Categories
WORLD PULSE

วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา: “ภูมิธรรม” นำทีมเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซีย ผู้นำโลกจับตา

ภูมิธรรม” บินมาเลเซีย! เจรจาหยุดยิงไทย-กัมพูชา ผู้นำโลกเข้าร่วม ด้านไทยยังไม่มั่นใจความจริงใจกัมพูชา

ประเทศไทย, 28 กรกฎาคม 2568 – การประชุมหยุดยิงชายแดนผู้นำเอเชีย-มหาอำนาจโลกร่วมเจรจา เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นเป็นวันที่ 5 และส่อเค้าจะลุกลามจนไม่อาจควบคุมได้ รัฐบาลไทยจึงได้มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เดินทางด่วนถึงมาเลเซียในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อร่วมประชุมเจรจาหาทางยุติข้อพิพาทกับรัฐบาลกัมพูชาในเวทีนานาชาติ

การประชุมครั้งสำคัญนี้จัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐมนตรีมาเลเซีย เมืองปุตราจายา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนประจำปี เป็นผู้ชูธงความพยายามหยุดยิง และยังได้รับความร่วมมือจากนานาชาติ โดยเฉพาะเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ และจีนที่เดินทางเข้าร่วม พร้อมแรงสนับสนุนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แถลงจุดยืนต้องการให้ไทย-กัมพูชาหยุดยิงทันที และขู่งดข้อตกลงทางเศรษฐกิจกับทั้งสองประเทศหากยังสู้รบต่อ

แนวรบชายแดนเดือด – สองฝ่ายกล่าวหา ยกระดับใช้ปืนใหญ่

ความขัดแย้งปะทุขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนก่อนเมื่อเกิดเหตุปะทะระหว่างกำลังทหารชายแดน จนมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต หลังเหตุการณ์นั้นทั้งสองฝ่ายต่างระดมเสริมกำลังและกล่าวหาอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มสู้รบ จุดปะทะสำคัญครอบคลุมแนวชายแดนยาว 817 กิโลเมตร ก่อนจะยกระดับถึงขั้นยิงปืนใหญ่หนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ประชาชนสองฝั่งชายแดนเกิดความหวาดกลัวและต้องอพยพหนีภัย

นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชาได้โพสต์ผ่าน X (Twitter เดิม) ระบุเป้าหมายการประชุมครั้งนี้ว่า “ต้องหยุดยิงทันที” ตามข้อเสนอของโดนัลด์ ทรัมป์ และตกลงระหว่างสองฝ่าย ขณะที่กัมพูชายังคงเรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามไทยและกล่าวหาว่าไทยโจมตีพลเรือน

ในด้านไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เปิดเผยต่อสื่อมวลชนก่อนออกเดินทางว่า “เราไม่มั่นใจในกัมพูชา การกระทำที่ผ่านมาไม่แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา กัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เราทุกคนต้องการสันติภาพ” ท่าทีนี้สะท้อนความไม่ไว้วางใจและข้อกังขาต่อความตั้งใจจริงของอีกฝ่าย

วิกฤตการทูตโยงถึงความมั่นคงภายใน – รัฐบาลผสมไทยเกือบล่มสลาย

สถานการณ์ที่ร้อนแรงบนแนวชายแดนในรอบ 10 ปีนี้ ไม่เพียงสั่นคลอนเสถียรภาพระหว่างประเทศ หากแต่ยังสั่นสะเทือนเสถียรภาพรัฐบาลผสมของไทยที่เปราะบางจากแรงกดดันการเมืองภายใน วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา จึงเป็นทั้งโจทย์ทางทูตและความมั่นคงที่มีผลต่อเนื่องถึงอนาคตการเมืองไทย

แถลงการณ์ 3 องค์กรสื่อ ยกระดับจรรยาบรรณ-ห่วงสงครามข่าวสารยุคดิจิทัล

ในภาวะที่ข่าวสารไหลหลากอย่างรวดเร็ว สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP), สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ “ขอความร่วมมือการรายงานข่าวความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา” โดยมีข้อปฏิบัติที่เข้มงวดสำหรับสื่อมวลชน เพื่อป้องกันข้อมูลผิดพลาด สร้างความเกลียดชัง หรือกระทบต่อขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ เช่น ห้ามเปิดเผยพิกัดทหาร งดการรายงานสดขณะยังมีปฏิบัติการ งดหัวข่าวเกินจริง และตรวจสอบข่าวที่แชร์ในโซเชียลก่อนเผยแพร่

นอกจากนี้ ยังเน้นให้สื่อไทยระวังการถูกโจมตีทางไซเบอร์ หลังเกิดปฏิบัติการ DDoS กับสื่อที่ใช้ชื่อไทย, Thai, Thailand จากฝั่งกัมพูชา โดยแนะนำประสานสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์และขอความช่วยเหลือจาก กสทช. และกระทรวงดิจิทัลฯ

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์(SONP) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้ร่วมหารือกันเป็นวาระพิเศษในประเด็นแนวทางการรายงานข่าวท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อขอแสวงหาความร่วมมือกับสื่อมวลชนในการรายงานข่าวและเพื่อแก้ไขปัญหาการสื่อสารในภาวะวิกฤตตามที่ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบดังนี้

  1. ห้ามเปิดเผยที่ตั้งทางทหาร ชื่อ ผบ.หน่วย อาวุธหรือยุทโธปกรณ์ที่ใช้
  2. งดการรายงานสดในพื้นที่ขณะที่ยังมีปฏิบัติการทางทหารอยู่
  3. ระมัดระวังการให้ข่าวที่ทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ปฏิบัติหน้าที่
  4. หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าว-ภาพข่าว ที่บ่งบอกหรือสร้างความเข้าใจผิดถึงความรุนแรงของฝ่ายไทย ที่เกินสัดส่วนของการตอบโต้
  5. ตรวจสอบข่าวที่ถูกแชร์ต่อๆ มา ทางโซเชียลมีเดียกับหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงก่อนนำมาเผยแพร่
  6. ไม่ควรนำเสนอข่าวที่มีลักษณะเป็นการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
  7. หลีกเลี่ยงการวิเคราะห์ข่าวโดยไม่มีข้อมูลสนับสนุน เพราะอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด หรือเกิดความตื่นตระหนก
  8. ระมัดระวังการพาดหัวข่าวที่ใช้ถ้อยคำเกินจริงเพื่อดึงความสนใจ
  9. ไม่สัมภาษณ์ ถ่ายภาพ หรือเปิดเผยภาพเจ้าหน้าที่ในขณะปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงภัย โดยไม่ได้รับอนุญาต
  10. เคารพสิทธิส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่และครอบครัวผู้ที่สูญเสีย
  11. คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ

ที่ประชุมยังมีการหารือและมีข้อเสนอแนะต่อการสื่อสารของหน่วยงานรัฐ ดังนี้

  1. ขอให้หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลที่สร้างด้วย AI
  2. ต้องกำชับการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในทุกช่องทาง ต้องไม่สร้างความสับสนและข้อมูลขัดแย้งกันเอง เพื่อลดความสับสนของประชาชน
  3. ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่เผยแพร่ข่าวสาร เพื่อลดการใช้ภาษายั่วยุ รุนแรงและใช้ความคิดเห็นส่วนตัวในการนำเสนอข้อมูลในภาวะที่ประชาชนต้องการข้อเท็จจริง
  4. เสนอให้จัดทำแนวปฏิบัติให้ชัดเจนและสามารถปฏิบัติที่ตรงกันทุกหน่วยงานในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์ปัจจุบัน

วิกฤตทูต-สื่อ-ไซเบอร์และโจทย์ความไว้วางใจในภูมิภาค

การเดินทางของผู้นำไทยไปมาเลเซียครั้งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจตัดสินอนาคตของข้อพิพาท ซึ่งอยู่บนความเปราะบางของความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ขณะที่บทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และการมีส่วนร่วมของมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ และจีน สะท้อนถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อเสถียรภาพระหว่างประเทศ

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา

  • ความจริงใจของคู่เจรจา: ท่าทีไม่มั่นใจในความจริงใจของกัมพูชาและความไม่ไว้วางใจที่สั่งสมมา ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ในการหยุดยิงที่ยั่งยืน
  • วิกฤตการทูตกับเสถียรภาพการเมือง: วิกฤตชายแดนโยงถึงความเปราะบางของรัฐบาลไทย กระทบทั้งการเมืองภายในและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  • ภัยไซเบอร์-สงครามข้อมูล: สงครามข่าวสารและการโจมตีระบบสื่อด้วยเทคนิค DDoS ยกระดับความซับซ้อนของความขัดแย้งในยุคดิจิทัล
  • บทบาทของสื่อกับจรรยาบรรณ: ข้อเสนอของ 3 องค์กรสื่อ ช่วยลดความสับสน รักษาความน่าเชื่อถือของข้อมูล และป้องกันการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชน

ข้อเสนอแนะต่อทุกภาคส่วน

การเจรจาหยุดยิงนี้จึงต้องอาศัยทั้งความจริงใจของคู่ขัดแย้ง การเป็นกลางของผู้ไกล่เกลี่ย และความรับผิดชอบของสื่อและรัฐในการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง รอบคอบ และลดการยั่วยุ เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์บานปลายจนกระทบต่อชีวิตประชาชนและเสถียรภาพของภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าวต่างประเทศ (AP, Reuters, Nikkei Asia, CNA)
  • สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP)
  • สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
  • สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • กระทรวงการต่างประเทศไทย
  • รายงานข่าวจากสนามชายแดน/ศูนย์ข่าวมาเลเซีย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ความร่วมมือรอบด้าน RBC ไทย-เมียนมา ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สังคมชายแดนอย่างยั่งยืน

RBC ไทย-เมียนมา จากความมั่นคงชายแดน สู่ความร่วมมือเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนชายแดนที่ยั่งยืน

พลวัตความสัมพันธ์ไทย-เมียนมา RBC ก้าวข้ามขอบเขตทหาร สู่ความร่วมมือรอบด้าน

เชียงใหม่, 15 กรกฎาคม 2568 – ในยุคที่ความมั่นคงของชาติไม่ได้วัดจากอาวุธหรือกำลังทหารเท่านั้น การขับเคลื่อนความร่วมมือชายแดนโดยกลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ไทย-เมียนมา กลับกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความสงบสุขให้กับประชาชนชายแดนทั้งสองประเทศมากว่าทศวรรษ จุดเริ่มต้นของ RBC เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2533 จากบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมา ได้กลายเป็นเส้นทางสายหลักของการสานสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีความหลากหลายเชิงภูมิรัฐศาสตร์และความซับซ้อนของบริบทพื้นที่

วิวัฒนาการของ RBC จากความมั่นคงทหาร สู่ความมั่นคงชีวิต

หากย้อนไปในอดีต RBC ก่อตั้งขึ้นเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาความมั่นคงบริเวณชายแดน เช่น การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การป้องกันการลักลอบเข้าเมือง และการควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบ อย่างไรก็ตาม ตลอด 34 ปีที่ผ่านมา RBC ได้ปรับตัวและขยายขอบเขตความร่วมมือไปไกลกว่ามิติทางทหาร สู่ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม มนุษยธรรม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนริมชายแดน ผลลัพธ์สำคัญคือการเปลี่ยนแนวคิด “ชายแดนแห่งภัยคุกคาม” ให้กลายเป็น “ชายแดนแห่งสันติภาพและโอกาส”

องค์ประกอบการขับเคลื่อนกลไก RBC การผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชนเพื่อทุกชีวิตริมชายแดน

โครงสร้างของ RBC ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 นั้นแข็งแกร่งด้วยการมีส่วนร่วมของแม่ทัพภาค ผู้บังคับหน่วยทหาร ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ติดชายแดน และตัวแทนส่วนราชการอื่น ๆ รวมทั้งการประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนและประชาสังคมสองประเทศ กลไกดังกล่าวช่วยให้การแก้ปัญหาและส่งเสริมโอกาสในพื้นที่ชายแดนมีประสิทธิภาพและรอบด้านมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความมั่นคง การค้าชายแดน การท่องเที่ยว การศึกษา หรือการบรรเทาสาธารณภัย

ประชุม RBC ครั้งที่ 37 ตอกย้ำพันธกิจความร่วมมือไทย-เมียนมา

ระหว่างวันที่ 2-4 กรกฎาคม 2568 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค RBC (ไทย-เมียนมา) ครั้งที่ 37 โดยมีพลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 (ฝ่ายไทย) และพลโท ยุ้น วิน ส่วย (ฝ่ายเมียนมา) เป็นประธานร่วม ถือเป็นเวทีสำคัญในการต่อยอดภารกิจและวางแนวทางความร่วมมือในอนาคต ประเด็นหลักที่หารือร่วมกันมีทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และมนุษยธรรม

  • การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำกองทัพ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในทุกระดับ
  • การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และค้ามนุษย์ ร่วมมือกันสกัดภัยคุกคามในพื้นที่ชายแดน
  • การเปิดจุดผ่านแดนเพื่อการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจฐานราก
  • โครงการหมู่บ้านคู่ขนาน ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตในหมู่บ้านแนวชายแดนสองฝั่ง
  • การแก้ปัญหาความไม่สงบในเมียนมา ป้องกันผลกระทบที่อาจลามถึงความมั่นคงและมนุษยธรรมในไทย
  • การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ร่วมแก้ปัญหาน้ำท่วมและกัดเซาะสองฝั่งแม่น้ำ

RBC ในยุคเปลี่ยนผ่าน โอกาสและความท้าทายของไทย-เมียนมา

สถานการณ์โลกปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ RBC ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความมั่นคงระยะสั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสร้างเสถียรภาพระยะยาวโดยเฉพาะกับ 17 จังหวัดภาคเหนือของไทย RBC คือหลักประกันความมั่นคงชายแดนที่เชื่อมโยงปัจจัยท้องถิ่นกับภูมิภาคและระดับโลกอย่างเป็นระบบ

พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ฝ่ายไทย เน้นย้ำความพร้อมของกองทัพบกและภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะสนับสนุนความมั่นคง และบูรณาการกำลังพล ยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการช่วยเหลือประชาชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน สะท้อนบทบาทใหม่ของทหารไทยในฐานะ “ผู้พิทักษ์ประชาชน”

ในมิติการพัฒนาเศรษฐกิจ RBC ส่งเสริมให้เกิดการเปิดจุดผ่านแดน การค้าชายแดนและการลงทุน อันนำไปสู่การสร้างงาน กระจายรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อีกทั้งยังสนับสนุนโครงการหมู่บ้านคู่ขนานและการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมระหว่างกัน

RBC คือโมเดลความร่วมมือชายแดนเพื่ออนาคต

แม้ยังมีความท้าทายจากสถานการณ์ภายในเมียนมาและปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ซับซ้อน แต่ RBC พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นกลไกแห่งความหวัง ที่ผลักดันให้ชายแดนกลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาส สันติภาพ และความมั่นคงในทุกมิติ

RBC เป็นต้นแบบความร่วมมือข้ามพรมแดนที่สามารถปรับใช้กับภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความซับซ้อนด้านชาติพันธุ์ เศรษฐกิจ หรือปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ หากประเทศเหล่านั้นเลือกสร้างกลไกการพูดคุยร่วมกัน วางพื้นฐานจากความเชื่อใจและยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ความมั่นคงจะขยายไปสู่ความผาสุกของประชาชนทุกชาติอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการ RBC 9 เมษายน 2533
  • ข่าวสารประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 3
  • ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมประชุม RBC ครั้งที่ 37
  • รายงานการประชุม RBC และข้อมูลการพัฒนาชายแดนไทย-เมียนมา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“ระเบิดสะพานโจร”ตำรวจผนึก 32 หน่วยงาน ใช้ไม้แข็งชายแดน

เชียงรายเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฉก.88 จับมือ 32 หน่วยงาน ใช้มาตรการ “ระเบิดสะพานโจร” หวังเห็นผลใน 3 เดือน

แถลงข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

กรุงเทพฯ, 21 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) เป็นประธานการประชุมสำคัญร่วมกับผู้บัญชาการระดับสูงและตัวแทนจาก 32 หน่วยงาน เพื่อกำหนดทิศทางปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบใหม่

ตั้งคณะทำงานตามนโยบายนายกรัฐมนตรี

การประชุมในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากคำสั่งของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 83/2568 ที่ให้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน โดยเน้นการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อควบคุมอาชญากรรมชายแดนที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้น โดยเฉพาะการลักลอบเข้า-ออกประเทศ และการใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

รายงานสถานการณ์ปัจจุบันของอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์

ในการประชุมมีการรายงานสถานการณ์ล่าสุดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งมีพฤติกรรมเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ โดยอาศัยช่องว่างชายแดนไทย-เมียนมา และไทย-กัมพูชา เป็นทางผ่าน ผู้ต้องหาส่วนใหญ่อ้างว่าเป็นเหยื่อค้ามนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี แต่จากการตรวจสอบเชิงลึกพบว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้มีพฤติกรรมร่วมกระทำความผิดอย่างมีนัยสำคัญ

สถิติการจับกุมล่าสุด

ในการปฏิบัติการฝั่งประเทศกัมพูชา มีการจับกุมผู้เกี่ยวข้องชาวไทยจำนวน 175 คน ซึ่งไม่พบว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์แต่อย่างใด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินคดีในประเทศไทยใน 4 ข้อหาหลัก ได้แก่

  1. สมคบคิดฉ้อโกงประชาชน
  2. ฟอกเงิน
  3. กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
  4. มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

นโยบาย “ระเบิดสะพานโจร” สกัดวงจรอาชญากรรม

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ได้รับการกล่าวถึงในที่ประชุมคือ “ระเบิดสะพานโจร” ซึ่งเน้นการตัดวงจรเชื่อมโยงของอาชญากรรมทุกมิติ ประกอบด้วย:

  1. ปราบปรามเทคโนโลยีสนับสนุนอาชญากรรม
  • ดำเนินการตัดสายเคเบิลเถื่อน
  • ทำลายเสาสัญญาณเถื่อน
  • ปิดกั้นซิมผี
  • วิเคราะห์ข้อมูลจาก IP address เพื่อระบุแหล่งต้นตอของแก๊ง
  1. ควบคุมเส้นทางการเงินทั้งระบบธนาคารและคริปโต
  • ตรวจสอบการเปิดบัญชีม้า
  • ติดตามการถอนเงินบริเวณแนวชายแดน
  • ปิดช่องโหว่การขนเงินสดข้ามแดน
  • วิเคราะห์เครือข่ายบัญชีคริปโตเพื่อหาจุดเชื่อมโยงถึงหัวหน้าเครือข่าย
  1. ควบคุมการเดินทางเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด
  • ตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัย
  • ปิดช่องทางธรรมชาติที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • สกัดไม่ให้ไทยกลายเป็นทางผ่านของแรงงานผิดกฎหมายและกลุ่มแก๊ง

การวิเคราะห์เชิงนโยบาย

พล.ต.อ.ธัชชัย ระบุว่า ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในยุคปัจจุบันถือเป็นภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่หรือ “สงครามไซเบอร์” (Cyber War) ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการของทุกหน่วยงานอย่างแท้จริง ไม่เพียงแค่การใช้กำลังหรือกฎหมาย แต่ต้องควบคู่กับการวิเคราะห์ข้อมูล ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของเจ้าหน้าที่รัฐ

ความหวังในระยะ 3 เดือน

เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจนในการประชุมครั้งนี้คือ การทำให้มาตรการปราบปรามเห็นผลสัมฤทธิ์ภายใน 3 เดือน โดยมีการวางตัวชี้วัด (KPI) ครอบคลุมทั้งด้านการจับกุม ด้านการปราบเทคโนโลยีสนับสนุนอาชญากรรม และด้านการป้องกันล่วงหน้า

บทสรุปและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องอาศัยทั้งยุทธศาสตร์ระยะสั้นและระยะยาว โดยต้องเน้นการสร้างฐานข้อมูลกลาง การสื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจไม่ร่วมสนับสนุนการกระทำผิด การขยายความร่วมมือระหว่างประเทศ และการใช้เครื่องมือทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการปฏิรูปกระบวนการรับข้อมูลข่าวสารในพื้นที่แนวชายแดนให้รวดเร็วและเท่าทันสถานการณ์

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า ปี 2567 มีการแจ้งความเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั่วประเทศมากกว่า 13,200 คดี
  • ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของไทยเผยว่า ปี 2566 มีประชาชนถูกหลอกโอนเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากกว่า 1.6 แสนราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 38,000 ล้านบาท
  • รายงานของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) ระบุว่า เฉพาะไตรมาสแรกของปี 2568 มีการจับกุมซิมผีและบัญชีม้าแล้วกว่า 6,000 รายการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
  • กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
  • ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

PEA ป้องกันความมั่นคงไทย ยุติจ่ายไฟบางพื้นที่ชายแดน ‘เมียนมา’

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคชี้แจงสถานการณ์จ่ายกระแสไฟฟ้าให้เมียนมา พร้อมมาตรการป้องกันความเสียหายต่อประเทศ

เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 นายประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ได้แถลงชี้แจงสถานการณ์การจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในปัจจุบัน โดยปัจจุบัน PEA จ่ายกระแสไฟฟ้าผ่าน 5 จุดสำคัญ ดังนี้:

  1. บ้านเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู (รัฐมอญ)
  2. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก (รัฐฉาน)
  3. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก (รัฐฉาน)
  4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 – อ.เมียวดี (รัฐกะเหรี่ยง)
  5. บ้านห้วยม่วง – อ.เมียวดี (รัฐกะเหรี่ยง)

การระงับจ่ายไฟฟ้าบางจุดในปี 2566-2567

นายประสิทธิ์เปิดเผยว่า ในปี 2566 สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทยได้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยประสานให้ PEA ระงับการจำหน่ายไฟฟ้าใน 2 จุด ได้แก่

  • บ้านวังผา อ.แม่ระมาด – บ้านก๊กโก๋ อ.เมียวดี
  • บ้านแม่กุใหม่ท่าซุง – อ.เมียวดี

นอกจากนี้ ในปี 2567 พื้นที่จุดจำหน่ายไฟฟ้า อ.เชียงแสน – เมืองพงษ์ จ.ท่าขี้เหล็ก ถูกยกเลิกเนื่องจากคู่สัญญาผิดนัดชำระค่าไฟฟ้า ส่งผลให้ PEA ยกเลิกจุดซื้อขายไฟฟ้าทั้ง 3 จุดดังกล่าวเพื่อป้องกันปัญหาทางเศรษฐกิจและความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้น

ความร่วมมือเพื่อความมั่นคงและการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ

PEA ยืนยันว่าได้ดำเนินการร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงทั้งในประเทศไทยและเมียนมาอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้กลุ่มมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์นำสัญญาณโทรศัพท์จากไทยไปใช้กระทำความผิด ทั้งนี้ มาตรการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าในบางพื้นที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันประชาชนจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงป้องกันผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ

PEA ยังย้ำว่าการดำเนินมาตรการดังกล่าวจะไม่กระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าภายในประเทศหรือระบบสื่อสารทั่วไป พร้อมแสดงความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนและผู้ใช้บริการทุกภาคส่วน

การบริหารจัดการในระยะยาว

เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ PEA ระบุว่าพร้อมดำเนินการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและควบคุมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้มั่นใจว่าการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่ชายแดนสามารถดำเนินไปได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

PEA ยังได้เรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันสอดส่องและแจ้งเบาะแสกรณีพบการกระทำผิดหรือสถานการณ์ที่น่าสงสัยที่อาจส่งผลต่อความมั่นคง เพื่อร่วมกันป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่:

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โทร. 1129
เว็บไซต์: www.pea.co.th

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองสื่อสารภาพลักษณ์องค์กร ฝ่ายบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รองนายกฯ ตรวจชายแดนเชียงราย คุมเข้มยาเสพติด-ค้ามนุษย์

รองนายกฯ ตรวจเยี่ยมหน่วยเรือโขง ย้ำแก้ปัญหายาเสพติด-ค้ามนุษย์เชิงรุก

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ไตรศักดิ์ อินทรรัสมี เลขานุการ รมว.กลาโหม และ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) ที่สถานีเรือเชียงของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติด ค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วนที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี

ตรวจเยี่ยมและวางแผนแก้ปัญหาชายแดน

ภายหลังรับฟังการบรรยายสรุป รองนายกฯ และคณะได้ขึ้นเรือตรวจการณ์เพื่อสำรวจภูมิประเทศและเยี่ยมชมสถานีเรือเชียงแสน ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำถึงบ้านหาดบ้าย รวมระยะทาง 39 กิโลเมตร และสถานีเรือเชียงของที่รับผิดชอบตั้งแต่บ้านหาดบ้ายถึงแก่งผาได รวมระยะทาง 57 กิโลเมตร โดยพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุม 34 หมู่บ้านใน 8 ตำบลของ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น รวมระยะทางตามลำน้ำโขงทั้งหมด 96 กิโลเมตร

ผลการปฏิบัติการในรอบ 3 เดือน

ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2567 หน่วยงาน นรข. สามารถตรวจยึดยาเสพติดได้กว่า 15 ล้านเม็ด เฮโรอีน 56 กิโลกรัม และไอซ์ 135 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท รวมถึงการตรวจยึดของกลางอื่น ๆ เช่น รถยนต์ บุหรี่ต่างประเทศ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท และจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายได้ 30 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวลาวและจีน

แนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมชายแดน

รองนายกฯ ระบุว่าการปฏิบัติการเชิงรุกจะเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและสกัดกั้นในพื้นที่ชายแดน โดยมีแผนดำเนินงานแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ

  1. แนวชายแดน: สนธิกำลังระหว่างกองกำลังป้องกันชายแดน ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยทหารในพื้นที่
  2. พื้นที่ตอนใน: ประสานงานระหว่างตำรวจ นายอำเภอ ฝ่ายปกครอง และฝ่ายความมั่นคง โดยตั้งจุดตรวจและชุดปฏิบัติการลงพื้นที่

โครงการดังกล่าวจะเริ่ม Kick Off ในวันที่ 30 มกราคม 2568 โดยมีการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน และจะประเมินผลทุก 6 เดือน เพื่อสร้างความมั่นคงและลดปัญหายาเสพติดในระยะยาว

เป้าหมายปี 2568

รองนายกฯ ย้ำว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาจะมุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามเชิงรุก พร้อมสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงในพื้นที่ โดยเฉพาะการลดบทบาทของผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อให้ประเทศไทยปลอดจากปัญหานี้ในปี 2568

กิจกรรมในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและยกระดับความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

กองทัพภาคที่ 3 เดินหน้าโครงการหมู่บ้านเข้มแข็งชายแดนเสริมมั่นคงยั่งยืน

โครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน เสริมสร้างความมั่นคงและสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 กองทัพบกได้เปิดเผยถึงความสำคัญของโครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน ซึ่งดำเนินการในพื้นที่ความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 โดยเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาชุมชนชายแดนให้มีความมั่นคง ยั่งยืน และพึ่งพาตนเองได้

ที่มาและการดำเนินโครงการ

โครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2549 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 ปัจจุบันมีหมู่บ้านเข้าร่วมทั้งหมด 48 หมู่บ้าน แบ่งออกเป็นพื้นที่กองกำลังนเรศวร 24 หมู่บ้าน ในจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน และพื้นที่กองกำลังผาเมืองอีก 24 หมู่บ้าน ครอบคลุม 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน และอุตรดิตถ์

กิจกรรมหลักของโครงการ

ในปีงบประมาณ 2568 กองทัพบกได้กำหนดแผนงานสำคัญ 5 ด้านเพื่อพัฒนาหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนาน ได้แก่:

  1. การมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาชุมชนร่วม
    ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนเพื่อสร้างความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเอง
  2. การน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชา
    สนับสนุนการแก้ปัญหาความยากจนและส่งเสริมความยั่งยืนในชุมชน
  3. การส่งเสริมวัฒนธรรมและกีฬาพื้นบ้าน
    สร้างความสามัคคีในชุมชนผ่านกิจกรรมวัฒนธรรมและกีฬา
  4. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
    ส่งเสริมการดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
  5. การป้องกันภัยในชุมชน
    พัฒนาความพร้อมของชุมชนในการรับมือกับภัยพิบัติ

หมู่บ้านเป้าหมายในพื้นที่กองกำลังนเรศวร

  • จังหวัดตาก: อุ้มผาง, แม่ระมาด, แม่สอด, พบพระ, ท่าสองยาง
  • จังหวัดแม่ฮ่องสอน: เมือง, ขุนยวม, ปางมะผ้า, แม่สะเรียง

หมู่บ้านเป้าหมายในพื้นที่กองกำลังผาเมือง

  • จังหวัดเชียงใหม่: เวียงแหง, เชียงดาว, ฝาง, แม่อาย
  • จังหวัดเชียงราย: แม่สาย, แม่ฟ้าหลวง, เชียงแสน, เชียงของ, เวียงแก่น
  • จังหวัดพะเยา: ภูซาง
  • จังหวัดน่าน: เฉลิมพระเกียรติ, ทุ่งช้าง, สองแคว
  • จังหวัดอุตรดิตถ์: บ้านโคก

ความสำคัญของโครงการ
กองทัพบกมุ่งมั่นสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ชายแดนผ่านการดำเนินโครงการนี้ โดยเน้นการแก้ไขปัญหาความมั่นคงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เกิดสันติสุขและความมั่นคงในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

การมีส่วนร่วมของประชาชน


กองทัพภาคที่ 3 ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อร่วมกันสร้างหมู่บ้านที่เข้มแข็ง มีความมั่นคง และพร้อมรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคต

โครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานนี้ไม่เพียงแต่สร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน แต่ยังส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค สร้างความสมานฉันท์ในชุมชน และพัฒนาให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE