Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

เชียงราย-ท่าขี้เหล็ก จับมือขุดลอกแม่น้ำสาย แก้น้ำท่วมยั่งยืน

เชียงราย-ท่าขี้เหล็ก หารือแผนขุดลอกแม่น้ำสาย สร้างความร่วมมือแก้ปัญหาน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 เวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อกำหนดแนวทางในการขุดลอกแม่น้ำสาย โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและฟื้นฟูสภาพแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกให้สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างยั่งยืน

ที่มาและความสำคัญของแม่น้ำสาย

แม่น้ำสาย หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “แม่น้ำละว้า” เป็นแม่น้ำที่มีความยาว 30 กิโลเมตร โดยแบ่งความยาวในประเทศไทย 15 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ถือเป็นเส้นแบ่งเขตแดนธรรมชาติระหว่างไทยและเมียนมา โดยมีต้นน้ำอยู่ในประเทศเมียนมาและไหลผ่านจังหวัดเชียงราย จนไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน

แม่น้ำสายเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญสำหรับการเกษตรกรรมและการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่น แต่ปัญหาการกัดเซาะของแม่น้ำที่ทำให้ตลิ่งเปลี่ยนทิศทาง เกิดแผ่นดินงอกและแผ่นดินหด ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางทรัพยากรและพื้นที่ชายแดน

ความร่วมมือข้ามพรมแดน

การประชุมในครั้งนี้มีการวางแผนการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาเกี่ยวกับสิทธิการเดินเรือและการใช้น้ำอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 16-17 มกราคม 2568 เพื่อกำหนดแนวทางการขุดลอกแม่น้ำและพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมระยะยาว

นอกจากนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ยังได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation) ในการดำเนินโครงการเพื่อบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย – ลุ่มน้ำรวก โดยเน้นการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าและปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผลกระทบและการแก้ปัญหา

จากการประชุมในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา หน่วยงานทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่และแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งส่งผลให้ชุมชนชายแดนทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์ โดยมีแผนการดำเนินการ 3 ขั้นตอน ได้แก่

  1. วางแผนสำรวจข้อมูล: ประเมินพื้นที่และเสนอความต้องการงบประมาณ
  2. ดำเนินการตามแผน: ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงแม่น้ำและตลิ่ง
  3. พัฒนาอย่างยั่งยืน: ติดตามผลการดำเนินการและพัฒนาระบบป้องกันในระยะยาว

ความสำเร็จในอนาคต

การขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกและการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยคาดว่าจะช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรน้ำ นอกจากนี้ การมีเขตแดนที่ชัดเจนยังสร้างโอกาสให้เกิดความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวระหว่างไทยและเมียนมาในอนาคต

คำถามที่พบบ่อย

  • โครงการนี้จะส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างไร?
    ช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและเพิ่มความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำ

  • ใครเป็นผู้ดำเนินโครงการนี้?
    สทนช. และหน่วยงานในพื้นที่ร่วมมือกับประเทศเมียนมา

  • ระยะเวลาการดำเนินโครงการนี้นานเท่าไหร่?
    โครงการจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การขุดลอกแม่น้ำสายและความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ยังเป็นตัวอย่างของความร่วมมือข้ามพรมแดนที่ส่งผลดีต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รายงานสถานการณ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
WORLD PULSE

‘เกาหลีใต้’ ดึงนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มทัวร์เข้าได้ไม่ต้องวีซ่า ‘เว้นไทย’

รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดมาตรการดึงนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มทัวร์เรือสำราญเข้าประเทศโดยไม่ต้องใช้วีซ่า

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 จากรายงานของ Business Korea รัฐบาลเกาหลีใต้ได้พิจารณามาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มทัวร์ โดยเสนอให้ เข้าประเทศได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า (Visa-free entry) เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและวิกฤติโควิด-19

มาตรการนี้เริ่มต้นสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาโดยเรือสำราญ และมีแผนขยายไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนในประเภทอื่นๆ ภายหลัง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีสามารถเข้าพักในโฮมสเตย์ในเมือง (Urban Homestays) ซึ่งก่อนหน้านี้สงวนไว้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

การประชุมยุทธศาสตร์ฟื้นฟูการท่องเที่ยว

แผนการเหล่านี้ถูกประกาศในที่ประชุมว่าด้วยยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยว จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกาหลี ในเขตยงซาน กรุงโซล เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 การประชุมมีผู้แทนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเอกชนประมาณ 60 คนเข้าร่วม โดยเน้นถึงความสำคัญของการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19

มาตรการสำคัญของรัฐบาล

  1. ขยายการยกเว้น K-ETA และค่าวีซ่า
    • รัฐบาลได้ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มจาก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา และอินเดีย จนถึงสิ้นปีหน้า
    • ขยายระยะเวลาการยกเว้นชั่วคราวสำหรับ Korea Electronic Travel Authorization (K-ETA) ถึงสิ้นปี 2568
  2. สนับสนุนการเงินแก่ภาคการท่องเที่ยว
    • เงินกู้ทั่วไป 536.5 พันล้านวอน
    • การชดเชยเงินกู้รอง 100 พันล้านวอน
    • เงินกู้ค้ำประกัน 70 พันล้านวอน
    • มีแผนใช้งบประมาณด้านการท่องเที่ยว 1.3 ล้านล้านวอน โดย 70% ของงบประมาณดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในช่วงครึ่งปีแรก
  3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านกิจกรรมและแคมเปญ
    • จัดงาน “Korea Grand Sale” ขยายระยะเวลาในครึ่งปีแรก
    • เตรียมจัดอีเวนต์ใหญ่ “Beyond K-Festa” ในเดือนมิถุนายน

ความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเกาหลีใต้

ข้อมูลจาก องค์การการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) ระบุว่า เกาหลีใต้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 13.74 ล้านคนภายในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดตั้งแต่ปี 2562 ที่เคยมี 17.5 ล้านคนก่อนการระบาดของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังไม่ถึงเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 20 ล้านคนในปีนี้ สะท้อนถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังเผชิญ

รัฐบาลเน้นย้ำความสำคัญของการสื่อสารใกล้ชิดกับภาคการท่องเที่ยว

รองประธานาธิบดีฮัน ดัก-ซู กล่าวในที่ประชุมว่า “เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของตลาดการท่องเที่ยว เราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเชิงรุกและเร่งด่วน ผ่านการสื่อสารใกล้ชิดกับภาคการท่องเที่ยว”

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความหวังในอนาคต

มาตรการที่เน้นการเปิดประเทศและฟื้นฟูการท่องเที่ยวนี้ คาดว่าจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการช็อปปิ้งที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาหลีใต้

จากแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน การยกเว้นวีซ่า และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เกาหลีใต้หวังจะกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในปี 2568 และปีต่อๆ ไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : businesskorea

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ไทยเสนอวีซ่าร่วม 6 ประเทศ ดันอาเซียนเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว

ไทยเดินหน้าสร้างภูมิภาคท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ ภายใต้แนวคิด “หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย”

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 thailandnow รายงานว่า ประเทศไทยกำลังผลักดันโครงการนวัตกรรมด้านการท่องเที่ยว โดยเสนอแนวคิดวีซ่าร่วมในลักษณะเดียวกับวีซ่าเชงเก้นของยุโรป เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวใน 6 ประเทศอาเซียน ได้แก่ ไทย กัมพูชา เวียดนาม ลาว มาเลเซีย และเมียนมา แนวคิดนี้ได้รับการผลักดันโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้หารือกับผู้นำอาเซียนหลายครั้งในปีที่ผ่านมา

“หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย” จุดเปลี่ยนการท่องเที่ยวอาเซียน

แนวคิด “Six Countries, One Destination” หรือ “หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย” ถูกเสนอครั้งแรกโดยประเทศไทยในเดือนเมษายน 2567 และได้รับการหารือใน การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 ที่ประเทศลาว เป้าหมายของโครงการนี้คือการทำให้อาเซียนเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ ลดขั้นตอนด้านเอกสาร และเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางระหว่างประเทศในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ได้ผลักดันโครงการนี้ผ่านการเจรจาระหว่างผู้นำอาเซียนหลายประเทศ รวมถึงหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีฟาม มินห์ จิญห์ ของเวียดนาม โดยตกลงเริ่มนำร่องระบบวีซ่าร่วม รวมถึงการเจรจากับนายกรัฐมนตรีโสเนไซ สีพันดอน ของลาว เน้นเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจและการคมนาคม นอกจากนี้ ยังมีการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่มาเลเซียเพื่อหารือการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว เช่น การปรับขั้นตอนข้ามแดน และการเชื่อมโยงแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมเข้ากับแผนส่งเสริมการท่องเที่ยว

เป้าหมายของวีซ่าร่วม: เพิ่มการเข้าถึงและกระตุ้นเศรษฐกิจ

ระบบวีซ่าร่วมนี้มุ่งเน้นการลดขั้นตอนด้านเอกสารและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว โดยให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าประเทศในกลุ่มที่เข้าร่วมได้ด้วยวีซ่าเดียว ส่งผลให้เกิดการเพิ่มจำนวนวันพักและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ โครงการนี้ยังมีเป้าหมายในการสร้าง “ภูมิภาคการท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์” คล้ายกับระบบของยุโรป แต่ผสมผสานความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอาเซียน ระบบนี้ยังช่วยลดอุปสรรคทางด้านเอกสาร เช่น การยื่นขอวีซ่าหลายครั้ง ช่วยให้การเดินทางในภูมิภาคง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

ไทยในฐานะผู้นำการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค

บทบาทของไทยในฐานะผู้นำโครงการนี้ถูกเน้นย้ำผ่านการประชุมสุดยอดและการหารือทวิภาคีต่างๆ โดยรัฐบาลไทยยังเน้นความสำคัญของการปรับปรุงขั้นตอนการเดินทาง และการพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมระหว่างประเทศในภูมิภาค

นอกจากนี้ การนำเสนอโครงการนี้ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก โดยเพิ่มโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์การเดินทางที่ไร้รอยต่อ พร้อมทั้งกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ก้าวใหม่ของการท่องเที่ยวในเอเชีย

โครงการ “หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย” ถือเป็นก้าวสำคัญของภูมิภาคเอเชียในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาค โดยการรวมวีซ่าเข้าด้วยกันจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก

ด้วยการสนับสนุนจากผู้นำในภูมิภาคและการผลักดันอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้คาดว่าจะสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการเดินทางในภูมิภาค และส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อประโยชน์ของนักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : thailandnow

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

กรรมการผู้จัดการหญิงญี่ปุ่นเพิ่ม 8.4% พร้อมเป้าหมาย Womenomics ปี 2030

กรรมการผู้จัดการหญิงในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสู่ 8.4% แต่ยังห่างไกลเป้าหมาย Womenomics

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Teikoku Databank บริษัทวิจัยในญี่ปุ่น ได้เผยผลสำรวจบริษัทในประเทศกว่า 1.19 ล้านแห่ง พบว่า สัดส่วนของกรรมการผู้จัดการหญิงในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็น 8.4% ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก 4.5% ในปี 1990 โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนกรรมการผู้จัดการหญิงสูงสุดที่ 17.4% ตามด้วยธุรกิจบริการ 11.3% และธุรกิจค้าปลีก 11.1%

บทบาทของกรรมการผู้จัดการหญิงในบริษัทเล็กมีแนวโน้มสูงกว่า

จากการสำรวจพบว่า สัดส่วนกรรมการผู้จัดการหญิงในบริษัทขนาดเล็ก (มียอดขายต่ำกว่า 50 ล้านเยน) อยู่ที่ 11.9% ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ (ยอดขาย 10,000 ล้านเยนขึ้นไป) มีเพียง 2% โดย Tracy Gopal ผู้ก่อตั้ง Third Arrow Strategies ให้ความเห็นว่า “การเป็นผู้นำในบริษัทเล็กต่างจากบริษัทใหญ่ที่ต้องดึงดูดบุคลากรหญิงให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นจำนวนผู้หญิงในองค์กรญี่ปุ่นจะลดลง”

การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมและนโยบาย Womenomics

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่ โดยผู้ชายมักมีบทบาทในการทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ขณะที่ผู้หญิงดูแลบ้านและลูก แต่จากปัญหาสังคมผู้สูงอายุและการขาดแคลนแรงงาน อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Shinzo Abe ได้ริเริ่มนโยบาย Womenomics ในปี 2013 เพื่อกระตุ้นให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น

เป้าหมาย Womenomics ในปี 2030

Womenomics มีเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางเพศ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2030 ญี่ปุ่นต้องมีสัดส่วนผู้หญิงในตำแหน่งผู้จัดการอย่างน้อย 30% จากข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2024 ผู้หญิงในตำแหน่งผู้จัดการมีสัดส่วนเพียง 10.9% แม้จะเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่ทะลุ 10% แต่ยังคงห่างไกลจากเป้าหมาย

มาตรการเพื่อผลักดันความเท่าเทียมทางเพศ

รัฐบาลญี่ปุ่นและบริษัทต่างๆ ได้ร่วมกันดำเนินมาตรการหลากหลาย เช่น

  • ปรับชั่วโมงการทำงานให้ยืดหยุ่น
  • สนับสนุนผู้หญิงที่มีลูกให้กลับมาทำงาน
  • ส่งเสริมให้ผู้ชายช่วยเลี้ยงดูบุตร
  • ยกเลิกการกำหนดเพศในใบสมัครงาน

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงต้องใช้เวลาและความพยายามร่วมกันจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความเท่าเทียมในตลาดแรงงาน และทำให้ผู้หญิงมีบทบาทที่สำคัญในทุกระดับองค์กร

อ้างอิง

  • 8.4% of Japanese companies led by women in 2024
  • Female Managers in Japan Remain Few and Far Between

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Japantimes / The modern office: Japanese business practices have come a long way since the 1980s, when many books about working in the country were written. | GETTY IMAGES

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เงินเดือนญี่ปุ่นพุ่งในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางจ่อขึ้นดอกเบี้ย

เงินเดือนพนักงานญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางจ่อปรับขึ้นดอกเบี้ย

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 สำนักข่าว Bloomberg รายงานข้อมูลจากกระทรวงแรงงานญี่ปุ่นที่เผยว่า ฐานเงินเดือนพนักงานประจำในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนตุลาคม เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 1994 สัญญาณบวกนี้สะท้อนถึงความก้าวหน้าในวัฏจักรเศรษฐกิจ พร้อมเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้

ในส่วนของค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน (Nominal Wages) เพิ่มขึ้น 2.6% ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ก่อนหน้า โดยค่าจ้างพนักงานประจำไม่นับรวมโบนัสและโอทีเพิ่มขึ้นถึง 2.8% นักวิเคราะห์มองว่านี่เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ซึ่งกำหนดประชุมในวันที่ 19 ธันวาคมนี้

การเจรจาและแนวโน้มค่าจ้าง

อายาโกะ ฟูจิตะ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจจาก JPMorgan Securities กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวสนับสนุนแนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ แต่ยังต้องพิจารณาข้อมูลอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ คาซูโอะ อูเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei ว่า แนวโน้มค่าจ้างและการใช้จ่ายของครัวเรือนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ

แม้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายครัวเรือนในเดือนตุลาคมกลับลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มค่าจ้างยังไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคได้เต็มที่ นอกจากนี้ ความไม่เท่าเทียมของค่าจ้างที่แท้จริงยังอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ภาคแรงงานและความตึงตัว

ตลาดแรงงานญี่ปุ่นยังคงตึงตัว โดยมีอัตราการว่างงานต่ำกว่า 3% มาเป็นเวลาสามปี บริษัทต่าง ๆ จึงต้องเพิ่มค่าจ้างเพื่อรักษาพนักงานและปรับตัวเข้ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สมาพันธ์สหภาพการค้าญี่ปุ่น (Rengo) ได้ผลักดันให้ปรับขึ้นค่าจ้าง 5% ทั่วทุกอุตสาหกรรม ในขณะที่สหภาพแรงงานโรงงานเหล็กเรียกร้องการปรับค่าจ้างเพิ่มอีก 12,000 เยนต่อเดือน

ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ออกมาตรการทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 21.9 ล้านล้านเยน เพื่อรองรับการเพิ่มค่าจ้าง โดยเน้นช่วยเหลือบริษัทขนาดเล็ก และให้แนวทางส่งผ่านต้นทุนไปยังลูกค้าองค์กร

แผนการเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการบริโภค

รัฐบาลญี่ปุ่นยังวางแผนขยายการอุดหนุนค่าไฟฟ้าและมอบเงินสดให้แก่ครัวเรือนรายได้ต่ำ มาตรการเหล่านี้คาดว่าจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับขึ้นค่าจ้าง พร้อมลดเงินเฟ้อในระดับหนึ่ง อิชิบะยังสั่งให้คณะรัฐมนตรีจัดทำแผนปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในฤดูใบไม้ผลิ เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน

ผลกระทบต่อการตัดสินใจของ BOJ

แนวโน้มค่าจ้างและสถานการณ์เงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของ BOJ ในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะยาว

ข้อมูลล่าสุดนี้สะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสในการปรับตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านการจ้างงาน ค่าจ้าง และการบริโภคที่ยังต้องการการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

Meta ทุ่ม 342,838 ล้านบาท สร้างสายเคเบิลใต้ทะเลยาวที่สุดในโลก

Meta เตรียมสร้างสายเคเบิลใต้ทะเลยาวที่สุดในโลก ลงทุนกว่า 342,838 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนการสื่อสารทั่วโลก

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 Meta บริษัทแม่ของ Facebook, Instagram และ WhatsApp ได้ประกาศแผนสร้างสายเคเบิลใต้ทะเลที่ยาวกว่า 40,000 กิโลเมตร ครอบคลุมทั่วโลก โดยมีงบประมาณการลงทุนมากกว่า $10 พันล้าน หรือประมาณ 342,838 ล้านบาทเพื่อเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

การลงทุนเพื่ออนาคตของการสื่อสาร

Meta ได้ยืนยันว่าโครงการนี้จะเป็นครั้งแรกที่บริษัทจะเป็นเจ้าของสายเคเบิลใต้ทะเลทั้งหมด ซึ่งต่างจากเดิมที่เคยเป็นเพียงผู้ร่วมลงทุนในโครงการสายเคเบิลอื่นๆ เช่น โครงการ 2Africa ที่ล้อมรอบทวีปแอฟริกา การสร้างสายเคเบิลนี้จะช่วยให้ Meta มีความสามารถในการควบคุมและจัดการปริมาณการใช้งานของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เส้นทางและรูปแบบของสายเคเบิล

สายเคเบิลจะมีเส้นทางในรูปแบบตัว “W” โดยเชื่อมต่อจากชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ผ่านแอฟริกาใต้ถึงอินเดีย และต่อไปยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ผ่านออสเตรเลีย เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ทะเลแดง ช่องแคบมะละกา และทะเลจีนใต้

เหตุผลเบื้องหลังการลงทุนครั้งนี้

  1. การควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน: การเป็นเจ้าของสายเคเบิลโดยสมบูรณ์ช่วยให้ Meta ลดการพึ่งพาผู้ให้บริการโทรคมนาคมแบบดั้งเดิม และมั่นใจได้ว่าการส่งมอบข้อมูล เช่น เนื้อหาโฆษณาและวิดีโอ จะมีคุณภาพสูงสุด
  2. ความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์: การออกแบบเส้นทางหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง ลดโอกาสที่สายเคเบิลจะได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
  3. โอกาสในการพัฒนา AI: อินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเชื่อมต่อของสายเคเบิล มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการฝึก AI ระดับโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าในสหรัฐฯ

ความท้าทายและแผนในอนาคต

แม้ว่าโครงการจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และอาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะแล้วเสร็จ แต่ Meta มองว่านี่คือการลงทุนระยะยาวเพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ AI บริษัทคาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในปี 2025

บทบาทของอินเดียในแผนการของ Meta

อินเดียเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Meta ด้วยจำนวนผู้ใช้ Facebook มากกว่า 375 ล้านคน Instagram 363 ล้านคน และ WhatsApp 536 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอินเดียต่อกลยุทธ์การเติบโตของ Meta

บทสรุป

การสร้างสายเคเบิลใต้ทะเลของ Meta เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลก สายเคเบิลนี้จะไม่เพียงช่วยปรับปรุงคุณภาพการสื่อสาร แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนานวัตกรรม AI และการสร้างความเชื่อมโยงในตลาดใหม่ๆ อย่างอินเดีย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : techcrunch

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

วิกฤตแรงงานฝีมือสหรัฐฯ สร้างโอกาสใหม่ Gen Z และกลุ่มแรงงานฝีมือ

สหรัฐฯ เผชิญวิกฤตแรงงานฝีมือ ขาดแคลนหนัก กลุ่มอาชีพรายได้สูงเริ่มเป็นที่สนใจ

รายงานเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567
ผลการวิจัยล่าสุดจาก McKinsey & Co. เผยว่าสหรัฐฯ กำลังประสบกับวิกฤตการขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมืออย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ได้เน้นการศึกษาระดับปริญญาตรี เนื่องจากแรงงานรุ่นเก่าเริ่มเข้าสู่วัยเกษียณ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งชายและหญิงมีแนวโน้มเลือกอาชีพสายแรงงานลดลง เช่น งานก่อสร้าง การประปา และการขนส่ง วิกฤตนี้รุนแรงขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและอัตราค่าจ้างแรงงานที่มีทักษะสูง ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 20%

ความต้องการแรงงานเพิ่มสูง

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2032 จะมีตำแหน่งงานใหม่ในตลาดแรงงานกว่า 1.5 ล้านตำแหน่ง โดย 35% ของงานที่เติบโตเร็วที่สุดอยู่ในสายแรงงานที่เน้นทักษะ ไม่เน้นวุฒิปริญญาตรี Nathan Soto ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพจาก Resume Genius ระบุว่า “คนรุ่นใหม่มองหางานที่รายได้ดีโดยไม่ต้องมีปริญญา” ส่งผลให้สายงานด้านการผลิต การบิน และพลังงาน กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยม

5 อาชีพรายได้สูงที่ตลาดต้องการ

มีการเปิดเผย 5 สาขาอาชีพที่ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ต้องการสูง โดยบางอาชีพไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิปริญญาตรี แต่สามารถมีรายได้สูงถึง 100,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ได้แก่:

  1. ช่างเทคนิคลิฟต์และบันไดเลื่อน

    • ดูแลและซ่อมแซมอุปกรณ์ลิฟต์และบันไดเลื่อน
    • วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายและใบอนุญาต
    • รายได้เฉลี่ย 102,420 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี)
  2. พนักงานโรงไฟฟ้า

    • ควบคุมหม้อไอน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
    • วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายและใบอนุญาต
    • รายได้เฉลี่ย 100,890 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.4 ล้านบาทต่อปี)
  3. พนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ

    • ควบคุมการจราจรเครื่องบินทั้งบนอากาศและพื้นดิน
    • ต้องมีวุฒิปริญญาตรีหรือใบรับรอง AT-CTI และผ่านการฝึกอบรม FAA
    • รายได้เฉลี่ย 137,380 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.7 ล้านบาทต่อปี)
  4. ช่างเทคนิคนิวเคลียร์

    • ทำงานร่วมกับนักฟิสิกส์และวิศวกรเพื่อผลิตพลังงานนิวเคลียร์
    • วุฒิการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์และฝึกงาน
    • รายได้เฉลี่ย 101,740 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี)
  5. ผู้บังคับบัญชาแนวหน้าตำรวจและนักสืบ

    • จัดการงานและประสานงานสืบสวน
    • ต้องมีประสบการณ์ด้านตำรวจหรือการสืบสวน
    • รายได้เฉลี่ย 101,750 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี)

แรงงาน Gen Z ปรับตัว

กลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มหันมามองอาชีพที่ให้รายได้สูงโดยไม่เน้นปริญญาตรีมากขึ้น สายงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต พลังงาน และการบิน ถูกมองว่าให้ผลตอบแทนคุ้มค่าเทียบเท่ากับงานออฟฟิศ โดย Nathan Soto เสริมว่า “การพัฒนาทักษะและการปรับตัวของแรงงานในสายอาชีพเหล่านี้ ถือเป็นอนาคตของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ต้องการแรงงานคุณภาพสูง”

วิกฤตแรงงานฝีมือในสหรัฐฯ ไม่เพียงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน แต่ยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่กลุ่ม Gen Z จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : McKinsey & Co.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ออสเตรเลียแบนโซเชียลเด็กต่ำกว่า 16 ควบคุมด้วยค่าปรับมหาศาล”

รัฐบาลออสเตรเลียเสนอกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี พร้อมค่าปรับสูงถึง 49.5 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าวต่างประเทศ Reuters รายงานว่า รัฐบาลฝ่ายซ้ายกลางของออสเตรเลียได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ต่อรัฐสภา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจำกัดการใช้งานโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี โดยมีบทลงโทษสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ละเมิดกฎหมาย ด้วยค่าปรับสูงสุดถึง 49.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท

แผนการยืนยันอายุที่เข้มงวดที่สุด

รัฐบาลออสเตรเลียมีแผนทดลองใช้ ระบบยืนยันอายุ ที่อาจรวมถึงการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ เช่น การสแกนนิ้ว หรือ การยืนยันด้วยข้อมูลจากรัฐบาล เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์สามารถเข้าถึงโซเชียลมีเดียได้ ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการควบคุมการใช้งานโซเชียลมีเดียที่เข้มงวดที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ที่สำคัญ กฎหมายดังกล่าวกำหนดเกณฑ์อายุไว้ที่ 16 ปี โดยไม่มีข้อยกเว้นสำหรับเยาวชนที่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองหรือเยาวชนที่มีบัญชีใช้งานอยู่ก่อนแล้ว

ส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มหลัก

มาตรการใหม่นี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น อินสตาแกรม (Instagram) และ เฟซบุ๊ก (Facebook) ของบริษัทเมตา (Meta) รวมถึง ติ๊กต็อก (TikTok) ของไบต์แดนซ์ (ByteDance), X ของอีลอน มัสก์ และ สแนปแชท (Snapchat) โดยกฎหมายจะกำหนดให้แพลตฟอร์มเหล่านี้ต้องมีมาตรการยืนยันอายุและป้องกันการเข้าถึงของเด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี

ผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัย

นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี กล่าวว่า การใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเยาวชน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่อาจได้รับผลกระทบจากเนื้อหาเกี่ยวกับรูปร่างและความงามที่เป็นอันตราย และเด็กผู้ชายที่อาจเผชิญกับเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังต่อเพศหญิง

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียืนยันว่า เด็ก ๆ ยังคงสามารถใช้งานแอปพลิเคชันส่งข้อความ เกมออนไลน์ และบริการเพื่อการศึกษา เช่น Headspace, Google Classroom และ YouTube ได้ตามปกติ

กฎหมายที่ยุติธรรมและปกป้องความเป็นส่วนตัว

รัฐบาลเน้นย้ำว่ากฎหมายนี้ไม่ได้มุ่งลงโทษเด็กหรือผู้ปกครอง แต่เป็นการกำหนดมาตรฐานสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อให้มีมาตรการยืนยันอายุที่เหมาะสม พร้อมทั้งกำหนดข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มงวด เช่น การกำหนดให้แพลตฟอร์มทำลายข้อมูลที่รวบรวมไว้เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้

เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

การเสนอกฎหมายของออสเตรเลียครั้งนี้ถือว่าเข้มงวดที่สุดในโลก โดยกำหนดอายุขั้นต่ำที่ 16 ปี ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศส ที่เคยเสนอจำกัดอายุการใช้งานโซเชียลมีเดียไว้ที่ 15 ปีเมื่อปีที่ผ่านมา และ สหรัฐอเมริกา ที่มีการขอความยินยอมจากผู้ปกครองสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีมานานหลายทศวรรษ

เสียงสะท้อนและความร่วมมือจากฝ่ายต่าง ๆ

พรรคฝ่ายค้านในออสเตรเลียสนับสนุนร่างกฎหมายนี้อย่างเต็มที่ ในขณะที่พรรคกรีนและกลุ่มอิสระเรียกร้องให้รัฐบาลให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของกฎหมาย

ในส่วนของผู้ประกอบการ นาย นีล ฟาร์มิโล เจ้าของร้านอาหาร Kiwi Kitchen ในเมืองวังเวียง ประเทศลาว ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม กล่าวว่า แม้การใช้มาตรการเหล่านี้อาจสร้างความกังวลในช่วงแรก แต่เขาหวังว่าจะช่วยปกป้องเยาวชนในระยะยาว

สรุป

การเสนอกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีของออสเตรเลียเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องเยาวชนจากผลกระทบด้านลบของการใช้งานโซเชียลมีเดีย แม้จะมีความท้าทายในการดำเนินการ แต่เป้าหมายของรัฐบาลคือการสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางจิตใจสำหรับเด็กและเยาวชนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

สองสาวออสซี่เสียชีวิต เหตุดื่มแอลกอฮอล์ปนเปื้อนเมทานอลในลาว

สองนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเสียชีวิตจากพิษเมทานอลในลาว เหตุการณ์กระทบท่องเที่ยววังเวียง

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าว KTSM-9 TV ในรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา รายงานว่าเหตุการณ์การเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวจากพิษเมทานอลที่วังเวียง ประเทศลาว ยังคงสร้างความเสียใจให้แก่ครอบครัวและชุมชนชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด มีรายงานว่านางสาวฮอลลี่ โบว์ลส์ วัย 19 ปี นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย ที่ป่วยหนักหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ปนเปื้อนเมทานอล เสียชีวิตในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้เพิ่มขึ้นเป็น 6 ราย

การเสียชีวิตของโบว์ลส์

ครอบครัวของโบว์ลส์ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจและระบุว่า “เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการสูญเสียของฮอลลี่ ผู้ที่นำความสุขมาสู่ทุกคนที่ได้รู้จักเธอ” โบว์ลส์ป่วยหนักและต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 หลังจากออกไปดื่มกับเพื่อนร่วมกลุ่มที่ “Nana Backpacker Hostel” และกลับมาในสภาพอาการแย่

รายละเอียดเหตุการณ์

สำนักงานตำรวจท่องเที่ยววังเวียงรายงานว่าได้มีการควบคุมตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายราย รวมถึงผู้จัดการและเจ้าของโฮสเทล แต่ยังไม่มีการตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการ ในขณะที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาได้ออกคำเตือนสุขภาพถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนเมทานอลในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ โดยระบุว่าอาจเกิดจากการเติมเมทานอลเป็นสารแทนเอทานอลในบาร์บางแห่ง หรือจากกระบวนการกลั่นแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้มาตรฐาน

เหยื่อจากหลายประเทศ

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากหลายประเทศ ได้แก่ นักท่องเที่ยวออสเตรเลีย 2 ราย คือ นางสาวฮอลลี่ โบว์ลส์ และนางสาวเบียนกา โจนส์ ผู้เสียชีวิตก่อนหน้าในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ รวมถึงผู้เสียชีวิตจากอังกฤษ อเมริกา เดนมาร์ก และผู้ป่วยอีกหลายรายที่คาดว่าได้รับผลกระทบจากพิษเมทานอล

ผลกระทบต่อการท่องเที่ยววังเวียง

วังเวียง เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องกิจกรรมผจญภัยและสถานบันเทิงสำหรับนักท่องเที่ยวแบกเป้ กลายเป็นจุดสนใจในทางลบจากเหตุการณ์นี้ ผู้ประกอบการในพื้นที่ต่างแสดงความกังวลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชื่อเสียงของเมือง “มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้า ผมเชื่อว่าไม่มีใครตั้งใจให้เกิดเรื่องนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว” นีล ฟาร์มิลอย เจ้าของร้านอาหาร Kiwi Kitchen ในวังเวียงกล่าว

มาตรการป้องกัน

เหตุการณ์นี้ทำให้มีการเรียกร้องให้หน่วยงานท้องถิ่นเพิ่มมาตรการควบคุมคุณภาพของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับอันตรายจากเมทานอล นอกจากนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณให้กับนักท่องเที่ยวว่าควรระมัดระวังในการเลือกบริโภคเครื่องดื่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีการควบคุมมาตรฐานที่ชัดเจน

คำเตือนและบทเรียน

พิษเมทานอลเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นได้จากการใช้สารทดแทนราคาถูกในกระบวนการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะสมองบวม ตาบอด และเสียชีวิต การเสียชีวิตของโบว์ลส์และโจนส์เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสี่ยงที่แฝงอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม

นักท่องเที่ยวจากทุกประเทศที่วางแผนเดินทางไปยังลาวควรปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัย และตรวจสอบแหล่งที่มาของเครื่องดื่มอย่างถี่ถ้วน เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าเช่นนี้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ktsm

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

“แพทองธาร” หารือ “สี จิ้นผิง” ขยายตลาดสินค้าไทย

“แพทองธาร” หารือ “สี จิ้นผิง” ที่เอเปค สานสัมพันธ์ไทย-จีน พร้อมเปิดตลาดสินค้าและแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี

เมื่อวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ได้พบหารือทวิภาคีกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 ณ โรงแรม Delfines Hotel Lima กรุงลิมา ประเทศเปรู การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดสำคัญในการสานต่อความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและจีน โดยเฉพาะในโอกาสครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ

จีนสนับสนุนไทยในเวทีระดับโลก เปิดรับสินค้าจากไทยเพิ่ม

ในที่ประชุม ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ยืนยันว่าจะสนับสนุนไทยในเวทีระดับโลกทุกมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยจีนพร้อมเปิดรับสินค้าจากไทยมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยให้เติบโต นอกจากนี้ยังยืนยันการสนับสนุนให้ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก

แลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาและเทคโนโลยี

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กล่าวชื่นชมจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะ เทคโนโลยีการผลิตคุณภาพใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และ พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการค้าเสรีและการพัฒนาที่ยั่งยืน ไทยพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับจีนในด้าน การแก้ปัญหาความยากจน เทคโนโลยีอวกาศ และการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ

เตรียมเปิดฉากปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน

นางสาวแพทองธารยังได้เชิญ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และภริยาเข้าร่วมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี ไทย-จีน ในปี 2568 ที่จะถือเป็น ปีทองแห่งมิตรภาพ ระหว่างสองประเทศ โดยในโอกาสนี้ จีนได้เตรียมอัญเชิญ พระเขี้ยวแก้ว จากกรุงปักกิ่งมาประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงในวันที่ 4 ธันวาคม เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคล

จีนมอบแพนด้ายักษ์เป็นสัญลักษณ์มิตรภาพ

อีกหนึ่งข่าวดีสำหรับประชาชนชาวไทยคือ จีนจะส่งแพนด้ายักษ์มาประเทศไทยในปีหน้า เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างสองประเทศ ซึ่งจะสร้างความตื่นเต้นและความสุขให้กับคนไทย รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ

ร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด

จีนยังพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยใน การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล การศึกษา และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการเชื่อมโยงระหว่างประชาชน นอกจากนี้ยังมีการหารือเรื่องการขยายความร่วมมือด้าน พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

การประชุมเพื่อความร่วมมือในอนาคต

ในการประชุมครั้งนี้ ทั้งสองประเทศยังได้หารือเกี่ยวกับการร่วมมือในกรอบความร่วมมือ เอเชีย (ACD) และ แม่โขง-ล้านช้าง (MLC) ที่จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค นอกจากนี้ยังมีการเตรียมการสำหรับการประชุมสุดยอด BRICS ที่จีนจะเป็นเจ้าภาพในปี 2569

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายอะไร?
    การประชุมครั้งนี้มุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนในด้านเศรษฐกิจ การค้า และเทคโนโลยี

  2. จีนสนับสนุนไทยในด้านใดบ้าง?
    จีนยืนยันการสนับสนุนไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก BRICS และเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากไทย

  3. การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีนจะมีอะไรบ้าง?
    จีนจะส่งแพนด้ายักษ์มายังไทยและอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานที่ท้องสนามหลวง

  4. ไทยจะร่วมมือกับจีนในด้านใด?
    ไทยพร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านการแก้ปัญหาความยากจน เทคโนโลยีอุตสาหกรรม และพลังงานสะอาด

  5. ปี 2568 จะมีการฉลองอะไรบ้าง?
    ปี 2568 จะเป็นปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน ฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News