Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดแล้วแลนด์มาร์ค!! แพเปียกแม่สรวย พร้อมรับนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาล

 

เมื่อวันที่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน การล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย – ลำน้ำแม่ลาว ประจำปี 2567 โดยมี นายสรายุธ ฟูวงศ์ ส.อบจ.เชียงราย อ.แม่สรวย เขต 1 นายสมัคร กันจีนะ ส.อบจ.เชียงราย อ.แม่สรวย เขต 2 นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษา นายก อบจ.เชียงราย นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการ นายก อบจ.เชียงราย ตัวแทนหน่วยงานในพื้นที่ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ร่วมด้วย ในการนี้ นายประดิษฐ์ สุวรรณ ประธานกลุ่มแพเปียก กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมฯ ณ บริเวณจุดลงแพเปียกเขื่อนแม่สรวย โดย อบจ.เชียงราย ได้นำเครื่องจักรเข้าปรับพื้นที่ลานจอดรถ และเส้นทางสัญจร เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลเข้ามาอย่างคึกคัก

 

.
ชมรมผู้ประกอบการ เทศบาลตำบลเวียงสรวย และชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านตำบลแม่สรวย โดยความร่วมมือจากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงราย และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว จึงได้จัดให้มีกิจกรรมการท่องเที่ยวโดยชุมชน การล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย-ลำน้ำแม่ลาว ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ – วันที่ 15 พฤษภาคม 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเป็นการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ และการจัดกิจกรรมในวันนี้เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวที่จะได้มาสัมผัสกับบรรยากาศของการท่องเที่ยวโดยชุมชน ลุ่มน้ำแม่สรวย – ลุ่มน้ำแม่ลาวในกิจกรรมการล่องแพเปียก
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายกำชับห้ามเผาเด็ดขาด ควบคู่ดูแลผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก

 

เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 67 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่า และ PM 2.5 จังหวัดเชียงราย ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์หมอกควันไฟป่าของจังหวัดเชียงราย และประเมินผลการดำเนินงานจากการใช้มาตรการต่างๆ โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ

 

โดยในที่ประชุมฯ ได้หารือพร้อมทบทวนและเพิ่มมาตรการในการปฏิบัติงานเพื่อให้การป้องกันและแก้ไขหมอกควันไฟป่า ในห้วงห้ามเผาเด็ดขาด (15 ก.พ. – 30 เม.ย. 567) อาทิ การจัดชุดลาดตระเวน การจัดทำแนวกันไฟ พร้อมกำชับให้เข้มงวดด้านการบังคับใช้กฎหมาย ให้มีการจับผู้กระทำผิดที่ลักลอบเผา รวมถึงให้รางวัลแก่ผู้นำจับ ผู้แจ้งเบาะแส การใช้กฎระเบียบหมู่บ้าน จับแล้วปรับเงินเข้าหมู่บ้าน ใช้กฎหมายป่าไม้ กฎหมายป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติตามมาตรการสูงสุด พร้อมกำชับตรวจสอบดูแลเกี่ยวกับข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 
 
 
หากตรวจสอบพบให้สืบหาผู้กระทำผิดเพื่อนำมาลงโทษ รวมทั้งมาตรการทางสาธารณสุขให้มีการเตรียมความพร้อม สำรวจบ้านของกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ การจัดทำเซฟตี้โซน รวมถึงแจ้งเตือนให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการดูแลตนเองหากเกิดสถานการณ์หมอกควันไฟป่า โดยให้ท้องถิ่น สำรวจศูนย์เด็กเล็กเพื่อจัดทำห้องปลอดฝุ่นให้ครบทุกแห่ง
 
 
นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ยังได้เน้นย้ำให้มีการประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานให้ชัดเจน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ข้อมูลสถิติในทุกด้านย้อนหลังของปีที่ผ่านมา นำมาเปรียบเทียบสถานการณ์ เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติล่วงหน้า ต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 บูรณาการพร้อมสนับสนุน ด้านบรรเทาสาธารณภัย พื้นที่ จ.เชียงราย

 

เมื่อวันที่21 ก.พ. 67ที่บริเวณสนามฝึกหน้ากองร้อยมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย พลโท อานนท์ เพชรคำ หัวหน้าคณะทำงานด้านกิจการพลเรือน กองทัพบก เป็นประธานพิธีการตรวจความพร้อมด้านบรรเทาสาธารณภัย ประจำปี 2567 และบูรณาการร่วมกับภาคส่วนราชการ ภาคเอกชน มูลนิธิสาธารณกุศล ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานด้านบรรเทาสาธารณภัยในการช่วยเหลือประชนจากเหตุการณ์สาธารณภัย โดยมี รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 นายทหารชั้นผู้ใหญ่ กำลังพล ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการตรวจความพร้อมโดยมีการสาธิตการใช้อุปกรณ์การช่วยเหลือเมื่อมีเหตุหรือภัยพอบัติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาโดยเฉพาะเครื่องมือ อาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องยนต์เครื่องจักรพร้อมรถยนต์อุปกรณ์ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ สามารถใช้งานและปฏิบัติการได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

ในการนี้ มณฑลทหารบกที่ 37 ได้จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ ๓๗ มีภารกิจในการประสานงานและให้การสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อได้รับการร้องขอหรือเมื่อเกิดภัยพิบัติฉุกเฉิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน จากสภาพภูมิประเทศในจังหวัดเชียงรายมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่มสลับเทือกเขาสูง ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นที่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม และพายุหมุนเขตร้อน จึงประสบปัญหาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ 
 
 
เช่น วาตภัย อุทกภัย ดินโคลนถล่ม ภัยแล้ง ภัยจากไฟป่า และหมอกควัน อยู่เป็นประจำและยังต้องเฝ้าระวังเหตุแผ่นดินไหว ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นซึ่งภัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนจังหวัดเชียงรายในด้านต่างๆ เป็นวงกว้าง ดังนั้นศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มณฑลทหารบกที่ ๓๗ จึงได้มีการบูรณาการในการปฏิบัติงานร่วมกันกับหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 สำนักงานพัฒนาภาค 3 กองบัญชาการกองทัพไทย ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย การประปาส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงราย มูลนิธิสาธารณกุศลและภาคีเครือข่าย งานบรรเทาสาธารณภัยอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย โดยระยะเวลาที่ผ่านมาทุกหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีความสัมพันธ์อย่างดีและได้บูรณาการร่วมกันสนับสนุนกำลังพล ยุทโธปกรณ์ เข้าให้การช่วยเหลือทุกครั้ง เมื่อเกิดภัยพิบัติในพื้นที่จังหวัดเชียงราย
 
 
พลโท อานนท์ เพชรคำ หัวหน้าคณะทำงานด้านกิจการพลเรือน กองทัพบก กล่าวว่า ทุกฝ่ายทุกภาคส่วนต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ต้องประสานความร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งด้าน กำลังพล ยานพาหนะ และเครื่องมือที่มีอยู่ การตรวจความพร้อมด้านการบรรเทาสาธารณภัยของศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 37 ในวันนี้ จึงเป็นการประกันว่า กำลังพล ยานพาหนะ ยุทโธปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ ที่ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 37 มีอยู่นั้น มีความพร้อมเสมอที่จะให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และพร้อมให้การสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กมธ.ที่ดิน ลงพื้นที่ อ.พาน ตรวจสอบ ที่ตั้งโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะป่าหุ่ง

 

เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 67  ที่ผ่านมานายอภิชาติ ศิริสุนทร ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบที่ตั้งโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ ขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง ในพื้นที่ตำบลป่าหู่ง หมู่ที่ 12 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายวุฒิกร คำมา นายอำเภอพาน ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบ และรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับที่ตั้งโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน ตลอดจนปัญหาด้านสุขภาพ สุขนามัย และวิถีชีวิตของชุมชนที่อาจเปลี่ยนไปในอนาคต โดยมีตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่มารวมตัวกันคัดค้านการก่อสร้างโครงการดังกว่า 300 คน

 

ทั้งนี้องค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง ได้เล็งเห็นปัญหาขยะมูลฝอยชุมชนที่นับวันจะมีปริมาณที่มากขึ้น และ พื้นที่หรือวิธีการกำจัดที่ไม่พอเพียงและมีประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนข้อมาตรการ ที่ระบุตามแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ ในการเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายโดยส่งเสริมให้ อปท. จังหวัด มีระบบจัดเก็บ รวบรวม ขนส่ง และกำจัดอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ทางองค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง จัดตั้งโครงการบริหารและจัดการขยะมูลฝอยชุมชน เป็นพลังงานไฟฟ้าระบบปิด ที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม ดังกล่าวนี้ขึ้นมา
 
 
ปัจจุบันทางองค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง ได้ดำเนินการจัดการขยะโดยเลือกวิธีแบบเทกอง ซึ่งไม่มีความเป็นระเบียบ ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และด้วยการบริหารจัดการที่ไม่ดี งบประมาณไม่เพียงพอของภาครัฐจึงเห็นควรว่า ให้เอกชนมาเป็นผู้ลงทุนในกิจการบริการสาธารณะของภาครัฐ จึงได้มีการศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาและการเดินทางศึกษาดูงานเพื่อที่ได้นำข้อมูลต่าง ๆ มาเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินการโครงการดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทางราชการสูงสุด ซึ่งองค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง ได้นำแบบอย่าง ขอบเขตงานของเทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินโครงการด้วย
 
 
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวสภาองค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่งได้เห็นชอบในคราวประชุมสภา และได้ร่วมทำข้อตกลง กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (MOU) ที่ได้เข้าร่วมโครงการซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มพื้นที่ในการจัดการขยะมูลฝอย อย่างไรก็ตาม หากจะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะในพื้นที่ตำบลป่าหุ่ง หมู่ 12 จริง จะต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์ขอความเห็นจากประชาชนในพื้นที่อีกหนึ่งรอบ ซึ่งหากประชาชนในพื้นที่ไม่ต้องการให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าขยะในพื้นที่ก็สามารถคัดค้านได้ในขั้นตอนต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มูลนิธิรักษ์ไทย พร้อมตัวแทน รับคณะต่างประเทศ เรียนรู้ชุมชนดอยอินทรีย์

 

เมื่อวันที่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เชิญแกนนำเกษตรกร She Feeds the World (SFtW) พัฒนาชุมชน อบต.ท่าก๊อ และมูลนิธิรักษ์ไทย เป็นตัวแทนนำเสนองานด้านเกษตร ให้กับ คณะทูตและกงสุลต่างประเทศประจำประเทศไทยพร้อมคู่สมรส มากกว่า 40 ประเทศ ณ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนดอยอินทรีย์ จ.เขียงราย

 

ในบูธนำเสนอ 3 ประเด็นหลักในงานคือ 

1)การจัดทำแผนที่ GIS แนวเขตพื้นที่ทำกิน ต.ท่าก๊อ ซึ่งได้รับความสนใจในการต่อยอด พัฒนาแผนนโยบายท้องถิ่น 2)การศึกษาพัฒนาพันธุ์ข้าว ให้เหมาะกับสภาพภูมินิเวศของบ้านป่าลัน ความสำเร็จที่ได้ตอบโจทย์การทำเกษตรแบบหยัดยื่น ที่สร้างการมีส่วนร่วมจากหลายหน่วยงาน ได้ผลิตผลที่คุ้มค่าทั้งจำนวนและความหอม นุ่มของข้าวที่กำลังยื่นเสนอการรับรองพันธุ์ 

3)กาแฟและสมุนไพร ที่ขึ้นชื่อของบ้านแม่จันใต้ผลลัพธ์ที่ได้มากกว่าการขยายผลเผยแพร่ข้อมูลด้านการพัฒนาระบบเกษตรคือ ความรู้สึกภาคภูมิใจ ของเกษตรกรและชุมชน ที่ร่วมไม้ร่วมมือกันสร้าง สิ่งที่อยากเห็นด้วยกัน

โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาดิน น้ำ ป้า และคนในพื้นที่ตอบโจทย์เรื่องความมั่นคง การจัดการการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิทธิในการใช้ที่ดินทำกินโอกาสนี้ ท่านทูตให้ความสนใจการส่งเสริมเกษตรกร

ทั้งเรื่องข้าวและกาแฟ ผู้ใหญ่ในพื้นที่ จ.เชียงราย เห็นความสำคัญในการพัฒนาระบบฐานข้อมูล ชวนรักษ์ไทยขยับงานร่วมกันต่อ โดยจะเริ่มหารือกันจากพื้นที่ อ.แม่สรวย ซึ่งได้มีการดำเนินการทำแผนที่อยู่แล้วนำร่องในเชียงราย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มูลนิธิรักษ์ไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ARTSTORY Creative Hub พลังแห่งศิลปะออทิสติกสู่ผู้คนในสังคม

 
[EN below]
 

องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ศิลปะสามารถช่วยนำพาอารมณ์ความรู้สึกของคนเราให้ต่อสู้กับโรคหรืออาการบาดเจ็บได้ นอกจากนี้การสร้างสรรค์และความเพลิดเพลินในศิลปะยังช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมและเป็นปัจจัยที่กระตุ้นการฟื้นตัว

เช่นเดียวกับการพัฒนาทักษะของบุคคลออทิสติก ที่มูลนิธิออทิสติกไทยเห็นความสำคัญในการใช้ศิลปะเป็นหนึ่งในกระบวนการสร้างเสริมพัฒนาการ ทั้งด้านกายภาพและจิตใจ รวมไปถึงประสาทสัมผัส สมาธิ การเรียนรู้ ซึ่งนำไปสู่พัฒนาการที่ทำให้บุคคลออทิสติกดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ในที่สุด

               จากจุดเริ่มต้นที่ศิลปะเป็นเครื่องมือฟื้นฟูเยียวยา ต่อมาศิลปะได้กลายมาเป็นเครื่องมือโชว์ศักยภาพ สร้างอาชีพและรายได้ และในเวลานี้ศิลปะกำลังช่วยสื่อสาร และสร้างความเข้าใจ ระหว่างบุคคลออทิสติกและคนทั่วไป ผ่านพื้นที่เล็กๆ ที่มีชื่อว่า  ARTSTORY Creative Hub

 

ความพิเศษของพื้นที่เล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์

            ภายในมูลนิธิออทิสติกไทย ที่ตั้งอยู่ในย่านราชพฤกษ์ มีอาคารหลังเล็กหนึ่งชั้น ด้านหนึ่งคือร้านกาแฟ True Coffee ส่วนอีกด้านเป็นสตูดิโอขนาดย่อมสำหรับทำเวิร์กช็อปงานศิลปะที่มีชื่อว่า ARTSTORY Creative Hub ความพิเศษของที่นี่ คือพนักงานเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่มบุคคลออทิสติก ที่ผ่านการฝึกฝนทักษะการใช้ชีวิต และพัฒนาทักษะทางอาชีพให้ทำงานได้เต็มศักยภาพและความถนัดของพวกเขา

“เมื่อก่อนคนบอกว่า เป็นออทิสติกแล้วไม่หาย แต่วันนี้ผมเชื่อว่า ฟื้นฟูจนดีขึ้น หลายคนอาจจะหายก็ได้” อาจารย์ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานมูลนิธิออทิสติกไทย เล่า “อย่างที่เราเห็นน้องบาริสต้า หรือผู้ช่วยสอนศิลปะในที่นี้ หลายคนก็ดูไม่ออกว่ามีภาวะออทิสติก แต่ถ้าได้เห็นพวกเขาตั้งแต่วันที่ก้าวเข้ามาในมูลนิธิ จะรู้เลยว่า ตอนนี้เขาเป็นคนละคนกันเลย”

 

เมื่อศิลปะคือเครื่องมือฝึกหัดฟื้นฟูทักษะทางกาย จิตใจ และการใช้ชีวิต

หนึ่งในภารกิจสำคัญของมูลนิธิออทิสติกไทย คือ การสนับสนุนและเสริมสร้างโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของบุคคลออทิสติก ซึ่งที่ผ่านมาอาจารย์ชูศักดิ์ ใช้ศิลปะเป็นหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของกลุ่มเด็กออทิสติก โดยเป็นทั้งการฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กในการจับดินสอ ปากกาหรือพู่กัน พร้อมไปกับการใช้สมาธิจากการลงมือทำ

“เริ่มจากวาดในสิ่งที่พวกเขาชอบก่อน จากนั้นก็ขยับไปในแนวอื่นๆ เพื่อไม่ให้ยึดติดทำแบบเดิม แล้วก็ค่อยๆ เสริมทักษะอื่นเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การอ่าน หรือการเรียนรู้ที่จะทำตามขั้นตอนต่างๆ ได้”

นอกจากนี้อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและฟื้นฟูทักษะต่างๆ ในการใช้ชีวิต “พฤติกรรมของภาวะออทิสติกคือ ทำซ้ำแบบเดิม ถ้ามากเกินไปก็กลายเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนยาก การที่เด็กๆ ได้ลองทำงานศิลปะที่หลากหลาย กลายเป็นช่วยให้พวกเขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตที่เคยทำซ้ำๆ ได้เช่นกัน ทางบ้านก็มีฟีดแบ็กกลับมาว่า ดูแลลูกได้ง่ายขึ้น” อาจารย์ชูศักดิ์อธิบาย

 

งานศิลปะที่มีเอกลักษณ์สร้างอาชีพที่เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้

ภายในแกลลอรีขนาดย่อมข้างห้องสตูดิโอแสดงภาพศิลปะที่สวยงามแปลกตาอันเกิดจากมุมมองของศิลปิน “พวกเขามีมุมมองต่อโลกแตกต่างจากคนทั่วไป โดยคิดและจดจำทุกอย่างเป็นภาพไว้ เมื่อถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะจึงมีความสวยงามเฉพาะตัว” อาจารย์ชูศักดิ์กล่าวระหว่างที่พาเดินชมผลงาน

เบื้องหลังผลงานภาพวาดแต่ละชิ้นคือ ความตั้งใจฝึกฝน ค้นหาศักยภาพ และแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในด้านทักษะการเรียนรู้และฝีมือทางศิลปะของศิลปินออทิสติก ความโดดเด่นของศิลปะเหล่านี้กลายเป็นที่มาของโครงการ ARTSTORY By Autistic Thai ที่นำชิ้นงานมาพัฒนาเป็นสินค้าต่างๆ เพื่อสร้างรายได้กลับมา  และเมื่องานศิลปะสามารถสร้างเป็นอาชีพได้ มูลนิธิจึงจัดตั้งเป็น บริษัท ออทิสติกไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม ขึ้น โดยใช้ชื่อแบรนด์ ARTSTORY ที่ รายได้และกำไรจะคืนกลับให้กับบุคคลออทิสติกที่ได้ร่วมทำงาน หลายคนกลายเป็นศิลปินที่มีฝีมือโดดเด่นจนได้รับการติดต่อจากแบรนด์ชั้นนำให้ไปสร้างสรรค์ผลงานบนสินค้าในเทศกาลพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า เสื้อยืด ผ้าพันคอ สมุด แก้วน้ำ ไปจนถึงลวดลายบนสินค้าหลายแบรนด์ ทำให้พวกเขาสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน   

 

ARTSTORY Creative Hub คือพื้นที่ที่ใช้พลังแห่งศิลปะสื่อสารความรู้สึกและแรงบันดาลใจ

            จากศักยภาพด้านศิลปะของกลุ่มศิลปินออทิสติกที่มีความเชี่ยวชาญ ทางมูลนิธิฯ จึงต้องการพื้นที่ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาสร้างสรรค์ศิลปะร่วมกับศิลปินออทิสติก  ARTSTORY Creative Hub จึงเกิดขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และทรู คอร์ปอเรชั่น ที่สร้างเป็นส่วนต่อขยายของร้าน True Coffee สาขามูลนิธิออทิสติกไทย และมีคอร์สศิลปะ หลากหลาย ทั้งงานวาด งานปั้น งานปัก หรืองานภาพพิมพ์ เรียกได้ว่าใช้พลังของศิลปะเป็นสื่อกลางในการสื่อสารความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลออทิสติกกับคนในสังคมในหลากหลายมิติต่อไปนี้

  • Building an Inclusive Space เป็นพื้นที่ต้นแบบที่สร้างประสบการณ์ให้คนทั่วไปได้รับรู้ศักยภาพของบุคคลออทิสติก
  • Embracing Diversity เปิดให้สังคมได้เห็นความสามารถเฉพาะตัวของพวกเขา ยอมรับและเห็นคุณค่าของความหลากหลาย และทำให้บุคคลออทิสติกรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเช่นกัน
  • Skill Development and Empowerment บุคคลออทิสติกจะได้เรียนรู้ทักษะทางสังคม การสื่อสาร ที่ทำให้พวกเขามีความมั่นใจ พร้อมไปกับพัฒนาทักษะทางอาชีพของตัวเอง
  • Creative inspiration ศิลปะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนในสังคม รวมถึงบุคคลออทิสติกที่กำลังเรียนรู้ ฝึกฝนที่จะเป็นศิลปินออทิสติกต่อไปได้

“เราอยากให้ทุกคนที่เข้ามาทำกิจกรรมร่วมกันในพื้นที่แห่งนี้ มองบุคคลออทิสติกเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งทุกคำพูดที่เราได้พูดคุยสื่อสารกันนั้น พวกเขาจะจดจำไว้ เมื่อเวลาที่ต้องออกไปเจอพบปะผู้คนทั่วไป พวกเขาก็จะรู้ว่าต้องพูดคุยแบบไหน ใช้คำพูดอย่างไรกับคนทั่วไปในสังคม” อาจารย์ชูศักดิ์ เน้นย้ำ

การเปิดพื้นที่ของ ARTSTORY Creative Hub เป็นหนึ่งโครงการเพื่อบุคคลออทิสติกและครอบครัวที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ และทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมสนับสนุนมาตลอด 11 ปี  เริ่มตั้งแต่การพัฒนาแอปพลิเคชัน True Autistic เพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการฝึกพัฒนาการในชีวิตประจำวัน  การสร้างอาคารเพื่อให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมเพื่อการทำงานบุคคลออทิสติก การฝึกอบรมบาริสต้าทรูคอฟฟี่เพื่อประกอบอาชีพ และ เป็นต้น ซึ่งโครงการต่างๆ ที่ผ่านมาสร้างประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคคลออทิสติกกว่า 17,731 คน โดยมีบุคคลออทิสติกได้รับการจ้างงานตามกฎหมายจ้างงานคนพิการมาตรา 33/35 เป็นจำนวน 186 คน สร้างรายได้ให้บุคคลออทิสติกและครอบครัวถึง 300 ล้านบาท

 

แม้แตกต่าง แต่อยู่ร่วมกันได้

             แม้ในเวลานี้ มูลนิธิออทิสติกไทยได้สร้างแนวทางอาชีพและรายได้ให้กับบุคคลออทิสติกได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ความตั้งใจที่เป็นแก่นแท้นั้นคือ การสร้างความเข้าใจและพิสูจน์ให้เห็นว่า บุคคลออทิสติกเป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีและสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าให้กับสังคมได้เช่นเดียวกับเราทุกคน

“บุคคลออทิสติกมีความสามารถมากกว่าที่หลายคนคิด พวกเขามีศักยภาพที่พัฒนาได้ ฝึกฝนได้ และสามารถทำงานได้หลากหลายอาชีพ ตอนนี้เราก็มีนักเขียนนิยายที่มีผลงานตีพิมพ์แล้ว และมีนักศึกษาปริญญาโทด้านวิทยาศาสตร์ที่อยากก้าวไปเป็นอาจารย์ แต่เส้นทางของพวกเขาไม่ง่าย ต้องมีการเตรียมความพร้อม ทำงานร่วมกันระหว่างพ่อแม่ คุณครู เพื่อให้เขาก้าวไปสู่เป้าหมาย”

เส้นทางที่วางรากฐานให้บุคคลพิเศษกลุ่มนี้ได้มีเข้าถึงสิทธิ์ที่พึงได้เทียบเท่ากับคนทั่วไปอาจต้องใช้เวลาและการผลักดันจากหลายภาคส่วน แต่อย่างน้อยการที่มีพื้นที่อย่าง ARTSTORY Creative Hub นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่อาจารย์ชูศักดิ์หวังว่าจะจุดประกายให้ผู้คนโอบรับความหลากหลายและสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียมกันได้ในที่สุด

“เราทุกคนในสังคมล้วนมีความแตกต่าง ผมอยากให้มองว่าบุคคลออทิสติกก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเช่นกัน ซึ่งถ้าเรามีความเข้าใจ เคารพและยอมรับความหลากหลาย ทุกคนก็อยู่ร่วมกันได้” อาจารย์ชูศักดิ์ ทิ้งท้าย

 
 
ARTSTORY Creative Hub: A space where the power of art is harnessed to communicate and inspire, connecting the autistic community with the wider world

 

The World Health Organization asserts that art can help guide our emotional responses to cope with diseases or injuries. Furthermore, creativity and enjoyment in art also promote overall health and serve as a catalyst for recovery.

Similar to the development of personal skills in autistic individuals, the Autistic Thai Foundation recognizes the importance of using art as a part of the process to enhance development, both physically and mentally, including sensory perception, mindfulness, and learning. This leads to the development that enables autistic individuals to engage in daily activities and ultimately improve their quality of life.

From its origins as a tool for healing and therapy, art has evolved into a showcase of potential, creating careers and income. At this moment, art is helping to communicate and foster understanding between autistic individuals and the general population through a small space known as ARTSTORY Creative Hub.

 

The uniqueness of small spaces brimming with the power of creativity

Within the Autistic Thai Foundation, located in the Ratchaphruek area, there is a single-story building. On one side is a True Coffee café, while the other side houses a modest-sized studio for conducting art workshops, known as the ARTSTORY Creative Hub. What makes this place special is that almost all the staff are individuals on the autism spectrum who have undergone training in life skills and professional development, enabling them to work to their full potential and utilize their talents.

“Before, people used to say, ‘Once you’re autistic, you’re always autistic.’ But today, I believe in improvement. Many might recover,” said Mr. Chusak Chantayanon, Chairman of the Autistic Thai Foundation. “As we’ve seen with individuals like Barbara or the art instructors here, many might not appear autistic at first glance. However, if you’ve seen them since they first stepped into the foundation, you’d know they’ve come a long way.”

 

When art is a tool for practicing and rehabilitating physical, mental, and life skills

One of the key missions of the Autistic Thai Foundation is to support and foster opportunities for learning and skill development among individuals with autism. In the past, Mr. Chusak has utilized art as a tool to promote the development of autistic children. This includes training in using fine motor skills to grip pencils, pens, or brushes, along with practicing mindfulness through hands-on activities.

“It starts with drawing what they like first, then gradually shifting towards other directions to avoid getting stuck in the same patterns. Then, gradually, other skills are integrated, whether it’s writing, reading, or following various learning processes.”

“Another clear outcome is the change in behaviors and the rehabilitation of various skills in daily life. ‘Autistic behavior is repetitive. If it becomes excessive, it can be difficult to change. When children try various art activities, it helps them adapt and change repetitive behaviors in their lives as well. Feedback from home indicates that taking care of them has become easier,” explained Mr. Chusak.

 

Unique artwork can lead to a career that sustains oneself and one’s family

Inside the modest-sized gallery adjacent to the studio, displays of beautiful and intriguing artworks catch the eye, each born from the unique perspectives of the artists. “They have a different view of the world from the general population, processing and remembering everything as images. When translated into art, it becomes uniquely beautiful,” Mr. Chusak remarked as he led the tour through the artworks.

The backstory of each piece of artwork lies in the dedication to practice, the exploration of potential, and the demonstration of development in learning skills and artistic abilities of autistic artists. The excellence of these artworks has become the foundation of the ARTSTORY By Autistic Thai project, which transforms these pieces into various products to generate income. When art can become a profession, the foundation establishes Autistic Thai Social Enterprise Company under the brand name ARTSTORY, where revenue and profits are returned to the autistic individuals who contributed to the work. Many have become skilled artists, receiving contracts from leading brands to create artwork on various products for special festivals, including bags, t-shirts, scarves, notebooks, water bottles, and even patterns on products of various brands. This enables them to sustain themselves and their families in a sustainable manner.

 

ARTSTORY Creative Hub: A Space Where Art Empowers Communication of Emotions and Inspiration

           

Drawing on the artistic expertise of autistic artists, the foundation seeks to provide a space where the public can engage in art creation alongside these talented individuals. Supported by the CP All Group and True Corporation, the ARTSTORY Creative Hub is an extension of the Autistic Thai Foundation’s True Coffee branch. It offers various art courses including drawing, sculpting, embroidery, and printmaking, utilizing the power of art as a medium to foster communication and relationships between autistic individuals and society in diverse dimensions:

  • Building an Inclusive Space: This serves as a prototype area that allows the general public to recognize the potential of autistic individuals.
  • Embracing Diversity: It opens up society to see their unique abilities, accept and appreciate diversity, and make autistic individuals feel like integral parts of society.
  • Skill Development and Empowerment: Autistic individuals can learn social skills and communication, boosting their confidence along with developing their professional skills.
  • Creative Inspiration: Art can serve as inspiration for both society and autistic individuals who are aspiring to become artists.

“We want everyone who participates in activities within this space to see autistic individuals as they would see any other friend. Every conversation we have with them, they will remember. When they have to go out and interact with people in society, they will know how to communicate and what words to use.” emphasized Mr. Chusak.

The opening of the ARTSTORY Creative Hub is part of a project supported by Charoen Pokphand Group and True Corporation, spanning 11 years. It began with the development of the True Autistic application, utilizing digital technology for daily life skill development. This initiative expanded to constructing a building serving as a training center for autistic individuals, providing vocational training, including barista training with True Coffee, among others. Over the years, these projects have benefited the lives of over 17,731 autistic individuals, with 186 individuals being employed under the Disabled Persons Employment Law (Section 33/35), generating income totaling approximately 300 million baht for autistic individuals and their families.

 

Embracing Differences for a Cohesive Society

Even now, the Autistic Thai Foundation has provided career paths and income opportunities for individuals with autism in a concrete form. However, the true essence of their intention lies in creating understanding and proving that individuals with autism are dignified human beings who can contribute valuable things to society just like everyone else.

“Autistic individuals have more capabilities than many people realize. They have the potential to develop, train, and work in various professions. We now have novelists with published works and master’s students in science who aspire to become professors. However, their paths are not easy. They require preparation and collaboration among parents, teachers, to help them reach their goals.”

The pathways to ensure equal access for this special group may require time and advocacy from various sectors, but at least having spaces like ARTSTORY Creative Hub is a good starting point. Mr. Chusak hopes it will ignite acceptance of diversity and ultimately foster an inclusive society.

“We all in society are different. I want people to see individuals with autism as part of society as well. If we understand, respect, and embrace diversity, everyone can coexist together,” concluded Mr. Chusak.

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ลุย! ลงนามป้องกันไฟป่าสนับสนุน เครื่องจักรกลฯปรับปรุงแนวกันไฟป่า อ.พาน

 

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.30 น. นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วย นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงราย นายทัศพงษ์ สุวรรณมงคล เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย นายสุรเชษฐ วงศ์น้อย สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.พาน เขต 2 ลงนาม MOU การสนับสนุนเครื่องจักรกลฯและ บุคลากร เพื่อดำเนินงานปรับปรุงแนวกันไฟป่า ร่วมกับนายอลงกรณ์ ดีน้อย นายก อบต.สันกลาง นายศรีวรรณ์ วงศ์จินา กำนัน ต.สันกลาง โดยมีว่าที่ ร.ต.ปภาวิน ปวงใจ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.พาน เขต 1 นายสรายุธ ฟูวงศ์ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.แม่สรวย เขต 1 สมาชิกสภา อบต.สันกลาง อ.พาน ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย

 

โดยบันทึกข้อตกลงนี้เกิดขึ้นระหว่าง อบจ.เชียงราย โดยนายก อบจ.เชียงราย ร่วมกับ อบต.สันกลาง โดยนายก อบต. สันกลาง อ.พาน และ ผู้นำฝ่ายปกครอง โดย กำนัน ต.สันกลาง อ.พาน เป็นบันทึกข้อตกลง เพื่อสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนการสนับสนุนเครื่องจักรกลฯ เพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่บ้านใหม่พัฒนา – บ้านปางอาณาเขต เชื่อมระหว่างหมู่ที่ 12 ต.สันกลาง อ.พาน – หมู่ที่ 6 ต.แม่พริก อ.แม่สรวย จ.เชียงราย
การดำเนินงานปรับปรุงแนวกันไฟป่า (จัดทำเอง) โดย อบจ.เชียงราย ยินดีสนับสนุนเครื่องจักรกลและยานพาหนะ พร้อมเจ้าหน้าที่ในการออกปฏิบัติงาน และ อบต.สันกลาง อ.พาน จะเป็นผู้สนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิงๆ ในการดำเนินการดังกล่าวทั้งหมด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ จึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินงานดังกล่าว ในพื้นที่ ต.สันกลาง อ.พาน จ.เชียงราย ขึ้นเพื่อบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันตาม นโยบาย สามพี่น้องท้องถิ่นร่วมใจชุมชนและการมีส่วนร่วมและกระจายเครื่องจักรและบุคลากรสู่ชุมชน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สืบสานประเพณีกินวอ ชาติพันธุ์ลาหู่ พร้อมดันนโยบายเสน่ห์ชาติพันธุ์ฯ

 

เมื่อวันที่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 11.00 น.นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายสมัคร กันจีนะ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.แม่สรวย เขต 2 ร่วมสืบสานประเพณีกินวอ พี่น้องชาติพันธุ์ลาหู่ ต.ป่าแดด อ.แม่สรวย โดยมีนายสมพงษ์ อินต๊ะชัยวงค์ กำนัน ต.ป่าแดด นายคำใหม่ อินทรัตน์ ปลัด อ.แม่สรวย นายประภาส ชัยประเสริฐ ปลัด อ.แม่สรวย เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ป่าแดด หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ร่วมงานในครั้งนี้ด้วย

 
ประเพณีกินวอ หรืองานปีใหม่ของพี่น้องชาติพันธุ์ลาหู่ มีการจัดขึ้นทุกปี โดยจะจัดขึ้นระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ประเพณีนี้จะเชิญแขกมาร่วมรับประทานอาหารซึ่งการจัดประเพณีกินวอ ในแต่ละครั้ง จะจัดประมาณ 9 วัน 9 คืน ภายในงานมีการทำข้าวปุก เป็นข้าวที่นึ่ง แล้วนำมาตำให้ละเอียด จากนั้นตากให้แห้ง และทุกครอบครัวจะมีการล้มหมู แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ เพื่อเอาไว้ไปดำหัวผู้ที่เคารพนับถือ นอกจากนี้มีการจัดพิธีรดน้ำดำหัวขอขมานายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน ตามพิธีโบราณของลาหู่ ต่อจากนั้นมีการ “เต้นจะคึ” ซึ่งเป็นการละเล่นของพี่น้องลาหู่ การเต้นจะคึจะมีหลายจังหวะ มีผู้ตีกลองหรือเป่าแคน ดีดซึง (คล้ายกีตาร์) เป็นท่วงท่าและกำหนดจังหวะ จับมือเต้นเป็นวงกลม กลางลานที่จัดกิจกรรมงานประเพณีกินวอ หรือประเพณีปีใหม่ของชาวลาหู่ 
 
 
ทั้งนี้ นายก อบจ.เชียงราย ได้กล่าวพบปะ และร่วมอวยพรให้พี่น้องชาวลาหู่ พร้อมกล่าวว่า “งานประเพณีนี้เป็นประเพณีที่ควรได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมให้จัดขึ้น เพื่อเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม สร้างความสัมพันธ์อันดีในชุมชน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของพี่น้องลาหู่ให้คงอยู่สืบไป” โดย อบจ.เชียงราย พร้อมผลักดันนโยบายเสน่ห์เชียงราย สถานที่ ชาติพันธุ์ วัฒนธรรมประเพณี อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของเชียงราย ให้นักท่องเที่ยวและคนต่างจังหวัดได้รู้จักชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมของพี่น้องชาติพันธุ์ได้อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

นุ่งซิ่นตีนจก แอ่วแม่แจ่ม ม่วนใจ๋ เปิดขบวนรถผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า

 

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน “มหกรรมผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า อำเภอแม่แจ่ม ครั้งที่ 29 ประจำปี 2567” โดยมี นายสุรพล เกียรติไชยากร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมการจัดงาน ประชาชนชาวอำเภอแม่แจ่ม แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ณ เวทีกลางหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม ภายในงานพบกับขบวนเปิดงานมหกรรมฯ และการประกวดรถขบวนผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า จากนั้นปลัดวธ.พร้อมคณะ เดินชมนิทรรศการแม่แจ่มยั่งยืน คืนชีวิตให้แจ่ม แบบบูรณาการและเยี่ยมชมนิทรรศการผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า ลานวัฒนธรรม บ้านชนเผ่า การละเล่นพื้นบ้าน/ชนเผ่า (พิธีขึ้นบ้านใหม่ของ พี่น้อง ชนเผ่าทั้ง 4 ชนเผ่า คือ ชนพื้นเมือง ชนเผ่าม้ง ชนเผ่าล้ำวะ ชนเผ่ากะเหรี่ยง) ณ ลานหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม

 

นางยุพา กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) มุ่งขับเคลื่อนงานศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ปรับบทบาทสู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน จึงได้สนับสนุนการจัดงานมหกรรมผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่าอำเภอแม่แจ่ม ครั้งที่ 29 ประจำปี 2567 เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับประชาชน จากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งนับว่าเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่พี่น้องชาวอำเภอแม่แจ่ม ทุกภาคส่วนในพื้นที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่งดงาม ผ้าตีนจกแม่แจ่มเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของอำเภอแม่แจ่มและจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้ง อำเภอแม่แจ่ม นอกจากจะมีผ้าตีนจกที่มีชื่อเสียงแล้ว ยังมีศิลปภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมชนเผ่าที่งดงาม ที่สมควรได้รับการส่งเสริมและอนุรักษ์ให้อยู่คู่กับอำเภอแม่แจ่มสืบไป ทั้งนี้ งานดังกล่าวจึงนับเป็นการส่งเสริมอาชีพของประชาชนในอำเภอแม่แจ่ม ให้สามารถพัฒนาเป็นอาชีพหลัก ส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอแม่แจ่มด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่โดดเด่น มีอัตลักษณ์อย่างแท้จริง อีกทั้งการต่อยอดหลังจากการเปิดงานในครั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมเป็นหน่วยงานผลักดัน สนับสนุน ฟื้นฟู และคุ้มครองงานภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภูมิปัญญา ที่มีเอกลักษณ์ของชาวชาติพันธุ์ ชนเผ่าต่างๆ สอดคล้องกับรัฐบาลที่มุ่งให้ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ หรือเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาชาติพันธุ์ ได้ให้คำปรึกษาและดำเนินงานคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตามร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ…

 

ด้านนายสุระวุธ จันทร์งาม นายอำเภอแม่แจ่ม คณะกรรมการจัดงานฯงานมหกรรมผ้าตีนจกแม่แจ่ม กล่าวว่า งานมหกรรมผ้าตีนจกแม่แจ่ม จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2537 มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งการจัดงานในปี 2567 นี้ นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 29 ชื่องานว่า “งานมหกรรมผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า อำเภอแม่แจ่ม ครั้งที่ 29 ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 14-18 กุมภาพันธ์ 2567 ณ บริเวณลานหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม ลานหน้าสถานีตำรวจภูธรแม่แจ่ม และลานหน้าสำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่แจ่ม เพื่อส่งเสริมอนุรักษ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าตีนจกและผลิตภัณฑ์ชนเผ่าอำเภอแม่แจ่ม ศิลปะภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมชนเผ่าแม่แจ่ม ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอำเภอแม่แจ่ม สร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาเศรษฐกิจในชุมชน รวมทั้งยกย่องเชิดชูเกียรติแม่ครูผ้าทอและผู้ก่อตั้งการจัดงานผ้าตีนจกแม่แจ่มด้วย

 

สำหรับกิจกรรมภายในงาน ตลอดการจัดงานทั้ง 5 วัน มีนิทรรศการมากมายให้เลือกชม อาทิ นิทรรศการภูมิปัญญาท้องถิ่น ลานวัฒนธรรมบ้านชนเผ่า นิทรรศการผ้าตีนจกและผ้าทอชนเผ่า นิทรรศการแสง สี เส้นทอ และนิทรรศการโครงการหลวงในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม ม่วนอกม่วนใจ๋ไปกับความบันเทิงภายในงาน อาทิ การประกวดธิดาผ้าตีนจก และธิดาชนเผ่าและไทใหญ่ การประกวดรำวงย้อนยุค กิจกรรมการแสดงชนเผ่า ขบวนแห่ผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า การเดินแฟชั่นโชว์ผ้าตีนจกและผ้าชนเผ่า แบบโบราณและแบบประยุกต์ การประกวดธิดาจำแลงแม่แจ่ม การแสดงดนตรีของเยาวชนอำเภอแม่แจ่ม พร้อมชวนช้อปร้านจำหน่ายสินค้าของโครงการหลวง การออกร้านจำหน่ายผ้าตีนจก ผลิตภัณฑ์กลุ่มโอทอป และ ผลิตภัณฑ์ชนเผ่า กาดมั่วคัวฮอม ณ สาธารณสุขอำเภอแม่แจ่ม

 

ทั้งนี้ แม่แจ่ม เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในหุบเขาซึ่งมีเทือกเขาถนนธงชัยและ ดอยอินทนนท์ล้อมรอบ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและป่าไม้ ซึ่งถือเป็นแหล่งต้นน้ำ ที่สำคัญของภาคเหนือ นับเป็นหนึ่งในชุมชนไม่กี่แห่งของไทยที่ยังคงรักษาและสืบทอดมรดกพื้นเมืองซิ่นตีนจก และ ผ้าทอหลายประเภท อันเป็นศิลปหัตถกรรมที่มีคุณค่าทั้งความงดงามและความหมาย วิถีชีวิตของ คนแม่แจ่ม ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตนของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวน ไม่ว่าจะเป็นประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและศรัทธาต่อศาสนา

 

“ผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่ม” เป็นงานหัตถกรรมผ้าทอพื้นบ้านของผู้หญิงในอำเภอแม่แจ่มที่เกิดจากฝีมือการทออย่างประณีตตามกรรมวิธีการทอและการสร้างลวดลายบนผืนผ้าด้วยเทคนิคการจกแบบดั้งเดิมที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาของกลุ่มชนชาวไทยวนในอำเภอแม่แจ่ม ทำให้เกิดเป็นผ้าที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นของชาวแม่แจ่มที่มีความงดงาม เป็นผ้าซิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนที่อื่น มีความละเอียดประณีต ลวดลายอ่อนช้อย มีความหมายในตัวเอง ความประณีตของลวดลายเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้มีอารมณ์เยือกเย็นสุขุมมีกฎเกณฑ์ บางผืนอาจซ่อนเร้นเรื่องราวและเนื้อหาที่สามารถเล่าขานถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชน การตั้งถิ่นฐาน เชื้อชาติ สภาพภูมิศาสตร์ ความเชื่อ และประเพณี นอกจากนี้ยังเป็นผ้าทอที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สันนิษฐานว่าซิ่นตีนจกแม่แจ่มน่าจะมีขึ้นในยุคสมัยที่พุทธศาสนาของล้านนามีความเจริญรุ่งเรือง จากลวดลายของซิ่นตีนจกแม่แจ่ม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความคิด ความเชื่อทางพุทธศาสนา จากองค์ประกอบของซิ่นตีนจกแม่แจ่มจะปรากฏลวดลายต่างๆ เช่น โคม ขัน นาค หงส์ น้ำต้น สะเปา อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความเชื่อทางพุทธศาสนา

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เดินหน้าเร่งโครงการ Digital Wallet ให้เกิดขึ้นภายใน พ.ค. หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ

 
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากุมภวาปี ตำบลเวียงคำ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงกรณีรายงานจาก สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในประเด็น GDP ของประเทศไทยว่าไตรมาสสุดท้ายต่ำไปอยู่ที่ 1.7% โดยรวมได้ 1.9% ว่าเรื่องนี้ได้พูดไปหลายรอบแล้ว เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา GDP ประเทศไทยโตเฉลี่ยกว่า 2.2% ต่ำมาโดยตลอด ต่างกว่าเพื่อนบ้านมาก อันดับ GDP โลก ประเทศไทยก็ลงมาเรื่อย ๆ ตรงนี้ รัฐบาลนยังไม่สามารถใช้งบประมาณได้ งบประมาณยังไม่ผ่าน เร็วที่สุดน่าจะเป็น 1 เมษายน 2567 แต่ทุก ๆ กระทรวงใช้นโยบายเป็นตัวขับเคลื่อน เช่น นโยบายพักหนี้ นโยบายแก้ไขหนี้นอก และในระบบ นโยบายฟรีวีซ่า หลายๆ เรื่องพยายามใช้อยู่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น แต่วันนี้เราต้องยอมรับว่ายังไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้าไปในระบบเลย 

นายกฯ กล่าวว่า ทุก ๆ หน่วยงานได้มีการปรับ GDP ลดลงตลอดเวลาทุก ๆ เดือนที่ออกมา ซึ่งจริง ๆ แล้วน่าจะมีการทำนายที่ชัดเจนมากกว่านี้ ไม่ใช่ปรับลดทุก ๆ เดือน ซึ่งปัจจัยเกิดจากหลายๆ อย่าง เม็ดเงินใหม่ไม่มี ไม่ใช่ GDP เพียงอย่างเดียว Capacity Utilization ก็ต่ำ หมายความว่าการที่เรามีโรงงานผลิตสินค้าออกมาก็ต่ำมาก ใช้ประมาณกว่า 50% ถ้าเกิดมีโรงงาน 100 แต่ใช้ประมาณ 60% แล้วกำไรจะอยู่ตรงไหน ทุก ๆ โรงงานที่มีการอัพเกรดอยู่ตอนนี้ไม่มียอดสั่งซื้อเข้ามา เพราะกำลังซื้อต่ำ เนื่องจากหนี้ครัวเรือนสูง รายได้ไม่มี เงินในกระเป๋าไม่มี  รายจ่ายสูง รัฐบาลได้ช่วยไปแล้ว เช่น ลดค่าน้ำมัน ลดค่าไฟ พักหนี้ อะไรที่ไม่มี อะไรที่ทำได้รัฐบาลทำตลอด แต่อย่างหนึ่งที่ขอฝาก นโยบายดอกเบี้ยซึ่งต้องใช้งบประมาณ ดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 2.5% ถ้าลดไปครึ่งหนึ่งจะเหลือ 2.25% ก็จะช่วยบรรเทาภาระของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนได้  

ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนที่นายกรัฐมนตรีได้พูดเรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่ได้รับการตอบรับจากธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรีถามกลับสื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายใครเป็นคนควบคุม ก็คือธนาคารแห่งประเทศไทย ตนพูดคุยกับเลขาธิการสภาพัฒนาฯ ก็บอกว่าเราได้ทำทุกวิถีทางแล้ว และมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งเลขาธิการสภาพัฒนาฯ ระบุว่าได้คุยกับผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าถึงเวลาที่จะต้องลด ตนเองจึงบอกว่าทำไมไม่พูดคุยต่อหน้าสาธารณชนบ้าง และพูดคุยในภาษาที่ชัดเจน ซึ่ง เลขาสภาพัฒน์ ผู้ว่าฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย และตนเองก็จบเศรษฐศาสตร์มา ตรงนี้เราไม่ได้มาเอาชนะกันแต่ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะมีการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้น เพื่อรองบประมาณที่จะนำออกมาใช้ ทั้งนี้ ได้สอบถามกับเลขาธิการสภาพัฒนาฯ ว่าสามารถทำอะไรได้อีก หากมีอะไรที่ทำได้ก็ขอให้เสนอมา ตนเองไม่ได้จมปลักอยู่กับการลดดอกเบี้ยอย่างเดียว แต่การลดดอกเบี้ยเป็นการแบ่งเบาภาระของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งเห็นอยู่แล้วสำหรับตัวเลขที่ออกมา อย่างเช่นนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ก็พยามที่จะออกมาให้เร็วที่สุด

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าการเติมเงินเข้าไปในระบบจำนวน 500,000 ล้านบาท จะทำให้เงินเฟ้อ นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ปัจจุบันนี้ตัวเลขเงินเฟ้อติดลบอยู่แล้ว หากจะบอกว่าติดลบจากการที่รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนผ่านมาตรการลดราคาน้ำมัน หรือพยุงราคาไฟฟ้า ซึ่งหากถอดดัชนีตรงนี้ออกไปเงินเฟ้อขึ้นมาไม่ถึง 1% ยังไม่ถึงกรอบต่ำสุด หลายเรื่องที่รัฐบาลทำต้องใช้เวลารวมไปถึงโครงการ Digital Wallet ด้วย หากทุกคนเห็นด้วยและพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่มีการทุจริต และประพฤติมิชอบ ก็จะพยามทำให้เร็วที่สุด อยากจะให้เกิดขึ้น ภายในเดือนพฤษภาคม และนโยบายอื่นก็พยายามดำเนินการอยู่ ซึ่งรัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างที่สามารถทำได้ ณ วันนี้ ยินดีรับฟังว่าอยากให้รัฐบาลทำอะไร แต่ต้องคำนึงว่างบประมาณสามารถใช้ได้หรือไม่ อย่างเร็วที่สุด 1 เมษายน ซึ่งพยามเร่งอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องที่มีการเสนอแนวคิดเข้ามามากมาย ท่านนายกจะเดินหน้าโดยไม่ต้องพะว้าพะวังได้หรือยัง เรื่องเงิน Digital Wallet นายกรัฐมนตรีตอบกลับว่า ตามที่บอกไปมีทั้ง ป.ป.ช. และคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอมา นายกฯ ก็รับฟัง ถ้าไม่รับฟังเดี๋ยวก็มาบอกอีกว่าไม่รับฟัง พยายามรับฟังอยู่ในกรอบเวลาให้เร็วมากที่สุด  ทางผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยพึงเห็นจึงขอเวลา นายกฯ เองก็ยินดี และหากมีอะไรให้บอกมา ยินดีรับฟัง  
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News