Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ทอสายบุญ” จุลกฐินไทลื้อ: อบจ.เชียงรายผนึก 5 ภาคี สร้างงาน-รายได้ชุมชนจากวัฒนธรรม

เชียงรายสานศรัทธาไทลื้อ “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ บ้านหาดบ้าย” ลงนาม MOU 5 ภาคี ดันท่องเที่ยวริมโขง สร้างงาน–รายได้ชุมชน

เชียงราย, 9 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นบนตลิ่งโขง แสงสีส้มแตะขอบน้ำสงบที่ ลานเวทีบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง ต.ริมโขง อ.เชียงของ ผู้คนในชุดไทลื้อสีคราม–ไพลสลับลวดลายกำลังจัดขบวน “แห่ขันโตก” ขณะที่วงกลองสะบัดชัยกระทบจังหวะต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ—ฉากเปิดของงานแถลงข่าวและเสวนา “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ บ้านหาดบ้าย” ซึ่งปีนี้ยกระดับสู่ MOU เครือข่าย 5 ภาคส่วน เพื่อเดินหน้าพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ภายใต้แคมเปญจังหวัด “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปีมีดีทุกอำเภอองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. นำภาคีเครือข่ายร่วมลงนาม ได้แก่ นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ, รศ.มาลี หมวกกุล ประธานสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, นายเกษม ปันทะยม นายก อบต.ริมโขง และ นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย เพื่อวางกรอบความร่วมมือจาก “วัฒนธรรม–พื้นที่–คน” สู่ “เศรษฐกิจท้องถิ่น–รายได้ชุมชน–ภาพลักษณ์จังหวัด”

“เรายกให้งานจุลกฐินบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทองเป็นหนึ่งในปฏิทินท่องเที่ยวของจังหวัด สนับสนุนงบประมาณ 300,000 บาท เพื่อให้ชุมชนเดินต่อด้วยพลังของตนเองและเครือข่ายภาคี” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวระหว่างเสวนา

จุลกฐินไทลื้อ “ทอผ้าทันใจ” ศรัทธาที่แปรเป็นเศรษฐกิจชุมชน

หัวใจของงานคือ พิธีจุลกฐิน—ประเพณีโบราณที่ชาวไทลื้อรวมพลัง ทอผ้าทันใจ” ภายในคืนเดียวเพื่อถวายแต่เช้า “ทอ–ปั่น–ฟั่น–กรอ—เสร็จในราตรีเดียว” คือความหมายเชิงสัญลักษณ์ของ ความสามัคคีและแรงศรัทธา ซึ่งปีนี้กำหนดจัดจริง 25–26 ตุลาคม 2568 ณ วัดหาดบ้าย พร้อมจำลองกระบวนการครบขั้นตั้งแต่เก็บสำลีฝ้าย ปั่นเส้น ไปจนถึงทอผ้าและแห่ถวาย

“เรื่องเล่าของ ‘ผ้าทันใจ’ คือพลังร่วมมือของชุมชน เมื่อครั้งต้องการถวายผ้าแด่พระภิกษุในเช้าวันถัดมา—วันนี้เราสืบสานเพื่อให้ลูกหลานเห็นคุณค่าศรัทธาที่จับต้องได้” — นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย กล่าว

นอกจากพิธีกรรม งานยังเปิดเวทีการแสดงอัตลักษณ์ไทลื้อ เช่น ฟ้อนขับลื้อ, ขบวน แห่ขันโตก ต้อนรับแขก และการร่วมแสดงของทั้ง แม่บ้าน–เยาวชน–ผู้สูงอายุ เพื่อให้เห็น “ชุมชนหนึ่งเดียวต่างวัย” ที่ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมร่วมกัน

3 ทุนของบ้านหาดบ้ายวัฒนธรรม–พื้นที่–คน

เวทีเสวนาชี้ให้เห็น “ทุน” ของพื้นที่ที่พร้อมต่อยอดเป็นคุณค่าทางเศรษฐกิจ

  • ทุนวัฒนธรรม ภาษา การแต่งกาย ประเพณี และอาหารพื้นถิ่นที่ยังใช้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ ผ้าทอไทลื้อ ที่มีลายเฉพาะถิ่น และพิธี จุลกฐิน
  • ทุนพื้นที่ ภูมิประเทศริมโขง โอบล้อมด้วยภูเขา บรรยากาศไฮซีซันที่โดดเด่น เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–วัฒนธรรม
  • ทุนคน ความเข้มแข็งของชุมชน การรวมกลุ่มอาชีพ และความร่วมมือของผู้นำท้องถิ่นกับสถาบันการศึกษา

“ทุน 3 อย่างนี้—ถ้าเชื่อมกับการจัดการที่ดี จะกลายเป็น ‘เศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม’ ที่สร้างคุณภาพชีวิตให้คนในพื้นที่จริง” — นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ให้ความเห็น

มหาวิทยาลัยหนุนวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์ จากครัวชนบทสู่รางวัลระดับประเทศ

บทบาทของ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ไม่ได้หยุดอยู่ที่การถอดองค์ความรู้การทอผ้าไทลื้อเท่านั้น แต่ยังต่อยอด ห่วงโซ่อาหารพื้นถิ่น สู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และภาพลักษณ์ใหม่

  • น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้” คว้ารางวัลระดับประเทศจากเวที “ยกพลคนน้ำพริก (ไทยพีบีเอส)” ทั้ง รองชนะเลิศ และ ขวัญใจมหาชน—ตัวอย่างการนำเครื่องปรุงพื้นบ้านยกระดับสู่สากล
  • ชาดอกซ้อ (ดอกเส้า)” วิจัยพัฒนาให้ผลิต–จำหน่ายได้ตลอดปี พร้อม แพ็กเกจจิ้ง ที่สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชน เพิ่มมูลค่าเป็น “ของฝากริมโขง”

“สิบกว่าปีที่ทำงานร่วมพื้นที่ เราเห็นชัดว่าทุนคนคือจุดเริ่มต้น ทุกโครงการ—อาหาร ผ้า ศูนย์เรียนรู้—เกิดจากการที่ชุมชน ‘อยากทำ’ และ ‘ทำได้จริง’ มหาวิทยาลัยจึงทำหน้าที่ต่อยอดงานวิจัยและการตลาดให้ไปไกลขึ้น” — รศ.มาลี หมวกกุล กล่าวบนเวที

จากเวทีแถลงสู่เวทีขาย อาหาร–การแสดง–สินค้าชุมชนครบประสบการณ์

งานแถลงข่าวไม่เพียงนำเสนอสาระ แต่ “ลองรส–ลองชม–ลองช็อป” เพื่อสะท้อนประสบการณ์จริงของนักท่องเที่ยวในงานใหญ่ปลายเดือน เมนู ขันโตกไทลื้อ ที่เสิร์ฟบนเวที เช่น

  • แกงหางหวายอ่อน — วัตถุดิบพื้นบ้านหายาก ปรุงแบบดั้งเดิม
  • ลาบหมูล้านนา — อาหารมงคลของชาวเหนือ สื่อถึงการรวมคนในงานบุญ
  • น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้ — เมนูสร้างชื่อของชุมชน
  • ต้มจืดฟักเขียว — เมนูกลางสำหรับทุกวัย

บนลานทรายริมโขง แผงสินค้าชุมชนเรียงรายตั้งแต่ ผ้าซิ่นไทลื้อ–เสื้อพื้นถิ่น–ของทานพื้นบ้าน ไปจนถึงบูธงานวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์จากมหาวิทยาลัย ภาพนักเรียน โรงเรียนริมโขงวิทยา ขึ้นแสดง–ร่วมจัดนิทรรศการ ยังสะท้อน “คนรุ่นใหม่” ที่สืบต่ออัตลักษณ์บ้านเกิด

MOU 5 ภาคส่วน กลไกขับเคลื่อนระยะยาว

เอกสาร MOU ที่ลงนามร่วมกันระบุ เจตนารมณ์ร่วม 3 ประการ คือ

  1. ยกระดับงาน “จุลกฐินถิ่นไทลื้อโบราณ” เป็นงานวัฒนธรรมประจำปีที่ชุมชนเป็นเจ้าของ
  2. สนับสนุน โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว และ ระบบการสื่อสารสาธารณะ ให้เข้าถึงง่ายทั้งออนไลน์–ออฟไลน์
  3. ต่อยอด งานวิจัย–ผลิตภัณฑ์ชุมชน ให้ได้มาตรฐาน พร้อมช่องทางตลาด–โลจิสติกส์รองรับ

อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่หนุนงบประมาณและการตลาดเชิงภาพรวมจังหวัด, อำเภอเชียงของ และ อบต.ริมโขง บูรณาการภาคส่วนในพื้นที่, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วางฐานองค์ความรู้–มาตรฐานผลิตภัณฑ์–ศูนย์เรียนรู้, ส่วน ชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง ทำหน้าที่เจ้าภาพเนื้อแท้ของวัฒนธรรมและประสบการณ์นักท่องเที่ยว

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงชวนคิด

  • 300,000 บาท งบสนับสนุนงานปีนี้จาก อบจ.เชียงราย เพื่อผลักดันสู่ปฏิทินท่องเที่ยวจังหวัด
  • 2 วัน (25–26 ต.ค. 2568)  โครงสร้างงาน—คืนแรก ทอผ้าทันใจ, เช้าวันถัดมา แห่ผ้าทอถวาย
  • 5 ภาคีร่วมลงนาม อบจ.เชียงราย, อำเภอเชียงของ, ม.ราชภัฏเชียงราย, อบต.ริมโขง, ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย
  • รางวัลระดับประเทศ 2 รางวัล  “น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้” จากเวทีไทยพีบีเอส (รองชนะเลิศ/ขวัญใจมหาชน) สะท้อนศักยภาพการยกระดับอาหารพื้นบ้าน
  • ระบบนิเวศคน 3 วัย แม่บ้าน–เยาวชน–ผู้สูงอายุ ร่วมเป็นผู้แสดง ผู้ผลิต และผู้ต้อนรับ สร้าง “บริการท่องเที่ยวที่เป็นเจ้าบ้านจริง”

เสียงจากพื้นที่ การมีส่วนร่วมคือคำตอบ

“เราจะรับนักท่องเที่ยวด้วยความเต็มใจ ด้วยวิถีไทลื้อและพหุชาติพันธุ์ใน ต.ริมโขง—งานนี้ระเบิดจากข้างในชุมชน หน่วยงานรัฐและมหาวิทยาลัยเข้ามาหนุนเสริม” — นายเกษม ปันทะยม นายก อบต.ริมโขง

“เมื่อชุมชนมีความภูมิใจในทุนของตนเอง นักท่องเที่ยวก็จะได้ประสบการณ์แท้จริง—นี่คือเหตุผลที่เราพัฒนา ศูนย์เรียนรู้ และ คลังความรู้การทอผ้า ในโรงเรียน ให้การสืบสานเป็น ‘ทักษะอาชีพ’ ได้” — รศ.มาลี หมวกกุล

“การทอผ้าทันใจไม่ใช่โชว์ แต่คือชีวิต—เราอยากให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส ลงมือจริง และเข้าใจว่าทุกเส้นด้ายมีเรื่องเล่า” — นางสนอง จันต๊ะคาด

การสื่อสารร่วมสมัย จากเวทีริมโขงสู่ไลฟ์สดและคอนเทนต์ออนไลน์

เพื่อเข้าถึงคนเมือง–คนรุ่นใหม่ งานแถลงข่าวเปิด ไลฟ์สด ผ่านเพจหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชิญชวน ครีเอเตอร์ ทดลองเก็บคอนเทนต์ “ชุดไทลื้อ–ริมโขง–แสงอาทิตย์ตก” พร้อมแนะนำ แฮชแท็กการท่องเที่ยวชุมชน กระตุ้นการรับรู้แบบไวรัล ขณะเดียวกัน ชุมชนเตรียม ชุดข้อมูลนักท่องเที่ยว (การเดินทาง ที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหารพื้นถิ่น แหล่งซื้อผ้า) เพื่อให้การเดินทางในปลายเดือนเป็นไปอย่างราบรื่น

แผนงานก่อนถึงวันจริง ความพร้อมเชิงระบบ

หลังลงนาม MOU แต่ละฝ่ายเร่งดำเนินการตามบทบาท

  • ชุมชน: ฝึกซ้อมการแสดง สรุปเส้นทางเดินงาน จัดบูธผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และระบบอาสาสมัครต้อนรับ
  • อบต.ริมโขง: การจราจร–ความปลอดภัย–จุดบริการสาธารณะ
  • อำเภอเชียงของ: ประสานหน่วยงานความมั่นคงและสาธารณสุขในพื้นที่
  • อบจ.เชียงราย: ประชาสัมพันธ์ส่วนกลางและเชื่อมเครือข่ายท่องเที่ยวจังหวัด
  • มหาวิทยาลัย: นัดหมายสาธิตงานวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์ สื่อสารเรื่องมาตรฐาน คุณภาพ และเรื่องเล่าเบื้องหลังผลิตภัณฑ์

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง คือ รายได้หมุนเวียนในชุมชน ผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์–บริการท่องเที่ยว, การจ้างงานชั่วคราว–กึ่งถาวร ในกลุ่มแม่บ้าน/เยาวชน, และ การรับรู้แบรนด์ปลายทาง “เชียงของ–ริมโขง–ไทลื้อ” ที่เข้มแข็งขึ้นในตลาดนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

คำเชิญชวนสุดท้าย มาเห็น “ศรัทธาที่ทอได้” ด้วยตาคุณเอง

เมื่อแสงสุดท้ายลับขอบน้ำ ขบวนแห่ขันโตกสิ้นสุดลง ผู้ร่วมงานหันไปมองกี่ทอผ้าจำลองที่ตั้งเด่นริมเวที—เครื่องหมายว่าภารกิจใหญ่กำลังใกล้เข้ามา ใน คืนวันที่ 25 ตุลาคม ทุกบ้านจะร่วมแรง ทอผ้าทันใจ” และในเช้าถัดมา 26 ตุลาคม ผืนผ้าที่ทอด้วยแรงกาย–แรงใจ จะถูกแห่อย่างสง่างามเข้าสู่วัดหาดบ้าย

อบจ.เชียงราย ฝากข้อความถึงนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ  “มาเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานวัฒนธรรมไทลื้อ ลิ้มรสอาหารพื้นถิ่น ชมงานหัตถกรรมแท้ และช่วยกันกระจายรายได้สู่ชุมชนริมโขง” ความทรงจำจากทริปนี้อาจไม่ใช่เพียงภาพถ่ายยามอาทิตย์ตกบนโขง หากคือ เรื่องเล่าของผืนผ้าที่ทอขึ้นในคืนเดียว—ศรัทธาที่จับต้องได้ และเศรษฐกิจชุมชนที่เติบโตได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลริมโขง (อบต.ริมโขง)
  • ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์)
  • โรงเรียนริมโขงวิทยา
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ฤดูดอกดินในพะเยา ของดีปีละครั้งจากป่า สู่เมนู “ข้าวเหนียวดอกดิน” สร้างเศรษฐกิจยั่งยืน

พะเยาเข้าสู่ฤดู “ดอกดิน” จากครัวบ้านถึงครัวชุมชน สีม่วงจากป่าที่โผล่เพียงปีละครั้ง สู่เมนูเอกลักษณ์ “ข้าวเหนียวดอกดิน”

พะเยา, 21 กันยายน 2568 — เมื่อม่านฝนแรกคลอเคลียผืนป่าตามแนวเขาเหนือสุดของประเทศ ผืนดินในอำเภอดอกคำใต้ก็แย้มสัญญาณแห่งฤดูกาล—ดอกทรงกรวยก้านแดงอมม่วง “โผล่พ้นดิน” เป็นหย่อมเล็ก ๆ คล้ายฝากะทิ้งไว้กลางผืนใบไม้ชื้น นี่คือ “ดอกดิน” พืชป่าหายากที่มาเยือนชั่วคราวปีละครั้ง สร้างความคึกคักให้ชุมชนที่ต่างรู้คิวและรู้ทางเดินของตัวเองดี—ออกหาแต่เช้าตรู่ เก็บอย่างพอเพียง นำกลับบ้านไปปรุงอาหาร หรือแปรรูปเป็นเมนูที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่ไปแล้วอย่าง “ข้าวเหนียวดอกดิน”

ภาพเช้าหลังฝนในดอกคำใต้จึงไม่ใช่แค่กิจกรรมเข้าป่าทั่วไป แต่เป็น “ฤดูเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม” ของชุมชน เป็นวิถีที่เชื่อมโยงระหว่างคน ดิน และผืนป่า ผ่านพืชเล็ก ๆ ที่มีอายุบนดินเพียงไม่กี่สัปดาห์

ดอกดินคือใครในเชิงวิทยาศาสตร์ พืชเบียนที่รอฝนก่อนโผล่เหนือดิน

ข้อมูลเชิงวิชาการระบุว่า “ดอกดิน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aeginetia indica L. อยู่ในวงศ์ Orobanchaceae มีลักษณะเป็นพืชเบียน (parasitic plant) ที่ไม่มีใบสีเขียว ไม่สังเคราะห์แสง แต่ใช้ชีวิตใต้ดินเกาะรากพืชเจ้าบ้าน (มักเป็นหญ้าหรือพืชใบแคบ) และจะชูช่อดอกขึ้นเหนือผิวดินในช่วงดินชื้นจัด โดยก้านดอกมีสีแดงอมม่วง ดอกตูมแน่น เมื่อบานจะเห็นกลีบสีม่วง-ชมพูอ่อน ลักษณะทางชีววิทยาเช่นนี้ทำให้ประชากรดอกดินขึ้นเป็นหย่อม ๆ เฉพาะจุด และปรากฏแก่สายตาเพียงช่วงสั้น ๆ ของปี จึงยิ่งเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนที่อยู่ร่วมกับป่าอย่างรู้จักเวลา

จากครัวบ้านสู่ครัวชุมชน ดอกดินในตำรับอาหารและสีธรรมชาติ

ดอกดินเข้าครัวเหนือมาเนิ่นนาน ทั้งในเมนูเรียบง่ายอย่างแกงดอกดิน ผัดดอกดินใส่ไข่ และแกงเลียง แต่สิ่งที่ทำให้ดอกคำใต้เป็นที่รู้จักกว้างขวางคือ “ข้าวเหนียวดอกดิน”—สีม่วงอ่อนชวนมอง กลิ่นหอมอ่อน ๆ และรสละมุนแบบข้าวใหม่ โดยวิธีทำที่ชาวบ้านเล่าต่อกันคือ นำดอกดินมาต้มคั้นให้ได้ “น้ำสีม่วงธรรมชาติ” แล้วจึงนำไปหุงกับข้าวเหนียวหรือข้าวขาว สีม่วงอ่อนเป็นเอกลักษณ์ของเมนู และยิ่งเด่นเมื่อรับประทานคู่กับกับข้าวพื้นบ้าน

สื่อสาธารณะเคยบันทึกภาพกระบวนการนี้ไว้อย่างชัดเจน ทั้งในรายการสารคดีชุมชนที่ถ่ายทอดวิถีไปจนถึงคลิปสั้นสาธิตการทำสีจากดอกดิน ซึ่งสะท้อนว่า อาหารจานนี้ไม่ได้เป็นแค่ “ของอร่อยตามฤดูกาล” แต่เป็น “อัตลักษณ์ชุมชน” ที่ผสานภูมิปัญญา การจัดการวัตถุดิบ และการสื่อสารของคนท้องถิ่นเข้าด้วยกัน

อาหารคือยา” สรรพคุณในความเชื่อพื้นบ้านและข้อเท็จจริงที่ควรรู้

ในสายตาชาวบ้าน ดอกดินคือพืชสมุนไพรจากป่าที่ “กินแล้วมีกำลัง” บางตำรับพื้นบ้านยกให้ช่วยบำรุงเลือด แก้ร้อนใน หรือขับปัสสาวะ ความเชื่อและการใช้ประโยชน์ดังกล่าวปรากฏในคลังความรู้สมุนไพรและแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นหลายแห่ง ขณะที่แวดวงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มีข้อมูลด้านองค์ประกอบเคมีของสกุลนี้และพืชวงศ์เดียวกันอยู่บ้าง เช่น การศึกษาฐานข้อมูลพืชมีประโยชน์เขตร้อนสรุปภาพรวมชีววิทยาและการใช้ประโยชน์ของ Aeginetia indica ในหลายประเทศเอเชีย อย่างไรก็ดี งานทบทวนเชิงคลินิกเฉพาะ “ดอกดินไทย” ยังมีไม่มากพอให้เคลมสรรพคุณทางการแพทย์อย่างชัดเจนในระดับมาตรฐานสาธารณสุข จึงควรยึดหลัก “กินเป็นอาหาร” มากกว่า “กินเป็นยา” และใช้ความระมัดระวังสำหรับผู้มีโรคประจำตัวหรือหญิงตั้งครรภ์

เศรษฐกิจชุมชนเมื่อฤดูดอกดินมา รายได้เสริมและโอกาสต่อยอด

ฤดูดอกดินในพะเยา—โดยเฉพาะดอกคำใต้—ไม่ใช่แค่ความคึกคักชั่วคราว แต่กลายเป็น “เครื่องมือ” สร้างรายได้เสริมให้ครัวเรือน เกิดการแบ่งงานกันในชุมชน ตั้งแต่คนออกหา คนคัด คนต้มน้ำสี คนหุงข้าวเหนียว ไปจนถึงการจัดจำหน่ายในตลาดชุมชนและออนไลน์ ผู้สูงวัยมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดภูมิปัญญาเรื่อง “เลือกเก็บเท่าใด เก็บอย่างไร ให้เหลือไว้ปีหน้า” ขณะคนรุ่นใหม่ช่วยสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ “ข้าวเหนียวดอกดิน” กลายเป็นสินค้าที่มี “เรื่องเล่า” ชัดเจน—ป่า ฝน ดิน วิถี และคน—ซึ่งตลาดยุคใหม่ให้คุณค่า

นักพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ลงพื้นที่พะเยามองว่า เมื่อสินค้ามีอัตลักษณ์ชัดและหายากตามฤดูกาล สามารถสร้าง “ความต้องการเชิงประสบการณ์” (experience demand) ได้ดี หากมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ สื่อสารแหล่งที่มา (provenance) และกำกับมาตรฐานความสะอาด-ปลอดภัยอย่างเหมาะสม โอกาสต่อยอดสู่ “ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร (culinary tourism)” ก็ยิ่งเห็นภาพ เช่น ทัวร์สั้น ๆ เรียนรู้การออกหาดอกดิน (บนฐานมารยาทป่าและข้ออนุญาตที่ถูกต้อง) การทำสีธรรมชาติ และการหุงข้าวเหนียวดอกดินชุดเล็กสำหรับนักท่องเที่ยว

หาอย่างไรไม่ให้ “ของดีปีละครั้ง” กลายเป็น “ของหายากขึ้นทุกปี”

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นย่อมพาความเสี่ยงเรื่อง “เก็บเกินกำลัง” และ “รุกพื้นที่หวงห้าม” นักพฤกษศาสตร์ไทยชี้ว่า Aeginetia indica เป็นพืชเบียนที่ขึ้นได้เมื่อเงื่อนไขระบบนิเวศเหมาะสม—ชั้นดิน ความชื้น เจ้าบ้าน—หากวงจรนี้ถูกรบกวน อาจทำให้ประชากรลดลงได้ การเก็บจึงต้องยึดหลัก “สั้น-น้อย-แบ่งปัน” (เก็บเฉพาะที่สมควร เก็บให้น้อยกว่าที่เจอเสมอ แบ่งพื้นที่ให้ธรรมชาติ) และ “ไม่รุกเข้าเขตอนุรักษ์/เขตห้ามเก็บ” ซึ่งหน่วยงานป่าไม้และเทศบาลท้องถิ่นต่างย้ำใช้กติกาชุมชนเป็นเครื่องมือแรก ก่อนยกระดับเป็นกฎหมายเมื่อจำเป็น

ชาวบ้านดอกคำใต้เองก็รับรู้โจทย์นี้ดี หลายหมู่บ้านมีกติกา “เว้นจุดเกิดใหม่” ไม่ตัดถอนทั้งกอ เลือกเก็บเฉพาะดอกที่เหมาะแก่การกิน และไม่ใช้เครื่องมือขุดลึกที่ทำลายรากและเชื้อใต้ดิน ซึ่งเป็นความรู้ปฏิบัติที่เกิดจากการอยู่ร่วมกับป่ามานาน

สีม่วงที่แต้มใจ ทำไม “ข้าวเหนียวดอกดิน” จึงติดตรึงฤดูกาล

ในเชิงประสบการณ์ผู้บริโภค “สี” และ “กลิ่น” คือความทรงจำที่ชัดเจน ข้าวเหนียวดอกดินมีสีม่วงอ่อนละเมียด ไม่จัดจ้านแบบสีจากดอกไม้อื่น ให้กลิ่นอ่อน ๆ คล้ายพืชป่า เมื่อจับคู่กับของเคียง—น้ำพริกผัก หรือตำรับเหนือ—ยิ่งเด่น นักสื่อสารอาหารบอกว่า ความพิเศษอยู่ที่ความ “ชั่วครั้งชั่วคราว” (ephemeral) ของวัตถุดิบ มันไม่มาให้คิดทุกวัน จึงบังคับให้ “รอคอย” และทำให้ทุกครั้งที่ได้กิน กลายเป็นเหตุการณ์พิเศษของครัวบ้าน ครัวชุมชน และนักเดินทาง

เสียงสะท้อนจากชุมชน “หาอย่างสบายใจ ขายอย่างพอดี กินอย่างขอบคุณธรรมชาติ”

คำเล่าจากผู้สูงวัยในชุมชนมักลงท้ายคล้ายกัน—“ของดีจากป่ากินได้ปีละครั้ง อย่าเก็บหมด อย่าเก็บเล่น” คนรุ่นใหม่เสริมต่อว่า การขายออนไลน์ช่วยเพิ่มรายได้ แต่ก็ต้อง “เล่าให้หมด” ว่าเก็บอย่างไร ทำไมถึงแพงกว่าข้าวเหนียวทั่วไป เพื่อให้ผู้ซื้อ “ซื้อเรื่อง” และ “ซื้อระบบนิเวศ” ไปพร้อมกับสินค้าหนึ่งห่อ ในบางหมู่บ้าน มีการรวมกลุ่มทำ “แบรนด์หมู่บ้าน” ใส่ป้ายแหล่งที่มา วันทำ วันเก็บ ลงบนซอง เพื่อให้เกิดความภูมิใจร่วมกันและถือเป็น “สัญญากับป่า” แบบไม่เป็นทางการ

โอกาสและการบ้านภาครัฐ มาตรฐานปลอดภัย-การตลาด-การเรียนรู้

ฝ่ายสาธารณสุขท้องถิ่นและพัฒนาชุมชนสามารถเสริมพลังให้ฤดูดอกดิน เช่น

  • อบรมสุขลักษณะขั้นตอนการต้มคั้นสี/การหุง/การบรรจุ เพื่อให้จำหน่ายได้มั่นใจขึ้น
  • สนับสนุนฉลากชุมชนที่ระบุ “ที่มา-วิธีเก็บ-ข้อควรระวัง” และคำแนะนำผู้แพ้ง่าย/กลุ่มเปราะบาง
  • จัดเทศกาลเล็ก ๆ เชื่อม “ตลาด-ท่องเที่ยว-การเรียนรู้” ในช่วงสั้น ๆ ของฤดู พร้อมกำหนดโควตาการเก็บในพื้นที่เปราะบาง
  • ประสานเขตป่า อปท. และผู้นำชุมชน ทำแนวทาง “เก็บยั่งยืน” ที่สื่อสารง่าย เช่น โปสเตอร์/คลิปสั้นในตลาด

ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ “เศรษฐกิจฤดูกาล” เติบโตคู่กับการคงอยู่ของทรัพยากร

ทำอย่างไรให้ “ดอกดิน” อยู่กับพะเยาไปอีกนาน

ข่าวดีคือ ปัจจุบันยังมี “ดอกดิน” โผล่ให้เห็นในหลายหย่อมป่าของดอกคำใต้และพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อฝนชุ่มและป่าพร้อม แต่เส้นทางสู่ความยั่งยืนต้องเริ่มวันนี้—ตั้งแต่ผู้เก็บ ผู้ขาย ผู้ซื้อ ไปจนถึงหน่วยงานดูแลป่า ทุกคนมีบทบาทร่วมกัน ความหอมสีม่วงหนึ่งห่อที่ซื้อมาวันนี้จึงอาจมี “ราคาจ่าย” ของระบบนิเวศที่ควรรับรู้และดูแลร่วมกัน

สำหรับผู้มาเยือนพะเยา—ถ้าอยากลิ้มรสข้าวเหนียวดอกดินแท้ ๆ—ให้ถามหาต้นทาง ถามวิธีเก็บ ถามช่วงฤดู และพร้อมจ่าย “ราคาแห่งความยั่งยืน” ที่ช่วยให้ชุมชนตั้งราคาอย่างยุติธรรม ฤดูหน้าจึงยังมีเรื่องเล่าและรสชาติเดิมรออยู่

ท้ายที่สุด ดอกดินไม่ใช่เพียงวัตถุดิบ หากเป็น “นาฬิกาฤดูกาล” ของผู้คน เป็นบทพิสูจน์ว่าความอุดมของป่ายังหายใจ และเป็นเครื่องเตือนใจว่าความอร่อยที่แท้จริง ต้องไม่ทำร้ายบ้านของมันเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Thai PBS – รายการ “Localist ชีวิตนอกกรุง” ตอน “ข้าวเหนียวดอกดิน”
  • ชนิดพืชและชีววิทยา: “Aeginetia indica – Useful Tropical Plants database”
  • บทความประชุมวิชาการ: “นิเวศวิทยา การกระจายพันธุ์ และวัฏจักรชีวิตของดอกดินสกุล Aeginetia L. (Orobanchaceae) ในประเทศไทย” โดย ศิวเชษฐ ชัยโรจน์ และคณะ, การประชุมวิชาการพฤกษศาสตร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5, 2554 (ฐานข้อมูลหอสมุดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) — ยืนยันนิเวศวิทยา/การกระจายพันธุ์ในไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จากสวนถึงบ้าน! พาณิชย์เชียงรายคิกออฟตลาดส้มโอออนไลน์ จัดส่งฟรีทั่วประเทศ

พาณิชย์เชียงราย “เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นออนไลน์” จัดส่งฟรีทั่วไทย บรรเทาผลผลิตล้นตลาด–ต่อยอดเศรษฐกิจฐานราก

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568 – ฤดูส้มโอของอำเภอเวียงแก่นกำลังเดินหน้าเต็มกำลัง ผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดต่อเนื่องตั้งแต่กลางฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว ขณะที่ราคาในประเทศเผชิญแรงกดดันจากปริมาณผลไม้ที่ออกมาพร้อมกัน จำนวนมากของผลผลิตสะท้อนทั้ง “ความสำเร็จเชิงเกษตร” และ “โจทย์ใหญ่เชิงการตลาด” ในคราวเดียวกัน ท่ามกลางความท้าทายนี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเดินเกมเชิงรุก เปิดกิจกรรม “Kick off เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นผ่านระบบออนไลน์” เชื่อมตรงชาวสวนกับผู้บริโภค พร้อมสนับสนุน กล่องกรมการค้าภายใน (DIT) และบริการ จัดส่ง EMS ฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย เพื่อเร่งระบายผลผลิต ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรในช่วงเวลาสำคัญของปี โดยมีการทยอยส่งมอบวัสดุบรรจุภัณฑ์ให้พื้นที่ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเดินหน้าจัดสรรโควตา “ส่งฟรี” ให้ชุมชนปลูกส้มโออย่างเป็นระบบ

ภาพใหญ่ของฤดูกาล ผลผลิตกำลัง “พีก” ขณะที่ราคาถูกแรงกดดัน

ฤดูกาลส้มโอเวียงแก่นโดยปกติเริ่มตั้งแต่ มิถุนายน–ตุลาคม ของทุกปี ทำให้ช่วง กรกฎาคม–กันยายน เป็นหน้าระบายผลผลิตที่คึกคักที่สุด ทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ ในเชิงพื้นที่ เวียงแก่นถือเป็น “หัวเมืองส้มโอ” ของเชียงราย มีการปลูกกระจายหลายตำบล โดยเฉพาะ พันธุ์ทองดี และ พันธุ์ขาวใหญ่ ซึ่งเป็นพันธุ์หลักของภาคเหนือ ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐระดับจังหวัดเคยชี้ให้เห็นแนวโน้มผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงพีก และราคามีโอกาสอ่อนตัว จึงต้องเร่งใช้มาตรการด้านการตลาดเชิงรุกควบคู่กับการคุมคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐานส่งออกอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านั้น ฐานข้อมูลทางการของจังหวัดและหน่วยงานข่าวภาครัฐยังสะท้อน “น้ำหนัก” ของสินค้าเกษตรตัวนี้ไว้ชัด—เวียงแก่นมีพื้นที่ปลูก หลายพันไร่ และเคยมีการสื่อสารเชิงนโยบายระดับจังหวัดว่าผลผลิตรวม แตะหลักหลายหมื่นตันต่อปี ยืนยันสถานะ “พืชเศรษฐกิจ” ที่ขับเคลื่อนรายได้ครัวเรือนในพื้นที่ชายแดนโขงตอนบน พร้อมกันนั้น จังหวัดยังผลักดัน “งานเทศกาลส้มโอเวียงแก่น” เป็นแม่เหล็กตลาดและการท่องเที่ยวเป็นประจำช่วงปลายสิงหาคมของทุกปี เพื่อเร่งยอดบริโภคสดและช่องทางค้าปลีกในประเทศควบคู่ไปกับตลาดส่งออก

กลไก “ส่งฟรี” ที่ลงมือจริง จากกล่อง DIT ถึง EMS ผลไม้

หัวใจของมาตรการระบายผลผลิตปีนี้คือ “การลดต้นทุนเข้าเส้นเลือด” ให้ชาวสวนขายตรงถึงผู้บริโภคโดยไม่พึ่งพาคนกลางมากเกินไป สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจึงเร่งส่งมอบ กล่องผลไม้ DIT ที่ออกแบบเพื่อขนส่งผลไม้สดโดยเฉพาะ และจับมือ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดทางให้เกษตรกร ส่ง EMS ผลไม้ฟรี ตามกรอบโครงการที่ประกาศไว้ (มีระยะเวลาสิ้นสุดครอบคลุมถึงปี 2569) ทั้งนี้ เกษตรกรรับกล่องได้ที่พาณิชย์จังหวัด นำผลผลิตที่คัดเกรดแล้วบรรจุและส่งที่ไปรษณีย์ในพื้นที่ ระบบจะคิดค่าส่งตามโครงการ “0 บาท” ช่วยให้ราคาขายหน้าออนไลน์แข่งขันได้มากขึ้น และผู้บริโภคต่างจังหวัดก็เข้าถึง “ส้มโอเวียงแก่นคัดเกรด” ได้ง่ายขึ้นกว่าที่เคย

ในระดับจังหวัด เชียงรายยัง จัดสรรโควตากล่องส่งฟรี ให้ชุมชนเป้าหมาย พร้อมวางแผน “แพ็กเส้นทาง” จากศูนย์รวมผลผลิตของสหกรณ์ไปยังไปรษณีย์ เพื่อให้เคลื่อนสินค้าได้ทันช่วง พีกดีมานด์ โดยเฉพาะสัปดาห์เทศกาล—ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พฤติกรรมผู้บริโภคต้องการ “ชิมล็อตสดใหม่” และพร้อมเปิดรับดีลออนไลน์สั้น ๆ ที่มีจุดขายชัด เช่น “ส้มโอคัด 1 ลูก 1 กล่อง” หรือ “กล่องครอบครัว 3–5 ลูก” เพื่อเพิ่มโอกาสซ้ำซื้อหลังเทศกาล

จากออฟไลน์สู่ดีจิทัล เวียงแก่นมี “ฐาน” ให้ต่อยอด

การขยับสู่ออนไลน์ปีนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นจากศูนย์ ย้อนดูปี 2565 จังหวัดเคยเปิดตัว “Kick off เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นผ่านระบบออนไลน์” อย่างเป็นทางการแล้ว โดยใช้วิธี “ปล่อยขบวนผลผลิต” ออกจากชุมชนสู่ผู้ซื้อปลายทางผ่านระบบขนส่งพิเศษ แนวทางดังกล่าวช่วยให้ปีนี้สามารถเร่งเครื่องได้ทันที เพราะทั้งกลุ่มสหกรณ์ ร้านค้า และช่องทางโซเชียลของชาวสวนเคยผ่าน “การบ้าน” ขั้นพื้นฐานมาแล้ว จึงเหลือโจทย์การคุมคุณภาพ คัดเกรด และเล่าเรื่องแหล่งผลิตให้สอดรับกับความต้องการของผู้ซื้อยุคอีคอมเมิร์ซเท่านั้น

ในฝั่ง ภาพลักษณ์และมูลค่าเพิ่ม ภาครัฐได้ขับเคลื่อนเชิงนโยบายระยะกลาง–ยาวด้วยการผลักดัน “ส้มโอเวียงแก่น” ขึ้นทะเบียน GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) ตั้งแต่ปี 2567 เพื่อยกระดับมาตรฐาน ตลาด และการรับรู้ของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ หากได้ GI เต็มรูปแบบ จะหนุนราคาเฉลี่ยและความสามารถแข่งขันในช่องทางพรีเมียมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะผู้ซื้อสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาและมาตรฐานก่อนตัดสินใจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้สะดวกขึ้นด้วย

ส้มโอ” ไม่ใช่แค่ผลไม้คือโครงสร้างรายได้ของชายแดนโขงตอนบน

โครงสร้างชุมชนของเวียงแก่นพึ่งพา เกษตรเชิงภูมิอากาศ เป็นหลัก ส้มโอที่ปลูกบนดอนและพื้นที่ติดสันเขาได้รับแต้มต่อจากสภาพดิน–น้ำ–อากาศ ทำให้ได้ผลที่ “หวาน–อมเปรี้ยว–หอม” และเนื้อแน่น โดยเฉพาะพันธุ์ทองดีและขาวใหญ่ที่ “ติดตลาดส่งออก” มานาน ขณะเดียวกันการรักษามาตรฐาน GAP และระบบคัดแยกหน้าแปลงมีผลต่อ “เปอร์เซ็นต์ได้ราคา” โดยตรง หากชุมชนยกระดับ “การคัดหน้าไร่” ให้เสถียร—การขายออนไลน์แบบ “คละเกรดในกล่องเดียว” จะมีโอกาสคืนกำไรให้ชาวสวนมากขึ้น เพราะผู้บริโภคยอมรับการมีลูกใหญ่–ลูกเล็กในกล่องเดียวกันได้ หากทุกลูก “หวาน กรอบ ฉ่ำ” ตามสเป็กคุณภาพ

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจปลายน้ำทั้ง ล้ง และผู้ส่งออกยังได้ประโยชน์ทางอ้อมจากกลไก “ส่งฟรี” เพราะ ตลาดในประเทศ ดูดซับล็อตที่ไม่เข้าเกณฑ์ส่งออกได้เร็วขึ้น ทำให้การจัดการสต็อกปลายสวนมีประสิทธิภาพ และลดแรงกดดันราคาในช่วงพีก การรักษาสมดุล ภายใน–ส่งออก จึงเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ของปีนี้

เล่าให้เห็นภาพเส้นทาง “ลูกส้มโอ” จากเวียงแก่นถึงมือผู้ซื้อ

  1. คัดเกรดหน้าแปลง – คัดลูกขนาดสม่ำเสมอ ตรวจผิว ปิดขั้วให้เรียบร้อย เช็ดแห้ง ลดความชื้น
  2. บรรจุกล่อง DIT – รองกันกระแทก พิมพ์ฉลากแหล่งผลิต–พันธุ์–น้ำหนัก–วันบรรจุ จัดทำคิวอาร์โค้ดลิงก์คำแนะนำปอก–เก็บ
  3. ส่ง EMS ฟรี – นำไปที่ไปรษณีย์ไทย สแกนสิทธิ์โครงการ “ส่งผลไม้ 0 บาท” ตามเงื่อนไขพื้นที่–ช่วงเวลา
  4. รับปลายทางใน 1–2 วันทำการ – ผู้ซื้อได้รับกล่องพร้อมคู่มือการเก็บรักษาและไอเดียเมนู เพื่อเพิ่ม “ประสบการณ์สินค้า” และโอกาสกลับมาซื้อซ้ำ

โครงเรื่องง่าย ๆ นี้ทำให้ “ส้มโอ” กลายเป็นสินค้าอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันได้ เทียบชั้นผลไม้เมืองร้อนตัวอื่น ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ครองตลาดออนไลน์มานานกว่า

หมายเหตุ: โครงการ กล่อง DIT + EMS ฟรี เป็นความร่วมมือเชิงนโยบายระดับประเทศ เกษตรกรสามารถรับกล่องได้ที่พาณิชย์จังหวัด และส่งที่ไปรษณีย์ทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตามช่วงเวลาที่กำหนดในประกาศของไปรษณีย์ไทย (สิ้นสุดโครงการ 30 เม.ย. 2569)

ทำไม “ออนไลน์ + ส่งฟรี” ถึงจำเป็นในปีนี้

  • ภาวะผลผลิตออกพร้อมกัน – เมื่อทุกแปลงถึงเวลาเก็บเกี่ยวใกล้เคียงกัน แรงขายในประเทศล้นเร็ว ช่องทางออนไลน์จึงเป็น “วาล์วระบาย” ที่คุมได้เอง
  • ต้นทุนขนส่ง–บรรจุภัณฑ์ – ในโครงสร้างราคาส้มโอ ต้นทุนโลจิสติกส์เป็นสัดส่วนสูง กลไก “กล่องฟรี + EMS ฟรี” ช่วยรักษาราคาเนื้อแท้ให้ชาวสวน
  • คอนซูเมอร์อินไซต์ยุคอีคอมเมิร์ซ – ผู้ซื้อยอมรับ “ค่าส่งเป็นศูนย์” เป็นแรงกระตุ้นซื้อสำคัญ การปิดดีลด้วยราคาหน้ากล่องที่รวมทุกอย่างแล้ว ทำให้ตัดสินใจเร็ว
  • เล่าเรื่องแหล่งผลิต – สินค้า GI หรือกำลังขอ GI “เล่าเรื่องได้” สอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่อ่านป้ายคุณภาพก่อนกดสั่ง โครง GI ช่วยหนุนความน่าเชื่อถือช่องทางออนไลน์ระยะยาว

เสียงจากหน่วยงานและแนวทางเดินหน้าช่วงโค้งพีก

หน่วยงานพาณิชย์จังหวัดสื่อสารต่อเนื่องถึง มาตรการ 5 ช่องทาง ที่ใช้ควบคู่กัน ได้แก่ ตลาดชุมชน–อำเภอ, งานแสดงสินค้า, โมเดล “ส้มโอบินได้” สำหรับพรีเมียม, และ ตลาดออนไลน์ผ่านกล่องกรมการค้าภายใน ส่งผ่านไปรษณีย์ไทยทั่วประเทศ” พร้อมจัดสรรโควตากล่องฟรีให้เกษตรกรอย่างเป็นธรรม ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า “ออนไลน์” ไม่ใช่ทางเลือกเดี่ยว แต่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของ แพ็กเกจกระจายผลผลิตทั้งระบบ ซึ่งถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนฤดูกาลจะเข้าสู่ช่วงพีก

เชิงปฏิบัติ จังหวัดยังใช้ อีเวนต์ฤดูกาล เช่น เทศกาลส้มโอเวียงแก่น เป็นตัวเร่ง “ดึงดีมานด์” ผ่านกิจกรรมชิม–ซื้อ–ส่งต่อทางออนไลน์ สร้างวงจร ออฟไลน์ > ออนไลน์ และ ออนไลน์ > ออฟไลน์ เพื่อรักษาโมเมนตัมยอดขายต่อเนื่องไปถึงปลายฤดูกาล

ชุมชน–สหกรณ์ (ช่วงสัปดาห์ทอง)

  1. ล็อกมาตรฐานคัดเกรด – แยก “คัดพรีเมียม” สำหรับลูกค้าแรกซื้อ เพื่อสร้างความประทับใจและรีวิวบวก
  2. ตั้งแพ็กเกจราคาเรียบง่าย – เช่น 1 ลูก/กล่อง, 3 ลูก/กล่อง, 5 ลูก/กล่อง พร้อมน้ำหนักโดยประมาณ ลดการลังเล
  3. เน้นภาพ–คลิปสั้น – โชว์ขั้นตอนคัด–แพ็ก–ส่งจริง เพิ่มความเชื่อมั่นและอัตราปิดการขาย
  4. ใช้คิวอาร์โค้ดเดียวจบ – ลิงก์แนวทางปอก–เก็บ/สูตรยำส้มโอ เพิ่มคุณค่าหลังการขาย
  5. เช็กสิทธิ์ EMS ฟรีล่วงหน้า – ประสานพาณิชย์จังหวัดและไปรษณีย์ในพื้นที่ เพื่อกระจายคิวส่งให้ทันช่วงคำสั่งซื้อหนาแน่น

เมื่อ “ส่งฟรี” ไม่ใช่แค่โปรโมชัน แต่คือสวัสดิการตลาดของชุมชน

มาตรการ เปิดตลาดส้มโอเวียงแก่นออนไลน์ + ส่งฟรี ของเชียงรายในปีนี้ แสดงให้เห็น “งานเชิงระบบ” ที่จับต้องได้—จากการจัดสรรกล่อง DIT, การทำงานร่วมกับไปรษณีย์ไทย, การตั้งโควตา ระบายล็อตพีกด้วยอีเวนต์ฤดูกาล และการสื่อสารต่อเนื่องของหน่วยงานในพื้นที่ ผลที่เกิดขึ้นไม่เพียงช่วย “รักษาราคาเฉลี่ย” หน้าไร่ แต่ยัง ขยายฐานผู้บริโภคทั่วประเทศ ให้รู้จักแหล่งผลิตชายแดนโขงตอนบนมากขึ้น

ที่สำคัญ การผลักดัน GI “ส้มโอเวียงแก่น” ซึ่งเดินหน้าต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จะเป็นชิ้นส่วนที่ทำให้วงจรคุณภาพ–ตลาด–ราคา “ยั่งยืน” กว่าเดิม เพราะทำให้การเล่าเรื่องแหล่งผลิตบนแพลตฟอร์มออนไลน์น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เมื่อรวมกับ โครง “ส่งฟรี” ที่ลดต้นทุนโลจิสติกส์ “ถึงมือผู้ซื้อ” ได้จริง สมการนี้จึงส่งสัญญาณเชิงบวกต่อ รายได้ชาวสวน และ เศรษฐกิจฐานรากของเชียงราย ในฤดูกาลนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย: ความเคลื่อนไหวการส่งมอบ กล่อง DIT และการประชุมเตรียมความพร้อมเชื่อมโยงตลาด–จัดสรรโควตากล่องส่งฟรี; แนวทาง “ตลาดออนไลน์ผ่านกล่องกรมการค้าภายใน ส่งผ่านไปรษณีย์ไทยทั่วประเทศ”.
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด: ข่าวประชาสัมพันธ์โครงการ เกษตรกรส่ง EMS ผลไม้ฟรี ด้วยกล่อง/ตะกร้า DIT (สิ้นสุดโครงการ 30 เม.ย. 2569) และโพสต์ประชาสัมพันธ์บนเพจหลัก.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกท้องถิ่น เปิด “ตลาดลำไยกระท้อน” สู้ราคาตกต่ำ สร้างรายได้ตรงให้เกษตรกร

อบจ.เชียงรายผนึกกำลังท้องถิ่น ดัน “ตลาดลำไยกระท้อน” สู้ราคาตกต่ำ “นายกนก” ชี้ชัดพร้อมหนุนเต็มที่ สร้างรายได้ตรงให้เกษตรกร

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในช่วงเวลาวิกฤตที่ราคาผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของภาคเหนืออย่าง “ลำไย” และ “กระท้อน” ตกต่ำจนสร้างความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของ “นายกนก” นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ไม่รอช้า เร่งเดินหน้าผนึกกำลังกับองค์กรปกครองท้องถิ่น จัดเวทีตลาดผลไม้เพื่อเกษตรกร พร้อมสนับสนุนงบประมาณการจัดงาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ประจำปี 2568 ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

การรวมพลังจากฐานรากเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

วันที่ 2 สิงหาคม 2568 เทศบาลตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย คึกคักเป็นพิเศษจากการจัดพิธีเปิดงานวันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก โดยมี นายกนก – นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยนายพิเศษ อาษา นายกเทศมนตรีตำบลห้วยสัก คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา อบจ. เจ้าหน้าที่ และประชาชนกว่า 500 คนมาร่วมงานอย่างคับคั่ง

งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตลาดนัดผลไม้ แต่คือ “เวทีเชื่อมตรง” ระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภค ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำ เกษตรกรถูกกดราคา และรายได้ไม่เป็นธรรม นอกจากผลไม้สดแล้ว ยังมีสินค้าแปรรูปจากลำไย กระท้อน ขนมพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์ OTOP จากกลุ่มอาชีพในชุมชน มาร่วมสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรท้องถิ่น

พร้อมสู้ทุกปัญหาเพื่อชาวไร่

ในพิธีเปิดงาน นายกนกเน้นย้ำว่า “อบจ.เชียงราย ยืนยันจะอยู่เคียงข้างเกษตรกร พร้อมสนับสนุนงบประมาณและประสานกับทุกหน่วยงาน เพื่อเปิดตลาดตรง ให้เกษตรกรได้ขายสินค้าในราคายุติธรรม สร้างรายได้มั่นคงให้กับครอบครัว สร้างเศรษฐกิจฐานรากที่แข็งแกร่ง และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน”

นอกจากนั้น อบจ. ยังวางแผนต่อยอดตลาดผลไม้ในอนาคตให้สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพิ่มกิจกรรมสร้างสีสัน เช่น ประกวดผลไม้สวยงาม สาธิตการแปรรูป การประกวดอาหารท้องถิ่น สร้างเสน่ห์และคุณค่าที่แตกต่าง

วิกฤตราคาสินค้าเกษตรจุดเปลี่ยนสู่การสร้างความยั่งยืน

ในแต่ละปี เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวลำไยและกระท้อน ผลผลิตมักล้นตลาด เกษตรกรถูกกดราคา บางปีราคาต่ำกว่าทุน แต่การจัด “ตลาดลำไยกระท้อน” ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การบรรเทาเฉพาะหน้า แต่เป็นการ “ปักหมุด” ให้เกิดรูปแบบการตลาดใหม่ที่เน้นการขายตรงจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค หรือ “Direct to Consumer” โดยแท้จริง

โครงการนี้เป็นโมเดลการตลาดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่าง อบจ. และเทศบาล ต่อยอดแนวคิดพึ่งตนเอง ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ช่วยให้เกษตรกรกำหนดราคาขายได้เอง ส่งเสริมการตั้งกลุ่มอาชีพ/วิสาหกิจชุมชน ร่วมคิด ร่วมพัฒนา และสร้างแบรนด์สินค้าท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ให้คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเลือกซื้อผลผลิตในชุมชนเป็นอันดับแรก เกิดการกระจายรายได้ เพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตด้วยการแปรรูปเป็นของฝากหรือขนมขบเคี้ยว สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง

บูรณาการพัฒนาเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-วัฒนธรรม

งาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ไม่ได้จำกัดเฉพาะเกษตรกรรม หากแต่บูรณาการสู่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ภายในงานมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการสินค้าชุมชน Workshop การทำขนมพื้นบ้าน การท่องเที่ยวสวนผลไม้เชิงเกษตร เพื่อสร้างความหลากหลายดึงดูดนักท่องเที่ยว เพิ่มโอกาสต่อยอดเป็นเทศกาลประจำปีที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับพื้นที่ในระยะยาว

จุดแข็งที่สำคัญคือการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวางแผน จัดเตรียมงาน ขายสินค้า ไปจนถึงกิจกรรมบนเวทีหลัก ช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ สร้างความผูกพันและภาคภูมิใจในชุมชนของตน

 “เชียงรายโมเดล” – อบจ.นำร่องตลาดตรง สู้ปัญหาเกษตรกรยุคใหม่

จากวิกฤตราคาผลผลิตตกต่ำสู่โอกาสพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีนี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงแนวคิดการบริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น ที่ไม่เพียงแต่อาศัยงบประมาณภาครัฐช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังกล้า “ลงมือปฏิบัติจริง” ดึงคนในชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท ผลักดันให้เกิดโมเดลการตลาดที่เป็นธรรม เชื่อมตรงเกษตรกร-ผู้บริโภค เสริมสร้างการแปรรูปเพิ่มมูลค่า เปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจระดับรากฐาน

โมเดลนี้ยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระจายอำนาจการตัดสินใจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากท้องถิ่น ช่วยลดช่องว่างทางรายได้และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว

 “นายกนก” นำทีมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สร้างความยั่งยืนให้เชียงราย

การจัดงาน “วันลำไยกระท้อนของดีตำบลห้วยสัก” ปี 2568 คือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม ประชาชนมีงานทำ เศรษฐกิจชุมชนขยายตัว และเกิดต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สามารถต่อยอดในอนาคต

นี่คือบทพิสูจน์ถึงผู้นำท้องถิ่นที่ไม่เพียงแค่ “บริหารงบ” แต่ “เข้าใจหัวใจเกษตรกร” และกล้าขับเคลื่อนชุมชนให้ก้าวข้ามวิกฤตสู่โอกาสใหม่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลห้วยสัก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

วิ่งน้อยร้อยภาพ เชียงราย Sport Tourism ผสานวัฒนธรรม ดันเศรษฐกิจท้องถิ่น

เชียงรายเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านกิจกรรม “วิ่งน้อย ร้อยภาพ ซึมซาบวิถีชุมชน” สะท้อนพลังการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงราย,8 มิถุนายน 2568 –  จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรมวิ่งสร้างสรรค์ “วิ่งน้อย ร้อยภาพ ซึมซาบวิถีชุมชน” ซีซั่น 2 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมควบคู่กับการออกกำลังกาย พร้อมปลุกพลังเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ โดยกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้น ณ ลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย (หลังเก่า) ถนนสิงหไคล ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย

ภายในงานมีนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนกว่า 1,200 คนเข้าร่วม กิจกรรมเริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่เวลา 05.00 น. และปล่อยตัวนักวิ่งในเวลา 06.30 น. ด้วยเส้นทางระยะทางรวม 7 กิโลเมตร ภายใต้แนวคิด “ชุมชนทัชใจ ตามรอยแลนด์มาร์ค”

เดินวิ่งท่องรอยวัฒนธรรม เชื่อมคนกับชุมชน

เส้นทางการวิ่งถูกออกแบบให้สะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงราย โดยนักวิ่งได้แวะจุดเช็กพอยต์สำคัญ 5 แห่ง ได้แก่ ศาลากลางจังหวัดหลังแรก, ลาน ร.5, วัดงำเมือง, วัดพระธาตุดอยจอมทอง และวัดเจ็ดยอด ก่อนเข้าสู่อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ที่เป็นปลายทางหลักของกิจกรรม

นอกจากจุดหลักทั้ง 5 แห่ง ยังมีสถานที่เช็กอินอื่นที่ถูกบรรจุไว้ในเส้นทาง เช่น วัดพระแก้ว, วัดมิ่งเมือง, หอนาฬิกาเชียงราย, สถานีขนส่งเชียงรายแห่งที่ 1, ตลาดศิริกรณ์, กำแพงเมืองประตูยางเลิ้ง และ Kyoto Shi Café จุดเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดถ่ายภาพสวยงาม แต่ยังเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงเรื่องราวของเมืองกับผู้คนอีกด้วย

การแข่งขันภาพถ่าย สะท้อนอัตลักษณ์ด้วยสายตานักวิ่ง

กิจกรรมไฮไลต์อีกส่วนคือการประกวดภาพถ่ายใน 2 ประเภท ได้แก่ ภาพถ่ายวิถีชุมชน และภาพถ่ายจากกิจกรรมวิ่ง ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 28,000 บาท ซึ่งผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ต่างใช้โอกาสนี้บันทึกภาพประทับใจผ่านเลนส์ กลายเป็นช่องทางใหม่ในการสื่อสารความงดงามของเชียงรายสู่สาธารณชน

วัฒนธรรมพื้นบ้านเติมชีวิตให้งาน

ในพื้นที่กิจกรรมยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมพื้นบ้าน เช่น การแสดงฟ้อนล้านนา ดนตรีสด และการจำลองตลาดชุมชน เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นเมืองอย่างใกล้ชิด และร่วมสนุกกับโซนถ่ายภาพกับชาวบ้านในเครื่องแต่งกายล้านนาแบบดั้งเดิม

มิติใหม่ของ Sport Tourism บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วม

นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) ที่เน้นความยั่งยืนและความเชื่อมโยงกับท้องถิ่น โดยใช้กีฬาเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวกับชุมชน สร้างรายได้กระจายสู่ผู้ประกอบการรายย่อย และส่งเสริมภาพลักษณ์เชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์

เชียงรายยืนยันศักยภาพเมืองสร้างสรรค์ เดินหน้าสู่เศรษฐกิจฐานราก

“วิ่งน้อย ร้อยภาพ ซึมซาบวิถีชุมชน” ซีซั่น 2 นับเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ตอกย้ำบทบาทของจังหวัดเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่สามารถใช้ทุนทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ท้องถิ่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและส่งเสริมสุขภาวะประชาชนในเวลาเดียวกัน

จากพลังของการมีส่วนร่วมของชุมชน ภาครัฐ ภาคเอกชน และนักท่องเที่ยว นี่คือโมเดลของการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูง แต่สร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • งานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สัมภาษณ์โดยตรงจากผู้ร่วมกิจกรรมและเจ้าหน้าที่ ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2568
  • สำรวจภาคสนามโดยทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI LIFESTYLE

กาแฟ ‘เชียงราย’ โกอินเตอร์ ผลักดันไมซ์ สร้างเศรษฐกิจชุมชน

จุดเริ่มต้นสู่เวทีระดับประเทศ เชียงรายร่วมขับเคลื่อนไมซ์ไทย

สุราษฎร์ธานี, 9 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย โดยการนำของ นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiang Rai Coffee Lovers – CCL) ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานระดับประเทศ MICE City Summit 2025 และ Samui MICE Bazaar 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6–8 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมโนราบุรี รีสอร์ท แอนด์ สปา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

การเข้าร่วมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันสินค้าท้องถิ่นของเชียงราย โดยเฉพาะ “กาแฟเชียงราย” สู่ตลาดไมซ์ (MICE) ระดับประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ภาครัฐมุ่งสนับสนุนให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19

กาแฟเชียงรายจากชุมชนสู่แบรนด์ระดับประเทศ

“กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย” หรือ CCL ก่อตั้งขึ้นโดย นายพงศกร อารีศิริไพศาล มีจุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมกาแฟในท้องถิ่นและยกระดับมาตรฐานกาแฟให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับชาติและสากล ปัจจุบันกลุ่มมีสมาชิกประกอบด้วยเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ร้านกาแฟ และผู้บริโภคจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วจังหวัดเชียงราย

กาแฟที่นำเสนอในงานเป็น กาแฟคุณภาพระดับ Specialty และ Commercial Grade ที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถันจากไร่ในเขตแม่สรวย แม่จัน และเวียงป่าเป้า ซึ่งล้วนเป็นพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมต่อการปลูกกาแฟชั้นดี

ภายในงาน Samui MICE Bazaar 2025 กลุ่ม CCL ได้รับโอกาสในการจัดบูธแสดงสินค้า เจรจาธุรกิจ และเข้าร่วมกิจกรรมแข่งขัน “The MICE Masterpiece Challenge” โดยใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น เช่น เมล็ดกาแฟแปรรูป น้ำผึ้งป่า และสมุนไพรพื้นบ้าน รังสรรค์เป็นเมนูอาหารว่างร่วมสมัย สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของเชียงราย

ขยายโอกาสไมซ์ เชียงรายกับศักยภาพรองรับงานระดับชาติ

เชียงรายในปัจจุบันเริ่มปรับตัวสู่เมืองรองรับอุตสาหกรรมไมซ์ โดยภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับกิจกรรมไมซ์ เช่น ศูนย์ประชุมและนิทรรศการขนาดกลาง โรงแรมระดับมาตรฐาน รวมถึงเครือข่ายธุรกิจในพื้นที่ที่สามารถรองรับกลุ่มผู้เดินทางเพื่อจัดประชุม สัมมนา และแสดงสินค้า

ข้อมูลจากกลุ่ม CCL ระบุว่า พื้นที่ของกลุ่มสามารถรองรับกลุ่มไมซ์ได้ระหว่าง 40–50 คนต่อรอบกิจกรรม โดยเน้นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมกาแฟ ผ่านกิจกรรมเวิร์กช็อป ชิมกาแฟ และการเรียนรู้เรื่องราวของต้นกาแฟในระดับชุมชน ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งานใหญ่ระดับประเทศ Samui MICE Bazaar × MICE City Summit 2025

งาน MICE Bazaar 2025 และ MICE City Summit 2025 ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB กับภาคีเครือข่ายทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการไมซ์ทั่วประเทศ

MICE Bazaar 2025 เน้นการสร้างเครือข่ายธุรกิจในรูปแบบ B2B เจรจาธุรกิจระหว่างผู้ซื้อจาก 4 ภาค กับผู้ประกอบการในพื้นที่มากกว่า 35 ราย ส่วน MICE City Summit 2025 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ด้านกลยุทธ์การพัฒนาไมซ์ในยุคดิจิทัล ผ่านการบรรยายในหัวข้อ “MICE Marketing Leadership: Strategies for the Digital Age”

นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนา การแข่งขันด้านอาหาร และกิจกรรมส่งเสริมชุมชนท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนให้พื้นที่ไมซ์เมืองรองอย่างเกาะสมุย กลายเป็นจุดหมายของนักเดินทางธุรกิจ และนักลงทุนไมซ์จากทั่วโลก

เชียงรายกับยุทธศาสตร์ไมซ์ที่ยั่งยืน

การปรากฏตัวของเชียงรายในเวทีระดับประเทศครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการโปรโมตกาแฟท้องถิ่น แต่ยังสะท้อนภาพของ “เมืองไมซ์ทางวัฒนธรรม” ที่กำลังก้าวสู่ระดับชาติอย่างมั่นคง จุดแข็งของเชียงรายอยู่ที่ทรัพยากรธรรมชาติ ประเพณีท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์ที่มีภูมิปัญญาชุมชนรองรับ เช่น กาแฟ ชา สมุนไพร ผ้า และของแปรรูป

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เชียงรายยังต้องเร่งพัฒนาคือโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่ง การสื่อสาร รวมถึงบุคลากรด้านการบริการไมซ์ที่ต้องผ่านการอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของนักเดินทางกลุ่มใหม่ที่ต้องการประสบการณ์เฉพาะตัว (personalized experience)

สถิติที่เกี่ยวข้อง ณ พฤษภาคม 2568

  • มูลค่าตลาดกาแฟในจังหวัดเชียงราย: 465 ล้านบาท/ปี (ที่มา: สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย)
  • จำนวนกลุ่มธุรกิจกาแฟในจังหวัดเชียงราย: 183 กลุ่ม/กิจการ (ที่มา: กลุ่ม CCL และสสว.)
  • จำนวนนักเดินทางไมซ์ในเชียงรายปี 2567: 78,430 คน (ที่มา: TCEB – สำนักงานภาคเหนือ)
  • ศักยภาพพื้นที่รองรับไมซ์ในเชียงราย: 10 สถานที่หลักที่รองรับได้ 30–500 คน/กิจกรรม
  • การเติบโตของธุรกิจไมซ์ไทย (รวม): ขยายตัวเฉลี่ย 7.2% ต่อปี (ข้อมูลจาก TCEB)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มหกรรมควายงามเชียงราย เสริมเศรษฐกิจ ยกระดับควายไทยสู่สากล

มหกรรมประกวดควายงามเมืองเชียงราย ครั้งที่ 2 ชูศักยภาพควายไทย เสริมเศรษฐกิจชุมชน

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 ณ สนามข้างหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นายบุญศิลป์ วรินทรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน มหกรรมประกวดควายงามเมืองเชียงราย ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2568

งานนี้ได้รับความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน อาทิ นายพืชผล น้อยนาฝาย ปศุสัตว์เขต 5 และนายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย โดยมีเจ้าของฟาร์มและผู้ประกอบการเลี้ยงควายจากทั่วประเทศเข้าร่วมประกวดควายงามกว่า 66 รุ่น ซึ่งมีมูลค่ารวมของควายที่เข้าร่วมงานสูงถึง 500 ล้านบาท

ควายชื่อดังที่สร้างสีสันภายในงาน

ภายในงานมีการจัดแสดงควายชื่อดังระดับประเทศ อาทิ “โก้เมืองเพชร” ควายเผือกที่ใหญ่ที่สุดในโลกจาก วนาสุวรรณฟาร์ม และ “ช้างภูแล” แชมป์ควายงามระดับประเทศในรุ่นควายดำเพศผู้ ฟันน้ำนมที่มีความสูงกว่า 140 เซนติเมตร สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมงาน

นายบุญศิลป์ วรินทรักษ์ กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมในครั้งนี้ถือว่ามีความพร้อมและสมบูรณ์แบบทั้งในด้านการจัดกิจกรรมและการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมวงการเลี้ยงควายไทยให้ก้าวหน้า พร้อมทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่

ด้านนายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย กล่าวว่า การพัฒนาวงการเลี้ยงควายไทยมีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างเศรษฐกิจในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มมูลค่าให้กับควายพันธุ์ดี และส่งเสริมอาชีพเลี้ยงควายให้ยั่งยืน

เสริมความเป็นศิลปะในงานมหกรรม

พ่อเลี้ยงเจ วนาสุวรรณ เจ้าของวนาสุวรรณฟาร์ม กล่าวว่า งานนี้ยังเป็นเวทีที่ผสมผสานศิลปะท้องถิ่น เช่น การเพ้นท์ควาย และการนำควายพ่อพันธุ์จากทั่วประเทศมาจัดแสดง ซึ่งเป็นการยกระดับภาพลักษณ์ของควายไทยให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงควายเผือกและควายแคระ ซึ่งเป็นพันธุ์หายากที่มีมูลค่าสูงถึงหลักล้านบาท เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของควายไทยที่ไม่เพียงแต่เป็นสัตว์เลี้ยง แต่ยังเป็นทรัพย์สินที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

ขอเชิญชวนร่วมงาน

งาน มหกรรมประกวดควายงามเมืองเชียงราย ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมชมกิจกรรมมากมายและสนับสนุนการพัฒนาควายไทยเพื่อเศรษฐกิจชุมชนได้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดงานครั้งนี้ สามารถเข้าไปติดตามได้ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และข้อมูลเกี่ยวกับควายพันธุ์ดีจาก วนาสุวรรณฟาร์ม

มหกรรมประกวดควายงามเมืองเชียงราย


มหกรรมประกวดควายงามเมืองเชียงราย ครั้งที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2568 ชูความสำคัญของควายไทยในฐานะทรัพย์สินที่มีมูลค่า พร้อมกิจกรรมประกวดควายพันธุ์หายาก การแสดงศิลปะบนควาย และการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน งานจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

วิ่งเลาะล้านนาตะวันออก เชื่อมสุขภาพ ท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ

กิจกรรมวิ่งเวียงหนองหล่ม เชื่อมล้านนาตะวันออก กระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬา

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2567 เวลา 06.30 น. ณ หนองมโนราห์ ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “วิ่งเลาะเวียงล้านนาตะวันออก กิจกรรมวิ่งเวียงหนองหล่ม” ภายใต้โครงการบูรณาการการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (พะเยา เชียงราย น่าน แพร่) โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนจากจังหวัดพะเยา เชียงราย และผู้เข้าร่วมงานกว่า 720 คนร่วมในพิธีเปิด

ส่งเสริมการท่องเที่ยวควบคู่สุขภาพ

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนการออกกำลังกายและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า การจัดกิจกรรมวิ่งครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างเสริมสุขภาพของผู้เข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังเป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ กระจายรายได้สู่ชุมชน และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม

“กิจกรรมด้านกีฬาเพื่อการท่องเที่ยวได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มที่ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพและเลือกใช้กิจกรรมกีฬาร่วมกับการท่องเที่ยวเป็นสื่อกลางในการพัฒนาชุมชน” นายประสงค์กล่าว

การแข่งขันและรางวัล

การแข่งขันแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  1. มาราธอน ระยะทาง 42 กิโลเมตร (10 รุ่น)
  2. ฮาล์ฟมาราธอน ระยะทาง 21 กิโลเมตร (10 รุ่น)
  3. Fun Run ระยะทางไม่น้อยกว่า 5 กิโลเมตร (2 รุ่น)

ผู้ชนะเลิศอันดับ 1-3 ในประเภทมาราธอน (42 กิโลเมตร) และฮาล์ฟมาราธอน (21 กิโลเมตร) จะได้รับเงินรางวัลรวม 180,000 บาท โดยการแข่งขันสนามที่ 2 นี้ จัดขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม 2567 ที่หนองมโนราห์ และจะมีการแข่งขันสนามที่ 3 ที่เวียงสา จังหวัดน่าน ในวันที่ 15 ธันวาคม 2567 และสนามที่ 4 ที่เวียงโกศัย จังหวัดแพร่ ในวันที่ 22 ธันวาคม 2567

ประโยชน์ของกิจกรรมต่อพื้นที่

กิจกรรมครั้งนี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนในอำเภอแม่จันและพื้นที่ใกล้เคียง โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งในและนอกจังหวัดได้ร่วมสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและวิถีชีวิตท้องถิ่น การจัดงานครั้งนี้ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากผ่านการจำหน่ายสินค้าชุมชน การจัดการท่องเที่ยวในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างความยั่งยืนด้านการพัฒนาชุมชนในระยะยาว

เส้นทางและความสำคัญของโครงการ

หนองมโนราห์ ตำบลจันจว้า ถือเป็นจุดสตาร์ทและเส้นชัยที่สำคัญของการแข่งขันในครั้งนี้ ด้วยทัศนียภาพที่งดงามและบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการจัดกิจกรรม ทั้งยังเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดล้านนาตะวันออกให้มีความโดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

สร้างสุขภาพดีและกระจายรายได้

การจัดกิจกรรมวิ่งเวียงหนองหล่มไม่เพียงแต่สร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้เข้าร่วม แต่ยังช่วยให้ชุมชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวเชิงกีฬาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ กลุ่มจังหวัดล้านนาตะวันออกจะยังคงมุ่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE