Categories
WORLD PULSE

จับตา! ขบวนการวีซ่านักเรียนจีนเทียม? ม.ดังปฏิเสธ อว. เร่งสอบ

กระทรวง อว. และ ตม. เข้มตรวจสอบขบวนการสวมวีซานักศึกษาจีนในเชียงรายและทั่วไทย

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – จากกระแสข่าวที่สร้างความกังวลในสังคมเกี่ยวกับขบวนการออกวีซานักศึกษาให้กับชาวจีน โดยอาจมีการแฝงตัวเพื่อประกอบอาชีพผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ได้ออกมาชี้แจงและดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการศึกษาและป้องกันการใช้ช่องทางวีซานักศึกษาในทางมิชอบ

จุดเริ่มต้นการเปิดโปงขบวนการสวมวีซานักศึกษา

เรื่องราวเริ่มต้นจากโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “รู้ทันจีน” ซึ่งถูกเผยแพร่โดย THAI PBS โดยระบุถึงการโฆษณาแพ็กเกจต่อวีซานักศึกษาในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เชียงรายและแม่น้ำแคว โฆษณาดังกล่าวใช้ภาษาจีนและให้รายละเอียดเกี่ยวกับการขอวีซานักศึกษาทั้งประเภทปริญญาและหลักสูตรภาษาระยะสั้น โดยอ้างว่าสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเข้าเรียนจริง ราคาแพ็กเกจสูงสุดถึง 53,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีการระบุรายชื่อมหาวิทยาลัยที่ “ควรหลีกเลี่ยง” พร้อมเหตุผล เช่น “เข้าออกสนามบินถูกตรวจง่าย” หรือ “ต่อวีซายาก” ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจมีการดำเนินการที่ไม่โปร่งใสในระบบการศึกษาของไทย

การโพสต์ดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อมีการเชื่อมโยงกับกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน เปิดเผยข้อมูลว่า มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจออกวีซานักศึกษาให้ชาวจีนเพื่อสวมสิทธิทำงานเป็นวิศวกรในประเทศไทย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น กรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม

การตอบสนองจากสถานศึกษา

มหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ถูกพาดพิงถึง ได้ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวทันที มหาวิทยาลัยพายัพและมหาวิทยาลัยนอร์ท จังหวัดเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ผ่านเพจทางการว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกวีซานักศึกษาในลักษณะที่ผิดกฎหมาย และยืนยันว่าการรับนักศึกษาต่างชาติของทั้งสองสถาบันดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบของกระทรวง อว. อย่างเคร่งครัด

ด้านมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตเชียงใหม่ พระครูใบฎีกาทิพย์พนากรณ์ ชยาภินันโท เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักศึกษาจีนกว่า 500 คนลงทะเบียนในหลักสูตรภาษาไทยระยะสั้น 1 ปี ซึ่งได้รับอนุมัติจากสภาวิชาการและสภามหาวิทยาลัย โดยมีระยะเวลาเรียน 180 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยได้ยกเลิกวีซานักศึกษากว่า 50 คน เนื่องจากไม่เข้าเรียนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 80 ของเวลาเรียน โดยได้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้เพิกถอนสถานภาพนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว

พระครูใบฎีกาทิพย์พนากรณ์ ระบุเพิ่มเติมว่า “เราไม่เจาะจงรับเฉพาะนักศึกษาจีนหรือชาติใดชาติหนึ่ง ทุกคนที่มีคุณสมบัติสามารถลงเรียนกับเราได้ หลักสูตรของเราดำเนินการอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย”

ผศ.พระวิสิทธิ์ ฐิตวิสิทโธ ผู้อำนวยการส่วนสนับสนุนวิชาการ มจร. วิทยาเขตเชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า การคัดกรองวัตถุประสงค์ของนักศึกษาต่างชาติเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่สามารถรู้เจตนาที่แท้จริงของผู้สมัครได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่านักศึกษาไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เช่น ไม่เข้าเรียนตามกำหนด มหาวิทยาลัยจะดำเนินการตามกฎหมายทันที

การดำเนินการของหน่วยงานรัฐ

พล.ต.อ.สุรชัย เอี่ยมผึ้ง ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและพร้อมดำเนินการตามกฎหมาย หากพบว่านักศึกษาต่างชาติใช้วีซานักศึกษาเพื่อประกอบกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การอนุมัติวีซานักศึกษาจะพิจารณาจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ สถานศึกษาต้องจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และนักศึกษาต้องมีหลักฐานยืนยันการเข้าเรียนจริง หากพบว่านักศึกษาไม่เข้าเรียนหรือใช้สถานะนักศึกษาในทางมิชอบ วีซาจะถูกเพิกถอนทันที และดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงเร่งตรวจสอบมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาจีนเข้าศึกษา โดยเฉพาะกรณีที่อาจเข้าข่าย “สวมวีซานักศึกษา” โดยเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 กระทรวง อว. ได้จัดการประชุมร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อกำหนดแนวทางตรวจสอบและติดตามนักศึกษาต่างชาติอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น นางสาวศุภมาสย้ำว่า หากพบสถานศึกษาใดมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลย จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้ กระทรวง อว. ได้ออกหนังสือถึงวิทยาลัยสงฆ์ลำพูน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีทุนจีนถือหุ้นทั้ง 3 แห่ง ให้รายงานข้อมูลนักศึกษาจีนภายใน 1 สัปดาห์ รวมถึงจำนวนนักศึกษา สาขาที่เรียน ระยะเวลาเรียน และสถานะวีซานักศึกษา เพื่อใช้ในการตรวจสอบต่อไป

การสั่งการระดับนโยบาย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งทบทวนมาตรการวีซาฟรี เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โดยกลุ่มทุนสีเทาในการลักลอบเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมาย การทบทวนนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงนโยบายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย พร้อมทั้งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งคลี่คลายคดีตึก สตง. ถล่ม โดยตรวจสอบทั้งประเด็นมาตรฐานการก่อสร้างและการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายของคนต่างด้าว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวิโรจน์ระบุว่ามีการสวมวีซานักศึกษาเพื่อทำงานเป็นวิศวกรว่า “กรณีนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะวิศวกรต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม (กว.) หากเป็นนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาฝึกงาน จะไม่สามารถควบคุมงานหรือเซ็นรับรองเอกสารได้”

นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง สนับสนุนมุมมองนี้ โดยระบุว่า นักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาฝึกงานต้องขอวีซาฝึกงานและมีหนังสือรับรองจากมหาวิทยาลัย หากชาวต่างชาติควบคุมการก่อสร้างโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จะถือว่าผิดกฎหมายและมีโทษทั้งจำคุกและปรับ

การคลี่คลายปมและแนวทางแก้ไข

จากสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อคลี่คลายปัญหา โดยกระทรวง อว. และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำลังบูรณาการข้อมูลเพื่อตรวจสอบสถานะและพฤติกรรมของนักศึกษาต่างชาติอย่างละเอียด นอกจากนี้ กระทรวง อว. มีแผนจัดทำฐานข้อมูลกลางของนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ และทบทวนนโยบายการรับนักศึกษาต่างชาติให้รัดกุมยิ่งขึ้น

การยกเลิกวีซานักศึกษาที่ไม่เข้าเรียนตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ส่วนการหารือระหว่างกระทรวง อว. และ ตม. ในวันที่ 23 เมษายน 2568 ได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการตรวจสอบและป้องกันการใช้สถานะนักศึกษาในทางมิชอบ

การวิเคราะห์ ความท้าทายและโอกาส

ปัญหาการสวมวีซานักศึกษาสะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย โดยเฉพาะในบริบทของนโยบายวีซาฟรีที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวและการศึกษา แต่กลับถูกบางกลุ่มใช้เป็นช่องทางในการทำผิดกฎหมาย การคัดกรองเจตนาของนักศึกษาต่างชาติเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากสถานศึกษามักพิจารณาเพียงคุณสมบัติตามเอกสารเท่านั้น ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการตรวจจับเจตนาที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเป็นโอกาสให้ประเทศไทยยกระดับระบบการบริหารจัดการนักศึกษาต่างชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การจัดทำฐานข้อมูลกลางและการประสานงานระหว่างหน่วยงานจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ การรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการศึกษาไทยในสายตานานาชาติยังเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่แท้จริง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ฝ่ายที่ 1 กังวลต่อการใช้ช่องโหว่วีซานักศึกษา
ประชาชนและนักการเมืองบางส่วน เช่น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร มองว่าการสวมวีซานักศึกษาเพื่อทำงานผิดกฎหมายเป็นปัญหาที่ร้ายแรง โดยเฉพาะเมื่ออาจเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมก่อสร้างหรือกลุ่มทุนสีเทา การที่โฆษณาในโซเชียลมีเดียระบุถึงแพ็กเกจต่อวีซาโดยไม่ต้องเรียนจริง บ่งชี้ถึงความหละหลวมในระบบการตรวจสอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและภาพลักษณ์ของประเทศไทย

ฝ่ายที่ 2 มองว่าเป็นเรื่องที่ควบคุมได้
ในทางกลับกัน หน่วยงานอย่างกระทรวง อว., ตม., และสถานศึกษายืนยันว่า ระบบการรับนักศึกษาต่างชาติมีกฎระเบียบที่ชัดเจน และมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง การยกเลิกวีซานักศึกษาที่ไม่เข้าเรียนและการปฏิเสธข้อกล่าวหาของมหาวิทยาลัยบางแห่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรักษามาตรฐาน นอกจากนี้ การที่วิศวกรต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทำให้กรณีสวมสิทธิทำงานเป็นวิศวกรไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย

ทัศนคติเป็นกลาง ทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลที่สมควรพิจารณา ความกังวลของฝ่ายแรกสะท้อนถึงความจำเป็นในการป้องกันช่องโหว่ในระบบวีซาและการศึกษา ซึ่งอาจถูกใช้ในทางที่ผิดได้ ขณะที่ฝ่ายที่สองแสดงให้เห็นถึงกลไกการควบคุมที่มีอยู่และความพยายามในการแก้ไขปัญหา การแก้ไขสถานการณ์นี้ควรเน้นที่การเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อลดความกังวลของประชาชน โดยไม่ตีตราว่านักศึกษาต่างชาติทุกคนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักศึกษาต่างชาติในไทย: สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รายงานว่า ในปี 2567 มีนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทยประมาณ 30,000 คน โดยร้อยละ 40 เป็นนักศึกษาจีน (ที่มา: รายงานการจัดการศึกษานานาชาติ, สกอ., 2567)
  2. การยกเลิกวีซานักศึกษา: สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า ในปี 2566 มีการยกเลิกวีซานักศึกษาต่างชาติทั่วประเทศ 1,200 ราย เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการศึกษา (ที่มา: รายงานประจำปี, สตม., 2566)
  3. นโยบายวีซาฟรี: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า นโยบายวีซาฟรีสำหรับนักท่องเที่ยวจีนในปี 2566 ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศกว่า 3.5 ล้านคน (ที่มา: รายงานการท่องเที่ยว, 2566)
  4. การตรวจสอบสถานศึกษา: กระทรวง อว. ระบุว่า ในปี 2567 มีการตรวจสอบสถานศึกษาที่รับนักศึกษาต่างชาติ 150 แห่ง พบว่า 10 แห่งมีพฤติการณ์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ที่มา: รายงานการตรวจสอบ, กระทรวง อว., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
  • สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • thaipbs
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมียนมาไหวซ้ำ 169 อาฟเตอร์ช็อก ภาพดาวเทียมเสียหาย

แผ่นดินไหวเมียนมาเผยความเสียหายหนัก GISTDA เปิดภาพดาวเทียม THEOS-2 อาฟเตอร์ช็อกพุ่ง 169 ครั้ง

ประเทศไทย, 30 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เผยแพร่ภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งบันทึกเมื่อเวลา 10:05 น. ของวันที่ 29 มีนาคม 2568 โดยเปรียบเทียบกับภาพถ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศเมียนมา ผลการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงความเสียหายรุนแรงในหลายพื้นที่ของเมืองมัณฑะเลย์ เมืองสำคัญอันดับสองของเมียนมา โดยพบรอยแยกบนถนน สะพานเส้นทางด่วนสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์พังถล่ม สะพานอังวะ (Ava Bridge) ซึ่งเป็นสะพานประวัติศาสตร์พังทลายลง รวมถึงการทรุดตัวของสิ่งปลูกสร้าง และรอยแยกตามพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำสายหลักอย่างแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมิตเงะ

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา ด้วยขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่ระดับความลึกเพียง 10 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความรุนแรงของแผ่นดินไหวส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแต่ในเมียนมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ที่สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้

สถานการณ์อาฟเตอร์ช็อกและการติดตาม

กรมอุตุนิยมวิทยาของประเทศไทยรายงานว่า หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลัก เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2568 มีรายงานการเกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วถึง 169 ครั้ง แม้ว่าขนาดของอาฟเตอร์ช็อกจะค่อย ๆ ลดระดับความรุนแรงลงจนถึงจุดที่ไม่สามารถรับรู้ถึงการสั่นไหวได้ในหลายพื้นที่ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อเวลา 14:08 น. ตามเวลาประเทศไทย เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริกเตอร์ บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวหลักประมาณ 332 กิโลเมตร ซึ่งบางจุดในประเทศไทยยังคงรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ช็อกจะเริ่มคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์นับจากนี้ โดยได้มีการเฝ้าติดตามข้อมูลจากเครื่องมือวัดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินความเสี่ยงและแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงพัฒนาการของสถานการณ์

ความเสียหายในเมืองมัณฑะเลย์จากภาพถ่ายดาวเทียม

ภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของประเทศไทยที่มีความละเอียดสูง ได้บันทึกภาพความเสียหายในเมืองมัณฑะเลย์อย่างชัดเจน โดย GISTDA ระบุว่า ความเสียหายที่ปรากฏในภาพประกอบด้วยรอยแยกขนาดใหญ่บนถนนสายหลักที่เชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ สะพานเส้นทางด่วนสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการคมนาคมของเมียนมา พังถล่มลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ สะพานอังวะ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยอาณานิคมและมีอายุกว่า 90 ปี ก็พังทลายลงจากแรงสั่นสะเทือน ส่งผลให้การสัญจรข้ามแม่น้ำอิรวดีหยุดชะงัก

นอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐาน ภาพถ่ายดาวเทียมยังเผยให้เห็นการพังทลายของอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ รวมถึงรอยแยกขนาดใหญ่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมิตเงะ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองมัณฑะเลย์ ความเสียหายในบริเวณนี้บ่งชี้ถึงผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนที่อยู่อาศัยริมน้ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการอพยพและความต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในระยะยาว

การตอบสนองของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รับรายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยมีถึง 57 จังหวัดที่รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน หน่วยงานได้ประสานงานกับจังหวัดต่าง ๆ เพื่อสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในจังหวัดภาคเหนือ เช่น แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากที่สุด

ในส่วนของเมียนมา รัฐบาลทหารของประเทศได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายพื้นที่ รวมถึงเมืองมัณฑะเลย์ และเมืองเนปยีดอ ซึ่งเป็นเมืองหลวง และได้ร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) และหน่วยงานบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศได้เริ่มส่งทีมกู้ภัยและสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปยังพื้นที่ประสบภัยแล้ว อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงบางพื้นที่ยังคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากถนนและสะพานที่เสียหาย รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศที่ยังคงดำเนินอยู่นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564

ผลกระทบต่อประชาชนและโครงสร้างพื้นฐาน

จากรายงานเบื้องต้นในเมียนมา ความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ครอบคลุมทั้งบ้านเรือนประชาชน วัด โรงพยาบาล และอาคารราชการ โดยเฉพาะในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของเมียนมา ความสูญเสียทางชีวิตยังคงอยู่ในระหว่างการประเมิน แต่คาดว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรและสภาพอาคารที่ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่

ในประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงเทียบเท่ากับในเมียนมา แต่ประชาชนในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร รายงานว่ารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน บางพื้นที่ เช่น เขตจตุจักร กรุงเทพฯ มีรายงานอาคารสูงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มลงมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหาย ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นกำลังเร่งดำเนินการกู้ภัยและประเมินความปลอดภัยของอาคารต่าง ๆ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงในสองมุมมองหลัก ฝ่ายหนึ่งมองว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในเมียนมา อาจมีสาเหตุมาจากการขาดการเตรียมพร้อมและมาตรฐานการก่อสร้างที่ไม่เพียงพอต่อการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพานและอาคารต่าง ๆ ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการบริหารจัดการและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลทหารเมียนมา

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายหนึ่งให้เหตุผลว่า แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงเกินกว่าที่โครงสร้างส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้จะรับไหวได้ ไม่ว่าจะมีการเตรียมพร้อมดีเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยในบริเวณนี้ และความลึกของจุดศูนย์กลางที่เพียง 10 กิโลเมตรยิ่งเพิ่มความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือน

จากมุมมองที่เป็นกลาง ข้อสังเกตของทั้งสองฝ่ายมีน้ำหนักในตัวเอง การขาดการเตรียมพร้อมและมาตรฐานการก่อสร้างอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ความเสียหายทวีความรุนแรงขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม ความใหญ่ของแผ่นดินไหวครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และอาจเกินขีดความสามารถของโครงสร้างทั่วไปในภูมิภาคนี้ การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจึงต้องรอผลการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาและวิศวกรรม เพื่อชี้ชัดถึงสาเหตุและแนวทางป้องกันในอนาคต โดยไม่ควรตัดสินว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงด้านเดียวในขณะนี้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนครั้งของแผ่นดินไหวในเมียนมา: จากข้อมูลของ United States Geological Survey (USGS) ตั้งแต่ปี 2550-2567 มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเกิน 5.0 ริกเตอร์ ในเมียนมาและบริเวณใกล้เคียงรวม 45 ครั้ง โดยครั้งนี้ (2568) เป็นเหตุการณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรอบเกือบศตวรรษ (ที่มา: USGS Earthquake Catalog, 2567)
  2. ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า แผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2550-2567 เกิดขึ้น 12 ครั้ง โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้คือแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2557 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ ปภ., 2567)
  3. โครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายในเมียนมา: ตามรายงานของ UN Office for the Coordination of Humanitarian Affairs (OCHA) ณ ปี 2566 โครงสร้างพื้นฐานในเมียนมามีความเปราะบางจากความขัดแย้งภายใน โดยร้อยละ 30 ของถนนและสะพานอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรับภัยพิบัติ (ที่มา: OCHA Myanmar Humanitarian Update, 2566)

สรุป

เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมาได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ของ GISTDA ได้เผยให้เห็นถึงความรุนแรงของผลกระทบ ขณะที่อาฟเตอร์ช็อกยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องถึง 169 ครั้ง หน่วยงานทั้งในเมียนมาและประเทศไทยกำลังเร่งดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย การค้นหาความจริงและแนวทางป้องกันในอนาคตจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความสูญเสียจากภัยพิบัติครั้งต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • GISTDA
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • USGS
  • UN OCHA
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมียนมาวิปโยค แผ่นดินไหว 8.2 แรงสุดรอบศตวรรษ

สรุปเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในเมียนมา แรงสั่นสะเทือนที่สุดในรอบ 100 ปี

เมียนมา,29 มีนาคม 2568 – เมื่อเวลา 13.21 น. ของวันที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในประเทศเมียนมา ซึ่งถือเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ของประเทศ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งในเมียนมาและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงส่งแรงสั่นสะเทือนถึง เวียดนาม และ ประเทศไทย จนทำให้อาคารในกรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างน้อย 1 แห่ง

ศูนย์กลางและข้อมูลทางเทคนิค

กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยรายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้มีขนาด 8.2 และมีความลึกประมาณ 10 กิโลเมตร ขณะที่ สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) ระบุว่ามีขนาด 7.7 และความลึก 16 กิโลเมตร โดยศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ทาง ตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองสกาย (Sagaing) ใกล้กับ เมืองมัณฑะเลย์ (Mandalay) ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเมียนมา

ผลกระทบและความเสียหาย

  • สะพานเอวา (Ava Bridge) ข้ามแม่น้ำอิระวดีในเมืองมัณฑะเลย์ พังถล่มลงมาบางส่วน ซึ่งเป็นภาพที่ได้รับการยืนยันจากสำนักข่าวรอยเตอร์ผ่านการตรวจสอบทางภูมิศาสตร์
  • วัดในเมืองมัณฑะเลย์ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยมีพระสงฆ์หลายรูปที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่
  • กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของเมียนมา มีอาคารหลายแห่งได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะเพดานที่พังถล่มลงมา ทำให้เจ้าหน้าที่และประชาชนต้องอพยพออกจากอาคารอย่างเร่งด่วน
  • เมืองตองอู วัด Wailuwun พังถล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย โดย 5 ราย เป็นเด็กไร้บ้าน และยังมีเด็กอีกกว่า 20 คน ที่อาจติดอยู่ในอาคารเรียนที่ถล่มลงมา

มาตรการรับมือและการประกาศภาวะฉุกเฉิน

กองทัพเมียนมา ได้ประกาศ ภาวะฉุกเฉิน ในหลายภูมิภาค พร้อมแถลงการณ์ผ่านแอปพลิเคชัน Telegram ว่าจะเร่งดำเนินการสอบสวนสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายสนับสนุน: เห็นว่าการประกาศภาวะฉุกเฉินและการเร่งดำเนินการช่วยเหลือเป็นการตอบสนองที่รวดเร็วและจำเป็นในสถานการณ์วิกฤต ขณะเดียวกัน การประกาศใช้มาตรการกู้ภัยโดยทันทีถือเป็นการลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม
  • ฝ่ายกังวล: ตั้งข้อสังเกตว่าการเข้าถึงข้อมูลที่จำกัดจากทางการเมียนมา และการควบคุมสื่ออย่างเข้มงวดหลังการรัฐประหาร อาจทำให้การรายงานข้อมูลไม่ครบถ้วนและขาดความโปร่งใส ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ขนาดแผ่นดินไหว: 8.2 แมกนิจูด (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)
  • ขนาดแผ่นดินไหวจาก USGS: 7.7 แมกนิจูด และลึก 16 กิโลเมตร (ที่มา: USGS)
  • ผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวในตองอู: 6 ราย (ที่มา: Save The Trees Foundation)
  • เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาในอดีต: มากกว่า 6 ครั้ง ขนาด 7.0 ขึ้นไป ระหว่างปี 1930 – 1956 (ที่มา: USGS)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : apnews 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

“เวียดนาม” ปั้นคนเก่ง เรียนอังกฤษ 100% ปี 2035

เวียดนามตั้งเป้าใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง 100% ภายในปี 2035

กระทรวงศึกษาธิการเวียดนามเดินหน้าพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียน

ฮานอย, เวียดนาม 15 มีนาคม 2568 – กระทรวงศึกษาธิการและการฝึกอบรมของเวียดนาม (MoET) ประกาศเป้าหมายให้ วิชาศึกษาทั่วไป’ (GenEd) ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง 100% ภายในปี 2035 พร้อมวางแนวทางพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอนตั้งแต่ปี 2025-2035 โดยมีแผนยุทธศาสตร์ขยายวิสัยทัศน์ถึงปี 2045

แผนการดังกล่าวมีเป้าหมายให้ภาษาอังกฤษถูกนำมาใช้ในโรงเรียนทุกแห่งที่ใช้ภาษาเวียดนามเป็นภาษาหลัก โดยภาษาจะถูกใช้สื่อสารอย่างแพร่หลายทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน และการวิจัย พร้อมกำหนดระดับการเรียนภาษาอังกฤษเป็น 6 ระดับ เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนภาษาอังกฤษในระดับที่เหมาะสม

เป้าหมายหลักของโครงการ

ระดับก่อนวัยเรียน

  • ภายในปี 2035 โรงเรียนอนุบาลทุกแห่งจะต้องจัดสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองให้กับเด็กอายุ 3-5 ปี ให้ครอบคลุม 100%
  • ภายในปี 2045 ภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาที่สองในทุกระดับการศึกษา รวมถึงสถานศึกษาระดับอนุบาลและเนอสเซอรี่

ระดับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษา – มัธยมศึกษา)

  • ภายในปี 2035 นักเรียนทุกคนจะเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรระดับ 1, 2 และ 3
  • ภายในปี 2045 โรงเรียนทุกแห่งจะสอนภาษาอังกฤษระดับ 4, 5 และ 6 เพื่อเสริมสร้างทักษะที่สูงขึ้น

ระดับมหาวิทยาลัยและอาชีวศึกษา

  • ทุกมหาวิทยาลัยจะต้องเปิดสอนภาษาอังกฤษระดับ 4, 5 และ 6 ในฐานะภาษาที่สอง
  • สถาบันอาชีวศึกษาอย่างน้อย 50% จะต้องเปิดสอนวิชาอื่นๆ หรือบางส่วนของหลักสูตรเป็นภาษาอังกฤษ

แนวทางพัฒนาการศึกษาและระบบสนับสนุนครู

กระทรวงศึกษาธิการเวียดนามยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากร โดยมีแผน:

  • ปรับปรุงกรอบการเรียนการสอนและพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษ
  • ฝึกอบรมและพัฒนาครูภาษาอังกฤษให้เพียงพอต่อความต้องการ
  • จัดหา ตำราเรียน สื่อการเรียนรู้ และเทคโนโลยีสนับสนุน เพื่อช่วยพัฒนาการเรียนการสอน
  • ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดช่องว่างทางการศึกษาและเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา

ฝั่มหง็อกตวง รองรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของระบบการศึกษาเวียดนาม โดยภาษาอังกฤษจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ประเทศสามารถบูรณาการสู่เศรษฐกิจโลกได้ง่ายขึ้น”

รองศาสตราจารย์ เหงียนวันเตรา รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการศึกษาแห่งชาติฮานอย เสริมว่า โครงการนี้ต้องกำหนดบทบาทและแนวทางของระบบอุดมศึกษาให้ชัดเจน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาศาสตร์ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาครูและระบบการเรียนรู้”

ด้าน ดร.เหงียนทันห์บิ่ญ จากมหาวิทยาลัยการศึกษานครโฮจิมินห์ ได้เน้นย้ำว่า โครงการนี้ควรให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมในการเข้าถึงของนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล และลดความเหลื่อมล้ำในคุณสมบัติของครูทั่วประเทศ”

แผนปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

กระทรวงศึกษาธิการเวียดนามได้ดำเนินการทดสอบโครงการนำร่องในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนบางแห่งแล้ว พร้อมจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและภาคส่วนต่างๆ ในการพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง

ในระยะยาว รัฐบาลวางแผน ขยายความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างการฝึกอบรมครูและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการจัดตั้งพันธมิตรด้านการศึกษาและวิจัยกับสถาบันการศึกษาชั้นนำระดับโลก

ข้อท้าทายที่ต้องเผชิญ

แม้ว่าแผนยุทธศาสตร์นี้จะได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย แต่ยังมีประเด็นที่ต้องแก้ไข ได้แก่:

  • การขาดแคลนครูที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
  • ความแตกต่างของโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาในแต่ละภูมิภาค ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ
  • ความต้องการงบประมาณสูง สำหรับการพัฒนาเนื้อหาหลักสูตร การฝึกอบรมครู และการจัดหาทรัพยากรทางการศึกษา

สถิติที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

  • จำนวนโรงเรียนที่วางแผนให้สอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองภายในปี 2035: 100% ของโรงเรียนภาคบังคับ
  • เป้าหมายครอบคลุมเด็กอายุ 3-5 ปีที่เรียนภาษาอังกฤษในระดับอนุบาล: 100% ภายในปี 2035
  • เป้าหมายครูที่ต้องได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมเพื่อสอนภาษาอังกฤษ: มากกว่า 500,000 คน
  • สัดส่วนสถาบันอาชีวศึกษาที่ต้องเปิดสอนหลักสูตรเป็นภาษาอังกฤษ: อย่างน้อย 50% ภายในปี 2045
  • งบประมาณที่คาดการณ์สำหรับแผนพัฒนาภาษาอังกฤษในระบบการศึกษา: มากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงศึกษาธิการและการฝึกอบรมเวียดนาม (MoET)/ มหาวิทยาลัยการศึกษาแห่งชาติฮานอย/ มหาวิทยาลัยการศึกษานครโฮจิมินห์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เปิดตลาดเมียนมา เชียงรายจับมือ สคต.ย่างกุ้ง

เชียงรายบุกตลาดเมียนมา จับมือ สคต. ย่างกุ้ง ผลักดันสินค้าท้องถิ่นสู่เมืองเศรษฐกิจ

ขยายโอกาสการค้า เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนไทย-เมียนมา

กรุงย่างกุ้ง, 12 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าขยายตลาดสินค้าท้องถิ่นสู่ประเทศเมียนมา โดยร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง (สคต. ย่างกุ้ง) เพื่อผลักดันสินค้าคุณภาพสูงของผู้ประกอบการในเชียงรายเข้าสู่ตลาดหลักของเมียนมา โดยเฉพาะในกรุงย่างกุ้งซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ

คณะผู้แทนจังหวัดเชียงราย นำโดย นาย นรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นาง ณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย พร้อมภาคเอกชน เช่น สมาพันธ์ SME ไทย จังหวัดเชียงราย, บริษัท เวลคัมทูเชียงราย จำกัด และ บริษัท Bon Burma ได้เข้าพบ นายเอกวัฒน์ ธนประสิทธิ์พัฒนา ผู้อำนวยการ สคต. ย่างกุ้ง เพื่อหารือแนวทางขยายตลาดภายใต้แบรนด์ “Welcome to Chiang Rai”

แผนการตลาดและการขยายเครือข่ายค้าปลีกในเมียนมา

เชียงรายมีแผนกระจายสินค้าท้องถิ่นคุณภาพสูง เช่น ผลไม้อบกรอบ น้ำผึ้ง น้ำพริกหนุ่ม และข้าวซอยตัด ซึ่งได้รับมาตรฐานส่งออก โดยบริษัท เวลคัมทูเชียงราย จำกัด จะทำหน้าที่รวบรวมสินค้าและดำเนินการขอจดทะเบียน FDA เมียนมา รวมถึงขอใบอนุญาตนำเข้า (Import License) เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

สำหรับการกระจายสินค้า บริษัท Bon Burma จะเป็นผู้รับผิดชอบโดยใช้เครือข่ายร้านค้า Traditional Trade กว่า 8,000 แห่ง ในย่างกุ้ง พร้อมทั้งอยู่ระหว่างเจรจากับกลุ่ม Modern Trade เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้า อาทิ Junction City และ Myanmar Plaza เพื่อเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายในตลาดระดับพรีเมียม

ต่อยอดจากโครงการ Business Matching เชื่อมโยงผู้ประกอบการไทย-เมียนมา

การเจรจาทางการค้าครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากโครงการ Business Matching ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งมีผู้ซื้อ (Buyer) จากเมียนมา ลาว และจีน เข้าร่วมเจรจากับผู้ประกอบการ 17 จังหวัดภาคเหนือ ผ่านโครงการร่วมค้าเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และโครงการเชื่อมโยงการค้าอนุภูมิภาค ซึ่งช่วยสร้างคู่ค้าและขยายตลาดชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม

แนวทางแก้ไขอุปสรรคทางการค้าและการขนส่ง

จากการประชุมหารือ สคต. ย่างกุ้ง ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ขั้นตอนการนำเข้าสินค้า อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และข้อจำกัดด้านการโอนเงิน รวมถึงแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหา เช่น การเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับผู้ถือใบอนุญาตส่งออก (Export License) ของเมียนมา เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้า

นอกจากนี้ยังมีการหารือเกี่ยวกับ แนวทางการขนส่งสินค้า โดยเสนอให้ใช้เส้นทางขนส่งทางบกผ่าน ด่านท่าขี้เหล็ก-ย่างกุ้ง และทางอากาศผ่าน สายการบิน Pattaya Airways ซึ่งอาจเปิดเส้นทางบินขนส่งสินค้าโดยตรงระหว่างเชียงราย-ย่างกุ้งในอนาคต

เป้าหมายขยายตลาดสินค้าไทยในเมียนมา

หากโครงการนำร่อง “Welcome to Chiang Rai” ประสบความสำเร็จ จังหวัดเชียงรายมีแผนขยายโมเดลไปสู่ “Welcome to Thailand” เพื่อเปิดโอกาสให้สินค้าท้องถิ่นจากจังหวัดอื่น ๆ ของไทยเข้าสู่ตลาดเมียนมา พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายช่องทางสู่ มัณฑะเลย์ และตองจี ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับด่าน ท่าขี้เหล็ก-แม่สาย เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

ความร่วมมือไทย-เมียนมาครั้งนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการผลักดันสินค้าท้องถิ่นของเชียงรายสู่ตลาดโลก โดยมีเป้าหมายให้ SMEs และ OTOP ไทยเติบโตในตลาดสากล ผ่านโครงข่ายการค้าระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • มูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมาในปี 2567: มากกว่า 150,000 ล้านบาท
  • อัตราการเติบโตของตลาดสินค้าส่งออกจากไทยไปเมียนมาในปี 2567: เพิ่มขึ้น 8%
  • จำนวนร้านค้าในเครือข่ายของ Bon Burma ในย่างกุ้ง: มากกว่า 8,000 แห่ง
  • เป้าหมายขยายตลาดสินค้าจากเชียงรายไปยังเมืองสำคัญในเมียนมา: มัณฑะเลย์ และตองจี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง (สคต. ย่างกุ้ง) / กระทรวงพาณิชย์ / สมาพันธ์ SME ไทย จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

คุมเข้มชายแดน อ.แม่สาย ไทย-เมียนมาประชุม กำแพง-ขุดลอก

ไทย-เมียนมา ประสานงานสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งแม่น้ำสาย หวังลดผลกระทบฤดูน้ำหลาก

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทย-เมียนมา ลงพื้นที่สำรวจพิกัดแนวกำแพงป้องกันตลิ่ง

เชียงราย, 11 มีนาคม 2568 – เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ร่วมกับโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย และหน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ประจำพื้นที่ 1 (TBC) กรมแผนที่ทหาร ลงพื้นที่ตรวจสอบตำแหน่งค่าพิกัดแนวกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งในพื้นที่ชุมชนปงถุน และชุมชนท่าล้อ จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำสายและอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีการกำหนดพื้นที่ดำเนินการก่อสร้าง 3 จุด ได้แก่:

  1. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งตรงข้ามสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  2. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งใต้สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1
  3. จุดก่อสร้างกำแพงหินคอนกรีตป้องกันตลิ่งบริเวณหลังโรงแรมอารัว

การดำเนินงานดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดพิกัดแนวเขตแดน หลังจากฝ่ายเมียนมาได้ดำเนินการปรับพื้นที่ริมฝั่งเพื่อเตรียมสร้างกำแพงป้องกันน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ก่อนฤดูฝนปีนี้

การประชุมความร่วมมือ ไทย-เมียนมา เพื่อพัฒนาแนวป้องกันแม่น้ำสาย

นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และคณะ ได้เดินทางไปร่วมประชุมกับฝ่ายจังหวัดท่าขี้เหล็ก ณ โรงแรมวันจีวัน โดยมีนายประสงค์เป็นประธานฝ่ายไทย และนายซอ วิน ผู้อำนวยการทรัพยากรน้ำและการพัฒนาระบบแม่น้ำ เป็นประธานฝ่ายเมียนมา

การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีหารือเกี่ยวกับผลการสำรวจแนวเขตลำน้ำสาย-แม่น้ำรวก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันน้ำท่วมของทั้งสองประเทศ โดยมีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก เพื่อป้องกันการตื้นเขินและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในช่วงฤดูฝน

ที่ประชุมมีมติให้รายงานผลการประชุมไปยัง คณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา (JCR) เกี่ยวกับเส้นเขตแดนคงที่ช่วงแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก เพื่อขอความเห็นชอบในการดำเนินการขุดลอกแม่น้ำอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความคาดหวังให้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2568 ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน

แนวโน้มและผลกระทบจากการก่อสร้างกำแพงป้องกันตลิ่ง

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

  • ลดความเสียหายจากน้ำท่วม – กำแพงป้องกันตลิ่งสามารถช่วยลดผลกระทบจากการกัดเซาะของน้ำในช่วงฤดูฝน ทำให้ชุมชนริมแม่น้ำมีความปลอดภัยมากขึ้น
  • เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ – โครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกันของไทยและเมียนมา ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศ
  • พัฒนาแนวเขตแดนที่ชัดเจนขึ้น – การกำหนดพิกัดแนวกำแพงป้องกันตลิ่งจะช่วยให้มีการจัดการเขตแดนระหว่างสองประเทศที่เป็นระบบมากขึ้น

ข้อกังวลจากบางฝ่าย

  • ผลกระทบต่อระบบนิเวศ – นักอนุรักษ์บางกลุ่มกังวลว่าการก่อสร้างแนวกำแพงอาจส่งผลต่อกระแสน้ำและระบบนิเวศของแม่น้ำสาย รวมถึงสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว
  • ความล่าช้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำ – แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเห็นพ้องต้องกันว่าควรขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินงานจริง ซึ่งอาจส่งผลให้การระบายน้ำในฤดูฝนไม่ได้ผลตามที่คาดการณ์ไว้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา (2567) ระบุว่า เชียงรายมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,800 มิลลิเมตรต่อปี และคาดการณ์ว่าปี 2568 ปริมาณฝนอาจเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดน้ำหลากในพื้นที่เสี่ยง
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายถึง 8 ครั้ง โดย 3 ครั้งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายรุนแรง
  • ข้อมูลจากหน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา (TBC) ระบุว่า โครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา มีอัตราความสำเร็จเฉลี่ย 75% และคาดว่าโครงการปัจจุบันจะแล้วเสร็จภายใน 2 ปี

ข้อสรุป

โครงการสร้างกำแพงป้องกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำสายเป็นความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันปัญหาน้ำหลากและการกัดเซาะริมฝั่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและความล่าช้าของโครงการขุดลอกแม่น้ำ ซึ่งต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนี้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งสองประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา (2567) / สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย / หน่วยประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา (TBC)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘เจษฎา’ เฉลยไทยปลอดภัยไหม เมียนมาสร้าง “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์”

รัสเซียลงนามสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมียนมา ไทยจับตาความปลอดภัยใกล้ชายแดน

เมียนมาจับมือรัสเซีย พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใกล้ชายแดนไทย

เมียนมา – วันที่ 8 มีนาคม 2568 พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือก่อสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor หรือ SMR) ใน เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไทยที่จังหวัดกาญจนบุรีเพียง 132 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 300 กิโลเมตร

ข้อตกลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ ความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ ระหว่างสองประเทศ ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2023 โดยรัสเซียเสนอความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ให้แก่เมียนมา ทั้งนี้ ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า โรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีกำลังการผลิต 110 เมกะวัตต์ และใช้ เครื่องปฏิกรณ์ RITM-200N ที่พัฒนาโดยบริษัท Rosatom ซึ่งเป็นผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์รายใหญ่ของรัสเซีย

เครื่องปฏิกรณ์ RITM-200N คืออะไร?

ตามข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานนิวเคลียร์ (รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำจุฬาฯ และ ผศ.ดร.พงษ์แพทย์ เพ่งวาณิชย์ จากภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ) เครื่องปฏิกรณ์ที่คาดว่าจะถูกนำมาติดตั้งในเมียนมาคือ RITM-200N ซึ่งเป็น เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor – SMR)

จุดเด่นของเครื่องปฏิกรณ์ชนิดนี้ ได้แก่:

  • มีขนาดเล็ก กำลังการผลิต 55 เมกะวัตต์ต่อเครื่อง
  • สามารถติดตั้งและใช้งานในพื้นที่จำกัด
  • ใช้ระบบหล่อเย็นแบบปิด ลดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม
  • พัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและเรือตัดน้ำแข็งของรัสเซีย
  • มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงตามข้อกำหนดของ IAEA

อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีจะได้รับการออกแบบมาให้ปลอดภัย แต่ความกังวลเกี่ยวกับการบริหารจัดการของรัฐบาลทหารเมียนมา รวมถึงความไม่มั่นคงทางการเมืองของประเทศ อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

ผลกระทบต่อไทย และความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม

โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมียนมา สร้างความกังวลให้กับประชาชนในไทย เนื่องจาก ที่ตั้งของโรงไฟฟ้าอยู่ใกล้ชายแดนจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ ผลกระทบอาจลุกลามถึงพื้นที่ในประเทศไทยได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานให้ความเห็นว่า แม้เทคโนโลยี SMR จะมีความปลอดภัยสูงกว่าระบบปฏิกรณ์รุ่นเก่า แต่ความเสี่ยงที่แท้จริงอยู่ที่มาตรฐานการควบคุมของรัฐบาลเมียนมา ซึ่งขาดเสถียรภาพทางการเมืองและยังมีสงครามกลางเมืองในหลายพื้นที่”

นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ การจัดการกากนิวเคลียร์ ซึ่งหากไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด อาจส่งผลกระทบต่อแม่น้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่ไหลผ่านเข้าสู่ประเทศไทย

พม่าขาดแคลนพลังงานอย่างหนัก ผลักดันโครงการนิวเคลียร์

การตัดสินใจสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของรัฐบาลทหารเมียนมา มีเป้าหมายหลักเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนพลังงานของประเทศ เนื่องจากปัจจุบัน เมียนมามีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมเพียง 2,400 เมกะวัตต์ แต่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าถึง 4,400 เมกะวัตต์

ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานเมียนมาระบุว่า:

  • พม่าใช้พลังงานไฟฟ้าจาก เขื่อนเป็นหลัก (55%) แต่หลายแห่งได้รับความเสียหายจากสงคราม
  • โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (35%) มีปัญหาขาดแคลนเชื้อเพลิงจากมาตรการคว่ำบาตร
  • พลังงานหมุนเวียน เช่น แสงอาทิตย์ และลม (10%) ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น

สถิติและสถานการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลก

ตามรายงานของ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ปี 2567 พบว่า:

  • ปัจจุบันทั่วโลกมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กว่า 440 แห่ง และกำลังก่อสร้างเพิ่มเติม 60 แห่ง
  • โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR มีเพียง 5 แห่งที่ใช้งานจริง เช่นในรัสเซียและจีน
  • ประเทศที่มีแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
  • อัตราการเติบโตของพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลก คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 15% ภายในปี 2050

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ในเมียนมา

ฝ่ายสนับสนุน

  • เชื่อว่าโครงการนี้จะช่วย แก้ปัญหาพลังงานขาดแคลน ของเมียนมา
  • โรงไฟฟ้าแบบ SMR มีขนาดเล็ก ควบคุมง่าย และปลอดภัยกว่าระบบเก่า
  • อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมียนมา และลดการพึ่งพาการนำเข้าไฟฟ้า

ฝ่ายคัดค้าน

  • กังวลเกี่ยวกับ มาตรฐานความปลอดภัย และการบริหารจัดการของรัฐบาลทหารเมียนมา
  • ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หากเกิดอุบัติเหตุหรือมีการรั่วไหลของกัมมันตรังสี
  • ผลกระทบทางการเมือง อาจทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

บทสรุป: ไทยควรเตรียมรับมืออย่างไร?

แม้ว่าโครงการนี้จะเป็นความร่วมมือระหว่างรัสเซียและเมียนมา แต่ ไทยควรเตรียมมาตรการรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น:

  • การเฝ้าระวังระดับรังสีในพื้นที่ชายแดน
  • การร่วมมือกับองค์กรสากล เช่น IAEA เพื่อตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย
  • การสร้างแผนฉุกเฉินในกรณีเกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์

ท้ายที่สุด โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้อาจกลายเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญของอาเซียน หากดำเนินการได้อย่างมีมาตรฐาน แต่หากขาดการควบคุมที่ดี ก็อาจเป็น ภัยคุกคามที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Jessada Denduangboripant / thairath

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

จีนฟ้องลาว 555 ล้านดอลลาร์ ค้างจ่ายค่าเขื่อนน้ำอู “ไข่มุกแห่งเอเชีย” โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

จีนฟ้องลาว 555 ล้านดอลลาร์! ค้างจ่ายค่าเขื่อน “ไข่มุกแห่งเอเชีย”

สปป.ลาว , 9 มีนาคม 2568 – บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ (Nam Ou Power) ซึ่งเป็นหน่วยงานในเครือของบริษัทพาวเวอร์ไชน่า (PowerChina) ได้ยื่นฟ้องบริษัทการไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos – EdL) ต่อศูนย์อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศของสิงคโปร์ (SIAC) เพื่อเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่ค้างชำระเป็นจำนวน 555 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันเนื่องมาจากค่าไฟฟ้าที่เกิดจากโครงการเขื่อนไฟฟ้าน้ำอูทั้ง 7 แห่ง (Nam Ou River Cascade Hydropower) มูลค่าการลงทุนกว่า 2.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ข้อพิพาทด้านพลังงานและผลกระทบต่อเศรษฐกิจลาว

บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจีน ได้ดำเนินการก่อสร้างและบริหารเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำอูซึ่งมีความยาว 350 กิโลเมตรในประเทศลาว โครงการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ของจีน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานและการคมนาคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องระบุว่าคดีนี้เป็นกรณีแรกของการฟ้องร้องระหว่างหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจีนต่อรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลลาวผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาทางการเงินที่ลาวกำลังเผชิญ

ที่มาของข้อพิพาทและรายละเอียดทางกฎหมาย

ข้อมูล 6 มีนาคม 2568 พบว่า บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ อ้างว่า EdL มีหนี้ค้างชำระเป็นจำนวน 486.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 65.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากใบแจ้งหนี้รายเดือนที่ออกระหว่างเดือนมกราคม 2020 ถึงธันวาคม 2024 การฟ้องร้องครั้งนี้มีมูลค่ารวมคิดเป็นประมาณ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของลาวในปี 2020

เอกสารที่ยื่นต่อ SIAC ยังระบุว่า บริษัทน้ำอูพาวเวอร์เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก 3.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจาก EdL ชำระเงินส่วนใหญ่ด้วยสกุลเงินกีบของลาว ทั้งที่ตามข้อตกลงระบุว่าต้องชำระเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างน้อย 85%

ความเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานจีนในลาว

ลาวเป็นประเทศที่ลงทุนอย่างหนักในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Battery of Southeast Asia) ผ่านการส่งออกพลังงานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย เวียดนาม และจีน อย่างไรก็ตาม โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ได้สร้างภาระหนี้สินให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก

ในปี 2020 EdL ได้โอนอำนาจการควบคุมส่วนใหญ่ของหน่วยส่งไฟฟ้าไปยังบริษัทไชน่าเซาเทิร์นพาวเวอร์กริด (China Southern Power Grid) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน เนื่องจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รัฐบาลลาวต้องเผชิญกับความยากลำบากทางการเงิน และใกล้เข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้ (Sovereign Default)

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถานะของลาวในเวทีโลก

ลาวต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าของเงินกีบลาวลดลงเกือบ 60% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าพุ่งสูงขึ้น และทำให้ประเทศต้องพึ่งพาเงินทุนจากจีนมากขึ้น

นักวิเคราะห์ชาวตะวันตกมองว่าการลงทุนของจีนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานในลาวช่วยเพิ่มอิทธิพลของจีนในประเทศที่มีภาระหนี้สูง อย่างไรก็ตาม จีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าการลงทุนของตนเป็นไปเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

แนวโน้มของคดีและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ในขณะที่คดีดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการในสิงคโปร์ นักวิเคราะห์บางรายมองว่า หาก EdL ไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจนำไปสู่การโอนกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของลาวไปยังบริษัทจีน ซึ่งอาจเพิ่มการพึ่งพาจีนในระยะยาว

นอกจากนี้ หากมีการพิจารณาคดีให้บริษัทน้ำอูพาวเวอร์เป็นฝ่ายชนะ ลาวอาจต้องเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติม หรืออาจต้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรทางการเงินระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือธนาคารโลก (World Bank) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ

ข้อสรุปและแนวทางข้างหน้า

กรณีพิพาทระหว่างบริษัทน้ำอูพาวเวอร์และการไฟฟ้าลาวเป็นตัวอย่างของความซับซ้อนของโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนข้ามชาติ และยังสะท้อนถึงปัญหาทางการเงินที่ลาวกำลังเผชิญในปัจจุบัน

ในระยะสั้น ลาวอาจต้องหาทางออกผ่านการเจรจากับจีนเพื่อลดภาระหนี้ หรือหาทางปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนในระยะยาว อาจจำเป็นต้องมีการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงิน เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น และลดการพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติ

ในขณะที่มุมมองจากฝั่งจีนคือการรักษาความมั่นคงของการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในมุมของนักวิเคราะห์ตะวันตก อาจเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ของจีนที่ช่วยเสริมสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมียวดีส่งต่างด้าว “จีนเทา” คืนปักกิ่ง ไทยรับช่วงต่อ

กองกำลัง BGF เตรียมส่งชาวต่างด้าวกว่า 7,000 คน กลับประเทศ ผ่านไทย

จีนเตรียมรับพลเมืองกลับประเทศ ไทยประสานการส่งตัวผ่านแม่สอด

เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง, 7 มีนาคม 2568 – ความคืบหน้ากรณีที่กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ของเมียนมา เตรียมส่งตัวชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง จำนวนกว่า 7,000 คน ให้กับประเทศไทย หลังจากไม่สามารถดูแลบุคคลเหล่านี้ได้ ขณะนี้ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมรับตัว โดยรอเพียงคำสั่งอย่างเป็นทางการจากหน่วยเหนือ

ขั้นตอนการส่งตัวชาวต่างชาติผ่านประเทศไทย

พันโทหน่าย มอซอ โฆษกกองกำลัง BGF เปิดเผยว่า ได้ตรวจเยี่ยมชาวต่างชาติที่อยู่ภายในศูนย์บัญชาการรักษาความปลอดภัย BGF เมืองเมียวดี ซึ่งตรงข้ามกับบ้านริมเมย อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยการส่งตัวบุคคลเหล่านี้จะเริ่มขึ้นตามกำหนดการดังนี้:

  • 6 มีนาคม 2568 จำนวน 456 คน
  • 7 มีนาคม 2568 จำนวน 456 คน
  • 8 มีนาคม 2568 จำนวน 456 คน
  • 9 มีนาคม 2568 จำนวน 71 คน

ทั้งนี้ หากสถานทูตของแต่ละประเทศมีการประสานงานเข้ามา การส่งตัวกลับประเทศต้นทางจะดำเนินการทันที โดยเฉพาะทางการจีน ซึ่งได้เตรียมเครื่องบินรับพลเมืองของตนเองกลับประเทศผ่านท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด

ไทยเตรียมความพร้อมรับตัวชาวจีน 1,439 คน ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2

จังหวัดตากและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมในการรับตัวชาวจีนจำนวน 1,439 คน จากเมืองเมียวดีมายังอำเภอแม่สอด โดยจะเดินทางผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 บ้านวังตะเคียนใต้ หมู่ 7 ตำบลท่าสายลวด เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนและเจ้าหน้าที่สถานทูตจะใช้รถบัสรับตัวบุคคลเหล่านี้จากเมียวดีและนำส่งไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด ตั้งแต่วันที่ 6-9 มีนาคม 2568

การตรวจสอบและกระบวนการทางกฎหมายของไทย

ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ได้กำหนดแนวทางดำเนินการกับชาวต่างชาติที่ถูกส่งตัวกลับ โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. การรับตัวบุคคลจากเมืองเมียวดี – รถบัสเช่าเหมาลำจากจีนเดินทางผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 โดยมีเจ้าหน้าที่สถานทูตและตำรวจจีนติดตาม พร้อมออกบัตรหมายเลขให้ตรงกับบัญชีรายชื่อ
  2. การดำเนินการของหน่วยงานไทย – กองกำลังเฉพาะกิจราชมนูดูแลความปลอดภัยของบุคคลที่ถูกส่งตัว (จัดเจ้าหน้าที่ 1 นายต่อบุคคลต่างชาติ 1 คน) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งปฏิเสธการเข้าเมือง เนื่องจากเป็นบุคคลต้องห้ามเข้าราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 (7) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และแจ้งคำสั่งให้ออกจากราชอาณาจักรตามแบบ ตม. 35
  3. การบันทึกข้อมูลและส่งตัวกลับประเทศ – เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะเก็บอัตลักษณ์บุคคลเพื่อดำเนินการบันทึกลงระบบแบล็กลิสต์ (Blacklist) ของ สตม. และจัดเตรียมกระบวนการส่งตัวกลับประเทศ โดยบุคคลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังสนามบินแม่สอด และเดินทางออกจากประเทศไทยโดยทันที

การคืนทรัพย์สินและการช่วยเหลือชาวต่างชาติ

พันโทหน่าย มอซอ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ทางกองกำลัง BGF ได้คืนโทรศัพท์มือถือให้แก่ชาวต่างชาติที่สามารถแสดงตนเป็นเจ้าของ โดยมีการตรวจสอบผ่านล่ามที่สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ นอกจากนี้ ยังมีการสอบถามถึงกรณีที่มีการทำร้ายร่างกายบุคคลเหล่านี้ พบว่าหลายคนได้รับบาดเจ็บจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของกลุ่มบริษัทที่ว่าจ้างให้ดูแลพวกเขา ซึ่งทาง BGF กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด

สถิติและแนวโน้มการส่งตัวชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

ตามรายงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในปี 2567 มีชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถูกส่งกลับประเทศต้นทางผ่านประเทศไทยมากกว่า 10,000 คน โดยส่วนใหญ่มาจากจีน เมียนมา และกัมพูชา ขณะที่ในปี 2568 คาดว่าจำนวนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเข้มข้นขึ้น

ด้านนักวิเคราะห์มองว่า การส่งตัวบุคคลเหล่านี้กลับประเทศเป็นแนวทางที่ดีในการลดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับมาตรการดูแลสิทธิมนุษยชนของผู้ถูกส่งตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่องค์กรสิทธิมนุษยชนในระดับสากลติดตามอย่างใกล้ชิด

โดยสรุป การประสานความร่วมมือระหว่างไทย จีน และเมียนมา ในการส่งตัวชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์กลับประเทศ นับเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมอาชญากรรมข้ามชาติ และสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังและพัฒนากลไกที่สามารถรักษาสิทธิมนุษยชนของบุคคลเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เซเว่นฯ เปิดแล้ว ‘หลวงพระบาง’ คนแห่ใช้บริการ คึกคักวันแรก

เซเว่น อีเลฟเว่น เปิดสาขาแรกในแขวงหลวงพระบาง นักท่องเที่ยว-ประชาชนให้การต้อนรับคึกคัก

เมืองหลวงพระบาง, 6 มีนาคม 2568 – บริษัท ซีพี ออลล์ ลาว จำกัด ในเครือ ซีพี ออลล์ ได้เปิดตัว เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาแรกในแขวงหลวงพระบาง อย่างเป็นทางการ ณ บ้านสายลม เมืองหลวงพระบาง โดยมี ท่านเวียงทอง หัดสะจัน เจ้านครหลวงพระบาง ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมแขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

บรรยากาศในวันเปิดทำการวันแรกเป็นไปอย่างคึกคัก มี ประชาชนชาวลาวและนักท่องเที่ยวจำนวนมากแวะเวียนมาใช้บริการ ภายในร้านมีสินค้าหลากหลายที่ตอบโจทย์ทั้งคนในพื้นที่และนักเดินทาง รวมถึงสินค้าท้องถิ่นที่นำมาจำหน่ายเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

เซเว่น อีเลฟเว่น หลวงพระบาง: ส่วนหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

นายชัยโรจน์ ทิวัตถ์มั่นเจริญ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และ Managing Director International Business บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การขยายธุรกิจมายังแขวงหลวงพระบางถือเป็น ก้าวสำคัญของเซเว่น อีเลฟเว่น ใน สปป.ลาว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่

“หลวงพระบางเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูง เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะ เมืองหลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกตั้งแต่ปี 1995 ทำให้เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก”

จากข้อมูลของ รัฐบาลลาว ในปีที่ผ่านมา แขวงหลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวกว่า 2.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 125.96% จากปีก่อนหน้า โดยนักท่องเที่ยวหลักมาจาก จีน ไทย เกาหลีใต้ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 125 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อวัน ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวและการค้าปลีกในพื้นที่

จุดเด่นของเซเว่น อีเลฟเว่น หลวงพระบาง

เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาหลวงพระบางยังคงให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง พร้อมจำหน่ายสินค้าคุณภาพที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม อาหารสำเร็จรูป และสินค้าเฉพาะของท้องถิ่น

“เซเว่น อีเลฟเว่น ไม่เพียงแต่เป็นร้านสะดวกซื้อ แต่ยังเป็น กลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยการเปิดโอกาสให้ ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้นำสินค้าของตนเองเข้ามาจำหน่าย อีกทั้งยังช่วยสร้างงานและกระจายรายได้ให้กับคนในพื้นที่”

การเปิดร้านเซเว่น อีเลฟเว่นใน สปป.ลาว ยังสอดคล้องกับแนวทาง “Giving and Sharing” ที่มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยใช้หลัก 2 ลด 4 สร้าง 1 DNA เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับชุมชน

ขยายเครือข่ายทั่ว สปป.ลาว: ก้าวต่อไปของเซเว่น อีเลฟเว่น

ปัจจุบัน เซเว่น อีเลฟเว่น เปิดให้บริการแล้ว 12 สาขา ทั่ว สปป.ลาว ในเมืองหลัก เช่น

  • นครหลวงเวียงจันทน์
  • แขวงจำปาสัก
  • แขวงสะหวันนะเขต
  • แขวงเวียงจันทน์
  • แขวงหลวงพระบาง (ล่าสุด)

การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเติบโตในต่างประเทศของ ซีพี ออลล์ โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนสาขาให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้

บทสรุป

การเปิดตัว เซเว่น อีเลฟเว่น ในแขวงหลวงพระบาง ถือเป็นก้าวสำคัญของภาคธุรกิจค้าปลีกใน สปป.ลาว และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ก็มาพร้อมกับข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อผู้ประกอบการท้องถิ่นและวัฒนธรรมของเมืองมรดกโลก

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของการพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และทำให้เซเว่น อีเลฟเว่นสามารถเติบโตควบคู่ไปกับชุมชนอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News