Categories
ECONOMY

หมูแพงขึ้น! ผู้เลี้ยงเผยขาดทุนหนัก ปรับราคาตามกลไกตลาด

ราคาหมูขยับขึ้น! สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติแจงต้นทุน-การควบคุมผลผลิต หนุนราคาสมดุล

ประเทศไทย, 25 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาสุกรในประเทศ ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความสนใจและความกังวลให้กับผู้บริโภคและผู้ค้าในตลาดสด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ค่าครองชีพของประชาชนยังอยู่ในระดับสูง

ราคาสุกรขยับรับกลไกตลาดหลังขาดทุนยาว

ตลอดปี 2566 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2567 เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศประสบภาวะขาดทุนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มฟาร์มขนาดเล็กหลายแห่งต้องยุติการดำเนินกิจการ ส่วนฟาร์มขนาดกลางถึงใหญ่ลดจำนวนแม่พันธุ์ลงถึง 40-50% เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยงจากภาวะขาดทุน

ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2567 อยู่ในระดับที่ทำให้เกษตรกรขาดทุนประมาณ 500-700 บาทต่อตัว โดยช่วงที่ขาดทุนหนักที่สุดคือไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ซึ่งขาดทุนสูงถึงตัวละ 3,600 บาท หรือคิดเป็น 40% ของต้นทุนการเลี้ยงสุกร

ปัจจุบันเริ่มมีกำไรขั้นต้น ราคาหน้าฟาร์มปรับขึ้น

ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มปรับตัวเพิ่มขึ้น จนสามารถทำกำไรขั้นต้นได้ประมาณ 13% ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่ “ยุติธรรม” ทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยราคาจำหน่ายปลีกเนื้อสุกรแดงในห้างค้าปลีกอยู่ที่ประมาณ 143 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาที่ตลาดสดอยู่ที่ประมาณ 150 บาทต่อกิโลกรัม

นายสิทธิพันธ์ ระบุว่า การปรับขึ้นของราคาดังกล่าว เป็นไปตามกลไกตลาด ไม่ได้เกิดจากการกำหนดราคาหรือการปั่นราคาแต่อย่างใด พร้อมย้ำว่าผู้เลี้ยงสุกรร่วมมือกับภาครัฐในการควบคุมราคามาโดยตลอด เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป

ควบคุมปริมาณแม่พันธุ์ หวังรักษาสมดุลตลาด

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้กำหนดแนวทางควบคุมปริมาณแม่พันธุ์สุกรทั่วประเทศในปี 2568 ให้อยู่ในระดับ 1.1-1.2 ล้านตัว เพื่อควบคุมผลผลิตสุกรขุนให้อยู่ที่ระดับประมาณ 21-23 ล้านตัวตลอดปี ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณความต้องการบริโภคภายในประเทศ

แนวทางดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะสุกรล้นตลาด ซึ่งจะกดราคาหน้าฟาร์มให้ต่ำกว่าต้นทุนอีกครั้ง และในทางกลับกัน หากควบคุมผลผลิตได้เหมาะสม จะสามารถรักษาระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถรับได้ และเกษตรกรสามารถอยู่รอ

ความเสี่ยงด้านสุขภาพสัตว์ยังคงมีอยู่

อีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้เลี้ยงสุกรต้องเฝ้าระวังคือ สภาพอากาศในช่วงต้นปีที่มีทั้งอากาศร้อนและฝนตก สร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพของสุกร ทำให้มีโอกาสเกิดโรคในฟาร์มได้ง่ายขึ้น หากมีการระบาดของโรค อาจส่งผลกระทบต่ออัตราการตายของสุกร และกระทบถึงปริมาณสุกรขุนในระบบ

สมาคมฯ จึงขอความร่วมมือจากผู้เลี้ยงทั่วประเทศให้เพิ่มความระมัดระวังในการบริหารจัดการฟาร์มให้เข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัย การทำความสะอาดฟาร์ม และการใช้วัคซีน เพื่อป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้น

การดูแลผู้บริโภคยังคงเป็นหลักสำคัญ

นายสิทธิพันธ์ ย้ำว่า ผู้เลี้ยงสุกรส่วนใหญ่มีความตั้งใจดูแลผู้บริโภคมาโดยตลอด ทั้งการสนองต่อนโยบายรัฐ การควบคุมราคาสุกร และการร่วมมือในมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังเปราะบาง ผู้เลี้ยงสุกรยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติยืนยันว่า จะพยายามรักษาสมดุลในตลาดให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม ระหว่างต้นทุนการเลี้ยงที่แท้จริงและราคาที่ผู้บริโภครับได้ โดยมีการประสานงานกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายเกษตรกร มองว่า การปรับขึ้นราคาสุกรในช่วงนี้เป็นเรื่องจำเป็น หลังจากขาดทุนอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปี การได้ราคาที่เริ่มมีกำไรบ้างถือเป็นการประคองอาชีพให้ยืนระยะได้ โดยเฉพาะกลุ่มฟาร์มขนาดกลางและเล็กที่แบกรับต้นทุนมาอย่างยาวนาน

ฝ่ายผู้บริโภค แม้เข้าใจถึงความจำเป็นของผู้ผลิต แต่ก็มีความกังวลว่า ราคาที่เพิ่มขึ้นอาจกระทบต่อค่าครองชีพในภาพรวม โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยที่พึ่งพาโปรตีนจากเนื้อหมูเป็นหลัก หากราคายืนในระดับสูงต่อเนื่อง จะต้องหาทางเลือกอื่นที่ราคาย่อมเยากว่า

สถิติที่เกี่ยวข้อง (ณ มีนาคม 2568)

  • ราคาจำหน่ายสุกรเนื้อแดง:
    • ห้างค้าปลีก: 143 บาท/กก.
    • ตลาดสดทั่วไป: 150 บาท/กก.
  • ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์ม: เพิ่มขึ้น ทำกำไรขั้นต้น ~13%
  • ต้นทุนเฉลี่ยการเลี้ยงสุกร: ประมาณ 3,500-3,800 บาทต่อตัว
  • ขาดทุนหนักสุดในไตรมาส 3/2566: 3,600 บาทต่อตัว
  • จำนวนแม่พันธุ์สุกรที่ควบคุมในปี 2568: 1.1–1.2 ล้านตัว
  • คาดการณ์ผลผลิตสุกรขุนปี 2568: 21–23 ล้านตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
  • กระทรวงพาณิชย์
  • การสำรวจราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ตลาดสดและห้างค้าปลีกทั่วประเทศ (โดยกรมการค้าภายใน)
  • รายงานสถานการณ์การเลี้ยงสัตว์โดยกรมปศุสัตว์ ประจำไตรมาส 1/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยส่อแวว ธุรกิจเจ๊งพุ่ง 2,218 แห่ง ใน 2 เดือน

เศรษฐกิจไทยสะเทือน ธุรกิจปิดกิจการ 2,218 แห่งใน 2 เดือนแรกปี 2568

ประเทศไทย, 25 มีนาคม 2568 –  ผู้สื่อข่าวรายงานตัวเลขของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-กุมภาพันธ์) มีธุรกิจปิดกิจการแล้วถึง 2,218 แห่ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 16.86% ขณะที่ยอดการจัดตั้งธุรกิจใหม่กลับลดลง 5.09% เมื่อเทียบกับปี 2567

ธุรกิจใหม่ลดฮวบ ทุนจดทะเบียนหดตัว

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การจัดตั้งธุรกิจใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ มีจำนวนเพียง 7,529 ราย ลดลง 579 ราย หรือ 7.14% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 ขณะที่ทุนจดทะเบียนใหม่ลดลงถึง 19.78% เหลือ 16,335 ล้านบาท

เมื่อรวมยอดสะสม 2 เดือนแรกปี 2568 พบว่ามีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพียง 16,391 ราย ลดลงจาก 17,270 รายในปีที่แล้ว โดยมีทุนจดทะเบียนรวม 41,285 ล้านบาท ลดลง 9.85% จากปีก่อน

ธุรกิจยอดนิยมที่ยังเกิดใหม่แม้ภาวะชะลอ

แม้ภาพรวมจะซบเซา แต่ยังมี 3 ประเภทธุรกิจที่ยังได้รับความนิยมในการจัดตั้ง ได้แก่

  1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป – 1,319 ราย ทุน 2,762 ล้านบาท
  2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ – 1,085 ราย ทุน 4,156 ล้านบาท
  3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร – 675 ราย ทุน 1,341 ล้านบาท

ธุรกิจล้มเลิกพุ่งสูง เหตุต้นทุนพุ่ง-เศรษฐกิจชะลอ

สำหรับการเลิกกิจการ 2 เดือนแรก พบว่ามีจำนวน 2,218 ราย เพิ่มขึ้น 320 ราย คิดเป็น 16.86% จากปี 2567 โดยมีทุนจดทะเบียนรวม 7,017 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 656 ล้านบาท หรือ 10.31% ธุรกิจที่เลิกสูงสุด ได้แก่

  1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป – 227 ราย ทุน 375 ล้านบาท
  2. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร – 92 ราย ทุน 274 ล้านบาท
  3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ – 87 ราย ทุน 289 ล้านบาท

ธุรกิจนิติบุคคลยังคงดำเนินการกว่า 9.3 แสนราย

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีนิติบุคคลจดทะเบียนรวม 1,981,221 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.61 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้มีนิติบุคคลที่ยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ 935,839 ราย คิดเป็น 47% ของนิติบุคคลทั้งหมด โดยเป็นบริษัทจำกัดถึง 737,891 ราย หรือ 78.85% ของธุรกิจที่ยังดำเนินการอยู่

ต้นเหตุธุรกิจสะดุด: ปัจจัยภายใน-ภายนอกบีบตัวเลขติดลบ

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้การจัดตั้งธุรกิจใหม่ชะลอตัวลง เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน สงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ราคาพลังงานที่สูงขึ้น นโยบายการค้าและภาษีที่เปลี่ยนแปลงจากฝั่งสหรัฐฯ รวมถึงภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นในประเทศ ล้วนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลต่อกำลังซื้อในหลายภาคส่วน ทำให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนและการเริ่มต้นกิจการใหม่

สัดส่วนการตั้งธุรกิจต่อเลิกกิจการ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี

แม้สถานการณ์จะน่าเป็นห่วง แต่หากพิจารณาอัตราการจัดตั้งธุรกิจใหม่ต่อการเลิกกิจการยังอยู่ในระดับ 7:1 ซึ่งดีกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ที่มีค่าเฉลี่ยเพียง 4:1 ถือเป็นสัญญาณบวกในภาพรวมของเศรษฐกิจไทย

การลงทุนต่างชาติยังไหลเข้าไทยต่อเนื่อง

ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติยังเติบโตต่อเนื่อง โดยมีนักลงทุนต่างชาติเปิดกิจการในไทย 73 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ถึง 68% คิดเป็นเงินลงทุนรวม 35,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% แหล่งทุนหลัก 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. ญี่ปุ่น – 38 ราย เงินลงทุน 13,676 ล้านบาท
  2. จีน – 23 ราย เงินลงทุน 5,113 ล้านบาท
  3. สิงคโปร์ – 23 ราย เงินลงทุน 4,490 ล้านบาท
  4. สหรัฐอเมริกา – 19 ราย เงินลงทุน 1,372 ล้านบาท
  5. ฮ่องกง – 16 ราย เงินลงทุน 1,587 ล้านบาท

ธุรกิจที่ได้รับการลงทุน ได้แก่ ศูนย์กระจายสินค้า วิจัยและพัฒนา บริการรับจ้างผลิต รวมถึงธุรกิจเทคโนโลยีและศูนย์ข้อมูล (Data Center)

แนวโน้มเศรษฐกิจและความหวังจากมาตรการรัฐ

หน่วยงานรัฐยังคาดว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ อาทิ

  • Easy E-Receipt
  • การท่องเที่ยวช่วงฤดูพีค
  • การลงทุนของรัฐในโครงสร้างพื้นฐาน
  • การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคาดการณ์ว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจตลอดปี 2568 จะสามารถแตะเป้า 90,000–95,000 ราย ได้หากภาครัฐเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากทั้งสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า ตัวเลขการจัดตั้งธุรกิจยังสูงกว่าการเลิกกิจการอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทยที่ยังน่าลงทุน ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศไทย

ฝ่ายกังวล ชี้ว่า ตัวเลขการเลิกกิจการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสะท้อนถึงแรงกดดันของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายย่อยที่รับภาระต้นทุนไม่ไหว หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือที่ตรงจุด อาจเห็นการเลิกกิจการมากขึ้นในไตรมาสถัดไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง (ม.ค.–ก.พ. 2568)

  • จัดตั้งธุรกิจใหม่: 16,391 ราย (-5.09%)
  • ทุนจดทะเบียนใหม่: 41,285 ล้านบาท (-9.85%)
  • ธุรกิจเลิกกิจการ: 2,218 ราย (+16.86%)
  • ทุนจดทะเบียนเลิก: 7,017 ล้านบาท (+10.31%)
  • นิติบุคคลดำเนินกิจการ: 935,839 ราย
  • การลงทุนจากต่างชาติ: 35,277 ล้านบาท (+33%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ วันที่ 25 มีนาคม 2568 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ททท. เร่งเครื่องดึงจีนเที่ยวไทย โรดโชว์ 3 เมืองใหญ่

ททท.เร่งกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวจีนหลังสัญญาณฟื้นตัว เร่งโรดโชว์ 3 เมืองใหญ่ ผนึกภาคเอกชนสร้างความมั่นใจ ดึงกรุ๊ปทัวร์กลับไทย

กรุงเทพฯ, 21 มีนาคม 2568 – การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ ททท.กำลังเดินหน้ากระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีนอย่างเข้มข้น หลังจากสัญญาณของตลาดเริ่มนิ่งและมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะการจองการเดินทางล่วงหน้าเข้าสู่ประเทศไทยที่เริ่มขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นพฤษภาคม 2568 ซึ่งตรงกับวันหยุดแรงงานของจีน

ทั้งนี้ ททท.ได้เตรียมจัดโรดโชว์ใน 3 เมืองใหญ่ของจีน ได้แก่ เซี่ยเหมิน อู่ฮั่น และเฉิงตู ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางกลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์และต่อเนื่องถึงช่วงวันแรงงาน

สาเหตุการชะลอตัวของตลาดจีนและแผนฟื้นฟู

นางสาวฐาปนีย์ ระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากหลายปัจจัย เช่น การลดลงของเที่ยวบินเช่าเหมาลำกว่า 20% การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกระแสข่าวด้านความปลอดภัยที่กระทบต่อความมั่นใจของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เคยเดินทางมาไทยมาก่อน

เพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์ ททท.จึงประสานงานกับสำนักงาน 5 แห่งในจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู และกว่างโจว ให้เร่งดำเนินการตลาดเชิงรุกในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับ KOL และอินฟลูเอนเซอร์ในจีน การประชาสัมพันธ์กิจกรรมสงกรานต์ และการทำคาราวานรถยนต์จากเมืองคุณหมิงเข้าสู่เชียงใหม่

ดึงภาคเอกชนร่วมโรดโชว์และส่งเสริมกรุ๊ปทัวร์

ททท.ยังได้ร่วมมือกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (แอตต้า) ในการจัดโรดโชว์ต่อเนื่องช่วงเดือนพฤษภาคม เพื่อส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวจีนในช่วงวันหยุดฤดูร้อนและช่วงวันชาติของจีนในเดือนตุลาคม โดยเฉพาะกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่สร้างวอลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

พร้อมกันนี้ ททท.ได้เชิญตัวแทนบริษัทนำเที่ยวจากจีนกว่า 500 ราย มาสำรวจเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นโดยตรง และเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปใหญ่ในอนาคตอันใกล้

โปรโมชั่นพิเศษผ่าน “แกรนด์สงกรานต์” และพันธมิตรดิจิทัล

สำหรับการดึงดูดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีน ททท.ร่วมมือกับแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลชั้นนำของจีน เช่น Alipay โดยเสนอส่วนลดพิเศษ หากนักท่องเที่ยวใช้จ่ายผ่านแอปดังกล่าว และยังร่วมกับแพลตฟอร์ม OTA อย่าง Ctrip จัดโปรโมชั่นตั๋วโดยสารราคาพิเศษเพื่อแข่งขันกับประเทศปลายทางคู่แข่ง เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ททท. ยังเตรียมจัดกิจกรรม “แกรนด์สงกรานต์ แกรนด์พริวิเลจ” เพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวเหนือระดับ โดยมีสิทธิประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวจีน เช่น ส่วนลดร้านค้า สปา ร้านของที่ระลึก และลุ้นรับของที่ระลึก ณ สนามบินหลัก เช่น สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ และภูเก็ต

จังหวัดเชียงรายเตรียมความพร้อมรับเทศกาลสงกรานต์

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนประจำจังหวัดเชียงราย เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 โดยกำหนดมาตรการหลักคือ การตั้งด่านตรวจหลักในจุดเสี่ยง ช่วงเวลาต่างกันเพื่อลดอุบัติเหตุ และให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้กำหนดแผนรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่

  1. ช่วงประชาสัมพันธ์: 1 มี.ค. – 3 เม.ย. 2568
  2. ช่วงก่อนเข้มข้น: 4 – 10 เม.ย. 2568
  3. ช่วงเข้มข้น: 11 – 17 เม.ย. 2568
  4. ช่วงหลังเข้มข้น: 18 – 24 เม.ย. 2568

โดยคาดว่าจังหวัดเชียงรายจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วงเทศกาลดังกล่าว เนื่องจากมีการเตรียมมาตรการด้านความปลอดภัยและกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างครอบคลุม

เป้าหมายและทิศทางตลาดจีนปี 2568

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ กล่าวว่า ททท.ตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปี 2568 ไว้ที่ 8-9 ล้านคน โดยมั่นใจว่าหากไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเติม สถานการณ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น โดยเฉพาะจากยอดจองที่เพิ่มขึ้นชัดเจนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยปี 2566: ประมาณ 3.5 ล้านคน
  • เป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนปี 2568: 8-9 ล้านคน
  • สำนักงาน ททท.ในจีน: 5 แห่ง (ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู กว่างโจว)
  • บริษัททัวร์จีนที่เข้าร่วมกิจกรรมในไทย: 500 ราย (เบื้องต้น)
  • เมืองเป้าหมายโรดโชว์: เซี่ยเหมิน อู่ฮั่น เฉิงตู

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

  • ประชาชาติธุรกิจ

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พัฒนาคมนาคม ‘เชียงราย’ เชื่อมรถไฟ-สนามบิน ลดจราจร

เชียงรายเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างจราจรและคมนาคมแบบบูรณาการ ประชุมคณะอนุกรรมการจัดระบบการจราจรทางบกจังหวัดเชียงราย

เชียงราย,20 มีนาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม

ในครั้งนี้ มีคณะอนุกรรมการ ผู้แทนจากการรถไฟแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยมีการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ Webex Meeting เพื่อร่วมกำหนดแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการจราจรและขนส่งของจังหวัดให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ภารกิจหลักของคณะอนุกรรมการจราจร

คณะอนุกรรมการชุดนี้จัดตั้งตามคำสั่งของคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน และหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเป็นเลขานุการ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง

หน้าที่หลักคือส่งเสริมการจัดทำแผนแม่บทจราจรและขนส่ง กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหา และประสานแผนงานให้ดำเนินไปตามกรอบที่วางไว้ เพื่อยกระดับคุณภาพการจราจรในจังหวัด

โครงการรถไฟเด่นชัย – เชียงของ คืบหน้าแต่ยังล่าช้า

หนึ่งในหัวข้อสำคัญที่หารือ คือความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ ซึ่งดำเนินการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีความคืบหน้าร้อยละ 28.182 เมื่อเทียบกับแผนงานสะสมที่ร้อยละ 36.545 พบว่าล่าช้ากว่าแผนร้อยละ 8.363

คณะอนุกรรมการได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่พบระหว่างดำเนินโครงการ เพื่อลดผลกระทบต่อแผนงานในระยะยาว

แผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะเชียงราย

สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้นำเสนอการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในจังหวัดเชียงราย โดยมีการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางในเขตเมืองหลัก 11 จังหวัด

แผนนี้มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงระบบขนส่งในระดับภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่นผ่านโครงข่ายขนส่งที่มีประสิทธิภาพ

พัฒนาและขยายท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย

ที่ประชุมยังได้รับฟังแผนพัฒนา “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย” ในช่วงปี 2564–2578 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะหลัก

  • ปี 2564–2568 ปรับปรุงและก่อสร้าง 10 รายการ
  • ปี 2568–2571 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 1 รวม 12 รายการ
  • ปี 2571–2578 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 2 อีก 5 รายการ

ปัจจุบันท่าอากาศยานสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 3 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้

ถนนเชื่อมรถไฟเชียงราย – สนามบิน: แกนหลักการขนส่ง

ประเด็นสำคัญอีกข้อ คือโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมระหว่างสถานีรถไฟเชียงรายและท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม

โดยมอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท ศึกษาความเหมาะสมของโครงการ รวมถึงการเวนคืนที่ดินและขอรับงบประมาณสนับสนุนในลำดับถัดไป เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

ทิศทางการพัฒนาเมืองเชียงรายสู่อนาคต

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของจังหวัดเชียงราย ทั้งยังสะท้อนเสียงจากภาคประชาชนผ่านคณะอนุกรรมการที่เป็นตัวแทนผู้ใช้ถนน

แผนต่างๆ ที่เสนอและรับฟัง จะเป็นพื้นฐานในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองในอนาคต เพื่อสร้างระบบขนส่งที่ยั่งยืน สะดวก ปลอดภัย และเป็นธรรมสำหรับทุกภาคส่วนในสังคม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • โครงการรถไฟเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ คืบหน้า 28.182% (ข้อมูลจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ปี 2568)
  • ความล่าช้าจากแผนสะสม 8.363%
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย รองรับผู้โดยสารได้ 3,000,000 คน/ปี (ข้อมูลจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ปี 2567)
  • แผนพัฒนาท่าอากาศยาน ระยะที่ 1 และ 2 รวม 27 โครงการ

ทัศนคติต่อประเด็นการพัฒนา

ฝ่ายสนับสนุนโครงการ มองว่าการพัฒนาเหล่านี้จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในระยะยาว โดยเฉพาะการเชื่อมโยงโครงข่ายขนส่งในพื้นที่

ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าควรมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เวนคืนที่อาจได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / การรถไฟแห่งประเทศไทย / สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) / ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ซื้อหนี้ประชาชน ‘ศิริกัญญา’ ชี้ เสี่ยงซ้ำรอยดิจิทัลวอลเล็ต

ซื้อหนี้เสีย: ‘ทักษิณ’ ชูแนวคิดใหม่, ‘ศิริกัญญา’ เตือนผลกระทบ”

กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – รองหัวหน้าพรรคประชาชน ตั้งคำถามโครงการซื้อหนี้ หวั่นกระทบความน่าเชื่อถือของรัฐบาล

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงแนวคิดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เสนอให้รัฐบาลรับซื้อหนี้เสียจากประชาชน โดยยืนยันว่าจะไม่ใช้เงินจากภาครัฐ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารัฐบาลจะใช้เงินจากแหล่งใด

ข้อกังวลเกี่ยวกับแนวทางการจัดการหนี้

น.ส.ศิริกัญญา ระบุว่า รูปแบบการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้นั้นมีทั้งกรณีที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย พร้อมตั้งคำถามว่าการซื้อหนี้เสียจากธนาคารพาณิชย์จะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดหรือไม่ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์อาจได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการนี้ ในขณะที่ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบ

นอกจากนี้ แนวคิดเรื่อง การนำลูกหนี้ออกจากเครดิตบูโร ก็อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต หากไม่มีข้อมูลทางเครดิตของประชาชนเลย อาจทำให้การกู้เงินใหม่เป็นไปได้ยากขึ้น เธอเสนอว่า ควรมีแนวทางเปลี่ยนสถานะลูกหนี้เป็น ลูกหนี้ประวัติดี” มากกว่าการลบประวัติทั้งหมด

เปรียบเทียบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

น.ส.ศิริกัญญา ยังตั้งข้อสังเกตว่า แผนการซื้อหนี้ประชาชนอาจซ้ำรอยปัญหาของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ยังไม่มีแนวทางชัดเจนจากกระทรวงการคลัง และเคยเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการหลายครั้ง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและตลาดการเงิน

การที่ยังไม่มีแผนการที่ชัดเจน อาจเป็นการพูดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน แต่หากทำไม่ได้จริงก็อาจส่งผลเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล” น.ส.ศิริกัญญากล่าว

งบประมาณที่ต้องใช้และศักยภาพของภาคเอกชน

แนวคิดของนายทักษิณ ระบุว่าจะซื้อหนี้เสียทั้งหมดจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหนี้เสีย (NPL) มีมูลค่ารวมกว่า 1.2 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริษัทบริหารสินทรัพย์ในประเทศไทย 87 แห่ง จัดการหนี้เสียรวมเพียง 3 แสนล้านบาท เท่านั้น หากต้องการซื้อหนี้ทั้งหมด ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 3-5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่สูงมาก

น.ส.ศิริกัญญา ยังระบุว่า รัฐบาลต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนที่ใช้ และตั้งคำถามว่า หากไม่มีเงินจากภาครัฐ เงินจะมาจากไหน และใครจะเป็นผู้บริหารหนี้เหล่านี้

ท่าทีของกระทรวงการคลัง

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวคิดนี้ว่า การปรับโครงสร้างหนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การยืดระยะเวลาชำระหนี้และลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นมาตรการที่สถาบันการเงินเคยดำเนินการมาก่อน

แนวทางหนึ่งที่อาจนำมาใช้คือ การตั้งหน่วยงานบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยทำงานร่วมกับสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเจ้าของหนี้ ในขณะที่ภาครัฐจะมีบทบาทช่วยกำกับดูแล อย่างไรก็ตาม รายละเอียดการดำเนินงานยังอยู่ระหว่างการพิจารณา

เราต้องดูข้อมูลทั้งหมดก่อน และจะหารือกับสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับแนวทางที่เหมาะสม” นายพิชัยกล่าว

ทักษิณ ชินวัตร ยืนยันแนวคิดช่วยเหลือประชาชน

นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวบนเวทีปราศรัยที่จังหวัดพิษณุโลก ยืนยันว่าแผนการซื้อหนี้เป็นนโยบายที่คิดร่วมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมุ่งหวังให้ประชาชนสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ โดยไม่ต้องใช้เงินจากภาครัฐ แต่จะเป็นการให้ภาคเอกชนลงทุนแทน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้ครัวเรือน

ข้อมูลจาก TTB Analytics ปี 2567 ระบุว่า:

  • หนี้ครัวเรือนไทยมีมูลค่ารวม 16.3 ล้านล้านบาท ณ ไตรมาส 3 ปี 2567
  • บัญชีลูกหนี้ที่ไม่สามารถระบุตัวตน (Anonymous Account) มากกว่า 84 ล้านบัญชี มีหนี้คงค้างกว่า 13.6 ล้านล้านบาท
  • หนี้เสีย (NPL) ที่อยู่ในระบบมีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท

สรุป

แนวคิดการซื้อหนี้ของประชาชนจากธนาคารพาณิชย์ที่เสนอโดย นายทักษิณ ชินวัตร กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในแวดวงการเมืองและเศรษฐกิจ โดย ฝ่ายสนับสนุนมองว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่มีภาระหนี้สินหนัก ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลว่า อาจเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด และเพิ่มภาระทางการเงินโดยไม่แน่ชัดว่าเงินทุนจะมาจากแหล่งใด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : TTB Analytics, 2567 / กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.เปิดเชียงราย Fam Trip ดึงสายการบินต่างชาติ

เชียงรายเปิดเส้นทางบินใหม่ ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

AOT ผนึกกำลัง ททท. เปิดตัวโครงการ FAM Trip เชียงราย

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมเปิดตัวโครงการสร้างการรับรู้และพัฒนาเส้นทางการบิน (Familiarization Trip : FAM Trip) ภายใต้ชื่อ “Discover Amazing Thailand Through The Skies FAM Trip” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศมายังเชียงราย ณ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายโดยใช้ศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเส้นทางบินระหว่างประเทศ โดยมีผู้แทนสายการบินและตัวแทนการท่องเที่ยวชั้นนำจากประเทศอินเดีย จีน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์เข้าร่วมงาน เพื่อพัฒนาเส้นทางบินและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมายังเชียงรายมากขึ้น

เชียงรายพร้อมเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค

ในพิธีเปิดโครงการ FAM Trip ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่โดดเด่น อีกทั้งยังมีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน

AOT ได้จัดทำโครงการสนับสนุนการตลาด (Marketing Fund) เพื่อจูงใจให้สายการบินต่างชาติเพิ่มเที่ยวบินมายังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเส้นทางบินใหม่กับเมืองสำคัญทั่วโลก เพื่อยกระดับให้ ทชร. เป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งทางอากาศของภูมิภาค (Regional Hub)

โครงการ FAM Trip เปิดประสบการณ์ใหม่ให้นักลงทุนและสายการบิน

ในช่วงงานเลี้ยงต้อนรับ (Welcome Reception) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมนำเสนอศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้แก่ผู้แทนสายการบินและบริษัทนำเที่ยวจากต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย และหอการค้าจังหวัดเชียงราย

ในโอกาสนี้ นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้บรรยายสรุปข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของ ทชร. รวมถึงแผนพัฒนาสนามบินเพื่อรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยผู้เข้าร่วมโครงการยังได้เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย อาทิ วัดร่องขุ่น ไร่ชาฉุยฟง และดอยตุง เพื่อสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่จริง

เป้าหมายเชียงราย: สู่ Aviation Hub ของภูมิภาค

รัฐบาลไทยมีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค ซึ่งนอกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เป็นองค์ประกอบหลักแล้ว การพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคอย่าง ทชร. ก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายเครือข่ายการบินระหว่างประเทศ

AOT วางแผนพัฒนา ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO – Maintenance, Repair, and Overhaul) ในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการสายการบินทั่วโลก ตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในแนวทางนี้คือสิงคโปร์ ซึ่งมีศูนย์ซ่อมอากาศยานชั้นนำระดับโลกและสถาบันฝึกอบรมด้านการบินอย่าง Singapore Aviation Academy (SAA)

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสถิติที่เกี่ยวข้อง

การพัฒนาเส้นทางบินระหว่างประเทศมายังเชียงรายคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนกว่า 1.2 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 20% ภายในปี 2569 หากมีการขยายเส้นทางบินใหม่เพิ่มเติม

นอกจากนี้ สถิติจาก AOT ชี้ให้เห็นว่าปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นกว่า 15% จากปี 2566 โดยมีจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นศูนย์กลางการบินแห่งใหม่ของภูมิภาค

สรุป

โครงการ FAM Trip เชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญในการดึงดูดสายการบินและนักลงทุนให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการพัฒนาเส้นทางบินระหว่างประเทศ ด้วยการสนับสนุนจาก AOT และ ททท. เชียงรายกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคที่สามารถแข่งขันกับเมืองท่องเที่ยวชั้นนำในเอเชียได้อย่างเต็มตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

กรุงศรีเผย 3 อินไซต์ รถมือสองฮิต Gen X-Y สนใจ

กรุงศรี ออโต้ เจาะลึกพฤติกรรมผู้ใช้รถยนต์ไทยปี 2568: ตลาดรถยนต์มือสองและ EV กำลังมาแรง

แนวโน้มตลาดยานยนต์ไทย: เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภค

ประเทศไทย, 14 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรุงศรี ออโต้ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดยานยนต์ไทยผ่านการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคจากงานมหกรรมยานยนต์ทั่วประเทศ พบว่า ตลาดรถยนต์มือสองกำลังเติบโตขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค Gen X และ Gen Y เนื่องจากปัจจัยด้านราคาและความคุ้มค่า ในขณะเดียวกัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังได้รับความนิยมในกลุ่ม Gen Z และวัยทำงานอายุ 25-44 ปี ซึ่งให้ความสำคัญกับสมรรถนะ ฟังก์ชันการใช้งาน และต้นทุนระยะยาวมากกว่าชื่อเสียงของแบรนด์

นาย คงสิน คงคา ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย ผู้บริโภคต้องปรับตัวและวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบมากขึ้น ส่งผลให้การเลือกซื้อรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความต้องการรถยนต์มือสองและ EV ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

Gen Z และวัยทำงาน: พลังขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

  • ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเข้าสู่ จุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากกลุ่ม Gen Z และวัยทำงานอายุ 25-44 ปี
  • รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
  • ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสูงถึง 84.7% โดย 3 แบรนด์ที่มียอดจดทะเบียนสูงสุด ได้แก่ BYD, MG และ NETA
  • กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นพื้นที่หลักที่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการชาร์จ EV ได้ดีกว่าพื้นที่อื่น ๆ

ตลาดรถยนต์มือสอง: โอกาสทองของผู้บริโภค

  • ปี 2567-2568 เป็นช่วงเวลาสำคัญของตลาดรถยนต์มือสอง เนื่องจาก ราคาปรับลดลง 10-30%
  • รถยนต์อายุ 3-5 ปี ครองตลาดสูงสุดที่ 52% รองลงมาคือ รถอายุไม่เกิน 3 ปี (20%) และ 6-8 ปี (19%)
  • ประเภทพลังงานที่ได้รับความนิยมสูงสุด:
    • รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) 54%
    • รถไฮบริด (HEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) 38%
    • รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV) 9%

แนวโน้มสินเชื่อยานยนต์ไทย: บทบาทของกรุงศรี ออโต้

กรุงศรี ออโต้ เดินหน้าพัฒนา สินเชื่อยานยนต์ดิจิทัล (Digital Auto Lending) เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถขอสินเชื่อผ่าน แอปพลิเคชัน “โก บาย กรุงศรี ออโต้” ได้สะดวกขึ้น ลดขั้นตอนการดำเนินการ และทราบผลอนุมัติสินเชื่อภายใน 30 นาที

มุมมองจาก 2 ฝ่ายต่อแนวโน้มตลาดยานยนต์

ฝ่ายสนับสนุน

นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและรถมือสอง เป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อรถยนต์ที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของตนเอง ในขณะที่ผู้ให้บริการสินเชื่ออย่าง กรุงศรี ออโต้ ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น

ฝ่ายกังวล

ในขณะเดียวกัน มีความกังวลเกี่ยวกับ มูลค่าขายต่อของรถ EV ที่อาจลดลงเร็วกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาป นอกจากนี้ยังมีคำถามเกี่ยวกับ อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อรถยนต์ ที่อาจเป็นภาระสำหรับผู้บริโภคที่มีสถานะทางการเงินไม่มั่นคง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสูงถึง 84.7% (ที่มา: สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย)
  • ราคาตลาดรถยนต์มือสองปรับตัวลดลง 10-30% เมื่อเทียบกับปี 2566 (ที่มา: สมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้วไทย)
  • อัตราการขอสินเชื่อบิ๊กไบค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มอายุ 21-40 ปี (ที่มา: กรุงศรี ออโต้)
  • อายุการใช้งานเฉลี่ยของรถยนต์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 7 ปี เป็น 10 ปี (ที่มา: กระทรวงอุตสาหกรรม)

สรุป

แนวโน้มตลาดยานยนต์ไทยปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการซื้อรถยนต์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเลือกซื้อรถมือสองที่มีราคาลดลง หรือการเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นด้าน มูลค่าขายต่อของรถ EV และอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ ที่ต้องติดตามในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรุงศรี ออโต้

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

กาแฟช็อกโลก ราคาพุ่ง 70% ผู้ค้าทั่วโลกชะลอซื้อ รอราคาลง

ราคากาแฟพุ่ง 70% โรงคั่วทั่วโลกปรับกลยุทธ์ ฝ่าวิกฤตต้นทุนพุ่ง

ภาวะตลาดกาแฟโลกเผชิญแรงกดดันจากราคาที่สูงขึ้น

เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส, 10 มีนาคม 2568 – รายงานจาก Reuters และกรุงเทพธุรกิจระบุว่า อุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาราคาพุ่งสูงขึ้นถึง 70% ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ค้าและโรงคั่วกาแฟต้องลดปริมาณการซื้อเมล็ดกาแฟลงเหลือระดับต่ำสุด เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซัพพลายเออร์ยังไม่สามารถโน้มน้าวให้ร้านค้าปลีกยอมรับการปรับขึ้นราคาได้

ภาคอุตสาหกรรมตกตะลึงกับราคากาแฟที่พุ่งสูงขึ้น

ภายในงานประชุมประจำปีของสมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐ (NCA) ที่จัดขึ้นในเมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มราคากาแฟอาราบิก้าในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ICE ซึ่งเป็นตลาดอ้างอิงสำหรับการซื้อขายกาแฟทั่วโลก

เรแนน ชูเอรี ผู้อำนวยการทั่วไปของ ELCAFE C.A. ในเอกวาดอร์ เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นครั้งแรกที่บริษัทไม่สามารถขายสินค้าล็อตการผลิตประจำปีได้หมดภายในเดือนมีนาคม โดยปัจจุบันขายได้ไม่ถึง 30% ของกำลังการผลิตปกติ

“ปกติแล้วตอนนี้เราน่าจะขายได้หมดแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เราขายสินค้าได้ไม่ถึง 30%” ชูเอรีกล่าว

ราคากาแฟที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ลูกค้าหลายรายประสบปัญหาสภาพคล่อง ไม่สามารถซื้อเมล็ดกาแฟในปริมาณที่ต้องการได้ ขณะที่ผู้ค้าปลีกยังคงชะลอการเจรจา ทำให้สินค้าเริ่มขาดตลาดในบางพื้นที่

ปัจจัยที่ทำให้ราคากาแฟปรับตัวสูงขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการปรับขึ้นของราคากาแฟในปีนี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้:

  • ผลผลิตลดลงในประเทศผู้ผลิตหลัก โดยเฉพาะบราซิล ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลก
  • สภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิตกาแฟ
  • ความต้องการที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป

ผู้ค้าและโรงคั่วกาแฟหลายรายจึงหันมาใช้กลยุทธ์การซื้อแบบ “hand to mouth” หรือการซื้อเฉพาะปริมาณที่จำเป็นในขณะนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากต้นทุนที่สูงขึ้น

ผู้ค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตปฏิเสธการขึ้นราคา

สถานการณ์ราคากาแฟที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ต โดยซัพพลายเออร์ไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ตามต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากผู้ค้าปลีกยังคงกดดันไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาสินค้า ทำให้บางร้านค้าเริ่มขาดสินค้ากาแฟบนชั้นวาง

ผู้บริหารโรงคั่วกาแฟรายหนึ่งในสหรัฐเผยว่า ลูกค้าบางรายกำลังประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ เพราะไม่สามารถขายกาแฟในราคาใหม่ได้ โดยระบุว่า:

“พวกเขาไม่รู้ว่าธุรกิจจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ บางคนอาจต้องปิดกิจการ”

แนวโน้มราคาและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

ผลสำรวจล่าสุดของ Reuters คาดการณ์ว่า ราคากาแฟอาราบิก้าอาจลดลงถึง 30% ภายในสิ้นปี 2568 เนื่องจากราคาสูงทำให้ความต้องการลดลง นอกจากนี้ยังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าผลผลิตกาแฟในบราซิลจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า ซึ่งอาจช่วยให้ตลาดกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลได้

บริษัทผู้ค้าสินค้าโภคภัณฑ์ Louis Dreyfus ระบุว่า พื้นที่เพาะปลูกกาแฟทั่วโลกกำลังขยายตัว โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ยูกันดา เอธิโอเปีย และบราซิล ซึ่งอาจนำไปสู่การลดลงของราคากาแฟในอนาคตหากผลผลิตมีปริมาณมากพอ

“หากบราซิลสามารถผลิตกาแฟได้ในปริมาณที่มากพอ บวกกับพื้นที่เพาะปลูกใหม่ในหลายประเทศ ราคากาแฟอาจร่วงลงอย่างรวดเร็ว” Louis Dreyfus กล่าวในงานประชุม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับตลาดกาแฟ

  • ราคากาแฟอาราบิก้าปรับตัวสูงขึ้น 70% ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 จนถึงมีนาคม 2568 (ที่มา: Reuters)
  • โพลล์ของ Reuters คาดการณ์ว่าราคากาแฟอาจลดลง 30% ภายในสิ้นปี 2568
  • สต็อกกาแฟในโกดังสินค้าของสหรัฐฯ ลดลงเหลือเพียง 50% ของปริมาณปกติ (ที่มา: สมาคมกาแฟแห่งชาติสหรัฐ)
  • พื้นที่เพาะปลูกกาแฟขยายตัวในประเทศอินเดีย ยูกันดา เอธิโอเปีย และบราซิล เนื่องจากราคาสูงทำให้เกษตรกรเพิ่มการผลิต (ที่มา: Louis Dreyfus)

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุนการขึ้นราคากาแฟ

ฝ่ายที่สนับสนุนให้ปรับขึ้นราคากาแฟให้สอดคล้องกับต้นทุน มองว่าเป็นแนวทางที่ช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสามารถอยู่รอดได้ รวมถึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้ผลิตกาแฟขยายพื้นที่เพาะปลูก เพื่อรองรับความต้องการในอนาคต

ฝ่ายที่กังวลต่อราคาที่สูงขึ้น

ในขณะที่ฝ่ายที่กังวลระบุว่าการขึ้นราคากาแฟอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและธุรกิจร้านกาแฟ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่อาจไม่สามารถรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกยังคงกดดันไม่ให้ปรับราคาขาย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนสินค้า

สรุปภาพรวมตลาดกาแฟ

อุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญแรงกดดันจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ค้าและโรงคั่วกาแฟต้องปรับกลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบ ขณะที่ตลาดกำลังจับตาดูแนวโน้มผลผลิตในบราซิลและประเทศผู้ผลิตอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคากาแฟในปีต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : reuters / กรุงเทพธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

แก้รถติด ‘สนามบินเชียงราย’ สร้างทางลอด 849 ล้าน เสร็จปี 70

กรมทางหลวงชนบทเร่งแก้รถติดหน้าสนามบินเชียงราย เสริมศักยภาพการเดินทาง

โครงการก่อสร้างทางลอดช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร

กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้เดินหน้าโครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณทางแยกศูนย์ราชการ ถนนสาย ชร.1023 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะบริเวณหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง ซึ่งถือเป็นจุดคอขวดที่ส่งผลต่อการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว โครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2570

เสริมโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการเดินทาง

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. ได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงถนนและเตรียมก่อสร้างทางลอด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายถนนให้สามารถรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาปัญหารถติด แต่ยังช่วยยกระดับเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวของภาคเหนือตอนบนอีกด้วย

รายละเอียดโครงการก่อสร้างทางลอด

โครงการนี้ประกอบไปด้วย:

  • ก่อสร้างอุโมงค์ลอดทางแยก ขนาด 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) ความยาว 425.50 เมตร
  • ขยายสะพานข้ามแม่น้ำกก ให้มีความกว้างของช่องจราจรมากขึ้น ตลอดระยะทาง 410 เมตร
  • ปรับปรุงถนนบริเวณแยกศูนย์ราชการ รวมถึงติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างและสาธารณูปโภคอื่น ๆ
  • ระยะทางดำเนินการทั้งหมด 1.635 กิโลเมตร
  • งบประมาณก่อสร้าง 849.800 ล้านบาท

ผลกระทบและมาตรการรองรับการก่อสร้าง

ในช่วงที่ดำเนินการก่อสร้าง ทช. ได้ติดตั้งมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น ป้ายเตือนลดความเร็ว และสัญญาณไฟกระพริบ เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ ทช. ได้ขออภัยในความไม่สะดวกและจะรายงานความคืบหน้าของโครงการเป็นระยะ

การพัฒนาโครงข่ายถนนรองรับอนาคต

หลังจากโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรที่แออัดหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังรองรับการขยายตัวของชุมชนและการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมหลักให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการจราจรในเชียงราย

  • จากข้อมูลของกรมทางหลวง พบว่า ปริมาณจราจรบริเวณหน้าสนามบินเชียงรายเพิ่มขึ้น กว่า 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • สนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงรองรับผู้โดยสารเฉลี่ย 2.5 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • ถนนสาย ชร.1023 เป็นเส้นทางหลักที่ใช้เชื่อมต่อสนามบินกับตัวเมืองเชียงราย โดยมีปริมาณรถยนต์ผ่านเข้า-ออกกว่า 30,000 คันต่อวัน

สรุปภาพรวมโครงการ

โครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณหน้าสนามบินเชียงราย เป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร เพิ่มศักยภาพการเดินทาง และเสริมสร้างเศรษฐกิจการค้าการท่องเที่ยวของพื้นที่ให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘เชียงราย’ ปี 67 เที่ยวสุดคุ้ม “ชาวต่างชาติ” พักนานเฉลี่ย 5.74 คืน

เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทย สร้างรายได้ท่องเที่ยวกว่า 38,493 ล้านบาทในปี 2567

เชียงราย, 9 มีนาคม 2568 – รายงานข้อมูลจาก TAT Intelligence Center และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศมาเลเซีย ฝรั่งเศส สเปน สหรัฐอเมริกา และอิตาลี ซึ่งเลือกพักในเชียงรายโดยเฉลี่ย 5.74 คืน ส่งผลให้จังหวัดมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 38,493 ล้านบาท ในปี 2567

เชียงราย: จุดหมายปลายทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เชียงรายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจาก มาเลเซีย (12.67%) ฝรั่งเศส (11.69%) สเปน (8.93%) สหรัฐอเมริกา (6.65%) และอิตาลี (5.62%) ที่เลือกเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งในด้านของธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และความเงียบสงบที่เป็นเอกลักษณ์

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงรายมีระยะเวลาเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 5.74 คืน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ (5.56 คืน) และ ลำปาง (4.32 คืน)

 

พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567

โครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567 ได้ศึกษาค่าเฉลี่ยจำนวนคืนที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนพำนักในจังหวัดต่างๆ โดยมีข้อมูลจาก TAT Intelligence Center พบว่า กรุงเทพมหานคร มีค่าเฉลี่ยพัก 5.52 คืน โดยตลาดนักท่องเที่ยวหลักมาจาก จีน (23.29%) อินเดีย (6.33%) เกาหลีใต้ (6.04%) มาเลเซีย (4.99%) และเวียดนาม (4.26%)

ในขณะที่ จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ มีค่าเฉลี่ยการพำนักดังนี้:

  1. ชลบุรี – ค่าเฉลี่ย 6.34 คืน (จีน 26.13%, อินเดีย 13.58%, รัสเซีย 13.38%, เกาหลีใต้ 5.65%, เวียดนาม 4.34%)
  2. ภูเก็ต – ค่าเฉลี่ย 5.72 คืน (จีน 22.59%, อินเดีย 9.08%, รัสเซีย 5.86%, สหราชอาณาจักร 4.71%, สหรัฐฯ 4.62%)
  3. กระบี่ – ค่าเฉลี่ย 3.11 คืน (จีน 13.59%, อินเดีย 10.16%, มาเลเซีย 7.79%, สหราชอาณาจักร 7.1%, ฝรั่งเศส 5.99%)
  4. สงขลา – ค่าเฉลี่ย 5.05 คืน (มาเลเซีย 94.34%, สิงคโปร์ 2.33%, อินโดนีเซีย 1.38%, จีน 0.5%, ลาว 0.14%)
  5. เชียงใหม่ – ค่าเฉลี่ย 5.56 คืน (จีน 13.59%, สหราชอาณาจักร 8.02%, สหรัฐฯ 8.00%, ฝรั่งเศส 6.88%, มาเลเซีย 6.62%)
  6. สุราษฎร์ธานี – ค่าเฉลี่ย 7.14 คืน (เยอรมนี 14.31%, สหราชอาณาจักร 11.35%, ฝรั่งเศส 8.8%, อิสราเอล 6.79%, ออสเตรเลีย 5.1%)
  7. พังงา – ค่าเฉลี่ย 2.70 คืน (จีน 13.19%, มาเลเซีย 10.6%, เยอรมนี 9.33%, ฝรั่งเศส 6.93%, เกาหลีใต้ 5.43%)
  8. เชียงราย – ค่าเฉลี่ย 5.74 คืน (มาเลเซีย 12.67%, ฝรั่งเศส 11.69%, สเปน 8.93%, สหรัฐฯ 6.65%, อิตาลี 5.62%)
  9. ประจวบคีรีขันธ์ – ค่าเฉลี่ย 6.11 คืน (สหราชอาณาจักร 9.2%, รัสเซีย 7.63%, ไต้หวัน 6.76%, จีน 6.15%, เยอรมนี 5.8%)

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายเป็นที่นิยม

  1. ธรรมชาติและวัฒนธรรม
    • เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศสวยงาม โดดเด่นด้วยภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม เช่น วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น และพระตำหนักดอยตุง ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
  2. การเดินทางสะดวกขึ้น
    • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีเที่ยวบินตรงจากหลายประเทศ เช่น จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น
  3. แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเชิงอนุรักษ์
    • มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ อาทิ สปา ธรรมชาติบำบัด และโยคะ รวมถึงแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

สถิติท่องเที่ยวประเทศไทย ปี 2567

รายงานจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.27% จากปี 2566 สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.67 ล้านล้านบาท

10 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุดในปี 2567

  1. จีน 6,733,162 คน
  2. มาเลเซีย 4,952,078 คน
  3. อินเดีย 2,129,149 คน
  4. เกาหลีใต้ 1,868,945 คน
  5. รัสเซีย 1,745,327 คน
  6. ลาว 1,124,202 คน
  7. ไต้หวัน 1,089,910 คน
  8. ญี่ปุ่น 1,050,904 คน
  9. สหรัฐอเมริกา 1,030,733 คน
  10. สิงคโปร์ 1,009,640 คน

ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวม 198.69 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7.02% จากปีก่อน สร้างรายได้ 950,000 ล้านบาท

เชียงราย: หนึ่งในจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด

เชียงรายเป็น หนึ่งใน 5 จังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยสูงสุด โดยอยู่ในอันดับที่ 5 ด้วยรายได้ 38,493 ล้านบาท รองจาก กรุงเทพฯ (173,181 ล้านบาท) ชลบุรี (103,987 ล้านบาท) เชียงใหม่ (60,783 ล้านบาท) และประจวบคีรีขันธ์ (43,066 ล้านบาท)

ในส่วนของตลาดนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวม 198.69 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7.02% เทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ 950,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.03%

5 อันดับจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปมากที่สุด:

  1. กรุงเทพมหานคร – 30.80 ล้านคน
  2. ชลบุรี – 15.51 ล้านคน
  3. กาญจนบุรี – 14.70 ล้านคน
  4. ประจวบคีรีขันธ์ – 10.83 ล้านคน
  5. เพชรบุรี – 10.72 ล้านคน

ข้อคิดเห็นและมุมมองที่แตกต่าง

จากข้อมูลที่ได้รวบรวมมา มีข้อคิดเห็นจากสองมุมมองที่เกี่ยวกับสถานการณ์การท่องเที่ยวในเชียงราย ได้แก่:

  1. มุมมองเชิงบวก:
  • เชียงรายกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ
  • การเดินทางที่สะดวกขึ้นช่วยเพิ่มศักยภาพของจังหวัดให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ
  • รายได้จากการท่องเที่ยวสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และสร้างอาชีพให้กับประชาชน
  1. มุมมองเชิงกังวล:
  • การเติบโตของนักท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากไม่มีมาตรการจัดการที่ดี
  • เชียงรายยังคงเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศจากไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดในสายตานักท่องเที่ยว
  • จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าครองชีพในพื้นที่สูงขึ้น

ภาพรวของเชียงราย

เชียงรายยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรปและเอเชียที่เลือกเข้าพักเฉลี่ย 5.74 คืน ซึ่งสูงกว่าหลายจังหวัดในภาคเหนือ ข้อมูลจากปี 2567 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ก็ต้องมีการพัฒนามาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวในระยะยาว

สรุปภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

เมื่อรวมรายได้จากทั้งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวในประเทศ ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2.62 ล้านล้านบาท ในปี 2567 แม้ว่าจะยังต่ำกว่าเป้าหมายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ตั้งไว้ 3 ล้านล้านบาท แต่ถือเป็นแนวโน้มเชิงบวกที่แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19

ในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนและการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองจะเป็นกุญแจสำคัญ ในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / TAT Intelligence Center / โครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News