Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘อัครา’ เปิดไฟฟ้าส่องสว่าง บ้านผาลั้ง พัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูง

บ้านผาลั้งได้ไฟฟ้าแล้ว! ฉลอง 70 ปีแห่งการรอคอย รมช.เกษตรฯ นำความเจริญสู่ชุมชนบนพื้นที่สูง

ไฟฟ้าส่องสว่างสร้างโอกาส พัฒนาการศึกษา-เศรษฐกิจ หนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นควบคู่เทคโนโลยี

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568บ้านผาลั้ง หมู่ที่ 4 ตำบลห้วยชมภู อำเภอเมืองเชียงราย ฉลองครั้งใหญ่ในรอบ 70 ปี หลังได้รับการขยายเขตการใช้ไฟฟ้าเข้าสู่พื้นที่สำเร็จ โดยมี นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานเฉลิมฉลอง ณ ลานอเนกประสงค์บ้านผาลั้ง พร้อมเน้นย้ำถึง การบูรณาการเทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่สูง

ในงานดังกล่าวมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น และชาวบ้านในพื้นที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของบ้านผาลั้งที่รอคอยไฟฟ้ามานานกว่า 7 ทศวรรษ

ไฟฟ้า: จุดประกายความหวังใหม่ให้บ้านผาลั้ง

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า โครงการขยายเขตไฟฟ้าเข้าสู่บ้านผาลั้งครั้งนี้ เป็นมากกว่าการติดตั้งเสาไฟฟ้าและเดินสายส่ง แต่ถือเป็น การนำพาความหวัง โอกาส และความก้าวหน้ามาสู่ชุมชน โดยเฉพาะใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

  • การศึกษา – ไฟฟ้าจะช่วยให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสทางการศึกษาที่ดียิ่งขึ้น สามารถเรียนออนไลน์ เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ และเปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น
  • เศรษฐกิจและอาชีพ – การมีไฟฟ้าจะช่วย เพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ เช่น การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การพัฒนาหัตถกรรม และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • สุขภาพและคุณภาพชีวิต – ไฟฟ้าจะช่วยให้ชุมชนมีน้ำสะอาดผ่านระบบสูบน้ำ มีไฟส่องสว่างในเวลากลางคืน ลดอุบัติเหตุ และช่วยให้บริการสาธารณสุขทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ไฟฟ้าไม่ใช่แค่แสงสว่าง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมเชื่อว่า ไฟฟ้าจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้บ้านผาลั้งเติบโตอย่างยั่งยืน และช่วยให้พี่น้องชาวผาลั้งก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง” นายอัครากล่าว

ภูมิปัญญาท้องถิ่น + นวัตกรรม = ทางรอดของเศรษฐกิจบ้านผาลั้ง

นายอัครา ยังกล่าวถึงความสำคัญของการ ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน

“บ้านผาลั้งเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของพี่น้องชาวบ้านผาลั้ง คือสมบัติล้ำค่าที่สามารถพัฒนาให้กลายเป็นจุดแข็งทางเศรษฐกิจ เราต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ผลิตภัณฑ์และบริการมีคุณภาพดีขึ้น ขยายตลาดได้กว้างขึ้น และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน”

ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มศักยภาพ ได้แก่:

  • เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) – ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับการให้น้ำและปุ๋ย
  • การแปรรูปผลผลิต – เช่น การทำชา กาแฟ หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพืชท้องถิ่น
  • งานหัตถกรรมและของที่ระลึก – เช่น ผ้าทอพื้นเมือง เครื่องจักสาน และผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่

“ผมขอชื่นชมในความเข้มแข็งของพี่น้องชาวผาลั้ง ที่สามารถรักษาและสืบทอดภูมิปัญญาอันดีงามของบรรพบุรุษไว้ ผมเชื่อมั่นว่า หากเราผสมผสานภูมิปัญญากับเทคโนโลยีอย่างถูกต้อง บ้านผาลั้งจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดได้แน่นอน” รมช.เกษตรฯ กล่าว

บ้านผาลั้งเติบโตอย่างยั่งยืน: กระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้การสนับสนุน

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) มีแผนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนบ้านผาลั้งในระยะยาว โดยเน้น 3 แนวทางหลัก ได้แก่

1️.ส่งเสริมอาชีพและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน

  • พัฒนาระบบตลาดสินค้าเกษตร
  • สนับสนุนเงินทุนและองค์ความรู้ด้านการประกอบอาชีพ
  • สนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

2.พัฒนาสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน

  • ขยายโครงข่ายไฟฟ้าและระบบน้ำประปาภูเขา
  • สนับสนุนการพัฒนาถนนและเส้นทางคมนาคม
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการท่องเที่ยว

3.เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

  • อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากร
  • สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์
  • พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรภายนอกเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

สรุป

  • บ้านผาลั้งได้ไฟฟ้าแล้วหลังรอคอยกว่า 70 ปี
  • รมช.เกษตรฯ เปิดงานเฉลิมฉลองและเน้นย้ำความสำคัญของไฟฟ้าต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต
  • ไฟฟ้าช่วยเปิดโอกาสใหม่ด้านการศึกษา อาชีพ และสุขภาพของชุมชน
  • รัฐบาลส่งเสริมการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจบ้านผาลั้ง
  • กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนอาชีพ สาธารณูปโภค และความเข้มแข็งของชุมชนในระยะยาว

โครงการขยายไฟฟ้าสู่บ้านผาลั้ง ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาพื้นที่สูง และเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการนำ พลังงานและเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืนและมีอนาคตที่มั่นคงมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พบจุดเผาป่า 5 จุด บุกรุกตัดไม้ทำลายป่าแม่สรวย

เจ้าหน้าที่ปกครอง-ป่าไม้ เชียงราย เข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าแม่สรวย พบการบุกรุกและเผาป่าเพื่อทำการเกษตร

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยป้องกันรักษาป่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย บริเวณบ้านห้วยหญ้าไซ หมู่ 9 และบ้านจะหา หมู่ 11 ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย หลังได้รับแจ้งเหตุบุกรุกป่าและตัดไม้ทำลายป่าในหลายจุด

จากการตรวจสอบพื้นที่ เจ้าหน้าที่พบว่ามีการบุกรุกและตัดต้นไม้เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับทำการเกษตร จำนวน 3 จุด มีร่องรอยการโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่และการเผาพื้นที่ป่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดพื้นที่ พร้อมทั้งเก็บรวบรวมไม้ของกลางเพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สรวย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และติดตามหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

พบจุดความร้อน 5 จุด เผาป่าเตรียมพื้นที่เกษตร

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้เดินลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบ จุดความร้อน (Hotspot) ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามีการเผาพื้นที่ป่าเพื่อเตรียมการเพาะปลูก จำนวน 5 จุด ซึ่งอยู่ในเขตติดต่อระหว่าง โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านห้วยหญ้าไซ และ ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย

เจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกพิกัดจุดเผาเพื่อนำไปตรวจสอบกับแผนที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จะมีการดำเนินคดีตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จะมีการเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเผาป่าเพิ่มเติมในอนาคต

เจ้าหน้าที่ภาคสนามร่วมปฏิบัติการเข้มงวด

สำหรับปฏิบัติการในครั้งนี้ ได้รับมอบหมายจาก นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ให้ นายจิตรกร คูสินไทย ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้นำกำลังชุดปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วย:

  • สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.)
  • กำนันตำบลป่าแดด
  • รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าแดด
  • เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชร.7 (ท้าวแก่นจันทร์)
  • เจ้าหน้าที่จาก สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย)
  • หัวหน้าโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านห้วยหญ้าไซ

โดยการปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือของหลายหน่วยงานที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาการบุกรุกและทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง

มาตรการเข้มงวดในการป้องกันการบุกรุกป่า

เจ้าหน้าที่ป่าไม้และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่มีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการบุกรุกป่าอย่างเข้มงวด โดยใช้ เทคโนโลยีดาวเทียมและการตรวจจับจุดความร้อน ในการติดตามการเผาป่า พร้อมทั้งลงพื้นที่ตรวจสอบและดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการขยายพื้นที่บุกรุกเพิ่มเติม

ในช่วงปีที่ผ่านมา อำเภอแม่สรวยเป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหาการบุกรุกและเผาป่า เนื่องจากมีการขยายพื้นที่ทำการเกษตรเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ส่งผลให้เกิดไฟป่าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง เจ้าหน้าที่จึงได้วางแผนเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน และให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับผลกระทบของการบุกรุกป่าและเผาป่า เพื่อสร้างจิตสำนึกและลดปัญหาดังกล่าวในระยะยาว

ผลกระทบจากการบุกรุกป่าและเผาป่า

การบุกรุกป่าและเผาป่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่ทำให้พื้นที่ป่าถูกทำลาย แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพอากาศและปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยเผชิญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในภาคเหนือของประเทศ

ผลกระทบที่สำคัญจากการบุกรุกป่าและเผาป่า ได้แก่:

  1. สูญเสียพื้นที่ป่าธรรมชาติ ซึ่งส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
  2. ปัญหาภัยแล้งและการกัดเซาะดิน พื้นที่ที่ถูกบุกรุกจะสูญเสียความสามารถในการกักเก็บน้ำ ทำให้เกิดปัญหาดินเสื่อมโทรมและภัยแล้งตามมา
  3. ฝุ่นละออง PM2.5 และมลพิษทางอากาศ การเผาป่าทำให้เกิดควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจ
  4. ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น พื้นที่ป่าที่ถูกทำลายทำให้สูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว รวมถึงส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวที่เน้นความสมบูรณ์ของธรรมชาติ

เจ้าหน้าที่เตือนประชาชน หยุดเผาป่า หยุดทำลายทรัพยากร

จากสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ป่าไม้และฝ่ายปกครองจึงขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ ให้ช่วยกันปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงการเผาป่า โดยเน้นย้ำว่า การบุกรุกป่าและเผาป่าเป็นความผิดทางกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรง หากพบเห็นการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ หน่วยป้องกันรักษาป่าในพื้นที่ หรือสายด่วนกรมป่าไม้ โทร. 1362

ในระยะต่อไป เจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการตรวจสอบพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมและโดรนในการติดตามพื้นที่ที่มีการบุกรุกและเผาป่า เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว

สรุป

  • เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พื้นที่ป่าแม่สรวย จังหวัดเชียงราย พบการบุกรุกและเผาป่าเพื่อเตรียมการเกษตร จำนวน 3 จุด
  • ตรวจพบ จุดความร้อน 5 จุด ซึ่งเป็นการเผาป่าในพื้นที่ บ้านห้วยหญ้าไซ และบ้านจะหา
  • มีการตรวจยึดพื้นที่ พร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • เจ้าหน้าที่เรียกร้องให้ประชาชนร่วมมือ หยุดเผาป่า หยุดบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลุยฉีดวัคซีน 7.8 ล้านโดส ป้องกันลัมปี สกิน สร้างความเชื่อมั่นปศุสัตว์

รมช.เกษตรฯ Kick Off ฉีดวัคซีนลัมปี สกิน 7.8 ล้านโดส ลดความสูญเสีย-เพิ่มความเชื่อมั่นปศุสัตว์ไทย

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดตัวโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกินทั่วประเทศ จำนวน 7.8 ล้านโดส โดยเริ่มต้นจากจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องสำหรับสร้างเขตปลอดโรคปศุสัตว์ และเตรียมความพร้อมเพื่อผลักดันการส่งออกโค กระบือไปยังตลาดจีน

วันนี้ (21 ก.พ. 68) นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ Kick Off รณรงค์ฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกิน ณ ลานทองฟาร์ม ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ตัวแทนภาครัฐ และเกษตรกรเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

เป้าหมายและแผนการฉีดวัคซีน

  • รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพื่อควบคุมโรคดังกล่าว ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567
  • กรมปศุสัตว์ได้รับงบกลางสำหรับจัดซื้อวัคซีน 7,850,000 โดส ป้องกันการระบาดรุนแรง ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าปศุสัตว์
  • เชียงรายได้รับวัคซีน 78,330 โดส ครอบคลุมจำนวนโค กระบือทั้งจังหวัด
  • แผนรณรงค์ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้นในจังหวัดตาก วันที่ 28 ก.พ. 2568

ผลกระทบของโรคระบาดและแนวทางป้องกัน

โรคลัมปี สกิน และโรคปากและเท้าเปื่อยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ของไทย ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับโค กระบือ รวมถึงการจัดตั้งคอกกักเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะที่เชียงราย ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งสินค้าปศุสัตว์ไปยังจีน

รมช.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงฯ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) เพื่อเปิดตลาดส่งออกโคมีชีวิต คาดว่าหากเจรจาสำเร็จจะช่วยยกระดับราคาปศุสัตว์ไทยและสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น

สถานการณ์การผลิตและส่งออกโคเนื้อ

  • ปี 2567 ไทยมีโคเนื้อ 9.9 ล้านตัว เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมี 9.65 ล้านตัว
  • ผลผลิตโคเนื้ออยู่ที่ 1.18 ล้านตัว ลดลงจาก 1.29 ล้านตัวของปี 2566
  • ส่งออกโคมีชีวิตรวม 133,416 ตัว มูลค่า 3,242.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเวียดนาม มาเลเซีย และลาวเป็นตลาดหลัก

การฟื้นฟูสุขภาพกระบือในเวียงหนองหล่ม

รมช.เกษตรฯ พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ ทวาฟาร์ม อำเภอแม่จัน ซึ่งเป็นเครือข่ายโคเนื้อล้านนา หลังจากได้รับรายงานว่าการควบคุมโรคลัมปี สกิน และการฟื้นฟูสุขภาพกระบือเวียงหนองหล่มดำเนินไปด้วยดี

สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงรายรายงานว่า เวียงหนองหล่มมีจำนวนกระบือ 962 ตัว พบกระบือป่วยสะสม 155 ตัว รักษาหายแล้ว 150 ตัว (96.8%) และมีการตายเพียง 5 ตัว (3.2%) กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินมาตรการเข้มข้น เช่น:

  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย โรคคอบวม
  • ถ่ายพยาธิ และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในคอกสัตว์
  • แจกจ่ายพืชอาหารหยาบ 121,512 กิโลกรัม ให้กับฟาร์มในเวียงหนองหล่ม

แผนพัฒนาแหล่งอาหารสัตว์

กรมปศุสัตว์และโครงการชลประทานเชียงรายร่วมกันวางแผนปลูกพืชอาหารสัตว์ พร้อมจัดตั้งสถานีสูบน้ำ โดยมีแผนเพาะปลูกหญ้าบนพื้นที่ 350 ไร่ เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนอาหารสัตว์ในช่วงภัยแล้ง

สรุป: กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าป้องกันโรคระบาด และผลักดันตลาดส่งออก

การฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกิน 7.8 ล้านโดสทั่วประเทศ เป็นมาตรการสำคัญในการควบคุมโรคระบาด ลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย และสร้างโอกาสในการส่งออก โดยเฉพาะสู่ตลาดจีน ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นราคาโคเนื้อและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไถกลบแทนเผา เชียงรายรณรงค์ลดฝุ่น PM2.5 เกษตรกรร่วมใจ

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ ไถกลบ ลดเผา สกัดฝุ่น PM2.5

เชียงราย, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น มุ่งแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในกิจกรรม “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ที่จัดขึ้นในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น, นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย, นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม

มุ่งลดการเผาในที่โล่ง เสริมสร้างความรู้ให้เกษตรกร

กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกรหยุดการเผาในพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่มีการเผาซากพืชจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่า การเผาในที่โล่งไม่เพียงแต่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพอากาศและการท่องเที่ยวของจังหวัด

“เชียงรายให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 มาโดยตลอด เราไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เพียงลำพัง แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การชิงไถและไถกลบแทนการเผา” นายประเสริฐกล่าว

กิจกรรมชิงไถและไถกลบเศษพืช ลดการเผาอย่างเป็นรูปธรรม

ในกิจกรรมครั้งนี้ มีการนำเครื่องจักรกลการเกษตรมาใช้ไถกลบตอซังและเศษพืชเหลือใช้ เพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงที่อาจถูกเผาทำลาย รวมถึงการหว่านเมล็ดพันธุ์ปอเทืองเพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสด เนื่องจากปอเทืองเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีไนโตรเจนสูง ช่วยบำรุงดินและสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ เช่น การเลี้ยงโค กระบือ และหมู อีกทั้งยังช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน และรักษาความชื้นในดินได้เป็นอย่างดี

“การไถกลบแทนการเผาไม่เพียงช่วยลดมลพิษในอากาศ แต่ยังช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินมีคุณภาพดีขึ้น ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว” นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย กล่าว

มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส” คุมเข้มการเผาในพื้นที่

จังหวัดเชียงรายได้ออกมาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา” เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ช่วงห้ามเผาในที่โล่ง ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการบริหารจัดการเชื้อเพลิงจะดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น

ช่วงเข้มงวดการห้ามเผาอย่างเด็ดขาด ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งหากพบว่ามีการฝ่าฝืน จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด

การบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผาจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีบทลงโทษที่เข้มงวด รวมถึงอาจถูกตัดสิทธิ์การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมมือในการลดการเผา

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นกุญแจสำคัญ

การดำเนินงานภายใต้โครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการเผา และใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สรุป

กิจกรรม “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ในอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งจะช่วยลดมลพิษทางอากาศและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงราย

จังหวัดเชียงรายจะดำเนินมาตรการควบคุมการเผาอย่างเข้มข้นในช่วงฤดูแล้ง โดยมีเป้าหมายลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) และปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ให้น้อยที่สุด พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของการเผา และร่วมมือกันในการป้องกันปัญหาหมอกควันอย่างจริงจัง

สำหรับประชาชนที่พบเห็นการเผาในที่โล่ง สามารถแจ้งเหตุได้ที่ สายด่วน 053-602547 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและดำเนินมาตรการควบคุมทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย Kick Off ชิงไถ ลดเผา ลดฝุ่น PM2.5 ยั่งยืน

ผู้ว่าฯ เชียงราย Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัวโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” เพื่อรณรงค์ส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการเผา โดยจัดขึ้น ณ ศูนย์ข้าวชุมชนนาแปลงใหญ่ข้าวปลอดสารพิษ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน, เกษตรจังหวัดเชียงราย, เกษตรอำเภอพาน, นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน และเกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมงานจำนวนมาก

แนวทางแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่า ปัญหาการเผาในที่โล่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าและพื้นที่การเกษตร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงรายจึงให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

การจัดกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อ สร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่เกษตรกร เกี่ยวกับผลกระทบของการเผา พร้อมนำเสนอทางเลือกทางการเกษตรที่สามารถลดการเผา เช่น การใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่ยั่งยืน และการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น

ข้อมูลพื้นที่เป้าหมายในการรณรงค์

ตำบลแม่อ้อมีพื้นที่ทั้งหมด 130 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 8,813 คน โดยมีพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญ ได้แก่:

  • พื้นที่นาข้าว 16,000 ไร่
  • พื้นที่เกษตรอื่นๆ 5,000 ไร่

ประชาชนในตำบลแม่อ้อส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา ซึ่งเนื่องจากพื้นที่อยู่นอกเขตชลประทาน ทำให้สามารถปลูกข้าวได้เพียงปีละ 1 ครั้ง ขณะที่ในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว เกษตรกรในพื้นที่ยังมี อาชีพเสริม ได้แก่ การทำเห็ดฟางยกก้อนสูง ซึ่งใช้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร แทนการเผาฟางและตอซังข้าว นับเป็นแนวทางที่ช่วยลดการเผาในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมส่งเสริมการลดเผาและแนวทางการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

ในการจัดกิจกรรม Kick Off ชิงไถ ลดการเผา มีการนำเสนอแนวทางจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรโดยไม่ใช้การเผา ได้แก่:

  1. การไถกลบตอซังข้าว เพื่อช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และช่วยรักษาความชื้นในดิน
  2. การใช้เศษฟางและตอซังข้าวทำปุ๋ยหมัก เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยลดปริมาณขยะชีวภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  3. การนำเศษวัสดุเหลือใช้ไปเพาะเห็ดฟาง ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตและสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกร

ผลกระทบของการเผาต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

การเผาตอซังข้าวและเศษวัสดุทางการเกษตรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด มลพิษทางอากาศและฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง นอกจากนี้ยังทำให้ดินเสื่อมโทรม สูญเสียสารอาหารที่จำเป็น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า

ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

ในการแก้ไขปัญหาการเผา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินโครงการนี้เพื่อลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด พร้อมรณรงค์ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนแนวทางการทำเกษตรไปสู่แนวทางที่ยั่งยืน

บทสรุป

กิจกรรม Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการ แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์แทนการเผา ซึ่งไม่เพียงช่วยลดมลพิษ แต่ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และส่งเสริมการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ฤดูร้อนไทยเริ่มช้ากว่า 2 สัปดาห์ เตรียมรับมือความร้อน

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ฤดูร้อนปีนี้เริ่มช้า ย้ำให้ประชาชนเตรียมรับมือ

ประเทศไทย, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยได้ประกาศคาดการณ์ฤดูร้อนปีนี้ว่า จะเริ่มต้นช้ากว่าปกติประมาณ 2 สัปดาห์ โดยคาดว่าจะมาถึงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์และจะสิ้นสุดในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ภาพรวมของฤดูร้อนปีนี้จะมีลักษณะอากาศร้อนอบอ้าวเป็นระยะ สลับกับมีฝนฟ้าคะนองที่จะช่วยคลายความร้อนลงได้ในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางวันที่อากาศจะร้อนจัด โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายน

อุณหภูมิและปริมาณฝน

ในช่วงฤดูร้อนนี้ อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบนจะอยู่ที่ประมาณ 35-36 องศาเซลเซียส ซึ่งใกล้เคียงกับค่าปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเมื่อฤดูร้อนปี 2567 ซึ่งมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยที่ 37.5 องศาเซลเซียส สำหรับปริมาณฝนรวมเฉลี่ยคาดว่าจะมากกว่าค่าปกติ 10-20% ซึ่งจะช่วยบรรเทาความร้อนได้บ้าง

พายุฤดูร้อนและการเตรียมพร้อม

ทุกปีในช่วงฤดูร้อนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ มาพร้อมกับฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และบางครั้งมีลูกเห็บตก ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนที่ตกไม่เพียงพอกับความต้องการในหลายพื้นที่ ทั้งด้านอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกิดภัยแล้งซ้ำซากนอกเขตชลประทาน จึงขอแนะนำให้ประชาชนใช้น้ำอย่างประหยัดและเตรียมการป้องกันสภาวะดังกล่าว

การคาดการณ์สภาพอากาศตามภูมิภาค

ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: คาดการณ์ว่าจะมีอากาศร้อนอบอ้าวเกือบทั่วไป และมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ สลับกับมีฝนฟ้าคะนองและอาจมีลมกระโชกแรง รวมถึงลูกเห็บตกบางแห่ง อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 41-43 องศาเซลเซียส

ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งชายฝั่ง: อากาศร้อนอบอ้าวจะครอบคลุมเกือบทั่วไป แต่จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นระยะ โดยอาจมีลมกระโชกแรงและลูกเห็บในบางพื้นที่ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 40-42 องศาเซลเซียส

ภาคใต้: ช่วงเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายนจะมีอากาศร้อนในหลายพื้นที่ กับมีฝนตกประมาณ 20-30% ของพื้นที่ คลื่นลมในทะเลจะมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร จากนั้นจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 37-39 องศาเซลเซียส

กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล: จะมีอากาศร้อนเกือบทั่วไป แต่จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นระยะ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 38-39 องศาเซลเซียส

กรมอุตุนิยมวิทยาแนะนำให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งการใช้น้ำอย่างประหยัดเพื่อรับมือกับฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ปภ.ช. เอาจริง! ขึ้นบัญชีดำเกษตรกรเผา แก้ฝุ่นควันพิษ

ปภ.ช. สั่งเอาจริง! ขึ้นบัญชีดำเกษตรกรดื้อเผา แก้ปัญหาฝุ่นควัน

กุมภาพันธ์ 2568 – กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) ยกระดับมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน สั่งเอาจริงกับเกษตรกรที่ยังดื้อดึงเผาพืชผลทางการเกษตร พร้อมขึ้นบัญชีดำผู้กระทำผิด

ปภ.ช. เร่งแก้ปัญหาฝุ่นควัน สั่งคุมเข้มห้ามเผา

น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปภ.ช. ติดตามสถานการณ์ฝุ่นควันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการคุมเข้มสั่งห้ามเผา และการตรวจจับดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด

กระทรวงเกษตรฯ เตรียมขึ้นบัญชีดำเกษตรกรดื้อเผา

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานแนวทางและขั้นตอนการแจ้งเตือนและป้องปรามเกษตรกรไม่ให้เผา พร้อมส่งเสริมวิธีกำจัดเศษวัสดุทางการเกษตรแบบใหม่ เช่น การไถกลบตอซัง การใช้จุลินทรีย์และอินทรียวัตถุ

แม้จะได้รับความร่วมมือจากเกษตรกรส่วนใหญ่ แต่ยังมีบางส่วนที่ไม่ปฏิบัติตาม จึงเตรียมขึ้นบัญชีดำเกษตรกรที่ถูกตัดสิทธิ์และไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ซึ่งจะประกาศในเร็วๆ นี้

กรมป่าไม้เผยข้อมูลไฟป่าและจุดความร้อน

กรมป่าไม้ รายงานการจัดการไฟในพื้นที่ป่า พบว่า จังหวัดกำแพงเพชรเกิดไฟป่ามากที่สุด และพบจุดความร้อน (hotspots) สะสมในภาคเหนือมากที่สุด

กรมโรงงานฯ เผยข้อมูลโรงงานรับอ้อยเผา

กรมโรงงานอุตสาหกรรม รายงานจำนวนโรงงานรับอ้อยเผาเข้าหีบแต่ละภาคยังมีมาก แม้ภาพรวมปีนี้จะลดลงจากปีก่อน แต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมของทุกปี เป็นช่วงที่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจะเร่งเก็บผลผลิต ทำให้ยังคงมีการเผาอ้อยในหลายพื้นที่

ปภ.ช. สั่งทุกจังหวัดทำงานเชิงรุกแก้ปัญหาจุดความร้อน

ปภ.ช. มอบหมายทุกจังหวัด นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ประสานงานกับกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ทำงานเชิงรุก ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาจุดความร้อนสูง โดยเฉพาะในจังหวัดเพชรบูรณ์และชัยภูมิ

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มกลับมาสูงอีกครั้ง

กรมควบคุมมลพิษคาดการณ์ว่า สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 จะบรรเทาลงเล็กน้อยในช่วงวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ 2568 แต่หลังจากนั้น ค่าฝุ่นจะมีแนวโน้มกลับมาสูงอีกครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคเหนือตอนล่าง

ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวควรเฝ้าระวังสถานการณ์จนถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 เนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่งและจมตัว ทำให้การระบายอากาศต่ำ ประกอบกับลมที่แปรปรวนและข้อมูลจุดความร้อนที่ยังพบการเผาในหลายพื้นที่

มาตรการระยะยาว

นอกจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดแล้ว ปภ.ช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังพิจารณามาตรการระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควันอย่างยั่งยืน เช่น การส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงระบบการจัดการพื้นที่เกษตร และการสร้างความตระหนักให้ประชาชนเห็นถึงผลกระทบของการเผาต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

สรุป

ปภ.ช. สั่งเอาจริงกับเกษตรกรที่ยังดื้อดึงเผาพืชผลทางการเกษตร พร้อมขึ้นบัญชีดำผู้กระทำผิด เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นควันอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน กรมควบคุมมลพิษคาดการณ์ว่าสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จะกลับมาสูงอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

องค์มนตรีติดตามโครงการพระราชดำริที่เชียงราย

องค์มนตรีติดตามโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะในเชียงราย

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะที่โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเชียงของ โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ร่วมให้การต้อนรับ

การเยี่ยมชมในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของโครงการที่มีความสำคัญในด้านการพัฒนาชุมชนและการเกษตรกรรมในพื้นที่ โดยองค์มนตรีได้เยี่ยมชมผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากราษฎรในพื้นที่โครงการ พร้อมกับทำการปล่อยปลากระแห จำนวน 2,000 ตัว ปลานวลจันทร์ 500 ตัว และปลาบึก 19 ตัว ในแหล่งน้ำของหมู่บ้าน เพื่อนำไปสนับสนุนกิจกรรมการประมงในพื้นที่

พื้นที่โครงการและความสำคัญของโครงการ

อำเภอเชียงของ ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดต่อกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นระหว่างประเทศ โดยอำเภอเชียงของมีพื้นที่ปกครองแบ่งออกเป็น 7 ตำบล 102 หมู่บ้าน มีประชากรประมาณ 64,000 คน ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมและประมง

อำเภอเชียงของมีความสำคัญในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลายทางของรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย เชียงแสน เชียงของ ซึ่งตำแหน่งนี้ถือเป็น “Logistic City” ที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการพัฒนาสังคมและชุมชนควบคู่กับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะและประโยชน์ที่ได้รับ

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ตั้งอยู่ในตำบลห้ายซ้อ หมู่บ้านเวียหมอก เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีประชากร 336 ครัวเรือน หรือประมาณ 2,036 คน ซึ่งเป็นหมู่บ้านหลักที่ได้รับประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำนี้ ประชาชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์จากน้ำในอ่างเก็บน้ำในการทำการเกษตรกรรม ทั้งการปลูกพืชผัก ทำไร่ ทำนา และทำสวน ผลกระทบจากโครงการนี้ได้ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นอย่างมาก

ในปีที่ผ่านมา ส่วนราชการ ภาคเอกชน และชุมชนได้ร่วมกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่โดยการปลูกป่าและต้นไม้ในโครงการต่างๆ เช่น โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 และโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกับกรมป่าไม้และบริษัทต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต

โครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2564 โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในหมู่บ้านเวียหมอกได้ปลูกต้นไม้รวม 1,000 ต้น เช่น ต้นขี้เหล็ก มะขามป้อม ต้นเสี้ยวขาว และต้นพะยุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างพื้นที่สีเขียวและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2565 ได้มีการดำเนินโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจร่วมกับกรมป่าไม้และบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) โดยการปลูกป่าบนพื้นที่ 140.21 ไร่ และจะมีการดำเนินการต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2574 ในปี 2567 มีโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมกับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บนพื้นที่ 144.38 ไร่ ซึ่งจะเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2576

บทสรุป

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ตั้งอยู่ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนในด้านการเกษตรและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำในการเกษตรกรรมและการพัฒนาพื้นที่สีเขียวผ่านโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และชุมชนได้ช่วยสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและตรงตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News