Categories
HEALTH

กรมการแพทย์แผนไทยฯ คัดเลือก “สมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัด”

 
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 มีรายงานจาก คณะอนุกรรมการด้านวิชาการกำหนดชนิดสมุนไพรอัตลักษณ์ประจำจังหวัด ได้พิจารณาผ่านแล้ว 57 จังหวัด อยู่ระหว่างการพิจารณา 19 จังหวัด

โดย น.ส.กมลทิพย์ สุวรรณเดช นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า สำหรับแนวทางในการพิจารณาเลือกสมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัด กำหนดให้แต่ละจังหวัดที่รู้ข้อมูลพื้นที่ตัวเองดี คัดเลือกสมุนไพรที่มีค่า มีการพบมาก เป็นพืชเศรษฐกิจ หรือหายาก มีคุณค่าทางวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อนุกรรมการฯก็จะมาพิจารณาเลือกแล้วให้ข้อมูลทางด้านสารสำคัญ งานวิจัยเข้าไป

อย่างเช่น หัวร้อยรูเป็นสมุนไพรหายากของตรังและใช้ทางยารักษาโรคมะเร็ง มีเฉพาะในธรรมชาติเท่านั้น มีการปลูกที่ยากมาก จึงให้หัวร้อยรูเป็นสมุนไพรอัตลักษณ์ของตรัง ก็มีแผนว่าจะทำอย่างไรให้ลดการเก็บจากธรรมชาติแล้วหันมาส่งเสริมการปลูกทดแทนในธรรมชาติ

 

สมุนไพอัตลักษณ์จังหวัดภาคเหนือ

  • เชียงใหม่   กัญชง
  • แม่ฮ่องสอน  บุกไข่
  • เชียงราย  ส้มป่อย
  • ลำพูน  เปล้าใหญ่
  •  ลำปาง  กวาวเครือ
  • พะเยา  เพชรสังฆาต
  •  แพร่  กลอย
  • น่าน  มะแข่น/มะแขว่น
  • ตาก  ขมิ้นชัน
  •  สุโขทัย  เพกา
  • พิษณุโลก  ส้มซ่า
  • กำแพงเพชร  สมอพิเภก
  • เพชรบูรณ์  ขิง
  • พิจิตร  ฟ้าทะลายโจร

สมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัดภาคกลาง

  • ชัยนาท  มะตูม
  • นครปฐม กระชาย
  •  นนทบุรี หน่อกะลา
  • ปทุมธานี  บัวหลวง
  • พระนครศรีอยุธยา  ผักเสี้ยนผี
  • ลพบุรี  ฟ้าทะลายโจร
  • สมุทรปราการ  เหงือกปลาหมอดอกม่วง
  • สมุทรสาคร  เหงือกปลาหมอดอกขาว
  •  สมุทรสงคราม  เกลือสมุทร
  • สุพรรณบุรี  ว่านพระฉิม
  • อุทัยธานี  คนฑา
  • อ่างทอง  ข่าตาแดง

สมุนไพรอัตลักษณ์ภาคใต้

  • กระบี่  กระท่อม
  • ชุมพร  มะเดื่ออุทุมพร
  • ตรัง หัวร้อยรู และพริกไทย
  • นครศรีธรรมราช  จันทน์เทศ
  • นราธิวาส คนที
  • ปัตตานี  ปลาไหลเผือก
  •  พัทลุง  ไพล
  • ภูเก็ต  ส้มควาย
  • สงขลา  กระท่อม
  • สุราษฎร์ธานี  ขมิ้นชัน

สมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัดภาคตะวันตก

  • กาญจนบุรี  มะขามป้อม
  • ประจวบคีรีขันธ์  ว่านหางจระเข้
  •  ราชบุรี  ขมิ้นอ้อย
  • เพชรบุรี  หัวเข่าคลอน

สมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัดภาคตะวันออก

  • จันทบุรี  กระวาน และพริกไทย
  • ปราจีนบุรี  ฟ้าทะลายโจร

 

น.ส.กมลทิพย์ กล่าวด้วยว่า สมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัดอาจจะมีซ้ำกันได้ เช่น ขมิ้นชัน มีสุราษฎร์ธานีกับตาก ซึ่งมีความแตกต่างกัน โดยที่สุราษฎร์ธานีจะมีสารเคอร์คูมินอยด์สูง แต่ตากจะมีส่วนของน้ำมันหอมระเหยที่สูง  บางจังหวัดก็มี 2 ชนิด เช่น ตรังมีหัวร้อยรูและพริกไทย ซึ่งพริกไทยของตรังมีคุณภาพดีมาก พอๆ กับของจันทบุรี แหล่งพริกไทยสำคัญและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอก็ให้พริกไทยทั้งที่ตรังและจันทบุรี

การส่งเสริมต่อยอดสมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัด  น.ส.กมลทิพย์ กล่าวว่า เมื่อได้ครบแล้ว แต่ละจังหวัดจะกำหนดแผนในการผลิตสมุนไพรชนิดนั้นๆ ให้ได้ตามมาตรฐานของการปลูกและการเก็บเกี่ยวที่ดีให้ได้วัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพ สามารถส่งเสริมในการผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรต่างๆ ที่จะใช้ใน รพ.หรือจำหน่ายให้แก่ประชาชน

โดยการใช้วัตถุดิบสมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัดนั้น เช่น ขิง เพชรบูรณ์ประกาศว่าคุณภาพดีที่สุด ผู้ประกอบการก็ไปที่เพชรบูรณ์ก็จะได้ขิงที่มีคุณภาพดีที่สุด เป็นต้น  นอกจากนี้ จะเข้าไปช่วยส่งเสริมในเรื่องของผลิตภัณฑ์หรือสินค้า OTOP ของดีประจำจังหวัดด้วย

 

ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ตามแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 – 2570 กำหนดค่าเป้าหมาย ขนาดตลาดวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพรของประเทศไทย

  • ปี 2567 จำนวน 63,045 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 %  
  • ปี 2568 จำนวน 72,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 %
  • ปี 2569 จำนวน 87,003.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 %  
  • ปี 2570 จำนวน 104,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 % 

และร้อยละความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain)อุตสาหกรรมสมุนไพรไทย ในปี 2570เพิ่มขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 20 จากปี 2565

ซึ่งผลจากการพัฒนา 15 เมืองสมุนไพรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560-2566 เกิดรายได้สะสมจากการขายผลิตภัณฑ์ และบริการที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพร รวม 11,783 ล้านบาท แยกเป็น 3 คลัสเตอร์

1.ด้านเกษตรและวัตถุดิบสมุนไพร ได้แก่ จังหวัดอำนาจเจริญ สุรินทร์มหาสารคาม อุทัยธานี สกลนคร และ สระแก้ว  สร้างรายได้ระดับพื้นที่สะสม 1,837 ล้านบาท

 2.ด้านอุตสาหกรรมสมุนไพร ได้แก่ จังหวัดนครปฐม สระบุรี ปราจีนบุรี และจันทบุรี สร้างรายได้ระดับพื้นที่สะสม 3,720 ล้านบาท

3.ด้านท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ความงามและการแพทย์แผนไทย ได้แก่ จังหวัดเชียงราย พิษณุโลก อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และ สงขลา สร้างรายได้ระดับพื้นที่สะสม 6,226  ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการแพทย์แผนไทยฯ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
HEALTH NEWS

กรมอนามัย เตือนกิน จิ้งจก-ตุ๊กแก ระวังเสี่ยงติดเชื้อในทางเดินอาหาร

 

 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนจากข้อมูลที่แชร์บนโลกออนไลน์ กินจิ้งจก ตุ๊กแก หวังเสริมสมรรถนะทางเพศ ไม่เป็นความจริง ชี้ประชาชน ไม่ควรกิน เพราะยังไม่มีงานวิจัยรองรับถึงประโยชน์ตามที่กล่าวอ้าง พร้อมแนะประชาชนดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับให้เพียงพอ ลดการดื่มแอลกอฮอล์และเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพื่อสุขอนามัยที่ดี

 

        นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกรณีข้อมูลที่แชร์บนโลกออนไลน์ หนุ่มใหญ่อายุ 59 ปี จับจิ้งจกมากินโชว์ อ้างว่าจิ้งจกมีสรรพคุณเป็นยาโด๊ป กินเป็นประจำจะทำให้สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะสุภาพบุรุษ จะเพิ่มสมรรถภาพทางเพศภายในสามชั่วโมงหลังจากกินรวมทั้งสื่อต่างประเทศรายงานข่าว หนุ่มใหญ่ชาวไทยอีกเช่นเคย กินตุ๊กแกเป็นอาหารเพื่อปรับปรุงสมรรถภาพทางเพศ โดยใช้วิธีกินดิบไม่ปรุงสุกเพราะเชื่อว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงนั้น การกินจิ้งจก และตุ๊กแกอาจมีโอกาสได้รับเชื้อโปรโตรซัวที่อยู่ในสัตว์เลื้อยคลาน เพราะจิ้งจกและตุ๊กแกดำรงชีวิตด้วยการกินอาหารสด จำพวกแมลงหรือสัตว์ขนาดเล็กที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย ติดเชื้อในทางเดินอาหาร หรือปวดท้องบิดได้ โดยเฉพาะในมูลของจิ้งจก ตุ๊กแก อาจมีเชื้อราปนเปื้อน และเชื้อซาลโมเนลลาที่เป็นพาหะโรคอุจจาระร่วง อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ รวมทั้งตุ๊กแกดิบ ๆ อาจได้รับอันตรายเพราะตุ๊กแกเป็นสัตว์ที่มีฟันที่แหลมคมกัด รวมทั้งการได้ตามจับตุ๊กแกก็เสี่ยงต่อสัตว์มีพิษชนิดอื่นๆ ได้ เนื่องจากตุ๊กแกไม่ใช่สัตว์ที่เพาะเลี้ยงเพื่อใช้บริโภค จึงต้องหาจากป่า สวน หรือบริเวณบ้านเรือน อีกทั้ง หากไม่มีกระบวนการชำแหละ จะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อก่อโรคได้

 

        ทั้งนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่สามารถยืนยันได้ว่า จิ้งจก หรือตุ๊กแกสามารถเสริมสมรรถภาพทางเพศหรือรักษาโรคได้จริงหรือไม่ สำหรับชายหนุ่มที่ต้องการมีสมรรถนะทางเพศที่แข็งแรง ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ไข่ ถั่ว เนื้อหมู เนื้อวัว หอยนางรม เหล่านี้เป็นอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน วิตามินอีและสังกะสี ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มความแข็งแรงและบำรุงระบบสืบพันธุ์ ลดการดื่มแอลกอฮอล์และเลี่ยงการสูบบุหรี่ รวมทั้งหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็สามารถมีสุขอนามัยที่ดี ลดความเสี่ยงในการบริโภคจิ้งจก หรือตุ๊กแกที่จะได้รับเชื้อก่อโรคได้

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH NEWS

ครม.อนุมัติงบ 208 ล้าน โรงพยาบาล ม.พะเยา เพิ่มบุคลากร 731 อัตรา

 
เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2567 ที่ผ่านมา นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยพะเยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา (แผนอัตรากำลังโรงพยาบาลฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2571 จำนวน 731 อัตรา งบประมาณรวมทั้งสิ้น 208.08 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ทั้งนี้ แผนอัตรากำลังฯ จะส่งผลต่อการเพิ่มอัตรากำลังและบุคลากร และภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต จึงเห็นควรที่มหาวิทยาลัยพะเยาจะพิจารณาดำเนินการเท่าที่จำเป็นตามภารกิจหลัก อย่างประหยัด และคุ้มค่า และคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่าย โดยเฉพาะรายได้หรือเงินนอกงบประมาณอื่นใดที่มหาวิทยาลัยมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายเป็นลำดับแรก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
 
 
โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
(1) ขยายศักยภาพเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก ระดับ M1 ขนาด 200 เตียง ในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2571 เพื่อรองรับการให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและการขยายศักยภาพเป็นโรงพยาบาลทั่วไป ระดับ S
 
(2) เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของเขตสุขภาพที่ 1 ในเขตพื้นที่ล้านนาตะวันออก (จังหวัดเชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน และพะเยา) เป็นหน่วยให้บริการที่เป็นโรงพยาบาลรับผู้ป่วยส่งต่อระดับสูง รวมทั้งพัฒนาเรื่องต่าง ๆ เช่น ระบบบริการสุขภาพด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน การดูแลผู้สูงอายุในเขตบริการ ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินและระบบการส่งต่อเพื่อลดความแออัดในเขตสุขภาพที่ 1
 
(3) พัฒนาศูนย์การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพเพื่อรองรับการเป็นสถานฝึกปฏิบัติการในชั้นคลินิกสำหรับนิสิตแพทย์มหาวิทยาลัยพะเยาให้มีศักยภาพ สามารถใช้เป็นแหล่งฝึกบุคลากรทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมทั้งเพื่อรองรับการจัดการเรียนการสอนทั้งก่อนปริญญาและหลังปริญญา
 
และ (4) พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ เช่น ศูนย์ตรวจสุขภาพ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง ศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง
 

“สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้พิจารณาแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลฯ แล้ว เห็นว่า แผนความต้องการอัตรากำลังฯ มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาขีดความสามารถ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เช่น
 
(1) ควรทบทวนภารกิจของหน่วยงานให้สอดคล้องกับภาระงาน เช่น การขยายสถานที่บริการ ควรฝึกวิชาชีพเฉพาะทางหลักสูตรต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น
 
(2) ควรวิเคราะห์ปริมาณงานเฉลี่ย
 
(3) การของบประมาณตามแผนความต้องการอัตรากำลังฯ ควรคำนึงถึงภาระผูกพันในการจัดสรรงบประมาณด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
 
 
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยพะเยาได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระยะเวลาการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเพื่อรองรับการขอเพิ่มอัตรากำลังดังกล่าวไม่สอดคล้องกับระยะเวลาการขอรับจัดสรรงบประมาณในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยพะเยาจึงได้ปรับระยะเวลาของแผนอัตรากำลังฯ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2566-2569 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2571” นายคารม กล่าว
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

อย่าแชร์! ภูมิแพ้ขึ้นตา คัน เกิดจากลมขึ้นเบื้องสูง

 
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2024  หน่วยงานที่ตรวจสอบ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจตามที่มีข้อมูลในสื่อต่าง ๆ ในประเด็นเรื่องภูมิแพ้ขึ้นตา คัน เกิดจากลมขึ้นเบื้องสูง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 

ตามที่มีผู้ส่งต่อข้อมูลถึงเรื่องภูมิแพ้ขึ้นตา คัน เกิดจากลมขึ้นเบื้องสูง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

จากที่มีการโพสต์และแชร์ข้อมูลด้านสุขภาพว่า ภูมิแพ้ขึ้นตา คัน เกิดจากลมขึ้นเบื้องสูง ทางโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ไม่มีข้อมูลทางวิชาการแพทย์แผนปัจจุบันใดที่อธิบายความสัมพันธ์ของอาการภูมิแพ้ขึ้นตาว่า เป็นสาเหตุจากลมขึ้นเบื้องสูง

(ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน : อาการที่ลมดันออกจากร่างกายทำให้หาวเรอ หรือให้เกิดอาการวิงเวียนหน้ามืดและอาเจียน ในกรณีหลังบางที่ก็เรียกว่า ลมขึ้นเบื้องสูง)

โดยอาการภูมิแพ้ขึ้นตา คัน ไม่ได้เกิดจากลมดันและไม่ได้ทำให้มีอาการวิงเวียน หน้ามืด อาเจียนแต่อย่างใด

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.rajavithi.go.th หรือโทร. 02 206 2900

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่มีข้อมูลทางวิชาการแพทย์แผนปัจจุบันใดที่อธิบายความสัมพันธ์ของอาการภูมิแพ้ขึ้นตาว่า เป็นสาเหตุจากลมขึ้นเบื้องสูง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

อย่าแชร์! วางโทรศัพท์มือถือไว้หัวนอน ทำให้เป็นมะเร็งสมอง

 
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2024 เวลา 13:30 น. หน่วยงานที่ตรวจสอบ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจตามที่มีข้อมูลในสื่อต่าง ๆ ในประเด็นเรื่องวางโทรศัพท์มือถือไว้หัวนอน ทำให้เป็นมะเร็งสมอง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
จากกรณีที่มีการส่งต่อข้อมูลเตือนให้ระวังสำหรับผู้ที่ชอบวางโทรศัพท์มือถือไว้ตรงหัวนอน เพราะโทรศัพท์มือถือมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวการหลัก ทำให้เกิดมะเร็งสมอง ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ปัจจุบันมีการศึกษาในหลายงานวิจัย แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือการวางโทรศัพท์มือถือใกล้บริเวณศีรษะ จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสมองทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ยังคงต้องมีการศึกษาต่อเนื่อง และติดตามในระยะยาวในอนาคต
 
 

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800

 

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือการวางโทรศัพท์มือถือใกล้บริเวณศีรษะ จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสมองทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

ประกาศ 4 จังหวัดนำร่อง บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ทุกเครือข่าย

 

วันนี้ (24 ตุลาคม 2566) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการฯ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงกรรมการจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งกระทรวงกลาโหม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร สภาวิชาชีพด้านสุขภาพ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน สำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม


          นายเศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนการสาธารณสุขของประเทศ โดยยกระดับระบบบริการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และสร้างระบบสาธารณสุขที่เหมาะสมสำหรับทุกคนบนแผ่นดินไทย มุ่งเน้นให้ทุกคนมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง เข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ซึ่งวันนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งแรก เพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพ โดยเฉพาะการสร้างและพัฒนาระบบสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นคงด้านสุขภาพในระยะยาวให้เกิดความเท่าเทียม เป็นธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยมีการหารือ 5 ประเด็นเร่งด่วนตามนโยบายยกระดับ 30 บาท ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้งในและนอกระบบสาธารณสุข ได้แก่ บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่, มะเร็งครบวงจรและการให้วัคซีน HPV, สถานชีวาภิบาล, การเพิ่มการเข้าถึงบริการในเขต กทม. และสุขภาพจิต/ยาเสพติด ซึ่งเป็นประเด็นที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ให้คำมั่นไว้กับประชาชน

 


          นายเศรษฐากล่าวว่า ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ” ทำหน้าที่ติดตามและกำกับการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ โดยให้น.ส.แพทองธาร เป็นประธาน และมีกรรมการจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางสุขภาพในระยะยาวของประเทศ ให้คนไทยแข็งแรง ประเทศชาติมั่นคง นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบตามที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอให้พิจารณาแต่งตั้งผู้แทนในคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ เพิ่มเติม 2 ตำแหน่ง คือ นายกสภาการสาธารณสุขชุมชน และนายกสภาการแพทย์แผนไทย

 


          น.ส.แพทองธารกล่าวว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคนมาตั้งแต่ปี 2544 ปัจจุบันครอบคลุมประชาชนมากกว่าร้อยละ 99.6 ช่วยให้เข้าถึงบริการมากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ และลดจำนวนครัวเรือนที่ยากจนจากรายจ่ายด้านสุขภาพได้ แต่ยังต้องพัฒนาต่อเนื่อง โดยแก้ไขจุดที่เป็นปัญหาและความทุกข์ของประชาชน คือ ความเหลื่อมล้ำในการรับบริการ ความแออัด และระยะเวลารอคอยการรักษา โดยเฉพาะโรงพยาบาลในเขตเมือง ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการ ตั้งแต่ส่งเสริมป้องกัน ตรวจวินิจฉัย ดูแลรักษา นัดหมาย ส่งต่อ และเชื่อมโยงจัดการฐานข้อมูลทั้งหมด เพื่อมุ่งสู่ก้าวต่อไปคือ ยกระดับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ารักษาได้ทุกที่ ให้ประชาชนทุกระดับสามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับบริการสุขภาพได้ทุกหน่วยบริการ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐ เอกชน คลินิก และร้านขายยาใกล้บ้าน รวมทั้งพัฒนาคุณภาพการให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว มีทางเลือกที่เหมาะสม ลดขั้นตอนบริการ ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการโดยยึดหลัก “ผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง” เช่น นัดหมายออนไลน์ ใบรับรองแพทย์อิเล็กทรอนิกส์ ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน พื้นที่ห่างไกลให้เข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ทันท่วงที ไร้ข้อจำกัด ผ่านระบบ Telemedicine การส่งยาและเวชภัณฑ์ไปยังบ้านผู้ป่วย ซึ่งทั้งหมดนี้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันจึงจะยกระดับหลักประกันสุขภาพฯ ของไทยให้ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน

 


          นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรื่องบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ จะนำร่องใน 4 จังหวัด คือ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส ที่สามารถเข้ารับบริการได้ทุกเครือข่ายทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหลังจากนี้จะเร่งพัฒนาระบบบันทึกข้อมูล ระบบยืนยันตัวตน และเชื่อมโยงข้อมูลเครือข่ายบริการ ทั้งโรงพยาบาล คลินิก ร้านยา และแล็บที่สนใจเข้าร่วม ซึ่งจะทำให้ สปสช.สนับสนุนงบประมาณและจ่ายชดเชยให้หน่วยบริการได้เร็วขึ้น โดยจะได้รับงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวล่วงหน้า กรณีผู้ป่วยนอกจะจ่ายชดเชยใน 3 วัน และผู้ป่วยในจ่ายชดเชยทุก 7-14 วัน รวมถึงจะมีการเพิ่มคู่สาย สายด่วน 1330 ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยนัดหมายบริการ ยืนยันตัวตน การไปรับยาใกล้บ้าน เป็นต้น โดยเพิ่มอาสาสมัคร เช่น พยาบาลเกษียณ หรือคนพิการ เข้าร่วมบริการประชาชน

 


          นพ.ชลน่านกล่าวต่อว่า เรื่องมะเร็งครบวงจรจะครอบคลุมทั้งงานส่งเสริมป้องกัน คัดกรอง ตรวจวินิจฉัย รักษา และดูแลผู้ป่วย โดยจะมีการคิกออฟทีม Cancer Warrior ทั้งระดับกระทรวง ระดับเขตสุขภาพและระดับจังหวัดในปลายเดือนตุลาคมนี้ เพื่อดูแลประชาชนทุกจังหวัดให้มีความรู้และตระหนักในการป้องกันโรคมะเร็ง โดยเฉพาะ 5 มะเร็งสำคัญ คือ มะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก, คิกออฟฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูกในหญิงอายุ 11-20 ปี 1 ล้านโดส วันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 และคิกออฟคัดกรองพยาธิใบไม้ในตับฟรี 1 แสนคน ภายในเดือนพฤศจิกายน 2566 นอกจากนี้ จะเพิ่มการเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยี PET/CT Scan SPECT/CT การแพทย์เฉพาะบุคคล การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้า และรังสีรักษาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมง ส่วนสถานชีวาภิบาล ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง ติดบ้านติดเตียง ผู้ป่วยที่รับการดูแลแบบประคับประคอง ตั้งแต่ระยะแรกจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีมาตรฐานมากขึ้น เพิ่มคุณภาพชีวิต ลดภาระค่าเดินทาง ลดความกังวลครอบครัว จะพัฒนาคนเพื่อรองรับระบบชีวาภิบาลเพิ่มขึ้น 5 พันคน สร้างระบบชีวาภิบาลในทุกโรงพยาบาล บริการที่บ้าน ชุมชน และ Telemedicine รวมทั้งจัดตั้งสถานชีวาภิบาลในชุมชน เช่น วัดคำประมง จังหวัดสกลนคร และขยายสิทธิให้ครอบคลุมทั้ง 3 กองทุนสุขภาพ โดยเป้าหมาย 100 วันแรกจะจัดตั้งสถานชีวาภิบาลทุกเขตสุขภาพและใน กทม. 7 เขต มีการจัดบริการ Hospital at Home หรือ Home Ward ทุกจังหวัด โดยจะมีการเปิดสถานชีวาภิบาลต้นแบบในเดือนธันวาคม 2566    

 


          สำหรับการเพิ่มการเข้าถึงบริการในเขตกรุงเทพมหานคร 50 เขต 50 โรงพยาบาล จะนำร่องโรงพยาบาลประจำเขตดอนเมืองระยะที่ 1 โดยยกระดับโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) เป็นโรงพยาบาลทุติยภูมิขนาด 120 เตียง ยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุข 60 รสสุคนธ์ มโนชญากร เป็นโรงพยาบาลผู้ป่วยนอกเฉพาะทางร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่าย และเตรียมพร้อมโรงพยาบาลราชวิถี 2 เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อผู้ป่วย คาดว่าจะเปิดให้บริการทั้ง 3 ส่วนได้ภายในเดือนธันวาคม 2566 ขณะที่เรื่องสุขภาพจิตและยาเสพติด ยึดหลักการ “เพื่อนแท้มีทุกที่” ให้ประชาชนเข้าถึงบริการคุณภาพตั้งแต่ระยะแรก และสามารถกลับไปใช้ชีวิตในชุมชนได้ โดยจัดตั้งมินิธัญญารักษ์ทุกจังหวัดเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการบำบัดรักษาฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด ตามหลักการเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย ซึ่งปัจจุบันมีมินิธัญญารักษ์แล้ว 35 จังหวัด 64 โรงพยาบาล มีกลุ่มงานจิตเวชทุกอำเภอ และมีหอผู้ป่วยจิตเวชทุกจังหวัด นอกจากนี้ จะส่งเสริมสุขภาพจิตเชิงรุกในชุมชน ค้นหากลุ่มเสี่ยงในชุมชน บริการฉุกเฉินจิตเวช เพิ่มการเข้าถึงบริการจิตเวชทางไกล และการฟื้นฟูผู้ป่วยระยะยาวในชุมชน/สังคม

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

อย. ตั้งเป้า 100 วัน 100 ผลิตภัณฑ์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

 

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมการดำเนินภารกิจของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา พร้อมมอบนโยบายให้กับผู้บริหารและบุคลากร

 


          นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นองค์กรที่มีส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการสนับสนุนภาคธุรกิจผู้ประกอบการตั้งแต่ระดับชุมชนถึงระดับประเทศให้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล ซึ่งสอดรับกับการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขด้านเศรษฐกิจสุขภาพ โดย Quick Win 100 วันแรก ได้ตั้งเป้าอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพชุมชน 100 รายการ พร้อมจัดโครงการยกระดับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยสู่ตลาดความงามโลก ส่วนด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพร ได้เตรียมปรับหลักเกณฑ์ให้ง่ายต่อการประกอบการ ลดระยะเวลาการอนุญาต ผลิตภัณฑ์ เช่น ยาหม่อง/ยาน้ำมัน ภายใน 1 วันทำการ ส่งเสริมนวัตกรรมและงานวิจัยผลิตภัณฑ์สมุนไพรผ่านระบบการให้คำปรึกษา พร้อมไปกับการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยร่วมมือกับผู้บริโภคเฝ้าระวังเชิงรุก ร่วมตรวจ ร่วมสื่อสาร แจ้งเตือนภัย ภายใต้แนวคิด “พัฒนาฐานราก อนุญาตเร็วไว ส่งเสริมนวัตกรรมไทย ผลิตภัณฑ์สมุนไพรปลอดภัย สู่ประชาชน”

 


          นายแพทย์ชลน่านกล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินงานในปี 2567 อย. มีแผนที่จะยกระดับผู้ประกอบการอาหารแปรรูป พัฒนานวัตกรรมบริการและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน ผลักดันการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการประกอบการเครื่องมือแพทย์ ส่งเสริมการเข้าถึงเครื่องมือแพทย์ ประเภท AI ตลอดจนมุ่งสู่ระบบดิจิทัลสุขภาพ โดยขยายโครงการใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการออกของที่ได้รับอนุญาตจากระบบ e-Submission ของกองด่านอาหารและยา ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการและผู้ลงทุนผลิตภัณฑ์สุขภาพไทยได้เป็นอย่างดี

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“หมอชลน่าน” สั่งปูพรมทั่วประเทศ สกัด “ ไข้หวัดใหญ่” หลังพบระบาดเพิ่ม 3 เท่า

 

    วันนี้ (14 ก.ย. 66)นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ว่า ล่าสุดได้รับรายงานมีจำนวนผู้ป่วยมากถึง 138,766 ราย อัตราป่วยเพิ่มสูงถึงกว่า 200 รายต่อประชาการแสนราย หรือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ที่แม้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะมีเพียงแค่ 2 ราย ในจังหวัดสงขลาและนครราชสีมา ก็ตาม


          นายแพทย์ชลน่านกล่าวต่อว่า การระบาดในรอบนี้ เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/H1N1 ซึ่งประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือ มีการระบาดในโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่มีเด็กนักเรียนอยู่รวมกัน อาจมีการไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ร่วมกันได้ง่าย โดยข้อมูลของกรมควบคุมโรคพบว่า ในสัปดาห์ที่ 35 (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม–2 กันยายน) มีรายงานนักเรียนป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 101 ราย ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดลําพูน จากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อ 5 ราย พบเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิด A 4 ราย (ร้อยละ 80) จึงได้สั่งการให้กรมควบคุมโรคเตรียมพร้อมส่งทีมสอบสวนโรคปูพรมทุกโรงเรียนในชุมชน โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดสูงกว่าพื้นที่อื่น รวมถึงให้ทุกโรงพยาบาลเตรียมพรร้อมให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วย โดยขอให้บุคลากรสาธารณสุขทุกคนถือว่าเรื่องนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

หน้ากากอนามัยผ้าสปันบอนด์ เป็นไมโครพลาสติก สูดดมอาจเสี่ยงมะเร็ง ไม่เป็นความจริง

 

วันเสาร์ที่ 9 กันยายน 2566  ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยข่าวปลอม อย่าแชร์! หน้ากากอนามัยผ้าสปันบอนด์ เป็นไมโครพลาสติก สูดดมอาจเสี่ยงมะเร็ง

 

ตามที่มีข้อมูลเตือนในสื่อโซเชียลเรื่องหน้ากากอนามัยผ้าสปันบอนด์ เป็นไมโครพลาสติก สูดดมอาจเสี่ยงมะเร็ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีที่มีผู้บอกต่อข้อมูลโดยระบุว่า หน้ากากอนามัยผ้าสปันบอนด์ที่เกิดจากเส้นใยสังเคราะห์ของโพลิเมอร์ที่เป็น “Polypropylene ( PP )” ซึ่งมีกลิ่นฉุน แตกยุ่ยได้ง่าย จะก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เรียกว่า ไมโครพลาสติก หากสูดดมเข้าไปในร่างกายจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า หน้ากากอนามัยผลิตจากใยสังเคราะห์ประเภทเดียวกันกับผ้าสปันบอนด์ ซึ่งทำมาจากพลาสติกกลุ่ม Polypropylene จากรายงานขององค์การวิจัยมะเร็งนานาชาติ (International Agency for Research on Cancer ; IARC) ระบุว่า พลาสติกกลุ่ม Polypropylene ไม่จัดเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ หรืออยู่ในกลุ่ม 3

โดยในปัจจุบันการใช้หน้ากากอนามัยที่ทำมาจากผ้าสปันบอนด์จึงยังไม่มีข้อมูลว่า ทำให้เกิดโรคมะเร็ง ซึ่งพลาสติกกลุ่ม Polypropylene ที่นำมาใช้ผลิตผ้าสปันบอนด์ใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายเร็วกว่าพลาสติกทั่วไป ทำให้เกิดความกังวลว่า พลาสติกชนิดนี้จะย่อยสลายเป็นไมโครพลาสติกแล้วปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีรายงานทางวิชาการที่ยืนยันแน่ชัดถึงไมโครพลาสติกกลุ่ม Polypropylene ที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อมแล้วก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่ควรตื่นตระหนกเกี่ยวกับการใช้หน้ากากอนามัยจากใยสังเคราะห์สปันบอนด์

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.nci.go.th หรือ โทร. 02-202-6800

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : หน้ากากอนามัยผลิตจากใยสังเคราะห์เป็นประเภทเดียวกันกับผ้าสปันบอนด์ ซึ่งทำมาจากพลาสติกกลุ่ม Polypropylene ซึ่งพลาสติกกลุ่ม Polypropylene ไม่จัดเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ดังนั้น การใช้หน้ากากอนามัยที่ทำมาจากผ้าสปันบอนด์จึงยังไม่มีข้อมูลว่า ทำให้เกิดโรคมะเร็ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

ดื่มน้ำโซดาช่วยทำให้อาหารย่อยได้ง่ายขึ้นไม่เป็นความจริง

วันที่ 1 กรกฎาคม 2566  ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยข่าวปลอม อย่าแชร์! ดื่มน้ำโซดาช่วยทำให้อาหารย่อยได้ง่ายขึ้น

 

ตามที่มีการแชร์ข้อความผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ในประเด็นเรื่องดื่มน้ำโซดาช่วยทำให้อาหารย่อยได้ง่ายขึ้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีที่มีข้อความชวนเชื่อที่ระบุว่า ดื่มน้ำโซดาช่วยทำให้อาหารย่อยได้ง่ายขึ้นนั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า โซดา คือ น้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งไม่มีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร อีกทั้งยังไม่มีการศึกษาใดยืนยันได้ว่า การดื่มโซดาช่วยย่อยอาหารได้ ซึ่งโซดามีฤทธิ์เป็นกรดเล็กน้อย ไม่มีฤทธิ์ในการย่อยอาหาร

นอกจากนี้แล้วความเป็นกรดของโซดาเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งเสริมให้เกิดกรดไหลย้อนและฟันผุ ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน หรือโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารควรหลีกเลี่ยงการดื่มโซดา 

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือหากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1556

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : โซดา คือ น้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งไม่มีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร อีกทั้งยังไม่มีการศึกษาใดยืนยันได้ว่า การดื่มโซดาช่วยย่อยอาหารได้

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News