Categories
HEALTH

เตือนภัยหน้าร้อน! พยาธิตืดหมูซ่อนในอาหารดิบ กินสุกปลอดภัย

การบริโภคอาหารสุก ป้องกันโรคถุงพยาธิตืดหมูในช่วงหน้าร้อน

ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากอาหารที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารดิบที่อาจปนเปื้อนพยาธิหรือเชื้อโรค กรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย “ไอ้แจ๋ว เมืองจันท์” โพสต์เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 เกี่ยวกับภาพเอกซเรย์ที่เผยให้เห็นถุงพยาธิตืดหมูในร่างกายผู้ป่วย เป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายของการบริโภคอาหารดิบหรืออาหารที่ปนเปื้อนไข่พยาธิ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคถุงพยาธิตืดหมู (Cysticercosis) และโรคอื่น ๆ ที่มากับอาหาร

อันตรายจากอาหารดิบ กรณีโรคถุงพยาธิตืดหมู

โพสต์จาก “ไอ้แจ๋ว เมืองจันท์” เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อน ขณะทำงานเป็นผู้ช่วยเอกซเรย์ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบภาพเอกซเรย์ของผู้ป่วยที่เผยให้เห็นถุงพยาธิตืดหมูในร่างกาย ซึ่งต่อมาอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อธิบายว่าเป็นโรค Cysticercosis เกิดจากตัวอ่อนของพยาธิตืดหมู (Taenia solium) ฝังตัวในอวัยวะต่าง ๆ เช่น กล้ามเนื้อ สมอง ลูกตา หรือหัวใจ สาเหตุหลักเกิดจากการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนไข่พยาธิ หรือการที่พยาธิในลำไส้ขย้อนไข่กลับสู่กระเพาะอาหาร ไข่พยาธิจะฟักเป็นตัวอ่อน ไชผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด และฝังตัวตามอวัยวะต่าง ๆ

โรคนี้พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคกลาง จากข้อมูลระหว่างปี 2490-2547 มีผู้ป่วยประมาณ 500 ราย (ที่มา: วารสารการแพทย์ไทย) อาการขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตัวอ่อนฝังตัว เช่น อาการชักหรือปวดศีรษะหากอยู่ในสมอง หรือตาบอดหากอยู่ในลูกตา การบริโภคเนื้อหมูดิบ หรือผักที่ปนเปื้อนไข่พยาธิจากปุ๋ยคอกที่ไม่สะอาด เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อ

ความอร่อยไม่ต้องดิบก็เป็นเอกลักษณ์ที่น่าลิ้มลอง และเป็นที่น่าจดจำ

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งริเริ่มโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6 มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนลดการบริโภคอาหารดิบและหันมาปรุงอาหารให้สุกอย่างถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อโรคและพยาธิเจริญเติบโตได้ดี แคมเปญนี้ไม่ห้ามกินอาหารดิบโดยสิ้นเชิง แต่ชวนให้ลองปรับเมนูดิบเป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติที่คุ้นเคยและเพิ่มความปลอดภัย

ตัวอย่างเมนูที่แนะนำ เช่น ลาบสุก ที่ใช้เนื้อหมูหรือวัวย่างจนสุกก่อนคลุกเคล้ากับเครื่องเทศและสมุนไพร หรือจิ้นส้มหมกไข่ที่เปลี่ยนจากการหมักดิบเป็นการอบหรือนึ่งจนสุก เมนูเหล่านี้ยังคงรสชาติเปรี้ยวเผ็ดและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านภาคเหนือ การเลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่ได้รับการรับรอง เช่น ตลาดที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ และล้างผักให้สะอาดก่อนปรุง ช่วยลดความเสี่ยงจากไข่พยาธิและเชื้อโรคอื่น ๆ

การป้องกันโรคถุงพยาธิต T. solium คำเตือนในช่วงหน้าร้อน

กรณีโรคถุงพยาธิตืดหมูชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกในช่วงหน้าร้อน ซึ่งสภาพอากาศร้อนชื้นเอื้อต่อการเจริญเติบโตของพยาธิและเชื้อโรค เพจ Drama-addict อธิบายเพิ่มเติมว่า การติดเชื้อแบบนี้ไม่เพียงเกิดจากการกินเนื้อดิบที่มีตัวอ่อนพยาธิเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการกินผักดิบที่ปนเปื้อนไข่พยาธิจากปุ๋ยคอกที่ไม่สะอาด หรือการกินยาขับพยาธิผิดวิธีจนปล้องพยาธิขย้อนกลับสู่กระเพาะอาหาร ทำให้ไข่พยาธิฟักเป็นตัวอ่อนในร่างกาย

คำแนะนำจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ระบุถึง 5 โรคหน้าร้อนที่เกี่ยวข้องกับอาหารไม่ปลอดภัย เช่น อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ และไวรัสตับอักเสบเอ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยหลัก “สุก ร้อน สะอาด” การปรุงอาหารที่อุณหภูมิอย่างน้อย 63°C หรือจนเนื้อเปลี่ยนสีขาวสนิท และการแช่แข็งเนื้อหมูที่ -20°C เป็นเวลา 1-3 วัน ช่วยฆ่าตัวอ่อนพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่าการบริโภคอาหารสุกเป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องสูญเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบ การปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุกสามารถทำได้โดยไม่ยุ่งยาก เช่น การย่างเนื้อแทนการใช้ดิบ หรือการนึ่งส่วนผสมแทนการหมัก ตัวอย่างเช่น น้ำพริกอ่องที่ใช้หมูสับปรุงสุกยังคงความเผ็ดจัดจ้าน หรือข้าวซอยไก่ย่างที่คงความหอมของเครื่องแกงไว้อย่างครบถ้วน การล้างผักและผลไม้ให้สะอาด และเลือกซื้อเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ผ่านการตรวจสอบ เช่น ตลาดที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากไข่พยาธิ

แคมเปญนี้ยังเชิญชวนให้ประชาชนแชร์เมนูสุกที่ทำเองผ่านโซเชียลมีเดียด้วยแฮชแท็ก #กิ๋นสุกเป๋นสุข #สุกอร่อยปลอดภัย และ #ลดดิบเพิ่มสุข เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ในช่วงหน้าร้อนที่ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น การเลือกกินอาหารสุกไม่เพียงป้องกันโรคถุงพยาธิตืดหมูและโรคที่มากับอาหาร แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาว กรณีภาพเอกซเรย์ที่เผยถุงพยาธิในร่างกายเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มิสยูนิเวิร์สเชียงราย 2025 มาแล้ว! เปิดรับสมัคร 15 พ.ค.

เชียงรายแถลงข่าวจัดประกวด MISS UNIVERSE CHIANG RAI 2025 อย่างเป็นทางการ

เชียงรายพร้อมเฟ้นหาสาวงามสู่เวทีระดับประเทศ

เชียงราย, 25 เมษายน 2568 – คุณชนชนก เชียงแรง ผู้ถือลิขสิทธิ์การประกวด “มิสยูนิเวิร์ส เชียงราย 2025” ได้จัดงานแถลงข่าวรายละเอียดการประกวดอย่างเป็นทางการ ณ ห้องเฮอริเทจ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีผู้สนใจ สื่อมวลชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

แนวคิดโดดเด่น “The Light of Power Brings New Hope”

การประกวดครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “The Light of Power Brings New Hope” หรือ “แสงแห่งพลังนำพาความหวังใหม่มาให้” โดยมุ่งเน้นการค้นหาผู้หญิงที่ไม่เพียงแต่มีความงามภายนอกเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดี มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก มีวิสัยทัศน์ และสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่นได้อย่างแท้จริง เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงรายในการเข้าประกวด Miss Universe Thailand 2025 ที่จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้

ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเผยแพร่วัฒนธรรมเชียงราย

นอกจากการเฟ้นหาสาวงามตัวแทนจังหวัดเชียงรายแล้ว การประกวดครั้งนี้ยังมีเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายในมิติการท่องเที่ยวและการเผยแพร่วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์โดยรวมของจังหวัด

เปิดรับสมัครถึงวันที่ 15 พฤษภาคมนี้

ผู้สนใจเข้าร่วมประกวดสามารถสมัครและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ มิสยูนิเวิร์ส เชียงราย โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และจะมีการจัดประกวดรอบตัดสินในวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ แกรนด์คอนเวนชั่นฮอลล์ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย

คุณชนชนก ได้รับสิทธิ์จัดประกวดที่จังหวัดพะเยาเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง

นอกจากนี้ คุณชนชนก เชียงแรง ยังได้ประกาศเพิ่มเติมว่า ตนเองได้รับลิขสิทธิ์ในการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์ส พะเยา 2025 อีกหนึ่งจังหวัด โดยรายละเอียดและกำหนดการต่างๆ ของจังหวัดพะเยาจะมีการประกาศให้ทราบอีกครั้งผ่านทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ มิสยูนิเวิร์ส พะเยา ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชนในพื้นที่

ชวนชาวเชียงราย-พะเยาร่วมลุ้นเชียร์สาวงามตัวแทนจังหวัด

คุณชนชนกยังเชิญชวนให้ประชาชนจังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา ร่วมติดตาม ร่วมเชียร์ และให้กำลังใจสาวงามที่จะเป็นตัวแทนจังหวัดเข้าร่วมประกวด Miss Universe Thailand 2025 ในเดือนสิงหาคมนี้ โดยสามารถติดตามกิจกรรมและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของการประกวดได้ผ่านทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ มิสยูนิเวิร์ส เชียงราย และ มิสยูนิเวิร์ส พะเยา

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประกวดความงาม

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติและหน่วยงานจัดการประกวดความงามในระดับประเทศ ระบุว่า ในปี 2567 การจัดประกวดความงามในประเทศไทยมีการจัดขึ้นกว่า 200 เวที มีผู้เข้าประกวดรวมทั้งสิ้นมากกว่า 5,000 คน และมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางตรงและทางอ้อมนับแสนคนทั่วประเทศ (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผลตรวจแม่ “น้ำกก” พบสารหนูต่ำ ชาวบ้านยังผวา เพราะจำนวนปลาลด

วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สารหนูและความท้าทายต่อชุมชนและระบบนิเวศในเชียงราย

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ได้กลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน เกษตรกร และนักท่องเที่ยว หลังจากการตรวจพบสารโลหะหนักในน้ำและปลา รวมถึงภาพปลาที่มีลักษณะผิดปกติที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต เกษตรกรรม และการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างหนัก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมประมง กระทรวงสาธารณสุข และองค์กรชุมชนได้เร่งดำเนินการตรวจสอบและให้ข้อมูลเพื่อคลายความกังวล พร้อมผลักดันแนวทางการแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นเรียกร้องความชัดเจนและการจัดการปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจมีสาเหตุจากกิจกรรมเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน

จุดเริ่มต้น ความกังวลจากแม่น้ำกก

แม่น้ำกกเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเชียงราย ทั้งในด้านการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน ชาวบ้านเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของแม่น้ำกก โดยน้ำมีลักษณะขุ่นแดงและมีตะกอนดินปนเปื้อนอย่างต่อเนื่อง ความกังวลทวีคูณเมื่อมีการเผยแพร่ภาพปลาที่มีตุ่มเนื้อสีแดงอมม่วงในโซเชียลมีเดีย ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นปลาจากแม่น้ำกก และอาจเกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนสารหนูจากกิจกรรมเหมืองแร่ในฝั่งประเทศเมียนมา

นายวิรัตน์ พรมสอน จากเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “แม่น้ำกกเป็นสายเลือดของเกษตรกรในเชียงราย เศรษฐกิจของประชาชนและจังหวัดพึ่งพาแม่น้ำนี้อย่างมาก ข่าวร้ายเกี่ยวกับการปนเปื้อนสารโลหะหนักทำให้เรารู้สึกช็อก และจนถึงตอนนี้ เรายังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร” ความกังวลนี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของชุมชนที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำกกในชีวิตประจำวัน

เหตุการณ์นี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นเมื่อกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานการตรวจพบสารหนูในแม่น้ำกก โดยสงสัยว่าอาจมีสาเหตุจากมลพิษข้ามพรมแดน การค้นพบนี้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำ ปลา และพืชผลทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก

การตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เพื่อตอบสนองต่อความกังวลของประชาชน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย นำโดยนายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่สำรวจแหล่งน้ำและตลาดปลาในพื้นที่อำเภอเชียงแสนและอำเภอเมือง พบว่าปริมาณปลาในแม่น้ำกกลดลงอย่างมาก และประชาชนเริ่มหลีกเลี่ยงการซื้อปลาน้ำจืดจากตลาด ถึงแม้ว่าปลาส่วนใหญ่จะมาจากฟาร์มเพาะเลี้ยงและไม่ใช่ปลาจากแม่น้ำกกโดยตรง

นายณัฐรัฐเปิดเผยว่า กรณีภาพปลาที่มีตุ่มเนื้อสีแดงอมม่วงนั้น เป็นเคสเก่าที่พบในแม่น้ำโขง ฝั่ง สปป.ลาว เมื่อปี 2567 และมีเพียงตัวอย่างเดียวที่พบลักษณะดังกล่าว ลักษณะตุ่มนี้สอดคล้องกับโรคลิมโฟซิสติส (Lymphocystis Disease) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Iridoviridae สกุล Lymphocystivirus โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิหรือความเครียดของปลา อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบล่าสุดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 บริเวณปากแม่น้ำกก อำเภอเชียงแสน ไม่พบปลาที่มีลักษณะผิดปกติ และยังไม่สามารถเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมได้

เพื่อยืนยันความปลอดภัยของปลาในแม่น้ำกก สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างปลาจากจุดใต้ฝายเชียงราย ส่งตรวจวิเคราะห์หาสารโลหะหนักที่ Central Lab บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ผลการตรวจที่ได้รับเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 ระบุว่า:

  • สารหนู (As): พบในปริมาณ 0.13 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
  • ปรอท (Hg): พบในปริมาณ 0.090 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
  • แคดเมียม (Cd) และตะกั่ว (Pb): ไม่พบในตัวอย่าง

ผลการตรวจยืนยันว่า ระดับสารโลหะหนักในปลาจากแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2563 (ฉบับที่ 414) และปลอดภัยสำหรับการบริโภค นายณัฐรัฐยังย้ำว่า ปลาที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นปลาเลี้ยง เช่น ปลานิลและปลาทับทิม ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกก

นอกจากนี้ กรมประมง โดยนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ภาพปลาที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียนั้นเป็นภาพเก่าและไม่ใช่ปลาจากแม่น้ำกก อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาท กรมประมงได้เก็บตัวอย่างปลาในแม่น้ำกก รวมถึงปลานิลแดง ปลากดหลวง และปลาชนิดอื่นๆ ส่งตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติม คาดว่าจะทราบผลภายในวันที่ 28 เมษายน 2568

ผลกระทบต่อชุมชนและการท่องเที่ยว

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพาแม่น้ำในการทำเกษตรกรรมและการประมง นายทวีศักดิ์ มณีวรรณ์ จากเครือข่ายสิทธิและชุมชน มูลนิธิสายรุ้งแม่น้ำโขง กล่าวว่า ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำกกจำนวนมากยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษในแม่น้ำ และยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำกกในการเกษตรและชีวิตประจำวัน “เราไม่รู้ว่าน้ำประปาปลอดภัยหรือไม่ น้ำใต้ดินที่สูบจากริมแม่น้ำกกยังใช้ได้หรือเปล่า ผักที่ปลูกริมน้ำยังกินได้หรือไม่ ชาวบ้านต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานรัฐ”

ในด้านการท่องเที่ยว ปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญริมแม่น้ำกก ได้รับผลกระทบอย่างหนัก นายดา ควานช้าง ตัวแทนปางช้าง เปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงกว่า 80% หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน 2567 และข่าวการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก “เมื่อก่อนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมาเยอะมาก แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้านำช้างลงน้ำกก ควานช้างหลายคนต้องพาช้างไปเลี้ยงในป่า และบางคนเลิกเลี้ยงช้างแล้ว”

นายบุญศรี พนาสว่างวงค์ จากเครือข่ายสิทธิชุมชนเชียงราย กล่าวว่า การห้ามชาวบ้านลงน้ำกกทำให้วิถีชีวิตที่ผูกพันกับแม่น้ำถูกตัดขาด “ชาวบ้านต้องใช้น้ำกกในการกิน ใช้ และหาอาหาร ลำพังชาวบ้านช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องการให้หน่วยงานมาตรวจสอบน้ำ ดิน และสุขภาพของชาวบ้านให้ชัดเจน” เขายังระบุว่า มีเด็กในชุมชนบางคนเริ่มมีอาการตุ่มขึ้นตามตัวหลังสัมผัสน้ำกก ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับสารปนเปื้อน แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดมาตรวจสอบอย่างจริงจัง

การตอบสนองจากภาครัฐและชุมชน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ครั้งที่ 3/2568 ว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณรวม 385.454 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาได้รับงบประมาณเพิ่มอีก 100 ล้านบาทสำหรับการดูดโคลนทรายในแม่น้ำกก โดยมีเป้าหมายให้การฟื้นฟูเสร็จสิ้นก่อนฤดูฝนเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

นายภูมิธรรมยอมรับว่า มีความกังวลเกี่ยวกับวัตถุอันตรายที่อาจปนเปื้อนมากับดินโคลน จึงมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำในแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำปิง และแม่น้ำโขง เพื่อยืนยันความปลอดภัยสำหรับการอุปโภคและบริโภค

ในส่วนของชุมชน ดร.จักรกริช ฉิมนอก อาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า เครือข่ายองค์กรชุมชนและนักวิชาการจะร่วมกันจัดกิจกรรม “ธาราไร้พรมแดน: เสียงจากแม่น้ำกกและชุมชน” ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมสะพานริมกก-เวียงเหนือรวมใจ ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย กิจกรรมนี้ประกอบด้วยการแสดงศิลปะสด (Performance Art) และเวทีเสวนาชุมชน เพื่อสื่อสารปัญหาความไม่เป็นธรรมเชิงสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนริมแม่น้ำกกต้องเผชิญจากมลพิษข้ามพรมแดน

ดร.จักรกริชกล่าวว่า “เราต้องการตั้งคำถามว่า ใครได้รับผลกระทบ และใครมีสิทธิในการตัดสินใจ ชาวบ้านริมแม่น้ำกกต้องแบกรับภาระจากกิจกรรมเหมืองแร่ที่อยู่ห่างไกล งานศิลปะและการเสวนาจะเป็นเวทีให้ชุมชนได้เล่าเรื่องราวของแม่น้ำกก และเรียกร้องสิทธิของธรรมชาติในการจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน”

การวิเคราะห์ ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกสะท้อนถึงความท้าทายที่ซับซ้อนในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการเมืองระหว่างประเทศ ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหารและน้ำในชุมชนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานของจังหวัดเชียงราย

มิติสิ่งแวดล้อม การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกอาจมีสาเหตุจากทั้งปัจจัยทางธรรมชาติและกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมา ซึ่งปล่อยสารหนูลงสู่แหล่งน้ำ การที่สารหนูสะสมในดินและน้ำอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร โดยเฉพาะปลาและพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าวและข้าวโพด ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของเชียงราย นอกจากนี้ ความขุ่นของน้ำและตะกอนดินที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปียังรบกวนระบบนิเวศ โดยแพลงก์ตอนซึ่งเป็นอาหารของปลาไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่งผลให้ปริมาณปลาในแม่น้ำลดลงอย่างมาก

มิติสังคม ชุมชนริมแม่น้ำกกเผชิญกับความไม่แน่นอนในวิถีชีวิต การขาดข้อมูลที่ชัดเจนจากหน่วยงานรัฐทำให้ชาวบ้านจำนวนมากยังคงใช้น้ำกกในการเกษตรและชีวิตประจำวัน โดยไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงจากสารปนเปื้อน การที่เด็กในชุมชนมีอาการตุ่มขึ้นตามตัวหลังสัมผัสน้ำกกบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการตรวจสอบสุขภาพของประชาชนอย่างเร่งด่วน

มิติการเมืองระหว่างประเทศ การจัดการมลพิษข้ามพรมแดนเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและเมียนมา การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย รวมถึงการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่และการปล่อยมลพิษลงสู่แหล่งน้ำ

อย่างไรก็ตาม วิกฤตนี้เป็นโอกาสให้หน่วยงานรัฐ องค์กรชุมชน และสถาบันการศึกษาในเชียงรายร่วมมือกันพัฒนาแนวทางการแก้ไขที่ยั่งยืน เช่น การจัดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและดินอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากสารปนเปื้อน และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการสะสมของสารหนูในพืชผลและสัตว์น้ำ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ความกังวลของชุมชนและประชาชน
ชุมชนริมแม่น้ำกกและประชาชนทั่วไปมีความกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยของน้ำ ปลา และพืชผลที่อาจปนเปื้อนสารหนู การที่ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐยังไม่ครอบคลุมและไม่ถึงชุมชนทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวาดกลัวและขาดความมั่นใจในการใช้ทรัพยากรจากแม่น้ำกก ความกังวลนี้สมเหตุสมผล เนื่องจากสารหนูสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้น (เช่น อาการคลื่นไส้และผื่นผิวหนัง) และระยะยาว (เช่น มะเร็งผิวหนังและความเสียหายต่ออวัยวะภายใน)

การยืนยันความปลอดภัยจากหน่วยงานรัฐ
หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกรมประมงและกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ระดับสารหนูในปลาจากแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย และปลาที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่มาจากฟาร์มเพาะเลี้ยงที่ไม่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำ การตรวจสอบคุณภาพน้ำและดินอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกก แสดงถึงความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน

ทัศนคติเป็นกลาง ความกังวลของชุมชนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และควรได้รับการตอบสนองด้วยข้อมูลที่ชัดเจนและการสื่อสารที่ทั่วถึงจากหน่วยงานรัฐ ขณะเดียวกัน การตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของหน่วยงานรัฐเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการลดความตื่นตระหนกและปกป้องสุขภาพประชาชน การแก้ไขปัญหาควรเน้นที่การเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับชุมชน การตรวจสอบสุขภาพประชาชนอย่างเป็นระบบ และการจัดการมลพิษข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมั่นใจในความปลอดภัยและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำ: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ระดับสารหนูในน้ำดื่มที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร การได้รับสารหนูในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและอวัยวะภายใน (ที่มา: WHO, Guidelines for Drinking-water Quality, 2022)
  2. ผลกระทบต่อการเกษตร: รายงานจากสมาคมเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (AAAS) ระบุว่า พื้นที่เพาะปลูกร้อยละ 14–17 ทั่วโลก (ประมาณ 242 ล้านเฮกตาร์) ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนโลหะหนัก โดยสารหนูและแคดเมียมเป็นสารที่พบมากที่สุดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ที่มา: Science Journal, 2025)
  3. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: การวิจัยจาก AAAS ประมาณการว่า มีประชากร 900 ล้านถึง 1.4 พันล้านคนทั่วโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจากการปนเปื้อนโลหะหนัก (ที่มา: Science Journal, 2025)
  4. ผลกระทบต่อสัตว์น้ำ: กรมประมงรายงานว่า ปริมาณปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติของประเทศไทยลดลงร้อยละ 20–30 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและมลพิษในแหล่งน้ำ (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, กรมประมง)
  5. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในจังหวัดเชียงรายมีรายได้ลดลงร้อยละ 15 ในปี 2567 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมลพิษในแหล่งน้ำ (ที่มา: รายงานการท่องเที่ยว, ททท., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)

  • สมาคมเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (AAAS)

  • กรมประมง

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

  • https://www.science.org
  • https://www.theguardian.com
  • https://theconversation.com
  • https://phys.org
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วันผู้สูงอายุ-ครอบครัวอบอุ่น เชียงรายชู “คุณค่า” มอบ 38 รางวัล

เชียงรายจัดยิ่งใหญ่ วันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว 2568

เชียงรายรวมพลังหนุนคุณค่าผู้สูงอายุ

เชียงราย,เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 – โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “คุณค่าผู้สูงวัย สานสายใยพลังครอบครัว” ณ โรงแรมลักษวรรณ รีสอร์ท อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการ รวมถึงตัวแทนภาคีเครือข่ายจากภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ส่งเสริมความรัก-อบอุ่น สร้างสังคมผู้สูงวัยที่มีคุณค่า

งานครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่าและความสำคัญของผู้สูงอายุ รวมทั้งส่งเสริมการสร้างความรัก ความอบอุ่น และการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลในครอบครัว ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายในการยกระดับสถาบันครอบครัวไทยให้เข้มแข็งและเป็นที่พึ่งพาทางจิตใจของทุกคนในสังคม

กิจกรรมหลากหลาย สะท้อนภูมิปัญญาผู้สูงวัย

ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น การจัดบูธนิทรรศการคลังปัญญาผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์จากผู้สูงอายุ และนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาหัวข้อ “เคล็ดลับการดูแลสุขภาพผู้สูงวัย และการเอาใจใส่ของครอบครัว” ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ร่วมงานทุกกลุ่มอายุ

พิธีรดน้ำดำหัวและขอพรผู้สูงอายุ

อีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญของงานคือ การรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้สูงอายุ เพื่อแสดงออกถึงความเคารพรักและความกตัญญูกตเวที โดยมีพระครูปิยวรรณพิพัฒน์ ดร. ประธานเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย เป็นผู้นำกล่าวสัมโมทนียกถาในหัวข้อ “คุณค่าผู้สูงวัย สานสายใยครอบครัว” เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุในครอบครัวและสังคม

มอบรางวัลเกียรติยศ เชิดชูบุคคลต้นแบบ

ในโอกาสนี้มีการมอบรางวัลเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลและหน่วยงานที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและครอบครัว จำนวน 38 ราย ได้แก่ ผู้สูงอายุแบบอย่างดีเด่น ผู้สูงอายุดีเด่นของสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุดีเด่น ครอบครัวร่มเย็น บุคคลดีเด่นด้านการพัฒนาครอบครัว ศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชนที่มีผลงานโดดเด่น รวมถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนดีเด่น และบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนในจังหวัดเชียงราย

ผู้ว่าฯ ย้ำ ครอบครัวเข้มแข็งสู่สังคมยั่งยืน

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล พร้อมเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของครอบครัวและผู้สูงวัย โดยกล่าวว่า “การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรี ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาสังคมให้ยั่งยืน ครอบครัวเป็นสถาบันหลักที่อบอุ่นและมั่นคง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสังคมในระยะยาว”

สถิติผู้สูงอายุของประเทศไทยและเชียงราย

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ทั้งสิ้นประมาณ 13.5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด โดยจังหวัดเชียงรายมีผู้สูงอายุรวมกว่า 300,000 คน หรือร้อยละ 21 ของประชากรทั้งจังหวัด (ที่มา: สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและความเข้มแข็งของครอบครัว ถือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต่อการสร้างสังคมไทยที่มีความยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับทุกวัย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคุมไฟป่าดีขึ้น เตรียมมอบรางวัล “หมู่บ้านสีเขียว”

เชียงรายชนะศึกไฟป่า ลดจุดความร้อนกว่า 72% ปี 2568

เชียงรายตั้งเป้าสู้ไฟป่าหมอกควันอย่างจริงจัง

เชียงราย,23 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าจริงจังกับปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยกำหนดห้ามเผาเด็ดขาดในที่โล่ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน 2568 ผลลัพธ์ที่ได้คือจุดความร้อนลดลงกว่า 72% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างความพึงพอใจให้กับหน่วยงานและชุมชนในพื้นที่อย่างมาก

สถิติพื้นที่เผาไหม้ลดลงต่อเนื่อง

ในช่วงเดือนมกราคม 2568 พื้นที่เผาไหม้จังหวัดเชียงรายลดลงจากปี 2567 ถึง 6.57% โดยปีที่แล้วมีการเผาไหม้จำนวน 23,027 ไร่ ปีนี้ลดเหลือ 21,514 ไร่ เดือนกุมภาพันธ์พื้นที่เผาไหม้ลดลง 1.05% จาก 47,760 ไร่ เหลือ 47,260 ไร่ และเดือนมีนาคมลดลงอย่างชัดเจนถึง 65.77% จากเดิม 14,760 ไร่ เหลือเพียง 5,052 ไร่เท่านั้น

ประชุมวางแผนป้องกันไฟป่าอย่างเข้มข้น

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานประชุมติดตามสถานการณ์ไฟป่าครั้งที่ 7/2568 โดยมีตัวแทนจากทุกอำเภอเข้าร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ พร้อมรายงานสถานการณ์และผลดำเนินการป้องกันไฟป่าในพื้นที่อย่างละเอียด

อำเภอแม่สายไร้จุดความร้อนตลอดฤดู

จากรายงานของที่ประชุมพบว่า อำเภอแม่สายไม่มีจุดความร้อนเลยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงวันที่ 21 เมษายน 2568 แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมจากประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม ถือเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม

บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด ล่าตัวผู้กระทำผิด

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจับกุมผู้ลักลอบเผาป่าในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงและอำเภอแม่ลาวได้ โดยดำเนินคดีตามกฎหมายทันที รองผู้ว่าฯ ย้ำชัดว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนเชื่อมโยงกับการลดปัญหาหมอกควันในอนาคต

มอบรางวัลพลเมืองดี สนับสนุนการมีส่วนร่วม

ในที่ประชุมมีการพิจารณามอบเงินรางวัลให้พลเมืองดี 2 ราย ที่แจ้งเบาะแสการกระทำผิดเกี่ยวกับการเผาป่า ถือเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชาวบ้านช่วยกันสอดส่องดูแลพื้นที่ของตนเอง

เตรียมมอบ “รางวัลหมู่บ้านสีเขียว” สร้างแรงจูงใจ

จังหวัดเชียงรายเตรียมจัดกิจกรรมมอบ “รางวัลหมู่บ้านสีเขียว” เพื่อยกย่องหมู่บ้านที่มีการจัดการไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพในระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ โดยหวังว่ารางวัลนี้จะช่วยกระตุ้นให้ชุมชนมีแรงบันดาลใจในการดูแลพื้นที่ของตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดการเกิดไฟป่าในอนาคต

ปรับกลยุทธ์บริหารจัดการเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม

ในที่ประชุมยังมีการหารือถึงการปรับช่วงเวลาการบริหารจัดการเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากหมอกควันอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ประชาสัมพันธ์กฎหมาย สร้างความตระหนักรู้

หน่วยงานต่างๆ ได้เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์กฎหมายและบทลงโทษที่เกี่ยวข้องกับการเผาป่าในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้แก่ประชาชนทุกระดับ โดยเชื่อว่าความเข้าใจที่ชัดเจนจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน

สถิติสำคัญในการลดปัญหาไฟป่า

สถิติพื้นที่เผาไหม้ของจังหวัดเชียงรายตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2568 ลดลงเฉลี่ยถึง 24.46% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจุดความร้อนลดลงถึง 72.60% นับเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความสำเร็จของมาตรการต่างๆ ที่จังหวัดเชียงรายนำมาใช้อย่างจริงจังในปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (รายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศและหมอกควันปี 2568)
  • สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (รายงานสถิติการเผาไหม้ปี 2567-2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘บุญส่ง’ แจ้งคอนเสิร์ตช่วยทหารผ่านศึก ให้สังเกตุผู้จำหน่ายบัตรต้องมีใบอนุญาต

สมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงรายชี้แจงกรณีมิจฉาชีพแอบอ้างจัดคอนเสิร์ตการกุศล

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – จากเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนจังหวัดเชียงราย เมื่อมีบุคคลแต่งกายชุดทหารและอ้างตัวเป็นนายทหารยศพันเอกขอรับบริจาคและจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตตามบ้านเรือน สมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงรายได้ออกมาชี้แจงถึงความโปร่งใสในการจัดกิจกรรมดนตรีการกุศล พร้อมเตือนประชาชนให้ระวังมิจฉาชีพที่อาจแอบอ้างชื่อสมาคมเพื่อหลอกลวง ขณะที่หน่วยงานทหารและตำรวจเร่งตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด

จุดเริ่มต้นความกังวลจากโซเชียลมีเดีย

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 จากโพสต์บนโซเชียลมีเดียในกลุ่มชุมชนจังหวัดเชียงราย ซึ่งระบุว่ามีชายบุคคลหนึ่งแต่งกายด้วยชุดทหาร อ้างตัวเป็น “พันเอกนพพล” จากกองทัพบก เข้าไปเคาะประตูบ้านประชาชนในหมู่บ้านดอยสะเก็น อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อขอรับบริจาคและจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตการกุศล โพสต์ดังกล่าวตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลนี้ โดยระบุว่า “ไม่รู้ว่าเป็นมิจฉาชีพหรือมีกิจกรรมนี้จริง ถ้าเป็นมิจฉาชีพเข้ามาในบ้านแบบนี้ คนเฒ่าคนแก่จะทำอย่างไร น่ากลัวมาก” โพสต์นี้ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว สร้างความกังวลในหมู่ประชาชนถึงความปลอดภัยและความโปร่งใสของการระดมทุนในนามกิจกรรมการกุศล

จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ พบว่าบุคคลดังกล่าวใช้ยานพาหนะที่มีป้ายทะเบียน 2ขอ-72xx กรุงเทพมหานคร ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลยานพาหนะพบว่าเจ้าของชื่อนายกัมพล (ขอสงวนนามสกุล) มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดสงขลา และเคยมีประวัติการแต่งกายเลียนแบบเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อหลอกลวงจำหน่ายบัตรการกุศลเมื่อปี 2553 ข้อมูลนี้ยิ่งเพิ่มความสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวอาจเป็นมิจฉาชีพที่แสวงหาผลประโยชน์จากความไว้วางใจของประชาชน

การตรวจสอบจากหน่วยงานทหาร

ทีมข่าวได้ประสานงานไปยังศูนย์ข่าวชุดควบคุมรักษาความสงบเรียบร้อยที่ 17 กองพันที่ 3 (ศขช.ร.17 พัน.3) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ทางศูนย์ยืนยันว่าไม่มีนายทหารชื่อ “พันเอกนพพล” สังกัดกองทัพบกที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการขอรับบริจาคหรือจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และไม่มีนโยบายให้กำลังพลออกปฏิบัติภารกิจในลักษณะดังกล่าว การกระทำของบุคคลนี้จึงมีแนวโน้มเป็นการแอบอ้างเพื่อหลอกลวงประชาชน ศูนย์ฯ ได้ประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในพื้นที่เพื่อติดตามตัวบุคคลดังกล่าวและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

การชี้แจงจากสมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงราย

เพื่อคลายความกังวลของประชาชนและยืนยันความโปร่งใสในการดำเนินงาน จ่าสิบเอกบุญส่ง ศรีจุมปา ปฏิบัติหน้าที่นายกสมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงราย พร้อมด้วยพลตรีสุวิทย์ วังยาว ที่ปรึกษาสมาคมฯ และคณะกรรมการสมาคม ได้จัดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมเชียงรายแกรนด์รูม เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมแสดงดนตรีรำวง (มินิคอนเสิร์ต) การกุศล ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ณ หอประชุมสุพรรณิการ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตั้งแต่เวลา 12.00–16.00 น. โดยมีศิลปิน “แนนซี่ ท็อปไลน์” ร่วมแสดง พร้อมกิจกรรมบันเทิงอื่นๆ อีกมากมาย

จ่าสิบเอกบุญส่งย้ำว่า การจำหน่ายบัตรเข้าชมงานเป็นไปด้วยความสมัครใจ โดยไม่มี การข่มขู่ บังคับ หรือเคี่ยวเข็ญใดๆ และอยู่ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการสมาคมอย่างใกล้ชิด ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 084-6117047 และ 081-3720643 หรือติดต่อโดยตรงที่สมาคมฯ สำหรับผู้ที่ประสงค์จะบริจาคเงินหรือสิ่งของเพื่อสนับสนุนกิจกรรมสงเคราะห์สมาชิกสมาคม

พลตรีสุวิทย์ วังยาว กล่าวว่า สมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงรายเป็นองค์การสงเคราะห์ที่มุ่งดูแลทหารผ่านศึก ทหารนอกประจำการ และครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีเกียรติ และศักดิ์ศรี รวมถึงให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความเดือดร้อนในพื้นที่ รายได้จากกิจกรรมครั้งนี้จะนำไปจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือสมาชิกที่ขาดแคลนที่อยู่อาศัย ซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติ จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับสมาชิกที่ป่วยระยะยาว และให้การสงเคราะห์เมื่อสมาชิกเสียชีวิต

วัตถุประสงค์ของกิจกรรมและการบริหารจัดการ

การจัดงานดนตรีการกุศลครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อระดมทุนสนับสนุนการสงเคราะห์และสวัสดิการของสมาชิกสมาคมฯ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 500 คนในจังหวัดเชียงราย โดยในแต่ละปี สมาคมฯ มีค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือสมาชิกที่ป่วย เจ็บ หรืออยู่ในสภาวะลำบากประมาณ 30,000–40,000 บาท รวมถึงการสงเคราะห์ครอบครัวและจัดการศพอีก 30,000–40,000 บาท นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังมีบทบาทในการช่วยเหลือชุมชน เช่น การมอบสิ่งของให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมและภัยหนาวในพื้นที่

จ่าสิบเอกบุญส่งระบุว่า รายได้จากการจำหน่ายบัตรและการรับบริจาคจะถูกบริหารจัดการอย่างโปร่งใส โดยมีคณะกรรมการสมาคมฯ เป็นผู้กำกับดูแล และจะมีการรายงานผลการใช้จ่ายให้สมาชิกและผู้สนับสนุนทราบ สมาคมฯ ยังได้กำหนดแนวทางการจำหน่ายบัตรอย่างชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจะต้องแสดงบัตรประจำตัวและเอกสารรับรองจากสมาคมฯ เพื่อป้องกันการแอบอ้าง

การคลี่คลายปมและแนวทางป้องกัน

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สมาคมฯ ได้ออกคำเตือนให้ประชาชนตรวจสอบบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่ที่มาขอรับบริจาคหรือจำหน่ายบัตร และติดต่อสมาคมฯ โดยตรงหากมีข้อสงสัย เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ทางสมาคมฯ ยังได้ประสานงานกับหน่วยงานทหารและตำรวจในพื้นที่เพื่อติดตามตัวบุคคลที่แอบอ้าง และดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะที่ศูนย์ข่าวทหาร (ศขช.ร.17 พัน.3) ได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลที่แต่งกายเลียนแบบทหาร เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก

นอกจากนี้ สมาคมฯ ได้วางแผนประชาสัมพันธ์กิจกรรมอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางที่เป็นทางการ เช่น เพจเฟซบุ๊กของสมาคมฯ และสื่อท้องถิ่น เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและมั่นใจในความโปร่งใสของการจัดงาน การจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงมุ่งหวังการระดมทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความสามัคคีในชุมชนและส่งเสริมภาพลักษณ์ของสมาคมฯ ในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นช่วยเหลือสังคม

การวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาส

กรณีมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อสมาคมฯ เพื่อหลอกลวงประชาชนสะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการกิจกรรมการกุศล โดยเฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียสามารถแพร่กระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว การที่บุคคลแอบอ้างแต่งกายชุดทหารและใช้ชื่อยศชั้นผู้ใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของทั้งสมาคมฯ และกองทัพ รวมถึงสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่อาจไม่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้เป็นโอกาสให้สมาคมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับมาตรการป้องกันการแอบอ้าง เช่น การใช้ระบบยืนยันตัวตนที่ชัดเจน การเพิ่มช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการ และการรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้ในการตรวจสอบข้อมูล การที่สมาคมฯ ออกมาชี้แจงอย่างทันท่วงทีและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แสดงถึงความรับผิดชอบและความมุ่งมั่นในการรักษาความไว้วางใจจากประชาชน

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ความกังวลของประชาชน
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่ติดตามข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดียมีความกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของการระดมทุน การที่มิจฉาชีพสามารถแต่งกายเลียนแบบทหารและเข้าไปถึงบ้านเรือนได้ สร้างความรู้สึกไม่มั่นคง โดยเฉพาะในชุมชนที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่เพียงลำพัง ความกังวลนี้สมเหตุสมผล เนื่องจากประวัติของผู้ต้องสงสัยที่เคยก่อเหตุในลักษณะเดียวกันเมื่อปี 2553 บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการเพิ่มมาตรการป้องกัน

การยืนยันความโปร่งใสของสมาคมฯ
สมาคมทหารผ่านศึกและทหารกองหนุนเชียงรายยืนยันว่ากิจกรรมดนตรีการกุศลเป็นโครงการที่ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือสมาชิกที่เดือดร้อน การที่สมาคมฯ ออกมาชี้แจงและให้ช่องทางการติดต่อสอบถาม รวมถึงการกำหนดแนวทางการจำหน่ายบัตรที่ชัดเจน แสดงถึงความพยายามในการรักษาความโปร่งใสและป้องกันการแอบอ้าง

ทัศนคติเป็นกลาง ความกังวลของประชาชนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และควรได้รับการแก้ไขผ่านการเพิ่มมาตรการตรวจสอบและการสื่อสารที่ชัดเจนจากสมาคมฯ ขณะเดียวกัน สมาคมฯ ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการชี้แจงและดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหาควรเน้นที่การป้องกันการแอบอ้างในอนาคต การให้ความรู้แก่ประชาชน และการรักษาความโปร่งใสในการบริหารจัดการกองทุน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมั่นใจในกระบวนการ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนทหารผ่านศึกในไทย: องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์รายงานว่า ในปี 2567 มีทหารผ่านศึกและครอบครัวที่ได้รับการสงเคราะห์ทั่วประเทศประมาณ 50,000 คน (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก)
  2. คดีแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ: สำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า ในปี 2566 มีคดีที่เกี่ยวข้องกับการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อหลอกลวงประชาชนทั่วประเทศ 1,200 คดี (ที่มา: รายงานอาชญากรรม, สตช., 2566)
  3. การจัดกิจกรรมการกุศล: กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานว่า ในปี 2567 มีการจัดกิจกรรมการกุศลที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย 3,500 งาน โดยร้อยละ 10 เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (ที่มา: รายงานกิจกรรมการกุศล, มพม., 2567)
  4. ความเสียหายจากมิจฉาชีพ: ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ระบุว่า ในปี 2566 ความเสียหายจากมิจฉาชีพที่หลอกลวงผ่านการแอบอ้างหน่วยงานมีมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท (ที่มา: รายงานอาชญากรรมออนไลน์, ศปอส.ตร., 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
  • ศขช.ร.17 พัน.3
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายฟ้าใส บุกจับคาราโอเกะดัง ใช้เด็กต่ำกว่า 18 ทำงาน

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส” เดินหน้าจัดระเบียบสังคม ปราบค้ามนุษย์จริงจัง หลังจับร้านคาราโอเกะใช้เด็กต่ำกว่า 18 ปี บริการลูกค้า

เริ่มต้นยุทธการ เดินหน้าเต็มสูบตามนโยบายมหาดไทย

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – จังหวัดเชียงรายภายใต้การนำของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้เปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส” อย่างเป็นทางการ เพื่อจัดระเบียบสังคม ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเข้มข้น สอดคล้องกับนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง ที่มุ่งมั่นผลักดันการยุติการแสวงหาประโยชน์จากเด็กในทุกมิติ

เบื้องหลังการข่าว และการสืบสวนอย่างละเอียด

สืบเนื่องจากการประสานข้อมูลจากอำเภอแม่จัน ซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีร้านคาราโอเกะในพื้นที่เปิดบริการเกินเวลา จำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต และที่สำคัญมีการนำเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มานั่งบริการลูกค้า เจ้าหน้าที่จึงเริ่มกระบวนการสืบสวนและวางแผนเข้าตรวจสอบ โดยเน้นให้ความสำคัญกับการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมโยงของผู้กระทำผิดกับขบวนการค้ามนุษย์

การลงพื้นที่เข้าจับกุม ปฏิบัติการกลางดึกตีแผ่ความจริง

เมื่อเวลา 00.45 น. ของวันที่ 24 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบ “ร้านแสงจันทร์คาเฟ่” ตั้งอยู่เลขที่ 219 หมู่ 9 ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยมีการวางกำลังร่วมระหว่างฝ่ายปกครอง ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย กองอาสารักษาดินแดน และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการลงพื้นที่ตรวจจริงภายใต้การวางแผนล่วงหน้า

จากการตรวจค้นภายในร้านพบว่ามีการจัดห้องคาราโอเกะแบบ VIP พร้อมโต๊ะบริการลูกค้า 11 โต๊ะ พบหญิงสาวให้บริการ 11 คน โดยในจำนวนนั้นมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 2 คน (ต่ำสุด 15 ปี) นอกจากนี้ยังพบผู้ใช้บริการอายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 7 คน โดยไม่พบว่าทางร้านได้ดำเนินการตรวจสอบบัตรประชาชนก่อนเข้าใช้บริการแต่อย่างใด

เอกสารไม่ครบ-เปิดเกินเวลา ความผิดซ้ำซ้อนที่ไม่อาจปฏิเสธ

ผู้ดูแลร้านคือ นางสาวชมภิศา อายุ 49 ปี ซึ่งแสดงเอกสารใบอนุญาตบางส่วน เช่น ใบอนุญาตจำหน่ายสุราและหนังสือแจ้งจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหาร แต่ไม่สามารถนำใบอนุญาตสถานบริการมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดว่าไม่มีใบอนุญาตในการประกอบกิจการคาราโอเกะตามกฎหมาย

ที่สำคัญ ร้านแห่งนี้ยังมีประวัติถูกจับกุมเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2567 ฐานเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต และเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถือเป็นพฤติการณ์กระทำผิดซ้ำ

 แจ้งข้อหาเบื้องต้นสะท้อนเจตนากระทำผิดชัดเจน

จากการเข้าตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาหลายกระทง ได้แก่

  1. เปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต
  2. จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินเวลาที่กฎหมายกำหนด
  3. ยุยงส่งเสริมให้เด็กประพฤติตนไม่เหมาะสม
  4. จ้างแรงงานเด็กผิดกฎหมาย
  5. มีพฤติการณ์เข้าข่ายค้ามนุษย์

ซึ่งหลังจากนี้จะมีการนำเด็กหญิงที่เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อผู้เสียหายโดยทีมสหวิชาชีพ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองและเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูตามกฎหมายคุ้มครองเด็กและ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551

บทวิเคราะห์ ปัญหาค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนไทย – สะท้อนระบบต้องขับเคลื่อนจริงจัง

กรณีของร้านแสงจันทร์คาเฟ่ เป็นตัวอย่างของความซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากธุรกิจบริการในพื้นที่ชายแดน ที่เปิดช่องให้มีการแสวงหาประโยชน์จากเด็กและเยาวชน ซึ่งไม่เพียงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศในเวทีระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการดำเนินนโยบายป้องกันค้ามนุษย์อย่างมีระบบ ทั้งในเชิงกฎหมาย การบังคับใช้ และกระบวนการคัดแยกช่วยเหลือเหยื่อ ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่องและมีความเข้าใจในบริบทพื้นที่

แผนปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส” เดินหน้าสะสางทุกจุดเสี่ยง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าแผน “เชียงรายฟ้าใส” อย่างเป็นระบบ โดยกำหนดเป้าหมายเร่งด่วนในการตรวจสอบสถานบริการทุกแห่งในจังหวัด เพื่อป้องกันการกระทำผิดในลักษณะเดียวกัน พร้อมเร่งส่งข้อมูลเชิงลึกไปยังหน่วยงานระดับกระทรวง เพื่อให้มีการปรับปรุงมาตรการเฝ้าระวังและจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • รายงานของกรมการปกครอง ระบุว่า ปี 2567 มีการตรวจสอบสถานบริการทั่วประเทศรวม 4,213 แห่ง พบการกระทำผิดด้านค้ามนุษย์จำนวน 89 แห่ง
  • จากข้อมูลของกรมกิจการเด็กและเยาวชน พบว่า ปี 2566 มีเด็กเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์มากกว่า 1,150 คน ทั่วประเทศ
  • รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า เชียงรายติดอันดับ 1 ใน 5 จังหวัดที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการนำเด็กต่ำกว่า 18 ปีเข้าร่วมกิจกรรมบริการในสถานบันเทิงมากที่สุดในภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
  • กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • สำนักงานอัยการสูงสุด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

จับตา! ขบวนการวีซ่านักเรียนจีนเทียม? ม.ดังปฏิเสธ อว. เร่งสอบ

กระทรวง อว. และ ตม. เข้มตรวจสอบขบวนการสวมวีซานักศึกษาจีนในเชียงรายและทั่วไทย

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – จากกระแสข่าวที่สร้างความกังวลในสังคมเกี่ยวกับขบวนการออกวีซานักศึกษาให้กับชาวจีน โดยอาจมีการแฝงตัวเพื่อประกอบอาชีพผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ได้ออกมาชี้แจงและดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการศึกษาและป้องกันการใช้ช่องทางวีซานักศึกษาในทางมิชอบ

จุดเริ่มต้นการเปิดโปงขบวนการสวมวีซานักศึกษา

เรื่องราวเริ่มต้นจากโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “รู้ทันจีน” ซึ่งถูกเผยแพร่โดย THAI PBS โดยระบุถึงการโฆษณาแพ็กเกจต่อวีซานักศึกษาในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เชียงรายและแม่น้ำแคว โฆษณาดังกล่าวใช้ภาษาจีนและให้รายละเอียดเกี่ยวกับการขอวีซานักศึกษาทั้งประเภทปริญญาและหลักสูตรภาษาระยะสั้น โดยอ้างว่าสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเข้าเรียนจริง ราคาแพ็กเกจสูงสุดถึง 53,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีการระบุรายชื่อมหาวิทยาลัยที่ “ควรหลีกเลี่ยง” พร้อมเหตุผล เช่น “เข้าออกสนามบินถูกตรวจง่าย” หรือ “ต่อวีซายาก” ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจมีการดำเนินการที่ไม่โปร่งใสในระบบการศึกษาของไทย

การโพสต์ดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อมีการเชื่อมโยงกับกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน เปิดเผยข้อมูลว่า มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจออกวีซานักศึกษาให้ชาวจีนเพื่อสวมสิทธิทำงานเป็นวิศวกรในประเทศไทย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น กรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม

การตอบสนองจากสถานศึกษา

มหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ถูกพาดพิงถึง ได้ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวทันที มหาวิทยาลัยพายัพและมหาวิทยาลัยนอร์ท จังหวัดเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ผ่านเพจทางการว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกวีซานักศึกษาในลักษณะที่ผิดกฎหมาย และยืนยันว่าการรับนักศึกษาต่างชาติของทั้งสองสถาบันดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบของกระทรวง อว. อย่างเคร่งครัด

ด้านมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตเชียงใหม่ พระครูใบฎีกาทิพย์พนากรณ์ ชยาภินันโท เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักศึกษาจีนกว่า 500 คนลงทะเบียนในหลักสูตรภาษาไทยระยะสั้น 1 ปี ซึ่งได้รับอนุมัติจากสภาวิชาการและสภามหาวิทยาลัย โดยมีระยะเวลาเรียน 180 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยได้ยกเลิกวีซานักศึกษากว่า 50 คน เนื่องจากไม่เข้าเรียนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 80 ของเวลาเรียน โดยได้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้เพิกถอนสถานภาพนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว

พระครูใบฎีกาทิพย์พนากรณ์ ระบุเพิ่มเติมว่า “เราไม่เจาะจงรับเฉพาะนักศึกษาจีนหรือชาติใดชาติหนึ่ง ทุกคนที่มีคุณสมบัติสามารถลงเรียนกับเราได้ หลักสูตรของเราดำเนินการอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย”

ผศ.พระวิสิทธิ์ ฐิตวิสิทโธ ผู้อำนวยการส่วนสนับสนุนวิชาการ มจร. วิทยาเขตเชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า การคัดกรองวัตถุประสงค์ของนักศึกษาต่างชาติเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่สามารถรู้เจตนาที่แท้จริงของผู้สมัครได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่านักศึกษาไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เช่น ไม่เข้าเรียนตามกำหนด มหาวิทยาลัยจะดำเนินการตามกฎหมายทันที

การดำเนินการของหน่วยงานรัฐ

พล.ต.อ.สุรชัย เอี่ยมผึ้ง ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและพร้อมดำเนินการตามกฎหมาย หากพบว่านักศึกษาต่างชาติใช้วีซานักศึกษาเพื่อประกอบกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การอนุมัติวีซานักศึกษาจะพิจารณาจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ สถานศึกษาต้องจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และนักศึกษาต้องมีหลักฐานยืนยันการเข้าเรียนจริง หากพบว่านักศึกษาไม่เข้าเรียนหรือใช้สถานะนักศึกษาในทางมิชอบ วีซาจะถูกเพิกถอนทันที และดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงเร่งตรวจสอบมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาจีนเข้าศึกษา โดยเฉพาะกรณีที่อาจเข้าข่าย “สวมวีซานักศึกษา” โดยเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 กระทรวง อว. ได้จัดการประชุมร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อกำหนดแนวทางตรวจสอบและติดตามนักศึกษาต่างชาติอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น นางสาวศุภมาสย้ำว่า หากพบสถานศึกษาใดมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลย จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้ กระทรวง อว. ได้ออกหนังสือถึงวิทยาลัยสงฆ์ลำพูน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีทุนจีนถือหุ้นทั้ง 3 แห่ง ให้รายงานข้อมูลนักศึกษาจีนภายใน 1 สัปดาห์ รวมถึงจำนวนนักศึกษา สาขาที่เรียน ระยะเวลาเรียน และสถานะวีซานักศึกษา เพื่อใช้ในการตรวจสอบต่อไป

การสั่งการระดับนโยบาย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งทบทวนมาตรการวีซาฟรี เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โดยกลุ่มทุนสีเทาในการลักลอบเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมาย การทบทวนนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงนโยบายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย พร้อมทั้งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งคลี่คลายคดีตึก สตง. ถล่ม โดยตรวจสอบทั้งประเด็นมาตรฐานการก่อสร้างและการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายของคนต่างด้าว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวิโรจน์ระบุว่ามีการสวมวีซานักศึกษาเพื่อทำงานเป็นวิศวกรว่า “กรณีนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะวิศวกรต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม (กว.) หากเป็นนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาฝึกงาน จะไม่สามารถควบคุมงานหรือเซ็นรับรองเอกสารได้”

นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง สนับสนุนมุมมองนี้ โดยระบุว่า นักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาฝึกงานต้องขอวีซาฝึกงานและมีหนังสือรับรองจากมหาวิทยาลัย หากชาวต่างชาติควบคุมการก่อสร้างโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จะถือว่าผิดกฎหมายและมีโทษทั้งจำคุกและปรับ

การคลี่คลายปมและแนวทางแก้ไข

จากสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อคลี่คลายปัญหา โดยกระทรวง อว. และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำลังบูรณาการข้อมูลเพื่อตรวจสอบสถานะและพฤติกรรมของนักศึกษาต่างชาติอย่างละเอียด นอกจากนี้ กระทรวง อว. มีแผนจัดทำฐานข้อมูลกลางของนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ และทบทวนนโยบายการรับนักศึกษาต่างชาติให้รัดกุมยิ่งขึ้น

การยกเลิกวีซานักศึกษาที่ไม่เข้าเรียนตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ส่วนการหารือระหว่างกระทรวง อว. และ ตม. ในวันที่ 23 เมษายน 2568 ได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการตรวจสอบและป้องกันการใช้สถานะนักศึกษาในทางมิชอบ

การวิเคราะห์ ความท้าทายและโอกาส

ปัญหาการสวมวีซานักศึกษาสะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย โดยเฉพาะในบริบทของนโยบายวีซาฟรีที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวและการศึกษา แต่กลับถูกบางกลุ่มใช้เป็นช่องทางในการทำผิดกฎหมาย การคัดกรองเจตนาของนักศึกษาต่างชาติเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากสถานศึกษามักพิจารณาเพียงคุณสมบัติตามเอกสารเท่านั้น ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการตรวจจับเจตนาที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเป็นโอกาสให้ประเทศไทยยกระดับระบบการบริหารจัดการนักศึกษาต่างชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การจัดทำฐานข้อมูลกลางและการประสานงานระหว่างหน่วยงานจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ การรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการศึกษาไทยในสายตานานาชาติยังเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่แท้จริง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ฝ่ายที่ 1 กังวลต่อการใช้ช่องโหว่วีซานักศึกษา
ประชาชนและนักการเมืองบางส่วน เช่น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร มองว่าการสวมวีซานักศึกษาเพื่อทำงานผิดกฎหมายเป็นปัญหาที่ร้ายแรง โดยเฉพาะเมื่ออาจเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมก่อสร้างหรือกลุ่มทุนสีเทา การที่โฆษณาในโซเชียลมีเดียระบุถึงแพ็กเกจต่อวีซาโดยไม่ต้องเรียนจริง บ่งชี้ถึงความหละหลวมในระบบการตรวจสอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและภาพลักษณ์ของประเทศไทย

ฝ่ายที่ 2 มองว่าเป็นเรื่องที่ควบคุมได้
ในทางกลับกัน หน่วยงานอย่างกระทรวง อว., ตม., และสถานศึกษายืนยันว่า ระบบการรับนักศึกษาต่างชาติมีกฎระเบียบที่ชัดเจน และมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง การยกเลิกวีซานักศึกษาที่ไม่เข้าเรียนและการปฏิเสธข้อกล่าวหาของมหาวิทยาลัยบางแห่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรักษามาตรฐาน นอกจากนี้ การที่วิศวกรต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทำให้กรณีสวมสิทธิทำงานเป็นวิศวกรไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย

ทัศนคติเป็นกลาง ทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลที่สมควรพิจารณา ความกังวลของฝ่ายแรกสะท้อนถึงความจำเป็นในการป้องกันช่องโหว่ในระบบวีซาและการศึกษา ซึ่งอาจถูกใช้ในทางที่ผิดได้ ขณะที่ฝ่ายที่สองแสดงให้เห็นถึงกลไกการควบคุมที่มีอยู่และความพยายามในการแก้ไขปัญหา การแก้ไขสถานการณ์นี้ควรเน้นที่การเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อลดความกังวลของประชาชน โดยไม่ตีตราว่านักศึกษาต่างชาติทุกคนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักศึกษาต่างชาติในไทย: สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รายงานว่า ในปี 2567 มีนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทยประมาณ 30,000 คน โดยร้อยละ 40 เป็นนักศึกษาจีน (ที่มา: รายงานการจัดการศึกษานานาชาติ, สกอ., 2567)
  2. การยกเลิกวีซานักศึกษา: สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า ในปี 2566 มีการยกเลิกวีซานักศึกษาต่างชาติทั่วประเทศ 1,200 ราย เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการศึกษา (ที่มา: รายงานประจำปี, สตม., 2566)
  3. นโยบายวีซาฟรี: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า นโยบายวีซาฟรีสำหรับนักท่องเที่ยวจีนในปี 2566 ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศกว่า 3.5 ล้านคน (ที่มา: รายงานการท่องเที่ยว, 2566)
  4. การตรวจสอบสถานศึกษา: กระทรวง อว. ระบุว่า ในปี 2567 มีการตรวจสอบสถานศึกษาที่รับนักศึกษาต่างชาติ 150 แห่ง พบว่า 10 แห่งมีพฤติการณ์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ที่มา: รายงานการตรวจสอบ, กระทรวง อว., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
  • สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • thaipbs
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ยังมีที่เรียน สพฐ. ยัน ม.1/ม.4 ว่าง 3 แสนที่ พร้อมเงินอุดหนุน

สพฐ. ยืนยันนักเรียนทุกคนมีที่เรียน พร้อมจัดสรรงบช่วยเหลือผู้ปกครองก่อนเปิดเทอมปี 2568

การเปิดเผยข้อมูลล่าสุดจาก สพฐ. ย้ำ “เด็กไทยไม่มีใครถูกทิ้ง”

ประเทศไทย, 23 เมษายน 2568 – ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2568 ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ดำเนินกระบวนการสอบคัดเลือกและมอบตัวเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีนักเรียนที่ได้ที่เรียนแล้วทั้งสิ้น 1,097,902 คน ครอบคลุมทุกระดับชั้นตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลาย

ตัวเลขนักเรียนที่มีที่เรียน ยืนยันคุณภาพและความครอบคลุม

ในการจัดสรรที่เรียนครั้งนี้ สพฐ. ได้จัดระบบรองรับที่เรียนตามแผนการรับนักเรียนในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ดังนี้:

  • อนุบาล: 218,426 คน ใน 23,862 ห้องเรียน
  • ประถมศึกษาปีที่ 1: 266,846 คน ใน 21,699 ห้องเรียน
  • มัธยมศึกษาปีที่ 1: 372,206 คน ใน 14,826 ห้องเรียน
  • มัธยมศึกษาปีที่ 4: 240,324 คน ใน 8,116 ห้องเรียน

รวมทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านคนที่ได้รับการจัดสรรที่เรียนแล้ว โดย สพฐ. ยืนยันว่า เด็กทุกคนมีที่เรียนอย่างแน่นอน

ยังมีที่นั่งว่างอีกกว่า 3 แสนที่ สพฐ. ย้ำสามารถรองรับได้ทุกคน

แม้จะมีจำนวนนักเรียนที่ได้ที่เรียนแล้วจำนวนมาก แต่ สพฐ. เปิดเผยว่า ยังมีที่นั่งว่างเหลือในระบบอีกกว่า 300,000 ที่นั่ง โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 217,286 ที่นั่ง และมัธยมศึกษาปีที่ 4 อีก 97,511 ที่นั่ง ซึ่งนักเรียนที่ยังไม่มีที่เรียนสามารถยื่นความจำนงได้ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ

ล่าสุด ณ วันที่ 21 เมษายน 2568 มีนักเรียนยื่นความจำนงเพื่อขอที่เรียนเพิ่มเติมจำนวน 18,737 คน แบ่งเป็น:

  • ม.1: 14,844 คน
  • ม.4: 3,893 คน

โดยการจัดสรรจะแล้วเสร็จและประกาศผลภายในวันที่ 27 เมษายน 2568 ส่วนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะประกาศผลระหว่างวันที่ 23-24 เมษายนนี้ และคาดว่าจะยังเหลือที่นั่งว่างในโรงเรียนอีกกว่า 6,500 ที่นั่ง

นโยบาย “เรียนดี มีความสุข” และการขับเคลื่อน OBEC Zero Dropout

ภายใต้การนำของ พลตำรวจเอกเพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาอย่างจริงจัง ผ่านนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” และ OBEC Zero Dropout หรือ “พาน้องกลับมาเรียน นำการเรียนไปให้น้อง” เพื่อให้เด็กทุกคนกลับเข้าสู่ระบบและได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ

นโยบายนี้ครอบคลุมเด็กอายุตั้งแต่ 3 – 18 ปี ที่เคยหลุดจากระบบ และยังคงเปิดโอกาสให้สมัครเรียนได้แม้โรงเรียนจะเปิดภาคเรียนไปแล้ว หากโรงเรียนมีที่นั่งว่าง

สพฐ. อนุมัติงบประมาณช่วยเหลือนักเรียนครบทุกด้านก่อนเปิดเทอม

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ ระบุเพิ่มเติมว่า เพื่อบรรเทาภาระของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1 ปี 2568 สพฐ. ได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณสนับสนุนค่าใช้จ่ายการจัดการศึกษาใน 5 รายการหลัก ได้แก่:

  1. ค่าจัดการเรียนการสอน
  2. ค่าหนังสือเรียน
  3. ค่าอุปกรณ์การเรียน
  4. ค่าเครื่องแบบนักเรียน
  5. ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน

โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อให้นักเรียนทุกคนได้รับสิ่งจำเป็นครบถ้วนก่อนเปิดภาคเรียน และสามารถเข้าชั้นเรียนได้อย่างมีคุณภาพ

แนวทางยืดหยุ่นเรื่องการแต่งกายนักเรียน เพื่อลดภาระผู้ปกครอง

อีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่ สพฐ. ได้กำชับไปยังเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาทุกแห่ง คือ การยืดหยุ่นเรื่องการแต่งกายของนักเรียนในช่วงเปิดภาคเรียน โดยให้สถานศึกษาพิจารณาผ่อนผันหรือยกเว้นได้ตามความเหมาะสม โดยเฉพาะกรณีที่นักเรียนยังไม่มีเครื่องแบบใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเรียน และเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษา

บทวิเคราะห์ ระบบการศึกษาที่ขยับสู่ความเท่าเทียมอย่างจริงจัง

การจัดสรรที่เรียนอย่างครอบคลุม และการสนับสนุนงบประมาณในทุกมิติของการเรียนรู้ สะท้อนถึงความพยายามของ สพฐ. และกระทรวงศึกษาธิการในการลดช่องว่างด้านการศึกษา

มาตรการ OBEC Zero Dropout และการส่งเสริมให้นักเรียนที่หลุดจากระบบได้กลับเข้ามาเรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาคนได้อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

ขณะที่แนวทางการเปิดให้โรงเรียนพิจารณาผ่อนผันการแต่งกาย ก็ถือเป็นการปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงของสังคม และช่วยลดภาระที่ไม่จำเป็นจากผู้ปกครอง ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • นักเรียนที่ได้รับการจัดสรรที่เรียนแล้ว:
    รวม 1,097,902 คน
    • อนุบาล: 218,426 คน
    • ประถมศึกษาปีที่ 1: 266,846 คน
    • มัธยมศึกษาปีที่ 1: 372,206 คน
    • มัธยมศึกษาปีที่ 4: 240,324 คน
  • ที่นั่งว่างในระบบยังสามารถรองรับได้:
    รวม 314,797 คน
    • ม.1: 217,286 คน
    • ม.4: 97,511 คน
  • นักเรียนที่ยื่นขอที่เรียนเพิ่มเติม ณ วันที่ 21 เม.ย. 2568:
    รวม 18,737 คน
    • ม.1: 14,844 คน
    • ม.4: 3,893 คน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
  • กระทรวงศึกษาธิการ
  • ศูนย์สารสนเทศการศึกษาแห่งชาติ
  • ข่าวจากสื่อหลัก: ไทยรัฐ, มติชน, ฐานเศรษฐกิจ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“กิ๋นสุก เป๋นสุข” รับหน้าร้อน! สธ.เตือน 5 โรค ควบคู่ทลายแก๊งค์หมู

การบริโภคอาหารสุก ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัยในช่วงหน้าร้อน

ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อุณหภูมิที่สูงขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากอาหารที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารดิบหรือเนื้อสัตว์ที่มาจากแหล่งที่ไม่ได้รับการรับรอง กรณีการจับกุมผู้ลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรในกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 และคำเตือนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเกี่ยวกับโรคที่มากับฤดูร้อน สะท้อนถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารที่ปรุงสุกและการเลือกวัตถุดิบที่สะอาด แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน โดยเน้นการปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติและความปลอดภัย

ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัย กรณีซากสุกรที่ไม่ทราบแหล่งที่มา

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กก.1 บก.ปทส.) ร่วมกับกรมปศุสัตว์ เข้าจับกุมนายธนะพล อายุ 41 ปี ในข้อหาลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรโดยไม่ได้รับอนุญาต ณ โรงชำแหละซากสุกรไม่มีชื่อ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร พบของกลางเป็นซากสุกร 1,800 กิโลกรัมจากทั้งหมด 7,500 กิโลกรัม ที่ไม่มีเอกสารรับรองแหล่งที่มา ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ในพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ผู้ต้องหามีความผิดตามมาตรา 65 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การตรวจสอบพบว่าโรงชำแหละดังกล่าวดำเนินการโดยไม่ถูกสุขอนามัย ซากสุกรบางส่วนถูกวางบนพื้นโดยไม่มีภาชนะปกป้อง ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวนและอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนโดยรอบ กรณีนี้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ซาลโมเนลลา อีโคไล หรือพยาธิ ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้บริโภคที่ได้รับเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในเมนูที่ใช้เนื้อดิบ เช่น ลาบดิบ หรือก้อยดิบ

ความอร่อยไม่ต้องดิบก็เป็นเอกลักษณ์ที่น่าลิ้มลอง และเป็นที่น่าจดจำ

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งริเริ่มโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6 มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่อาจมากับอาหารดิบ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี แคมเปญนี้ไม่ห้ามการบริโภคอาหารดิบโดยสิ้นเชิง แต่เน้นให้ประชาชนลองปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติที่คุ้นเคยและยกระดับความปลอดภัย

ตัวอย่างเมนูที่แคมเปญนำเสนอ เช่น จิ้นส้มหมกไข่ ซึ่งปกติเป็นแหนมที่หมักดิบ แต่เมื่อนำมาอบหรือนึ่งจนสุก จะได้รสชาติเปรี้ยวเผ็ดที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ หรือลาบสุกที่ใช้เนื้อวัวหรือหมูย่างก่อนคลุกเคล้ากับเครื่องเทศและสมุนไพร เมนูเหล่านี้ยังคงความหอมและรสชาติเข้มข้นไว้ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนจากเนื้อดิบ การเลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่ได้รับการรับรอง เช่น ตลาดที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของอาหาร

เฝ้าระวังโรคในช่วงหน้าร้อน คำเตือนจากสาธารณสุข

นพ.เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้ออกมาเตือนประชาชนเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ถึงภัยสุขภาพในช่วงหน้าร้อน โดยระบุ 5 โรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ อหิวาตกโรค และไวรัสตับอักเสบเอ โรคเหล่านี้ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ซึ่งมักพบในอาหารดิบหรืออาหารที่เก็บรักษาไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและพยาธิ

คำแนะนำจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายสอดคล้องกับโพสต์บนแพลตฟอร์ม X จากบัญชี @ddc_riskcom เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2568 ที่แนะนำให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” เพื่อป้องกันโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษในช่วงฤดูร้อน การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสม เช่น ต้ม ย่าง หรือนึ่ง สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่กระทบต่อรสชาติหรือคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่าการบริโภคอาหารสุกเป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องสูญเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบ การปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุกสามารถทำได้โดยไม่ยุ่งยาก เช่น การย่างเนื้อแทนการใช้ดิบ การนึ่งหรืออบส่วนผสมแทนการหมัก ซึ่งยังคงความหอมของเครื่องเทศและสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน ตัวอย่างเช่น จิ้นส้มหมกไข่ที่อบจนสุกจะมีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น หรือน้ำพริกอ่องที่ใช้หมูสับปรุงสุก ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านตามสูตรดั้งเดิม

นอกจากนี้ การเลือกวัตถุดิบที่สะอาดและมีแหล่งที่มาชัดเจน เช่น เนื้อสัตว์ที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ หรือผักที่ล้างสะอาดก่อนปรุง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แคมเปญนี้ยังเชิญชวนให้ประชาชนแชร์เมนูสุกที่ทำเองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยแฮชแท็ก #กิ๋นสุกเป๋นสุข #สุกอร่อยปลอดภัย และ #ลดดิบเพิ่มสุข เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคในวงกว้าง

ในช่วงหน้าร้อนที่ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น การเลือกกินอาหารสุกไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรคที่มากับอาหาร เช่น อุจจาระร่วงหรืออาหารเป็นพิษ แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาว กรณีการลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรที่ไม่ทราบแหล่งที่มาเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่ทั้งง่ายและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพที่ดี โดยไม่ต้องละทิ้งความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News