Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กาแฟเชียงรายผงาด! กวาดรางวัลสุดยอดกาแฟไทยปี 2568 สะท้อนศักยภาพระดับชาติ

 “สุดยอดกาแฟไทย” จากเวทีประกวดสู่ยุทธศาสตร์ชาติ: ถอดบทเรียนการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยและแรงขับเคลื่อนจากภาคเหนือ

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 – ตัวเลขคุณภาพขยับขึ้นจริง ปี 2567 ผู้ชนะสายอะราบิกากระบวนการแปรรูปแบบแห้งทำคะแนนแตะ 91.00 คะแนน (ระดับ “Outstanding” ตามเกณฑ์ SCA) ตอกย้ำศักยภาพกาแฟพิเศษไทยบนมาตรฐานสากล และสะท้อน “เพดานคุณภาพ” ที่ยกสูงกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

  • มาตรฐานเดียวกับโลก: การประกวดใช้ เกณฑ์ SCA พร้อมโครงสร้างประกาศนียบัตรเป็นขั้นบันได (Outstanding/Excellent/Very Good/ชมเชย) ช่วยให้เกษตรกร “เห็นเป้าหมาย–รู้ช่องว่าง–ปรับปรุงได้จริง” และทำให้คะแนนเป็น “ภาษากลาง” ระหว่างผู้ผลิต–ผู้คั่ว–ผู้ซื้อ
  • นโยบายเชื่อมคุณภาพกับสิ่งแวดล้อม: กรมวิชาการเกษตรวางตำแหน่งโครงการเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนคุณภาพ ควบคู่ เป้าหมายสาธารณะ เช่น การเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพและสนับสนุนแนวทางลด PM2.5 ในภาคเกษตร สะท้อน “ผลลัพธ์พหุมิติ” ที่เกินกว่าการแข่งขัน
  • เหนือยังเป็นหัวรถจักร: รายชื่อผู้ชนะปี 2567 กระจุกตัวในภาคเหนืออย่างโดดเด่น (เช่น บ้านมณีพฤกษ์ จ.น่าน) และปี 2568 มีผู้ส่งตัวอย่างจากเชียงรายจำนวนมาก ชี้ทิศทาง “อัตลักษณ์แหล่งปลูก” (origin identity) ที่ชัดขึ้น และโอกาสต่อยอดเป็นแบรนด์พื้นที่/ท่องเที่ยวเชิงเกษตร

รายงานเชิงลึก

เช้าตรู่ปลายฤดูฝนของเชียงราย กลิ่นดินชื้นและเมฆต่ำเหนือดอยเป็นคิวสำคัญของฤดูกาลกาแฟ ขณะเดียวกัน “เส้นกราฟคุณภาพ” ของกาแฟไทยก็พุ่งสูงขึ้นเงียบ ๆ หากดูเพียงภายนอก การประกวดอาจเป็นเรื่องของถ้วยรางวัลและชื่อเสียง แต่สำหรับห่วงโซ่กาแฟไทย “เวทีประกวดสุดยอดกาแฟไทย (Thai Coffee Excellence)” ถูกออกแบบให้เป็น เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์: ตั้งคะแนนเป็นเข็มทิศ กำหนดมาตรฐานร่วม และเชื่อมผู้ผลิตกับตลาดคุณภาพทั่วโลก

จากเวทีแข่งขันสู่เครื่องมือพัฒนา

หัวใจของการประกวดที่กรมวิชาการเกษตรเป็นเจ้าภาพ คือการวัดคุณภาพด้วย มาตรฐาน SCA (Specialty Coffee Association) ซึ่งเป็น “ภาษากลาง” ของอุตสาหกรรมกาแฟพิเศษทั่วโลก ระบบคะแนน (Cupping Score) ทำให้ผู้ซื้อ–ผู้ขาย–ผู้คั่ว เข้าใจตรงกันว่า “กาแฟถุงนี้” อยู่ในระดับใด และควรตั้งราคาหรือพัฒนาต่ออย่างไร โดยทั่วไป กาแฟที่ทำคะแนน ตั้งแต่ 80 คะแนน ขึ้นไปจึงถือเป็น “กาแฟพิเศษ” และยิ่งแตะ 85/90 คะแนน ความโดดเด่นทางรสชาติยิ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดสากล* (ดูกรอบมาตรฐาน SCA)

หมายเหตุ: ประกาศอย่างเป็นทางการของการประกวดไทยปี 2567 ใช้กรอบประกาศนียบัตร 5 ระดับ ได้แก่ Outstanding (90–100), Excellent (85–89.99), Very Good (80–84.99), ชมเชย (80–83.99 ในประกาศเฉพาะส่วน) และประกาศนียบัตรกรมวิชาการเกษตรสำหรับคะแนนต่ำกว่า 80 ซึ่งสื่อสารชัดเจนถึง “ขั้นบันไดคุณภาพ” ให้ผู้ผลิตใช้เป็นเป้าหมายในการพัฒนา

หลักฐานเชิงคุณภาพ คะแนนทะลุ 90 และรายชื่อผู้ชนะ

ปี 2567 นับเป็น “หมุดหมาย” ของกาแฟไทย เมื่อผู้ชนะสาย อะราบิกา – กระบวนการแห้ง (Natural) อย่าง นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ จาก บ้านมณีพฤกษ์ จ.น่าน ทำคะแนน 91.00 สูงสุดของปี ขณะที่สาย กึ่งแห้ง (Honey) อย่าง นายชาติชาย แซ่ท้าว จากแหล่งเดียวกันทำ 91.06 คะแนน สะท้อน “ศักยภาพ terroir” ของผืนป่าภาคเหนือที่ถูกเล่าเรื่องผ่านถ้วยกาแฟอย่างมีพลัง นอกจากนี้ สาย เปียก (Washed) ผู้ชนะทำคะแนนระดับ 89.94 ใกล้แตะเส้น 90 จุด ซึ่งเป็น “โซนหายาก” ของกาแฟพิเศษในตลาดโลก (รายละเอียดปรากฏในประกาศผลฉบับทางการของกรมวิชาการเกษตร)

ความสำคัญของตัวเลขไม่ได้อยู่ที่ สถิติ เท่านั้น แต่คือแรงกระเพื่อมที่เกิดตามมา—จากผู้ซื้อที่ให้ราคาตามคุณภาพ ไปจนถึงผู้ผลิตรายย่อยที่เห็น “ทางลัดสู่ตลาดพรีเมียม” ผ่านการปรับวิธีเก็บ–แปรรูป–จัดเก็บ เพื่อไล่ล่าคะแนนมากกว่าการเพิ่มปริมาณเพียงอย่างเดียว

เชียงรายบนแผนที่ ฐานการผลิต–ฐานคนเล่นคุณภาพ

แม้ปี 2567 บัลลังก์จะอยู่ที่น่าน แต่ “ฐานคุณภาพ” ของเชียงรายยังคงแข็งแรง ทั้งในบทบาทแหล่งปลูกดั้งเดิมและฐานชุมชนกาแฟรุ่นใหม่ ปี 2568 ในรอบการประกวดปัจจุบัน มีผู้ผลิตจากเชียงรายจำนวนมากส่งตัวอย่างเข้าร่วม และตามเอกสารประกาศผลเบื้องต้นกรมวิชาการเกษตรได้ประกาศผลการประกวด สุดยอดกาแฟไทย ประจำปี 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานจากสมาพันธ์กาแฟโลก (Specialty Coffee Association: SCA)

การประกวดครั้งนี้มีผู้ส่งตัวอย่างกาแฟจากทั่วประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง และผู้ผลิตจากจังหวัดเชียงรายก็สามารถคว้ารางวัลไปได้หลายรายการในหลากหลายประเภท สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของผลผลิตกาแฟที่โดดเด่นและศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการเป็นแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพของประเทศ

ผู้ผลิตกาแฟเชียงรายกวาดรางวัลเพียบ

กรมวิชาการเกษตรได้ประกาศผลการประกวด “สุดยอดกาแฟไทย ประจำปี 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานจากสมาพันธ์กาแฟโลก (Specialty Coffee Association: SCA)

การประกวดครั้งนี้มีผู้ส่งตัวอย่างกาแฟจากทั่วประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง และผู้ผลิตจากจังหวัดเชียงรายก็สามารถคว้ารางวัลไปได้หลายรายการในหลากหลายประเภท สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของผลผลิตกาแฟที่โดดเด่นและศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการเป็นแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพของประเทศ

ประเภทการประกวดเมล็ดกาแฟ (Thailand Best Coffee Beans 2025)

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีแห้ง (Dry/Natural Process)

  • ประกาศนียบัตรเหรียญทองแดง (ระดับคะแนน 84 – 86.99)
    • ลำดับที่ 5: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 84.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 6: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 84.25 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 7: นายธนกฤต ชมภู – อ.แม่ฟ้าหลวง: 83.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 11: นายอุกฤษ สิงห์แก้ว – อ.เทิง: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางพิน แก้วสุข – อ.เวียงแก่น: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 15: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 82.25 คะแนน
    • ลำดับที่ 18: นางสาวพรพิมล แลเซอ – อ.เวียงป่าเป้า: 81.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 20: นายกฤชณัท แลเซอ – อ.เวียงป่าเป้า: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 21: นายอินทฤทธิ์ วุยยะกู่ (ไร่กาแฟฅนปางขอน) – อ.เมืองเชียงราย: 81.25 คะแนน

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีเปียก (Wet/Fully Wash Process)

  • ประกาศนียบัตรเหรียญทองแดง (ระดับคะแนน 84 – 86.99)
    • ลำดับที่ 3: นางสาวนาถือ จะแล – อ.เมืองเชียงราย: 85.00 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 5: นายยุทธนา พุ่มพลีก – อ.แม่สรวย: 83.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 10: กาแฟพิเศษห้วยชมภู (นายไกรศักดิ์ แสนหมี่) – อ.เมืองเชียงราย: 82.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 14: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 19: นายธนิน วิบูลจิตธรรม – อ.แม่สรวย: 80.50 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 78.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 22: นางสาวยุพา เยส่อกู – อ.เมืองเชียงราย: 73.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 23: นายสมบัติ อัครวิชัยกุล – อ.เมืองเชียงราย: 73.50 คะแนน

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีกึ่งแห้ง (Semi-Dry/Honey Process)

  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 3: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 83.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 5: นายอภิสิทธิ์ บิเซ – อ.เมืองเชียงราย: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 7: นายอินทฤทธิ์ วุยยะกู – อ.เมืองเชียงราย: 81.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 8: นายอนุสรณ์ จือปา – อ.แม่สรวย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 10: นายสินธพ จือปา – อ.แม่สรวย: 80.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 80.00 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 79.25 คะแนน
    • ลำดับที่ 22: นางพิน แก้วสุข – อ.เวียงแก่น: 75.25 คะแนน

กาแฟโรบัสตา ไม่แยกกระบวนการแปรรูป

  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: นายพิชิต บุญยืนพนากุล – อ.แม่สรวย: 72.00 คะแนน

 

ทำไมคะแนนคือ “เกมยาว” ของทั้งห่วงโซ่

  1. ความโปร่งใสด้านคุณภาพ: คะแนน SCA ทำให้ผู้ผลิตรู้จุดแข็ง–จุดอ่อนเชิงรสชาติ แปลกลับเป็น “เช็กลิสต์ทางเทคนิค” เช่น ความสุกของผลเชอร์รี, สุขอนามัยในกระบวนการ, ระยะเวลาและอุณหภูมิการหมัก/อบแห้ง ฯลฯ—ทั้งหมดเชื่อมตรงกับคุณภาพในถ้วยและราคาขายปลายน้ำ.
  2. สร้างอัตลักษณ์แหล่งปลูก: เมื่อรายชื่อผู้ชนะกระจุกตัวในพื้นที่ (เช่น บ้านมณีพฤกษ์–น่าน) ต่อเนื่อง การรับรู้ “รสชาติประจำถิ่น” (origin identity) จะชัดขึ้น มีผลเชิงเศรษฐกิจทั้งต่อเมล็ดกาแฟและ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ขาย “ประสบการณ์ถ้วยเดียว–เล่าเรื่องทั้งหุบเขา”
  3. เชื่อมคุณภาพกับสิ่งแวดล้อม: กรอบการประกาศผลปี 2567 ระบุชัดว่าการประกวดเชื่อมกับการเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพและ ลดปัญหา PM2.5 ในภาคเกษตร นัยยะคือ การผลักดันให้พื้นที่ต้นน้ำเปลี่ยนผ่านสู่พืชยืนต้น/ระบบเกษตรเชิงฟื้นฟู (ปลูกผสม–รักษาหน้าดิน) แทนการพึ่งพาการเผาเป็นวงจร

คำถามชวนคิด (พร้อมข้อมูลสนับสนุน)

  • เราจะ “ล็อกคุณภาพให้ยั่งยืน” ได้อย่างไร? ปี 2567 คะแนนผู้ชนะทะลุ 90 ได้จริง แต่การรักษาคุณภาพปีต่อปีต้องลงทุนใน “ระบบ” ตั้งแต่โรงสีเปียกมาตรฐาน, พื้นที่ตากสะอาด, ไปจนถึง การวิเคราะห์คุณภาพซ้ำ (QC) ก่อนส่งตลาดส่งออก
  • ใครได้ประโยชน์มากที่สุด? ไม่ใช่เฉพาะผู้ชนะ แต่คือกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยที่ “เห็นเป้าหมายชัด” และเข้าถึงตลาดพิเศษผ่านเครือข่ายผู้คั่ว–ผู้ซื้อที่ติดตามผลประกวดอย่างใกล้ชิด (รายชื่อผู้ชนะถูกเผยแพร่บนเว็บกรมฯ อย่างเป็นทางการ ช่วยเพิ่มการมองเห็นแก่ผู้ผลิตหน้าใหม่)
  • เชียงรายควรเร่งอะไร? จากรายชื่อปี 2568 (เบื้องต้น) เชียงรายมี “ฐานกว้าง” ที่พร้อมต่อยอด หากจังหวัด–อปท.–สถาบันการศึกษา จับมือยกระดับ ห้องปฏิบัติการ cupping/มาตรฐาน post-harvest แบบใช้ร่วมในพื้นที่ จะเร่ง “อัพเพอร์ฟอร์แมนซ์” ของทั้งคลัสเตอร์

กลไกรางวัล เกียรติ–แรงจูงใจ–การเข้าถึงตลาด

นอกจากคะแนน การประกวดยังมี โครงสร้างรางวัล ที่ผสาน “เกียรติยศ” และ “แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ” เช่น ถ้วยรางวัลพระราชทานสำหรับผู้ชนะเลิศ และการยกย่องด้วยประกาศนียบัตรระดับต่าง ๆ ช่วยผลักดันให้ผู้ผลิต “ไม่หยุดที่ดีมาก” แต่ไล่สู่ ยอดเยี่ยม/โดดเด่น อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขณะเดียวกัน รายชื่อผู้ชนะที่เผยแพร่บนเว็บไซต์กรมฯ ทำหน้าที่เป็น สมุดหน้าเหลืองของความเชื่อถือ ให้ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศค้นหา–ติดต่อได้ง่ายขึ้น (การสื่อสารผลอย่างเป็นทางการของปี 2567 เผยแพร่แล้ว)

ปี 2568 รอบแข่งขันกำลังเดินฐานข้อมูลทางการทยอยเผยแพร่

ในรอบปี 2568 กรมวิชาการเกษตรได้ประกาศ เลื่อน/ขยายรับสมัคร และแจ้งความคืบหน้าผ่านสื่อทางการของหน่วยงาน ขณะเดียวกันเอกสารประกาศผล เบื้องต้น สำหรับบางหมวดหมู่เริ่มกระจายถึงสื่อและผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อการยืนยันข้อมูล ผู้สื่อข่าวจึงได้นำเสนอ “ภาพรวมแนวโน้ม” โดยยึดหลักความระมัดระวัง และจะติดตามอัปเดต ประกาศผลฉบับสมบูรณ์ จากหน้าเว็บไซต์ทางการของกรมฯ ต่อไป.

มุมเศรษฐกิจ–สังคมจากคะแนนในถ้วยสู่รายได้ในชุมชน

การ “ทำคะแนนให้ถึง” ไม่ได้จบที่ถ้วยตัดสิน แต่เริ่มต้นที่ ศักยภาพการตั้งราคา ของผู้ผลิต การยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่องเปิดโอกาสให้เกษตรกรกำหนดราคาตามมูลค่าจริง (value-based pricing) แทนการขาย “แบบโภคภัณฑ์” ผลพลอยได้คือ การกระจายรายได้ สู่ครัวเรือนต้นน้ำ ขณะเดียวกัน คลัสเตอร์ผู้คั่ว–คาเฟ่–ท่องเที่ยวในจังหวัดอย่างเชียงรายก็ได้ประโยชน์จากเรื่องเล่าของ “แหล่งปลูก–ผู้ผลิต–คะแนน” ที่จับต้องได้

และอย่าลืม ผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อม—เมื่อตลาดและรางวัลเอื้อให้การปลูกกาแฟคุณภาพคุ้มทุน การขยายพื้นที่พืชยืนต้นที่ดูแลดิน–น้ำดีขึ้น จะช่วยลดความจำเป็นของการใช้ไฟในพื้นที่สูง เป็นการเชื่อมโยง “คะแนน” กับ “อากาศที่หายใจได้” ของทั้งลุ่มน้ำโขงเหนือในภาพรวม

ภาพใหญ่ที่เห็นชัดในปีนี้คือ ไทยไม่ได้ล่าเพียงถ้วยรางวัล แต่กำลังวาง “ระบบนิเวศคุณภาพ” ที่ปีนทีละขั้นด้วยภาษาเดียวกับโลก—SCA score—ภายใต้กรอบการประกาศผลที่โปร่งใสและสื่อสารได้ ขณะที่เชียงรายยังคงเป็นหนึ่งในหัวใจของคลัสเตอร์กาแฟเหนือที่ทั้งกว้างและลึก—มีทั้งผู้เล่นหน้าเก๋าและรุ่นใหม่จำนวนมาก การที่รายชื่อผู้ส่งเข้าประกวดจากเชียงรายคว้าประกาศนียบัตรหลายระดับในปี 2568 (ตามเอกสารเบื้องต้น) คือสัญญาณว่าฐานคุณภาพกำลัง “หนาแน่นขึ้น” อย่างแท้จริง

คำถามต่อไปคือ เราจะทำให้ “คะแนน” กลายเป็น “รายได้ที่ยั่งยืน” แก่ครัวเรือนต้นน้ำมากขึ้นแค่ไหน—คำตอบอยู่ที่การลงทุนใน post-harvest และระบบ QC ร่วมของพื้นที่, การเชื่อมโยงกับตลาดพรีเมียมในประเทศ–ต่างประเทศ, และการยึดมั่นในเกณฑ์สากลที่โปร่งใส เพื่อให้ทุกฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง “ปลายลิ้นของผู้ดื่ม” เป็นคนตัดสินใจแทนเรา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมวิชาการเกษตร – ประกาศผล “Thai Coffee Excellence 2024: Thailand Best Coffee Beans” (ระบุรายชื่อผู้ชนะ/คะแนนและเกณฑ์ประกาศนียบัตร) เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ทางการกองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร.
  • กรมวิชาการเกษตร – ข่าว/ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลการประกวดสุดยอดกาแฟไทย 2024 (หน้าเว็บข่าวกองพืชสวน)
  • กรมวิชาการเกษตร (กองพืชสวน) – ข่าวประชาสัมพันธ์/ประกาศขยายรับสมัครและกำหนดการ “Thai Coffee Excellence 2025” (ยืนยันการดำเนินการรอบปี 2568).
  • Specialty Coffee Association (SCA)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานชุมพร
  • ไร่กาแฟครอบครัวมะ
  • LOCAL Coffee
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายสู้ภัย! อบจ.ผนึกกำลังท้องถิ่นซ่อมสะพานขาด 3 วัน หวังคืนเส้นทางประชาชน

เชียงรายเผชิญมรสุมหลายระลอก อบจ.เชียงรายผนึกกำลังท้องถิ่นรับศึกน้ำท่วมซ้ำซาก เร่งขุดลอก–อุดช่องน้ำกัดเซาะ–ซ่อมคอสะพาน ฟื้นเส้นทางหลักอำเภอเทิง

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568—กระแสลมมรสุมและพายุหมุนเขตร้อนที่ปะทะซ้ำภาคเหนือตอนบนตลอดเดือนกรกฎาคมถึงกลางสิงหาคม ดันน้ำฝนลงลุ่มน้ำหงาวอย่างรุนแรง หลายหมู่บ้านในอำเภอเทิงเผชิญน้ำป่ากัดเซาะคอสะพานและตลิ่งพังซ้ำ ทว่าในความเสียหายที่เกิดขึ้นกลับฉายภาพการทำงานแบบ “ลุก–ลุย–เร็ว” ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ที่ระดมเครื่องจักรหนัก เปิดปฏิบัติการเสริมบิ๊กแบ็กกันตลิ่ง ทำทางเบี่ยงฉุกเฉิน และซ่อมคอสะพานเพื่อคืนการสัญจรให้ประชาชนกับรถบรรทุกผลผลิตการเกษตรโดยเร็วที่สุด โดยมีหน่วยงานอำเภอ เทศบาล–อบต. และเครือข่ายด้านทางหลวง–ปภ. ร่วมประสานกำลังตลอดห่วงโซ่การช่วยเหลือ

เสียงเตือนจากฟ้า เมื่อ “วิภา” ดันฝนถล่ม เหนือบนต้องตั้งการ์ดสูง

กลางเดือนกรกฎาคม กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนพายุ “วิภา” ว่าจะทำให้ภาคเหนือตอนบนรวมถึงเชียงรายมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยหย่อมความกดอากาศต่ำที่อ่อนกำลังลงจากพายุเคลื่อนปกคลุมแนวร่องมรสุมในช่วงวันที่ 21–26 ก.ค. 2568 ข้อความเตือนชี้ชัดให้จับตาความเสี่ยงน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มในหลายจังหวัด รวมทั้งเชียงรายด้วย

สอดรับกับสัญญาณจากส่วนกลาง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและหน่วยงานประชาสัมพันธ์รัฐเร่งสื่อสารแบบ “ทั้งจังหวัดต้องพร้อม” ตั้งแต่ 12–24 ก.ค. 2568 โดยเน้นย้ำให้เฝ้าระวังเขตเขาสูง–พื้นที่ชัน สายด่วน 1784 และช่องทางแจ้งเหตุออนไลน์ถูกผลักดันเป็นเครื่องมือหลัก พร้อมย้ำการส่งข้อความเตือนภัยแบบ Cell Broadcast ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงของอำเภอเทิง ทั้งตำบลตับเต่าและตำบลหงาว

ระดับพื้นที่ อำเภอเทิงออกประกาศรายงานน้ำฝน–น้ำท่าอย่างต่อเนื่อง และตั้งศูนย์บัญชาการเฝ้าระวังน้ำลาว–หงาวตามลำดับ เพื่อปรับแผนปฏิบัติการเก็บกู้และชะลอน้ำกัดเซาะแบบเรียลไทม์.

จุดเปราะบางแตกก่อนสะพานบ้านปางค่า–คอสะพานขาด เส้นเลือดคมนาคมถูกตัด

เช้าตรู่ 16 ก.ค. 2568 สายน้ำหงาวพุ่งสูงกะทันหัน กระแทกโครงสร้างสะพานบ้านปางค่าบนสาย 1155 จนเสาค้ำยันเคลื่อน หลายหน่วยสั่งปิดเส้นทางชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย โรงเรียนใกล้เคียงต้องหยุดเรียนทันที การขนส่งผลผลิตเกษตรกับการเดินทางฉุกเฉินหยุดชะงักทั้งแนว สะท้อนจุดเปราะบางของโครงข่ายถนนชนบทเมื่อเจอฝนเกินค่าเฉลี่ยในเวลาอันสั้น

คำถามที่ชาวบ้านถามตรง ๆ คือ “จะกลับบ้าน–ไปโรงพยาบาล–ส่งของได้เมื่อไร?” คำตอบในทางปฏิบัติขึ้นกับการ “เปิดทางทดแทน” และ “ตรึงแนวตลิ่ง” อย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ฝนรอบใหม่ซ้ำเติมให้หนักกว่าเดิม

ล็อกเป้าซ่อมเฉพาะหน้าเสริมบิ๊กแบ็ก–เปิดทางเบี่ยง–อุดช่องน้ำกัดเซาะ

19 ก.ค. 2568 อบจ.เชียงราย นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. ลงพื้นที่ “ปางค่า–ตับเต่า–หงาว” เร่งวางบิ๊กแบ็กทรายเรียงแนวตลิ่งลำน้ำหงาวเพื่อหยุดการพังทลาย พร้อมไล่เพอร์ตเครื่องจักรทำทางเบี่ยงให้รถสัญจรชั่วคราว ลดแรงกดดันของชุมชนที่ถูกตัดขาด ขณะที่ทีมช่างประเมินสภาพคอสะพานที่ถูกน้ำเซาะ เพื่อจัดลำดับงานซ่อมด่วน

ปลายเดือนกรกฎาคม เมื่อปริมาณฝนเริ่มแผ่วลงเป็นช่วง ๆ องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่าลงมือซ่อมคอสะพานหมู่ 13 อุดรอยขาดและปรับผิวทางใหม่ เพื่อเปิดเส้นทางท้องถิ่นให้รถเล็กเดินได้ก่อน พร้อมประสาน อบจ.–อำเภอ ทำความสะอาดโคลน–เศษซากที่ไหลทับถมบ้านเรือน

บทเรียนเชิงโครงสร้าง ที่ทีมช่างท้องถิ่นเห็นตรงกัน คือ “คอสะพาน–ไหล่ทาง–ท่อระบายน้ำ” คือจุดให้คะแนนทนทานต่อฝนสุดขีด หากคอสะพานสั้นเกินไปหรือไม่มีปีกกำแพงป้องกัน น้ำเชี่ยวจะชอนไชฐานรากได้เร็ว การเสริมบิ๊กแบ็กและอัดหินใหญ่ตามแนวลุ่มต่ำจึงเป็นมาตรการเฉพาะหน้าที่ต้องทำทันที ขณะที่แผนถาวรจำเป็นต้องรอหน้าฝนผ่อนคลาย

เร่งคืนการสัญจรซ่อมคอสะพาน–เปิดทางหลัก—สัญจรได้อีกครั้ง

ก้าวเข้าสู่ครึ่งเดือนสิงหาคม ทีมสำนักช่างของ อบจ.เชียงรายรวบกำลังเครื่องจักรและแรงงานลงเสริมคอสะพานหมู่ 1 ต.ตับเต่า ที่ถูกน้ำป่ากัดเซาะก่อนหน้า ตรวจเช็กโครงสร้างและอัดวัสดุรองรับใหม่จน “สัญจรได้แล้ว” ในบ่ายวันที่ 15 ส.ค. 2568 ภาพถ่ายหน้างานชี้ชัด รถยนต์และรถบรรทุกเริ่มกลับมาใช้เส้นทางได้ ภารกิจเก็บรายละเอียดจึงขยับไปที่การเสริมไหล่ทาง ปรับผิวถนน และป้ายเตือนความปลอดภัยชั่วคราว

ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารระดับอำเภอและ อบจ.จัดประชุมหน้างานเพื่อวางแผนซ่อมทางเบี่ยงบ้านปางค่าที่เสียหายหนัก โดยเชิญหน่วยงานเชื่อมโยงทั้ง ศูนย์ ปภ. เขต 15 เชียงราย และเครือข่ายด้านทางหลวง เช่น ศูนย์สร้างทางลำปาง มาร่วมวางกรอบฟื้นฟู–เสริมความแข็งแรงในระยะกลางถึงยาว แม้บางงานอยู่คนละเขตรับผิดชอบ แต่บทบาทสนับสนุนเครื่องจักรและเทคนิคการอัดผิว–ป้องกันตลิ่งยังจำเป็นต่อความต่อเนื่องของระบบทาง

สถิติ–สัญญาณเตือน ทำไม “เทิง–ตับเต่า–หงาว” เสี่ยงซ้ำ

ข้อมูลเตือนภัยตั้งแต่ 11–21 ก.ค. ระบุชัดว่าเชียงรายอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีโอกาสเกิดฝนหนักหลายระลอก สภาพภูมิประเทศของอำเภอเทิงที่รับน้ำจากสันเขาไปสู่ลุ่มน้ำหงาว ทำให้เมื่อฝน “เกินค่าเฉลี่ยรายชั่วโมง” เพียงไม่กี่ชั่วโมง น้ำจะไหลหลากฉับพลันสู่จุดคอขวด เช่น ช่องลำห้วย–ท่อระบายน้ำ–คอสะพาน จึงเกิดเหตุลักษณะ “กัดเซาะเฉียบพลัน” ซ้ำ ๆ หากฐานรากเดิมไม่แข็งแรงพอ

รายงานจากสื่อท้องถิ่นและส่วนกลางในช่วงเวลานั้นชี้ให้เห็นความรุนแรงของเหตุการณ์ ตั้งแต่ระดับน้ำเอ่อท่วม 60–80 เซนติเมตรบางจุด ไปจนถึงการปิดถนนสาย 1155 ชั่วคราวเพื่อรอการประเมินและซ่อมแซม ซึ่งตอกย้ำโจทย์ใหญ่เรื่อง “แผนเสริมความทนทานโครงสร้าง” ในพื้นที่ลาดเชิงเขา

คำอธิบายเชิงระบบ จาก “ดับไฟหน้าเหตุ” สู่ “โครงสร้างทนฝน”

หนึ่ง การจัดทีม “ดับไฟหน้าเหตุ” ต้องไวและครอบคลุม อบจ.–อำเภอ–อบต.ในเทิงใช้โมเดลเครื่องจักรประจำจุดเสี่ยง พร้อมถุงบิ๊กแบ็กสำรองเพื่ออุดช่องน้ำเซาะ และเจ้าหน้าที่สื่อสารชุมชนเพื่อปิด–เปิดเส้นทางทันเวลา โมเดลนี้ลดชั่วโมงวิกฤตได้จริงในเหตุเดือนนี้

สอง โครงสร้างสาธารณูปโภคต้อง “ออกแบบเพื่อฝนสุดขีด” มากกว่าค่าเฉลี่ยเดิม สะพานชนบทที่รับน้ำลำห้วยเชิงเขาควรเพิ่มความยาวคอสะพาน–กำแพงปีก และยกระดับไหล่ทาง–ท่อระบายน้ำให้มีศักยภาพระบายน้ำหลากปีละหนึ่งครั้งอย่างน้อย การยกระดับมาตรฐานนี้ต้องพึ่งพางบถาวรและความร่วมมือระหว่าง อบจ.–กรมทางหลวง–กรมทางหลวงชนบท–ปภ. โดยมีศูนย์สร้างทางในภูมิภาคเป็น “คลังเครื่องจักร–ความรู้” สำคัญ

สาม ระบบเตือนภัยเชิงรุกต้อง “พูดภาษาเดียวกัน” ตั้งแต่เตือนพายุในระดับชาติ สู่ประกาศอำเภอ–ตำบล และการส่งสัญญาณเตือนตรงสู่ประชาชนผ่านเครือข่ายมือถือ–หอกระจายข่าว เพื่อให้ชาวบ้านรู้ว่า “เส้นไหนควรเลี่ยง เส้นไหนยังพอวิ่งได้” ในชั่วโมงวิกฤต โมเดลการส่ง Cell Broadcast ที่ปภ.ร่วมผู้ให้บริการเครือข่ายในพื้นที่เทิงถือเป็นก้าวที่ถูกทาง

เสียงจากพื้นที่ “เปิดทางได้ไว ชีวิตก็ต่อได้”

แม้หน้างานเต็มไปด้วยโคลนและเศษซาก การที่เส้นทางหลัก–ทางเบี่ยงกลับมาเปิดได้ ทำให้รถส่งนมสด ข้าวโพด และลำไยที่กำลังออกสู่ตลาดยังคงเดินต่อ รถพยาบาลฉุกเฉินสามารถรับ–ส่งผู้ป่วยได้ทันเวลา โรงเรียนทยอยกลับมาเปิดเรียนเร็วกว่าที่คาด ชาวบ้านจึงสะท้อนร่วมกันว่า “เปิดทางได้ไว ชีวิตก็ต่อได้” นี่คือผลลัพธ์รูปธรรมจากการตัดสินใจแบบทันทีของท้องถิ่น

ในอีกมุม ข้าราชการฝ่ายโยธาย้ำว่า “วิธีจบเกมน้ำกัดครั้งต่อไป” คือการเร่งสำรวจจุดเสี่ยงคอสะพานทั้งตำบลตับเต่า–หงาว จัดลำดับงบซ่อมเชิงป้องกันก่อนฝนใหญ่รอบใหม่ และกำหนดมาตรการควบคุมบรรทุกหนักผ่านทางเบี่ยงชั่วคราวอย่างเข้ม ทั้งหมดนี้ต้องเดินคู่กับการสื่อสารสาธารณะเพื่อให้คนทั้งอำเภอ “รู้ทันฝน”

เชื่อมภาพใหญ่จังหวัด แผนรับมือฝนทั้งเชียงราย

ตลอดช่วง 11–25 ก.ค. 2568 จังหวัดเชียงรายเผชิญฝนต่อเนื่องแทบครบ 15 อำเภอ สำนักงานปภ.จังหวัดรายงานสถานการณ์และจัดทีมเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง หน่วยกู้ภัย–อปพร.–อส. ถูกจัดวางในจุดเสี่ยงซ้ำซากตามสายน้ำแม่อิง–แม่ลาว–แม่หงาว เพื่อพร้อมอพยพและยกของขึ้นที่สูงเมื่อจำเป็น กลไกนี้ทำให้ภาพรวมความเสียหายในรอบนี้จำกัดวงได้ในระดับหนึ่ง แม้หลายจุดยังต้องซ่อมเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง

แผนหลังน้ำลด ฟื้นฟู–ป้องกัน–ลงทุน

ฟื้นฟูเร่งด่วน: เก็บเศษวัสดุ–โคลนออกจากคอสะพาน ปรับผิวถนน แก้ไหล่ทางหาย และติดตั้งป้ายเตือนถาวรชั่วคราวในช่วงฝน

ป้องกันรอบใหม่: เสริมบิ๊กแบ็ก–หินใหญ่ตามแนวที่น้ำกัดซ้ำ ซ่อมท่อระบายน้ำอุดตัน ตรวจสอบฐานรากสะพานที่ถูกน้ำเซาะ และเพิ่มช่องทางระบายน้ำให้พ้นคอสะพาน

ลงทุนระยะกลาง–ยาว: ประสานกรมทางหลวงและศูนย์สร้างทางในภูมิภาคเร่งศึกษามาตรฐานคอสะพาน–กำแพงปีกในพื้นที่ลาดเชิงเขา และจัดสรรงบยกระดับคอสะพานเสี่ยง รวมถึงปรับแบบท่อเหลี่ยม–รางระบายน้ำให้รองรับฝนสุดขีดตามภูมิอากาศใหม่

สูตร “ลุก–ลุย–เร็ว” ผสาน “ออกแบบเพื่อฝนสุดขีด”

เหตุการณ์ครั้งนี้ตอกย้ำ 3 บทเรียนสำคัญสำหรับท้องถิ่นภูเขา

  1. ความเร็วที่วัดเป็นชั่วโมง ช่วยรักษา “ทุนชีวิต–ทุนเศรษฐกิจ” ของชุมชนชนบท การวางเครื่องจักร–บิ๊กแบ็ก–เชือกสื่อสารในตำบลเสี่ยง ทำให้การเปิดเส้นทางชั่วคราวเกิดขึ้นได้ไวหลังน้ำลดไม่กี่ชั่วโมง. Facebook
  2. ระบบเตือนภัยหลายชั้น ต้องเชื่อมต่อกัน ตั้งแต่พายุ–ร่องมรสุมระดับภูมิภาค สู่ประกาศอำเภอ–ตำบล และ Cell Broadcast ในเครื่องชาวบ้าน เพื่อให้การอพยพ–ปิดถนน–ตั้งแนวป้องกันทำได้ก่อนที่น้ำจะกัดคอสะพาน
  3. โครงสร้างต้องเปลี่ยนเพื่ออากาศที่เปลี่ยน หากฝนสุดขีดกลายเป็น “ความปกติใหม่” การลงทุนเพิ่มความยาวคอสะพาน–ช่องระบายน้ำ และยกระดับผิวทางในจุดต่ำ คือคำตอบระยะยาวที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องใช้ข้อมูลภัยจากรอบนี้เป็นฐานคำนวณแบบใหม่

เมื่อน้ำลด เห็นรอยทางของ “ความร่วมมือ”

จากเช้าวิกฤต 16 ก.ค. ที่สะพานปางค่าถูกตัดขาด สู่บ่าย 15 ส.ค. ที่เส้นทางหลักหมู่ 1 ต.ตับเต่ากลับมาสัญจรได้ ภารกิจเชื่อมถนน–เชื่อมชีวิตของอำเภอเทิงคือผลรวมของหลายมือ ตั้งแต่ อบจ.เชียงรายที่ลุยหน้างาน อำเภอ–อบต.ที่เสริมทัพ ปภ.จังหวัดที่เทน้ำหนักด้านเตือนภัย และหน่วยงานด้านทางที่ส่งเครื่องจักรมาสนับสนุนเมื่อร้องขอ เหตุทั้งหมดนี้ไม่เพียงฟื้นถนน แต่ฟื้น “ความมั่นใจ” ว่าหากฝนใหญ่กลับมา เมืองนี้จะยืนด้วยระบบที่พร้อมกว่าเดิม

โจทย์ต่อไป คือการเปลี่ยน “ซ่อมเฉพาะหน้า” เป็น “ลงทุนเชิงป้องกัน” ให้ทันฤดูฝนหน้า ด้วยแบบสะพาน–คอสะพาน–รางระบายน้ำที่รองรับฝนสุดขีด และงบประมาณที่เดินได้จริง พร้อมทั้งยืนระยะของระบบเตือนภัยและการสื่อสารชุมชนให้ไวและแม่นยำมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ที่ทำการปกครองอำเภอเทิง
  • องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่า
  • ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย
  • ศูนย์สร้างทางลำปาง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มทร.ล้านนาเชียงรายยุติรับน้องถาวร ตั้งกรรมการสอบ “รุ่นพี่-ผู้กำกับดูแล”

มทร.ล้านนา เชียงราย ยุติรับน้องถาวร–ตั้งกก.สอบสวน “รุ่นพี่–ผู้กำกับดูแล” เดินหน้าปฏิรูปวัฒนธรรมสถาบัน หลังเหตุร้องเรียนพฤติกรรมรุนแรง

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 — มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (มทร.) วิทยาเขตเชียงราย ประกาศ “ปิดฉาก” กิจกรรมรับน้องทุกรูปแบบอย่างถาวร พร้อมขยับยุทธศาสตร์จัดการเชิงระบบ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อร้องเรียนและพิจารณา “ความรับผิดชอบร่วม” ของบุคลากรผู้กำกับดูแล หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์และข้อร้องเรียนอย่างเป็นทางการต่อ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เข้าข่ายใช้ความรุนแรง ข่มขู่ และนัดหมายทำกิจกรรมนอกเวลาของนักศึกษาบางกลุ่มในช่วงก่อนเปิดภาคการศึกษาใหม่ โดยฝั่งมหาวิทยาลัยตอกย้ำว่า “กรณีคลิป–ภาพ” ที่ถูกแชร์ซ้ำคือเหตุการณ์ก่อนประกาศงดรับน้อง และขณะนี้ได้เดินหน้ามาตรการเชิงวินัยและเชิงปฏิรูปควบคู่กัน

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงที่ต้องจับตา

  • 31 ก.ค. 2568: วันที่ประกาศงดรับน้องทุกรูปแบบ เผยแพร่ผ่านเพจทางการของวิทยาเขต และต่อมาถูกสื่อท้องถิ่นเผยแพร่ซ้ำ ยืนยันนโยบายยุติกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการละเมิดในคราวเดียว (หลักฐานตามลิงก์โพสต์ทางการ)
  • 8 ก.ค. 2568: วันเริ่มร้องเรียนผ่านช่องทาง สป.อว. ซึ่งเป็นระบบที่ประชาชน–นักศึกษาสามารถยื่นเรื่องออนไลน์และติดตามผลได้ (อ้างถึงหน้าช่องทางร้องเรียนอย่างเป็นทางการ)
  • พฤติกรรมที่ถูกเปิดโปง: บังคับวิดพื้นกำหมัด–หมอบ–คลาน–กลิ้ง วาจารุนแรง นัดกิจกรรมนอกเวลา–นอกสถานที่ ตามข้อมูลที่เพจภาคประชาชนเผยแพร่ในปีการศึกษา 2568 (ใช้เพื่อประกอบบริบททางสังคม–ไม่ใช่คำตัดสินทางกฎหมาย)

จากร้องเรียน 8 ก.ค. สู่คำสั่งยุติกิจกรรม 31 ก.ค.

เส้นเวลาที่ถูกจับตามองเริ่มจาก 8 กรกฎาคม 2568 เมื่อมีการร้องเรียนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของ สป.อว. ให้ตรวจสอบและยุติกิจกรรมรับน้องระบบโซตัสของ มทร.ล้านนา เชียงราย โดยระบุพฤติกรรมที่เข้าข่ายความรุนแรงและเกินขอบเขต ทั้งการบังคับให้ออกกำลังกายหนัก การใช้วาจารุนแรง และการนัดหมายทำกิจกรรมนอกเวลาและนอกสถานที่ ซึ่งเป็น “พื้นที่มืด” ที่ยากต่อการควบคุมตามระเบียบมหาวิทยาลัยช่องทางร้องเรียนของ สป.อว.

ก่อนหนังสือร้องเรียนจะมาถึงมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ (1 ส.ค. 68) ผู้ปกครองและนักศึกษาบางส่วนได้เข้าพบผู้บริหารเมื่อ 29 ก.ค. 68 เพื่อแจ้งข้อกังวลคล้ายกัน จากนั้นใน 31 กรกฎาคม 2568 เวลา 16:14 น. มทร.ล้านนา เชียงราย ออกประกาศ งดจัดกิจกรรมรับน้องนักศึกษาใหม่ทุกรูปแบบ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” โดยเผยแพร่ผ่านเพจทางการของวิทยาเขต และต่อมาถูกสื่อท้องถิ่นนำไปเผยแพร่ต่อเนื่อง ยืนยัน “ยุติทุกกิจกรรมรับน้อง” เพื่อป้องกันผลกระทบต่อนักศึกษา บุคลากร และภาพลักษณ์องค์กร พร้อมแจ้งให้ทุกหน่วย–ทุกคณะถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

แม้ประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้แล้ว กระนั้นเมื่อ 1 ส.ค. มหาวิทยาลัยได้รับหนังสือจาก สป.อว. พร้อมหลักฐานภาพถ่ายประกอบ ทำให้จำเป็นต้องตั้ง “คณะกรรมการสอบสวนและติดตามข้อร้องเรียน” ชุดที่สอง เพื่อทำความจริงให้กระจ่างในรายละเอียดเชิงพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง และเพื่อกำหนดมาตรการเชิงวินัย–เชิงระบบที่ครอบคลุมกว่าเดิม โดยการประชุมพิจารณาเกิดขึ้นใน 14 ส.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ฝ่ายบริหารชี้แจงภาพรวมต่อสาธารณะ

ภาพที่สังคมเห็น คลิป–ภาพพฤติกรรมที่ข้ามเส้น และแรงสั่นสะเทือนของ “โซตัส”

บนโซเชียลมีเดีย มีการเผยแพร่ภาพ–คำบรรยายถึงพฤติกรรมที่เข้าข่ายไม่เหมาะสม ทั้งการให้ “วิดพื้นด้วยกำหมัด”, บังคับให้ “หมอบ–คลาน–กลิ้ง” การตะคอกดุด่า ใช้วาจารุนแรง และกดดันให้น้องปี 1 ทำกิจกรรมที่ไม่อยู่ในกรอบเวลามหาวิทยาลัย ตลอดจนข้อกล่าวหาเรื่อง “บังคับดื่มสุรา” เพื่อ “ทดสอบความอดทน” สะท้อนวัฒนธรรมโซตัสในบางวงการที่ยังคงตีความ “ความผูกพัน” ด้วยวิธีการกดทับรุ่นน้องมากกว่าการโอบอุ้ม ซึ่งถูกสังคมตั้งคำถามอย่างกว้างขวางว่าถูกต้องตามยุคสมัยหรือไม่ มีเพจภาคประชาชนรวบรวมข้อมูลและภาพจากเหตุการณ์ที่อ้างว่าเกิดในปีการศึกษา 2568 ที่เชียงราย

ขณะเดียวกัน เว็บไซต์–เพจทางการของระบบรับนักศึกษาใหม่ของ มทร.ล้านนา ในส่วนกลาง ระบุแนวทางกิจกรรมปรับพื้นฐานเตรียมความพร้อมที่มีคำชี้แจงเชิงนโยบาย “รักน้องสร้างสรรค์ NoS NoL” ในบางวิทยาเขต สะท้อนทิศทางของมหาวิทยาลัยแม่ที่ต้องการกำกับกิจกรรมนิสิต–นักศึกษาให้อยู่ในกรอบที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ แต่การนำไปสู่การปฏิบัติในบางพื้นที่ยังมี “หลุม” ที่ต้องอุดให้สนิทด้วยมาตรการเชิงระบบ

มาตรการของมหาวิทยาลัยลงโทษเชิงวินัย ยุติรับน้องถาวรพร้อมชง “ความรับผิดชอบร่วม” ของผู้กำกับดูแล

มาตรการเชิงวินัยต่อผู้กระทำฝ่ายบริหารยืนยันว่ากลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ที่เกี่ยวข้องถูก “ภาคทัณฑ์” และกำหนดทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ โดยจะมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมหลักเกณฑ์ประเมินผล หากคะแนนวินัย–บำเพ็ญประโยชน์ไม่ถึงเกณฑ์ 50% อาจนำไปสู่ “พักการเรียน” ตามระเบียบ ทั้งนี้ กรณีนี้ไม่มีผู้บาดเจ็บสาหัส จึงยังไม่ถึงขั้น “ไล่ออก” อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

คำสั่งเชิงระบบ: มหาวิทยาลัยประกาศ “ยุติกิจกรรมรับน้องถาวร” ทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้ชื่อใด–จัดที่ใด–เวลาใด เพื่อปิดช่องว่างการตีความ และจะทบทวนกิจกรรม “ประชุมเชียร์–แข่งขัน” ที่มักเป็นแรงกดให้มีการนัดซ้อมนอกเวลา ซึ่งเป็น “บันไดขั้นแรก” ไปสู่พฤติกรรมเกินขอบเขต (ยืนยันจากประกาศทางการ 31 ก.ค. 2568) ความรับผิดชอบร่วมของผู้กำกับดูแล: คณะกรรมการสอบสวนชุดที่สองกำลังพิจารณาหลักเกณฑ์ใหม่ เพราะระเบียบเดิมยัง “ไม่เจาะจง” วิธีลงโทษอาจารย์–บุคลากรกรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการฝ่าฝืน แม้มีสัญญาณเตือนมาก่อน มาตรการใหม่จึงมุ่ง “แบ่งความรับผิดชอบ” ให้ชัดเจนว่า เมื่อมีนโยบายของสถาบันแล้ว ผู้กำกับดูแลต้องถือปฏิบัติจริง มิใช่เพียงแจ้งเป็นพิธี แล้วปล่อยให้วัฒนธรรมรุ่นพี่–รุ่นน้อง “ขยายผลนอกเวลา” จนยากควบคุม

ช่องทางร้องเรียน–คุ้มครองผู้เสียหาย มหาวิทยาลัยย้ำช่องทางรับร้องเรียนโดยตรงถึงผู้บริหารและผู้ดูแลวินัย ผ่านเพจทางการ–แบบฟอร์มออนไลน์ โดยจำกัดผู้เห็นข้อมูลเพื่อคุ้มครองผู้ร้องเรียนและป้องกันการบูลลี่ ซ้ำเติม ทั้งยังสอดคล้องกับช่องทางของ สป.อว. ซึ่งเป็น “ทางด่วน” ระดับกระทรวงเพื่อเรื่องร้องเรียนด้านวินัย–ความปลอดภัยในสถาบันอุดมศึกษา

ใคร “ได้–เสีย” อะไรบ้าง มองให้ลึกกว่าข่าว

นักศึกษาใหม่–ผู้ปกครอง สิ่งที่ได้คือ “หลักประกันเชิงนโยบาย” ว่ากิจกรรมเซนซิทีฟถูกยุติอย่างเบ็ดเสร็จ ผู้ปกครองจึงตัดสินใจได้ด้วยข้อมูลที่ชัดขึ้น ขณะที่ผู้ได้รับผลกระทบเดิมควรเข้าถึงการฟื้นฟูด้านจิตใจ–การเรียน เช่น โอนย้ายสาขา–ย้ายคณะ หรือแม้แต่ย้ายวิทยาเขตในเครือหากจำเป็น โดยมี “มือกลาง” จากส่วนกลางคอยอำนวยความสะดวก

นักศึกษารุ่นพี่–กิจกรรมชมรม ฝั่งที่เห็นด้วยกับโซตัสเชิงวินัย เพื่อยอมรับว่าการปลูกฝังค่านิยม–ความเป็นพี่น้องทำได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง มหาวิทยาลัยควรเปิดพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ทดแทน เช่น โครงงานบริการสังคม Hackathon ทักษะอาชีพ หรือ Service Learning ที่ให้เครดิตพัฒนาความเป็นผู้นำอย่างเป็นรูปธรรม

มหาวิทยาลัย–บุคลากร ระยะสั้นอาจต้องเผชิญแรงเสียดทานจากศิษย์เก่าบางส่วน แต่ระยะยาวคือ “แบรนด์ความปลอดภัย” ที่แข็งแรงขึ้น การยืนบนมาตรฐานวินัย–ความปลอดภัยที่ตรวจสอบได้คือสินทรัพย์เชิงความเชื่อมั่นของสถาบัน

เสียงของผู้เกี่ยวข้อง โซตัส “สร้างคน” หรือ “ทำร้ายคน”

จากการสังเคราะห์ความคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะ พบ “สองขั้ว” ที่ยืนคนละฟากต่อระบบโซตัส

  • ฝ่ายที่เห็นด้วยภายใต้กรอบ ชี้ว่าช่วยสร้างวินัย ความอดทน และความสามัคคี เชื่อมรุ่นพี่–รุ่นน้อง ลดอัตตา–เพิ่มความรับผิดชอบ แต่ยอมรับว่า “ต้องอยู่ในกรอบกติกา–ภายใต้การกำกับดูแลใกล้ชิด และไม่ละเมิดสิทธิ”
  • ฝ่ายคัดค้าน ย้ำว่าโซตัสที่ใช้ความกลัว–ความรุนแรง ล้าสมัย ไม่สอดคล้องโลกการทำงานจริง บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของสถาบัน และผลักนักศึกษาบางส่วนออกจากระบบการศึกษา

ข้อเท็จจริงสำคัญคือ มทร.ล้านนา เชียงราย เลือก “ตัดไฟต้นลม” ด้วยคำสั่งยุติรับน้องถาวร ลดพื้นที่ตีความ และโยกน้ำหนักการสร้างวัฒนธรรมองค์กรไปที่กิจกรรมเสริมสร้างคุณภาพ–ความปลอดภัยแทน (ยืนยันด้วยประกาศ 31 ก.ค.)

แกนหลักของการปฏิรูปนโยบาย–กระบวนการ–คน

นโยบายประกาศยุติรับน้องถาวร คือเส้นแดงที่ชัดเจน ลด “เขตเทา” ของกิจกรรมที่มักไหลลื่นออกนอกเวลา–นอกพื้นที่

กระบวนการ ระบบรับเรื่องร้องเรียนต้องเร็ว–ปลอดภัย–คุ้มครองผู้ร้อง โดยมี SLA กำกับเวลา และแดชบอร์ดความคืบหน้าแบบเปิดเผย (เท่าที่กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลอนุญาต) การทำงานประสานกับช่องทางของ สป.อว. จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันเชิงบวกให้เกิดผลลัพธ์จริง

คนพัฒนาบทบาท “Advisor–Mentor” ของอาจารย์ที่ดูแลกิจกรรม เปลี่ยนจาก “อนุญาตแบบเป็นพิธี” เป็น “กำกับแบบมีหลักฐาน” เช่น แผนกิจกรรมที่มี Risk Assessment, รายงานหลังจบกิจกรรม, และการสุ่มตรวจนอกเวลา หากพบฝ่าฝืนต้องมี “โครงสร้างโทษ” ที่ชัดสำหรับทั้งนักศึกษาและผู้กำกับดูแล

เช็คพอยต์สำหรับการติดตามผล (90–180 วัน)

  1. สรุปผลสอบสวน: เปิดเผยผลสอบในประเด็นข้อเท็จจริง–มาตรการวินัย–มาตรการป้องกันซ้ำ พร้อมเส้นเวลา
  2. คู่มือกิจกรรมนักศึกษาใหม่ฉบับยกเครื่อง: ระบุ “ห้าม–ได้–ต้อง” ชัดเจน พร้อมโทษ และกลไกติดตาม
  3. ระบบร้องเรียน–คุ้มครอง: วัดผลด้วยจำนวนเรื่อง–เวลาเฉลี่ยการปิดเรื่อง–ระดับความพึงพอใจของผู้ร้อง
  4. การสื่อสารแบรนด์ความปลอดภัยของสถาบัน: รายงานความก้าวหน้าเป็นระยะ เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้ปกครอง–นักศึกษาใหม่

จาก “ยุติรับน้อง” สู่ “วัฒนธรรมความปลอดภัยที่พิสูจน์ได้”

กรณี มทร.ล้านนา เชียงราย ชี้ชัดว่าการ “ประกาศยุติ” เพียงอย่างเดียวไม่พอ หากไม่ตามด้วย “ระบบรับผิดชอบร่วม” และ “กลไกบังคับใช้” ที่ทำงานจริง การตั้งคณะกรรมการสอบสวนรอบสอง–การกำหนดโทษเชิงวินัย–การออกแบบกิจกรรมสร้างสรรค์ทดแทน และการเชื่อมช่องทางร้องเรียนระดับมหาวิทยาลัย–ระดับกระทรวง คือสี่เสาหลักของการเปลี่ยนผ่าน

ท้ายที่สุด การปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่เรื่องวันเดียว แต่คือ “ระยะทาง” ที่ต้องเดินต่อเนื่อง สิ่งที่มหาวิทยาลัยทำในวันนี้—ยุติรับน้องถาวร–โยกน้ำหนักไปที่ความปลอดภัย–ความสมัครใจ–ความรับผิดชอบ—คือสัญญาณบวกต่อสังคมอุดมศึกษาไทย และคือคำตอบที่ผู้ปกครอง–นักศึกษา–ผู้เสียหาย ควรได้รับมาตั้งแต่แรกเริ่ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ประกาศยุติรับน้อง มทร.ล้านนา เชียงราย (31 ก.ค. 2568) — โพสต์เพจทางการวิทยาเขต: ประกาศ… การงดจัดกิจกรรมรับน้องนักศึกษาใหม่”
  • บริบทข้อมูล–ภาพพฤติกรรมที่ถกเถียง — เพจภาคประชาชน “รับน้องสร้างสรรค์ระดับโคตรมหากาฬ” รวบรวมพฤติกรรมที่อ้างว่าเกิดขึ้นในปีการศึกษา 2568 ที่เชียงราย
  • ช่องทางร้องเรียน สป.อว. — เว็บไซต์สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม: หน้าระบบรับเรื่องร้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมพร รัตนเจริญชัย ในฐานะผู้บริหารวิทยาเขตเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สู้ราคาตกต่ำ! พาณิชย์เชียงรายมอบกล่องไปรษณีย์ฟรี ช่วยเกษตรกรขายผลไม้ตรงสู่ผู้บริโภค

พาณิชย์เชียงรายคิกออฟมอบ “กล่องไปรษณีย์ฟรี” ช่วยเกษตรกรดันลำไยพ้นวิกฤตราคาตก

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 –  วิกฤตราคาผลไม้ในเชียงรายปี 2568 สะท้อนปัญหาซ้ำซากเรื่องผลผลิตล้นตลาดและต้นทุนขนส่งสูง เกษตรกรรายย่อยเผชิญอำนาจต่อรองจำกัด ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาซื้อออนไลน์มากขึ้น โอกาสจึงอยู่ที่ “เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง” เพื่อลดชั้นกลางและเพิ่มรายได้สุทธิ กิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกร” และ 6 มาตรการเชิงรุกของจังหวัด มุ่งปลดล็อกประเด็นคอขวดทั้งฝั่งตลาด การรวบรวมผลผลิต และโลจิสติกส์ จุดแข็งคือความร่วมมือรัฐ–เอกชน และเครื่องมือโลจิสติกส์ที่จับต้องได้ อย่างไรก็ดี ความสำเร็จจะยั่งยืนเมื่อมีการสื่อสารคุณภาพสินค้า การติดตามคำสั่งซื้อ และบริหารอุปทานอย่างสมดุล ทั้งหมดนี้ชี้ว่าประชาชนทั่วไปได้ประโยชน์จากราคาที่เป็นธรรมและการเข้าถึงผลไม้คุณภาพถึงหน้าบ้าน

พาณิชย์เชียงราย “คิกออฟกล่องไปรษณีย์ช่วยเกษตรกร” ดันลำไย–ส้มโอพ้นวิกฤตราคาตก

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเปิดกิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกรจังหวัดเชียงราย” ณ ลานหน้าศาลากลางจังหวัด โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน วัตถุประสงค์เพื่อเร่งกระจายผลผลิตจากสวนสู่ผู้บริโภคโดยตรง ท่ามกลางวิกฤตผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ โดยเฉพาะ ลำไย และ ส้มโอ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของพื้นที่

ฉากหลังวิกฤตเมื่อผลผลิตมากกว่าความต้องการ

8 สิงหาคม 2568 สถานการณ์ราคาผลไม้ในหลายอำเภออ่อนแรงลงจากอุปทานที่พุ่งสูง ขณะที่การรับซื้อของภาคเอกชนไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้เกษตรกรแบกรับต้นทุนเก็บเกี่ยว แพ็กกิ้ง และขนส่ง การแทรกแซงเชิงระบบจึงจำเป็น ทั้งในมิติ “ตลาด” และ “โลจิสติกส์ระยะสุดท้าย” เพื่อพยุงราคาและรักษาคุณภาพผลผลิต

6 มาตรการเชิงรุก: จากสวนถึงมือผู้บริโภค

นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดแผนบริหารจัดการผลผลิตลำไยส่วนเกินปี 2568 จำนวน 6 มาตรการ ดังนี้

  1. เชื่อมโยงตลาดลำไยสดช่อ ผ่านเครือข่ายพาณิชย์จังหวัด สหกรณ์ และสภาเกษตรกรทั่วประเทศ
  2. รณรงค์บริโภคในจังหวัด จัดระบบพรีออเดอร์พร้อมส่งฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย และนัดรับทุกวันพฤหัสบดีที่ศาลากลาง เชื่อมโยงผลผลิตแล้ว 1,329 กก. มูลค่า 57,400 บาท
  3. งานแสดงสินค้า ทั้งใน–นอกจังหวัด เพื่อเปิดหน้าร้านชั่วคราวและฐานลูกค้าใหม่
  4. เพิ่มประสิทธิภาพการรวบรวมรับซื้อ ลดความสูญเสียและจัดคิวตัด–คัด–แพ็กอย่างมีมาตรฐาน
  5. โครงการ “ลำไยบินได้” ส่งลำไยเกรด AA+A จากเชียงรายสู่ภูเก็ตด้วยเที่ยวบินพาณิชย์ เป้าหมาย 24,000 กก. มูลค่า 1,080,000 บาท
  6. ตลาดออนไลน์ สนับสนุนกล่องบรรจุผลไม้ 10 กก. จำนวน 35,000 กล่อง และตะกร้าพลาสติก 3,000 ใบ พร้อมค่าจัดส่งฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย ช่วยลดต้นทุนและขยายการขายทั่วประเทศ

กล่องส่งฟรี” หัวใจโลจิสติกส์ระยะสุดท้าย

มาตรการเด่นคือการมอบกล่องผลไม้ขนาด 10 กก. พร้อม จัดส่งฟรี ผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ช่วยให้เกษตรกรเข้าสู่ตลาดออนไลน์ได้ทันที ลดค่าแพ็กกิ้งและค่าส่ง ซึ่งเป็นต้นทุนใหญ่ในช่วงผลผลิตออกมาก การจัดสรร 35,000 กล่อง ถูกออกแบบให้รองรับคำสั่งซื้อกระจายทั่วประเทศ สร้างเสถียรภาพด้านการระบายสินค้าในเวลาจำกัด

บทสะท้อนจากพื้นที่เมื่อรัฐ–เอกชนจับมือ

ภาพการทำงานร่วมกันระหว่างพาณิชย์จังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น ไปรษณีย์ไทย และเครือข่ายสหกรณ์ ทำให้ “การสั่ง–แพ็ก–ส่ง” เดินหน้าอย่างเป็นระบบ เกษตรกรได้ช่องทางขายโดยตรง ผู้บริโภคได้ผลไม้สดใหม่ในราคายุติธรรม จังหวัดได้เครื่องมือระบายผลผลิตอย่างรวดเร็วในฤดูกาลสำคัญ

วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

ระยะสั้น มาตรการช่วย พยุงราคา และ เร่งระบายของ ลดความเสี่ยงของผลไม้ค้างสต็อก ระยะกลาง การสร้างฐานลูกค้าออนไลน์และช่องทางขนส่งที่คาดการณ์ได้ จะเพิ่ม รายได้สุทธิ ให้เกษตรกร ขณะที่ภาครัฐได้ข้อมูลดีมานด์จริงเพื่อวางแผนผลิตปีต่อไป หากควบคู่ด้วยมาตรฐานคัดเกรด การติดตามพัสดุ และบริการลูกค้า จะยิ่งสร้าง ความเชื่อมั่นซ้ำซื้อ ซึ่งเป็นกุญแจของความยั่งยืน

ประชาชนได้อะไร

ผู้บริโภคเข้าถึงผลไม้คุณภาพใหม่สด ราคาตรงจากสวน ประหยัดค่าขนส่ง และได้รับความสะดวกในการรับสินค้า ทั้งแบบ ส่งถึงบ้าน และ นัดรับวันพฤหัสบดี ที่ศาลากลาง นอกจากนี้ เศรษฐกิจท้องถิ่นหมุนเวียนเร็วขึ้นจากเม็ดเงินกระจายสู่ชุมชน และลดการสูญเสียอาหารจากการตกค้าง

จังหวัดเตรียมสื่อสารอย่างต่อเนื่องเรื่องคุณภาพลำไย–ส้มโอ มาตรฐานแพ็กกิ้ง และเงื่อนไขส่งฟรี พร้อมขยายจุดรับพรีออเดอร์ในอำเภอหลัก ตลอดจนติดตามตัวชี้วัดการขายและระยะเวลาขนส่ง เพื่อปรับแผนสัปดาห์ต่อสัปดาห์ในช่วงพีกผลผลิต

สรุป

กิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกร” คือเครื่องมือเชื่อมสวนกับครัวเรือนทั่วประเทศ ผ่านโลจิสติกส์ที่รัฐสนับสนุนและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่าย เมื่อทำงานร่วมกับ 6 มาตรการครบวงจร จึงมีศักยภาพพยุงราคา สร้างรายได้ที่เป็นธรรม และทำให้ผู้บริโภคได้ผลไม้คุณภาพในต้นทุนเหมาะสม โมเดลนี้หากเดินหน้าต่อเนื่องและวัดผลอย่างโปร่งใส จะต่อยอดเป็น “ระบบระบายผลผลิตอัจฉริยะ” ของเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มรภ.เชียงรายเปิดศักราชใหม่! ทุ่ม 78 ล้าน สร้างอาคารคณะมนุษยศาสตร์ฯ พร้อมให้บริการปี 69

มรภ.เชียงราย เปิดศักราชใหม่! อาคารคณะมนุษยศาสตร์ฯ หลังใหม่ มูลค่ากว่า 78 ล้าน พร้อมให้บริการปี 2569

เชียงราย, 5 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.ชร.) กำลังเขียนบทใหม่แห่งความก้าวหน้า ด้วยโครงการก่อสร้าง “อาคารการศึกษาและอเนกประสงค์หลังใหม่” สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 78.39 ล้านบาท

เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว อาคารหมายเลข 1 ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นสักขีพยานแห่งการเรียนรู้ของนักศึกษารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่เวลาที่ผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความเก่าแก่ไว้บนผนังและโครงสร้างของอาคารแห่งนี้ จนถึงจุดที่ไม่สามารถรองรับภารกิจทางการศึกษาในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม

วันนี้ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มรภ.ชร. ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตการเรียนรู้ของผู้คนมากกว่า 2,400 คน ประกอบด้วยนักศึกษาไทยมากกว่า 2,100 คน นักศึกษาต่างชาติมากกว่า 200 คน คณาจารย์มากกว่า 78 คน และบุคลากรสนับสนุนมากกว่า 11 คน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของมหาวิทยาลัยฯ โดยเฉพาะในด้านการรับนักศึกษาต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

“อาคารเดิมที่มีอายุการใช้งาน 50 ปี มีสภาพทรุดโทรมอย่างมีนัยสำคัญ และมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ใช้งานจริง” ดังที่ปรากฏในรายงานการประเมินสภาพอาคาร สถานการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลต่อคุณภาพการจัดการเรียนการสอน แต่ยังเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของคณะฯ

ปัจจุบันคณะฯ เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรีถึงมากกว่า 11 หลักสูตร และระดับบัณฑิตศึกษามากกว่า 3 หลักสูตร การขยายตัวของหลักสูตรเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอและทันสมัย เพื่อให้สามารถส่งมอบการศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักศึกษาได้อย่างเต็มศักยภาพ

วิสัยทัศน์สู่ “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ”

โครงการก่อสร้างอาคารใหม่นี้ไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยฯ สู่การเป็น “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ” ในกรอบนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี

มหาวิทยาลัยฯ มองเห็นโอกาสสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยรวม และเสริมสร้างศักยภาพในการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคใต้ของประเทศจีน อาคารใหม่นี้ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางสำหรับนักศึกษาที่ศึกษาด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์

ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนี้เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยฯ ไปสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ” ซึ่งหมายถึงการบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงและวิธีการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมภายในสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งใหม่

กระบวนการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

ความน่าเชื่อถือของโครงการนี้สะท้อนได้จากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยแบ่งออกเป็นสองระยะที่ชัดเจน ได้แก่ การจ้างบริการออกแบบ และการจ้างก่อสร้าง

การจัดซื้อจัดจ้างทั้งสองระยะดำเนินการผ่านระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Procurement: e-GP) ซึ่งเป็นการรับรองความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

สำหรับงบประมาณค่าจ้างบริการออกแบบ มีมูลค่าประมาณ 2,283,167.77 บาท โดยใช้เงินสำรองของมหาวิทยาลัยฯ ในปีงบประมาณ 2566 ส่วนงบประมาณค่าก่อสร้างมีมูลค่าประมาณ 76,105,592.39 บาท ซึ่งจะมีการลงนามสัญญาเมื่อได้รับการอนุมัติเงินจากงบประมาณรายได้ประจำปีงบประมาณ 2567

มหาวิทยาลัยฯ ได้ยึดหลักเกณฑ์คุณสมบัติและการประเมินที่เข้มงวด ทั้งผู้ให้บริการออกแบบและก่อสร้างจะต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมาย มีความมั่นคงทางการเงิน และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการออกแบบ จะต้องมีประสบการณ์ในการออกแบบอาคารสาธารณะมูลค่าไม่น้อยกว่า 38 ล้านบาท

ผลกระทบที่คาดหวังต่อชุมชนและสังคม

เมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2569 ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม

ในด้านการศึกษา อาคารใหม่จะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน เสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้เข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย สิ่งนี้จะส่งผลต่อคุณภาพบัณฑิตที่จบออกไป ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

ในด้านเศรษฐกิจ การดึงดูดนักศึกษาต่างชาติมากขึ้นจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น ทั้งจากค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ที่พัก และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์ยังจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

ในด้านสังคม มหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างกรุงเทพฯ และภูมิภาค ทำให้เยาวชนในพื้นที่ได้เข้าถึงการศึกษาที่มีมาตรฐานสากลโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปศึกษายังเมืองใหญ่

การคลี่คลายปมปัญหาและการก้าวไปข้างหน้า

ปมปัญหาหลักที่โครงการนี้มาแก้ไขคือการขาดแคลนพื้นที่การเรียนรู้ที่เหมาะสมและทันสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่เพียงการสร้างอาคารใหม่ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ที่ครบครัน

อาคารใหม่จะไม่เพียงแต่ทดแทนพื้นที่เดิมที่ไม่เพียงพอ แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับการเติบโตในอนาคต สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งในยุคที่การศึกษาต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ

การเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ “ประเทศไทย 4.0” ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวที่มองเห็นความสำคัญของการศึกษาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การสร้างบัณฑิตที่มีทักษะในศตวรรษที่ 21 รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของภูมิภาคอาเซียน

มิติการพัฒนาที่ยั่งยืน

โครงการนี้ไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว การออกแบบอาคารที่คำนึงถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน สิ่งแวดล้อม และความยืดหยุ่นในการใช้งาน จะช่วยให้อาคารนี้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์ยังสอดคล้องกับแนวโน้มโลกที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการอนุรักษ์วัฒนธรรม สิ่งนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภูมิปัญญาท้องถิ่นและเสริมสร้างอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของภาคเหนือ

โครงการก่อสร้างอาคารการศึกษาและอเนกประสงค์หลังใหม่สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จึงเป็นมากกว่าการสร้างอาคาร แต่เป็นการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับการศึกษาไทย การลงทุนกว่า 78 ล้านบาทนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาภูมิภาคและความก้าวหน้าทางปัญญาอย่างยั่งยืนต่อไป

เมื่อปี 2569 อาคารแห่งใหม่นี้จะเปิดประตูต้อนรับนักศึกษารุ่นใหม่ ในฐานะสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าของการศึกษาไทย สร้างความหวังใหม่ให้กับเยาวชนที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตที่เจริญรุ่งเรือง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานการประเมินสภาพอาคาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ระบบ e-Government Procurement (e-GP)
  • รายละเอียดโครงการก่อสร้างอาคารการศึกษาและอเนกประสงค์ มรภ.เชียงราย
  • แผนยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ปีงบประมาณ 2566-2570
  • นโยบาย “ประเทศไทย 4.0” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สดุดีวีรชนผู้กล้า! เชียงราย-พะเยาร่วมกิจกรรมรวมพลังทหารผ่านศึกปกป้องแผ่นดินไทย

เชียงราย-พะเยา รวมพลังทหารผ่านศึก โบกธงสดุดีวีรชนผู้กล้า สะท้อนพลังปกป้องแผ่นดิน

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – สดุดีวีรชน สะท้อนจิตวิญญาณรักชาติท่ามกลางความไม่สงบ ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนที่ยังคงเปราะบาง ทั้งทางภาคใต้และชายแดนด้านตะวันออกของประเทศ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกได้จัดกิจกรรม “รวมพลังทหารผ่านศึก เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย” ขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ โดยจังหวัดเชียงรายและพะเยาเป็นจุดหลักของกิจกรรม เพื่อรำลึกและสดุดีวีรชนผู้เสียสละ สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณรักชาติที่ยังคงลุกโชนในใจประชาชนและเหล่าทหารผ่านศึก

สองจังหวัดร่วมแสดงพลัง ณ สถานที่ประวัติศาสตร์

กิจกรรมหลักในพื้นที่จัดขึ้น ณ อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา และอนุสรณ์สถานสามผู้กล้า อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีนางมณธิยา กำจาย รองหัวหน้าสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย เป็นผู้นำกิจกรรม พร้อมด้วยกำลังพลจาก ร.17 พัน 4, ทหารกองหนุน และทหารผ่านศึกเข้าร่วมอย่างคึกคัก

ผู้ร่วมกิจกรรมได้พร้อมใจกันร้องเพลงชาติและโบกธงไตรรงค์อย่างภาคภูมิใจ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบนิ่งปนพลังใจอันแน่วแน่ สะท้อนความพร้อมของประชาชนในการยืนหยัดร่วมกับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย

จากเลือดเนื้อสู่จิตวิญญาณทหารไทย

กิจกรรมในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงความเสียสละในอดีต แต่ยังส่งต่อคุณค่าทางจิตใจและประวัติศาสตร์แก่คนรุ่นหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ประเทศยังคงเผชิญแรงกดดันจากเหตุการณ์ในพื้นที่ชายแดน การแสดงพลังผ่านสัญลักษณ์อย่างธงชาติและบทเพลงรักชาติ ได้กลายเป็นเสาหลักทางจิตใจที่ปลุกความภาคภูมิใจในหัวใจคนไทย

นางมณธิยา กล่าวว่า “การรวมพลังของทหารผ่านศึกทุกนายคือคำตอบว่าความรักชาติไม่มีวันหมดอายุ แม้หมดภารกิจในสมรภูมิ แต่หน้าที่ในการปกป้องจิตวิญญาณชาติยังคงดำรงอยู่”

ความหมายทางสังคมและนัยต่อความมั่นคง

นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และสังคมวิเคราะห์ว่า กิจกรรมเช่นนี้มีความสำคัญลึกซึ้งหลายด้าน ได้แก่:

  • การส่งต่อคุณค่าและความภาคภูมิใจ: การมีส่วนร่วมของทหารกองหนุนและทหารประจำการ เป็นการเชื่อมโยงคุณค่าแห่งการเสียสละจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้ความหมายของคำว่า “ปกป้องแผ่นดิน” ยังคงชัดเจนในสำนึกของคนไทย
  • เสริมสร้างความมั่นคงทางจิตใจ: ท่ามกลางข่าวความรุนแรงชายแดน การจัดกิจกรรมที่มีสัญลักษณ์ร่วมแห่งชาติ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมพลังใจแก่ทั้งทหาร ครอบครัว และประชาชนในพื้นที่
  • ตอกย้ำความชอบธรรมของรัฐ: พลังร่วมจากภาคประชาชนในการแสดงออกถึงการปกป้องอธิปไตย ย่อมเป็นหลักฐานชัดเจนว่าประชาชนให้การสนับสนุนนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐอย่างแท้จริง

สามัคคีคือรากฐานของความมั่นคง

การรวมพลังครั้งนี้ ยังมีนัยทางการเมืองที่ชัดเจน กล่าวคือ เป็นการยืนยันต่อสังคมและนานาชาติว่า คนไทยไม่เพิกเฉยต่อภัยคุกคามอธิปไตย ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด ความสามัคคีและพลังประชาชนคือเกราะสำคัญในการปกป้องเส้นแบ่งแผ่นดินให้ปลอดภัยจากอิทธิพลภายนอก

สถานที่จัดกิจกรรมอย่างอนุสรณ์สถานชายแดน เปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจคนรุ่นหลังว่า “สันติภาพมีราคา” และราคานั้นคือชีวิตของวีรชนที่ไม่อาจลืมเลือน

พลังทหารผ่านศึกพลังเงียบที่ยังคงเคลื่อนไหว

แม้หลายคนจะคิดว่าทหารผ่านศึกคือคนที่พ้นภารกิจแล้ว แต่กิจกรรมในครั้งนี้ได้พิสูจน์ว่า พวกเขายังมีบทบาทสำคัญในสังคม การเคลื่อนไหวอย่างสงบแต่มั่นคงของกลุ่มนี้ คือกำลังเสริมทางจิตใจของชาติ และอาจกลายเป็นพลังสนับสนุนทางนโยบายในยามจำเป็น

ผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 3,000 นายทั่วประเทศ แสดงให้เห็นว่าทหารผ่านศึกคือเครือข่ายพลังใจที่ยังคงเข้มแข็ง ไม่เพียงแต่มีคุณค่าทางจิตใจ แต่ยังมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงทางสังคมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน

จากกิจกรรมรำลึก สู่พลังที่เปลี่ยนสังคม

กิจกรรม “รวมพลังทหารผ่านศึก เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย” เป็นมากกว่าพิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการแสดงออกเชิงรูปธรรมว่าความรักชาติยังคงอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกช่วงวัย และเป็นพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างแท้จริง

ความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ ทหาร และประชาชนในกิจกรรมนี้ เป็นการแสดงพลังแบบสันติวิธีที่ทรงพลังยิ่ง การปกป้องอธิปไตยไม่จำเป็นต้องใช้เพียงกำลังอาวุธ แต่ใช้พลังใจ ความเข้าใจ และความร่วมมืออย่างแนบแน่นได้เช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย
  • กองทัพบก ร.17 พัน 4
  • สำนักข่าวท้องถิ่นเชียงรายและพะเยา
  • การวิเคราะห์จากนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • รายงานกิจกรรมจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายยังไม่พ้นวิกฤต ผู้ว่าฯ เร่งซ่อมพนัง มทบ.37 ช่วยปชช. เตือนพายุ 4-6 ส.ค.

แม่สายเริ่มคลี่คลาย ผู้ว่าฯ-ทัพภาค 3 เร่งซ่อมพนัง มทบ.37 ตั้งโรงครัวพระราชทาน! เตือนพายุลูกใหม่จ่อถล่ม 4-6 ส.ค.นี้

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – แม่สายคลี่คลาย แต่ “อย่าประมาท” พายุรอถล่มซ้ำ สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เริ่มคลี่คลายหลังฝนที่ตกต่อเนื่องหลายวันหยุดลง ระดับน้ำในแม่น้ำสายลดต่ำกว่าตลิ่ง ขณะที่ในบางจุดยังมีน้ำท่วมขัง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งระบาย ล่าสุดนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย เปิดเผยว่า จุดเสี่ยง เช่น โต๊ะสนุ๊ก บ้านเช่าริมแม่น้ำ ยังพบรูรั่ว-น้ำซึมเข้าชุมชน แต่ได้บูรณาการกับกรมการทหารช่าง เทศบาล และอำเภอเร่งอุดรอยรั่วและเสริมพนังชั่วคราวเต็มกำลัง

แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่เสียงเตือนภัยยังคงดังก้อง นายอำเภอแม่สายขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารราชการใกล้ชิด เพราะช่วงวันที่ 4-6 สิงหาคมนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์จะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลพายุลูกใหม่ อาจเกิดน้ำหลากซ้ำ หากปริมาณน้ำมากเกินแนวป้องกันจุดเดิม จึงขอความร่วมมือชาวบ้านเร่งขนของขึ้นที่สูงและเตรียมพร้อมอพยพกลุ่มเปราะบางไปยังศูนย์พักพิงทันทีที่มีประกาศ

ทัพภาค 3–มทบ.37 ลงพื้นที่ “ปิดรอยรั่ว–สร้างขวัญ”

เมื่อ 29 กรกฎาคม พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน กองทัพภาคที่ 3 พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่แม่สายโดยมีนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ พล.ต.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ (มทบ.37) ให้การต้อนรับ คณะฯ ได้รับฟังรายงานปัญหาจากนายอำเภอแม่สาย และพล.ท.สิรภพ ศุภวานิช (เจ้ากรมการทหารช่าง) ถึงปัจจัยหลักน้ำท่วมรอบล่าสุด เช่น การที่พนังบิ๊กแบ็กและผนังอาคารชั่วคราวโดนกระแสน้ำ-ท่อนซุงขนาดใหญ่ซัดจนเกิดโพรง รอยรั่วตามแนวคัน ส่งผลให้มวลน้ำทะลักเข้าท่วมชุมชนหลายจุด

แม่ทัพภาคที่ 3 สั่งการให้มทบ.37, กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 ในพระองค์ฯ และหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก เสริมกำลังเข้าซ่อมแนวพนังเร่งด่วน ขณะเดียวกัน กรมการทหารช่างก็ระดมกำลังคน-เครื่องมือซ่อมแซมตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนเกาะทราย จุดที่ได้รับผลกระทบหนักมาก

โรงครัวพระราชทาน พลังใจยามวิกฤต

นอกจากภารกิจด้านวิศวกรรม-ซ่อมแซม มทบ.37 ได้จัดตั้งโรงครัวพระราชทานเคลื่อนที่ ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย เพื่อประกอบอาหารสดแจกประชาชนที่เดือดร้อนและเจ้าหน้าที่ภาคสนาม โดยกลุ่มแม่บ้านกิ่งกาชาดอำเภอแม่สายร่วมช่วยเหลือ เมนูยอดนิยมคือข้าวกะเพราไก่ไข่ต้มและข้าวอกไก่ทอด ผลิตวันละ 1,000 กล่อง (3 มื้อ) นำไปแจกจ่ายตามจุดพักพิง สร้างขวัญและกำลังใจให้ชาวแม่สายก้าวผ่านวิกฤติร่วมกัน

เร่งผลักดันน้ำอิงลงโขง กลยุทธ์บูรณาการ “ทุกสาย”

แม่น้ำอิงซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักรับน้ำจากจังหวัดพะเยา-เชียงราย ก็เป็นอีกสมรภูมิหนึ่งที่หน่วยงานรัฐกำลังเร่งระบายน้ำ โดยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย เผยว่าขณะนี้กำลังติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ 10 เครื่อง ที่สะพานอิงอุดม บ้านเต๋น ต.สถาน อ.เชียงของ สามารถผลักดันน้ำกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ลดความเสี่ยงน้ำเอ่อท่วมพื้นที่เกษตร-ชุมชนท้ายน้ำลงโขง เป็นมาตรการเชิงรุกในการแก้ปัญหาอุทกภัยแบบองค์รวม

เชียงราย “ยังไม่พ้นวิกฤต” แต่พร้อมสู้ระลอกใหม่

สถานการณ์อุทกภัยแม่สายปี 2568 สะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างในพื้นที่น้ำหลากชายแดนฝั่งเหนือ แม้สัญญาณคลี่คลายจะเริ่มชัดเจน แต่การเตรียมพร้อมรับมือพายุระลอกใหม่ยังจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเด็น “พนังชั่วคราว–ผนังอาคารเก่า” ที่ยังมีจุดอ่อนง่ายต่อการทะลุซ้ำ

ปัจจัยสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการในระยะสั้น–ยาว

  • ซ่อมแซม–เสริมแนวป้องกันถาวร: หลังน้ำลด การรื้อถอนพนังชั่วคราวและสร้างแนวป้องกันถาวรที่แข็งแรงยั่งยืน ควรเป็นวาระเร่งด่วนของทุกภาคส่วน
  • การเยียวยาฟื้นฟูหลังน้ำลด: การสำรวจ-ประเมินความเสียหาย การจัดสรรงบฯ เยียวยาชาวบ้านต้องดำเนินการรวดเร็ว-โปร่งใส สร้างความหวังให้ผู้ได้รับผลกระทบ
  • สื่อสารความเสี่ยง–แจ้งเตือนล่วงหน้า: ทุกฝ่ายต้องสื่อสารข้อมูลสภาพอากาศ การระบายน้ำ แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง เข้าใจง่าย ไม่ปล่อยข่าวลือ
  • กลไกช่วยเหลือครบวงจร: การบูรณาการของหน่วยงานรัฐ ทหาร เทศบาล กลุ่มจิตอาสา และภาคประชาสังคม ยังคงเป็นหัวใจของการช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัย

สู้ “น้ำ” ด้วยความร่วมมือ–ระวัง “ใจ” ให้มั่นคง

สถานการณ์แม่สายครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่สังคมไทยได้เห็นพลังความร่วมมือของภาครัฐและประชาชน ในวันที่ธรรมชาติรุนแรงเกินคาดเดา ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีคือหัวใจ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการวางแผนเชิงระบบ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว เพื่อไม่ให้แม่สาย–เชียงราย ต้องตกอยู่ในวังวนวิกฤตน้ำท่วมซ้ำซากอีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37
  • กองทัพภาคที่ 3
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • รายงานสถานการณ์น้ำและอุทกภัย สำนักข่าวท้องถิ่น/ภาคสนาม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำกกขยับใกล้จุดวิกฤต – วอร์รูมเทศบาลฯ ระดมแผนฉุกเฉินช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญสถานการณ์ที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ริมลุ่มน้ำกก เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำอย่างอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง ระดับน้ำเพิ่มสูงถึง 12 เซนติเมตรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง และอยู่ห่างจากระดับวิกฤตเพียง 31 เซนติเมตรเท่านั้น สัญญาณเตือนอันตรายที่ไม่อาจนิ่งนอนใจ

เทศบาลนครเชียงรายโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรี ได้เรียกประชุมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมด่วนที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภายในสถานีขนส่งแห่งที่ 1 พร้อมประชุมออนไลน์ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานระดับจังหวัด เพื่อสรุปและเร่งประสานแผนรับมือสถานการณ์

ข้อมูลน้ำ-ฝนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เผยตัวเลขใกล้เสี่ยงล้นตลิ่ง

จากรายงานของทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย รวมถึงข้อมูลจากส่วนอุทกวิทยาที่ 2 สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ พบว่าปริมาณน้ำกกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

  • เวลา 12.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอน ระดับน้ำอยู่ที่ 5.99 เมตร (ค่าวิกฤต 6.50 เมตร) ปริมาณน้ำ 487 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลา 13.00 น. ที่สะพานพ่อขุนฯ ระดับน้ำอยู่ที่ 5.07 เมตร ปริมาณน้ำ 442 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลาเดียวกัน ที่สะพานขัวพญามังราย ต.ริมกก ระดับน้ำอยู่ที่ 3.64 เมตร จากระดับวิกฤต 6.00 เมตร

ทีมวิจัยระบบเตือนภัยฯ ยังระบุว่าหากแนวโน้มฝนและระดับน้ำยังเป็นเช่นนี้ ระดับน้ำในเมืองเชียงรายอาจถึงจุดวิกฤตและล้นตลิ่งได้ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำกกเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมย้ายของขึ้นที่สูง

เตรียมพร้อมรอบด้าน – เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาล ออกสำรวจระดับน้ำและเฝ้าติดตามสถานการณ์รอบพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาสาสมัคร และประชาชนในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำกก เพื่อเตรียมพร้อมแผนอพยพและการแจ้งเตือนล่วงหน้าหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความพร้อมของศูนย์พักพิงและสถานที่อพยพฉุกเฉิน เช่น วัด โรงเรียน และอาคารสาธารณะ ตลอดจนการจัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือประชาชน อาทิ กระสอบทราย เรือท้องแบน และเครื่องสูบน้ำ เพื่อให้พร้อมใช้งานได้ทันที

ภัยคุกคาม “น้ำกก” กับมาตรการเชิงรุกของเชียงราย

สถานการณ์น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในวันนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่เมืองเชียงรายต่อภัยน้ำหลากที่อาจเกิดขึ้นจากฝนหนักในพื้นที่ต้นน้ำอย่างฉับพลัน ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาและถือเป็นบทเรียนเชิงนโยบายมีดังนี้

  • การเฝ้าระวังต้นน้ำอย่างรอบด้าน: การติดตามข้อมูลน้ำฝนและปริมาณน้ำตั้งแต่สถานีต้นน้ำถึงปลายน้ำ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นมีข้อมูลสำหรับวางแผนรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
  • ข้อมูลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: การใช้ข้อมูลจากทีมวิจัยและส่วนอุทกวิทยา สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการภาครัฐอย่างเป็นระบบ เพิ่มความแม่นยำของการตัดสินใจและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • ความพร้อมของหน่วยงานท้องถิ่น: การตั้งวอร์รูม ประชุมร่วมกับหน่วยงานจังหวัด และจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกสำรวจเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เป็นมาตรการเชิงรุกที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบ
  • การสื่อสารกับประชาชน: เทศบาลนครเชียงรายเน้นการแจ้งเตือนประชาชนริมฝั่งแม่น้ำกกให้ทราบความเสี่ยงและวิธีเตรียมตัวล่วงหน้า ลดความสูญเสียและสร้างความตื่นตัวให้กับชุมชนอย่างทั่วถึง

โจทย์ท้าทายและประเด็นที่ต้องติดตาม

  • ความเร็วของกระแสน้ำ: ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (12 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง) เป็นสัญญาณเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับการแจ้งเตือนและการอพยพ
  • ผลกระทบต่อชุมชนริมฝั่ง: หากน้ำล้นตลิ่งในเขตเมือง พื้นที่ชุมชนริมฝั่งและตลาดจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จำเป็นต้องเตรียมสถานที่พักพิงและการช่วยเหลือให้พร้อม
  • การบริหารจัดการเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต้นน้ำ: ประสานงานกับหน่วยงานรับผิดชอบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเพื่อลดการระบายน้ำในช่วงวิกฤต เป็นกลยุทธ์สำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำปลายน้ำ
  • การประสานงานกับชุมชน: การสร้างเครือข่ายสื่อสารภาคประชาชนและอาสาสมัคร ช่วยกระจายข้อมูลข่าวสารและรับมือภัยพิบัติอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

สรุป

สถานการณ์แม่น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในครั้งนี้ นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมเชิงรุก การวางระบบสื่อสารที่เข้มแข็ง และการประสานทุกภาคส่วนร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เชียงรายผ่านพ้นภัยพิบัติด้วยความเสียหายน้อยที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายน้ำทะลักท่วมตลาด-ชุมชน มทบ.37 ระดมพลพร้อมกู้ภัยเร่งอพยพผู้เปราะบาง

แม่สายวิกฤตหนักน้ำทะลักท่วมตลาด-ชุมชน มทบ.37 ระดมพลพร้อมกู้ภัย เร่งอพยพผู้เปราะบาง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – แม่สายอ่วม! น้ำหลากทะลักท่วมกลางดึก ประชาชนรีบอพยพ สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ยังคงวิกฤตหนักอีกครั้งหลังจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งรัฐฉานตะวันออก ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วและไหลทะลักเข้าท่วมชุมชนริมฝั่งอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งห้าแยกตลาดพลอย (ห้าแยกไข่ดาว) บ้านไม้ลุงขน ตลาดสายลมจอย รวมถึงพื้นที่ชั้นใต้ดินของตลาดและแนวผนังกั้นน้ำชั่วคราวที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้น ถูกมวลน้ำบ่าไหลผ่านจนไร้ผล ประชาชนจำนวนมากต้องขนย้ายข้าวของขึ้นที่สูงและเร่งอพยพกันท่ามกลางความโกลาหลตั้งแต่กลางดึก

ทหาร-กู้ภัยระดมกำลังฉุกเฉิน ปกป้องชีวิตกลุ่มเปราะบาง

เมื่อเวลา 09.00 น. พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 / ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37 ได้สั่งการด่วนให้ พันเอก สิงหนาท โลสุยะ เสนาธิการ มทบ.37 นำกำลังทหาร ชุดยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่ประสบภัยทันที โดยแบ่งกำลังออกเป็น 5 ชุดปฏิบัติการรวม 32 นาย พร้อมชุดแพทย์เดินเท้า เข้าช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางในตำบลเกาะทรายซึ่งถูกน้ำท่วมอย่างรุนแรง

พร้อมกันนี้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจาก สมาคมปิยะมิตรแม่สายร่วมใจบรรเทาสาธารณภัยและการกุศล และ สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย ก็ได้สนธิกำลังวางแผนรับมือร่วมกับชุมชน ช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในที่พักอาศัย ขนย้ายของขึ้นที่สูงและอพยพผู้สูงอายุ เด็กเล็ก รวมถึงผู้ป่วยติดเตียง ไปยังศูนย์อพยพที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด

ภาคสนามปฏิบัติการต่อเนื่อง – รายงานสถานการณ์ล่าสุด

ณ เวลา 10.54 น. ระดับน้ำยังเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องจนถึงสะพานข้ามตลาดสายลมจอย พร้อมไหลทะลักเข้าพื้นที่ชั้นใต้ดินและแนวผนังกั้นน้ำชั่วคราวของชาวบ้านถูกเจาะทะลุเสียหาย ปฏิบัติการของทหารและกู้ภัยจึงเร่งมืออย่างเต็มที่ ทั้งการกรอกกระสอบทรายเสริมแนวป้องกัน การขนย้ายสิ่งของในชุมชนเกาะทราย ซอย 7, 11, 12 และการเร่งระบายน้ำตามจุดที่น้ำไหลบ่าเข้าสู่บ้านเรือน

ในขณะที่สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกก บริเวณสะพานท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ แม้จะยังมีฝนตกและท้องฟ้าครึ้ม แต่ระดับน้ำยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถระบายออกได้ ไม่ส่งผลกระทบถึงพื้นที่เมืองเชียงรายในขณะนี้

การบูรณาการช่วยเหลือ – ติดตามต่อเนื่อง

มณฑลทหารบกที่ 37, ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน และหน่วยงานกู้ภัยต่างๆ ร่วมบูรณาการทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่หยุดยั้ง มีการจัดตั้งกองบัญชาการควบคุมภาคสนาม เร่งอพยพและดูแลกลุ่มเปราะบางตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงประสานศูนย์แพทย์ทหารและหน่วยสาธารณสุขเคลื่อนที่ช่วยเหลือผู้ป่วยในพื้นที่เสี่ยง

วิกฤตซ้ำซากกับโจทย์ใหญ่ของแม่สาย

สถานการณ์น้ำท่วมแม่สายปีนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนที่ต้องเผชิญมวลน้ำหลากข้ามพรมแดนจากเมียนมา แม้จะมีการวางแนวป้องกันชั่วคราวและแผนฉุกเฉิน แต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้

ประเด็นสำคัญที่ชัดเจน:

  • การระดมฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ: การปฏิบัติการของ มทบ.37 และภาคีเครือข่ายทั้งทหาร กู้ภัย และภาคประชาชน เป็นตัวอย่างของการบูรณาการทรัพยากรเพื่อลดการสูญเสียและช่วยเหลือชีวิตประชาชนในห้วงวิกฤต
  • ปกป้องกลุ่มเปราะบาง: การอพยพผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยติดเตียงออกจากพื้นที่เสี่ยงทันที เป็นมาตรการสำคัญยิ่งที่แสดงถึงความพร้อมและความใส่ใจต่อคุณภาพชีวิตประชาชน
  • การป้องกันแบบเฉพาะหน้า: การกรอกกระสอบทราย ขนของขึ้นที่สูง เร่งระบายน้ำ คือการรับมือเฉพาะหน้าที่จำเป็นอย่างยิ่ง แม้จะเป็นเพียงการยื้อสถานการณ์ให้ชุมชนมีเวลาตั้งตัวมากขึ้น
  • บทเรียนจากภัยซ้ำซาก: การเกิดน้ำท่วมซ้ำรอยทุกปี ยืนยันถึงความจำเป็นในการวางระบบป้องกันถาวรและพัฒนาโครงสร้างระบายน้ำให้สอดคล้องกับภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากสภาพอากาศและต้นน้ำข้ามแดน

ประเด็นที่ต้องจับตาต่อไป:

  • ความสมบูรณ์ของแนวป้องกันถาวร: หากไม่มีการเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำถาวรและระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ แม่สายอาจต้องเผชิญภัยน้ำท่วมซ้ำอีกในอนาคตอันใกล้
  • ระบบแจ้งเตือนและความรู้ชุมชน: แม้จะมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้ว แต่หากการสื่อสารไม่ทั่วถึงหรือชาวบ้านยัง “คาดไม่ถึง” ว่ามวลน้ำจะเข้าท่วม ต้องปรับปรุงช่องทางแจ้งเตือนและเสริมสร้างความรู้ด้านการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง

สรุป: สถานการณ์แม่สายในวันนี้เป็นบททดสอบย้ำเตือนถึงโจทย์ใหญ่ของการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ชายแดน ทั้งความจำเป็นของแนวป้องกันถาวร การพัฒนาระบบรับมือฉุกเฉิน และการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน เพื่อรับมือกับธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นในทุกปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37

  • ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37

  • ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ 37

  • สมาคมปิยะมิตรแม่สายร่วมใจบรรเทาสาธารณภัยและการกุศล

  • สมาคมศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย

  • รายงานสถานการณ์จากภาคสนาม (เวลา 10.54 น. วันที่ 28 กรกฎาคม 2568)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายคลี่คลายแต่ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลุยเชียงของมอบถุงยังชีพ ปภ.สรุป 15 อำเภอ

เชียงรายคลี่คลายแต่ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลุยเชียงของมอบถุงยังชีพ ปภ.สรุป 15 อำเภอได้รับผลกระทบ เร่งฟื้นฟูหลังน้ำลด

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย หลายพื้นที่กลับสู่ปกติ แต่ยังต้องเร่งฟื้นฟูและเฝ้าระวังต่อเนื่อง แม้สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “วิภา” จะเริ่มคลี่คลาย หลายพื้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัว แต่การฟื้นฟูยังดำเนินต่อเนื่องโดยไม่ลดความระมัดระวัง เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็วที่สุด

ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่เชียงของ มอบถุงยังชีพ 252 ชุด สร้างกำลังใจให้ผู้ประสบภัย

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 เวลา 16.00 น. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายอำเภอเชียงของ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เทศบาลตำบลห้วยซ้อ อำเภอเชียงของ มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 252 ชุด พร้อมกล่าวให้กำลังใจแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบและกำชับหน่วยงานในพื้นที่ให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนสามารถก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกัน

ปภ.เชียงรายสรุป 15 อำเภอ 79 ตำบล 454 หมู่บ้าน ได้รับผลกระทบ สัตว์เศรษฐกิจเสียหายหนัก

รายงานสถานการณ์ล่าสุดจากกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย) ระบุว่า ระหว่างวันที่ 16-27 กรกฎาคม 2568 มีฝนตกสะสมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มใน 15 อำเภอ 79 ตำบล 454 หมู่บ้าน มีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบประมาณ 13,036 ครัวเรือน

ความเสียหายที่เกิดขึ้นครอบคลุมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและทรัพย์สินสำคัญ ได้แก่ โรงเรียน 8 แห่ง ถนน 19 สาย สะพาน 1 แห่ง คอสะพาน 4 แห่ง วัด 3 แห่ง สัตว์เศรษฐกิจเสียหายอย่างหนัก เช่น โค 4,445 ตัว กระบือ 1,987 ตัว สุกร 3,387 ตัว แพะ-แกะ 43 ตัว สัตว์ปีก 230,879 ตัว แปลงหญ้า 699 ไร่ ส่วนพื้นที่เกษตรกรรมยังอยู่ระหว่างการสำรวจและรวบรวมข้อมูล

โชคดีที่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้

สถานการณ์รายอำเภอ หลายแห่งน้ำลด หลายจุดยังต้องเฝ้าระวัง

อำเภอเทิง พญาเม็งราย (ต.ตาดควัน ต.ไม้ยา) เมืองเชียงราย เชียงของ เวียงแก่น เวียงป่าเป้า (บ้านเรือนแห้งแล้ว) แม่สรวย แม่ลาว และยางฮอม (อ.ขุนตาล) ระดับน้ำลดลงและกลับสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตาม ยังมีอำเภอพญาเม็งราย (ต.แม่เปา ต.เม็งราย ต.แม่ต๋ำ) ป่าแดด ขุนตาล (ต.ต้า ต.ป่าตาล) เวียงเชียงรุ้ง เวียงชัย พาน ดอยหลวง และแม่จัน ที่น้ำยังคงท่วมขังบางส่วน หรือมีน้ำขังบนผิวจราจรและพื้นที่เกษตร ต้องเฝ้าระวังฝนที่อาจตกซ้ำและปริมาณน้ำที่อาจไหลสมทบจากภูเขาตลอด 24 ชั่วโมง

เร่งฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน เน้นซ่อมแซมจุดเสี่ยงคอสะพานและถนน

พื้นที่อำเภอเชียงของยังมีจุดเสี่ยงสำคัญคือ คอสะพานถนนทางหลวงชนบทสาย ชร.4027 ที่เกิดน้ำท่วมขังและมีการเซาะใต้ฐานสะพานบางส่วน แม้ยังสามารถสัญจรได้แต่ขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมแผนซ่อมแซมทันทีที่สถานการณ์เอื้ออำนวย ทั้งนี้ หากมีการปิดเส้นทางหรือซ่อมแซมจะมีการแจ้งข่าวสารให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง

 เชียงรายผ่านวิกฤตแต่ยังต้องไม่ประมาท

สถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับจังหวัดเชียงราย แม้จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐาน สัตว์เศรษฐกิจ และภาคเกษตรกรรมยังคงต้องใช้เวลาและงบประมาณในการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป

  • การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน: คอสะพานและถนนหลายสายที่ถูกเซาะหรือพังเสียหาย ต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนเพื่อคืนความปลอดภัยและความสะดวกในการสัญจร
  • การฟื้นฟูภาคเกษตรกรรมและปศุสัตว์: ด้วยจำนวนสัตว์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบสูง จำเป็นต้องเร่งเยียวยา จัดหาพันธุ์สัตว์ทดแทน และสนับสนุนสินเชื่อหรือเงินช่วยเหลือเพื่อให้เกษตรกรกลับมาดำรงชีพได้อย่างมั่นคง
  • การเยียวยาและประเมินความเสียหายอย่างทั่วถึง: ต้องมีการสำรวจและรวบรวมข้อมูลครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบอย่างละเอียด เพื่อจัดสรรการช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเป็นธรรมและครอบคลุม
  • การป้องกันระยะยาว: จำเป็นต้องทบทวนและเสริมสร้างมาตรการป้องกันอุทกภัยระยะยาว อาทิ การบริหารจัดการน้ำต้นน้ำ การวางแผนที่ดินและพื้นที่เกษตรกรรมให้สอดคล้องกับความเสี่ยง การเสริมสร้างชุมชนให้มีศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติ และการใช้เทคโนโลยีสื่อสารแจ้งเตือนภัย

ก้าวผ่านวิกฤตด้วยความร่วมมือ เดินหน้าฟื้นฟูอย่างยั่งยืน

ภาพรวมสถานการณ์และการตอบสนองของทุกหน่วยงานสะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เชียงรายก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ด้วยความร่วมมือและกำลังใจ พร้อมเดินหน้าฟื้นฟูและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย, วันที่ 27 กรกฎาคม 2568
  • ศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News