Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“พิสันต์” นำทีม สวจ.เชียงราย คว้ารางวัล สำนักงานวัฒนธรรมดีเด่น 3 ปีซ้อน

 

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ถูกคัดเลือกสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดดีเด่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งเคยได้รับมาแล้ว 2 ปีก่อนหน้านี้ทำให้ เชียงรายได้รับ 3 ปีติดต่อกัน

เนื่องด้วยกระทรวงวัฒนธรรม ได้ประกาศกระทรวงวัฒนธรรม โดยนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง ผลการคัดเลือกสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดดีเด่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม ได้ดำเนินการคัดเลือกสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องเชิดซูเกียรติสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดที่สามารถขับเคลื่อน งานวัฒนธรรมในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรม และได้รับการยอมรับจากผู้บริหารหน่วยงาน องค์กร ภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายทางวัฒนธรรม ส่งเสริมและผลักดันให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดมีการปรับปรุงพัฒนาและยกระดับมาตรฐานคุณภาพการดำเนินงานของสำนักงาน เป็นขวัญกำลังใจ เสริมแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดและประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลการปฏิบัติงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดที่มีผลงานดีเด่นให้เป็นแหล่งเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติงานด้านวัฒนธรรมในพื้นที่นั้น

 

ในการนี้ กระทรวงวัฒนธรรมโดยคณะกรรมการคัดเลือกสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดดีเด่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ได้ประเมินสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดดีเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เรียบร้อยแล้ว โดยผลการประเมิน มีจำนวน 11 จังหวัด ปรากฎตามรายชื่อ ดังนี้

1. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร

2. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี

**3.สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

4. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน

5.สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่

6. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดยะลา

7. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดราขบุรี

8. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเลย

9. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ

10. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสกลนคร

11. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุพรรณบุรี

 

ทางทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยนายพิสันต์ กล่าวว่า สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ทำงานหลากหลายมิติ เข้าไปร่วมช่วยเหลือทุกภาคส่วน ไม่ได้มองว่าจะต้องรอให้ได้รับมอบหมาย เพราะมองผลประโยชน์ของชาวบ้านเป็นหลัก การทำงานวัฒนธรรมเราใช้ใจเต็มร้อยในการทำและเป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านที่ลงไปพัฒนาในด้านวัฒนธรรม ให้ต่อยอดพัฒนาเป็นรายได้เข้าชุมชนของตัวเขาเอง ส่วนทีมงานเราช่วยกันพัฒนาต่อยอดในการเอานวัตกรรมผสมวัฒนธรรมให้ทันโลกทันสมัยให้งานที่มีอยู่มีมูลค่าทั้งราคา และจิตใจ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
TOP STORIES

แถลงการณ์ร่วม 7 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน เรื่อง นักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว

 
แถลงการณ์ร่วม 7 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน เรื่อง นักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว สืบเนื่องจากกรณีที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่ามีการจ่ายเงินให้สื่อมวลชนเพื่อเป็นค่าข่าว และช่วยเหลือด้านต่างๆ เนื่องจากเห็นว่านักข่าวเงินเดือนน้อย ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข่าวต่อสาธารณะออกไปอย่างแพร่หลายนั้น 
 
องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 7 องค์กร ประกอบด้วย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย และสมาพันธ์สื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ร่วมประชุมกันและขอแสดงจุดยืนต่อสาธารณะว่า สื่อมวลชนที่รับเงินจากแหล่งข่าวเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการใดๆ ถือเป็นเรื่องที่ละเมิดจริยธรรมวิชาชีพอย่างร้ายแรง ไม่สามารถยอมรับได้ 
 
 
ดังนั้น ที่ประชุม 7 องค์กรวิชาชีพ จึงมีมติร่วมกันดังนี้ 
 
1. เห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความกระจ่างชัดในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อสาธารณชนโดยคณะกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนจากสภาวิชาชีพสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย) ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเรื่องจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนขององค์กรสมาชิก องค์กรละ 2 คน (เป็นคนในวิชาชีพ 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก 1 คน) รวมเป็น 6 คน และให้สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมาเป็นประธานคณะกรรมการอีก 1 คน รวมเป็น 7 คน 
 
 
2. ขอให้องค์กรต้นสังกัดที่ถูกระบุว่ามีนักข่าวรับเงิน รวมทั้งองค์กรสื่อมวลชนอื่นๆ ดำเนินการตรวจสอบว่านักข่าวในสังกัดว่ามีพฤติกรรมตามที่ถูกระบุหรือไม่ และพร้อมแจ้งผลการดำเนินการแจ้งต่อสาธารณะให้ทราบ ส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ไม่มีต้นสังกัด และกระทำการเป็นนักข่าวเพื่อส่งข่าวต่อไปยังสำนักข่าวต่างๆ แต่มีพฤติกรรมละเมิดจริยธรรมวิชาชีพนั้น ขอให้ทุกองค์กรสื่อมวลชน พิจารณายุติการซื้อข่าวจากบุคคลหรือกลุ่มดังกล่าว 
 
 
3. กรณีที่มีนักข่าวมีส่วนพัวพันหรือไปเกี่ยวข้องกับการรับเงินในธุรกิจที่ผิดกฎหมาย คณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นโดยสภาวิชาชีพข้างต้น จะดำเนินการตรวจสอบด้านจริยธรรมวิชาชีพเช่นกัน ส่วนความผิดตามกฎหมายนั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย 
 
4. องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ขอเรียกร้องให้บุคคลกลุ่มบุคคลที่เป็นอดีตนักข่าว และทำหน้าที่ส่งข่าวให้สำนักข่าวต่างๆ แสดงตัวตนให้ชัดเจนว่าการรับเงินดังกล่าวเป็นค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนในการทำข่าวและส่งประชาสัมพันธ์ โดยไม่แอบอ้างตนว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน แต่หลีกเลี่ยงการถูกกำกับดูแลด้านจริยธรรมจากองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน
 
 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ / สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย / สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย / สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย  / สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย  / สมาพันธ์สื่อมวลชนแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

จังหวัดชุมพร !!! จับสึกพระปลอม เสพยาบ้าเดินเรี่ยไรบนศูนย์ราชการ

 

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 20 กันยายน 66 นายธนนท์ พรรพีภาส ปลัดจังหวัดชุมพร ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ในศูนย์ราชการจังหวัดชุมพร ว่า ได้มีพระรูปหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่พระในจังหวัดชุมพร กำลังเดินเรี่ยไรเงินอยู่ในอาคาร จึงได้แจ้งให้ทาง นายนพพร มีสติ ป้องกันจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย รอ.กอบศักดิ์ นาคหาญ หน.ชุดรวบรวมและตรวจสอบข่าวสาร กอ.รมน.(ชรต.403ชุมพร)เข้าตรวจสอบพบพระรูปดังกล่าวกำลังเดินเรี่ยไร อยู่บนชั้น 2 ของอาคารศูนย์ราชการจังหวัดชุมพร จึงได้ขอตรวจสอบทราบชื่อว่า พระวิชัย อายุ 28 ปี ที่อยู่ – หมู่ที่ 1 ตำบลนครสวรรค์ตก อ.เมือง จ.นครสวรรค์ โดยอ้างว่า ขอรับบริจาคเงินทอดกฐินสามัคคีให้กับสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ตำบลบางสวรรค์ อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเพื่อหาทุนทรัพย์ ในการก่อสร้างศาลาโรงธรรม

แต่ทางเจ้าหน้าที่พบผิดสังเกตเนื่องจาก ขณะนี้อยู่ในห้วงของเข้าพรรษาและผิดข้อห้ามออกเรี่ยไร จึงได้นิมนต์มาที่วัดชุมพรรังสรรค์ พระอารามหลวง จ.ชุมพร พร้อมแจ้ง พระครูปลัด ศิริโชค สิริธมฺโม เจ้าอาวาสวัดปากคลอง ต.นาทุ่ง อ.เมือง จ.ชุมพร ในฐานะพระวินยาธิการ มาตรวจรายละเอียด ในเบื้องต้น พระวิชัย ไม่สามารถนำเอกสารหลักฐานใบสุทธิบัตรและบัตรประชาชนได้ มาแสดงต่อพระวินยาธิการและเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งการกระทำการของพระวิชัย ไม่สามารถยืนยันการอุปสมบทได้

จากการสอบถาม พระวิชัย อ้างว่า ได้ออกเดินทางมาจากที่พักแห่งหนึ่ง หมู่ที่ 8 ตำบลบางสวรรค์ อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 เวลา 07.00 น. โดยมีพระมาด้วยกัน จำนวน 8 รูปๆละ1 คัน โดยพระวิชัย ได้เดินทางมากับนายบอย (ไม่ทราบชื่อ สกุลจริง) อายุประมาณ 40 ปี คนขับ ด้วยรถยนต์กระบะ 4 ประตู ยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ซึ่งเมื่อมาถึง จ.ชุมพร ได้ไปทำธุระบ้านพี่สาว แต่ไม่รู้ว่าอยู่บริเวณของจังหวัด เมื่อทำธุระเสร็จแล้ว นายบอย ได้พาส่งที่ศาลากลางจังหวัดชุมพร เพื่อออกไปเรี่ยไรรับบริจาค ในอาคารศาลากลาง

พระวินยาธิการ ได้พยายามติดต่อ นายบอย และเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ฯดังกล่าว แต่ไม่สามารถติดต่อผู้ใดที่จะให้การรับรองการเป็นพระของพระวิชัยฯได้ อีกทั้งจากการสอบถามพระวิชัย ยังให้การวกวนไปมา นายสุจินต์ สว่างศรี เจ้าพนักงาน ปปส. เลขที่ 620871 จึงได้ขอตรวจสอบสารเสพติดในร่างกาย ผลการตรวจเบื้องต้นพบว่า มีสารเสพติดประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า)

จึงประสาน พ.ต.ท.สกฤชญ สุขนิตย์ รอง ผกก สส.สภ.เมืองชุมพร พร้อมด้วย ร.ต.อ.ปิยพล ฉัตรภูมิ รอง สว.สส.สภ.เมืองชุมพร มาได้สอบปากคำ โดยพระวิชัย ยอมรับและให้รับสารภาพว่า ตนได้เสพยาบ้า มาจำนวน 2 เม็ด เมื่อวันที่ 17 กันยายน 66 ภายในสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งจริง และตนเองก็ไม่ใช่พระจริง แต่พระที่มาด้วยกันอีก 7 รูป คือพระจริง ที่มาจาก จ.นครสวรรค์ และ จ.อ่างทอง โดยตนเพียง โกนหัว แล้วห่มจีวร ทรงเครื่อง ก็ออกไปเรี่ยไรได้แล้ว ซึ่งงานเบารายได้ดี จากการตรวจสอบภายในย่าม พบเงินสดที่ได้จากการเรี่ยไร่ แยกเป็นธนบัตร 100 บาท จำนวน 1 ใบ ธนบัตร 20 บาท จำนวน 1 ใบ เหรียญ 10 บาท จำนวน 1 เหรียญ รวมเป็นเงินจำนวน 130 บาท

เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไป ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชุมพร เพื่อดำเนินคดีในข้อหา กระทำความผิดฐาน แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ , เรี่ยไรรับบริจาคเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต, เสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมฟาตามีน (ยาบ้า) เข้าสู่ร่างกายโดยผิดกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมสื่อสารมวลชน ข่าว วิทยุและโทรทัศน์ (ประเทศไทย) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

บิ๊กโจ๊ก แจ้งข้อหาเหตุสลดโกดังพลุมูโนะ 16 เจ้าหน้าที่รัฐ รับสินบนละเลยหน้าที่

 

จากกรณีเมื่อวันที่ 29 ก.ค.66 เวลา 15.05 น. เกิดเหตุโกดังเก็บดอกไม้ไฟระเบิดที่บ้านมูโนะ หมู่ 1 ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้บ้านเรือนประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบได้รับความเสียหายกว่า 649 หลังคาเรือน มีผู้เสียชีวิต 11 ราย ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 389 ราย มูลค่าความเสียหายมากกว่า 260 ล้านบาท ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สืบสวนหาสาเหตุของการเกิดเหตุระเบิดดังกล่าว รวมทั้งตรวจสอบการเก็บรักษาดอกไม้เพลิงดังกล่าว และดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนขยายผลหาแหล่งที่มา ที่เก็บดอกไม้ไฟที่เกี่ยวข้อง แหล่งจำหน่ายดอกไม้ไฟ และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดดังกล่าว ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จำนวน 3 ราย คือ.

1. น.ส.ปิยะนุช (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี (เจ้าของโกดัง)
2. นายสมปอง (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี (ผู้ดูแลโกดัง)
3. นายปฐมพร (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี (ช่างรับเหมา)
ในความผิดฐาน กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ร่วมกันทำ สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งดอกไม้เพลิง โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตามพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และร่วมกันก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ครบแล้วทั้ง 3 ราย โดยในคดีนี้ พนักงานสอบสวนได้มีการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องจำนวน 822 ปาก มีเอกสารในสำนวนมากกว่า 6,529 แผ่น โดยสรุปสำนวนการสอบสวนส่งอัยการจังหวัดนราธิวาสแล้วในวันที่ 18 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้

จากการสืบสวนพบว่า เหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบการนำเข้า จำหน่าย และเก็บรักษาดอกไม้ไฟ บางรายมีการเรียกรับผลประโยชน์เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐรวม 16 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 4 ราย เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 4 ราย เจ้าหน้าที่ศุลกากร จำนวน 7 รายและเจ้าหน้าที่ทหาร 1 ราย ประกอบด้วย.

1. พ.ต.ท.สุพจน์ (สงวนนามสกุล)
2. จ.ส.ต.มาหาหมัดฟาโร (สงวนนามสกุล)
3. ส.ต.อ.สุทิน (สงวนนามสกุล)
4. ส.ต.อ.ต่วนอูเซ็น (สงวนนามสกุล)
5. ด.ต.รูสลาม (สงวนนามสกุล) ​นายก อบต.มูโนะ
6. นายซูกีปลี (สงวนนามสกุล)​รรท.ผอ.กองช่างฯ
7. น.ส.สุดสาย (สงวนนามสกุล)​ปลัด อบต.มูโนะ
8. น.ส.วิมล (สงวนนามสกุล)​นายทะเบียน
9. นายภัทรเทพ (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
10. นายปรัชญา (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
11. นายพนมชัย (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
12. นายวรกานต์ (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
13. นายรณกฤต (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
14. นายพลวรรธน์ (สงวนนามสกุล)นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
15. นายสยุมภู (สงวนนามสกุล)​นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
16.จ.ส.อ. ชัยยะ (สงวนนามสกุล)

ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 16 ราย ได้รับมอบตัวและแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ดำเนินการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.แล้วจำนวน 8 ราย อยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีอีก 8 ราย
และกรณีการลักลอบจำหน่ายดอกไม้ไฟ เจ้าหน้าที่สืบสวนเพิ่มเติมทราบว่า ดอกไม้ไฟในโกดังที่เกิดเหตุ

ซึ่งผู้ต้องหาได้สั่งซื้อมานั้น มาจากผู้ค้าหลายรายทั้งในเขตพื้นที่จ.สงขลา กรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมายมากกว่า 17 จุด ซึ่งเป็นผู้ค้า และ ผู้นำเข้าดอกไม้ไฟ จากต่างประเทศ จึงได้ตรวจยึดของกลางเป็นดอกไม้ไฟมากถึง 9,596 ลัง ซึ่งเป็นของกลางที่ลักลอกนำเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย จากเครือข่ายจำนวน 7 บริษัท จากนั้นมีการลักลอบค้าและจำหน่ายดอกไม้ไฟให้กับสมปองฯโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ประกอบด้วย.

1. บ.โอเอ็นจี ทูเก็ตเตอร์ จำกัด
2. บ.ทีพีบี ไฟร์เวิร์ค จำกัด
3. ร้านเอเชีย คลองแงะ
4. บ.สุรเสียง (ประเทศไทย) จำกัด
5. บ.ไดมอนโดม จำกัด
6. บ.เคทูเค ไฟร์เวิร์ค จำกัด
7. บ.ทองทาดา จำกัด

โดยดำเนินคดีในความผิดฐาน ค้าดอกไม้เพลิง โดยฝ่าฝืนคำสั่งฯ, ไม่ได้ขออนุญาตในการค้าและการขนส่งดอกไม้ไฟ มีและนำเข้าซึ่งประทัดไฟโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งการดำเนินคดีกับทั้ง 7 บริษัท อยู่ในระหว่างการสอบสวน ซึ่งได้แจ้งข้อกล่าวหาและรับสารภาพ แล้วบางส่วน จะดำเนินการเสร็จสิ้นในสัปดาห์หน้าทั้งหมด ในส่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โกดังระเบิดดังกล่าวนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ประสานความช่วยเหลือจากหน่วยงาน 3 ส่วนด้วยกัน

1. ศอ.บต. สำหรับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอยู่ในระหว่างพิจารณาหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการ หากเข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ของ ศอ.บต.

2. กองทุนยุติธรรมจังหวัด ได้รวบรวมคำขอจากญาติผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บจำนวน 389 ราย อยู่ในระหว่างพิจารณาเรื่องค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา สำหรับผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว หากเข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะได้รับความช่วยเหลือรายละ 200,000 บาทสำหรับผู้เสียชีวิต

3. โยธาจังหวัดนราธิวาส ในการให้ความช่วยเหลือเรื่องการซ่อมแซมบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด 649 หลัง อยู่ในระหว่างพิจารณาดำเนินการ

โดยจะได้งบประมาณจากกองทุนสำนักนายกรัฐมนตรี 100 ล้านบาท เงินบริจาคของพี่น้องประชาชนอีกจำนวนประมาณ 33.9 ล้านบาท เงินช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนและส่วนราชการ 35.3 ล้านบาท รวมถึงงบประมาณในส่วนกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยอีกจำนวนหนึ่ง
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้พี่น้องชาวมูโนะได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ท่าน ผบ.ตร.เห็นความสำคัญ จึงได้สั่งการให้ควบคุมดูแลการดำเนินคดีโดยละเอียดรอบคอบ ดังนั้นจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเสียหายดังกล่าวทั้งหมด ขณะนี้สำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้นแล้ว

นอกจากมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระเบิดจำนวน 3 รายแล้ว ได้มีการดำเนินคดีกับบริษัทที่จำหน่ายดอกไม้ไฟโดยฝ่าฝืนกฎหมายจำนวน 7 บริษัท และขยายผลดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จำนวน 16 ราย โดยจากนี้หากมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงกับบุคคลใดเพิ่มเติมอีก ก็จะนำตัวมาดำเนินคดีจนถึงที่สุดต่อไป นอกจากนี้ ยังได้ประสานงานติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เบื้องต้นแต่ละหน่วยงานอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาหลักเกณฑ์เพื่อเร่งมอบเงินช่วยเหลือให้กับผู้เสียหาย เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูบ้านเรือนจากความสูญเสียดังกล่าวโดยเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กรมราชทัณฑ์ ยันเอง “กำนันนกตัวจริง ไม่ใช่ตัวปลอม”

 

วันที่ 18 กันยายน 2566 นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่กระแสโซเชียลวิจารณ์และตั้งข้อสังเกตว่า กำนันนกที่ถูกจับไม่ใช่ตัวจริง ทำให้เกรงว่าจะมีการจับตัวปลอมไป โดยล่าสุดนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า “วันจันทร์ จะยื่นหนังสือถึง รมว.ยุติธรรม เพื่อให้ตรวจสอบลายนิ้วมือ 10 นิ้ว ว่ากำนันนกที่ตกเป็นผู้ต้องหา ฆ่าสารวัตรแบงค์ ที่ถูกควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เป็นคนเดียวกันหรือไม่นั้น 

นายอายุตม์ฯ กล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ ได้รับการยืนยันจากนายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในกรณีดังกล่าวแล้ว แจ้งว่า ทางเรือนจำได้รับตัว นายประวีณ จันทร์คล้าย ฐานความผิด เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่าผู้อื่น เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2566 ซึ่งในวันดังกล่าวกองบังคับการปราบปรามเป็นผู้นำตัวนายประวีณฯ ขึ้นศาลอาญารัชดา เพื่อยื่นฝากขัง จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ประจำศาลจะตรวจสอบข้อมูลบุคคลจากหมายขังที่ศาลออก ตรวจสอบลายนิ้วมือที่ตรงกันเรียบร้อยแล้ว จึงรับตัวส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และได้ตรวจสอบตำหนิ รูปพรรณ โดยการบันทึกลายนิ้วมือถูกต้องครบถ้วนตรงกันตั้งแต่ที่ศาลถึงเรือนจำ โดยขณะนี้นายประวีณฯ อยู่ระหว่าง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 และจะเข้าสู่กระบวนการจำแนกลักษณะผู้ต้องขังต่อไป ระหว่างที่นายประวีณฯ ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำฯ สามารถพบทนายได้ทุกวัน และเยี่ยมญาติผ่านระบบไลน์ตามระเบียบที่เรือนจำได้กำหนดไว้ ซึ่งที่ผ่านมามีภรรยาและบุตรเข้าเยี่ยม รวมถึงความเป็นอยู่ สามารถรับประทานอาหารของทางเรือนจำได้ตามปกติ 

นายอายุตม์ฯ กล่าวปิดท้ายว่า เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้รับตัวและตรวจสอบลายนิ้วมือรูปพรรณต่างๆ ของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก ควบคุมไว้ภายในเรือนจำแล้ว จึงขอยืนยันว่าก่อนรับตัวนายประวีณ จันทร์คล้าย เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้ตรวจสอบหมายขังระหว่างสอบสวน/ใบส่งตัวและรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของศาลอาญา ซึ่งตรงกับรายงานทะเบียนราษฎร จากฐานข้อมูลการทะเบียน สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบบข้อมูลผู้ต้องขังกรมราชทัณฑ์ถูกต้องครบถ้วนเรียบร้อย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมราชทัณฑ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ค้านสร้างโรงไฟฟ้าขยะ พื้นที่ ต.ป่าหุ่ง หวั่นมลพิษ

 
วานนี้ (13 ก.ย. 66) ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย ประชาชนชาว ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย เข้ายื่นหนังสือ เรื่อง ขอคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ ขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง เพื่อขอพิจารณาออกคำสั่งระงับโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ขนาดกำลังผลิต 9.9 เมกะวัตต์ งบประมาณก่อสร้างประมาณ 2,000 ล้านบาท คาดมีผลกระทบกว่า 11 หมู่บ้าน ซึ่งมีพี่น้องชาวอำเภอพานมารวมตัวกันกว่า 200 คน
 
นางสาวอรวรรณ บุญปั๋น แกนนำกลุ่มผู้คัดค้าน กล่าวว่า มีนายทุนมากว้านซื้อที่ดินของชาวบ้านไปกว่า 130 ไร่ โดยตอนแรกชาวบ้านไม่ทราบว่านายทุนจะนำไปก่อสร้างเป็นอะไร จนมาทราบในภายหลังว่ามีแผนจะก่อสร้างเป็นโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะ ซึ่งคนในอำเภอพานไม่ได้ทราบข้อมูลเรื่องโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านได้รับรู้อย่างทั่วถึง และพื้นที่ดำเนินการโครงการดังกล่าวอยู่ใกล้ชุมชน ใกล้วัดโบราณสถาน โรงเรียน แหล่งน้ำ พื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงหวั่นผลกระทบต่อวิถีชุมชน และกล่าวต่อไปว่าโรงไฟฟ้าขยะไม่ใช่สิ่งที่ชุมชนต้องการ ชุมชนรอบด้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องการจัดการขยะ ชาวบ้านสามารถจัดการกับขยะในชุมชนตนเองได้ ไม่ต้องการนำเข้าขยะจากภายนอกเข้ามาในชุมชน หากโรงไฟฟ้าขยะเกิดขึ้นมา ผลกระทบที่ตามมามากมายมหาศาลได้ จึงเข้ายื่นหนังสือคัดค้านดังกล่าว ฯ ให้จังหวัดเชียงรายได้รับทราบ และช่วยยุติโครงการ เพื่อพี่น้องประชาชนในอำเภอพาน
 
ในช่วงเวลาเดียวกันที่ห้องประชุมจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นางภัทราวดี สุทธิธนกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ นายอำเภอพาน นายก อบต.ป่าหุ่ง และตัวแทนชาวบ้าน จำนวน 5 คน เข้าร่วมให้ข้อมูลโครงการ ชี้แจงความเป็นมาของโครงการดังกล่าวฯ และข้อเรียกร้องของชาวบ้าน
 
หลังจากนั้นชาวบ้านลงมายื่นหนังสือร้องทุกข์ให้กับศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงรายที่ด้านหน้าศาลากลางฯ ตามลำดับ โดยมีนายนายลิขิต มีเสรี ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้รับมอบหนังสือดังกล่าวฯ ตามลำดับ
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ผบ.ฝูงบิน 416 ยัน “งานพ่อขุนปี 67” ไม่ได้จัดที่นี่! เผยเตรียมยกระดับ ‘สนามบินเก่า’

 

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2566 หลังมีภาพและข้อความเกี่ยวกับการยกเลิกสถานที่ให้จัดงานพ่อขุนเม็งรายมหาราช และงานกาชาดเชียงราย ประจำปี 2567 โดยใช้สนามบิน ฝูงบิน 416 เชียงรายเป็นสถานที่จัดงานนั้น

โดยทางฝูงบิน 416 เชียงราย ได้ชี้แจงประเด็นดังกล่าวว่าขณะนี้ สนามบินฯ อยู่ในช่วงของการดำเนินงานก่อสร้าง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณปัจจุบัน  2566 ไปจนถึงปีงบประมาณ 2569 ฝูงบิน 416 เชียงราย จึงไม่สามารถให้สถานที่ในการจัดงานหรือกิจกรรมอื่นได้อีกต่อไป

และได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.2566 ไปเรียบร้อยแล้ว ตามหนังสือ ฝูงบิน 416 เชียงราย ที่ กห 0624.14/15 เรื่อง แจ้งงดให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมงานพ่อขุนเม็งรายมหาราช และงานกาชาดประจำปี และกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่สนามบิน ฝูงบิน 416

ทางทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้โทรไปสอบถาม นาวาอากาศเอกสมชาติ บุญมาวงค์ ผู้บังคับฝูงบิน 416 เชียงราย ถึงกระแสดังกล่าวที่แชร์ไปในโลกออนไลน์ ได้ทราบข้อเท็จจริงถึงรายละเอียดในการดำเนินงานก่อสร้างจริง โดยมีการวางแผนงานไว้แล้วเพื่อพัฒนาให้สนามบินมีมาตรฐานการบิน ไอเคโอ (ICAO) คือ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศหรือ “International Civil Aviation Organization” 

 

โดยกองทัพอากาศเตรียมยกระดับสนามบินเชียงราย ฝูงบิน 416 เป็นศูนย์กลางช่วยเหลือประชาชนในภาคเหนือตอนบน ทำภารกิจดับไฟป่า แก้ปัญหาหมอกควันฝุ่นละออง มีโดรนไร้นักบิน และ ฮ.กู้ภัย EC-725 ค้นหาช่วยชีวิต และรับ-ส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งกองทัพอากาศมีความร่วมมือกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เอาไว้อีกด้วย

               ส่วนชาวเชียงรายและประชาชนทั่วไปทาง นาวาอากาศเอกสมชาติ บุญมาวงค์ แจ้งกับทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ว่ายังสามารถใช้สถานที่ในรันเวย์ของสนามบินเก่าออกกำลังกายได้ปกติจนถึงประมาณต้นปี 2568 และจะมีพื้นที่สำหรับออกกำลังกายอยู่บริเวณศูนย์พัฒนากีฬากอล์ฟฝูงบิน 416 ซึ่งจะมีแผนพัฒนาให้เป็นลู่วิ่งยาวถึง 3 กิโลเมตรโดยจะเริ่มเห็นประมาณปีหน้าจากงบประมาณที่ได้มาพัฒนา

               กำหนดการที่ทำตอนนี้คือการปรับพื้นที่ให้ปลอดภัยไม่ให้เป็นแหล่งมั่วสุม โดยในปี 2566 ได้งบประมาณกว่า 18 ล้าน มาทำรั้วโดยรอบ รวมถึงจะมีการทำตัวกั้นไม้กระดกปิดถนนเส้นโรงเรียนเทศบาล 4 สันป่าก่อและวัดดอยพระบาท ที่ทะลุหากัน รวมถึงถนนรอบสนาบินเก่า กว้าง 7 เมตรให้ประชาชนสัญจร

ส่วนแผนในปี 2567 แผนพัฒนาพื้นที่บริเวณสนามกอล์ฟ เป็นสวนสุขภาพมีลู่วิ่งระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร พื้นที่กว่า 77 ไร่ ให้ประชาชนชาวเชียงรายได้ออกกำลังกาย ซึ่งจะทดแทนพื้นที่ในส่วนของรันเวย์ของสนามบินเดิม

     และช่วงต้นปี 2568 ทางสนามบิน ฝูงบิน 416 เชียงราย หรือสนามบินเก่าจะต้องสร้างรั้วการบิน เป็นพื้นที่สนามบิน ให้เป็นไปตามมาตรฐานการบิน ไอเคโอ (ICAO) และปรับเป็นพื้นที่เพื่อการฝึก HADR ฝึกการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและบรรเทาสาธารณภัย และกองทัพอากาศมีความร่วมมือกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ที่ต้องทำ แต่ต้องย้ำว่าประชาชนทุกคนยังสามารถ ใช้พื้นที่ออกกำลังกายในบริเวณที่กองทัพอากาศทำไว้ให้ นาวาอากาศเอกสมชาติ บุญมาวงค์ กล่าวปิดท้าย

 

ซึ่งในวันเดียวกันสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ออกมาเตือนว่าเป็นข่าวปลอมจังหวัดเชียงรายไม่ได้ทำโปสเตอร์โปรโมทงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและกาชาดอ่านต่อ https://nakornchiangrainews.com/cr-event-announced/

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

งานพ่อขุนเชียงรายปี 67 จัดที่ไหนยังไม่เคาะ!

 

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2566 หลังมีภาพและข้อความเกี่ยวกับการยกเลิกสถานที่ให้จัดงานพ่อขุนเม็งรายมหาราช และงานกาชาดเชียงราย ประจำปี 2567 โดยใช้สนามบิน ฝูงบิน 416 เชียงรายเป็นสถานที่จัดงาน ซึ่งปรากฏข้อมูลในสื่อออนไลน์ในรูปแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์

     โดยมีทางสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ออกมาเตือนว่าเป็นข่าวปลอมจังหวัดเชียงรายไม่ได้ทำโปสเตอร์โปรโมทงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและกาชาด ได้โพสต์ผ่านช่องทางเฟสบุ๊คข้อความว่า ตามที่ปรากฏข้อมูลในสื่อออนไลน์ในรูปแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์การจัดงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด ประจำปี 2567 นั้น

 

จังหวัดเชียงราย ขอแจ้งว่าจังหวัดเชียงรายมิได้จัดทำโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ดังกล่าว ทั้งนี้ คณะกรรมการจัดการพ่อขุนฯ ยังมิได้มีการประชุมเพื่อกำหนดวัน เวลา และสถานที่ จัดงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด ประจำปี 2567 แต่อย่างใด

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ผบ.ตร.​ พบ​ “เศรษฐา” รายงานเหตุ “ผกก.ทางหลวง”​ ยิงตัวเองดับคาบ้านพัก

 

11 กันยายน 2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์​ กิตติประภัสร์​ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวภายหลังการเข้ารายงานต่อนายเศรษฐา​ ทวีสิน​ นายก​รัฐมนตรี​ ความคืบหน้าคดีพ.ต.ต.ศิวกร​ สายบัว​ สว.กก. 2 บก.ทล ถูกยิงเสียชีวิตภายในงานเลี้ยงกำนันนก​ รวมถึงกรณีพ.ต.อ.วชิรา​ ยาวไทยสงค์​ ผู้กำกับ 2 บก.ทล. 1 ใน 25 นายตำรวจที่อยู่ภายในงานเลี้ยงยิงตัวตายภายในบ้านพักเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาว่า​ นายกรัฐมนตรี เรียกเข้ามาให้รายงานความคืบหน้าในคดีที่พ.ต.อ.วชิรา ปลิดชีพ​ตัวเองที่บ้าน

โดยกำชับให้ดูคดีนี้อย่างตรงไปตรงมาในทุกมิติ เช่นเดียวกับคดียิงตำรวจทางหลวง ซึ่งขณะนี้กองบังคับการปราบปรามกำลังดำเนินการอยู่ โดยได้มีการสอบสวนตำรวจทั้ง 25 นายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และออกหมายจับไปแล้ว 6 นาย โดยเป็นตำรวจในพื้นที่ 2 นายและเป็นตำรวจทางหลวงอีก 4 นาย รวมถึงมีคำสั่งให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับชั้น ออกจากราชการไว้ก่อน โดยได้มีการรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ซึ่งนายกรัฐมนตรียังคงเน้นย้ำให้ทำคดีทั้งสองเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาในทุกมิติ และให้ความเป็นธรรมใครผิดก็ว่าไปตามผิดใครถูกก็ว่าไปตามถูก

เมื่อถามถึงกรณีที่พ.ต.อ.วชิรา ปลิดชีพตัวเองหรือ​เป็นฆ่าการตัดตอนหรือไม่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์​ ระบุว่า​ ประเด็นดังกล่าวขอเวลาตรวจสอบก่อน โดยขณะนี้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้ลงพื้นที่ไปยังที่เกิดเหตุแล้ว​ จะมีการจัดเก็บพยานหลักฐานใดที่เกิดเหตุทั้งหมด และเชื่อว่าอีกไม่นานความจริงจะกระจ่าง​ ส่วนข้อมูลแวดล้อมเพียงพอหรือไม่ ขณะนี้อย่าเพิ่งด่วนสรุป​ เพราะขอให้ตรวจสอบ จากพยานแวดล้อม​ และนิติวิทยาศาสตร์​ รวมไปถึงเรื่องอาวุธปืนให้มีความชัดเจนก่อน​

เมื่อถามถึงพ.ต.อ.วชิรา ปลิวชีพตัวเองเกิดจากสาเหตุที่พา พ.ต.ต.ศิวกร ไปยังเกิดเหตุจนเสียชีวิตใช่หรือไม่​ ผบ.ตร.​ ระบุว่า​ ขณะนี้ยังไม่อยากฟันธง ขอให้ทุกอย่าง เกิดความชัดเจนจากพนักงานสอบสวน หรือผู้รวบรวมพยานในที่เกิดเหตุก่อน​

ส่วนแนวทางการป้องกันไม่ให้ตำรวจในที่เกิดเหตุอีก 24 รายที่เหลือก่อเหตุการณ์ซ้ำรอย พ.ต.อ.วชิรา ได้อย่างไร​ เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นการฆ่าตัดตอน​ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์​ กล่าวว่า​ ขออย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าเป็นการฆ่าตัดตอนหรือค่าตัวตายขอเวลาพิสูจน์อีกนิด

ส่วนกังวลหรือไม่อาจมีความสูญเสียมากกว่านี้ เนื่องจากมีการเชื่อมโยงไปยังนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์​ กล่าวว่า​ เรื่องนี้เป็นความคิดของแต่ละคนตนยังไม่อยากพูด และยังไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้น แต่ขอดูในวันนี้ก่อนว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอะไร อาทิ​ เครียดจนฆ่าตัวตายหรือฆ่าตัดตอน​ แต่ถึงอย่างไรยังไม่ขอฟันธง ขอเวลาตรวจสอบก่อน

เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.ต.อ.วชิรา ปลิดชีพตัวเองจะทำให้รูปคดีเสียหรือไม่ ผบ.ตร.​กล่าวว่า​ คงไม่กระทบอะไร​ แต่ขอเวลาตรวจสอบก่อน และเชื่อว่าภายในวันนี้อีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้ความชัดเจนมากขึ้น​ ส่วนการคุ้มครองพยานหลักฐานที่เหลือก็จะให้ผู้บังคับบัญชาในแต่ละระดับชั้นไปตรวจสอบว่าเขามีความต้องการหรือมีความเครียดหรือไม่

ส่วนกระแสข่าวก่อนที่พ.ต.อ.วชิรา จะปลิดชีพ ได้มีการเปรยในกลุ่มไลน์นักเรียนร่วมรุ่นนายร้อยตำรวจว่าจะฆ่าตัวตาย​ ผบ. ตร.​ กล่าวว่า​ เรื่องนี้ตนขอไปหาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กระทรวงยุติธรรม เร่งเยียวยาเหยื่อโกดังพลุระเบิด นราธิวาส เสียชีวิตจ่ายเต็มที่ รายละ 200,000 บาท

จากกรณี โกดังเก็บพลุ ประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บกว่าร้อยราย รวมทั้ง บ้านเรือนและทรัพย์สินได้รับความเสียหายจำนวนมาก นั้น
 
นายธีรยุทธ แก้วสิงห์  ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ ในฐานะโฆษกกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งผู้ประสบเหตุ ที่ได้รับความเสียหายในเหตุการณ์ครั้งนี้  ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ได้เร่งให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายเป็นการเร่งด่วน โดยกรมฯได้ประสานงานกับนางอำไพ ชนะชัย ยุติธรรมจังหวัดนราธิวาสและเจ้าหน้าที่ยุติธรรมจังหวัด เพื่อประสานแนวทางการแจ้งสิทธิตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559  ร่วมกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจ สภ.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก และศูนย์ปฏิบัติการเยียวยาฯ อำเภอสุไหงโก-ลก รวมทั้งเครือข่ายศูนย์ยุติธรรมชุมชนในการให้คำปรึกษาเบื้องต้นและการให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆแก่ผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์พลุระเบิดครั้งนี้ด้วย

นายธีรยุทธฯ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดครั้งนี้ นับเป็นโศกนาฏกรรม ที่เกิดความสูญเสียอย่างมาก และเป็นเหตุสะเทือนใจของสังคม กรณีของผู้เสียหายที่เสียชีวิต มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามกฎหมายสูงสุด รายละ 200,000 บาท  ประกอบด้วย ค่าตอบแทนเสียชีวิต ไม่เกิน 100,000 บาท ค่าจัดการศพ ไม่เกิน 20,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู ไม่เกิน 40,000 บาท และค่าตอบแทนความเสียอื่น ไม่เกิน  40,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการฯจังหวัดนราธิวาส พิจารณาเป็นสำคัญ ส่วนกรณีผู้ที่ได้บาดเจ็บ มีสิทธิได้รับการเยียวยา ได้แก่ค่ารักษาพยาบาล จำนวนไม่เกิน 40,000 บาท ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ จำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ เนื่องจากต้องพักรักษาตัว ตามค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดนราธิวาส (อัตราวันละ 328 บาท)ไม่เกิน 1 ปี และค่าตอบแทนความเสียอื่น ตามความรุนแรงของอาการบาดเจ็บ จำนวนไม่เกิน 50,000 บาท

 นายธีรยุทธ กล่าวย้ำว่า กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความผิดอาญาที่ชัดเจนจากการกระทำผิดของผู้อื่น โดยที่ผู้เสียหายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่า คณะอนุกรรมการจังหวัดนราธิวาส จะสามารถประชุมพิจารณาช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วภายในสัปดาห์หน้านี้ ส่วนกรณีที่ได้รับบาดเจ็บอาจต้องรอการรักษาพยาบาลและเอกสารประกอบการพิจารณา ซึ่งสำนักงานยุติธรรมจังหวัดจะได้ประสานงานกับผู้เสียหายและทายาทอย่างใกล้ชิดต่อไป   ทั้งนี้ ทายาทหรือผู้เสียหาย สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดนราธิวาส หมายเลข 0-7353-1234 หรือ สายด่วนยุติธรรม โทร 1111 กด 77 (โทรฟรี ตลอด 24ชั่วโมง)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงยุติธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News