Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง อบจ.เชียงราย พุ่งสูงถึง 71 ล้านบาท

ค่าใช้จ่ายเลือกตั้ง อบจ. ปี 2568 สูงถึง 3.5 พันล้านบาท ประชาชนควรออกมาใช้สิทธิ

จากรายงานของ Rocket Media Lab ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในข้อบัญญัติงบประมาณประจำปี 2568 ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทั่วประเทศ ซึ่งไม่รวมงบประมาณของ อบจ. แม่ฮ่องสอน และอีก 4 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร บึงกาฬ เลย และสมุทรสาคร ที่ไม่ได้ตั้งงบประมาณสำหรับการเลือกตั้งไว้ พบว่า ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ รวมทั้งค่าจัดการเลือกตั้งและค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ มีมูลค่ารวมสูงถึง 3,563,810,232 บาท

รายละเอียดค่าใช้จ่าย

  • ค่าใช้จ่ายการเลือกตั้งในจังหวัดเชียงราย
    จังหวัดเชียงรายใช้งบประมาณรวมทั้งหมด 71 ล้านบาท แบ่งเป็นงบการจัดการเลือกตั้ง 34,948,553 บาท และค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ 36,051,447 บาท เมื่อนำมาคำนวณเทียบกับประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดเชียงรายที่มีจำนวน 176,685 คน พบว่าต้นทุนเฉลี่ยต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยู่ที่ 401.85 บาทต่อคน
  • งบประมาณเลือกตั้งระดับประเทศ
    ค่าใช้จ่ายการจัดการเลือกตั้งในปีนี้สูงถึง 3.5 พันล้านบาท ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลายด้าน เช่น การจัดตั้งหน่วยเลือกตั้ง ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ การพิมพ์บัตรเลือกตั้ง และการประชาสัมพันธ์

ผลกระทบจากการลาออกก่อนครบวาระ

ในปี 2568 มีเพียง 17 จังหวัดที่ต้องจัดการเลือกตั้งนายก อบจ. เนื่องจากบางพื้นที่ได้เลือกตั้งไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกรณีที่นายก อบจ. ลาออกก่อนครบวาระ เช่น จังหวัดปทุมธานี ที่ใช้งบประมาณในการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปี 2567 จาก 79 ล้านบาท เป็น 89 ล้านบาท สะท้อนถึงภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากการลาออกดังกล่าว

อัตราการใช้สิทธิเลือกตั้งและเป้าหมายในปี 2568

ในการเลือกตั้ง อบจ. ปี 2563 พบว่า อัตราการใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศอยู่ที่ 62.25% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ตั้งเป้าไว้ที่ 65% ปีนี้ กกต. ย้ำให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้เงินภาษีที่ใช้ไปในกระบวนการเลือกตั้งเกิดประโยชน์สูงสุด

จังหวัดงบการจัดการเลือกตั้ง 68 (บาท)ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้ง (บาท)งบจัดการเลือกตั้ง68+ค่าตอบแทน (บาท)ประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (คน)งบต่อหัวรวมหมายเหตุ
นครราชสีมา78,098,000110,000,000188,098,000365,192515.07 
เชียงราย34,948,55336,051,44771,000,000176,685401.85 
นครศรีธรรมราช42,150,00034,028,00076,178,000212,271358.87 
บุรีรัมย์50,800,00047,980,00098,780,000432,622228.33 
ร้อยเอ็ด17,938,60040,912,20058,850,800262,516224.18 
สมุทรปราการ120,000,00033,000,000153,000,000752,019203.45 
กำแพงเพชร60,000,000 60,000,000303,089197.96ไม่ตั้งงบค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งไว้
สงขลา34,000,00040,500,00074,500,000407,945182.62 
ระยอง50,000,00020,000,00070,000,000385,091181.78 
น่าน18,000,00020,000,00038,000,000209,669181.24 
กระบี่10,000,00015,000,00025,000,000142,114175.92 
นครนายก15,160,00010,000,00025,160,000157,102160.15 
ชลบุรี40,000,00050,000,00090,000,000570,120157.86 
ชุมพร12,320,00015,300,00027,620,000183,361150.63 
สกลนคร24,563,10224,220,35048,783,452331,807147.02 
สุรินทร์46,370,00015,000,00061,370,000433,837141.46 
ขอนแก่น40,000,00052,000,00092,000,000654,181140.63 
นราธิวาส31,700,00036,569,40068,269,400506,704134.73 
นครสวรรค์20,000,00035,000,00055,000,000411,154133.77 
เชียงใหม่50,000,00050,000,000100,000,000791,945126.27 
ศรีสะเกษ26,000,00044,000,00070,000,000588,876118.87 
นครพนม20,484,41022,015,59042,500,000401,623105.82 
ลพบุรี15,000,00025,000,00040,000,000389,684102.65 
ตาก12,550,00015,750,00028,300,000279,832101.13 
ตรัง28,000,00022,000,00050,000,000517,53096.61 
ปทุมธานี49,000,00040,000,00089,000,000948,93593.79 
ฉะเชิงเทรา29,374,30025,279,50054,653,800587,34293.05 
อุดรธานี41,200,00040,600,00081,800,000906,43790.24 
พิจิตร19,047,00018,953,00038,000,000428,97488.58 
กาฬสินธุ์15,300,00023,000,00038,300,000435,26187.99 
มหาสารคาม17,418,00032,582,00050,000,000572,94487.27 
มุกดาหาร17,000,0002,500,00019,500,000225,05286.65 
สุโขทัย11,000,00016,920,00027,920,000324,79585.96 
ตราด6,700,0007,300,00014,000,000168,30483.18 
พิษณุโลก11,800,00017,000,00028,800,000362,86079.37 
อุตรดิตถ์13,500,00013,000,00026,500,000335,29279.04 
ภูเก็ต8,000,00011,200,00019,200,000243,73378.77 
กาญจนบุรี15,000,00015,000,00030,000,000389,78676.97 
สระบุรี34,000,00018,000,00052,000,000690,99475.25 
แพร่12,500,00017,200,00029,700,000394,80675.23 
ปราจีนบุรี30,000,0008,000,00038,000,000517,46273.44 
หนองคาย30,145,00014,589,40044,734,400611,65173.14 
จันทบุรี10,000,00019,000,00029,000,000420,69468.93 
ชัยภูมิ43,269,62430,595,32673,864,9501,225,77960.26 
สุราษฎร์ธานี57,090,00012,910,00070,000,0001,168,95559.88 
ราชบุรี19,000,00021,000,00040,000,000675,46059.22 
พระนครศรีอยุธยา40,000,00039,500,00079,500,0001,347,31059.01 
ปัตตานี19,102,40030,472,60049,575,000840,26359.00 
เพชรบูรณ์30,188,00043,000,00073,188,0001,277,45857.29 
อำนาจเจริญ20,000,00013,271,48033,271,480598,45155.60 
ประจวบคีรีขันธ์18,500,00013,000,00031,500,000606,83751.91 
พะเยา13,000,00013,000,00026,000,000509,85750.99 
ลำปาง50,000,0005,000,00055,000,0001,096,74450.15 
นครปฐม25,000,00027,000,00052,000,0001,085,48547.90 
เพชรบุรี18,000,00017,000,00035,000,000785,37544.56 
อุบลราชธานี15,701,00048,000,00063,701,0001,459,56243.64 
สุพรรณบุรี20,000,00023,000,00043,000,000999,75443.01 
สมุทรสาคร15,000,000 15,000,000367,83440.78ไม่ตั้งงบค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งไว้
ชัยนาท8,000,00010,000,00018,000,000459,36239.18 
สระแก้ว13,247,65013,452,35026,700,000690,27038.68 
นนทบุรี50,500,00032,000,00082,500,0002,142,23538.51 
ยะลา25,000,00023,000,00048,000,0001,260,36538.08 
สตูล8,650,0008,100,00016,750,000442,90237.82 
ยโสธร12,231,35016,260,72028,492,070772,26536.89 
บึงกาฬ7,639,880 7,639,880261,95529.16ไม่ตั้งงบค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งไว้
อ่างทอง6,900,0005,000,00011,900,000409,31029.07 
สมุทรสงคราม7,000,0005,000,00012,000,000413,72829.00 
หนองบัวลำภู15,000,00015,000,00030,000,0001,057,06028.38 
ลำพูน8,500,00012,700,00021,200,000918,76123.07 
อุทัยธานี13,000,00011,710,00024,710,0001,114,80122.17 
พังงา2,500,0007,000,0009,500,000479,10719.83 
พัทลุง10,000,00011,000,00021,000,0001,116,32018.81 
เลย21,000,000 21,000,0001,259,95516.67ไม่ตั้งงบค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้งไว้
สิงห์บุรี4,000,0006,000,00010,000,000678,73214.73 
ระนอง4,700,0005,600,00010,300,000840,62912.25 
แม่ฮ่องสอน   1,493,0420.00ไม่มีการตั้งงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งไว้ในข้อบัญญัติงบประมาณ อบจ. ปี 2568

ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ

จากข้อมูลของ Rocket Media Lab พบว่าการจัดการเลือกตั้งที่มีค่าใช้จ่ายสูงสะท้อนถึงความสำคัญของการใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้เงินภาษีที่ถูกใช้นั้นเกิดความคุ้มค่า และแสดงออกถึงความรับผิดชอบของประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศ การเลือกตั้งที่โปร่งใสและมีส่วนร่วมจากประชาชนในทุกระดับจะช่วยสร้างความมั่นใจในกระบวนการประชาธิปไตย

สรุป

การเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้มีงบประมาณรวมกว่า 3.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นภาษีของประชาชน การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งไม่เพียงแค่ช่วยสร้างความโปร่งใส แต่ยังสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นและประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / Rocket Media Lab 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ทำไม ‘น้ำฟ้า ธมลวรรณ’ ถึงลงมาสู่ การสมัคร ส.อบจ. ที่ อ.เวียงชัย

การเลือกตั้ง ‘ส.อบจ.เชียงราย’ และ ‘นายก อบจ.เชียงราย’ ที่จะมีขึ้น

คณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเชียงราย (กกต.) เปิดเผยรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) เชียงราย สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ระหว่างเวลา 08.00 – 17.00 น. ณ หน่วยเลือกตั้งในพื้นที่

ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย

การเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย มีผู้สมัครทั้งสิ้น 3 ราย โดยแต่ละราย ได้คงได้มีการนำเสนอนโยบายและวิสัยทัศน์เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงรายในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา และการท่องเที่ยว

  • เบอร์ 1 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์
  • เบอร์ 2 นางสลักจฤฏดิ์ ติยะไพรัช
  • เบอร์ 3 นางสาวจิราพร หมื่นไชยวงศ์

ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิก ส.อบจ. เชียงราย

สำหรับการเลือกตั้งสมาชิก ส.อบจ. เชียงรายในปีนี้ มีผู้สมัครทั้งสิ้น 103 ราย จาก 36 เขตทั่วทั้งจังหวัดเชียงราย โดยผู้สมัครทุกคนต่างแสดงความพร้อมและความตั้งใจในการรับใช้ประชาชนในพื้นที่

บทสัมภาษณ์: หนทางเข้าสู่ น้ำฟ้า ธมลวรรณ ผู้สมัคร ส.อบจ. เชียงราย ในอำเภอเวียงชัย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้ดำเนินการสัมภาษณ์ผู้สมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (ส.อบจ.) เพื่อสะท้อนมุมมองและนโยบายจากผู้สมัครที่ตั้งใจอาสาเข้ามาเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนในครั้งนี้ หลังการติดต่อผู้สมัครหลายราย ซึ่งส่วนใหญ่ติดภารกิจ ทำให้ทางทีมข่าวได้รับการตอบรับจากหนึ่งในผู้สมัครคือ น้ำฟ้า ธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ ผู้สมัครรุ่นใหม่จากอำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ที่มาพร้อมความมุ่งมั่นและแนวคิดในการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์

บทบาทสำคัญของ ส.อบจ. ในการพัฒนาชุมชน

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) มีหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลฝ่ายบริหาร รวมถึงการเสนอร่างข้อบัญญัติเกี่ยวกับงบประมาณและแผนพัฒนา เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชุมชนในพื้นที่ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเชียงราย

ช่วยแนะนำตัวเองและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในท้องถิ่น

“สวัสดีค่ะ น้ำฟ้า ธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ หรือฟ้าค่ะ อายุ 25 ปี จบการศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ค่ะ พื้นฐานครอบครัวของฟ้าทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ฟ้าจึงมีโอกาสทำงานเกี่ยวกับงานท้องถิ่นร่วมกับ อบจ. เทศบาล และ อปท. บ่อยครั้ง ได้สัมผัสกับปัญหาชุมชน เช่น ถนน อ่างเก็บน้ำ และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังเคยดูแลธุรกิจแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุ และบริหารงานท่าทรายให้ครอบครัว ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้ฟ้าเข้าใจปัญหาและความต้องการของท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง”

แล้วอะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ท่านตัดสินใจลงสมัครสมาชิก ส.อบจ. เชียงราย?

“ฟ้ามองว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย การตัดสินใจลงสมัครครั้งนี้เริ่มต้นหลังจากน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ เราได้ช่วยเหลือพี่น้องในหลายอำเภอ ฟ้ารู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาสช่วยเหลือได้มากกว่านี้ เราก็อยากทำ ฟ้าอยากเป็นกระบอกเสียงของคนรุ่นใหม่ที่สามารถเข้าถึงปัญหาของทุกกลุ่มวัย และช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชน”

มองว่าประสบการณ์หรือคุณสมบัติอะไรที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้

“ฟ้ามีประสบการณ์ทำงานในท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่จริง เข้าใจปัญหาและวิธีแก้ไข ฟ้าคิดว่าเด็กรุ่นใหม่อย่างฟ้าสามารถนำมุมมองและพลังใหม่ ๆ มาช่วยพัฒนาชุมชนได้ และฟ้าพร้อมทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของอำเภอเวียงชัย”

บทบาทของครอบครัวหรือชุมชนที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการลงสมัครครั้งนี้บ้าง

“ครอบครัวฟ้าสนับสนุนการช่วยเหลือชุมชนมาโดยตลอด ท่านสอนเสมอว่าการทำอะไรด้วยใจสำคัญที่สุด ฟ้าได้นำแนวคิดนี้มาใช้และต้องการเปลี่ยนจากการช่วยเหลือเป็นการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน”

หากครั้งนี้ประชาชนส่วนใหญ่เลือกมีแผนงานสำคัญอะไรที่อยากผลักดันในพื้นที่ตัวเอง

“โครงการ ‘ของดีแต่ละตำบล’ คือสิ่งที่ฟ้ากำลังทำอยู่ ฟ้าต้องการโปรโมตสินค้าชุมชนและสถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอเวียงชัยให้เป็นที่รู้จัก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ฟ้ายังมีแผนสนับสนุนกลุ่มเยาวชนและสตรีร่วมกับผู้สมัครนายก อบจ. คุณนก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในชุมชน”

มุมมองปัญหาหลักในพื้นที่คืออะไร และมีแนวทางแก้ไขอย่างไร

“ปัญหาหลักในเวียงชัยมีหลายมิติ เช่น น้ำประปา เศรษฐกิจ หรือปัญหาชุมชนเฉพาะจุด ฟ้าจะลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็น หาทางแก้ไขร่วมกับชาวบ้าน และดำเนินการให้รวดเร็วที่สุดเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม”

แล้วถ้าพูดถึงนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นหรือการพัฒนาชุมชนในเชียงรายอย่างไร

“ฟ้าจะสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น ส่งเสริมการขายออนไลน์ และสร้างโอกาสให้คนในชุมชนมีงานทำ สร้างรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของเวียงชัย”

มีวิธีการรับฟังและตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่อย่างไร

“ฟ้าจะลงพื้นที่ให้มากที่สุด และใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางรับฟังปัญหา พร้อมทำงานร่วมกับทีมงานเพื่อตอบสนองข้อร้องเรียนอย่างรวดเร็ว”

ดรัณภพ อินตาพรหม ผู้สมัคร ส.อบจ.เวียงชัย พรรคเพื่อไทย โปรไฟล์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งที่โดดเด่น

ประวัติการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน
ดรัณภพ อินตาพรหม มีพื้นฐานด้านการศึกษาและประสบการณ์ทำงานที่หลากหลาย

  • ปริญญาโท MBA บริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด (Stamford International University)
  • ปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (Rajamangala University of Technology Lanna)

ประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา

  1. ดำรงตำแหน่ง เลขานุการประจำตัว ส.ส.เชียงราย เขต 2
  2. ผู้ชำนาญการประจำตัว ส.ส.เชียงราย เขต 2 และเขต 4
  3. เป็นคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) ที่สถานีตำรวจภูธรเวียงชัย
  4. คณะกรรมการสงเคราะห์เด็กและเยาวชน
  5. ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัยในรัฐสภา
  6. อดีตวิศวกรปฏิบัติงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
  7. เป็นเจ้าของกิจการ ห้องเย็นซูริค เชียงราย

นโยบายและเป้าหมายการทำงาน

ดรัณภพมุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่อำเภอเวียงชัยให้มีความก้าวหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และสาธารณสุข พร้อมรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ และนำไปสู่การแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ

จุดยืนทางการเมือง

ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.อบจ. พรรคเพื่อไทย ดรัณภพเป็นหนึ่งในผู้สมัครที่มีความตั้งใจจริงให้กับชุมชน โดยเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยในเขตเวียงชัย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 36 เขตของจังหวัดเชียงราย ด้วยโปรไฟล์ที่โดดเด่นและประสบการณ์ที่หลากหลาย คาดว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

วันเลือกตั้งและสิทธิของประชาชน

การเลือกตั้งครั้งนี้จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ หน่วยเลือกตั้งที่ผู้มีสิทธิมีรายชื่ออยู่ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ขอเชิญชวนประชาชนชาวเชียงรายที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น บัตรประชาชน หรือหลักฐานแสดงตนอื่น ๆ ที่ทางราชการออกให้

ความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้

การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการกำหนดอนาคตของจังหวัดเชียงราย โดยทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้า พร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับประชาชนในพื้นที่

ประชาชนชาวเชียงรายอย่าลืม!

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 มาใช้สิทธิของท่านในการเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางอนาคตของจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

แนวคิดลดค่าไฟ 3.70 บาท: ทำได้จริงหรือแค่ฝัน?

การลดค่าไฟ 3.70 บาท แนวคิดดี แต่ต้องใช้กลไกตลาดเพื่อความยั่งยืน

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้กล่าวถึงแนวคิดที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำเสนอบนเวทีปราศรัยที่จังหวัดเชียงราย ว่าด้วยการลดค่าไฟฟ้าจาก 4.15 บาท เหลือ 3.70 บาท ซึ่งเขามองว่าแนวคิดนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะค่าไฟฟ้าเป็นตัวกำหนดค่าครองชีพสำคัญของครัวเรือน แต่การดำเนินการจำเป็นต้องพิจารณาในเชิงลึกเพื่อให้เกิดความเป็นไปได้และยั่งยืน

การลดค่าไฟ: แนวคิดที่ดีแต่ต้องระวังผลกระทบ

นายนณริฏระบุว่า การตั้งเป้าหมายเพื่อลดค่าไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ดี แต่ประเทศไทยยังอยู่ในระบบตลาด การลดค่าไฟจึงต้องพิจารณาว่าจะสามารถลดต้นทุนพลังงานได้อย่างไรโดยไม่ส่งผลกระทบต่อภ

าคธุรกิจมากเกินไป หากรัฐบาลเลือกใช้มาตรการกดดันหรือบังคับภาคธุรกิจ อาจส่งผลให้เอกชนต้องประสบปัญหาขาดทุนและสร้างแรงกระทบที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น ควรมุ่งเน้นวิธีการที่สร้างสรรค์ เช่น การวิจัยและพัฒนา การใช้เทคโนโลยีลดต้นทุนพลังงาน หรือการหาแหล่งพลังงานราคาถูกเพิ่มเติม

กลไกตลาด: คีย์สำคัญสู่ความยั่งยืน

นักวิชาการทีดีอาร์ไอเสนอว่า รัฐบาลควรใช้กลไกตลาดในการดำเนินการเพื่อสร้างประสิทธิภาพ โดยมีบทบาทสนับสนุนเพื่อให้แนวคิดนี้สามารถเกิดขึ้นจริงโดยมีผลกระทบน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกหรือการร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดหาพลังงานต้นทุนต่ำ

เศรษฐกิจไทยปี 2568: การฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียม

ในอีกด้านหนึ่ง นายนณริฏยังกล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ว่ามีการฟื้นตัวดีขึ้นในภาพรวม โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตที่ 2.6-2.8% อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียม กลุ่มรากหญ้าและผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังคงเผชิญความลำบาก รัฐบาลจึงควรมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง มากกว่าการแจกเงินในลักษณะที่สร้างผลกระทบเพียงชั่วคราว

นวทางแก้ปัญหา: การลดหนี้และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

การแก้ไขปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่สำคัญคือการลดปัญหาหนี้ โดยเฉพาะหนี้ของผู้ประกอบการรายย่อยและกลุ่มคนตัวเล็ก รัฐบาลควรสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การเปิดตลาดใหม่ให้ผู้ประกอบการไทย การลดอุปสรรคทางการค้า และการสร้างโอกาสในเศรษฐกิจโลก

สรุป

แนวคิดลดค่าไฟเป็นเป้าหมายที่ดีและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อค่าครองชีพประชาชน แต่ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังโดยใช้กลไกตลาดและเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนพร้อมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจไทยในระยะยาว นอกจากนี้ การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น การลดหนี้และเพิ่มโอกาสแข่งขัน ยังเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในปี 2568 เพื่อสร้างความสมดุลและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

10 คดีคอร์รัปชัน 2567 ที่สังคมต้องจับตา

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันเผย 10 คดีคอร์รัปชันเด่นแห่งปี 2567

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เผยแพร่ข้อมูล “10 กรณี คอร์รัปชันแห่งปี 2567” ที่ทำคนไทย “เจ็บ” และ “จน” หลายกรณียัง “ไม่จบ” ทั้งหมดล้วนเกิดจากภาคเอกชนสมคบกับเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยการครอบงำ วิ่งเต้น ขาดความรับผิดชอบ ใช้อำนาจไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม   เป็น “วิกฤต” ที่คนไทยต้องช่วยกันติดตาม ทวงถามและเฝ้าระวังต่อไป

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเผยถึงกรณี/คดีคอร์รัปชันที่ได้รับความสนใจและเป็นที่พูดถึงในสังคมวงกว้างในรอบปี 2567 ที่ผ่านมาว่า  หลายกรณีเป็นการโกงกันซึ่งๆ หน้า ค้านสายตาประชาชน  ที่สำคัญ ยังคงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดล้วนสะท้อนการปฏิบัติหน้าที่และการบังคับใช้กฎหมายที่ขัดหลักนิติธรรมรุนแรง

10 คดีคอร์รัปชันเด่นที่สังคมต้องจับตา

  1. กรณีลดโทษนักโทษคดีโกงชาติ
    นักโทษบางรายได้รับการลดโทษและอภิสิทธิ์อย่างไม่โปร่งใส เช่น นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และเสี่ยเปี๋ยง ทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงกระบวนการยุติธรรม

  2. ไฟไหม้รถนำเที่ยวเด็กนักเรียน
    โศกนาฏกรรมครั้งนี้คร่าชีวิตเด็ก 22 คน แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่ใดรับผิดชอบ และปัญหา “ส่วย-สินบน” ในระบบขนส่งยังไม่ได้รับการแก้ไข

  3. คดีนายอิทธิพล คุณปลื้ม
    แม้ศาลชี้ว่ามีความผิด แต่คดีกลับหมดอายุความ ส่งผลให้ประชาชนตั้งคำถามถึงความล่าช้าของกระบวนการยุติธรรม

  4. กรณีฮุบที่ดินเขากระโดง
    การโยกย้ายกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่รัฐกลายเป็นข้อพิพาทที่ยืดเยื้อ โดยมีการใช้กฎหมายอย่างบิดเบี้ยว

  5. สัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
    แม้ประมูลโครงการเสร็จสิ้น แต่รัฐยังเจรจาแก้สัญญาซึ่งเป็นการเพิ่มประโยชน์ให้เอกชน

  6. การรุกที่ ส.ป.ก.
    การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ส.ป.ก. ให้สามารถซื้อขายและจำนองได้ นำไปสู่การสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมให้กับกลุ่มนายทุน

  7. การขุด/ขนย้ายกากแร่แคดเมียม
    การขนย้ายของเสียอันตรายโดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่งผลให้ประชาชนหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบ

  8. หมูแช่แข็งเถื่อน
    การลักลอบนำเข้าเนื้อหมูที่ไม่ได้มาตรฐานส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้เลี้ยงหมูในประเทศ

  9. วิกฤตปลาหมอคางดำ
    การปล่อยให้เอกชนดำเนินการที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม

  10. คดีดิ ไอคอน
    การเรียกรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐในหลายหน่วยงานทำให้ประชาชนสูญเสียความไว้วางใจ

บทสรุปแห่งปี 2567

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT กล่าวว่า การทุจริตในปี 2567 เป็นปัญหาที่ประชาชนต้องร่วมกันต่อต้านอย่างจริงจัง พร้อมเน้นย้ำว่า “รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการต่อต้านคอร์รัปชันเพื่อสร้างความโปร่งใสและเชื่อมั่นในสังคมไทย”

ACT ยังระบุเพิ่มเติมถึงคดีที่สร้างความตื่นตัวในสังคม เช่น การสาวไส้การทำงานในหน่วยงานรัฐ และการร้องเรียนเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ที่มีผู้มีอำนาจเกี่ยวข้อง

ประชาชนต้องร่วมมือเพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน

ACT เรียกร้องให้ประชาชนและสื่อมวลชนร่วมมือกันตรวจสอบและติดตามคดีต่าง ๆ เพื่อให้การโกงบ้านเมืองไม่กลายเป็นเรื่องปกติ และสร้างสังคมไทยที่โปร่งใสและเป็นธรรมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

โครงการบัตรคนจน: ปัญหาตกหล่นและรั่วไหลเงินช่วยเหลือคนไทย

โครงการบัตรคนจน: ปัญหาตกหล่นและรั่วไหลในระบบช่วยเหลือสวัสดิการแห่งรัฐ

21 ธันวาคม 2567 – โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “บัตรคนจน” ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทย โดยในปี 2566 มีผู้ได้รับสิทธิ์รวมทั้งสิ้น 14.6 ล้านคน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) ชี้ให้เห็นว่าโครงการนี้ยังคงมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะการ “ตกหล่น” และ “รั่วไหล” ที่ส่งผลให้เงินช่วยเหลือไม่ถึงมือคนจนจริงๆ อย่างเต็มที่

ปัญหาตกหล่นและรั่วไหล

ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ควรได้รับความช่วยเหลือกลับไม่ได้รับสิทธิ์อย่างครบถ้วน ขณะที่ผู้ที่ไม่ควรได้รับสิทธิ์กลับได้รับประโยชน์อย่างไม่เหมาะสม โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • การตกหล่น: คนจนที่ไม่ได้รับสิทธิ์มีสัดส่วนถึง 40.4% หรือประมาณ 1.4 ล้านคน จากคนจนทั้งหมด 3.5 ล้านคน
  • การรั่วไหล: ผู้ที่ไม่จนกลับได้รับสิทธิ์บัตรคนจนถึง 20.7% หรือประมาณ 10.1 ล้านคน จากคนไม่จนทั้งหมด 49 ล้านคน

สาเหตุของปัญหา

  1. เกณฑ์คุณสมบัติไม่ตรงเป้า:
    เกณฑ์การคัดเลือกผู้มีสิทธิ์สูงเกินไป ส่งผลให้คนที่ไม่ยากจนอย่างแท้จริงได้รับสิทธิ์ ตัวอย่างเช่น มีรายได้หรือทรัพย์สินสูงกว่าเกณฑ์ความยากจนถึง 3 เท่า

  2. กระบวนการคัดกรองไม่เข้มงวด:
    แม้จะมีการกำหนดเกณฑ์ชัดเจน แต่กระบวนการตรวจสอบกลับไม่รัดกุม ทำให้ผู้ที่ไม่สมควรได้รับสิทธิ์สามารถเข้าถึงโครงการได้

  3. ไม่มีการตรวจสอบซ้ำ:
    ผู้ถือบัตรจะได้รับสิทธิ์ไปอย่างต่อเนื่องหลายปี โดยไม่มีการตรวจสอบสถานะซ้ำว่าผู้ถือบัตรยังมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์หรือไม่

ผลกระทบที่ตามมา

  • คนจนไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างเพียงพอ:
    ผู้ที่ยากจนจริงอาจไม่ได้รับสิทธิ์ หรือได้รับความช่วยเหลือในปริมาณที่ไม่ครอบคลุมความจำเป็น

  • งบประมาณสูญเปล่า:
    เงินช่วยเหลือที่ควรนำไปใช้กับคนจนกลับตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีฐานะดีกว่า

  • ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้น:
    ความช่วยเหลือที่ไม่ตรงเป้าหมายทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคม

ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหา

นักวิจัยจาก PIER เสนอว่า การปรับปรุงโครงการบัตรคนจนควรเริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาเชิงระบบ ได้แก่:

  1. ปรับเกณฑ์คุณสมบัติให้เหมาะสม:
    ลดเกณฑ์การคัดเลือกให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ

  2. เพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรอง:
    ใช้ข้อมูลรายได้และทรัพย์สินที่ถูกต้องและอัปเดตเพื่อคัดกรองผู้มีสิทธิ์

  3. ตรวจสอบสถานะซ้ำอย่างต่อเนื่อง:
    มีการตรวจสอบผู้ถือบัตรทุกปี เพื่อยืนยันว่าผู้ถือบัตรยังคงมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์

บทสรุป

แม้โครงการบัตรคนจนจะมีเป้าหมายที่ดีในการลดความเหลื่อมล้ำและช่วยเหลือผู้ยากจน แต่ปัญหาตกหล่นและรั่วไหลที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงเชิงโครงสร้าง หากสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ โครงการบัตรคนจนจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทยอย่างแท้จริง

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ PIER Research

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

อาร์ตทอยไทยระดับโลก ‘ดร.จีรวุฒิ’ สร้างแรงบันดาลใจใหม่

ศิลปะไทยสู่เวทีโลก: บทสัมภาษณ์พิเศษ “ดร.จีรวุฒิ บุญช่วยนำผล” ผู้สร้างสรรค์อาร์ตทอยไทยระดับนานาชาติ

วันที่ 12 ธันวาคม 2567 ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษกับ ดร.จีรวุฒิ บุญช่วยนำผล ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะไทยและการออกแบบที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ ผลงานล่าสุดของเขาคือการสร้างสรรค์ “อาร์ตทอย” ที่สะท้อนอัตลักษณ์ไทยร่วมสมัย โดดเด่นในแวดวงศิลปะระดับโลก

ประวัติและรางวัลระดับนานาชาติ

ดร.จีรวุฒิ มีประวัติการศึกษาและความเชี่ยวชาญทางศิลปะที่น่าสนใจ จบปริญญาตรีด้านออกแบบนิเทศศิลป์ ปริญญาโทด้านวิจัยศิลปะและวัฒนธรรม และปริญญาเอกด้านวิจัยวัฒนธรรม ศิลปกรรม และการออกแบบ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

เขาได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมาย เช่น

  • การตีพิมพ์ผลงานใน 3D World Magazine ฉบับที่ 291 ปี 2022
  • รางวัล Staff Pick จากเว็บไซต์ 3dtotal ในปีเดียวกัน
  • รางวัล Excellent Works จากงาน ASIAGRAPH 2023 พร้อมจัดแสดงผลงานที่ไต้หวัน
  • รางวัล Staff Pick Award จาก ZBrushCentral ในปี 2024

แรงบันดาลใจและการเดินทางสู่ความสำเร็จ

ดร.จีรวุฒิ เปิดเผยว่าแรงบันดาลใจมาจากการทำงานด้านศิลปะไทยมานานกว่า 20 ปี โดยมีความตั้งใจที่จะนำเอาเอกลักษณ์ความเป็นไทยไปสู่ทุกสายตาในเวทีโลก โดยเริ่มต้นจากการทำงานพุทธศิลป์และศิลปะไทยดั้งเดิม จากนั้นจึงได้นำเทคนิคดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ

“ผมเริ่มจากการใช้ 3D Technology ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ เพราะต้องการผสมผสานระหว่างศิลปะไทยกับสื่อร่วมสมัย เพื่อให้คนรุ่นใหม่สนใจและเข้าใจความงามของศิลปะไทยมากขึ้น” ดร.จีรวุฒิ กล่า

หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญคือการเดินทางไปศึกษาดูงานศิลปะที่ประเทศจีน ทำให้ได้เห็นถึงความสำเร็จของการพัฒนา “Art Toy” ในชุมชนต่าง ๆ และนำความรู้นั้นมาปรับใช้ให้เข้ากับผลงานของตนเอง

ความสำเร็จของผลงานอาร์ตทอย

ดร.จีรวุฒิ เล่าว่า ผลงานอาร์ตทอยที่สร้างขึ้นมาล่าสุด “นีโอ” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้กับงาน Thailand Friendly Design Expo 2024 เป็นอีกหนึ่งความท้าทายในการออกแบบ เพราะจะต้องสะท้อนความเป็นไทย และไม่ให้ดูโบราณจนเกินไป

“ความยากอยู่ที่การสร้างสมดุลระหว่างความเป็นไทยกับความเป็นสากล เพื่อให้ผลงานเข้าถึงคนรุ่นใหม่ทั่วโลกได้”

โดยเน้นใช้ลวดลายไทย เช่น ลายกระจังและลายสับปะรด มาประยุกต์ให้เป็นส่วนประกอบของอาร์ตทอย เช่น ล้อแม็กซ์ และองค์ประกอบอื่น ๆ โดยแฝงรายละเอียดที่สะท้อนความละเอียดอ่อนของศิลปะไทยเข้าไป

ผลงานเด่นในปี 2024

หนึ่งในผลงานล่าสุดคือการสร้างอาร์ตทอย “นีโอ” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากผู้ที่ใช้รถเข็นวีลแชร์ โดยมีการออกแบบให้นีโอนั่งบนวีลแชร์ มีท่าทางที่สง่างาม เพื่อสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับความเท่าเทียมในสังคม 

“ผมต้องการให้ทุกคนมองเห็นว่าคนพิการไม่ได้ด้อยกว่าคนทั่วไป พวกเขามีศักยภาพและคุณค่าที่เท่าเทียมกัน”  

นอกจากนี้ การเพ้นท์สีนีโอในแต่ละเวอร์ชัน ยังเปิดโอกาสให้ศิลปินคนอื่น ๆ มาร่วมเติมเต็มความคิดสร้างสรรค์ลงในผลงานด้วย เช่น การออกแบบลวดลายพิเศษให้กับตัวอาร์ตทอย ซึ่งทำให้งานชิ้นนี้เป็นเอกลักษณ์และมีเพียงชิ้นเดียวในโลก

เป้าหมายในอนาคต

ดร.จีรวุฒิ กล่าวว่า มีแผนที่จะพัฒนาอาร์ตทอยไทยให้ก้าวไกลมากขึ้น โดยจะผสมผสานศิลปะไทยเข้ากับงานดีไซน์ร่วมสมัย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ และทำให้งานศิลปะไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล  

“ผมอยากเห็นคนรุ่นใหม่หันมาสนใจศิลปะไทยมากขึ้น และจะพัฒนาผลงานให้หลากหลาย เช่น การออกแบบจิวเวลรี่ที่แฝงลวดลายไทย หรืองานศิลปะที่นำไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน”

ความมุ่งมั่นของศิลปินไทย

ท้ายที่สุด ดร.จีรวุฒิ เน้นย้ำว่าความสำเร็จของเขาไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะพรสวรรค์ แต่เกิดจากความมุ่งมั่นและการไม่หยุดพัฒนาตัวเอง  

“ศิลปะไทยมีคุณค่าและศักยภาพมากพอที่จะก้าวไกลในระดับโลก สิ่งสำคัญคือเราต้องกล้าที่จะลอง และไม่หยุดเรียนรู้”  

นี่คือเรื่องราวของศิลปินไทยผู้สร้างสรรค์ผลงานที่เป็นตัวแทนของชาติบนเวทีโลก และเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นใหม่ที่ต้องการนำศิลปะไทยสู่อนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Jeerawut 3D art

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เปิด 15 อำเภอเมืองเจริญที่สุด เชียงรายติดอันดับ 12

เปิดอันดับ 15 อำเภอเมืองที่เจริญที่สุดในประเทศไทย เชียงรายติดอันดับ 12

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ได้มีการจัดอันดับอำเภอเมืองที่มีความเจริญที่สุดในประเทศไทย ซึ่งการจัดอันดับในครั้งนี้เป็นผลการสำรวจโดย The Ranking โดยพิจารณาจากหลายเกณฑ์ ได้แก่ ความเป็นเมือง เศรษฐกิจ งบประมาณ ขนส่งในเมือง การศึกษา การแพทย์ ความบันเทิง และการค้าขาย ผลการจัดอันดับเผยให้เห็นว่า อำเภอเมืองเชียงรายสามารถติดอันดับที่ 12 จากทั้งหมด 15 อำเภอเมืองทั่วประเทศ ซึ่งไม่รวมกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ความสำคัญของ “อำเภอเมือง” ในการพัฒนาแต่ละจังหวัด

อำเภอเมืองของแต่ละจังหวัดมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นศูนย์กลางในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การศึกษา การแพทย์ รวมถึงการเป็น แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ และความสะดวกสบายต่าง ๆ อำเภอเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมักมี โครงสร้างพื้นฐานที่ดี ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ ทำให้ประชาชนในจังหวัดได้รับ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับอำเภอเมือง

The Ranking ได้ใช้ปัจจัยหลายด้านในการประเมินว่า อำเภอเมืองไหนเจริญที่สุด โดยเน้นที่:

  1. ความเป็นเมือง (Urbanization): การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ
  2. เศรษฐกิจ (Economy): การลงทุน การเจริญเติบโตของธุรกิจ และรายได้ต่อหัวประชากร
  3. งบประมาณ (Budget): การจัดสรรงบประมาณของท้องถิ่นในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ
  4. ขนส่งในเมือง (Transportation): ความสะดวกในการเดินทาง ระบบขนส่งสาธารณะ
  5. การศึกษา (Education): คุณภาพของสถานศึกษาและการเข้าถึงการเรียนรู้
  6. การแพทย์ (Healthcare): ความพร้อมของสถานพยาบาลและการให้บริการสุขภาพ
  7. ความบันเทิง (Entertainment): สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า
  8. การค้าขาย (Commerce): ความหลากหลายของร้านค้า ศูนย์การค้า และตลาดนัด

เปิด 15 อันดับ อำเภอเมืองที่เจริญที่สุด

จากการประเมินและวิเคราะห์ข้อมูล The Ranking ได้เผยรายชื่อ 15 อำเภอเมืองที่เจริญที่สุด ดังนี้:

  1. เมืองเชียงใหม่ (เชียงใหม่) – ศูนย์กลางทางการศึกษาและการท่องเที่ยวในภาคเหนือ
  2. เมืองขอนแก่น (ขอนแก่น) – จุดเชื่อมต่อการค้าสำคัญในภาคอีสาน
  3. เมืองนครราชสีมา (นครราชสีมา) – เมืองเศรษฐกิจที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  4. เมืองชลบุรี (ชลบุรี) – เมืองอุตสาหกรรมและท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก
  5. เมืองอุดรธานี (อุดรธานี) – แหล่งรวมธุรกิจและการค้าชายแดน
  6. เมืองภูเก็ต (ภูเก็ต) – เมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
  7. เมืองระยอง (ระยอง) – แหล่งอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่สำคัญในภาคตะวันออก
  8. เมืองพิษณุโลก (พิษณุโลก) – เมืองประวัติศาสตร์ที่มีการพัฒนาด้านการศึกษาและการท่องเที่ยว
  9. เมืองสุราษฎร์ธานี (สุราษฎร์ธานี) – ประตูสู่เกาะสมุยและแหล่งท่องเที่ยวภาคใต้
  10. เมืองอุบลราชธานี (อุบลราชธานี) – เมืองสำคัญในด้านการศึกษาและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  11. เมืองนครศรีธรรมราช (นครศรีธรรมราช) – เมืองศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมภาคใต้
  12. เมืองเชียงราย (เชียงราย) – เมืองที่มีความเป็นเอกลักษณ์และเป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
  13. เมืองนครสวรรค์ (นครสวรรค์) – ศูนย์กลางการค้าและขนส่งในภาคเหนือ
  14. เมืองสงขลา (สงขลา) – เมืองท่าเรือและการค้าชายแดนที่มีความสำคัญ
  15. เมืองลำปาง (ลำปาง) – เมืองที่มีความสงบและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

อำเภอเมืองเชียงใหม่: ผู้นำในการพัฒนาเมือง

อันดับที่หนึ่งตกเป็นของ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งได้รับการพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน มีสนามบินนานาชาติ สถานศึกษาชั้นนำ และสถานพยาบาลที่ทันสมัย ทำให้เชียงใหม่กลายเป็น จุดหมายปลายทางยอดนิยม ของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

อำเภอเมืองขอนแก่น: เมืองใหญ่แห่งอีสาน

สำหรับ อำเภอเมืองขอนแก่น ถือเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาที่สำคัญของภาคอีสาน มีมหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำในระดับประเทศ และยังมีระบบขนส่งที่สะดวก ทำให้การเดินทางและการค้าขายในพื้นที่นี้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อำเภอเมืองเชียงราย: เมืองแห่งศักยภาพในภาคเหนือ

เชียงรายติดอันดับที่ 12 ซึ่งถือเป็นอำเภอเมืองที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ด้วยทำเลที่ตั้งเป็น ประตูสู่อาเซียน เชียงรายมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน

ปัจจัยที่ทำให้เชียงรายเจริญเติบโตขึ้น

  1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม
    เชียงรายมีการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งสนามบินและถนนสายหลัก ทำให้การเข้าถึงเมืองสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนจากภาคเอกชน

  2. แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลาย
    เชียงรายมีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ดอยตุง วัดร่องขุ่น และภูชี้ฟ้า ทำให้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีเทศกาลและกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว

  3. ศูนย์กลางการค้าชายแดน
    ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนเมียนมาและลาว เชียงรายจึงเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนที่สำคัญ มีด่านชายแดนที่สำคัญอย่างแม่สายและเชียงของ ทำให้เกิดการค้าขายและการลงทุนข้ามพรมแดนมากขึ้น

ทำไมเชียงรายเจริญขึ้นจนติดอันดับ 12 ของประเทศ?

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีการพัฒนาต่อเนื่องในหลาย ๆ ด้านในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถก้าวขึ้นมาติดอันดับในระดับประเทศได้ มาดูกันว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้เชียงรายเจริญขึ้นคืออะไร

  1. สถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์
    เชียงรายเป็นเมืองที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น ดอยตุง ดอยแม่สลอง วัดร่องขุ่น หรือสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอย่างหมู่บ้านชนเผ่า ทำให้เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศนิยมเดินทางมาเยือน ส่งผลให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

  2. การลงทุนจากภาครัฐและเอกชน
    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เชียงรายได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบขนส่ง โรงพยาบาล และโรงเรียน นอกจากนี้ยังมีโครงการสนับสนุนด้านการเกษตรและการค้าชายแดนที่ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดให้แข็งแกร่งขึ้น

  3. การเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมในภูมิภาค
    เชียงรายตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม เนื่องจากอยู่ใกล้ชายแดนไทย-ลาว และไทย-เมียนมา ทำให้สามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนได้ มีด่านชายแดนที่สำคัญ เช่น ด่านแม่สาย และด่านเชียงของ ซึ่งเชื่อมโยงการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ

  4. การพัฒนาสถาบันการศึกษาและสถานพยาบาล
    เชียงรายมีการพัฒนาด้านการศึกษาและสถานพยาบาลที่ดี มีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนที่มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลชั้นนำที่สามารถให้บริการทางการแพทย์ที่ทันสมัยได้ ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ขีดจำกัดและความท้าทายของเชียงราย

แม้เชียงรายจะมีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีขีดจำกัดและความท้าทายหลายประการที่ควรพิจารณาในการพัฒนาต่อไป ได้แก่

  1. การขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี
    แม้เชียงรายจะมีการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน แต่การเข้าถึงเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตในบางพื้นที่ยังคงจำกัด ซึ่งส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ชนบทขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่าง ๆ ที่ทันสมัย

  2. การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
    เชียงรายเป็นเมืองที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอย่างมาก โดยเฉพาะในการท่องเที่ยวและการเกษตร หากไม่มีการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ อาจเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของประชาชน

  3. การกระจายรายได้อย่างไม่เท่าเทียม
    แม้เศรษฐกิจของเชียงรายจะเติบโต แต่รายได้ยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และพื้นที่เมือง ขณะที่พื้นที่ชนบทยังคงมีปัญหาด้านความยากจนและการขาดแคลนโอกาสในการพัฒนา

แนวทางการพัฒนาเชียงรายให้เจริญมากยิ่งขึ้น

เพื่อให้เชียงรายสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง มีแนวทางที่ควรดำเนินการดังนี้

  1. พัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร
    ควรเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีเพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัลได้ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลและการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล

  2. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและชุมชน
    ควรส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่และช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น

  3. เพิ่มการลงทุนในภาคการศึกษาและสุขภาพ
    การพัฒนาโรงเรียน มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลที่มีคุณภาพจะช่วยสร้างบุคลากรที่มีความรู้และทักษะ รวมทั้งเสริมสร้างสุขภาพของประชาชนให้ดีขึ้น

  4. สร้างโอกาสให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
    การส่งเสริมธุรกิจ SMEs ในพื้นที่จะช่วยกระจายรายได้และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ

  5. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง
    ควรพัฒนาเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงเชียงรายกับจังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้านให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างโอกาสในการค้าและการลงทุน

สรุป: ความสำคัญของการพัฒนาอำเภอเมือง

การจัดอันดับครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า อำเภอเมือง แต่ละแห่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การที่อำเภอเมืองต่าง ๆ พยายามพัฒนาตนเองให้เป็น ศูนย์กลางความเจริญของจังหวัด จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศไทย

เชียงรายแม้จะเป็นจังหวัดที่มีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงมีขีดจำกัดและความท้าทายที่ต้องเผชิญ การพัฒนาจังหวัดให้เจริญยิ่งขึ้นจำเป็นต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านการศึกษา เทคโนโลยี การท่องเที่ยว และการกระจายรายได้ การร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเชียงรายให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงราบนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

‘TCDC เชียงราย สร้างสรรค์การออกแบบ ชูสุขภาพและคุณภาพชีวิตดี

SaTa Na Architect โพสต์เกี่ยวกับการออกแบบศูนย์สร้างสรรค์ TCDC เชียงราย

เพจ SaTa Na Architect ได้เผยแพร่ผลงานการออกแบบศูนย์สร้างสรรค์ TCDC เชียงราย หรือศูนย์ข้อมูลและทรัพยากรสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบแห่งประเทศไทย (TCDC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

แรงบันดาลใจในการออกแบบ

เชียงรายได้รับการยอมรับว่าเป็น “เมืองศิลปะ” มีความหลากหลายด้านศิลปวัฒนธรรม ทั้งยังเป็นแหล่งจัดเทศกาลศิลปะที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก การออกแบบ TCDC เชียงราย ได้แรงบันดาลใจจากคำอวยพรพื้นเมืองที่ใช้ในพิธีบายศรีสู่ขวัญที่ว่า “อยู่ดีกิ๋นดี บ่เจ็บบ่ไข้” ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ชีวิตที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง จึงได้แนวคิดในการออกแบบให้ศูนย์สร้างสรรค์แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่สร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะและนวัตกรรม

แนวคิดหลักในการออกแบบ

TCDC เชียงราย นำแนวคิด “อยู่ดีกิ๋นดี บ่เจ็บบ่ไข้” มาใช้เป็นแกนในการออกแบบ พื้นที่โดยรอบอาคารจัดให้เป็นแหล่งปลูกพืชสมุนไพรและผักสวนครัว เพื่อให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเชียงราย ซึ่งการปลูกพืชสมุนไพรเหล่านี้ยังสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความเชื่อมโยงกับแนวคิดของ “Wellness Lab” อีกด้วย

อาคารถูกออกแบบให้สะท้อนวิถีชีวิตชาวเชียงราย ด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “เรือนไม้ล้านนา” โดยใช้โครงสร้างแบบ “ม้าต่างไหม” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านในภาคเหนือ การออกแบบนี้สร้างบรรยากาศที่เหมาะสมกับการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ และยังสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมได้รับแรงบันดาลใจในการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ

พื้นที่การเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์

ภายในศูนย์ TCDC เชียงรายถูกจัดให้มีพื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ อาทิ

  • Co-working Space พื้นที่ทำงานร่วมกัน ที่ส่งเสริมการสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนไอเดีย
  • ห้องปฏิบัติการ (Lab) สำหรับการทดลองและวิจัย โดยเน้นด้านสุขภาพและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
  • พื้นที่แสดงผลงานศิลปะ สำหรับนักออกแบบและศิลปินที่ต้องการเผยแพร่ผลงานของตน
  • สวนสมุนไพร ที่เปิดให้ผู้คนได้สัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติและความรู้ทางสมุนไพรแบบพื้นบ้าน

สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีอากาศเย็นสบาย ธรรมชาติที่งดงาม ประกอบด้วยภูเขา แม่น้ำ และพื้นที่เกษตรกรรม สภาพแวดล้อมนี้เหมาะสมกับการพักผ่อนและสร้างสรรค์ผลงานอย่างยั่งยืน ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีและอากาศที่บริสุทธิ์ ทำให้ศิลปิน นักออกแบบ และผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์สามารถใช้เวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้แรงบันดาลใจจากสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ

เชียงราย เมืองแห่งความคิดสร้างสรรค์ของ UNESCO

TCDC เชียงรายยังเน้นให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในฐานะเมืองสร้างสรรค์ระดับโลก ภายใต้เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบของ UNESCO โดยมุ่งหวังให้เชียงรายเป็นเมืองต้นแบบที่แสดงถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังเน้นการส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมของชาวเชียงรายสู่สากล และการพัฒนาคุณภาพชีวิตในชุมชนให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืน

การออกแบบ TCDC เชียงรายจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ศูนย์กลางการเรียนรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งบ่มเพาะแนวคิดและนวัตกรรมที่ใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเต็มที่ ตามแนวคิด “อยู่ดีกิ๋นดี บ่เจ็บบ่ไข้” ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตและการสร้างสรรค์อย่างยั่งยืนในทุกด้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : satanaarchitect

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

‘ดร.สืบสกุล’ ชวนฟื้นฟูจิตใจหลังน้ำท่วม “มหาอุทกภัยเชียงราย 2567

เชียงรายจัดนิทรรศการศิลปะสะท้อนเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ 2567

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ศิลปินจากจังหวัดเชียงรายและศิลปินจากทั่วประเทศจะร่วมกันจัดนิทรรศการศิลปะชื่อว่า “มหาอุทกภัยเชียงราย 2567 (Chiangrai Disaster Archives 2024)” เพื่อสะท้อนภาพเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เชียงรายผ่านผลงานศิลปะหลากหลายประเภท

งานนิทรรศการที่จัดโดย ศิลปินแห่งชาติ ชลามชัย โฆษิตพิพัฒน์ จะเปิดเผยผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพถ่าย วิดีโออาร์ต และอินสตอลเลชัน มากกว่า 100 ชิ้น จากศิลปินทั้งภายในจังหวัดเชียงรายและจากต่างจังหวัดทั่วประเทศ

รายละเอียดงานนิทรรศการ

นิทรรศการ “มหาอุทกภัยเชียงราย 2567” จะจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2567 โดยมีการเปิดงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 ตุลาคม 2567

งานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการจัดแสดงผลงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นการจดบันทึกเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่เชียงรายผ่านมุมมองของประชาชนและศิลปิน ทำให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสกับความรู้สึกและประสบการณ์จากเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านงานศิลปะที่สร้างสรรค์

สัมภาษณ์พิเศษจาก ดร. สืบสกุล กิจนุกูล

ดร. สืบสกุล กิจนุกูล อาจารย์สำนักนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์เกี่ยวกับโครงการศิลปะนี้ ว่า:

“น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในเชียงรายไม่เพียงแต่ทำลายทรัพย์สินและบ้านเรือนเท่านั้น แต่ยังสร้างขยะน้ำท่วมจำนวนมหาศาลภายในตัวเมือง โดยมีการประเมินขยะที่เกิดขึ้นประมาณ 50,000 ตัน ซึ่งขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตาที่คนใช้เป็นที่ระลึกหรือของเล่นที่กลายเป็นขยะหลังน้ำท่วม”

ดร.สืบสกุลกล่าวต่อว่า:

“ในขณะที่เราไปช่วยเก็บขยะและช่วยเหลือทางบ้าน เราได้นำตุ๊กตาที่ถูกทิ้งมาใช้ในโครงการนี้ โดยนำมาตกแต่งและฟื้นฟูให้กลับมาเป็นศิลปะ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและการฟื้นฟูจิตใจของผู้คนหลังน้ำท่วม เราต้องการให้ตุ๊กตาเหล่านี้เป็นตัวแทนในการส่งต่อความรักและความทรงจำของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม”

เป้าหมายของโครงการศิลปะ

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างพื้นที่ในการเยียวยาจิตใจและฟื้นฟูความหวังของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยการนำสิ่งของที่กลายเป็นขยะกลับมาสร้างสรรค์ใหม่เป็นงานศิลปะที่มีความหมายและคุณค่า นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของศิลปินและประชาชนในการสร้างสรรค์ผลงานที่สะท้อนถึงประสบการณ์และความรู้สึกในช่วงวิกฤต

ดร.สืบสกุลยังกล่าวเพิ่มเติมว่า:

“เราต้องการให้ตุ๊กตาเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงบันดาลใจและความหวังให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เราหวังว่าผู้ที่เป็นเจ้าของตุ๊กตาเหล่านี้จะกลับมารับของที่พวกเขาเคยรัก และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการฟื้นฟูนี้”

กิจกรรมพิเศษภายในนิทรรศการ

ในงานนิทรรศการจะมีการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชม เช่น การจัดเวิร์กช็อปศิลปะ การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการฟื้นฟูชุมชนหลังน้ำท่วม และการแสดงผลงานศิลปะสดจากศิลปินที่เข้าร่วมงาน

นอกจากนี้ยังมีการจัดจำหน่ายสินค้าพิเศษ เช่น เสื้อยืดที่ออกแบบด้วยตุ๊กตาที่ถูกฟื้นฟูจากขยะน้ำท่วม ซึ่งเป็นที่ระลึกให้กับผู้ที่มาร่วมงานและสนับสนุนโครงการนี้

สรุป

นิทรรศการ “มหาอุทกภัยเชียงราย 2567” เป็นโอกาสที่ดีในการร่วมกันระลึกถึงเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในเชียงรายผ่านมุมมองของศิลปะ และเป็นพื้นที่ในการเยียวยาจิตใจและสร้างความหวังใหม่ให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ โครงการนี้ยังเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของศิลปินและประชาชนในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าและความหมาย

ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมชมงานได้ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) ตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. 2567 ถึงวันที่ 20 ธ.ค. 2567 และสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางช่องทางต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM)
ที่อยู่: https://maps.app.goo.gl/cszwdfWMKmgEqvBQ7
โทรศัพท์: 0884185431
เปิด อังคาร – อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) เวลา 09.00 น. – 17.00 น.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

เครือข่ายอุดมศึกษาเรียกร้องหยุดบุหรี่ไฟฟ้า

วิกฤตบุหรี่ไฟฟ้า: ปกป้องสุขภาพเด็กและเยาวชนไทย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บุหรี่ไฟฟ้าได้กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชนในประเทศไทยอย่างรุนแรง นพ.วันชาติ ศุภจัตุรัส รองประธานโครงการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาปลอดผลิตภัณฑ์ยาสูบ ได้ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามที่บุหรี่ไฟฟ้าสร้างขึ้นต่ออนาคตและสุขภาพของเยาวชนไทย

การเพิ่มขึ้นของการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน

ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่าในระยะเวลาเพียง 2 ปี การแพร่หลายของผลิตภัณฑ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทางกาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและพฤติกรรมของเยาวชน การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่นสามารถนำไปสู่การเสพติดนิโคติน ซึ่งมีผลเสียต่อการพัฒนาอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงสมองที่กำลังพัฒนาอยู่

ผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจชาติ

บุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติในระยะยาว การเสพติดนิโคตินสามารถนำไปสู่การใช้ยาเสพติดชนิดอื่น ๆ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและโรคปอด นอกจากนี้ การแพร่หลายของบุหรี่ไฟฟ้ายังเพิ่มภาระทางเศรษฐกิจจากการรักษาพยาบาลและการลดประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรในอนาคต

ความเห็นจากสถาบันอุดมศึกษาและองค์กรร่วมใจ

เครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ ซึ่งประกอบด้วยสถาบันกว่า 10 แห่ง ได้ร่วมออกแถลงการณ์ “ข้อเรียกร้องขอต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อปกป้องสุขภาพเด็กและเยาวชนไทย” ต่อรัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติโดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการคงกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างเคร่งครัด

การพิจารณากฎหมายและมาตรการควบคุม

คณะอนุกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยหลังจากมีการประชุมกันมาหลายครั้งและการไปดูงานที่โรงงานผลิตบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศจีน ขณะนี้กำลังจะส่งบทสรุปเพื่อเสนอแก่คณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยมีตัวเลือกในการจัดการกับบุหรี่ไฟฟ้า 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. คงไว้ซึ่งกฎหมายเดิม ห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าและห้ามจำหน่าย
  2. อนุญาตให้มีการขายบุหรี่ไฟฟ้าชนิด Heat not burn
  3. อนุญาตให้มีการขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเสรีแต่ควบคุม (แบบเดียวกับบุหรี่มวน)

เครือข่ายสถาบันอุดมศึกษามีความเห็นว่า การห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องสุขภาพของเด็กและเยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไป

ข้อเรียกร้องจากเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษา

ในวันที่ 10 ตุลาคม 2567 เครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติคงกฎหมายห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยต่อไป พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายและการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างเข้มงวด

ความร่วมมือระหว่างองค์กรต่างๆ

การต่อสู้กับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้านี้ไม่สามารถทำได้โดยภาคส่วนเดียว ความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษา องค์กรภาคประชาสังคม และรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและสุขภาพดีสำหรับเด็กและเยาวชนไทย

บทสรุป

ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นวิกฤตที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและร่วมมือจากทุกภาคส่วน เครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุหรี่และองค์กรร่วมใจได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องสุขภาพของเด็กและเยาวชนไทย การคงกฎหมายห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยลดปัญหานี้และสร้างอนาคตที่สดใสสำหรับเยาวชนของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โครงการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาปลอดผลิตภัณฑ์ยาสูบสร้างสิ่งแวดล้อมให้ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News