผู้ต้องหาเผาป่า พบสารเสพติด-อาวุธปืน พร้อมดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายอำเภอแม่ลาวสั่งการฉับไว หลังได้รับแจ้งเหตุเผาป่าในพื้นที่ป่าสงวน พบผู้ก่อเหตุรับสารภาพ จุดไฟเผาเพื่อเอารังผึ้ง

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – จากกรณีที่มีพลเมืองดีแจ้งเหตุต่อฝ่ายปกครองอำเภอแม่ลาวว่ามีการลักลอบจุดไฟเผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่หมู่ที่ 9 ตำบลโป่งแพร่ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ล่าสุดนายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว ได้สั่งการโดยเร่งด่วนให้นายภัคพงษ์ ภูเวียงจันทร์ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง นำชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ทันที พร้อมสนธิกำลังกับหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชร.5 (ดอยช้าง), ชุดปฏิบัติการพิเศษป่าไม้ สจป.ที่ 2 (เชียงราย), ผู้ใหญ่บ้าน, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เข้าตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

พบพื้นที่เผาไหม้กว่า 6 ไร่ เร่งติดตามผู้กระทำผิด

จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบพื้นที่ถูกเผาไหม้เสียหายเป็นวงกว้างประมาณ 6 ไร่ ลักษณะพื้นที่เป็นป่าทึบ มีร่องรอยการจุดไฟเผาหลายจุด และพบกลิ่นไหม้หลงเหลืออยู่ในอากาศ ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากพลเมืองดีและการสืบสวนเบื้องต้น ชี้เป้าชัดเจนว่านายอดิศักดิ์ แก้วประกายทรัพย์ อายุประมาณ 39 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 9 ตำบลโป่งแพร่ เป็นผู้มีพฤติกรรมต้องสงสัยและเคยมีประวัติพัวพันกับยาเสพติด

เข้าตรวจค้นบ้านพัก พบหลักฐานชัดเจน

เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง พร้อมด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปยังบ้านพักของนายอดิศักดิ์ และแสดงตนพร้อมบัตรเจ้าหน้าที่ เพื่อขออนุญาตทำการตรวจค้น โดยในระหว่างการตรวจค้น พบว่านายอดิศักดิ์ถือไฟแช็คอยู่ในมือขวา ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในคดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงสอบถามและได้รับการยอมรับจากเจ้าตัวว่าเป็นผู้จุดไฟเผาป่าจริง โดยใช้ขุยมะพร้าวเป็นเชื้อเพลิงเพื่อจะนำรังผึ้งจากต้นไม้ แต่ขณะจุดไฟนั้นสะเก็ดไฟได้กระเด็นไปโดนใบไม้แห้ง จึงเกิดไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว

ตรวจค้นเพิ่มเติมพบอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ และรับสารภาพเสพยาบ้า

ภายหลังการสอบถามเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจค้นบ้านเพิ่มเติม และพบอาวุธปืนยาวไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก ซุกซ่อนอยู่ภายในตู้เสื้อผ้า ซึ่งนายอดิศักดิ์รับว่าเป็นของเพื่อนที่ยืมมาและเก็บไว้ในบ้าน อีกทั้งเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นพฤติกรรมของผู้ต้องหามีอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด จึงได้ซักถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้สารเสพติด ซึ่งนายอดิศักดิ์ยอมรับว่าได้เสพยาบ้า จำนวน 3 เม็ด ก่อนเกิดเหตุไม่นาน

แจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหา ดังนี้

  1. กระทำผิดฐานเผาป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484
  2. มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
  3. เสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)

รวมถึงได้แจ้งสิทธิของผู้ถูกจับตามกระบวนการยุติธรรมอย่างครบถ้วน และได้ทำการควบคุมตัวโดยบันทึกภาพและเสียงตลอดกระบวนการจับกุม อ้างอิงตามมาตรา 22 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

ผู้ต้องหาถูกส่งตัวให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่ลาว เพื่อดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมในลำดับถัดไป โดยเจ้าหน้าที่ได้รายงานผลการจับกุมอย่างเป็นทางการต่อผู้บังคับบัญชาในพื้นที่เพื่อเตรียมรายงานต่อหน่วยเหนือ

วิเคราะห์สถานการณ์และผลกระทบจากการเผาป่า

การลักลอบจุดไฟเผาป่าถือเป็นปัญหาสำคัญที่จังหวัดเชียงรายเผชิญมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งของทุกปี ซึ่งส่งผลให้เกิดไฟป่าลุกลามเป็นวงกว้าง นำไปสู่ปัญหาหมอกควันฝุ่น PM2.5 และกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง อีกทั้งยังทำลายระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของภาคเหนือ

ในปีที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายเผชิญกับปัญหาไฟป่ารุนแรงหลายจุด โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สรวย แม่ฟ้าหลวง แม่ลาว และเวียงป่าเป้า ซึ่งล้วนแต่เป็นพื้นที่ป่าสงวนและป่าอนุรักษ์ การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นภัยร้ายแรงที่ต้องควบคุมอย่างเด็ดขาดและมีบทลงโทษที่เหมาะสม

มาตรการเชิงรุกที่ภาครัฐควรดำเนินการ

ภาครัฐควรเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและลดปัญหาไฟป่าในระยะยาว ได้แก่

  • การสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับผลกระทบของไฟป่า
  • การส่งเสริมการเฝ้าระวังแบบมีส่วนร่วมจากชุมชน
  • การเพิ่มการลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยง
  • การประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานป่าไม้ให้มีแผนป้องกันล่วงหน้า

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานสถานการณ์ไฟป่าของกรมควบคุมมลพิษ ปี 2567 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) เกิดขึ้นกว่า 2,640 จุดตลอดทั้งปี และมีพื้นที่เสียหายจากไฟป่ากว่า 28,000 ไร่
  • ข้อมูลจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปี 2567 รายงานว่า พื้นที่ภาคเหนือได้รับผลกระทบจากไฟป่ามากที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (www.dnp.go.th)
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (www.isoc.go.th)
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครม.ทุ่มงบหลักล้านบาท เตือนภัยดินถล่ม น้ำป่าเชียงราย

ครม.อนุมัติ 370 ล้านบาท เร่งติดตั้งระบบเตือนภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 370,390,200 บาท เพื่อดำเนินโครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเน้นพื้นที่เสี่ยงระดับสูงในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย

แนวโน้มธรณีพิบัติภัยในประเทศไทย

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยเผชิญกับภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน สถิติย้อนหลัง 5 ปี (2563-2567) พบว่า มีเหตุการณ์ดินถล่มเฉลี่ยปีละ 110–130 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 270 ราย และบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก โดยพื้นที่เสี่ยงภัยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตภูเขาและพื้นที่ลาดชันของภาคเหนือและภาคใต้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและพายุในหลายพื้นที่ โดยในปี 2567 กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ประเทศไทยมีจำนวนวันที่ฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยถึง 27%

สาระสำคัญของโครงการระบบเตือนภัยดินถล่ม

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในการเฝ้าระวังภัยพิบัติ โดยมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้

  1. ติดตั้งระบบตรวจจับมวลดินเคลื่อนตัวและน้ำป่า 120 สถานี

วงเงิน 310,840,000 บาท สำหรับการติดตั้งเครื่องมือในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับสูงและสูงมาก โดยเครื่องมือจะสามารถตรวจจับความชื้นในดิน การเคลื่อนตัวของชั้นดิน และสัญญาณการทรุดตัว เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์กลางเฝ้าระวัง

  1. พัฒนาระบบสารสนเทศดิจิทัลธรณีพิบัติภัย

วงเงิน 40,351,000 บาท เพื่อจัดทำระบบฐานข้อมูลและแผนที่เสี่ยงภัยในรูปแบบออนไลน์ ครอบคลุมข้อมูลพิกัด ระบบพยากรณ์ ภาพถ่ายดาวเทียม และผลวิเคราะห์ทางธรณีวิทยา เพื่อให้ประชาชน หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใส

  1. สร้างเครือข่ายภาคีความร่วมมือในพื้นที่เสี่ยง

วงเงิน 19,199,200 บาท เพื่ออบรมและเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร อสม. และภาคประชาชน ให้มีทักษะในการประเมินความเสี่ยง การอพยพ และการแจ้งเตือน

พื้นที่ดำเนินโครงการครอบคลุม 17 จังหวัดหลัก

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการ 17 จังหวัด ได้แก่

  • ภาคเหนือ: เชียงราย, เชียงใหม่, ตาก, แม่ฮ่องสอน, แพร่, น่าน, อุตรดิตถ์, เพชรบูรณ์
  • ภาคใต้: ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ระนอง, พังงา, กระบี่, ภูเก็ต

โดยการดำเนินการจะใช้ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่เมษายน 2568 ถึงมีนาคม 2569 โดยคาดว่าหลังจากติดตั้งและทดสอบระบบเสร็จจะสามารถใช้งานได้จริงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2569

การเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับประเทศ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเน้นระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบองค์รวม สนับสนุนการตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัด ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (EOC) และหน่วยงานภาคสนาม ให้สามารถเตรียมความพร้อม อพยพ และช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  • ลดอัตราการเสียชีวิตจากดินถล่มในพื้นที่เป้าหมายลงไม่น้อยกว่า 60%
  • คาดว่าประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบเตือนภัยนี้
  • เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 300 แห่งทั่วประเทศ
  • ลดค่าเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยงกว่า 800 ล้านบาทต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ท่องเที่ยวเหนือแรง ‘เชียงราย’ ที่ 2 ไทยเที่ยวเยอะกว่า 5 ล้านคน

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เดินหน้าขับเคลื่อนปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2568 “Amazing Thailand” ข้อมูลนักท่องเที่ยวเหนือ ชี้เชียงรายรั้งอันดับ 2 รองจากเชียงใหม่

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับหน่วยงานระดับกระทรวงและระดับชาติ จัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ครั้งที่ 3/2568 เพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” โดยมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกีฬาเป็นพลังหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมเผยสถิติสำคัญในปี 2567 ซึ่งสะท้อนภาพรวมการท่องเที่ยวของ 8 จังหวัดภาคเหนือ โดย จังหวัดเชียงราย ครอง อันดับที่ 2 รองจากเชียงใหม่ ทั้งด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและสัดส่วนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เชียงรายติดโผอันดับสูงสุดของนักท่องเที่ยวภาคเหนือ ปี 2567

ตามรายงานของ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยอ้างอิงข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภาคเหนือรวมทั้งสิ้น 25,783,263 คน โดยแยกเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 20,941,918 คน (81.2%) และชาวต่างชาติ 4,841,345 คน (18.8%)

จังหวัดที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากที่สุด ได้แก่

  1. เชียงใหม่ – 11,485,568 คน (44.5%)
  2. เชียงราย – 6,193,932 คน (24%)
  3. ลำปาง – 1,701,455 คน (6.6%)
  4. น่าน – 1,512,503 คน (5.9%)
  5. แพร่ – 1,306,430 คน (5.1%)
  6. ลำพูน – 1,301,307 คน (5%)
  7. แม่ฮ่องสอน – 1,265,680 คน (4.9%)
  8. พะเยา – 1,016,388 คน (3.9%)

สถิติดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูง ทั้งในด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งดึงดูดทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

ประชุมใหญ่ระดับชาติ ชูแนวคิด “Tourism and Sports Powerful Tools for National Development”

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ณ อาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถนนเพชรบุรี กรุงเทพฯ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ครั้งที่ 3/2568 โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานสำคัญจากทั้งภาครัฐและสถาบันการศึกษา อาทิ สำนักงานตำรวจท่องเที่ยว กรมพลศึกษา กรมการท่องเที่ยว และมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ

ในการประชุมดังกล่าว นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นำเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกีฬาในปี 2568 โดยมุ่งเป้าสู่การผลักดัน ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก” ผ่านแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025”

5 ยุทธศาสตร์หลักในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ปี 2568

  1. ค้นหาและส่งเสริมเสน่ห์ไทยในระดับพื้นที่ – เช่น วัฒนธรรมท้องถิ่น ชุมชนดั้งเดิม และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
  2. ยกระดับความปลอดภัย – เพิ่มระบบเตือนภัย แอปตำรวจท่องเที่ยว ติดกล้องวงจรปิดในแหล่งท่องเที่ยวหลัก
  3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มเฉพาะ – เช่น ผู้สูงอายุ, ผู้พิการ, LGBTQ+
  4. สร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภูมิภาค – ส่งเสริมการเดินทางข้ามจังหวัด เช่น เชียงใหม่–เชียงราย–หลวงพระบาง
  5. พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต้นแบบชุมชน – ยกระดับมาตรฐานสินค้า, OTOP, การบริการของชุมชน

เชียงรายได้รับการระบุเป็นหนึ่งใน จังหวัดนำร่อง ในโครงการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่เครือข่าย เมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network) ในปี 2568–2569

การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนควบคู่กับความปลอดภัย

นอกจากแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเข้มข้นแล้ว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังเน้นย้ำการจัดการด้าน ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ที่ใกล้เข้ามา โดยมีการร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ได้แก่

  • กระทรวงมหาดไทย – ด้านการดูแลความปลอดภัย
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ – ด้านการจัดกำลังในพื้นที่
  • สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ – ด้านการช่วยเหลือฉุกเฉิน
  • กรมเจ้าท่า – ด้านความปลอดภัยทางน้ำ
  • กรมขนส่งทางบก – ด้านการเดินทาง
  • กรมอุทยานฯ – ด้านแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ

ด้านกีฬา ผนวก Soft Power สู่เวทีโลก

อีกด้านที่กระทรวงฯ ให้ความสำคัญคือ การส่งเสริมกีฬาเพื่อมวลชนและกีฬาอาชีพ โดยแผนปี 2568 จะมีการจัดกิจกรรมและการแข่งขันที่สำคัญหลายรายการ เช่น

  • PT Grand Prix of Thailand 2025
  • การแข่งขันวิ่งเทรลนานาชาติ HOKA Chiang Mai Thailand by UTMB
  • มวยไทย “ศึก THE HERO FIGHT MUAYTHAI”
  • Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024

เชียงรายเองก็เตรียมผลักดันกิจกรรม วิ่งมาราธอนประจำปี และ จักรยานเสือภูเขา บนเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อดึงนักกีฬาและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ

ข้อเสนอความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน

ในที่ประชุม ยังได้หารือถึงการบูรณาการงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ:

  • การบังคับใช้กฎหมายกับบริษัทนำเที่ยวเถื่อน
  • การควบคุม Bigbike และเรือท่องเที่ยว
  • การส่งเสริมวิชาพลศึกษาในโรงเรียน
  • การผลักดันกีฬาในแผนพัฒนาท้องถิ่นของ อบจ. และ อปท.
  • การสื่อสารภาพลักษณ์เชิงบวกผ่านกิจกรรมระดับนานาชาติ เช่น ซีเกมส์ และวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • จำนวนนักท่องเที่ยวใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ปี 2567: 25,783,263 คน
    • ชาวไทย: 20,941,918 คน (81.2%)
    • ต่างชาติ: 4,841,345 คน (18.8%)
  • จังหวัดเชียงราย มีนักท่องเที่ยวรวม: 6,193,932 คน (24%)
    • คิดเป็นอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากเชียงใหม่
  • อัตราเติบโตของนักท่องเที่ยวในเชียงราย ปี 2566–2567: เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11.4% ต่อปี (ข้อมูลจาก สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย)
  • รายได้จากการท่องเที่ยวของเชียงราย ปี 2567: ประมาณ 19,700 ล้านบาท (ประมาณการจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจท่องเที่ยว ธปท. สาขาเชียงราย)
  • กิจกรรมกีฬาที่จัดในเชียงราย ปี 2567: กว่า 35 รายการ รวมผู้เข้าร่วมกว่า 120,000 คน
  • จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ (Cultural, Wellness, Eco) ในเชียงราย: คิดเป็น 37.6% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด (ข้อมูลจาก มช.)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย สาขาเชียงราย
  • สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • กรมพลศึกษา และกรมการท่องเที่ยว
  • รายงานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ครั้งที่ 3/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ลุยแก้ปัญหาที่ดิน สอน. รพ.สต. ปลดล็อกบริการ

อบจ.เชียงรายเร่งปลดล็อกปัญหาที่ดิน “รพ.สต.-สอน.” หวังยกระดับบริการสุขภาพสู่ประชาชน

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยการนำของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เดินหน้าแก้ปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ อบจ.เชียงราย หลังได้รับการถ่ายโอนภารกิจจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สามารถดำเนินภารกิจด้านการให้บริการสุขภาพต่อประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และถูกต้องตามกฎหมาย

เริ่มต้นด้วยความตั้งใจจริง สู่การระดมแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ

ในการประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา อบจ.เชียงราย ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิม อาทิ สำนักงานธนารักษ์ กรมป่าไม้ กรมที่ดิน และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดินสาธารณะ ซึ่ง รพ.สต. และ สอน. ตั้งอยู่ เพื่อให้การขออนุญาตใช้พื้นที่เป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบ

สถานการณ์ปัจจุบันของที่ดิน “รพ.สต. – สอน.” ในพื้นที่เชียงราย

จากข้อมูลเบื้องต้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายมีสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษาฯ และ รพ.สต. อยู่ในความรับผิดชอบทั้งสิ้น 211 แห่ง ซึ่งล้วนแต่ประสบปัญหาที่ดินยังไม่ได้รับการจัดการด้านเอกสารสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ โดยในจำนวนนี้ มีหลายแห่งตั้งอยู่บนที่ดินของหน่วยงานรัฐหลากหลายประเภท เช่น

  • ที่ราชพัสดุ (สำนักงานธนารักษ์)
  • ที่ดินป่าสงวน (กรมป่าไม้)
  • พื้นที่ ส.ป.ก. (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม)
  • ที่ดินศาสนสมบัติ (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • ที่ดินของโรงเรียน หรือการไฟฟ้าฯ
  • ที่ดินเอกชนที่ชาวบ้านบริจาค

แต่ละกรณีล้วนมีข้อจำกัดเฉพาะ ซึ่งส่งผลต่อความล่าช้าในการขออนุญาตใช้พื้นที่ รวมถึงกระบวนการถ่ายโอนสิ่งปลูกสร้าง

ปัญหาเชิงระบบจากการถ่ายโอนภารกิจ

การถ่ายโอนภารกิจของ รพ.สต. และ สอน. จากกระทรวงสาธารณสุขมายังองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามนโยบายกระจายอำนาจ เป็นแนวทางที่รัฐมุ่งหวังให้เกิดความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้นในระดับพื้นที่

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) พบว่า ภายหลังการถ่ายโอน มีสถานพยาบาลทั้งประเทศกว่า 4,452 แห่ง ที่ อบจ. ได้รับผิดชอบ โดยมีปัญหาด้านกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมากถึง กว่า 90%

อบจ.เชียงรายเอง กำลังเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน โดยพบว่า หน่วยงานเจ้าของภารกิจเดิมยังไม่จัดทำเอกสารสิทธิ์ให้ครบถ้วน เช่น ยังไม่ขึ้นทะเบียนสิ่งปลูกสร้าง ส่งคืนสำนักงานธนารักษ์ หรือยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ในพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวน

สาเหตุหลักของอุปสรรคในการอนุญาตใช้ที่ดิน

  1. การไม่มีเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่เดิม: อาคารบางแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ออกเอกสารสิทธิ์ หรือยังไม่มีการรังวัดเขตแน่นอน เช่น พื้นที่บริจาคจากชาวบ้าน หรือที่ราชพัสดุที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน
  2. หน่วยงานเดิมยังไม่ส่งมอบข้อมูลครบถ้วน: บางกรณีสิ่งปลูกสร้างยังไม่มีการขึ้นทะเบียนตามแบบฟอร์ม ทบ.6 หรือไม่มีหนังสือรื้อถอนจากเจ้าของเดิม ส่งผลให้หน่วยงานรับโอนอย่าง อบจ. ไม่สามารถดำเนินการต่อได้
  3. ขั้นตอนการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนมีความซับซ้อน: การดำเนินการต้องได้รับอนุมัติจากกรมป่าไม้ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาหลายชั้น ตั้งแต่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ จนถึงกรมส่วนกลาง

ความมุ่งมั่นของนายก อบจ.เชียงราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ย้ำในที่ประชุมว่า “อบจ.เชียงรายจะเร่งประสานและบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การขออนุญาตใช้ที่ดินสถานพยาบาลเหล่านี้ เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเร็วที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องเอกสาร แต่คือคุณภาพชีวิตของประชาชน”

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ สำนักช่าง อบจ.เชียงราย เร่งจัดทำผังบริเวณ รังวัดที่ดิน และจัดเตรียมเอกสารประกอบคำขออย่างครบถ้วน พร้อมประสานงานกับสำนักงานธนารักษ์ และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้จังหวัด เพื่อเร่งรัดขั้นตอนการอนุญาต

ความสำคัญของ รพ.สต. และ สอน. ต่อระบบสุขภาพไทย

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษาฯ (สอน.) เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่ประชาชนพึ่งพาเป็นด่านหน้าในการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีน ตรวจสุขภาพแม่และเด็ก ดูแลผู้สูงอายุ ตลอดจนการส่งต่อผู้ป่วยในระบบสาธารณสุข

หากสถานพยาบาลเหล่านี้ไม่สามารถใช้อาคารหรือที่ดินได้อย่างถูกต้อง ย่อมกระทบต่อคุณภาพบริการและความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง

ข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนในอนาคต

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีแนวทางดังนี้

  • สร้างระบบฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงกันระหว่าง สถ. – สธ. – ธนารักษ์ – ป่าไม้ เพื่อให้การดำเนินงานโปร่งใสและไม่ซ้ำซ้อน
  • เร่งจัดทำร่างระเบียบกลางว่าด้วยการถ่ายโอนและการใช้ประโยชน์ในที่ราชการร่วมกัน เพื่อลดภาระการขออนุญาตรายกรณี
  • เสนอแก้ไขกฎหมายบางประการที่เป็นอุปสรรค เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้, พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ เพื่อให้เอื้อต่อภารกิจด้านสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ข้อมูลจาก กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ณ ต้นปี 2568 ระบุว่า มีสถานพยาบาล (รพ.สต. – สอน.) ที่ได้รับการถ่ายโอนจากกระทรวงสาธารณสุข จำนวนทั้งสิ้น 4,452 แห่ง ทั่วประเทศ
  • จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า มากกว่า 90% ของสถานพยาบาลที่ถ่ายโอน ยังไม่ได้รับการจัดการเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างให้ถูกต้อง
  • ในจังหวัดเชียงราย อบจ.มีความรับผิดชอบดูแลสถานพยาบาลที่ถ่ายโอนแล้วถึง 211 แห่ง ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขปัญหาในลักษณะเดียวกัน
  • รายงานจาก กรมป่าไม้ ระบุว่า พื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติครอบคลุมกว่า 38% ของพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักของการใช้ประโยชน์พื้นที่ในหลายจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.), หนังสือด่วนมาก ลงวันที่ 6 มกราคม 2568
  • กรมป่าไม้, รายงานพื้นที่ป่าประเทศไทย ปี 2566
  • สำนักงานธนารักษ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (การประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ. ลุยบ้านดู่ แก้ปัญหาน้ำเน่าเสียด่วน

นายก อบจ.เชียงราย เร่งแก้น้ำเน่าบ้านดู่ หลังชาวบ้านร้องเรียนเดือดร้อน

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – ปัญหาน้ำเน่าเสียในเขต ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย กลายเป็นวาระเร่งด่วน หลังประชาชนร้องเรียนต่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ถึงความเดือดร้อนที่ทวีความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง

ประชาชนร้องเรียนปัญหาเน่ารุนแรง ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

เมื่อเวลา 11.50 น. ของวันอังคารที่ 8 เมษายน 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ตำบลบ้านดู่โดยด่วน หลังได้รับรายงานจากประชาชนเรื่อง น้ำขังรอการระบายจนเกิดน้ำเน่า ส่งกลิ่นเหม็นตลอดทั้งวัน

หลายครัวเรือนในพื้นที่ต้องประสบปัญหาไม่สามารถเปิดหน้าต่างบ้านได้ และบางพื้นที่เริ่มพบสัตว์พาหะ เช่น ยุง และแมลงวัน เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ

นายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่จริง รับฟังประชาชนโดยตรง

ทันทีที่เดินทางถึงพื้นที่ นายก อบจ.เชียงราย ได้พบกับกลุ่มชาวบ้าน พร้อมรับฟังผลกระทบและข้อเสนอแนะต่าง ๆ โดยได้เน้นย้ำว่า ทุกปัญหาที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน จะได้รับการดำเนินการอย่างเร่งด่วน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีหลายจุดในเขตชุมชนที่น้ำท่วมขังมานาน และไม่มีการระบายน้ำออกจากระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของน้ำเสียและขยะอินทรีย์

สั่งการหน่วยงานภายในทันที บูรณาการแก้ปัญหากับท้องถิ่น

นางอทิตาธร ได้สั่งการให้ สำนักช่างของ อบจ.เชียงราย เร่งสำรวจพื้นที่ที่มีปัญหาโดยละเอียด พร้อมทั้งประสานงานกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลบ้านดู่ เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นอย่างเร่งด่วนที่สุด

การดำเนินการครั้งนี้จะครอบคลุมทั้งการขุดลอกทางระบายน้ำที่ตื้นเขิน การติดตั้งระบบท่อระบายน้ำเพิ่มเติมในจุดที่จำเป็น และการจัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการดูแลความสะอาดและความปลอดภัยของพื้นที่เสี่ยง

วางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

ในระยะยาว อบจ.เชียงราย มีแผนร่วมมือกับหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและผังเมือง เพื่อ วางระบบระบายน้ำใหม่ ที่สามารถรองรับน้ำฝนในฤดูมรสุม รวมถึงปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมผ่านโครงการ บ้านดู่ร่วมใจดูแลสิ่งแวดล้อม” โดยสร้างเครือข่ายอาสาสมัครตรวจสอบและรายงานจุดเสี่ยงน้ำเน่าเสียในพื้นที่

ปัญหาน้ำเสียส่งผลกระทบกว้างทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ

ข้อมูลจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานการเจ็บป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสียเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็ก

ด้านภาคธุรกิจ โดยเฉพาะร้านอาหารในพื้นที่ตำบลบ้านดู่ ก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน เนื่องจากกลิ่นเหม็นรบกวนลูกค้าและทำให้ยอดขายลดลงอย่างชัดเจน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตเมืองขยายตัว ต้องการการจัดการที่เป็นระบบ

เหตุการณ์ในตำบลบ้านดู่ สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เพียงพอ ย่อมนำไปสู่ปัญหาสะสมทั้งในด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน

การบูรณาการระหว่างท้องถิ่นกับจังหวัด และการมีส่วนร่วมของประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ (2567) พบว่า พื้นที่เขตเมืองในภาคเหนือกว่า 43% มีปัญหาน้ำเน่าเสียจากการระบายน้ำไม่เพียงพอ
  • เชียงรายมีอัตราการร้องเรียนเกี่ยวกับกลิ่นเหม็นและน้ำเน่าในปี 2567 สูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศ (กรมอนามัย)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า 61% ของประชาชนในเขตเมืองต้องการให้มีการลงทุนในระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ, รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2567
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ, รายงานการสำรวจความคิดเห็นประชาชน 2567
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, รายงานภาวะสุขภาพประชาชนจากมลภาวะ 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News