Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายตั้งศูนย์อำนวยการ แก้ไขปัญหา หนี้นอกระบบระดับจังหวัด “ตลาดนัดแก้หนี้”

 

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2567 ที่ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบระดับจังหวัด ครั้งที่ 1/2567 โดยมีปลัดจังหวัดเชียงราย อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดเชียงราย นายอำเภอ ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรทุกอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมตามข้อสั่งการและวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหา “หนี้นอกระบบ” ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้แถลงนโยบายรัฐบาล “การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ” 


โดยให้ทุกหน่วยงาน ทั้งกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง จะต้องร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอระบบ ปลดปล่อยจากการเป็นทาสหนี้นอกระบบ โดยหนี้นอกระบบถือเป็นการค้าทาสในยุคใหม่ ที่ได้พรากอิสรภาพและความฝันไปจากผู้คนยุคสมัยนี้ โดยรัฐบาลจะดำเนินการโดยยึดถือหลักศีลธรรม เพื่อป้องกัน “Moral Hazard” หรือ “ภาวะอันตรายทางศีลธรรม” รวมทั้งแก้ปัญหาการทวงหนี้โหด การปรับโครงสร้างหนี้ และการจัดทำสัญญาให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อลดภาระหนี้สิน และการทำงานต้องมีความต่อเนื่องไม่ให้กลับมาเป็นหนี้อีก 


โดยมีนายอำเภอและผู้กำกับสถานีตำรวจในพื้นที่เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยหนี้ให้ รวมทั้งให้มีการติดตามผลการแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ซึ่งจังหวัดเชียงรายโดยศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด อำเภอ มีการรายงานการลงทะเบียนผู้ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือหนี้นอกระบบ ข้อมูล ณ วันที่ 10 มกราคม 67 รวมหนี้ทั้งหมด 110,461,882 บาท ผลการไกล่เกลี่ยสะสมรวมทั้งหมด 8,146,200 บาท


สำหรับจังหวัดเชียงราย ได้พิจารณาตามข้อสั่งการเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ของคณะรัฐมนตรีที่มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการ ขับคลื่อน และประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดให้มีระยะเวลาดำเนินการ เป้าหมาย และตัวชี้วัด โดยการจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบระดับจังหวัด รายงานผลการไกล่เกี่ยหนี้นอกระบบอำเภอ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย สำนักงานยุติธรรมจังหวัดเชียงราย สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย ธนาคารออมสิน คลังจังหวัดเชียงราย และ ธ.ก.ส. และที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณาการจัดกิจกรรมตลาดแก้หนี้ ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้กำหนดจัดกิจกรรม “ตลาดนัดแก้หนี้” ในวันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 67 นี้ ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงราย ตั้งแต่เวลา 09.00 ถึง 16.00 น. และเรื่องอื่นๆ ตามลำดับ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงราย ขานรับนโยบายเข้มงวด เรื่องปัญหายาเสพติด อาวุธ

 

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2567 ที่ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมและมอบนโยบายให้ผู้ว่าราชจังหวัด บุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในจังหวัดที่อยู่ภายใต้การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกล (Video Conference) เพื่อรับฟังประเด็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน และข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาของจังหวัด / กลุ่มจังหวัด เขตตรวจราชการที่ 5 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เขตตรวจราชการที่ 13 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง 1 และเขตตรวจราชการที่ 16 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง ทั้งจังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และจังหวัดน่าน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ เป็นผู้นำเสนอข้อมูล ประเด็นปัญหา และข้อเสนอแนะในภาพรวม จากห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมและรับมอบนโยบายฯ

 

โดยนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย รายงานต่อที่ประชุมว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย จังหวัดแพร่ จังหวัดพะเยา และจังหวัดน่าน มีศักยภาพที่โดดเด่นในเรื่องการท่องเที่ยว มีที่ตั้งติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งเชื่อมต่อไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน จังหวัดเชียงรายเป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ และมีสถานีรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ ที่จะสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2571 โดยในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มจังหวัดฯ มีประเด็นปัญหาร่วมกันภายในกลุ่มจังหวัด ที่สำคัญ ดังนี้ 
 
1. ปัญหาการเกิดไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เผชิญสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเมษายนของทุกปี สาเหตุหลักเกิดจากการเผาในที่โล่ง การเผาเพื่อเตรียมพื้นที่การเกษตร และการเผาในพื้นที่ป่า ประกอบกับการเกิดหมอกควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน นำมาซึ่งวิกฤติการณ์ด้านคุณภาพอากาศส่งผลกระทบด้านการท่องเที่ยว สุขภาพของประชาชน 
 
2. ปัญหาการจัดระเบียบสังคม ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของยาเสพติด โดยกลุ่มผู้เสพเป็นรายเดิมที่กลับมาเสพซ้ำเป็นส่วนใหญ่ มีผู้ค้ารายย่อย ผู้เสพ ที่อาศัยอยู่ในชุมชนลักลอบจำหน่าย หรือเสพยาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งมีความประสงค์ค้ายาเสพติดกับกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ตำบลที่อาศัยอยู่ รวมถึงพื้นที่ข้างเคียง และปัญหาด้านความมั่นคงในจังหวัดชายแดน เช่น การค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เป็นต้น รวมไปถึงผู้ไม่มีสัญชาติไทยในพื้นที่จังหวัดภายในกลุ่มจังหวัด 
 
3. ปัญหาหนี้นอกระบบ ของจังหวัดภายในกลุ่มจังหวัด ข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2567 มีผู้มาลงทะเบียนสะสมรวมจำนวน 3,415 ราย ยอดหนี้รวมทั้งสิ้น 215,978,440.29 บาท และ 4. ปัญหาการขาดแคลนน้ำ จังหวัดภายในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 มีการกักเก็บน้ำได้ปริมาณน้อย เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งปริมาณน้ำในแม่น้ำ อ่างเก็บน้ำ สระน้ำ ฝายกักเก็บน้ำ และลำน้ำสายต่างๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตรและการอุปโภค บริโภค
 
 
ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ชี้แจงนโยบายของรัฐบาล และภารกิจสำคัญเร่งด่วนของกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เข้มงวดกับปัญหาสังคม โดยเฉพาะโครงการ แก้หนี้นอกระบบ การแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ตามแนวตะเข็บชายแดน รวมถึงปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่น PM2.5 เรื่องน้ำสะอาด (น้ำประปาดื่มได้) พลังงานสะอาด (เพิ่มพลังงานสีเขียว) และการดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน และยังได้กล่าวว่า หน้าที่ของรัฐบาล คือการบำบัดทุกข์บำรุงสุข การรักษาความสงบเรียบร้อย รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน จึงได้มอบหมายให้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการลงพื้นที่ เพื่อสำรวจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ หากเกิดเหตุใดๆ ให้รีบหาทางแก้ไขทันที และเน้นย้ำต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนเท่านั้น รวมไปถึงปัญหายาเสพติด และปัญหาเยาวชนอายุไม่ถึง 20 ปี มั่วสุมตามสถานบันเทิง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ละจังหวัด เข้าตรวจคุมเข้ม หากมีสถานบันเทิงแห่งใด ไม่มีใบขออนุญาตให้เปิดบริการตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการอย่างท่วงทันที “ทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที”
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ ขับเคลื่อนแผนสกัดกยาเสพติด ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ

 

เมื่อ 11 มกราคม 2567 ที่วิทยาลัยป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พลโทนฤทธิ์ ถาวรวงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 3 ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ หรือ นบ.ยส.35 เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ในพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ชายแดนภาคเหนือ พ.ศ. 2567 โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ ผอ.ปปส. ภาค 5 ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

 

.
พลโทนฤทธิ์ ถาวรวงษ์ แม่ทัพน้อยที่ 3 ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือกล่าวว่า ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ ให้มีการสกัดกั้นยับยั้งยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ อย่างเป็นรูปธรรมจึงได้กำหนดพื้นที่เร่งด่วนใน 5 อำเภอชายแดนจังหวัดเชียงใหม่ และ 6 อำเภอชายแดนจังหวัดเชียงราย ได้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันโดยมีการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้น และปราบปรามยาเสพติดสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ (นบ.ยส.35) ซึ่งประกอบด้วยกำลังทหาร, ตำรวจ, ป.ป.ส. และ ฝ่ายปกครอง ร่วมดำเนินการ ซึ่งทางรัฐมนตรียุติธรรมได้ให้ความสำคัญ และกำหนดการปฏิบัติ 10 เดือน(1 ธ.ค.66 – 30 ก.ย.67) นโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ในการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นปัญหาภัยความมั่นคงที่สำคัญประการหนึ่ง
 
 
ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือกล่าวต่อไปว่า ในห้วงวันที่ 11 – 12 มกราคม 2567 นบ.ยส.35 ได้กำหนดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ณ วิทยาลัยป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อสร้างความร่วมมือและพัฒนาขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ระหว่างองค์กร บูรณาการความรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหายาเสพติดครอบคลุมพื้นที่ชายแดนภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่อ.เวียงแหง,อ.เชียงดาว,อ.ไชยปราการ, อ.ฝาง, อ.แม่อาย และพื้นที่จังหวัดเชียงราย ได้แก่ อ.แม่จัน, อ.แม่ฟ้าหลวง, อ.แม่สาย, อ.เชียงแสน, อ.เชียงของ, อ.เวียงแก่น มีหน่วยเข้าร่วมประชุม ได้แก่ ทหาร, ตำรวจ,ฝ่ายปกครอง, ปปส.ภาค 5, ศุลกากร และอุตสาหกรรมอันจะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการสกัดกั้นยาเสพติดจากชายแดน ไม่ให้มีการลักลอบลำเลียงขนส่งเข้ามายังพื้นที่ตอนใน ซึ่งในห้วงที่ผ่านมามีผลการดำเนินการ การสกัดกั้นและจับกุม จำนวน 14 ครั้ง ได้ ผู้ต้องหาจำนวน 3 คน กลุ่มผู้ลำเลียงเสียชีวิตจำนวน 19 ศพ และยึดของกลาง ยาบ้า จำนวน20 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์ จำนวน 323 กก.
 
 
“นบ.ยส.35 มีหน้าที่ วางแผน อำนวยการ ประสานงาน และผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนในพื้นที่รับผิดชอบ เข้าดำเนินการ และปฏิบัติการ ดังนี้ สกัดกั้น ยับยั้ง และจับกุม ไม่ให้มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ เข้ามาในประเทศได้ ปราบปราม ทำลายโครงสร้างเครือข่ายการค้ายาเสพติดและวงจรทางการเงิน ของกลุ่มนักค้ายาเสพติดตามแนวชายแดน ปราบปรามการลักลอบลำเลียงยาเสพติดผ่านระบบโลจิสติกส์ตามแนวชายแดน เสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวชายแดน เพื่อต่อต้านยาเสพติด เฝ้าระวัง ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการแจ้งข่าว ในพื้นที่รับผิดชอบให้มากที่สุดและยั่งยืน ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้ช่วยดำเนินการปราบปราม จับกุมผู้ค้ายาเสพติด และผู้ที่หลบหนีหมายจับเข้าไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ ดำเนินการอื่น ๆ ที่จำเป็น เพื่อไม่ให้ยาเสพติดถูกลักลอบลำเลียงเข้ามาในประเทศได้”พลโทนฤทธิ์ กล่าว
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

“เกณฑ์ใหม่ขึ้นเครื่อง“ เที่ยวบินในประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

 
CAAT แจงหลักเกณฑ์ใหม่ บัตรผ่านขึ้นเครื่อง – เอกสารยืนยันตัวตน ที่ใช้เดินทางทางอากาศภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

บัตรผ่านขึ้นอากาศยาน (Boarding Pass) รูปแบบใดบ้างที่ยอมรับได้

1) Boarding Pass ที่สายการบินออกให้ ณ จุดเคาน์เตอร์เช็กอิน

2) Boarding Pass ที่ผู้โดยสารพิมพ์ด้วยตนเองจากตู้เช็กอินอัตโนมัติ (Self Check-in Kiosk)

3) ไฟล์ PDF ในโทรศัพท์ หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นใดที่สายการบินจัดส่งให้ผู้โดยสาร

4) E-Boarding Pass ที่แสดงผ่าน Mobile Application ของสายการบิน หรือ Application Wallet หรือ E-mail ที่ส่งโดยสายการบินเท่านั้น

 

เอกสารยืนยันตัวตน ที่ใช้ร่วมกับบัตรผ่านขึ้นอากาศยาน (Boarding Pass) สำหรับผู้โดยสารที่มีสัญชาติไทย (อายุมากกว่า หรือ เท่ากับ 7 ปี)

1) บัตรประชาชนฉบับจริง หรือ สำเนาบัตรประชาชนที่ได้รับการรับรองโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน หรือ

2) หนังสือเดินทาง (Passport) ฉบับจริง หรือ เอกสารแทนหนังสือเดินทางที่กระทรวงการต่างประเทศออกให้ หรือ

3) ใบอนุญาตขับขี่รถฉบับจริง หนังสือสุทธิสำหรับพระภิกษุ และสามเณรฉบับจริง บัตรประจำตัวคนพิการฉบับจริง

 

เอกสารยืนยันตัวตน ที่ใช้ร่วมกับบัตรผ่านขึ้นอากาศยาน (Boarding Pass) สำหรับผู้โดยสารที่มีสัญชาติไทย (อายุน้อยกว่า 7 ปี)

1) สูติบัตรฉบับจริง หรือ สำเนาข้อมูลสูติบัตรที่ได้รับการรับรองโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร หรือ

 2) หนังสือเดินทาง (Passport) ฉบับจริง หรือ เอกสารแทนหนังสือเดินทางที่กระทรวงการต่างประเทศออกให้ หรือ

3) ทะเบียนบ้านฉบับจริง หรือ สำเนาข้อมูลทะเบียนบ้านที่ได้รับการรับรอง หรือ โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร หรือ

4) หนังสือสุทธิสำหรับพระภิกษุ และสามเณรฉบับจริง บัตรประจำตัวคนพิการฉบับจริง

เอกสารยืนยันตัวตนของผู้โดยสารที่แสดงทางแอปพลิเคชัน อาทิเช่น

 (1) บัตรประชาชนดิจิทัล ทะเบียนบ้านดิจิทัล ผ่านทางแอปพลิเคชัน ThaiD ของกรมการปกครอง

 (2) ใบอนุญาตขับรถดิจิทัล ผ่านทางแอปพลิเคชัน DLT QR Licence ของกรมการขนส่งทางบก

 (3) บัตรประจำตัวคนพิการ ผ่านทางแอปพลิเคชันบัตรคนพิการ ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : On Route Trip

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

‘ไทย’ มี “ร้านอาหารญี่ปุ่น” 5,751 ร้าน ขึ้นแท่นอันดับ 6 ของโลก

 

จากการสำรวจขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กรุงเทพฯ พบว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมีจำนวน 5,751 ร้าน เพิ่มขึ้น 426 ร้าน หรือ 8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถ้าเทียบกับภาพรวมทั่วโลก ไทยถือเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นมากเป็น อันดับ 6 ของโลก ตามหลัง จีน (78,760 ร้าน), สหรัฐอเมริกา (26,040 ร้าน), เกาหลีใต้ (18,210 ร้าน), ไต้หวัน (7,440 ร้าน) และ เม็กซิโก (7,120 ร้าน)

 

แม้ว่าจำนวนร้านจะเพิ่มขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ 5 จังหวัดปริมณฑล และต่างจังหวัด แต่ในปริมณฑลและเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดมีจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเมื่อเปรียบเทียบจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในปี 2561 และปี 2566 พบว่า

 

  • ร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 5 เท่า
  • 5 จังหวัดปริมณฑลเพิ่มขึ้น 2.2 เท่า
  • ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า
  • รวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้น 1.9 เท่า

อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ตามประเภทร้านอาหารพบว่า มีทั้งการขยายตัวและการหดตัว โดยประเภทร้านอาหารที่เติบโต ได้แก่

 

  • ร้านราเมง
  • ร้านสุกี้ยากี้
  • ร้านชาบู
  • ร้านอิซากายะ
  • ร้านเนื้อย่าง (ยากินิกุ)

ส่วนประเภทร้านที่จำนวนลดลงคือ ร้านซูชิ ซึ่งเป็นประเภทของร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีจำนวนร้านมากที่สุด โดยมีจำนวนลดลงมากกว่าจำนวนร้านที่เพิ่มขึ้น โดยรวมแล้ว ลดลง 4.1% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหา การแข่งขัน ทั้งจากร้านอาหารญี่ปุ่นด้วยกัน และร้านอาหารประเภทอื่นที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเผชิญกับความท้าทายของ ต้นทุนวัตถุดิบอาหารและค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้น

 

“ร้านซูชิในกรุงเทพฯ ยังเติบโตขึ้น แต่ที่ปิดตัวเยอะจะเป็นในต่างจังหวัด ส่วนหนึ่งเป็นประในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีร้านซูชิเปิดใหม่เยอะทำให้มีการแข่งขันสูงขึ้น อีกทั้งลักษณะเฉพาะของร้านซูชิยังใช้ของสด ทำให้ถ้าขายไม่ได้ก็จะเกิดการสูญเสีย ทำให้การทำธุรกิจร้านซูชิจึงมีข้อจำกัด” คุโรดะ จุน ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าว

 

จากการสำรวจในปี 2566 เมื่อแยกจำนวนร้านที่เปิดดำเนินการอยู่แบ่งตำมระดับราคาอาหารเฉลี่ยต่อหัว พบว่า ระดับราคาอาหารเฉลี่ยต่อหัว 101 – 250 บาท มีจำนวนมากที่สุด (2,040 ร้าน) รองลงมาคือ ระดับราคา 251 – 500 บาท (1,333 ร้าน) ตามด้วยราคา กว่า 100 บาท (691 ร้าน) และราคา 501 – 1,000 บาท (690 ร้าน) ซึ่งมีจำนวนร้านใกล้เคียงกัน

 

เมื่อแยกตามพื้นที่ ระดับราคาอาหารเฉลี่ยต่อหัว 101 – 250 บาทมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาคือ ระดับราคา 251 – 500 บาท ทั้งในกรุงเทพฯ 5 จังหวัดปริมณฑลและต่างจังหวัด อันดับต่อมาสำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ ได้แก่ ระดับราคา 501 – 1,000 บาท ส่วนพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัด ได้แก่ ระดับราคาต่ำกว่า 100 บาท

 

ในด้านของยอดขายและจำนวนลูกค้าพบว่า ฟื้นตัว 80 – 90% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด โดยการรับประทานอาหารนอกบ้านของผู้บริโภคชาวไทยกลับสู่สภาพช่วงก่อนโควิดแล้ว และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แม้จะยังกลับไปไม่ถึงระดับช่วงก่อนโควิด

 

 

ที่น่าสนใจคือ ปี 2565 เป็นช่วงที่ยังไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวไทยหันมารับประทานอาหารญี่ปุ่นในประเทศ แต่ปี 2566 ผู้บริโภคชาวไทยสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นได้แล้ว ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวไทยสามารถไปรับประทานอาหารญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่นได้อีกครั้ง

 

ปัจจุบัน ไทยถือเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ที่นำเข้าวัตถุดิบจากญี่ปุ่น และถือเป็นอันดับ 8 ของโลก มีมูลค่าการนำเข้าที่ 465 ล้านเยน ดังนั้น การเชิญชวนให้ร้านอาหารญี่ปุ่น รวมถึงร้านอาหารประเภทอื่น ๆ ในต่างจังหวัดมาใช้วัตถุดิบอาหารจากญี่ปุ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ปีที่ผ่านมา เจโทร กรุงเทพฯ ได้จัดกิจกรรมเชิงรุกในต่างจังหวัด เช่น จัดงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นร้านอาหารและร้านค้าปลีกในจังหวัดเชียงใหม่, ขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเป็นการจัดงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจเฉพาะในต่างจังหวัดครั้งแรก

 

“ต้องยอมรับว่าจากกรณีการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทร ทำให้การส่งออกวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นได้รับผลกระทบ เพราะจีนที่เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ได้ระงับการนำเข้า แต่สำหรับไทยยังคงมีการนำเข้าตามปกติ เพราะไทยมีมาตรการการตรวจสอบอยู่แล้ว โดยที่ผ่านมาไทยนิยมนำเข้าปลาซาบะ, ปลาซาดีน แต่ปีนี้เรามีแผนจะนำเสนอหอยเชลล์ (หอยโฮตาเตะ) และปลาคัตสึโอะมากขึ้น”

 

 

คุโรดะ ย้ำว่า แม้จะไม่มีการคาดการณ์ว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยจะอิ่มตัวเมื่อไหร่ แต่เชื่อว่า ยังมีที่ว่างที่จะเติบโตได้ แม้ว่าจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยจะมากสุดเป็นอันดับ 6 ของโลก แต่ถ้าวัดจาก จำนวนเฉลี่ยต่อจำนวนประชากร ไทยถือเป็นอันดับ 4 ของโลก แปลว่ายังมีช่องว่างให้เติบโตโดยในปีนี้ ทางเจโทรพบว่า มีร้านอาหารในญี่ปุ่นหลายรายที่สนใจมาเปิดสาขาในไทย โดยส่วนใหญ่เป็นร้านราเมง แกงกะหรี่ เป็นต้น

 

“แม้จะมีอุปสรรคบางประการ เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค การออกแบบเมนูที่เหมาะกับคนไทย แต่อาหารญี่ปุ่นยังคงได้รับความนิยมจากคนไทย แต่เชื่อว่าแนวโน้มในอนาคตจะมีความหลากหลายมากขึ้น และจะแพร่หลายมากขึ้นในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดที่มีประชากรเยอะ ๆ ซึ่งเรามองว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นไม่จำเป็นต้องนำเสนอรสชาติหรือเมนูต้นฉบับเสมอไป แต่เราอยากเห็นการนำไปปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคไทย”

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : positioningmag

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“สกร.เชียงราย ส่งความสุข” ปี 67 Kick Off คาราวานรถส่งมอบอุปกรณ์พื้นที่ห่างไกล

 

เมื่อ 10 มกราคม 2567 ที่ลานหน้าสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเชียงราย นางจินตนา จิตรสกุล รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเป็นโครงการ “สกร.เชียงราย ส่งความสุข” ปี 67 โดยมีนายสุรพล วงศ์หวัน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเชียงราย นำหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารบริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ ผู้จัดการ ธกส.จังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่ภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วน เข้าร่วม

 

นายสุรพล วงศ์หวัน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเชียงราย กล่าวว่าสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเชียงราย และบริษัทโตโยต้าเชียงราย จำกัด ได้ร่วมกันจัดโครงการ “สกร.เชียงรายส่งความสุข” ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเรียนรู้จัดกิจกรรม ส่งต่อความรัก แบ่งปันความสุข จากพี่สู่น้องในพื้นที่ชายขอบและถิ่นทุรกันดารในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขต้อนรับปีใหม่ วันเด็กแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2567 และวันครู เพื่อส่งมอบสิ่งของให้เด็ก ผู้ปกครอง ประชาชน ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ และผู้ป่วยติดเตียง รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับครูอาสาสมัครที่อยู่พื้นที่ทุรกันดาร โดยได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนตลอดจนศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอทุกแห่งในการให้ความอนุเคราะห์บริจาค อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ผ้าห่ม น้ำดื่ม ขนมและอาหารแห้ง
 
 
นางจินตนา จิตรสกุล รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย กล่าวว่ามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มาเปิดงาน และเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรม ซึ่งของบริจาคในวันนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด กาชาดจังหวัดเชียงราย ตลอดจนทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยของบริจาคเหล่านี้จะนำไปมอบให้กับเด็ก ผู้ปกครอง ประชาชน ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ศูนย์การเรียนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านใหม่พัฒนา หมู่ที่ 25 และบ้านผาแดงลีซอ หมู่ที่ 27 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเขียงราย รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อส่งต่อความรัก แบ่งปันความสุข ในช่วงเทศกาลแห่งความสุขต้อนรับปีใหม่ วันเด็กแห่งชาติ และ วันครู อีกทั้งยังเป็นการร่วมสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงาม ทั้งในเรื่องของ น้ำใจ การให้ และการแบ่งปันให้คงอยู่คู่คนเชียงรายตลอดไป
 
 
จากนั้นนางจินตนา จิตรสกุล รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ร่วมกับผู้บริหารบริษัท โตโยต้าเชียงราย จำกัด และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ร่วมกันเปิดพิธี Kick Off คาราวานรถส่งความสุข เพื่อนำอุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์กีฬา ผ้าห่ม น้ำดื่ม ขนมและอาหารแห้ง เพื่อส่งมอบให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ชายขอบและถิ่นทุรกันดารในพื้นที่ห่างไกลต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

 ร่วมสืบสานประเพณีสืบชะตาทะเลสาบเชียงแสน ส่งเสริมภูมิปัญญาและเสน่ห์ท้องถิ่น

 

เมื่อ 9 มกราคม 2567 เวลา 08.30 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีสืบชะตาทะเลสาบเชียงแสน ประจำปี 2567 ณ ลานอเนกประสงค์ ทะเลสาบเชียงแสน (หนองบงคาย) ตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีนายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน นายรังสรรค์

 

ไชยพุฒ นายกเทศมนตรีตำบลโยนก นายอัยรัตน์ ทองไชย หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการอำเภอเชียงแสนผู้นำท้องที่ ร่วมให้เกียรติในพิธีครั้งนี้ด้วย
 
 
ทะเลสาบเชียงแสน (หนองบงคาย) เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำแอ่งเชียงแสน เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย หรือแรมซาร์ไซท์ ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำโลกที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ อันดับที่ 1,101 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2544 เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า พื้นที่ชุ่มน้ำช่วยเก็บกักน้ำไว้ในดิน แล้วปล่อยน้ำออกมาให้มีน้ำผิวดิน เช่น ทะเลสาบเชียงแสนแห่งนี้ ทำให้เรามีน้ำใช้ตลอดทั้งปี และเป็นแหล่งที่อยู่ของพันธุ์สัตว์หลากหลายชนิดในการจัดงานครั้งนี้ได้กำหนดให้มีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการแสดงที่บ่งบอกถึงศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวตำบลโยนก ตลอดจนกิจกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เช่น การประกวดวาดภาพระบายสี คำขวัญ เรียงความ ของเด็กนักเรียนที่เกี่ยวกับทะเลสาบเชียงแสน โดยได้รับความร่วมมือจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และส่วนราชการต่าง ๆในพื้นที่ รวมทั้งได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการจัดกิจกรรมจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จำนวน 100,000 บาท โดยนายก อบจ.เชียงรายพร้อมสนับสนุนและผลักดันตามนโยบายเสน่ห์เชียงราย สถานที่ ชาติพันธุ์ วัฒนธรรมประเพณี อีกด้วย
 
.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

คนนับหมื่นร่วมมุทิตาสักการะครูบาอริยชาติ ในพิธีทำบุญอายุวัฒนมงคล 43 ปี

 

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 ที่วัดแสงแก้วโพธิญาณ ต.เจดีย์หลวง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยประชาชนจากทั่วทุกสารทิศจำนวนมากต่างเดินทางไปกราบนมัสการพระภาวนารัตนญาณ วิ.หรือครูบาอริยชาติ อริยจิตโต ซึ่งเป็นพระเกจิที่มีชื่อเสียงโด่งดังเนื่องในโอกาสวัดคล้ายวันเกิดครูบาอริยาชาติ 43 ปี โดยทางวัดจัดให้มีกิจกรรมไถ่ชีวิตโค-กระบือ ทุกตัวที่พบเห็นโดยเฉพาะใน อ.แม่สรวย โดยมีการส่งทีมงานไปติดต่อตามโรงฆ่าสัตว์ทุกแห่งรวมทั้งมีกิจกรรมงานบุญอื่นๆ ภายในวัดด้วย

 
ครูบาอริยชาติ กล่าวว่าอานิสงฆ์การให้ชีวิตทำให้เรามีชีวิตและอายุยืนรวมทั้งมีอิสระจากสิ่งพันธนาการโดยพบโค-กระบือกี่ตัวก็เหมาซื้อมาทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการปล่อยปลา 440,000 ตัวที่เขื่อนแม่สรวย รวมทั้งไปยังตลาดต่างๆ เพื่อซื้อปลา กุ้ง หอย เต่า ฯลฯ สัตว์ต่างๆ เพื่อนำไปปล่อยเพิ่มเติมอีกด้วยที่เหลือ ถ้าไม่พบก็ถือเป็นบาปกรรมเดิมของเขาต่อไป สำหรับภายในวัดมีการบวชพระภิกษุ เณรและชีพราห์ม โดยปี 2567 นี้มีพระภิกษุจำนวน 100 กว่ารูป เณร 10 กว่ารูปและชีพราห์ม 100 กว่าคน ปฏิบัติธรรมในวัดร่วม 300 รูป
 
 
ครูบาอริยชาติ กล่าวอีกว่าในโอกาสเดียวกันได้มีผู้ถวายพระรัตนมณีญาณเป็นพระแก้วประดับเครื่องทรงทองคำหนัก 5 กิโลกรัมกว่า อัญชมณีพลอย 900 กว่าเม็ด ให้กับวัดแสงแก้วโพธิญาณซึ่งจะนำประดิษฐานในหอพระแก้วเก้าภายในวัดต่อไป ขณะเดียวกัน “ต้อย เมืองนนท์” (พิศาล เตชะวิภาคอุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย) ได้ถวายพระคันธาระ อายุราว 2,200 ปีซึ่งประมูลมาได้จากต่างประเทศให้กับทางวัดด้วย หลังจากแห่พระพุทธรูปและสมโภชน์แล้วจะมีการวางศิลาฤกษ์ ตอกเสาเข็ม 5 ต้นแรก เพื่อสร้างมหาเจดีย์ฐานกว้าง 3 ไร่กว่า ตัวองค์เจดีย์ 2 ไร่กว่า สูง 149 เมตรหรือเท่าตึก 50 ชั้น เพื่อเป็นพุทธบูชา ฯลฯ ต่อไป
 
 
สำหรับครูบาอริยชาติได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 9 ม.ค.2524 ที่บ้านปิงน้อย อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เป็นบุตรของโยมพ่อสุข โยมแม่จำนง อุ่นต๊ะ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาด้วยกัน 3 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด ครูบาอริยชาติบวชเป็นสามเณรเมื่อปี 2541 ที่วัดชัยมงคล ต.ประตูป่า อ.เมือง จ.ลำพูน และอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดพัทธสีมาชัยมงคล (วังมุย) อ.เมือง จ.ลำพูน กระทั่งได้รับนิมนต์ของญาติโยมให้ไปอยู่ที่ อ.แม่สรวย และสร้างวัดแสงแก้วโพธิญาณจนถึงปัจจุบัน.
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
All

เตรียมจัดการประชุมคณะกรรมการประกวด เวทีกลาง งานพ่อขุนเม็งรายฯ-งานกาชาด 2567

 

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดำเนินการประกวดและตัดสินการประกวดการแสดงเวทีกลาง งานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด ประจำปี 2567 โดยมีคณะกรรมการดำเนินการประกวด ณ เวทีกลาง งานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

 

การจัดงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด ประจำปี 2567 กำหนดให้มีการประกวดการแสดง ณ เวทีกลาง ระหว่างวันที่ 26 มกราคม 2567 ไปจนถึง 5 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นเวลา 10 วัน 10 คืน ที่บริเวณสนามบิน ฝูงบิน 416 เชียงราย (สนามบินเก่า) อำเภอเมืองเชียงราย และมีพิธีทางศาสนา พิธีกรรมตามจารีตประเพณี และกิจกรรมที่แสดงออกถึงความร่วมมือของชาวเชียงราย
 
 
ในที่ประชุม ฝ่ายเลขาฯ ได้แจ้งให้คณะกรรมการฯ ทราบถึงกิจกรรมการประกวดการแสดงที่จะจัดขึ้น ณ เวทีกลาง และมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละกิจกรรม อาทิ การจัดแผนผัง ตกแต่งเวที และระบบไฟฟ้าแสงสว่าง (มอบหมายโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย) การจัดการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งประเภทกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ภริยา และประเภทบริหาร สมาชิกสภาท้องถิ่น ข้าราชการ และพนักงาน (รับผิดชอบโดยที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย) การประกวดแสงสี To Be Number One (สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย) การประกวดดนตรีนักเรียน/นักศึกษา (สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย) การประกวดรำวงย้อนยุค (สำนักงานท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย) การประกวดธิดาดอย (ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย) กิจกรรมเดินแบบผ้าไทย (สำนักงานจังหวัดเชียงราย) การจัดทำและจำหน่วยพวงมาลัย ดอกไม้ ลูกโป่งในการประกวดบนเวทีกลาง (อำเภอเมืองเชียงราย)
 
 
นอกจากนี้ในที่ประชุม ยังได้พิจารณาร่างคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการตัดสินการประกวดการแสดง และกิจกรรมการแสดงเวทีกลาง งานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด ประจำปี 2567 พร้อมมอบหมายภารกิจให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบได้ดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการจัดงาน คือสืบสานประเพณี โดยให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมกิจกรรมในการจัดงาน ที่สำคัญเพื่อให้ชาวเชียงรายได้ร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสวันสถาปนาเมืองเชียงราย ครบรอบ 762 ปี (วันที่ 26 มกราคม 2567)
 
 
โดยในวันที่ 26 มกราคม 2567 
เวลา 07.30 น. พิธีสักการะพระบรมอัฐิพ่อขุนเม็งรายมหาราช และพิธีห่มผ้าพระสถูปพ่อขุนเม็งรายมหาราช ณ วัดดอยงำเมือง 
 
เวลา 09.00 น. พิธีบวงสรวง และทำบุญเมืองเชียงราย ณ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช (ห้าแยกพ่อขุน) พร้อมกันในเวลาเดียวกันนี้กับอีก 6 อำเภอ ได้แก่อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ อำเภอเทิง อำเภอพาน และอำเภอแม่สรวย ซึ่งหลังเสร็จพิธี จะมีการฟ้อนเมืองปูจาไหว้สาพญามังราย ณ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช (ห้าแยกพ่อขุน) โดยนางรำมากว่า 762 คน 
 
เวลา 14.15 น. พิธีไหว้สาพญามังราย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายอำเภอทั้ง 18 อำเภอถวายเครื่องสักการะ ต่อด้วยขบวนแห่ เฉลิมฉลองครบรอบ 762 ปี เมืองเชียงราย ซึ่งจะเคลื่อนขบวนไปตามเส้นทางผ่านสวนตุงและโคม เลี้ยวซ้ายแยกศาล เข้าสู่แยกประตูสลี เลี้ยวขวาผ่านหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ และเลี้ยวซ้ายแยกบรรพปราการ (แยกวัดมิ่งเมือง) มุ่งหน้าสู่ฝูงบิน 416 (สนามบินเก่า) 
 
เพื่อจัดพิธีเปิดงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด ประจำปี 2567 และร่วมกันเฉลิมฉลองครบรอบ 762 ปี เมืองเชียงราย โดยการกดปุ่มเปิดไฟให้สว่างไสวทั่วทุกมุมเมือง และสถานที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย พร้อมเปิดงานอย่างเป็นทางการ พร้อมกัน 3 จุด ได้แก่ บริเวณงานพ่อขุนฯ (สนามบินเก่า) โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ณ วัดร่องเสือเต้น โดยนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และ ณ บริเวณ อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช (ห้าแยกพ่อขุน) โดยนายกเทศมนตรีนครเชียงราย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เรือนจำกลางเชียงราย เปิดมุมกาแฟ “หับเผย BY กลางเชียงราย”

 

เมื่อ 9 มกราคม 2567 ที่ห้องมรกต โรงแรมวังคำ อำเภอเมืองเชียงราย ว่าที่ร้อยโท ณัฐรัชต์ ผู้อำนวยการโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ พร้อมด้วยนายเสริมชัย กิตติรัตน์ไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา นางปราณีอินทชัย นายกสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ นางวราพร ใจกล้า นายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ และนางผ่องศรี จิริศานต์ ประธานจัดงานคอนเสิร์ตการกุศล “ก้าวหนึ่งเพื่อน้อง” ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานคอนเสิร์ตการกุศล ภายใต้ชื่อว่า “ก้าวหนึ่งเพื่อน้อง” ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ 

 

โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ ภายในโงเรียนดำรงราษฎร์สงเคาระห์ เพื่อหารายได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องเรียน พัฒนาห้องเรียนทุกห้องของโรงเรียนให้มีคุณภาพมาตรฐาน เอื้อต่อการเรียนรู้และมีบรรยากาศที่เหมาะสมในการจัดการเรียนรู้ ทำให้ครูและนักเรียนจัดกิจกรรมเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาให้มากยิ่งขึ้น

 

สำหรับการจัดงานคอนเสิร์ตการกุศล “ก้าวหนึ่งเพื่อน้อง” ภายในงานจะได้พบกับศิลปิน “เจี๊ยบ” นนทิยา จิวบางป่า และ “เท่ห์” อุเทน พรหมมินท์ ศิลปินชาวเหนือ ที่จะมาขับกล่อมบรรเลงเพลงเพราะๆ ทั้งอดีตและปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการแสดงของศิษย์ปัจจุบัน และศิษย์เก่า Back Up ศิลปินโดย MFU Band. โดยจัดจำหน่ายบัตรเข้าชมคอนเสิร์ตการกุศลครั้งนี้ในราคา 1,000 บาท 2,000 บาท และ 5,000 บาท และจะได้รับความสุขความเพลิดเพลินจากคอนเสิร์ตการกุศลครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ผู้ซื้อบัตรทุกท่านยังจะได้มีโอกาสร่วมส่งต่อความสุขให้แก่นักเรียน ของโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคาระห์ อีกด้วย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News