Categories
ENVIRONMENT

ววน. เปิดแผนเตือนภัยสึนามิ ยกระดับความปลอดภัยไทย

นวัตกรรมสู่ทางรอดภัยสึนามิ ววน. เร่งลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติ

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ เปิดเวทีเสวนาวิชาการ “จากงานวิจัยและนวัตกรรม…สู่ทางรอดภัยสึนามิ” ณ จังหวัดพังงา ในงานรำลึกครบรอบ 20 ปี เหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดีย เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เป้าหมายเพื่อการป้องกันและลดผลกระทบจากสึนามิ

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม ตั้งแต่การพัฒนาระบบเตือนภัยที่ทันสมัย การวางแผนการอพยพที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระดับชุมชนและระดับนโยบาย

วช. ยังเปิดเผยว่าการพัฒนาศูนย์เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและการทำงานร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการป้องกันภัยพิบัติและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยุทธศาสตร์ ววน. สู่ความยั่งยืนในอนาคต

ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผู้อำนวยการ สกสว. เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์การวิจัยของ ววน. ปี 2566-2570 มุ่งพัฒนาแนวทางลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยมีงบประมาณวิจัยรวมกว่า 17.528 ล้านบาทในช่วงปี 2563-2567 เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านการป้องกันสึนามิ อย่างไรก็ตาม ยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมในด้านการฟื้นฟูเยียวยาหลังเกิดภัยพิบัติ

“การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนตั้งแต่การคิดโจทย์วิจัยจนถึงการนำไปใช้จริง จะช่วยให้ชุมชนสามารถปรับตัวและลดความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น” ศ.ดร.จักรพันธ์ กล่าว

ระบบเตือนภัยและการอพยพที่มีประสิทธิภาพ

ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ เน้นถึงความสำคัญของระบบเตือนภัยสึนามิที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและฝึกซ้อมแผนอพยพภายใต้สถานการณ์จำลองที่เหมาะสม ขณะที่ ผศ.ดร.ปานนท์ ลาชโรจน์ ระบุว่าควรมีการปรับปรุงกระบวนการอพยพในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการบำรุงรักษาอาคารหลบภัย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในกรณีเกิดคลื่นสึนามิสูง

สร้างความรู้และเตรียมพร้อมในชุมชน

ผศ.ปัญจพาณ์ สุขโข แกนนำนักศึกษาพยาบาลจิตอาสา เผยว่าโครงการพัฒนาการเตรียมพร้อมรับแผ่นดินไหวเชิงรุก เน้นการพัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชน การสร้างหลักสูตรเอาตัวรอด และการให้ความรู้แก่ครูและนักเรียนในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อสร้างทักษะการรับมือและการช่วยเหลือตนเอง

รำลึก 20 ปี เหตุการณ์สึนามิที่พังงา

งานรำลึกจัดขึ้นโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ สวนอนุสรณ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา นอกจากพิธีรำลึกถึงผู้สูญเสีย ยังมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนและหน่วยงาน พร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม

ความร่วมมือเพื่ออนาคตที่มั่นคง

การเสวนาและกิจกรรมในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาความพร้อมของประเทศไทยต่อภัยพิบัติ โดยมีเป้าหมายลดความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมสร้างความตระหนักรู้และความร่วมมือในทุกระดับ เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยในอนาคต

การป้องกันภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือของทุกคนในสังคม ที่จะช่วยสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนร่วมกัน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
ENVIRONMENT

กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ.ภูมิอากาศ หนุนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลักดันไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 4/2567 โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่รองประธานกรรมการ และ ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ พร้อมด้วยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การประชุม กนภ. ครั้งนี้ มีมติเห็นชอบในหลักการของ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดนโยบายและกลไกส่งเสริมการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ โดยเน้นการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อผลกระทบ และการสนับสนุนกลไกทางการเงินสำหรับเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ:

  • ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก: กำหนดเป้าหมายการลดการปลดปล่อยคาร์บอน
  • กลไกการเงินคาร์บอนต่ำ: สร้างกลไกสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ปรับตัวต่อผลกระทบ: สนับสนุนทุกภาคส่วนให้พร้อมเผชิญกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ

รายงานความโปร่งใสรายสองปี (BTR1)

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบต่อ ร่างรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 (First Biennial Transparency Report: BTR1) เพื่อให้ประเทศไทยส่งรายงานนี้ไปยังสำนักเลขาธิการ UNFCCC ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ตามพันธกรณีในเวทีระหว่างประเทศ

ขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

นายประเสริฐได้มอบนโยบายแก่คณะกรรมการฯ โดยเน้นให้ทุกภาคส่วนคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ของประเทศในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อผลักดันประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

แผนปฏิบัติการในอนาคต

  • เร่งนำเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
  • เสริมสร้างศักยภาพทุกภาคส่วนในประเทศไทย ให้พร้อมรับมือกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาแนวทางเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของประเทศไทยในการเผชิญหน้ากับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเดินหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

โกโก้ราคาพุ่งทุบสถิติใหม่ ช็อกโกแลตแพง ผู้บริโภครับผลกระทบ

ราคาสูง! โกโก้พุ่งทำสถิติใหม่ ช็อกโกแลตแพงกระทบผู้บริโภค

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 สื่อบลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาสัญญาซื้อขายโกโก้ล่วงหน้า ในตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นถึง 5.5% แตะที่ 11,925 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ทุบสถิติเก่าที่ 11,722 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ราคาที่เพิ่มสูงขึ้นเกือบสามเท่าในปีนี้ ส่งผลให้ผู้ผลิตช็อกโกแลตอย่าง Hershey Co. ต้องปรับราคาขึ้น ผู้บริโภคทั่วโลกจึงได้รับผลกระทบจากราคาช็อกโกแลตที่สูงขึ้น

ปัญหาผลผลิตโกโก้จากแอฟริกาตะวันตก

ราคาที่เพิ่มขึ้นเกิดจากปัญหาการเก็บเกี่ยวใน แอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผลิตโกโก้มากที่สุดในโลก สภาพอากาศที่แปรปรวน เช่น ฝนตกหนักจนท่วมไร่โกโก้ และลมประจำฤดูกาลฮาร์มัตตัน (Harmattan) ที่ทำให้ดินแห้ง ส่งผลให้ผลผลิตโกโก้ลดลงอย่างมาก

ถึงแม้ว่าผลผลิตครอปหลักในฤดูกาลนี้จะค่อนข้างดี แต่การเก็บเกี่ยวครอปกลางซึ่งเริ่มในเดือนเมษายนกลับน่ากังวล นิคโก เดเบนแฮม ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน กล่าวว่า การพยากรณ์ฤดูกาลฮาร์มัตตันและผลกระทบจากสภาพอากาศในประเทศ ไอวอรีโคสต์ และ กาน่า จะทำให้ฤดูกาลปัจจุบันนี้เกิดภาวะอุปทานไม่เพียงพอทั่วโลก

ตลาดโกโก้สั่นคลอน

นักวิเคราะห์จาก ADM Investor Services ระบุว่า การส่งออกโกโก้จากไอวอรีโคสต์แม้ยังดีกว่าปีก่อน แต่เริ่มชะลอตัวในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์นี้สร้างความกังวลเกี่ยวกับการผลิตปีนี้ ที่อาจไม่พอเพียงต่อความต้องการใช้

ผลกระทบยังขยายไปถึงตลาดแลกเปลี่ยนในสหรัฐฯ ซึ่งปริมาณสต็อกโกโก้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดโกโก้ในนิวยอร์กและลอนดอน ราคาที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ยังดึงดูดการปิดสถานะการลงทุนในตลาด เนื่องจากต้นทุนการดำเนินการเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณความสนใจรวม (Open Interest) ในตลาดลดต่ำสุดในรอบ 10 ปี

ผลกระทบต่อผู้บริโภค

ราคาช็อกโกแลตที่สูงขึ้นในปีนี้เริ่มส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภค โดยผู้บริโภคจำนวนมากลดการซื้อช็อกโกแลตเพื่อลดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ บลูมเบิร์กนิวเอเนอร์จีไฟแนนซ์ (BloombergNEF) รายงานว่า แม้จะเผชิญอุปสรรคด้านราคาสูง แต่ในระยะยาว ความต้องการช็อกโกแลตทั่วโลกจะยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ความคาดหวังในอนาคต

ธนาคารราโบแบงก์คาดการณ์ว่าราคาโกโก้จะเริ่มลดลงในปี 2025 เนื่องจากราคาที่สูงกระตุ้นการผลิตเพิ่มขึ้น และทำให้การบริโภคลดลงในบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ความท้าทายด้านการผลิต เช่น โรคพืช และ ค่าจ้างเกษตรกรที่ต่ำ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ

การผลิตต้นโกโก้ใหม่ยังต้องใช้เวลา 3-5 ปีเพื่อให้ได้ผลผลิต การปรับตัวของเกษตรกรและนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นในแอฟริกาตะวันตกจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน

ความยั่งยืนในอุตสาหกรรม

ราคาสูงของโกโก้ในปีนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาความยั่งยืนในอุตสาหกรรมช็อกโกแลต ไม่เพียงแค่ลดผลกระทบจากสภาพอากาศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ให้มีรายได้ที่มั่นคง และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

โอกาสการเติบโตในตลาดโกโก้ยังคงมีอยู่ แต่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

นักวิจัยญี่ปุ่นพัฒนาพลาสติกย่อยสลายในทะเล ลดมลพิษไมโครพลาสติก

นักวิจัยญี่ปุ่นพัฒนาพลาสติกย่อยสลายได้ในทะเล ลดปัญหาขยะไมโครพลาสติก

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 คณะนักวิจัยที่นำโดย ทาคุโซะ ไอด้า จากศูนย์วิทยาศาสตร์สสารใหม่เกิดขึ้น (CEMS) ภายใต้สถาบันวิจัยริเค็น ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาพลาสติกชนิดใหม่ที่แข็งแรงทนทานและสามารถย่อยสลายได้ในน้ำทะเล ซึ่งเป็นการค้นพบที่อาจช่วยลดปัญหามลพิษจากไมโครพลาสติกในมหาสมุทร รายงานผลการทดลองนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Science เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ปัญหาไมโครพลาสติกและการพัฒนาวัสดุทางเลือก

ไมโครพลาสติกเป็นพลาสติกขนาดเล็กกว่า 5 มม. ที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของพลาสติกทั่วไปและไม่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ พลาสติกเหล่านี้เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศทางทะเลและอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์

แม้ว่าพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ เช่น พลาสติก PLA จะมีอยู่แล้ว แต่ปัญหาหลักคือเมื่อพลาสติกดังกล่าวหลุดรอดไปในทะเล มันไม่สามารถย่อยสลายได้ในน้ำ เนื่องจากไม่ละลายน้ำ ทำให้เกิดปัญหาไมโครพลาสติกสะสมในธรรมชาติ

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ทีมวิจัยจึงพัฒนาพลาสติกซูปราโมเลกุล (Supramolecular Plastics) ซึ่งมีโครงสร้างที่ยึดติดกันด้วยพันธะเคมีแบบย้อนกลับได้ (Reversible Interactions) โดยใช้โมโนเมอร์ไอออนิก 2 ชนิด ได้แก่ โซเดียมเฮกซะเมตาฟอสเฟต ซึ่งเป็นวัตถุเจือปนอาหาร และโมโนเมอร์กวานิดิเนียมไอออนที่สามารถย่อยสลายได้ด้วยแบคทีเรีย

ขั้นตอนการพัฒนาและคุณสมบัติพิเศษ

นักวิจัยค้นพบว่า การเชื่อมโยงโครงสร้างพลาสติกผ่าน “สะพานเกลือ” (Salt Bridges) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับพลาสติก แม้ว่าสะพานเกลือดังกล่าวจะคงตัวในสภาพปกติ แต่เมื่อสัมผัสกับอิเล็กโทรไลต์ในน้ำทะเล โครงสร้างของพลาสติกจะอ่อนตัวลงและเริ่มย่อยสลาย

การทดสอบในเบื้องต้นพบว่า เมื่อพลาสติกชนิดใหม่นี้สัมผัสกับน้ำทะเล จะย่อยสลายอย่างสมบูรณ์ในไม่กี่ชั่วโมง และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย โดยนักวิจัยสามารถนำโซเดียมเฮกซะเมตาฟอสเฟตกลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 91% และกวานิดิเนียมได้ 82% นอกจากนี้ ในการทดสอบในดิน แผ่นพลาสติกสามารถย่อยสลายได้ภายใน 10 วัน และยังช่วยเติมฟอสฟอรัสและไนโตรเจนให้กับดินคล้ายกับปุ๋ยธรรมชาติ

การใช้งานและอนาคตของพลาสติกชนิดใหม่

พลาสติกซูปราโมเลกุลชนิดใหม่นี้มีความแข็งแรงและปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดพิษ รวมถึงสามารถหลอมและขึ้นรูปได้ที่อุณหภูมิ 120°C นอกจากนี้ นักวิจัยยังสามารถปรับแต่งคุณสมบัติของพลาสติกให้เหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น พลาสติกแข็งทนต่อรอยขีดข่วน พลาสติกที่ยืดหยุ่นคล้ายซิลิโคน หรือพลาสติกที่รับน้ำหนักได้มาก

พลาสติกเหล่านี้ยังเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรม 3D Printing และการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ เนื่องจากสามารถย่อยสลายในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ เช่น น้ำทะเล

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ความสำเร็จของพลาสติกชนิดใหม่นี้อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมพลาสติกทั่วโลก โดยช่วยลดมลพิษจากไมโครพลาสติกและสนับสนุนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติในการลดขยะพลาสติกและปกป้องระบบนิเวศทางทะเล

ทาคุโซะ ไอด้า กล่าวว่า “เราสร้างพลาสติกชนิดใหม่ที่แข็งแรง เสถียร รีไซเคิลได้ และไม่ก่อให้เกิดไมโครพลาสติก ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในความพยายามแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก”

พลาสติกชนิดใหม่นี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ในด้านนวัตกรรมวัสดุที่สามารถใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมได้อีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : riken

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

K-pop กับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ซีดีที่สร้างขยะพลาสติกมหาศาล

การผลิตอัลบั้ม K-pop กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 The Jakarta Post รายงานเรื่องราวที่สะท้อนถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตอัลบั้ม K-pop โดยเฉพาะการสะสมซีดีจำนวนมากที่มาพร้อมกับแคมเปญการตลาดที่ดึงดูดใจแฟนเพลงทั่วโลก

ปัญหาการผลิตและขยะซีดี K-pop

คิม นา-ยอน แฟนเพลง K-pop ชาวเกาหลีใต้เผยว่า ในอดีตเธอเคยซื้อซีดีจำนวนมากเพียงเพื่อตามหา “โฟโต้การ์ด” หรือของสะสมจากศิลปินในอัลบั้ม จนกระทั่งเธอเริ่มตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการสะสมเหล่านี้ โดยซีดีที่ผลิตจากโพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) แม้จะสามารถรีไซเคิลได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการเฉพาะเพื่อป้องกันก๊าซพิษที่อาจปล่อยออกมา ข้อมูลจากการศึกษาของ Keele University ในสหราชอาณาจักรเผยว่า การผลิตซีดี 1 แผ่น สร้างการปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณ 500 กรัม หากคำนวณจากยอดขายรายสัปดาห์ของวง K-pop ชั้นนำ ยอดการปล่อยคาร์บอนอาจเทียบเท่ากับการเดินทางรอบโลก 74 ครั้ง

แคมเปญการตลาดและความนิยมซีดี

ถึงแม้แฟนเพลงจำนวนมากจะฟังเพลงผ่านสตรีมมิ่งแล้ว แต่ยอดขายซีดียังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2023 อุตสาหกรรม K-pop ขายซีดีได้มากกว่า 115 ล้านแผ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ยอดขายทะลุ 100 ล้านแผ่น การส่งเสริมการขายผ่านแคมเปญ เช่น การแถม “โฟโต้การ์ด” รุ่นลิมิเต็ด หรือโอกาสลุ้นวิดีโอคอลกับศิลปิน กลายเป็นแรงจูงใจให้แฟนเพลงซื้อซีดีมากขึ้น นอกจากนี้ อัลบั้มบางชุดยังออกแบบให้มีหลายปก เพื่อเพิ่มยอดขาย

โรซา เดอ จอง แฟนเพลง K-pop อีกรายกล่าวว่า การซื้ออัลบั้มเปรียบเสมือนการซื้อลอตเตอรี่ เพราะแฟนๆ ต้องการโอกาสในการได้ของสะสมหรือสิทธิพิเศษจากศิลปิน แต่กลับทำให้เกิดขยะพลาสติกสะสมในที่สาธารณะ เช่น ถนนและบันไดในกรุงโซล

การเรียกร้องให้ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

กลุ่ม Kpop4Planet ที่ก่อตั้งโดยแฟนเพลงชาวอินโดนีเซียในปี 2020 เริ่มรณรงค์ให้บริษัทบันเทิงลดการผลิตซีดีพลาสติก พวกเขาจัดการประท้วงและรวบรวมลายเซ็นเพื่อยื่นคำร้องให้บริษัทลดการใช้วัสดุพลาสติกและเปลี่ยนวิธีการตลาดที่กระตุ้นการบริโภค

HYBE บริษัทผู้จัดการวง BTS ระบุว่า บริษัทพยายามใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการผลิตอัลบั้มและสินค้า แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม ด้านกระทรวงสิ่งแวดล้อมของเกาหลีใต้พยายามลดการผลิตซีดีโดยการเก็บค่าปรับสำหรับการสร้างขยะพลาสติกตั้งแต่ปี 2003 แต่ค่าปรับเพียง 2 พันล้านวอน (ประมาณ 143,000 ดอลลาร์) ในปี 2023 กลับไม่มีผลกระทบมากนัก

แฟนเพลงยังคงสนับสนุนศิลปิน

คิม นา-ยอน ยืนยันว่า แม้เธอจะวิพากษ์วิจารณ์บริษัทบันเทิงเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่เธอไม่สามารถบอยคอตศิลปินได้ เพราะแฟนเพลงทุกคนต้องการเห็นศิลปินของตนประสบความสำเร็จ เธอเชื่อว่าปัญหานี้ต้องเริ่มแก้ไขจากการตลาดและการผลิตของบริษัทโดยตรง ไม่ใช่ตัวศิลปิน

อนาคตของอุตสาหกรรม K-pop และสิ่งแวดล้อม

ในขณะที่ยอดขายอัลบั้มพุ่งสูงขึ้น ความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมกลายเป็นความท้าทายใหญ่ของอุตสาหกรรม K-pop แฟนเพลงและกลุ่มเคลื่อนไหวต่างหวังว่าบริษัทบันเทิงจะเริ่มหันมาใช้แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยไม่กระทบต่อความนิยมของศิลปินและความสุขของแฟนเพลงทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : the jakarta post

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ไทยเร่งปรับตัวสู้วิกฤตโลกร้อน ป้องภัยอนาคตสุดร้อนแรง

ไทยต้องปรับตัวรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอด

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 หนังสือพิมพ์ Bangkok Post รายงานถึงความเร่งด่วนในการปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังส่งผลกระทบต่อทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่มีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน

ความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โลกกำลังเผชิญกับปัญหาอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และสภาพอากาศสุดขั้วที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนและเศรษฐกิจ เช่น ภูเขาไฟฟูจิในญี่ปุ่นที่ไม่มีหิมะปกคลุมในเดือนตุลาคมเป็นครั้งแรกในรอบ 130 ปี ถือเป็นสัญญาณชัดเจนของภาวะโลกร้อน

ในส่วนของประเทศไทย การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิส่งผลต่อภาคเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และเศรษฐกิจโดยรวม การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1% ของโลก แต่ประเทศไทยกลับติดอันดับ 9 ในดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Index) และประสบกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วถึง 146 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ผลกระทบสำคัญที่ประเทศไทยต้องเผชิญ

  1. น้ำท่วมและการกัดเซาะชายฝั่ง: กรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงอาจจมน้ำในอีก 30 ปีข้างหน้า เนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการทรุดตัวของดิน เช่น วัดขุนสมุทรจีนในสมุทรปราการที่กลายเป็นเกาะกลางน้ำ
  2. ภัยแล้งและคลื่นความร้อน: จังหวัดแม่ฮ่องสอนอาจมีวันปราศจากฝนถึง 100 วันต่อปี ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนน้ำและอุณหภูมิสูงถึง 40°C
  3. ผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ: ความร้อนที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อแรงงานกลางแจ้ง เช่น เกษตรกรและพนักงานขนส่ง ที่ต้องลดชั่วโมงการทำงานลง พร้อมกับเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพและลดผลิตภาพทางเศรษฐกิจ

แนวทางการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เสนอแนะ 3 กลยุทธ์หลักในการรับมือ ได้แก่

  1. การป้องกันและลดความเสี่ยง:

    • พัฒนาพันธุ์พืชที่ทนแล้ง
    • ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทนทานต่อพายุและน้ำท่วม
    • ปลูกป่าชายเลนเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
    • พิจารณาการย้ายถิ่นฐานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
  2. การเตรียมพร้อมและการตอบสนอง:

    • ระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการพยากรณ์อากาศที่น่าเชื่อถือ
    • จัดทำแผนฟื้นฟูชุมชนและระบบบริการฉุกเฉิน
  3. การฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่น:

    • มุ่งเน้นการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน
    • จัดทำระบบประกันภัยและเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม
    • หลีกเลี่ยงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น เขื่อนกั้นน้ำโดยไม่มีการศึกษาอย่างรอบคอบ

บทเรียนจากต่างประเทศ

  • เนเธอร์แลนด์: ใช้ระบบกำแพงกันน้ำที่ออกแบบจากการศึกษาสภาพแวดล้อมและความคิดเห็นของชุมชน
  • ญี่ปุ่น: ใช้เทคโนโลยี Digital Twin เพื่อจำลองสถานการณ์น้ำท่วม
  • สิงคโปร์: ลงทุนในพื้นที่สีเขียวเพื่อลดผลกระทบจากคลื่นความร้อน

การบริหารจัดการที่ยั่งยืน

รัฐบาลไทยควรตั้งกองทุน Green Transition and Adaptation Fund ผ่านการจัดเก็บภาษีคาร์บอน เพื่อสนับสนุนกลุ่มเปราะบางและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สอดรับกับอนาคต ลดการพึ่งพาการแจกเงินช่วยเหลือเฉพาะหน้า และส่งเสริมงานวิจัยเพื่อสร้างอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สรุป

ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ทั้งการป้องกัน ฟื้นฟู และพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในการพัฒนาประเทศและสร้างความยืดหยุ่นต่ออนาคตที่ร้อนขึ้นทุกวัน

นี่คือเวลาที่ประเทศไทยต้องลงมือทำอย่างจริงจังเพื่ออนาคตที่ดีกว่า!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bangkokpost

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สนุกกับ Low Carbon Tourism เที่ยวรักษ์โลก : เพื่ออนาคตยั่งยืน

#แอ่วล้ำแอ่วเหลือ: เที่ยวแบบรักษ์โลก สนุกแบบ Low Carbon Tourism

ในยุคที่โลกของเรากำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อน ผลกระทบของมันไม่ได้อยู่แค่ในข่าวสารที่เราได้ยินเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของเราอย่างชัดเจน ซึ่งต้นเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โครงการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน หรือ Low Carbon Tourism จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้ และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ทั้งสนุกและรับผิดชอบต่อโลกใบนี้

Low Carbon Tourism: เที่ยวสนุกแบบมีความรับผิดชอบ

หลายคนอาจสงสัยว่า “การท่องเที่ยวเกี่ยวอะไรกับการลดคาร์บอน?” คำตอบคือ ทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ทั้งการใช้พาหนะที่ปล่อยมลพิษ การบริหารจัดการของเสียในแหล่งท่องเที่ยว หรือแม้แต่การเลือกซื้อสินค้าในท้องถิ่น ล้วนส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น การเปลี่ยนพฤติกรรมการท่องเที่ยวเพียงเล็กน้อย เช่น การเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถสาธารณะ การเข้าพักในโฮมสเตย์ที่มีมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม หรือการเข้าร่วมกิจกรรมที่สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า สภาวะโลกร้อนในปัจจุบันส่งผลกระทบทั้บเรื่องมลพิษและก๊าซเรือนกระจก จนทำให้โลกกำลังก้าวเข้าสู่สภาวะโลกเดือด ซึ่งในอนาคตอันใกล้หากทั้งโลกไม่ช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในทุกกิจกรรมของการดำเนินชีวิต จะส่งผลให้สภาพอากาศและสมดุลทางธรรมชาติแปรปรวน ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งหมดบนโลก รวมถึงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีการเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมการท่องเที่ยวกับสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่ออกเดินทางโดยใช้พาหนะต่างๆ ตลอดจนการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของสถานประกอบการ ทำให้พบว่ามีบทบาทสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากขึ้น

โครงการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน

กรมการท่องเที่ยวได้ริเริ่มโครงการนี้ด้วยวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และชุมชนท้องถิ่น เห็นความสำคัญของการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมที่เกิดขึ้นในโครงการมีหลากหลาย ตั้งแต่การจัดอบรมพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน การสร้างต้นแบบเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน เช่น เส้นทางโฮมสเตย์ไทย หรือการท่องเที่ยวโดยชุมชน ไปจนถึงการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวระหว่างจังหวัดในหลายภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งมี 11 เส้นทางทั่วประเทศครอบคลุมทุกภูมิภาคของไทย ประกอบด้วย เส้นทางขอนแก่น – ชัยภูมิ, อุดรธานี – หนองคาย, เลย – เพชรณ์, จันทบุรี – ตราด, กาญจนบุรี – ราชบุรี, สมุทรสงคราม – สมุทรสาคร, เชียงราย – พะเยา, เชียงใหม่ – ลำปาง, อุทัยธานี – นครสวรรค์, กระบี่ – สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต – พังงา

ตัวอย่างเส้นทางที่น่าสนใจ ได้แก่

  • เชียงราย – พะเยา: ดื่มด่ำกับธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชน
  • อุดรธานี – หนองคาย: สัมผัสวัฒนธรรมอีสานและความสวยงามของแม่น้ำโขง
  • กระบี่ – สุราษฎร์ธานี: ชมทะเลสวยและการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล

ร่วมมือเพื่อความยั่งยืน

โดยการท่องเที่ยวแบบ Low Carbon ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องลดความสนุก แต่เป็นการเพิ่มมิติใหม่ของการท่องเที่ยวที่ใส่ใจโลกและช่วยสร้างความยั่งยืน ทุกก้าวเดินของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่พัก การเดินทาง หรือกิจกรรมในท้องถิ่น ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโลกใบนี้ให้คงอยู่เพื่อคนรุ่นต่อไป

อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวทิ้งท้ายว่า กิจกรรมประชาสัมพันธ์ต้นแบบเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำที่กรมการท่องเที่ยว จัดขึ้นในครั้งนี้ มุ่งหวังให้นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการทุกภาคส่วน และชุมชนท่องเที่ยว เกิดความตระหนักรู้ในเรื่อง การลดก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากทุกกิจกรรมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สร้างการมีส่วนร่วมเพื่อรับผิดชอบต่อส่วนรวมของคนในพื้นที่ สร้างเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและยั่งยืนอย่างแท้จริงตามกระแสและกฎระเบียบใหม่ของโลก

วัดร่องขุ่น อ.เมือง จ. เชียงราย

ชมวัดร่องขุ่น ศิลปะงดงามแห่งความยั่งยืน

หากพูดถึงจุดหมายปลายทางที่ทั้งงดงามและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย คงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อยู่ในใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยความวิจิตรตระการตาของสถาปัตยกรรมที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) วัดร่องขุ่นจึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศ

ความโดดเด่นของวัดแห่งนี้อยู่ที่การออกแบบอันมีเอกลักษณ์ ใช้เวลาสร้างสรรค์ยาวนานกว่า 13 ปี โดยสะท้อนถึงความรักในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการก่อสร้าง ทุกมุมมองของวัดล้วนเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ถ่ายทอดความหมายเชิงศาสนาอย่างลึกซึ้ง

นอกจากความงดงาม วัดร่องขุ่นยังยึดมั่นในแนวทางการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการขยะที่เป็นระบบ เช่น การคัดแยกขยะ การใช้เตาเผาขยะไร้ควัน และการส่งถุงพลาสติกจากนักท่องเที่ยวไปรีไซเคิล นี่คือตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวที่ไม่เพียงแต่สนุก แต่ยังใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • เวลาเปิด-ปิด: 08.00 – 17.00 น.
  • ค่าเข้าชม: คนไทยเข้าชมฟรี, ชาวต่างชาติ 100 บาท
สิงห์ปาร์ค อ.เมือง จ. เชียงราย

สถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร มีพื้นที่เกษตรกรรม ไร่ชา และธรรมชาติที่สวยงามในพื้นที่กว่า 8,000 ไร่ ในช่วงฤดูหนาวมีทุ่งดอกคอสมอส ทุ่งปอเทือง และผลไม้ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ พุทราพันธุ์ซื่อหมี่ และชาสูตรพิเศษนานาชนิดที่เป็นสูตรเฉพาะจากไร่
และยังมีกิจกรรมให้เช่าจักรยานปั่นภายในไร่ การโหนซิปไลน์ ชมไร่ชาในมุมสูงรอบทิศ 360 องศา รถรางบริการนำเที่ยวชมในไร่ตามจุดต่าง ๆ และให้อาหารสัตว์ เช่น ยีราฟ ม้าลาย อย่างใกล้ชิด

ในการเดินทางท่องเที่ยวที่เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมและเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ, สิงห์ปาร์ค ในจังหวัดเชียงรายนับเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าสนใจที่สุด ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ที่สวยงามทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบอย่างของการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

สิงห์ปาร์คได้ส่งเสริมการปลูกพืชและปลูกป่าร่วมกับชุมชน เพื่อลดการเผาป่าและการทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และควันไฟฟ้าควันอื่นๆ ที่เป็นผลพวงจากกิจกรรมเหล่านี้ นอกจากนี้ การร่วมมือกันเหล่านี้ยังช่วยให้ชุมชนมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

การดูแลแหล่งน้ำกว่า 50 บ่อที่สิงห์ปาร์คนั้นเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการรักษาความสมดุลของระบบธรรมชาติและเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่รองรับกิจกรรมการเกษตรในพื้นที่ รวมถึงการใช้เป็นแหล่งน้ำในการช่วยเหลือเหตุการณ์ดับไฟป่าที่อาจเกิดขึ้นได้

อีกทั้งการควบคุมการใช้สารเคมีต่างๆ ถือเป็นการปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อมจากการสัมผัสสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย การปฏิบัติการอย่างเข้มงวดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของสิงห์ปาร์คที่จะรักษาสุขภาพของชุมชนและความสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่

การเยือนสิงห์ปาร์คในเชียงรายจึงไม่เพียงแต่ให้ประสบการณ์ท่องเที่ยวที่สวยงามและผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่ช่วยให้ทั้งชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้รับประโยชน์ร่วมกัน นี่คือการท่องเที่ยวนอกเส้นทางที่จะทำให้ผู้เยี่ยมชมได้รับการตระหนักรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย.

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • เวลาเปิด-ปิด: 08.30 – 18.00 น.
    ค่าเข้าชม:
  • รถรางนำเที่ยว ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็กสูงไม่เกิน 110 เซ็นติเมตร 50 บาท เวลา 09.00-16.00 น.
  • ค่าเช่าจักรยาน รอบละ 2 ชั่วโมง ราคา 200 บาท เวลา 08.30-17.00 น.
  • ค่าเช่าจักรยานไฟฟ้า (E-bike) รอบละ 2 ชั่วโมง ราคา 300 บาท
  • รถกอล์ฟส่วนตัวขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่ง ระยะเวลา 2 ชั่วโมง ราคา 600-1,500 บาท
  • ค่าเช่ารถ ATV ระยะเวลา 40 นาที ราคา 1,200 บาท ระยะเวลา 1.20 ชั่วโมง ราคา 1,400 บาท
  • Zip Line คนละ 300 บาท เวลา 11.00–17.00 น.
  • สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า รอบละ 1.30 ชั่วโมง ราคา 300 บาท
  • กิจกรรมปีนผา ราคา 150 บาท เปิดทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น.
ชุมชนบ้านโป่งแดง อ.พาน จ.เชียงราย

สำรวจการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำที่ชุมชนบ้านโป่งแดง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

การท่องเที่ยวชุมชนบ้านโป่งแดงให้คุณได้เห็นแง่มุมใหม่ของการเกษตรที่ก้าวหน้าแต่ยังคงรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งได้พัฒนาจากการเกษตรแบบดั้งเดิมสู่เกษตรอัจฉริยะ หรือ “Smart Farming” ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการจัดการและปรับปรุงคุณภาพการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูง.

 

ทัวร์ชมศูนย์การเรียนรู้ Smart Farm and Smart Home

การเยี่ยมชมศูนย์ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ Smart Farm and Smart Home ที่บ้านโป่งแดงจะให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ระบบสั่งงานด้วยมือถือในการบริหารจัดการเกษตรกรรม ช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการทำงานและประโยชน์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม.

ชมการแปรรูปสมุนไพรเพื่อเพิ่มมูลค่า

ในการเดินทางครั้งนี้ คุณจะได้ชมการสาธิตการแปรรูปสมุนไพรที่ทางชุมชนได้พัฒนาขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตร การเรียนรู้วิธีการเหล่านี้จะทำให้เห็นถึงความสำคัญของการนำความรู้และเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น.

สัมผัสวิธีการผลิตข้าวเกรียบว่าวแบบดั้งเดิม

ตอนหนึ่งของการท่องเที่ยวที่ทำให้คุณได้สัมผัสความเป็นมาของอาหารพื้นบ้าน คือการดูการผลิตข้าวเกรียบว่าว ที่ยังคงรักษากรรมวิธีแบบดั้งเดิมไว้อย่างดี การรับชมขั้นตอนเหล่านี้ให้ความรู้สึกที่แท้จริงของวัฒนธรรมอาหารและการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน.

เดินป่าและกิจกรรมยิงหนังสติ๊กปลูกป่า

การเดินทางผ่านป่าชายเขาและร่วมกิจกรรมยิงหนังสติ๊กปลูกป่าเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมโดยตรงกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและการฟื้นฟูป่าไม้.

พักผ่อนที่น้ำพุร้อน

ปิดท้ายวันด้วยการแช่น้ำพุร้อนให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย สนุกสนานกับการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกเหนื่อยล้าจากกิจกรรมทั้งหมด.

การเดินทางท่องเที่ยวที่บ้านโป่งแดงไม่เพียงมอบประสบการณ์ที่สนุกสนานและสร้างความผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังให้ความรู้และมุมมองใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตร่วมกันกับโลกและชุมชนท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม.

ท่าเรือวัดติโลกอาคาม อ.เมือง จ.พะเยา

ท่าเรือวัดติโลกอาคาม: จุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ

ท่าเรือวัดติโลกอาคาม ตั้งอยู่ในจังหวัดพะเยา เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการดำเนินการที่มุ่งหวังให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ซึ่งการเลือกใช้พลังงานทดแทนและการเดินทางด้วยการขนส่งที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ถือเป็นหัวใจหลักในการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและไม่ทำลายธรรมชาติ

กิจกรรมใส่บาตรข้าวเหนียว: ประเพณีที่เชื่อมโยงกับชุมชน หนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญในท่าเรือวัดติโลกอาคามคือการใส่บาตรข้าวเหนียว ซึ่งเป็นประเพณีที่ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมของชุมชน แต่ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีความยั่งยืน โดยกิจกรรมนี้จะช่วยให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

ความยั่งยืนในการท่องเที่ยวริมกว๊านพะเยา การท่องเที่ยวริมกว๊านพะเยาเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กว๊านพะเยาเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ การสนับสนุนให้ผู้มาเยือนท่องเที่ยวด้วยการเดินทางที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้จักรยานหรือการเดินเท้า เป็นวิธีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและรักษาความงามของแหล่งท่องเที่ยวนี้

การเดินทางคาร์บอนต่ำในพื้นที่: วิธีการเดินทางที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม 

ในการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ การเลือกการเดินทางที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้จักรยาน เดินเท้า หรือรถสาธารณะที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ การใช้ยานพาหนะไฟฟ้าหรือพลังงานทดแทนก็เป็นทางเลือกที่ดีในการเดินทางไปยังท่าเรือวัดติโลกอาคามและริมกว๊านพะเยา การเลือกกิจกรรมท่องเที่ยวที่รักษาสิ่งแวดล้อม การเลือกกิจกรรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น การเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติ การเข้าร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ง่าย เป็นตัวอย่างของกิจกรรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ ข้อดีของการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น อีกทั้งยังทำให้ผู้ท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาธรรมชาติ

ประโยชน์ของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมใส่บาตรข้าวเหนียว

การเข้าร่วมกิจกรรมใส่บาตรข้าวเหนียวไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนและนักท่องเที่ยว แต่ยังเป็นการส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรมและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในรูปแบบที่ยั่งยืนการสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยการส่งเสริมให้ชุมชนใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ ช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน

การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในบริเวณกว๊านพะเยา กว๊านพะเยาเป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี การท่องเที่ยวในบริเวณนี้ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความงามของแหล่งน้ำสำคัญ แต่ยังช่วยสร้างความตระหนักในเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยการท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ บทบาทของชุมชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ชุมชนเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ พวกเขามีบทบาทในการให้ข้อมูล การแนะนำกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ: ข้อแนะนำในการวางแผนท่องเที่ยว ในการวางแผนท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ควรคำนึงถึงการเลือกกิจกรรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้ยานพาหนะที่ลดการปล่อยคาร์บอน และการพิจารณาความยั่งยืนของการเดินทาง การรักษาความสะอาดในพื้นที่ท่องเที่ยว การรักษาความสะอาดในพื้นที่ท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญ การจัดกิจกรรมทำความสะอาด หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย ช่วยลดการสะสมของขยะและรักษาความงามของสถานที่ท่องเที่ยว การลดการใช้พลังงานในการท่องเที่ยว การลดการใช้พลังงานในระหว่างการท่องเที่ยวสามารถทำได้โดยการใช้แหล่งพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ การเดินทางด้วยจักรยาน หรือการเข้าพักในที่พักที่มีการใช้พลังงานจากแหล่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อนาคตของการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำในจังหวัดพะเยา การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำในจังหวัดพะเยามีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต เนื่องจากการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและชุมชนท้องถิ่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจะช่วยรักษาความสมดุลของธรรมชาติและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว

บ้านดอกบัวท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา จังหวัดพะเยา

กิจกรรม เยี่ยมชมตลาดชุมชน / ชมสวนเศรษฐกิจพอพียง / workshop eco print  /สาธิตกาทำอาหารพื้นเมือง

การท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนวิถีชีวิตชุมชน หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือ เส้นทางการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำของชุมชนบ้านดอกบัวท่าวังทอง ในตำบลท่าวังทอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผสมผสานการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการรักษาสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว การท่องเที่ยวเส้นทางคาร์บอนต่ำที่ชุมชนบ้านดอกบัวท่าวังทอง จังหวัดพะเยา เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชนอย่างแท้จริง โดยไม่ละเลยความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว ถ้าคุณกำลังมองหาประสบการณ์ท่องเที่ยวที่แตกต่างและมีคุณค่า เส้นทางนี้คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ!

กิจกรรมที่น่าสนใจในบ้านดอกบัวท่าวังทอง

  1. เยี่ยมชมตลาดชุมชน
    ตลาดชุมชนบ้านดอกบัวเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าออร์แกนิกและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่ผลิตขึ้นโดยชาวบ้าน และงานหัตถกรรมที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของชุมชน

  2. ชมสวนเศรษฐกิจพอเพียง
    เรียนรู้วิถีชีวิตที่พึ่งพาตนเองผ่านสวนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจัดแสดงการทำเกษตรอินทรีย์ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และการปลูกพืชผักที่หลากหลายภายในพื้นที่เล็ก ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร

  3. Workshop Eco Print จากธรรมชาติ
    หนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตคือการทำ Eco Print โดยใช้ใบไม้หรือดอกไม้พิมพ์ลวดลายลงบนผ้า นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้กระบวนการที่ละเอียดอ่อน ตั้งแต่การเลือกใบไม้ในท้องถิ่น เช่น ใบสัก ใบมะม่วง ใบละหุ่ง จนถึงการนำผ้าไปนึ่งที่อุณหภูมิและเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ลวดลายและสีสันที่ไม่ซ้ำกัน

  4. สาธิตการทำอาหารพื้นเมือง
    สัมผัสเสน่ห์ของอาหารพื้นบ้านภาคเหนือผ่านการสาธิตและลงมือทำอาหารด้วยตนเอง เมนูยอดนิยม เช่น ส้มตำ  ตำมะม่วง  หรือจะลาบ ก็สร้างประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยรสชาติและความอบอุ่นจากชาวบ้าน

  5. เรียนรู้วิถีชุมชนคนลุ่มน้ำอิง
    ชุมชนบ้านดอกบัวตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำอิง นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้ระบบนิเวศที่เชื่อมโยงระหว่างเขา ป่า นา และน้ำ พร้อมกับการใช้ชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติอย่างยั่งยืน

การส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน

กรมการท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืน โดยการสนับสนุนและอบรมผู้ประกอบการให้มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการก๊าซเรือนกระจก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ชุมชนและนักท่องเที่ยวมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การลดการใช้พลาสติก การจัดการขยะอย่างเหมาะสม และการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เส้นทางนี้ ส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติ: การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

  • สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: รายได้จากการท่องเที่ยวถูกกระจายกลับไปยังชุมชน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่
  • สร้างประสบการณ์ที่ยั่งยืน: นักท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตดั้งเดิม

เครดิตภาพ : กีรติ ชุติชัย

ข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ลูกแพนด้าแดงเครียดจากพลุเสียชีวิต เรียกร้องควบคุมการใช้พลุ

แพนด้าแดงวัย 3 เดือนเสียชีวิตจากความเครียดเพราะเสียงพลุ เอดินบะระ ซู เรียกร้องกฎหมายควบคุมการใช้พลุ

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าว CNN รายงานว่า ลูกแพนด้าแดงวัยเพียง 3 เดือนที่ชื่อ “ร็อกซี่” ซึ่งอยู่ที่สวนสัตว์เอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ เสียชีวิตจากความเครียดที่เกิดขึ้นหลังได้ยินเสียงพลุในคืนวันที่ 5 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับวัน “Bonfire Night” ของสหราชอาณาจักร

ลูกแพนด้าแดงเสียชีวิตจากอาการเครียดหลังได้ยินเสียงพลุ

ร็อกซี่ ลูกแพนด้าแดงอายุ 3 เดือน ได้รับการดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมสัตววิทยาแห่งราชวงศ์สกอตแลนด์ (RZSS) หลังจากที่แม่ของมันชื่อ “จินเจอร์” เสียชีวิตก่อนหน้านี้เพียง 5 วัน แม้ทีมผู้เชี่ยวชาญจะให้การดูแลอย่างใกล้ชิดและร็อกซี่สามารถกินอาหารเองได้ แต่เสียงพลุดังสนั่นในคืน Bonfire Night กลับทำให้ลูกแพนด้าแดงตัวน้อยเกิดความเครียดอย่างรุนแรงจนถึงขั้นอาเจียนและสำลักอาเจียนของตัวเองจนเสียชีวิต

เบน ซัพเพิล รองประธานบริหารของ RZSS กล่าวว่า “เสียงพลุที่ดังมากเกินไปส่งผลให้ร็อกซี่เกิดความเครียดและอาจมีส่วนทำให้แม่ของร็อกซี่เสียชีวิตก่อนหน้านี้ เราไม่สามารถปฏิเสธความเป็นไปได้ที่พลุอาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของแม่และลูกแพนด้าแดงทั้งสองตัว”

เรียกร้องให้รัฐบาลควบคุมการใช้พลุ

RZSS ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมการใช้พลุให้เข้มงวดยิ่งขึ้น เนื่องจากพลุเป็นสาเหตุที่ทำให้สัตว์ในสวนสัตว์และสัตว์เลี้ยงทั่วไปเกิดความเครียดอย่างรุนแรง โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าสัตว์หลายตัวเสียชีวิตเนื่องจากความตกใจจากเสียงพลุ เช่น ในปี 2020 ลูกม้าลายตัวหนึ่งที่สวนสัตว์บริสตอลก็เสียชีวิตหลังตกใจจากเสียงพลุ

ข้อเสนอในการจำกัดการใช้พลุ

สวนสัตว์เอดินบะระได้เสนอให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรและรัฐบาลสกอตแลนด์พิจารณาแก้ไขกฎหมาย โดยให้จำกัดการขายพลุให้แก่สาธารณชน และอนุญาตให้ใช้พลุเฉพาะในงานที่มีการจัดแสดงอย่างเป็นทางการเท่านั้น เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสัตว์ นอกจากนี้ RZSS ยังได้สนับสนุนคำร้องสาธารณะที่มีประชาชนลงชื่อกว่า 1 ล้านคนเพื่อเรียกร้องให้มีการควบคุมการใช้พลุอย่างเข้มงวด

“การจำกัดการใช้พลุให้อยู่ในงานที่มีการจัดการอย่างเป็นระเบียบ จะช่วยลดความเครียดและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับสัตว์อย่างร็อกซี่ และในขณะเดียวกันก็ยังคงสามารถให้ประชาชนเพลิดเพลินกับการเฉลิมฉลองได้” ซัพเพิล กล่าว

การควบคุมการใช้พลุในสหราชอาณาจักร

ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรมีกฎหมายห้ามจุดพลุระหว่างเวลา 23.00 น. ถึง 7.00 น. ยกเว้นในคืน Bonfire Night วันส่งท้ายปีเก่า เทศกาลดิวาลี และวันตรุษจีน อย่างไรก็ตาม พลุยังคงสามารถซื้อได้จากผู้จำหน่ายที่ได้รับอนุญาตในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน และในช่วงก่อนเทศกาลสำคัญบางวัน

ผลกระทบต่อสัตว์และความจำเป็นในการแก้ไขกฎหมาย

จากข้อมูลของ RSPCA (สมาคมป้องกันการทารุณกรรมสัตว์แห่งสหราชอาณาจักร) พบว่า มีการรายงานเหตุการณ์ที่สัตว์แสดงความกลัวจากเสียงพลุกว่า 13,000 ครั้งในช่วงสามปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพลุมีผลกระทบทางลบอย่างมากต่อสุขภาพจิตของสัตว์เลี้ยงและสัตว์ในสวนสัตว์

นอกจากนี้ สวนสัตว์เอดินบะระยังกล่าวว่าการเสียชีวิตของร็อกซี่ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความจำเป็นในการทบทวนกฎหมายปัจจุบันเกี่ยวกับการใช้พลุ เพื่อปกป้องสุขภาพของสัตว์และลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของสัตว์ในอนาคต

โฆษกของกระทรวงการค้าและธุรกิจของสหราชอาณาจักร กล่าวเสริมว่า รัฐบาลได้เริ่มรณรงค์เกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้พลุเพื่อให้ประชาชนใช้พลุอย่างระมัดระวังและเหมาะสม พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปกป้องสัตว์เลี้ยงและประชาชนทั่วไป

ความหวังในการปรับปรุงกฎหมาย

รัฐบาลสกอตแลนด์โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความปลอดภัยชุมชน Siobhian Brown ได้กล่าวว่า รัฐบาลสกอตแลนด์มีข้อจำกัดในการปรับปรุงกฎหมายด้านการใช้พลุ แต่เธอได้ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลสหราชอาณาจักรเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มเติมในการควบคุมการใช้พลุ

ทั้งนี้ การเสียชีวิตของลูกแพนด้าแดงร็อกซี่และแม่ของมัน ถือเป็นการเตือนใจให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมการใช้พลุ และการดูแลสัตว์ในสวนสัตว์อย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : cnn

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ค้นพบปะการังยักษ์ มองเห็นจากอวกาศ อายุ 300 ปี

FAQs

  1. ปะการังขนาดยักษ์นี้ค้นพบที่ไหน?
    ค้นพบในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ใกล้หมู่เกาะโซโลมอน

  2. ปะการังนี้มีอายุเท่าไหร่?
    มีอายุมากกว่า 300 ปี และสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ

  3. ทำไมการค้นพบนี้ถึงสำคัญ?
    เพราะแสดงให้เห็นว่าปะการังยังคงสามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แม้จะมีภาวะโลกร้อน

  4. การค้นพบนี้จะช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์อย่างไร?
    อาจดึงดูดนักวิจัยและนักท่องเที่ยว เพิ่มทุนในการอนุรักษ์และการปกป้องสิ่งแวดล้อม

  5. ปะการังมีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างไร?
    เป็นแหล่งอาหารสำคัญและช่วยปกป้องชายฝั่งจากพายุและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล

ค้นพบปะการังใหญ่ที่สุดในโลกในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ เห็นได้จากอวกาศ

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ทีมนักวิทยาศาสตร์ประกาศการค้นพบครั้งใหญ่ในโลกใต้ท้องทะเล เมื่อพวกเขาค้นพบ ปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ใกล้กับหมู่เกาะโซโลมอน ซึ่งมีขนาดใหญ่ถึงกว่า 100 ฟุต และมีอายุมากกว่า 300 ปี ที่น่าทึ่งคือปะการังขนาดใหญ่นี้สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ ซึ่งนับเป็นการค้นพบที่หายากและสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการวิทยาศาสตร์ทะเล

ค้นพบครั้งสำคัญในการสำรวจของ National Geographic Pristine Seas

ปะการังขนาดยักษ์นี้ถูกค้นพบในระหว่างการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ที่นำโดยโครงการ National Geographic Pristine Seas ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อศึกษาสุขภาพของมหาสมุทรในบริเวณหมู่เกาะโซโลมอน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “Coral Triangle” พื้นที่ที่ถือว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ปะการังที่ค้นพบนี้มีขนาด ใหญ่กว่าสถิติปะการังเดิมที่เคยค้นพบในอเมริกันซามัวถึงสามเท่า และมีความยาวมากกว่าสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างปลาวาฬสีน้ำเงิน

ปะการังเดี่ยวที่เติบโตต่อเนื่องมานานหลายศตวรรษ

ต่างจากแนวปะการังทั่วไปที่ประกอบด้วยหลายโคโลนี ปะการังที่ค้นพบนี้เป็นปะการังเดี่ยวขนาดใหญ่ที่เติบโตต่อเนื่องมายาวนานกว่า 300 ปี โดยประกอบไปด้วย โพลิปนับพันล้านตัว ที่รวมตัวกันเป็นปะการังยักษ์ที่มีชีวิตชีวา จากมุมมองด้านบน ปะการังนี้ดูคล้ายกับหินขนาดใหญ่สีน้ำตาล ซึ่งทำให้ผู้สำรวจบางคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซากเรืออับปาง

การค้นพบที่สร้างความหวังให้กับการอนุรักษ์ปะการัง

การค้นพบครั้งนี้นับว่าเป็นข่าวดีในช่วงเวลาที่แนวปะการังทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหา การฟอกขาว และความเสียหายจากภาวะโลกร้อน ดร.เอมิลี่ ดาร์ลิ่ง ผู้อำนวยการด้านปะการังของ Wildlife Conservation Society กล่าวว่าการค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าปะการังยังสามารถเติบโตและมีชีวิตได้ดีในสภาวะที่เหมาะสม แม้จะอยู่ท่ามกลางวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความสำคัญของปะการังต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม

ปะการังไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล แต่ยังเป็นแหล่งอาหารสำคัญที่สนับสนุนการประมงและวิถีชีวิตของผู้คนกว่าพันล้านคนทั่วโลก นอกจากนี้ แนวปะการังยังทำหน้าที่เป็นกำแพงธรรมชาติที่ช่วยปกป้องชายฝั่งจากพายุและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล

อย่างไรก็ตาม การค้นพบครั้งนี้ยังเป็นการเตือนให้เห็นถึงภัยคุกคามที่ยังคงมีอยู่ ปะการังแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแต่ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อนและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การทำประมงเกินขนาด มลพิษจากอุตสาหกรรม และการทิ้งของเสียลงสู่ทะเล

ผลกระทบของการค้นพบต่อหมู่เกาะโซโลมอน

นายเดนนิส มาริตา ผู้อำนวยการด้านวัฒนธรรมของกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของหมู่เกาะโซโลมอนกล่าวว่าการค้นพบปะการังขนาดยักษ์นี้อาจนำไปสู่การดึงดูดนักวิจัยและนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มทุนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมเศรษฐกิจของชุมชน

ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ถึงแม้ว่าปะการังขนาดใหญ่นี้จะอยู่ในสภาพที่ดี แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานจาก องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ระบุว่าการฟอกขาวของแนวปะการังทั่วโลกในปีนี้เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้ และกว่า 40% ของปะการังที่สร้างแนวปะการังในน่านน้ำอุ่นกำลังเผชิญกับการสูญพันธุ์

ความหวังจากการค้นพบครั้งนี้

แม้ว่าแนวปะการังทั่วโลกจะอยู่ในสภาวะที่เปราะบาง การค้นพบปะการังขนาดใหญ่นี้ยังคงเป็นสัญญาณแห่งความหวัง ดร.ดีเร็ค แมนเซลโล จาก NOAA กล่าวว่า การที่ปะการังนี้สามารถดำรงชีวิตได้นานถึงหลายร้อยปีแสดงให้เห็นว่า ยังมีสภาพแวดล้อมที่สามารถสนับสนุนการเติบโตของปะการังได้ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะโลกร้อน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : cnn

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

นิวเดลีสั่งปิดโรงเรียนประถมสู้ฝุ่นพิษ PM2.5 กระทบการเดินทาง

กรุงนิวเดลีเผชิญวิกฤตฝุ่น PM2.5 สั่งปิดโรงเรียนประถมและห้ามก่อสร้างเพื่อลดมลพิษ

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 กรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ได้ประกาศมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงขึ้น ทางการสั่งให้โรงเรียนระดับประถมทุกแห่งยุติการเรียนการสอนแบบพบหน้าและหันไปใช้การเรียนออนไลน์ทันทีจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียยังประกาศห้ามการก่อสร้างที่ไม่จำเป็นในเมืองหลวง พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้ถ่านหินในการให้ความร้อน เพื่อช่วยลดมลพิษที่กำลังทวีความรุนแรง

การประกาศของหัวหน้ารัฐบาลนิวเดลีเพื่อต่อสู้กับมลพิษ

Atishi หัวหน้าคณะรัฐมนตรีกรุงนิวเดลี ซึ่งใช้ชื่อเดียว เปิดเผยบนแพลตฟอร์มโซเชียล X (เดิมคือ Twitter) ว่า “เนื่องจากระดับมลพิษที่เพิ่มสูงขึ้น โรงเรียนประถมทุกแห่งในกรุงนิวเดลีจะเปลี่ยนเป็นการเรียนออนไลน์ จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม” พร้อมกับมาตรการอื่น ๆ ที่จะเริ่มมีผลในเช้าวันศุกร์ เช่น การฉีดพ่นน้ำเพื่อลดฝุ่นบนท้องถนน และการใช้รถกวาดฝุ่นแบบเครื่องกล

สถานการณ์อากาศที่เลวร้ายลงในภาคเหนือของอินเดีย

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา พื้นที่ตอนเหนือของอินเดีย โดยเฉพาะกรุงนิวเดลี ประสบกับปัญหามลพิษที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ฝุ่นพิษและหมอกควันหนาทำให้มองไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน ส่งผลให้อนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงอย่างทัชมาฮาลซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงนิวเดลีไปประมาณ 220 กิโลเมตร ถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน เช่นเดียวกับศาสนสถานสำคัญของศาสนาซิกข์อย่าง Golden Temple ในเมืองอัมริตสาร์

ปัญหาการจราจรและเที่ยวบินล่าช้า

ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เที่ยวบินในกรุงนิวเดลีประสบปัญหาล่าช้าอย่างมาก โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ติดตามการบิน Flightradar24 ระบุว่า 88% ของเที่ยวบินขาออกและ 54% ของเที่ยวบินขาเข้าล่าช้า เนื่องจากทัศนวิสัยที่ลดลงอย่างมาก บางเที่ยวบินถึงขั้นต้องเบี่ยงเบนเส้นทางเพราะหมอกควันปกคลุมสนามบิน จนไม่สามารถมองเห็นได้ในระยะทางเกินกว่า 300 เมตร

ฝุ่น PM2.5 ระดับอันตราย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

จากการวัดระดับมลพิษในวันพุธ พบว่าค่าฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นฝุ่นขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดผ่านปอดนั้น อยู่ในระดับที่เกินคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกถึง 50 เท่า ทำให้มีเด็กจำนวนมากเข้าโรงพยาบาลในกรุงนิวเดลีด้วยอาการหอบหืดและโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ แพทย์ Sahab Ram จากภูมิภาค Fazilka ในรัฐปัญจาบกล่าวว่า “มีเด็กที่มาพบแพทย์ด้วยอาการภูมิแพ้ ไอ และหวัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงการหอบหืดเฉียบพลัน”

อากาศที่หนาวเย็นและลมสงบยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง

ทางเจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาเปิดเผยว่า อุณหภูมิต่ำสุดของกรุงนิวเดลีในวันพฤหัสบดีลดลงเหลือ 16.1 องศาเซลเซียส จาก 17 องศาเซลเซียสในวันก่อนหน้า ความชื้นสูงและลมที่เบาลงเป็นปัจจัยที่ทำให้ฝุ่นพิษสะสมอยู่ในอากาศและทำให้มลพิษอยู่ในระดับ “รุนแรง” ซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่ในช่วงวันศุกร์ ก่อนจะค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นระดับ “แย่มาก” โดยมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ระหว่าง 300-400

ศาลสูงอินเดียสั่งให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหามลพิษ

เมื่อเดือนที่แล้ว ศาลสูงสุดของอินเดียได้มีคำสั่งว่าการมีอากาศบริสุทธิ์เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน โดยสั่งให้ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษอย่างจริงจัง

สถานการณ์มลพิษในละฮอร์ ประเทศปากีสถาน

ขณะเดียวกัน กรุงละฮอร์ เมืองหลวงของจังหวัดปัญจาบ ประเทศปากีสถาน ก็ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกตามการจัดอันดับของ IQAir เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทางการปากีสถานยังพยายามหาวิธีในการสร้างฝนเทียมเพื่อลดมลพิษในเมืองนี้ โดยทางการได้จัดตั้ง “ศูนย์ควบคุมหมอกควัน” ขึ้นมาเพื่อรับมือกับปัญหานี้โดยเฉพาะ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมกรุงนิวเดลีต้องปิดโรงเรียนประถม?
    เนื่องจากระดับฝุ่น PM2.5 สูงขึ้นจนอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเด็ก ๆ จึงต้องเปลี่ยนเป็นการเรียนออนไลน์เพื่อความปลอดภัย

  2. PM2.5 คืออะไรและทำไมถึงอันตราย?
    PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่ปอดและกระแสเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจและมะเร็ง

  3. มาตรการอื่น ๆ ของนิวเดลีในการลดมลพิษคืออะไร?
    มาตรการรวมถึงการห้ามก่อสร้างที่ไม่จำเป็น ฉีดพ่นน้ำลดฝุ่น และการใช้เครื่องกวาดถนน

  4. สถานการณ์มลพิษในละฮอร์เป็นอย่างไร?
    ละฮอร์ก็ประสบปัญหามลพิษอย่างหนัก ทำให้ทางการต้องเร่งหาวิธีแก้ไข รวมถึงการพิจารณาฝนเทียม

  5. อินเดียมีมาตรการใดบ้างในการแก้ปัญหามลพิษระยะยาว?
    ศาลสูงอินเดียกำหนดให้รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างจริงจังในการรักษาสิทธิของประชาชนในการมีอากาศบริสุทธิ์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : aljazeera

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News