Categories
WORLD PULSE

ท่าขี้เหล็กกวาดล้างบ่อน-KTV หลังไทยตัดไฟ-น้ำมัน

ทางการเมียนมาปิดบ่อนและ KTV ในท่าขี้เหล็ก หลังไทยงดส่งไฟฟ้าและน้ำมัน

เมียนมา, 23 กุมภาพันธ์ 2568 – Tachileik News Agency รายงานว่า ทางการเมียนมาเพิ่มมาตรการเข้มงวดในการจัดระเบียบสถานประกอบการใน จ.ท่าขี้เหล็ก และพื้นที่รัฐฉานตะวันออก หลังจากไทยงดส่งกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์

มาตรการปราบปรามและจัดระเบียบใหม่ในท่าขี้เหล็ก

การดำเนินมาตรการดังกล่าวส่งผลให้มีการ ปิดบ่อนการพนันและ KTV ที่ไม่มีใบอนุญาตทั่วเมืองท่าขี้เหล็ก ขณะที่สถานบันเทิงรายใหญ่ เช่น ผับม้าบิน, วันจีวัน, น้ำเต้าทอง และ KTV ติดโรงแรม 9 ชั้นของกลุ่มทุนว้า ยังคงเปิดให้บริการต่อไป อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่มีแนวโน้มที่จะดำเนินการตรวจสอบและจัดระเบียบธุรกิจเหล่านี้เพิ่มเติม

แรงกดดันจากไทยและผลกระทบต่อธุรกิจในพื้นที่

นับตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้งดส่ง กระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไปยัง จ.ท่าขี้เหล็ก ทำให้ผู้ประกอบการในฝั่งเมียนมาต้องหาทางปรับตัว โดยมีการจัดหาไฟฟ้าจาก สปป.ลาว และนำเข้าน้ำมันจากแหล่งอื่น ๆ ควบคู่ไปกับการ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงบ่อนการพนันออนไลน์และการค้ายาเสพติด

คำสั่งปิดบ่อนและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ทางการเมียนมาได้ สั่งปิดบ่อนการพนันที่ได้รับอนุญาตทั้งหมด รวมถึงบ่อนที่เปิดภายในโรงแรม ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในธุรกิจการพนันและสถานบันเทิงของท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567

นอกจากนี้ บริการคาราโอเกะครบวงจร (KTV) ซึ่งเคยมีอยู่เกือบ 100 แห่งในท่าขี้เหล็ก ก็ถูกสั่งปิดจำนวนมาก แต่ยังคงมีบางแห่งที่สามารถดำเนินกิจการได้ เช่น ธุรกิจที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มทุนใหญ่

การปราบปรามการพนันออนไลน์และการสืบสวนภายในรัฐฉาน

Tachileik News Agency รายงานว่าในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีการ จับกุมกิจกรรมการพนันออนไลน์ของชาวไทยในวอร์ดสันทรายของท่าขี้เหล็ก รวมถึงบ่อนภายในโรงแรมหลายแห่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่มักแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนการจับกุม ทำให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกครั้งหลังจากชำระค่าธรรมเนียมให้ทางการ

แหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตนระบุว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตำรวจเขตได้สั่งให้โรงแรมที่มีบ่อนการพนันปิดบริการชั่วคราว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการขออนุญาตเปิดดำเนินการอีกครั้งก็ตาม

ผลกระทบและแนวโน้มในอนาคต

มาตรการเข้มงวดของทางการเมียนมาอาจเป็นสัญญาณของ การจัดระเบียบธุรกิจสีเทาในท่าขี้เหล็กและรัฐฉานตะวันออก อย่างจริงจัง โดยเฉพาะหลังจากที่ไทยตัดเส้นทางส่งไฟฟ้าและน้ำมัน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจในพื้นที่

นักวิเคราะห์เชื่อว่า ทางการเมียนมาอาจกำลังใช้โอกาสนี้เพื่อควบคุมอิทธิพลของกลุ่มทุนที่ครอบงำธุรกิจการพนันและสถานบันเทิงในภูมิภาคนี้ พร้อมกับเดินหน้าปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่หลบซ่อนอยู่ในพื้นที่

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การสั่งปิดบ่อนการพนันในท่าขี้เหล็กส่งผลกระทบอย่างไร?
    ส่งผลให้ธุรกิจการพนันในพื้นที่ต้องหยุดชะงัก และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจของกลุ่มทุนที่ควบคุมธุรกิจเหล่านี้
  2. ทำไมไทยจึงงดส่งไฟฟ้าและน้ำมันไปยังท่าขี้เหล็ก?
    เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการตัดวงจรอาชญากรรมข้ามชาติและการกดดันให้ทางการเมียนมาปราบปรามเครือข่ายผิดกฎหมายในพื้นที่
  3. KTV ในท่าขี้เหล็กทั้งหมดถูกปิดหรือไม่?
    แม้ว่าจะมีการสั่งปิดหลายแห่ง แต่ KTV รายใหญ่บางแห่งยังคงเปิดให้บริการต่อไปภายใต้การควบคุมของกลุ่มทุนขนาดใหญ่
  4. การลักลอบเปิดบ่อนการพนันในท่าขี้เหล็กยังมีอยู่หรือไม่?
    ยังคงมีอยู่ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในรูปแบบออนไลน์และสถานที่ลับที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ
  5. มาตรการจัดระเบียบสถานบันเทิงของเมียนมาจะดำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน?
    มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปจนกว่ารัฐบาลเมียนมาจะสามารถควบคุมสถานการณ์และลดอิทธิพลของกลุ่มอาชญากรรมในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : mgronline / tachileik

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

แฉแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมียนมาซัด แกนนำกบดานไทย จีนเดินเกมหนัก

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์! จีน-เมียนมาประสานงาน ไทยมีเอี่ยว?

เนปีดอว์ เมียนมา, 16 กุมภาพันธ์ 2568  – กระทรวงมหาดไทยของเมียนมา นำโดย พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้หารือร่วมกับ H.E. Ms. Ma Jia เอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมา และ นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ กรุงเนปีดอว์ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ประสบปัญหาในเมียนมา

จีน-เมียนมา ผนึกกำลังกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์

การประชุมครั้งนี้ให้ความสำคัญกับปัญหาการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งเกิดขึ้นในเขตเมือง เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นแหล่งกบดานของขบวนการคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางป้องกันและปราบปราม รวมถึงการช่วยเหลือชาวจีนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ ในเขตเมือง ไหย รัฐฉานตอนเหนือ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์และการพนันออนไลน์ ซึ่งบางส่วนเป็นบุคคลที่ทางการจีนต้องการตัว

แกนนำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังลอยนวลในไทย

แหล่งข่าวจากเมียนมาเปิดเผยว่า แม้การกวาดล้างจะเดินหน้าเต็มที่ แต่แกนนำระดับสูงของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ยังคงหลบซ่อนอยู่ในประเทศไทย โดย นายหม่องชิต ตู่ หัวหน้า BGF กะเหรี่ยงของเมียนมา เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง จีน-เมียนมา-ไทย เพื่อขจัดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติให้สิ้นซาก

จีนเสนอประชุม 3 ชาติ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดน

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ จีนเสนอให้มีการประชุมระดับสูง ระหว่าง จีน เมียนมา และไทย โดยเน้นความร่วมมือด้านข่าวกรอง การจับกุมผู้ต้องหา และการส่งตัวข้ามแดน การประชุมดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเมียนมาเข้าร่วม ได้แก่ พลโท ทุน ทุน หน่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, อู ข่าย ทุน อู ปลัดกระทรวงมหาดไทย, พลตำรวจตรี วิน ซอ โม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศ

ทางการไทยจะตอบสนองอย่างไร?

ขณะที่จีนและเมียนมาเดินหน้าเต็มที่ในการกวาดล้างขบวนการคอลเซ็นเตอร์ คำถามสำคัญคือ รัฐบาลไทยจะมีท่าทีอย่างไร ต่อการดำเนินการกับผู้ต้องหาที่เมียนมาอ้างว่ายังซ่อนตัวอยู่ในไทย ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ สื่อเมียนมาเปิดเผยหลักฐานว่านายทุนจีนบางรายที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้รับการคุ้มกันโดยกองกำลังพิเศษ เพื่อเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนระหว่างไทยและเมียนมา

ส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ – กวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ

นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้หารือเกี่ยวกับ ขั้นตอนการส่งตัวชาวจีน ซึ่งปัจจุบันทางการเมียนมาได้รวบรวมรายชื่อชาวจีนที่พำนักในเมือง ชเวก๊กโก่ และเตรียมส่งตัวผ่านประเทศไทย ซึ่งกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยทั้ง เหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ล่าสุดจากปฏิบัติการของกองกำลังทหาร BGF เมียนมา ในการตรวจค้นอาคารต่าง ๆ ในเมืองชเวก๊กโก่ สามารถรวบรวมชาวจีนได้ ประมาณ 1,000 คน โดยกว่าครึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่ทางการจีนต้องการตัว

จีนเตรียมลำเลียงชาวจีนกลับประเทศทางแม่สอด

นายหลิว จงอี้ ได้ตรวจสอบกระบวนการส่งตัวอย่างใกล้ชิด และยืนยันว่า ทางการจีนจะใช้วิธีการเดิมที่เคยใช้เมื่อปี 2567 โดยจะส่งเครื่องบินมารับผู้ต้องสงสัยที่ท่าอากาศยานแม่สอด และทยอยลำเลียงกลับประเทศจีน คาดว่า สามารถส่งตัวได้สูงสุด 500 คนต่อวัน

บทสรุป

การหารือระหว่างเมียนมาและจีนเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ กวาดล้างขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ใช้เมียนมาเป็นฐานปฏิบัติการ ขณะที่ทางการเมียนมายืนยันว่ามี แกนนำบางส่วนยังซ่อนตัวในประเทศไทย ทำให้เกิดคำถามถึงท่าทีของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ การประชุมระดับสูงของ จีน-เมียนมา-ไทย ที่กำลังจะมีขึ้น อาจเป็นก้าวสำคัญในการเร่งรัดการจับกุมและส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน เพื่อยุติอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างความเสียหายต่อทั้งภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมียนมาส่งเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 7,000 คนกลับไทย

เมียนมาพร้อมส่งเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 7,000 คนกลับไทย

ตาก, 12 กุมภาพันธ์ 2568 – รัฐบาลเมียนมาประกาศเตรียมส่งตัวผู้ที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับไทยอีก 7,000 คน หลังจากปล่อยตัวเหยื่อชุดแรก 261 คนเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า มาตรการของไทยจะประสานกับประเทศปลายทางเพื่อให้สามารถรับตัวผู้เสียหายกลับได้โดยตรง ลดปัญหาการตกค้างในจังหวัดตาก

ไทยเร่งประสานนานาชาติ พร้อมรับเหยื่อกลับบ้าน

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ทางการไทยได้ประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตจากหลายประเทศทั่วโลก อาทิ แอฟริกา ลาตินอเมริกา ยุโรป และเอเชีย รวมถึงญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เพื่อให้ประเทศเหล่านี้พร้อมรับพลเมืองของตนที่ถูกหลอกไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับบ้านอย่างปลอดภัย

จับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

นอกจากการช่วยเหลือเหยื่อ ทางการไทยยังสามารถจับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่เบื้องหลังการหลอกลวงนักแสดงชาวจีนให้ไปทำงานผิดกฎหมาย โดยขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว

มาตรการซีลชายแดนของไทย ได้ผลจริง

นายภูมิธรรมย้ำว่า มาตรการซีลชายแดนของไทยและการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลเมียนมา ได้ช่วยให้ปัญหาการค้ามนุษย์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ ทางการจีนได้ขอบคุณไทยสำหรับมาตรการนี้ ซึ่งส่งผลให้มีการช่วยเหลือพลเมืองที่ถูกหลอกลวงกลับประเทศได้สำเร็จ

บุคคลต่างชาติ จำนวน 260 ราย(ชาย 221 / หญิง 39) จาก 20 สัญชาติ

โดย ฉก.ราชมนู กกล.นเรศวร ได้บูรณาการร่วมในการปฏิบัติกับฝ่ายปกครอง อ.พบพระ, สภ.พบพระ, ร้อย.ตชด.346 และ พัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ จ.ตาก (พม.ตาก) ในการรับตัว

ในเวลา 15.45 น.ฉก.ราชมนู กกล.นเรศวร ดำเนินการรับตัวบุคคลต่างชาติ จำนวน 260 ราย(ชาย 221 / หญิง 39) จาก 20 สัญชาติ โดยทางฝ่ายเมียนมา และ กกล.DKBA ส่งมอบบริเวณท่าข้ามสินค้าหมายเลข 28 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก

จากนั้น ฉก.ราชมนู กกล.นเรศวร นำบุคคลต่างชาติมาร่วมคัดกรองและตรวจสอบเบื้องต้น เพื่อยืนยันสัญชาติ และจำนวน 20 สัญชาติ ภายในที่ว่าการอำเภอพบพระ ร่วมกับ ตม.จ.ตาก และ พม.จ.ตาก ประกอบด้วย

  1. สัญชาติ ฟิลิปปินส์ จำนวน 16 ราย
  2. สัญชาติ เคนยา จำนวน 23 ราย
  3. สัญชาติ แทนซาเนีย จำนวน 1 ราย
  4. สัญชาติ บราซิล จำนวน 2 ราย
  5. สัญชาติ เอธิโอเปีย จำนวน 138 ราย
  6. สัญชาติ ปากีสถาน จำนวน 12 ราย
  7. สัญชาติ บังกลาเทศ จำนวน 2 ราย
  8. สัญชาติ เนปาล จำนวน 7 ราย
  9. สัญชาติ กัมพูชา จำนวน 1 ราย
  10. สัญชาติ ศรีลังกา จำนวน 1 ราย
  11. สัญชาติ ยูกันดา จำนวน 6 ราย
  12. สัญชาติ ไต้หวัน จำนวน 7 ราย
  13. สัญชาติ ลาว จำนวน 6 ราย
  14. สัญชาติ อินโดนีเซีย จำนวน 8 ราย
  15. สัญชาติ บุรุนดี จำนวน 2 ราย
  16. สัญชาติ ไนจีเรีย จำนวน 1 ราย
  17. สัญชาติ กานา จำนวน 1 ราย
  18. สัญชาติ อินเดีย จำนวน 1 ราย
  19. สัญชาติ มาเลเซีย จำนวน 15 ราย
  20. สัญชาติ จีน จำนวน 10 ราย

แผนรับผู้ถูกหลอกกลับไทย ประสานประเทศปลายทางโดยตรง

รัฐบาลไทยเน้นย้ำว่าจะไม่มีการนำตัวเหยื่อไปพักไว้ที่ไทย แต่จะส่งตัวให้ประเทศต้นทางโดยตรงเพื่อป้องกันปัญหาความแออัดและลดภาระการดูแล

หากประเทศใดมีจำนวนผู้ถูกหลอกมาก สามารถจัดเตรียมเครื่องบินมารับตัวพลเมืองของตนกลับไปพร้อมกันได้ทันที รัฐบาลไทยจะเร่งรายงานความคืบหน้าให้กับนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด

สรุป

การดำเนินมาตรการของรัฐบาลไทยเพื่อช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์และลดการค้ามนุษย์ ได้รับความร่วมมือจากหลายประเทศทั่วโลก การซีลชายแดน การประสานงานระดับนานาชาติ และการดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด ส่งผลให้สถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มว่านโยบายนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาการหลอกลวงแรงงานข้ามชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. เหตุใดรัฐบาลเมียนมาจึงส่งตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับไทย?
    รัฐบาลเมียนมามีข้อตกลงกับไทยและนานาชาติเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ถูกหลอกลวง และส่งตัวกลับประเทศต้นทาง
  2. ไทยมีมาตรการอย่างไรในการช่วยเหลือเหยื่อ?
    ไทยประสานงานกับสถานทูตต่างประเทศ เพื่อให้พลเมืองของแต่ละประเทศสามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
  3. หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถูกจับกุมแล้วหรือไม่?
    ใช่ ทางการไทยจับกุมตัวหัวหน้าแก๊งได้ทั้งหมด และกำลังดำเนินคดีตามกฎหมาย
  4. ทำไมไทยต้องใช้มาตรการซีลชายแดน?
    เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองและการค้ามนุษย์ รวมถึงลดปัญหาการทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
  5. ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีประเทศใดบ้าง?
    หลายประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบ รวมถึงจีน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และหลายประเทศในยุโรปและลาตินอเมริกา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงกลาโหม 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ธุรกิจเมียนมาหลั่งไหลเปิดในไทย หนีวิกฤตในประเทศ

 

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียรายงานว่า จำนวนธุรกิจจากเมียนมามากขึ้นเรื่อยๆ กำลังย้ายมาตั้งร้านค้าและร้านอาหารในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่หลบหนีจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในเมียนมา รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหารที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงต้นปีนี้

จากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับธุรกิจเมียนมา เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจจากเมียนมาหลายสิบรายได้เข้ามาดำเนินงานในประเทศไทย สถานการณ์ในเมียนมาทำให้ธุรกิจต่างๆ เผชิญกับความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและกฎระเบียบทางการเงินที่ไร้เสถียรภาพ

เจ้าของธุรกิจรายหนึ่งที่ย้ายร้านมือถือและคอมพิวเตอร์จากเมียนมามาเปิดที่กรุงเทพฯ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมที่มีเสถียรภาพมากกว่า และตลาดกำลังเติบโตสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการของเรา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยเป็นตลาดทางเลือกที่สำคัญสำหรับนักธุรกิจเมียนมาที่ต้องการย้ายการดำเนินงานไปยังตลาดใหม่

การขยายตัวของธุรกิจเมียนมาในไทยนั้นได้แก่การเปิดสาขาของร้าน Cherry Oo ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกนาฬิกาที่มีประวัติยาวนานเกือบ 40 ปีในเมียนมา และได้เปิดร้านสาขาแรกในกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ร้านอาหาร Khaing Khaing Kyaw ที่มีชื่อเสียงในเมียนมา ซึ่งให้บริการอาหารพม่าดั้งเดิม ก็ได้ขยายสาขาเข้าสู่ประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าชาวเมียนมา

“เราตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ในกรุงเทพฯ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น” ผู้จัดการร้านกล่าว พร้อมเสริมว่าร้านอาหารเครือข่ายนี้เติบโตจนมีสาขามากกว่า 10 แห่งในเมียนมาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเข้าสู่ตลาดไทยครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยมีแผนเปิดสาขาที่พัทยาและเชียงใหม่

การขยายธุรกิจของเมียนมาเข้ามาในประเทศไทยมีเป้าหมายหลักในการปกป้องสินทรัพย์ทางการเงินมากกว่าการสร้างผลกำไรในทันที นางซู นักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า “มันไม่ได้เกี่ยวกับการสร้างผลกำไรทันที แต่เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงและการย้ายทรัพย์สินไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย”

แม้ว่าไม่มีตัวเลขสถิติอย่างเป็นทางการที่แสดงจำนวนประชากรเมียนมาที่แท้จริงในประเทศไทย แต่รายงานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาคาดว่า มีผู้อพยพทั่วไปจากเมียนมาจำนวน 1.9 ล้านคนในประเทศไทย เมื่อนับจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2566 และคาดว่า มีผู้อพยพจากเมียนมา 5 ล้านคนทั้งที่มีเอกสารและไม่มีเอกสาร ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศไทย

นอกจากนี้ กฎหมายบังคับเกณฑ์ทหารที่ประกาศใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ได้กระตุ้นให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากหลบหนีออกจากเมียนมา ส่งผลให้มีการขยายตัวในชุมชนเมียนมาและฐานผู้บริโภคในประเทศไทย ธุรกิจต่างๆ ตั้งแต่ร้านอาหารแบบดั้งเดิมของเมียนมาไปจนถึงร้านโทรศัพท์มือถือ และร้านค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างไล่ตามลูกค้าและใช้ประโยชน์จากความต้องการความสะดวกสบายและสินค้าจำเป็นในหมู่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นิกเกอิเอเชีย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

จับมือเมียนมา พัฒนาการค้ายั่งยืน ร่วมมือแก้ไขมลภาวะทางอากาศ

 

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และคณะผู้บริหารจากส่วนกลาง ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนไทย ด้านการส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเตรียมความพร้อมก่อนเข้าหารือกับฝ่ายเมียนมา ในภาคบ่ายของวันเดียวกัน โดยมีนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับ และนำหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลัก อาทิ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย ผู้แทนด่านศุลกากรแม่สาย ผู้แทนกรมควบคุมมลพิษ ผู้แทนกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ผู้แทนกรมปศุสัตว์ ผู้แทนคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น และหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมเพื่อหารือ และรายงานความคืบหน้าสถานการณ์ในเมียนมา สถานการณ์การค้าชายแดนไทย-เมียนมา สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จังหวัดเชียงราย กรอบแนวทางการหารือกับฝ่ายเมียนมา แนวทางความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือฝ่ายเมียนมา ตลอดจนแนวทางเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดน

 

จากนั้นในเวลา 13.30 น. ณ โรงแรม 1G1 Hotel ท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะจากฝ่ายไทย เข้าร่วมประชุมหารือกับผู้แทนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นำโดยนายอู คุน เทียน หม่อง รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์รัฐฉาน พลจัตวา จ่อว์ เท็ด ผบ.ภาคสามเหลี่ยม นายอู ไซ เลต รัฐมนตรีด้านทรัพยากรธรรมชาติของคณะผู้บริหารรัฐฉาน และคณะ โดยนายนภินทร ศรีสรรพางค์ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย ให้มาติดตามสถานการณ์การค้าเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนระหว่างไทย – เมียนมา โดยเริ่มต้นที่รัฐฉานซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบสินค้าที่สำคัญเข้าสู่ไทย โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือระหว่างกันในประเด็นการส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ข้ามพรมแดน  และส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการค้าชายแดนระหว่างกันให้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลไทย โดยกระทรวงพาณิชย์ ยินดีที่จะร่วมมือกับเมียนมา ช่วยกันแก้ไขหรือลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

 

ในการหารือครั้งนี้ ทั้งไทยและเมียนมา ต่างได้แสดงออกถึงความจริงใจและความตั้งใจที่จะร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ซึ่งไทยได้เสนอแนวทางการทำงานแบบบูรณาการของหน่วยงานรัฐ โดยมีกรมการค้าต่างประเทศ  สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมมลพิษ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ที่พร้อมจะทำงานร่วมกัน และพร้อมอำนวยความสะดวกในการประสานงานแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว  และจะสนับสนุนข้อมูลให้ความร่วมมือทางนวัตกรรม และองค์ความรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปลูกข้าวโพด 75 วัน ซึ่งสามารถเก็บทั้งต้นและสามารถปรับเป็นอาหารสัตว์ ตลอดจนการนำไปทำปุ๋ย ผลิตสินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการหารือในวันนี้ ทั้งสองประเทศเห็นพ้องกัน และรัฐฉานให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยทางไทยจะได้มีการติดตามผลในอีก 3 เดือนข้างหน้า

 

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังได้กล่าวขอบคุณฝ่ายเมียนมา ที่มีความจริงใจและมีความตั้งใจในการร่วมกันแก้ไขปัญหาทางการค้า ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต จากประเด็นการสร้างผลผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม Carbon Footprint และอื่น ๆ  ซึ่งการประชุมวันนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จได้รับความร่วมมือและร่วมแก้ปัญหาไปได้ในระยะยาว
โดยพื้นที่ทำการเกษตรของเมียนมา มีทั้งหมดประมาณ 80 ล้านไร่ อยู่ในรัฐฉาน ประมาณ 7.6 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 9 ของพื้นที่ทำการเกษตรของเมียนมา ทั้งนี้เป็นการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3 ล้านไร่ หรือคิดเป็น ร้อยละ 40 ของพื้นที่เกษตรทั้งหมดของรัฐฉาน สำหรับสถานการณ์การค้าชายแดนไทย- เมียนมา นั้น ในปี 2567 (ม.ค. – พ.ค.) ไทยนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมปริมาณ 1.09 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 (นำเข้า 0.77 ล้านตัน) โดยนำเข้าจากเมียนมา เป็นอันดับหนึ่ง ปริมาณ 0.91 ล้านตัน (ร้อยละ 82.80) รองลงมาได้แก่ สปป. ลาว 0.18 ล้านตัน (ร้อยละ 16.84) และกัมพูชา 0.004 ล้านตัน (ร้อยละ 0.37) ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่จะส่งออกทางบกผ่านด่านเมียวดี-แม่สอด จังหวัดตาก

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ไทย – เมียนมา หารือการติดตั้ง เครื่องเตือนภัยน้ำท่วมจากลำน้ำสาย

 
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 67 พันเอก ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก / ประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย–เมียนมา หรือ TBC ฝ่ายไทย พร้อมคณะเดินทางไปพบปะ กับพันโท อ่องลินอู ผู้บังคับกองพันเคลื่อนที่เร็วที่ 133 / ประธาน TBC ฝ่ายเมียนมา และคณะบริเวณกลางสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย จ.เชียงราย จากนั้นประธาน TBC ของทั้ง 2 ชาติ ได้ร่วมกันเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เมียนมา-ไทย ครั้งที่ 99 (TBC – 99) โดยฝ่ายเมียนมาเป็นเจ้าภาพ ณ โรงแรมวันจีวัน (1G1) จ.ท่าขี้เหล็ก
 
โดยการประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะกรรมการ TBC ทั้ง 2 ฝ่าย ได้ประสานความร่วมมือและสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อขจัดเงื่อนไขและปัญหาต่างๆ อันจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย โดยในวันนี้ในที่ประชุมได้มีการหารือทั้งการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน และการขอความร่วมมือต่างๆ เช่น การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในเมียนมา การติดตั้งเครื่องเตือนภัยน้ำท่วมเพื่อประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศ การแก้ไขปัญหาการจราจรบริเวณด่านพรมแดน รวมถึงงานด้านความมั่นคงและด้านอื่นๆ 
 
สำหรับในส่วนของบางปัญหาที่อยู่เหนือกว่าอำนาจที่ TBC จะตัดสินใจได้ ทั้ง 2 ฝ่ายจะได้นำเรียนหน่วยเหนือเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป
 
แม่น้ำสายซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชาว อ.แม่สาย จ.เชียงราย และเป็นเส้นแบ่งแดนระหว่างไทย-พม่า แม่น้ำสาย เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีชื่อเดิมว่าแม่น้ำใส ต่อมาก็กลายมาเป็นแม่น้ำสายในปัจจุบัน แม่น้ำสายแห่งนี้เป็นแม่น้ำที่เป็นพรมแดนทางธรรมชาติที่กั้นระหว่างไทยกับพม่า ต้นน้ำของแม่น้ำสายอยู่ที่ประเทศพม่าหลังจากนั้นก็ใหลผ่านประเทศไทยแถวท่าขี้เหล็กแล้วก็ไปรวมกับแม่น้ำรวกภายในอำเภอ แม่น้ำหลังจากนั้นก็ใหลผ่านแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

‘เมียนมา’ ชอปคอนโดไทยพุ่ง 333% คนไทยซื้อบ้านหลังแรกกู้แบงก์ไม่ผ่าน

 

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2567กำลังซื้อคนไทยกลาง-ล่างฟื้นยาก กำลังซื้อบ้านหลังแรกหด ติดกู้แบงก์ไม่ผ่าน อสังหาฯหันพึ่งต่างชาติ ดันยอดขายคอนโดหนุน ‘เมียนมา’ ชอปพุ่ง 333%

 

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทยและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันอนันดามีลูกค้ากู้แบงก์ไม่ผ่านเพียง 10% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราคาต่ำ 3 ล้านบาท เนื่องจากที่ผ่านมาได้ปรับพอร์ตฟาลิโอไปเจาะตลาดต่างชาติที่จะซื้อสด ไม่กู้แบงก์ ทำให้มีการยกเลิกเพียง 2-3% โดยไตรมาสแรกมียอดขายตางชาติ 2,000 ล้านบาท เติบโต 10% กำลังซื้อหลักยังเป็นจีน พม่า ไต้หวัน
 
 
นายประเสริฐกล่าวว่า ตอนนี้กำลังซื้อคนไทยกลาง-ล่างฟื้นยาก ขณะที่กำลังซื้อบ้านหลังแรกก็ไม่มีแล้ว ติดกู้แบงก์ไม่ผ่าน ต้องพึ่งกำลังซื้อต่างชาติ ซึ่งตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพและปริมณฑลในไตรมาสแรกติดลบ 14% แต่พบว่าตลาดต่างชาติมียอดโอน 11,363 ล้านบาท เติบโต 10% จีนลดลง 8% เมียนมาเพิ่มขึ้น 333% ไต้หวันเพิ่มขึ้น 58% อินเดียเพิ่มขึ้น 34% ขณะที่ตลาดคนไทยมียอดโอน 34,943 ล้านบาท ติดลบ 19%
 
 
“อยากขอให้รัฐขยายโควตาต่างชาติซื้อคอนโดฯจาก 49% เป็น 60% ของพื้นที่โครงการ และในบางพื้นที่ เช่น เมืองท่องเที่ยว กรุงเทพ ภูเก็ต ชลบุรี ซึ่งมาตรการนี้เคยนำมาใช้ปี 2542 ขณะนั้นให้ซื้อได้ 100% และยกเลิกเมื่อปี 2547” นายประเสริฐกล่าว
 

เช่นเดียวกับ พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมอาคารชุดไทย มองว่า กำลังซื้อของต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือต้องการซื้อบ้านหลังที่สองในประเทศไทย จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะธุรกิจอสังหาฯเป็นธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ถือเป็นเครื่องยนต์หนึ่งกระตุ้นจีดีพีของประเทศได้ ดังนั้น อยากให้รัฐขยายโควต้าซื้อคอนโดได้มากกว่า 49% จะเพิ่มดีมานด์ได้อีกมาก รวมถึงขอให้ ธปท.ผ่อนคลาย LTV ให้ในปี 2567-2568 เพื่อกระตุ้นการซื้อบ้านหลังที่ 2 และหลังที่ 3 เพื่อลดซัพพลายที่คงค้างในตลาด

“พีระพงศ์” กล่าวว่า ปัจจุบันคนซื้อบ้านหลังแรกมีน้อยลงเพราะติดกู้แบงก์ไม่ผ่าน ขณะที่ดีมานด์การซื้อบ้านหลังที่ 2 ยังมีอยู่คิดเป็น 50% ของตลาด แต่แบงก์ให้กู้แค่ 70-80% และการซื้อเก็งกำไรที่ ธปท.กังวล ตอนนี้ไม่มีแล้ว ส่วนใหญ่ซื้อเพราะครอบครัวขยาย ต้องการบ้านใกล้ที่ทำงาน โรงเรียนลูกนอกจากนี้ ขอให้ ธปท.ทบทวนการปรับลดดอกเบี้ยในส่วนของภาคครัวเรือนลงอีก เช่น ดอกเบี้ยบ้าน จะทำให้คนมีภาระผ่อนบ้านน้อยลงและเข้าถึงสินเชื่อได้ และจากสถานการณ์ต่างๆ ทำให้ปี 2567 บริษัทรีวิวแผนลงทุนใหม่ จากเดิมจะเปิดพรีเซล 48,000 ล้านบาท เหลือ 40,000 ล้านบาท เป็นแนวราบ 10 โครงการและคอนโด 12 โครงการ

 

ในส่วนของธุรกิจรับสร้างบ้าน วรวุฒิ กาญจนกูล ประธานบริหาร บริษัท ดับบลิวเฮ้าส์ จำกัด ยอมรับว่า ไตรมาสแรก ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท หดตัวประมาณ 30% ผลจากแบงก์ยังเข้มงวดการปล่อยกู้ เช่น ยื่นกู้100 คน ผ่านแค่ 50% ขณะที่ภาวะเศรฐกิจโดยรวมยังไม่ดี ทำให้ลูกค้าไม่มั่นใจ ชะลอการตัดสินใจที่จะสร้างบ้าน แต่มีตลาดระดับ 10-20 ล้านบาท มาชดเชยกำลังซื้อกลุ่มต่ำ 5 ล้านบาท ที่หายไป จึงทำให้ภาพรวมของตลาดทรงตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีก่อน ไม่ถึงกับแย่กว่าปีที่แล้ว

“แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันมองว่ามันน่าจะดีกว่านี้ ดูจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่เริ่มจะดีขึ้นจากการที่ภาครัฐหาแนวทางกระตุ้น ไม่ใช่แค่มาตรการอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมา ยังมีภาคการท่องเที่ยว เพื่อดันให้จีดีพีของประเทศโตมากกว่านี้ทั้งนี้ อยากให้รัฐมีมาตรการกระตุ้นก๊อกสองออกมาสำหรับภาคอสังหาฯรวมถึงรับสร้างบ้านเพิ่มด้วย” วรวุฒิกล่าว

ท่ามกลางกำลังซื้อที่เริ่มเหือดแห้ง และความคาดหวังจากมาตรการรัฐจะมาช่วยบูสต์ตลาดได้มากน้อยขนาดไหนนั้น วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) คาดการณ์ตลาดจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีนี้ หลังกำลังซื้อชะลอตัวต่อเนื่องมาจากไตรมาส 3 ปี 2566 ซึ่งผู้ประกอบการควรจะมีการเตรียมการเพื่อรองรับการฟื้นตัวของตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยลบทั้งมาตรการ LTV และหนี้ครัวเรือน ทำให้แบงก์ยังปล่อยสินเชื่อด้วยความระมัดระวังมาก จะกลายเป็นปัจจัยรั้งการขยายตัวของตลาดในปี 2567 ได้ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นออกมา แต่สุดท้ายถ้าแบงก์ไม่ปล่อยกู้ก็ไม่เกิดผล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

รัฐบาลทหารเมียนมาสกัดคนหนีเกณฑ์ทหาร ประกาศสั่งห้ามพลเมืองชายไปทำงานต่างประเทศ

 

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 สำนักข่าว Myanmar Now รายงานว่า การเตรียมการในพม่ากำลังมีการห้ามชายที่มีอายุระหว่าง 18 – 35 ปี ซึ่งต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ไม่อนุญาตให้ออกจากประเทศเพื่อมุ่งหางานทำต่อไป คำสั่งนี้ได้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 แต่มีการยืนยันจากนายยุ้นวิน ปลัดกระทรวงแรงงานของรัฐบาลทหารพม่าว่าคำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลต่อบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากประเทศก่อนหน้านี้ และจะยกเลิกคำสั่งนี้เมื่อสถานการณ์ในประเทศอนุญาตให้เช่นนั้น แม้ว่ายังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ

 

Myanmar Now รายงานว่า แม้ว่ายังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ได้รับรายงานจากบุคคลที่เข้าร่วมประชุมระหว่างนายมิ้นหน่อง รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของพม่า และเจ้าหน้าที่ของสมาคมจัดหางานในย่างกุ้งต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างการประชุม รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของพม่าได้ระบุว่า เตรียมที่จะออกกฎห้ามผู้ชายเดินทางออกจากประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นทหาร โดยมาจากเบื้องบน

ในระหว่างนี้ ผู้ชายหนุ่มจากเขตอิระวดีกล่าวว่า กองทัพกำลังทำให้คนหนุ่มสาวมีทางเลือกเพียงอย่างเดียว คือการเข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้าน นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า คำสั่งนี้จะเพิ่มจำนวนผู้ออกจากประเทศอย่างผิดกฎหมายเพื่อหางานทำอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองพม่า (Assistance Association for Political Prisoners) ระบุว่า ตั้งแต่เผด็จการทหารยึดอำนาจมา กองทัพพม่าได้สังหารพลเรือนทั้งสิ้น 4,957 คน ในเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว ซึ่งมีจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด 121 คน เป็นชาย 88 ราย และหญิงอีก 33 ราย  ซึ่งรวมไปถึงเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีและผู้สูงอายุ ผู้ร้องขอความช่วยเหลือกล่าวว่า การประชุมระหว่างนายมิ้นหน่อง รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของพม่า และเจ้าหน้าที่ของสมาคมจัดหางานในย่างกุ้งได้สร้างความกังวลในประเทศอย่างมาก และเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่จะเสริมสร้างความเจ็บปวดในชุมชนนั้น ซึ่งสถานการณ์ยังคงเป็นอย่างวิกฤตต่อไป โดยจำนวน 42 รายนั้นเสียชีวิตจากสาเหตุปฏิบัติการโจมตีทางอากาศโดยกองทัพพม่า และเขตสะกาย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายต่อต้านกองทัพพม่าและเป็นพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด กองทัพพม่าที่กำลังสูญเสียกำลังพลเป็นจำนวนมาก เนื่องจากต้องรับมือสงครามกับฝ่ายต่อต้านทั่วประเทศ ทำให้กองทัพพม่าตอบโต้ด้วยการโจมตีและสังหารพลเรือน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าว Myanmar Now

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ถวายเพลิงสรีระครูบาแสงหล้า ศรัทธามหาชน ชาวพุทธร่วมส่ง

 

เมื่อวันที่ 6 เม.ย.2567 ที่วัดพระธาตุสายเมือง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา คณะศิษยานุศิษย์ของครูบาแสงหล้า ธัมมสิริ หรือ หลวงปู่เจ้าคุณพระรัตนรังษี ได้เคลื่อนสรีระของครูบาแสงหล้าไปยังสถานที่ชั่วคราวใน จ.ท่าขี้เหล็ก เพื่อประกอบถวายเพลิงสรีระ หลังจากครูบาแสงหล้าได้มรณภาพลงเมื่อวันที่ 8 ก.พ.2567 ด้วยอายุ 96 ปี 76 พรรษา ณ วัดพระธาตุสายเมือง

 

โดยในพิธีมีครูบาบุญชุ่ม ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร อรัญวาสีภิกขุ พระภิกษุพร้อมคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเข้าร่วมพิธี ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยขั้นเข้มงวดล่วงหน้าอย่างน้อย 4 วัน โดยมีการปิดถนนสายหลักในท่าขี้เหล็ก ห้ามจำหน่ายอาหารข้างทาง ปิดตลาด สนามบินท่าขี้เหล็ก ฯลฯ รวมทั้งสืบข่าว ตรวจสอบบุคคลและวางกำลังตามจุดต่างๆ อย่างเข้มงวด ท่ามกลางพุทธศาสนิกชนที่เข้าร่วมพิธีหลายพันคน ทั้งนี้มีรายงานว่าหลังเสร็จพิธี พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย จะเดินทางต่อไปยัง จ.เชียงตุง ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพภาคสามเหลี่ยมต่อแต่ยังไม่มีความแน่นอนโดยอาจจะเปลี่ยนแปลงด้วยการเดินาทางกลับกรุงเนปิดอว์เลยก็ได้
 
 
ทั้งนี้ บริเวณด่านพรมแดนทางการเมียน มา ได้การประสานมายังฝั่งไทยให้งดการเดินทางเข้าออกของผู้คนและยานพาหนะทุกชนิดเป็นการชั่วคราวตั้งแต่เวลาประมาณเที่ยงวันเป็นต้นไปจนกว่าจะเสร็จพิธี ทั้งตรงจุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 1 และ 2 ส่งผลทำให้บนสะพานไม่มีการสัญจรและผู้คนและรถต่างรออยู่เต็มหน้าด่านพรมแดนในช่วงบ่ายถึงเย็น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
All

ไฟป่าเริ่มลามจากเมียนมา แม่สายระดมกำลังต้าน เห็นเปลวไฟแต่เข้าดับไม่ได้

 

เมื่อวันที่ 6 มี.ค.67 ได้เกิดไฟไหม้ป่าละเมาะขึ้นบริเวณพื้นที่แนวชายแดนไทย-เมียนมา ฝั่งไทยคือหมู่บ้านผาฮี้ ต.โป่งงาม และบ้านผาหมี ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยไฟได้ลุกไหม้มาจากฝั่ง จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และจะเข้าสู่ฝั่งไทยซึ่งมีถนนเลียบชายแดนกั้นอยู่ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารร้อย ม.2 ฉก.ทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ผู้นำชุมชน และชาวบ้าน ได้ระดมกำลังกันเข้าระงับเหตุโดยเฉพาะบริเวณช่องทางศูนย์บำบัดผาหมีที่มีหญ้าและต้นไม้แห้งปกคลุมอยู่มาก

 
เจ้าหน้าที่และชาวบ้านต้องใช้เวลานานประมาณ 5 ชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แต่ไฟก็ลามเข้ามาไหม้ในฝั่งไทยจนมีพื้นที่ได้รับความเสียหาย ประมาณ 6 ไร่ แต่ไม่มีบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตามหลังไฟลุกลามยังคงมีการคุกรุ่นและลุกไหม้ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านอยู่ ทำให้เจ้าหน้าที่และชาวบ้านยังคงต้องเฝ้าระวังรวมทั้งพากันทำแนวกันไฟ เพื่อป้องกันไฟที่อาจจะลุกลามเข้ามาอีกเพระฝั่งไทยมีต้นไม้โดยเฉพาะต้นสนหนาแน่น รวมทั้งมีบ้านเรือนประชาชนอยู่ด้วย
 
 
วันเดียวกันนางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่กำกับติดตามการรับมือไฟป่า หมอกควันในพื้นที่อ.เชียงแสน และอ.เชียงของ หลังเริ่มมีสถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ และค่าหมอกควัน ฝุ่นละออง PM2.5 มีความรุนแรงมากขึ้น จึงทำให้นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว ที่จะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน โดยเน้นย้ำให้มีการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นต้องทั่วถึง ทันท่วงที เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่รวดเร็ว ถูกต้อง อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าฝุ่นสูงขึ้น คือ หมอกควันข้ามแดน จึงได้สั่งการให้นายอำเภอ ประสานงาน และเจรจาขอความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านในระดับพื้นที่ เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนอย่างเต็มที่
 
 
รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ยังได้กล่าวขอบคุณพร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและ PM2.5 พร้อมทั้งยังได้แสดงความชื่นชมทุกในการเสียสละแรงกาย และแรงใจ เพื่อชาติ บ้านเมือง และประชาชน โดยเน้นย้ำว่าทางจังหวัดเชียงรายพร้อมให้การสนับสนุนภารกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและ PM2.5 อย่างเต็มที่
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News