Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

Pet Parent เทรนด์ใหม่หนุนธุรกิจสัตว์เลี้ยงโตอย่างก้าวกระโดด

ธุรกิจสัตว์เลี้ยงบูม! เทรนด์ Pet Parent หนุนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด รายงานการวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือ DXT360 ในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม – 25 พฤศจิกายน 2567 เผยให้เห็นแนวโน้มธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่กำลังเติบโต โดยข้อมูลที่รวบรวมจากสังคมออนไลน์ (Social Media) พบว่า การพูดถึงเกี่ยวกับธุรกิจสัตว์เลี้ยง (Mention) มีจำนวนสูงถึง 185,126 ครั้ง และได้รับเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) รวม 33,419,814 ครั้ง ซึ่งสะท้อนกระแสการเลี้ยงสัตว์ในฐานะสมาชิกครอบครัว หรือ Pet Parent ที่กำลังมาแรง

ธุรกิจสัตว์เลี้ยงโตแรง! อาหารและโรงพยาบาลสัตว์ขึ้นนำ

จากข้อมูลพบว่าหมวดหมู่ธุรกิจที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ ธุรกิจอาหารและขนมสัตว์เลี้ยง คิดเป็น 49% ของการพูดถึงทั้งหมด รองลงมาคือ ธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ (36%) และ ธุรกิจดูแลสุขภาพสัตว์ (7%) ตามด้วย ธุรกิจอุปกรณ์เสริมสำหรับสัตว์เลี้ยง (5%) และ ธุรกิจฟาร์มสัตว์เลี้ยง (2%) ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้เลี้ยงสัตว์ในยุคปัจจุบันยอมลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของสัตว์เลี้ยง โดยเริ่มมีธุรกิจใหม่ๆ อย่าง Puppy Yoga ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนรักสัตว์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผสานไลฟ์สไตล์กับสัตว์เลี้ยงได้อย่างลงตัว

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจสัตว์เลี้ยง

การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในยุคนี้ไม่ได้เป็นเพียงความชื่นชอบ แต่ยังเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยพบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสัตว์เลี้ยงเติบโต ได้แก่

  1. การเพิ่มขึ้นของครอบครัวเดี่ยวและคนโสด ส่งผลให้ผู้คนมองหาสัตว์เลี้ยงมาเติมเต็มชีวิต
  2. ความนิยมเลี้ยงสัตว์เพื่อลดความเครียดและคลายเหงา โดยพบว่าผู้เลี้ยงสัตว์ 59% ต้องการเพิ่มสมาชิกในครอบครัว และ 34% เลี้ยงเพื่อคลายเหงา
  3. ความต้องการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจน โดย 44% ของผู้เลี้ยงมองว่าการเลี้ยงสัตว์ช่วยควบคุมงบประมาณได้ง่าย

สัตว์เลี้ยงยอดนิยม: แมว ครองใจคนเมือง

ข้อมูลจาก Social Listening แสดงให้เห็นว่าสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ แมว โดยมีการพูดถึงถึง 44% สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์คนเมืองที่มักอาศัยในพื้นที่จำกัด เช่น คอนโด รองลงมาคือ หมา (38%) และ สัตว์เลี้ยงแปลก (Exotic) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น (18%) การเลี้ยงสัตว์ประเภทนี้สะท้อนถึงความสนใจในความแตกต่างและการสร้างไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์

อนาคตธุรกิจสัตว์เลี้ยง: เทคโนโลยีหนุนการเติบโต

กระแส Pet Parent กำลังขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจสัตว์เลี้ยงไปสู่ยุคใหม่ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ เช่น การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมสัตว์เลี้ยง หรือบริการสัตวแพทย์ออนไลน์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกและยกระดับการดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อมูลทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมและวิเคราะห์โดย DXT360 ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเทรนด์ธุรกิจสัตว์เลี้ยงยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต พร้อมกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
NEWS UPDATE

นายกฯ มอบนโยบายแก้ PM2.5 ยั่งยืน เน้นลดไฟป่าภาคเหนือ

นายกฯ ลงพื้นที่แม่ริมถกแผนป้องกันไฟป่า-ฝุ่น PM 2.5 เน้นมาตรการยั่งยืน

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางไปยังกองพลทหารราบที่ 7 อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สำหรับปี 2568 โดยมีนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงผู้แทนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้ว่าราชการจาก 17 จังหวัดภาคเหนือเข้าร่วม

สรุปสถานการณ์ปี 2567

ในที่ประชุม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่รายงานสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคมถึงพฤษภาคมของทุกปี โดยเฉพาะในปี 2567 พบว่ามีการลดลงของจุดความร้อน (Hotspots) พื้นที่เผาไหม้ และจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ที่เข้ารับการรักษา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 ความสำเร็จนี้เกิดจากการดำเนินงานเชิงรุกและการใช้หลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” โดยมีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานในทุกระดับ

นายกฯ เน้นย้ำมาตรการแก้ไขปัญหา

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ระบุว่าการแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย พร้อมมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พัฒนาแนวทางการแปรรูปวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดการเผาและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องจัดทำพื้นที่เฝ้าระวังให้ชัดเจน

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงปัจจัยจากต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศติดตามสถานการณ์และประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกำชับให้ดูแลสุขภาพของประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน

ตรวจความพร้อมและมอบกำลังใจ

หลังการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ตรวจแถวกำลังพลและความพร้อมของอุปกรณ์ป้องกันไฟป่า พร้อมมอบสิ่งของช่วยเหลือและกล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ โดยเน้นย้ำให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง และประสานการทำงานระหว่างหน่วยงานอย่างใกล้ชิด พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะสนับสนุนการทำงานของทุกฝ่ายอย่างเต็มที่

นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ต้องวางรากฐานเพื่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาจะเป็นต้นแบบในการสร้างมาตรการที่มีประสิทธิภาพต่อไป

มาตรการระยะยาวและเป้าหมายปี 2568

สำหรับปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อนและค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือให้ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเน้นการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน และการสนับสนุนเทคโนโลยีที่ช่วยลดการเผา พร้อมจัดตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจสำหรับรับมือสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SPORT

รุด ฟาน นิสเตลรอย เปิดตัวคุมเลสเตอร์ ซิตี้ หวังนำทีมสู่ความสำเร็จ

รุด ฟาน นิสเตลรอย เปิดตัวผู้จัดการทีมคนใหม่ เลสเตอร์ ซิตี้

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ประกาศแต่งตั้ง รุด ฟาน นิสเตลรอย อดีตกองหน้าระดับตำนานชาวดัตช์วัย 48 ปี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับสโมสรถึงเดือนมิถุนายน 2027 การแต่งตั้งครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นให้แฟนบอลทั่วโลก โดยเฉพาะแฟน “จิ้งจอกสยาม” ที่ตั้งตารอผลงานจากกุนซือมากประสบการณ์

ประวัติและประสบการณ์ของฟาน นิสเตลรอย

รุด ฟาน นิสเตลรอย เคยสร้างชื่อเสียงในฐานะนักเตะระดับโลก โดยลงเล่นให้กับสโมสรดังอย่าง พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เรอัล มาดริด เขาทำประตูในระดับสโมสรได้ถึง 349 ประตู และทำได้ 35 ประตูจากการลงเล่นให้ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ 70 นัด ด้วยสัญชาตญาณกองหน้าอันเฉียบคม ทักษะที่ยอดเยี่ยม และความเป็นผู้นำในสนาม ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

ในฐานะโค้ช ฟาน นิสเตลรอยเคยสร้างผลงานโดดเด่นกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น โดยพาทีมคว้าแชมป์ KNVB Cup และ โยฮัน ครัฟฟ์ ชิลด์ รวมถึงประสบการณ์จากการเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในยุคของ กุส ฮิดดิ้งค์ และ โรนัลด์ คูมัน นอกจากนี้ เขายังเคยทำงานร่วมกับผู้จัดการทีมระดับตำนานอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน และ ฟาบิโอ คาเปลโล่

วิสัยทัศน์และความพร้อมสำหรับบทบาทใหม่

รุด ฟาน นิสเตลรอย กล่าวผ่านเว็บไซต์สโมสรว่า “ผมภูมิใจและตื่นเต้นมากที่ได้มาร่วมงานกับเลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรที่มีประวัติศาสตร์ที่น่าประทับใจ รวมถึงแฟนบอลที่ยอดเยี่ยม ผมตั้งใจที่จะทุ่มเททุกสิ่งเพื่อช่วยพัฒนาทีม และผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับทุกคนในสโมสรเพื่อสร้างความสำเร็จร่วมกัน”

ด้าน คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ กล่าวว่า “รุด ฟาน นิสเตลรอย มีประสบการณ์และความมุ่งมั่นที่เรามองหา เราเชื่อมั่นว่าเขาจะนำทีมไปสู่ความสำเร็จ และเราพร้อมสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่”

เตรียมคุมทัพนัดแรก

รุด ฟาน นิสเตลรอย จะเข้าชมเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่เลสเตอร์ ซิตี้ บุกเยือนเบรนท์ฟอร์ดในวันเสาร์นี้ ก่อนจะประเดิมคุมทีมอย่างเป็นทางการในเกมที่สนาม คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม พบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในคืนวันอังคารที่ 5 ธันวาคม เวลา 03:15 น.

จุดเริ่มต้นใหม่ของเลสเตอร์ ซิตี้

การแต่งตั้ง รุด ฟาน นิสเตลรอย เป็นกุนซือคนใหม่ ถือเป็นการเริ่มต้นบทใหม่ของเลสเตอร์ ซิตี้ หลังจากเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในฤดูกาลที่ผ่านมา ความสามารถและประสบการณ์ที่หลากหลายของเขาจะเป็นปัจจัยสำคัญในการนำทีมไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

แฟนบอล “จิ้งจอกสยาม” ต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อที่จะได้เห็นแผนการเล่นและผลงานของผู้จัดการทีมคนใหม่คนนี้ ซึ่งจะเข้ามาเสริมสร้างความมั่นคงและพัฒนาทีมให้ก้าวหน้าต่อไปในศึกพรีเมียร์ลีกและรายการอื่น ๆ

ติดตามเกมนัดแรกของเขาได้ในคืนวันอังคารนี้ ที่สนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Leicester City Football Club

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กระทรวงพลังงาน-กฟผ. ส่งพลังงานสะอาด ฟื้นฟูเวียงป่าเป้า หลังน้ำท่วม

กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. ลงพื้นที่เวียงป่าเป้า มอบความช่วยเหลือหลังอุทกภัย พร้อมส่งต่อพลังงานสะอาดสู่ชุมชน

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงพลังงาน นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยทีมงานจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และจิตอาสา ลงพื้นที่ บ้านห้วยหินลาดใน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย พร้อมมอบสิ่งของช่วยเหลือและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตน้ำท่วมเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ช่วยเหลือชุมชนด้วยโครงการพลังงานสะอาด

ในกิจกรรมครั้งนี้ กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ได้ส่งมอบ เตามหาเศรษฐี (แบบปากยื่น) จำนวน 40 ชุด เพื่อใช้ในครัวเรือน พร้อมทั้งติดตั้ง ระบบโซล่าเซลล์ (Solar Cell) ขนาด 7.84 กิโลวัตต์ พร้อมแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานสำหรับใช้งานในพื้นที่โรงเรียนบ้านห้วยหินลาดใน รวมถึง โคมไฟถนน LED พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Street Light) จำนวน 17 ชุด ที่ติดตั้งบริเวณทางเข้าโรงเรียน เพื่อให้ประชาชนและนักเรียนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีไฟฟ้าใช้อย่างยั่งยืน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าวในระหว่างกิจกรรมว่า “การฟื้นฟูพื้นที่ครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเยียวยาผลกระทบจากน้ำท่วม แต่ยังเน้นการส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ระบบไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง การติดตั้งโซล่าเซลล์และโคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน”

อาคารเรียนชั่วคราวเพื่อการศึกษาต่อเนื่อง

นอกจากการช่วยเหลือในด้านพลังงาน กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ยังได้ร่วมมือกับ มูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้าง อาคารเรียนชั่วคราว เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถกลับมาเรียนได้ตามปกติ โดยอาคารดังกล่าวได้รับการออกแบบให้ใช้งานร่วมกับระบบโซล่าเซลล์ ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานในระยะยาว

การฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลด

หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ได้เร่งดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยในหลายด้าน เช่น:

  • กำจัดโคลน และเศษขยะในพื้นที่อยู่อาศัยและเส้นทางสัญจร
  • ซ่อมแซมระบบไฟฟ้าและแสงสว่างในพื้นที่ชุมชน
  • ส่งมอบถุงยังชีพ รวมกว่า 15,000 ชุด ซึ่งประกอบด้วยสิ่งของจำเป็น เช่น เตาปิกนิก 1,500 ชุด แก๊สกระป๋อง 3,000 แพ็ค อุปกรณ์จานชาม 1,500 ชุด และชุดไฟนอนนาโซล่าเซลล์ 200 ชุด

นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. กล่าวว่า “กฟผ. พร้อมสนับสนุนทรัพยากรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อช่วยเหลือชุมชนให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติและปลอดภัยที่สุด นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการนำพลังงานสะอาดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูชุมชนหลังวิกฤต”

ร่วมส่งต่อกำลังใจสู่ชุมชน

การลงพื้นที่ในครั้งนี้มีผู้แทนจากหลายภาคส่วนร่วมกันส่งมอบความช่วยเหลือ อาทิ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, ดร.กมล ตรรกบุตร ประธานมูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา, นายวิภู พิวัฒน์ รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า กฟผ., และจิตอาสาจากกระทรวงพลังงานและ กฟผ.

พลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืนในชุมชนชนบท

กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการช่วยเหลือและฟื้นฟูชุมชนที่ประสบภัยพิบัติ โดยไม่เพียงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสร้างความยั่งยืนในระยะยาวผ่านการใช้พลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ยังยืนยันว่าการช่วยเหลือประชาชนจะดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกครัวเรือนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

นักวิจัยญี่ปุ่นพัฒนาพลาสติกย่อยสลายในทะเล ลดมลพิษไมโครพลาสติก

นักวิจัยญี่ปุ่นพัฒนาพลาสติกย่อยสลายได้ในทะเล ลดปัญหาขยะไมโครพลาสติก

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 คณะนักวิจัยที่นำโดย ทาคุโซะ ไอด้า จากศูนย์วิทยาศาสตร์สสารใหม่เกิดขึ้น (CEMS) ภายใต้สถาบันวิจัยริเค็น ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาพลาสติกชนิดใหม่ที่แข็งแรงทนทานและสามารถย่อยสลายได้ในน้ำทะเล ซึ่งเป็นการค้นพบที่อาจช่วยลดปัญหามลพิษจากไมโครพลาสติกในมหาสมุทร รายงานผลการทดลองนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Science เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ปัญหาไมโครพลาสติกและการพัฒนาวัสดุทางเลือก

ไมโครพลาสติกเป็นพลาสติกขนาดเล็กกว่า 5 มม. ที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของพลาสติกทั่วไปและไม่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ พลาสติกเหล่านี้เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศทางทะเลและอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์

แม้ว่าพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ เช่น พลาสติก PLA จะมีอยู่แล้ว แต่ปัญหาหลักคือเมื่อพลาสติกดังกล่าวหลุดรอดไปในทะเล มันไม่สามารถย่อยสลายได้ในน้ำ เนื่องจากไม่ละลายน้ำ ทำให้เกิดปัญหาไมโครพลาสติกสะสมในธรรมชาติ

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ทีมวิจัยจึงพัฒนาพลาสติกซูปราโมเลกุล (Supramolecular Plastics) ซึ่งมีโครงสร้างที่ยึดติดกันด้วยพันธะเคมีแบบย้อนกลับได้ (Reversible Interactions) โดยใช้โมโนเมอร์ไอออนิก 2 ชนิด ได้แก่ โซเดียมเฮกซะเมตาฟอสเฟต ซึ่งเป็นวัตถุเจือปนอาหาร และโมโนเมอร์กวานิดิเนียมไอออนที่สามารถย่อยสลายได้ด้วยแบคทีเรีย

ขั้นตอนการพัฒนาและคุณสมบัติพิเศษ

นักวิจัยค้นพบว่า การเชื่อมโยงโครงสร้างพลาสติกผ่าน “สะพานเกลือ” (Salt Bridges) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับพลาสติก แม้ว่าสะพานเกลือดังกล่าวจะคงตัวในสภาพปกติ แต่เมื่อสัมผัสกับอิเล็กโทรไลต์ในน้ำทะเล โครงสร้างของพลาสติกจะอ่อนตัวลงและเริ่มย่อยสลาย

การทดสอบในเบื้องต้นพบว่า เมื่อพลาสติกชนิดใหม่นี้สัมผัสกับน้ำทะเล จะย่อยสลายอย่างสมบูรณ์ในไม่กี่ชั่วโมง และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย โดยนักวิจัยสามารถนำโซเดียมเฮกซะเมตาฟอสเฟตกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 91% และกวานิดิเนียมได้ 82% นอกจากนี้ ในการทดสอบในดิน แผ่นพลาสติกสามารถย่อยสลายได้ภายใน 10 วัน และยังช่วยเติมฟอสฟอรัสและไนโตรเจนให้กับดินคล้ายกับปุ๋ยธรรมชาติ

การใช้งานและอนาคตของพลาสติกชนิดใหม่

พลาสติกซูปราโมเลกุลชนิดใหม่นี้มีความแข็งแรงและปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดพิษ รวมถึงสามารถหลอมและขึ้นรูปได้ที่อุณหภูมิ 120°C นอกจากนี้ นักวิจัยยังสามารถปรับแต่งคุณสมบัติของพลาสติกให้เหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น พลาสติกแข็งทนต่อรอยขีดข่วน พลาสติกที่ยืดหยุ่นคล้ายซิลิโคน หรือพลาสติกที่รับน้ำหนักได้มาก

พลาสติกเหล่านี้ยังเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรม 3D Printing และการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ เนื่องจากสามารถย่อยสลายในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ เช่น น้ำทะเล

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ความสำเร็จของพลาสติกชนิดใหม่นี้อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมพลาสติกทั่วโลก โดยช่วยลดมลพิษจากไมโครพลาสติกและสนับสนุนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติในการลดขยะพลาสติกและปกป้องระบบนิเวศทางทะเล

ทาคุโซะ ไอด้า กล่าวว่า “เราสร้างพลาสติกชนิดใหม่ที่แข็งแรง เสถียร รีไซเคิลได้ และไม่ก่อให้เกิดไมโครพลาสติก ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในความพยายามแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก”

พลาสติกชนิดใหม่นี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ในด้านนวัตกรรมวัสดุที่สามารถใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมได้อีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : riken

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

CPCRT มอบทุนการศึกษา หนุนโอกาสเด็กเชียงราย ปีที่ 18

เครือเจริญโภคภัณฑ์มอบโอกาสการศึกษาในโครงการ “น้ำใจนี้จากพี่สู่น้อง” ปีที่ 18

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ธุรกิจ CPCRT เครือเจริญโภคภัณฑ์ ดำเนินโครงการ “น้ำใจนี้จากพี่สู่น้อง” ปีที่ 18 เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับเด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ณ โรงเรียนบ้านห้วยสัก (ประชานุกูล) อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ในกิจกรรมครั้งนี้ คุณวุฒิชัย โวหารคล่อง ผู้จัดการทั่วไปศูนย์ฟาร์มโปรเชียงราย ธุรกิจพืชครบวงจร เป็นตัวแทนมอบทุนการศึกษา 10 ทุนให้แก่นักเรียนที่มีความประพฤติดีและมีจิตอาสา พร้อมทั้งพนักงานจิตอาสา CSR SPIRIT จากศูนย์ฟาร์มโปรเชียงราย ธุรกิจพืชครบวงจร ข้าวขนส่ง และบริการ ร่วมสนับสนุนด้วยการมอบเมล็ดพันธุ์ผักสวนครัวเพื่อส่งเสริมโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียน สนับสนุนอุปกรณ์กีฬาเพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ออกกำลังกายและพัฒนาทักษะด้านกีฬา

นอกจากนี้ คณะผู้บริหารและจิตอาสาได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษา เพื่อติดตามชีวิตความเป็นอยู่และมอบกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป โดยโครงการนี้ยังมุ่งเน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนรอบสถานประกอบการ

ในปี 2567 โครงการ “น้ำใจนี้จากพี่สู่น้อง” ดำเนินการมอบทุนการศึกษาในพื้นที่รอบสถานประกอบการ 23 แห่ง ใน 16 จังหวัด รวม 203 ทุน ซึ่งไม่เพียงแต่สนับสนุนการศึกษา แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้บริหารและพนักงานจิตอาสา พร้อมส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในชุมชน

การสร้างอนาคตผ่านการศึกษา

โครงการ “น้ำใจนี้จากพี่สู่น้อง” ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การมอบทุนการศึกษา แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมทักษะชีวิตของนักเรียน ด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น อุปกรณ์กีฬา เมล็ดพันธุ์ผักสวนครัว เพื่อสร้างผลผลิตเข้าสู่โครงการอาหารกลางวัน ช่วยให้นักเรียนได้รับสารอาหารที่เพียงพอและเสริมสร้างสุขภาพที่ดี

ความมุ่งมั่นของเครือเจริญโภคภัณฑ์

ตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา โครงการ “น้ำใจนี้จากพี่สู่น้อง” ได้สะท้อนถึงความตั้งใจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสการศึกษาที่เท่าเทียม โครงการนี้ยังเป็นพื้นที่สำหรับพนักงานจิตอาสาในการมีส่วนร่วมกับชุมชน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังคงเดินหน้าส่งมอบโอกาสและสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคม ผ่านการสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการพัฒนาชุมชนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 31 ล้านคน สร้างรายได้มหาศาล

กระทรวงการท่องเที่ยวเผย นักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 31 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.46 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เปิดเผยสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 24 พฤศจิกายน 2567 โดยพบว่าประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาแล้วทั้งสิ้น 31,313,787 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นมูลค่าประมาณ 1,466,408 ล้านบาท

นักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกที่เดินทางเข้าไทย

  1. จีน จำนวน 6,096,010 คน
  2. มาเลเซีย จำนวน 4,443,173 คน
  3. อินเดีย จำนวน 1,868,802 คน
  4. เกาหลีใต้ จำนวน 1,647,328 คน
  5. รัสเซีย จำนวน 1,455,398 คน

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short Haul) มีการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางสะสมมากกว่า 6 ล้านคน และชาวเกาหลีใต้ที่มีการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 14.28% จากสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล (Long Haul) มีการชะลอตัวด้านการเดินทาง ซึ่งถือเป็นแนวโน้มปกติช่วงก่อนฤดูท่องเที่ยวในเดือนธันวาคม

จำนวนนักท่องเที่ยวประจำสัปดาห์ (18-24 พฤศจิกายน 2567)

  • จำนวนนักท่องเที่ยวรวม: 749,306 คน
  • เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า: 1,362 คน หรือ 0.18%
  • ค่าเฉลี่ยต่อวัน: 107,044 คน

5 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยประจำสัปดาห์

  1. จีน: 122,020 คน (+7.18%)
  2. มาเลเซีย: 81,886 คน (ปรับลดลงเล็กน้อย)
  3. รัสเซีย: 50,071 คน (+3.37%)
  4. อินเดีย: 46,259 คน (+1.88%)
  5. เกาหลีใต้: 38,959 คน (+14.28%)

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว

  1. เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ของตลาดระยะไกล โดยเฉพาะภูมิภาคยุโรป
  2. เพิ่มจำนวนที่นั่งเข้าไทย (Seat Capacity) ซึ่งเพิ่มขึ้น 10% ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
  3. มาตรการ Ease of Traveling เช่น การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก
  4. การเพิ่มเที่ยวบิน โดยรัฐบาลได้กระตุ้นสายการบินให้เพิ่มจำนวนเที่ยวบิน

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม โดยเฉพาะกลุ่มตลาดยุโรปและตลาดระยะไกล เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว และมาตรการส่งเสริมการเดินทางที่เอื้อต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทย

การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในปี 2567 ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งในแง่ของรายได้จากนักท่องเที่ยวและการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ พัฒนาใหม่ มุ่งสร้างมาตรฐานระบบราง

ความคืบหน้าโครงการรถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เพิ่มมาตรฐานระบบระบายน้ำ ป้องกันภัยธรรมชาติ

กรมรางเผยโครงการรถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ คืบหน้ากว่า 20% พร้อมพัฒนาระบบระบายน้ำและมาตรการป้องกันภัยธรรมชาติในระบบราง

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 นายพิเชฐ คุณธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง อัปเดตความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญเชื่อมโยงภาคเหนือของไทยเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา และจีน โดยโครงการดังกล่าวแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา ครอบคลุมระยะทางรวม 323.1 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟทั้งหมด 26 สถานี และระบบทางวิ่งที่ครอบคลุมทั้งระดับพื้นดิน ทางยกระดับ และอุโมงค์คู่ทางเดี่ยว รวม 4 แห่ง ได้แก่ อุโมงค์สอง อุโมงค์งาว อุโมงค์แม่กา และอุโมงค์ดอยหลวง

การพัฒนาระบบระบายน้ำและมาตรการป้องกันภัยธรรมชาติ

โครงการนี้เผชิญกับความท้าทายจากปริมาณน้ำฝนที่สูงในเขตภาคเหนือของไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงสร้างระบบรางในบางพื้นที่ กรมการขนส่งทางรางจึงได้ดำเนินการศึกษามาตรฐานโครงสร้างระบบระบายน้ำและมาตรการลดความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม และทางทรุด โดยได้วิเคราะห์ตัวอย่างภัยพิบัติในระบบรางจากหลายประเทศ อาทิ สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และจีน พร้อมทั้งนำไปออกแบบระบบโครงสร้างป้องกัน เช่น ระบบระบายน้ำบริเวณอุโมงค์ ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า และมาตรฐานโครงสร้างเพื่อรองรับแผ่นดินไหว

นายพิเชฐกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการออกแบบมาตรฐานใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ โครงสร้างระบบระบายน้ำสำหรับพื้นที่เสี่ยงภัย มาตรฐานโครงสร้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติ (DRT Alert) เพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติ

จุดเด่นทางเทคนิคและนวัตกรรมใหม่ในโครงการ

หนึ่งในนวัตกรรมที่ใช้ในโครงการนี้คือการก่อสร้างทางลอดใต้ทางรถไฟแบบโค้ง (Railway Arch Culvert) ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยใช้คอนกรีตหล่อเสริมเหล็กแบบโค้งสำเร็จรูปจากโรงงาน ช่วยลดปริมาณวัสดุ ลดระยะเวลาการก่อสร้าง และเพิ่มความแข็งแรง สามารถรองรับแรงกดได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับแบบเดิม นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างลานกองเก็บตู้สินค้า (Container Yard) เพื่ออำนวยความสะดวกในการกระจายสินค้าไปยังพรมแดนลาว เมียนมา และจีน

การวางแผนแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติในอนาคต

กรมการขนส่งทางรางยังได้วางแผนแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยคัดเลือกพื้นที่เสี่ยง 10 จุดเพื่อนำมาปรับปรุงระบบระบายน้ำและโครงสร้างทางราง พร้อมจัดทำแผนการดำเนินงานแก้ไขในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถในอนาคต

ความสำคัญของโครงการและประโยชน์ต่อประเทศ

โครงการรถไฟเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ นอกจากจะช่วยพัฒนาระบบรางในประเทศแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงโครงข่ายขนส่งในภูมิภาคอาเซียน โดยรองรับทั้งการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้า อันจะส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่และสร้างโอกาสการค้าและการลงทุนในระดับสากล

นายพิเชฐย้ำว่า กรมการขนส่งทางรางให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยธรรมชาติและการบริหารจัดการโครงสร้างระบบราง เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบราง ซึ่งโครงการนี้จะช่วยยกระดับการขนส่งของประเทศไทยสู่มาตรฐานสากลในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายส่งมอบบ่อบาดาลแรกแก้ปัญหาน้ำ ต.วาวี สำเร็จ

อบจ.เชียงรายทำสำเร็จ! เจาะบ่อบาดาลแห่งแรก ต.วาวี อ.แม่สรวย พร้อมใช้จริง

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 เวลา 16.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย นายสรายุธ ฟูวงศ์ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อำเภอแม่สรวย เขต 1 และนายสมัคร กันจีนะ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อำเภอแม่สรวย เขต 2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดอยช้าง ดำเนินการส่งมอบบ่อบาดาลแห่งแรกในพื้นที่ดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย

บ่อบาดาลดังกล่าวมีความลึก 100 เมตร ใช้เครื่องจักรกลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายและองค์การบริหารส่วนตำบลวาวี เพื่อช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ หลังจากที่ชาวบ้านดอยช้างประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมาอย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จที่ไม่ง่าย

การขุดเจาะบ่อบาดาลในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าหน้าที่พบอุปสรรคระหว่างการดำเนินการ เช่น ความลึกของชั้นหินและลักษณะดินในพื้นที่ แต่ด้วยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจาก อบจ.เชียงราย และ อบต.วาวี ปัญหาทั้งหมดได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสามารถขุดเจาะบ่อบาดาลสำเร็จ ชาวบ้านในพื้นที่จะสามารถใช้น้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภคได้อย่างเพียงพอ

ชาวบ้านวาวีขอบคุณด้วยความยินดี

ในพิธีส่งมอบบ่อบาดาล นายศรชัย โฆษิตรัตนากร รองประธานสภา อบต.วาวี และนายทวีศักดิ์ อภิเดชกุล ผู้ใหญ่บ้านดอยช้างลีซู เป็นตัวแทนประชาชนรับมอบบ่อบาดาล พร้อมแสดงความยินดีและขอบคุณทีมงานจาก อบจ.เชียงรายที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค จนสามารถแก้ปัญหาใหญ่ที่ประชาชนเผชิญมายาวนาน

อนาคตของระบบน้ำในดอยช้าง

หลังจากการส่งมอบบ่อบาดาลนี้แล้ว จะมีการดำเนินการจัดทำระบบน้ำเพิ่มเติมเพื่อกระจายน้ำไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของตำบลวาวีให้ครอบคลุมมากที่สุด โดยจะมีการวางแผนเชื่อมโยงระบบน้ำประปาเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้อย่างยั่งยืน

นายก อบจ.เชียงรายชื่นชมความร่วมมือทุกฝ่าย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมมือกันจนบรรลุผลสำเร็จ พร้อมย้ำว่า อบจ.เชียงรายจะยังคงมุ่งมั่นดำเนินโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

บ่อบาดาลแห่งแรกของตำบลวาวีนี้ไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จเชิงโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือและความตั้งใจของทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ชาวดอยช้างและพื้นที่โดยรอบจะได้รับประโยชน์จากน้ำสะอาดสำหรับการอุปโภคบริโภคที่รอคอยมานานในที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายร่วมใจสร้างบ้านช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม 20 หลังสำเร็จ

โครงการบ้านร่วมใจสร้างบ้านน็อคดาวน์ ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเชียงราย

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย พร้อมด้วย นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่บ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อเตรียมพื้นที่และตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนการส่งมอบบ้านในโครงการ “บ้านร่วมใจสร้างบ้านน็อคดาวน์เพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วม”

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือของเรือนจำกลางเชียงราย กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม โดยได้รับการสนับสนุนวัสดุและอุปกรณ์จากหลายภาคส่วน รวมถึงเพจอีจัน ซึ่งช่วยจัดหาและสนับสนุนการสร้างบ้านจำนวน 20 หลัง มูลค่าหลังละ 90,000 บาท บ้านแต่ละหลังถูกออกแบบให้เป็นบ้านน็อคดาวน์เพื่อการอยู่อาศัยชั่วคราวที่สามารถก่อสร้างได้รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการเร่งด่วนของผู้ประสบภัยจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่

ที่มาของโครงการบ้านร่วมใจฯ

นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว เปิดเผยว่า โครงการนี้ริเริ่มจากการที่เรือนจำกลางเชียงรายเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่บ้านได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านจะเด้อ ตำบลดอยฮาง บ้านแคววัวดำ และบ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งบ้านหลายหลังได้รับความเสียหายจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้

เรือนจำกลางเชียงรายจึงขอความร่วมมือจากภาคประชาสังคมและภาคเอกชนในการสนับสนุนวัสดุและอุปกรณ์สำหรับการก่อสร้าง ในขณะที่บุคลากรที่เป็นผู้ต้องขังได้รับการฝึกฝนจากเรือนจำได้เข้ามามีส่วนร่วมในการก่อสร้างบ้านน็อคดาวน์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือชุมชนและสร้างคุณค่าให้กับตนเอง

ความคืบหน้าของโครงการ

สำหรับบ้านในเฟสที่สองของโครงการนั้น จะมีการส่งมอบจำนวน 13 หลัง ประกอบด้วย บ้านรวมมิตรจำนวน 11 หลัง บ้านริมกกจำนวน 1 หลัง และบ้านเมืองงิม ตำบลริมกกอีก 1 หลัง โดยกำหนดส่งมอบในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เตรียมส่งมอบบ้านอย่างเป็นทางการ

ในวันส่งมอบบ้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเดินทางมาเป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้าน ณ บ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว พร้อมทั้งติดตามความคืบหน้าของโครงการและตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกำหนดการตรวจราชการหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567

แผนการดำเนินงานในอนาคต

หลังจากการส่งมอบบ้านในเฟสที่สองแล้ว จะมีการก่อสร้างบ้านอีก 3 หลังสุดท้ายในพื้นที่บ้านแคววัวดำและบ้านรวมมิตร ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางเดือนธันวาคม 2567

ผลกระทบที่คาดหวัง

โครงการบ้านร่วมใจฯ ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยน้ำท่วม แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และประชาชนที่ร่วมแรงร่วมใจสนับสนุนโครงการนี้ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ทรัพยากรและกำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน

สำหรับผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารและผลการดำเนินโครงการ สามารถเข้าร่วมพิธีส่งมอบบ้านได้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ณ บ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งนอกจากการส่งมอบบ้านแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้เห็นถึงความสำเร็จของการสร้างบ้านเพื่อผู้ประสบภัยในชุมชนโดยใช้เวลาและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News