Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เศรษฐกิจเชียงราย สองเครื่องยนต์ ‘ท่องเที่ยว-ชายแดน’ ผลักดัชนีเชื่อมั่นให้ยืนสูง

เชียงราย–ภาคเหนือ “เงยหน้ารับลมหนาวเศรษฐกิจ” ดัชนีเชื่อมั่นอนาคตภาคเหนือแตะ 73.5 แรงหนุน “คนละครึ่ง พลัส” จ่อดันกำลังซื้อ-ท่องเที่ยวไฮซีซัน ขณะภาพรวมไทยโต 2.4% ปี 2568 แต่ต้องจับตาความเสี่ยงปี 2569

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 — ลมหนาวเที่ยวแรกแตะขอบดอยนางนอนในหุบเขาเชียงราย พร้อมข่าวดีจากส่วนกลางที่ส่งแรงกระเพื่อมถึงปลายน้ำ: ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (RSI) เดือนตุลาคม 2568 ของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 73.5 สะท้อนมุมมอง 6 เดือนข้างหน้าที่ “ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” บนแรงหนุนสองขา—มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่กำลังเดินเครื่องในไตรมาสสุดท้าย และ ฤดูท่องเที่ยว ที่เข้าสู่ช่วงพีกของปี นัยนี้มีความหมายกับเชียงรายโดยตรง เพราะจังหวัดปลายสุดแดนเหนือกำลังยืนอยู่ “หน้าเคาน์เตอร์โอกาส” ทั้งจากการท่องเที่ยว ธุรกิจบริการ ร้านค้ารายย่อย ไปจนถึงซัพพลายเชนเกษตรและโลจิสติกส์ชายแดน

ในมุมมหภาค กระทรวงการคลังคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 โต 2.4% จากแรงกระตุ้นภาครัฐและการส่งออกที่คาดขยายตัว 10.0% ทว่า “ปีถัดไป” อาจไม่ราบรื่นเท่าเดิม เมื่อภาพรวมปี 2569 ถูกประเมินว่าจะ ชะลอมาที่ 2.0% สาเหตุหลักจากการเร่งส่งออกในปีนี้เพื่อหลบผลกระทบภาษีการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ชี้ว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2569 มีแนวโน้ม ‘ทรงตัว’ งบลงทุนรัฐลดลงและภาคเอกชนยังเปราะบาง—สัญญาณที่ผู้ประกอบการเชียงรายควรรู้ทันและปรับแผน

ภาพใหญ่ของประเทศ โตได้…แต่ไม่ง่าย

สัญญาณข้างหน้า: กระทรวงการคลังประเมินปี 2568 ไทยขยายตัว 2.4% โดยมี “โครงการคนละครึ่ง พลัส” กับมาตรการเพิ่มวงเงินสวัสดิการรัฐเป็นแรงขับการบริโภคเอกชน (คาดโต 3.0%) และการส่งออกมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 10.0% ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล 2.0 หมื่นล้านดอลลาร์ (คิดเป็น 3.5% ของ GDP) และเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี -0.2% โดยได้รับอานิสงส์ต้นทุนพลังงานที่ลดลง

จุดห่วงปี 2569: จีดีพีชะลอที่ 2.0% ส่งออกหดตัว -1.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกลับสู่แดนบวกแถว 0.5% นโยบาย “Quick Big Win” ของรัฐบาล—จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดหนี้ครัวเรือน หนุน SMEs เพิ่มออม และลงทุนเพื่ออนาคต—จึงถูกคาดหวังให้ยื้อแรงเฉื่อยเศรษฐกิจและสร้างฐานใหม่ระยะยาว

คำเตือนเชิงนโยบาย: การค้าโลกที่ผันผวน มาตรการภาษีสหรัฐฯ ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ และหนี้ครัวเรือนยังสูง คือชุดความเสี่ยงที่อาจสั่นความเชื่อมั่นธุรกิจ—หากลามสู่ต้นทุนการเงินและพฤติกรรมบริโภค

พื้นที่เศรษฐกิจภาคเหนือ ดัชนี 73.5 “โซนอ่อนไปทางดี” ท่องเที่ยว–อุตสาหกรรมเครื่องยนต์คู่

ตัวเลขชวนคิด RSI เดือน ต.ค. 2568

  • ภาคเหนือ 73.5: ได้แรงหนุนจาก บริการ–ท่องเที่ยว และ อุตสาหกรรม ในช่วงไฮซีซัน กอปรกับมาตรการรัฐ
  • ภาคตะวันออก 75.5 / EEC 78.7: สะท้อนบทเรียนว่าพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐาน–การลงทุนต่อเนื่อง มีความเชื่อมั่นสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ
  • กทม.–ปริมณฑล 63.8: ยังต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ชี้ว่าการฟื้นตัว “ไม่เสมอหน้า” และกิจกรรมบางส่วนยังรอผลลัพธ์มาตรการ

ความหมายต่อภาคเหนือ:

  1. การท่องเที่ยวกลับมาเป็น “เสาหลักรายได้กระจายตัวสูง” ตั้งแต่ที่พัก ร้านอาหาร คาเฟ่ งานเทศกาลท้องถิ่น ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรม—ห่วงโซ่คุณค่าไหลถึงชุมชนรวดเร็ว
  2. อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร–เครื่องดื่ม–ยางพารา–อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นส่วน มีแนวโน้มปรับกำลังผลิตตามคำสั่งซื้อช่วงปลายปีและต้นปีหน้า
  3. กำลังซื้อชาวบ้าน–แรงงานกลับบ้าน ช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน สนับสนุนเม็ดเงินหมุนเวียนท้องถิ่นอย่างเห็นรูปธรรม

แต่ก็ยังมีโจทย์ท้าทาย: ความแปรปรวนสภาพอากาศที่กระทบผลผลิตเกษตร ค่าครองชีพในเมืองท่องเที่ยว และการขนส่งข้ามแดนที่ต้องลุ้นกับกฎระเบียบประเทศเพื่อนบ้านเมื่อภูมิรัฐศาสตร์ “ไหลแรง”

โฟกัสเชียงราย เมืองชายแดน–เมืองท่องเที่ยว “สองเครื่องยนต์” ผลัก RSI ภาคเหนือให้ยืนสูง

เชียงรายกำลังอยู่ใน จุดสมดุลใหม่ ของบทบาทสองประการ—เมืองท่องเที่ยวธรรมชาติ–วัฒนธรรม และเมืองโลจิสติกส์ชายแดนฝั่งแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ—ที่โอบรับฤดูกาลท่องเที่ยวและความต้องการบริโภคปลายปีพอดิบพอดี

1) ไฮซีซันท่องเที่ยว ฤดูขายประสบการณ์–ฤดูเก็บรายได้ฐานราก

  • ฤดูหนาว = ฤดูงาน: เทศกาลแสงสีริมโขง งานกาแฟ–ชา–เกษตร และทริปสายธรรมชาติ “กอดหมอก” ทำให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวที่พัก–อาหาร–เดินทางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • คนละครึ่ง พลัส = คูณแรงในเมืองท่องเที่ยว: มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในไตรมาส 4 ช่วย “ปิดช่องว่างกำลังซื้อ” ของครัวเรือนท้องถิ่นและนักเดินทาง—ร้านอาหารรายย่อยและผู้ค้าชุมชนมีโอกาสจับจ่ายเฉลี่ยต่อใบเสร็จสูงขึ้น
  • SMEs–OTOP–หัตถกรรมท้องถิ่น มีแนวโน้มได้ประโยชน์ทันที เมื่อดีมานด์ของที่ระลึก–ของฝากขยับตามจำนวนนักท่องเที่ยว การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลชำระเงินและการตลาดออนไลน์ช่วงแคมเปญ จะช่วยขยายวงเงินสะพัดได้ดีกว่าช่วงปกติ

ผลลัพธ์คาดหวัง รายได้ท่องเที่ยว “ไหลลึก” ลงสู่ชุมชน—ตั้งแต่ผู้ให้บริการที่พักระดับครอบครัว ร้านอาหารท้องถิ่น คนขับรถรับจ้าง ไปจนถึงเกษตรแปลงเล็กที่ขายผลผลิตเข้าสายโภชนาการ–คาเฟ่

2) เศรษฐกิจชายแดน แรงเสริมเมื่อค้าชายแดนฟื้นตัว

แม้ข้อมูลปริมาณการค้ารายด่านล่าสุดไม่ได้ระบุในชุดข้อมูลนี้ แต่แรงส่งทั่วประเทศจากการส่งออกปี 2568 ที่กระทรวงการคลังคาดว่าจะขยายตัวสูง 10.0% ย่อมเอื้อให้ โซ่โลจิสติกส์เชียงราย—ทั้งด่านแม่สาย ด่านเชียงของ และท่าเรือเชียงแสน—รับโอกาสต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบด้านเกษตรแปรรูป บรรจุภัณฑ์ และสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าสู่ตลาดเพื่อนบ้านและจีนตอนใต้

ประเด็นต้องกางแผน ความผันผวนกฎระเบียบข้ามแดนและต้นทุนขนส่งที่อยู่ในระดับสูงทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้อง “ล็อกต้นทุน” ผ่านสัญญาระยะกลาง–ยาว และประสานเครือข่ายโลจิสติกส์ให้ยืดหยุ่นต่อข้อจำกัดหน้าด่าน

3) ตลาดก่อสร้าง–อสังหาริมทรัพย์เชียงราย อ่านสัญญาณ “ทรงตัว” ก่อนวางเงินลงทุน

บทวิเคราะห์ของ SCB EIC ที่ประเมินว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2569 “ทรงตัว” ราว 1.41 ล้านล้านบาท และการลงทุนภาครัฐลดแรงจากงบปี 2569 ส่งสารสำคัญถึงผู้พัฒนาโครงการในเชียงราย

  • ภาครัฐยังเดินหน้ามหาโปรเจกต์ แต่ความเร็วการเบิกจ่าย–เปิดประมูลอาจไม่เร่งเท่าที่หวัง
  • เอกชนที่อยู่อาศัยชะลอ ตามภาพอสังหาฯ ประเทศและค่าแรงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากแรงงานข้ามชาติหดตัว
  • มาตรฐานวัสดุ–งานโครงสร้างถูกยกระดับ หลังเหตุแผ่นดินไหวในหลายพื้นที่—เพิ่มต้นทุนและเวลาควบคุมคุณภาพ

คำแนะนำเชิงกลยุทธ์สำหรับท้องถิ่น

  1. บริหาร Backlog ให้ยืดหยุ่น ปรับสัดส่วนงานรัฐ–เอกชน ลดความเสี่ยงจาก “ลูกค้าก้อนเดียว”
  2. ทำสัญญาซื้อวัสดุล่วงหน้า กับคู่ค้าคุณภาพ เพื่อคุมต้นทุนและลดความผันผวนราคา
  3. จับมือพันธมิตรต่างชาติ/เทคโนโลยี ยกมาตรฐานความปลอดภัย–ผลิตภาพ และใช้เป็น “แต้มความเชื่อมั่น” ในตลาด
  4. ตั้งเป้าการลด Emission และใช้วัสดุเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม—สอดรับทั้งข้อกำหนดใหม่และความต้องการลูกค้ารุ่นใหม่

4) โอกาส–ความเสี่ยงเฉพาะจังหวัด ทำการบ้านเชิงรุก

  • โอกาสฝั่งท่องเที่ยว: เชื่อม “สุขภาพ–นิเวศ–วัฒนธรรม” ให้เป็นแพ็กเกจเดียว เช่น เส้นทางวิ่ง–ปั่น–เดินป่า ตลาดชุมชน–คาเฟ่กาแฟ–ชา พร้อมพื้นที่กิจกรรมครอบครัว ช่วยยืดเวลาพำนักและเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป
  • โอกาสฝั่งชายแดน: ต่อยอดคลังสินค้าเย็น–เกษตรแปรรูปคุณภาพสูง รองรับคำสั่งซื้อปลายปี–ตรุษจีน พร้อมมาตรฐานตรวจสอบย้อนกลับ
  • ความเสี่ยงสำคัญ: สภาพอากาศสุดขั้วกระทบเกษตร, ราคาพลังงานและค่าขนส่ง, และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ–การค้าโลก
  • มาตรการกันชนที่ใช้ได้ทันที: ผู้ประกอบการรายย่อยใช้สิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” และโปรโมชันร่วมเอกชนเพื่อดึงทราฟฟิกหน้าร้าน, เชื่อมดีลผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล–อีเพย์เมนต์, ทำประกันภัยธุรกิจ–ทรัพย์สินที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติ และจับสัญญาณเตือนจากระบบต้นแบบ “ดัชนีหมอกควัน–PM2.5” เพื่อออกแบบกิจกรรมกลางแจ้งอย่างยืดหยุ่น

สะพานเชื่อม “นโยบาย–พื้นที่” ทำอย่างไรให้เม็ดเงินเข้าถึงชุมชนเชียงรายเร็วที่สุด

  • เร่ง “แปลงนโยบายเป็นแคมเปญพื้นที่”
    ภาคเอกชน–ชุมชน ควรจับมือกับหน่วยงานท้องถิ่น ออกแบบกิจกรรมใช้สิทธิคนละครึ่ง พลัสที่
  • ชัดเวลา–ชัดสถานที่–ชัดของดี เช่น ถนนคนเดินมิติใหม่ เมนูวัตถุดิบท้องถิ่น ซุ้มชิม–ช็อป–แชร์ ให้สิทธิประโยชน์ชัดเจนและตรวจง่าย
  • เชื่อม “โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว”
    พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ผูกกับจุดขนส่งชายแดน: นักเดินทางที่เข้า–ออกด่าน สามารถถูกดึงเข้ามาใช้ค่าใช้จ่ายเพิ่มในเมือง ผ่านแพ็กเกจคาเฟ่–มิวเซียม–ของฝาก และบริการสปา–สุขภาพ–แอดเวนเจอร์ระยะสั้น
  • ยกระดับอีโคซิสเต็มดิจิทัล
    สนับสนุนผู้ค้าใช้ QR พร้อมเพย์–บัญชีรับเงินธุรกิจ–เครื่องออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือ และทำให้ข้อมูลยอดขาย “สะท้อนจริง” ต่อการวางแผนสต็อกและขอสินเชื่อ

ตัวเลขชวนคิด” เพื่อการตัดสินใจของเชียงราย

  • 73.5 = RSI ภาคเหนือเดือนตุลาคม 2568 — โซนบวกชัดใน 6 เดือนข้างหน้า
  • 2.4% = จีดีพีไทยปี 2568 (คาดการณ์) — เปิดช่องทำรายได้ปลายปี-ต้นปี
  • 10.0% = การส่งออกทั้งปีกลับมาโตแรง — โอกาสต่อซัพพลายเชนชายแดน
  • -0.2% → 0.5% = เงินเฟ้อ 2568→2569 — ปีหน้าแรงกดดันค่าใช้จ่ายอาจยกหัว
  • 1.41 ล้านล้านบาท = มูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้าง 2569 (คาด “ทรงตัว”) — บอกให้วางแผนลงทุนแบบคุมความเสี่ยง

ภาคบริการ–ผู้ประกอบการรายย่อยจะ “เกียร์ออโต้” ได้อย่างไร

  1. ดีลราคาล่วงหน้า กับซัพพลายเออร์ (เนื้อ–ผัก–กาแฟ–เบเกอรี่–น้ำมันปรุงอาหาร) ในกรอบ 3–4 เดือน เพื่อคุมมาร์จินช่วงพีก
  2. แพ็กเกจประสบการณ์ มากกว่า “ลดราคา” เช่น เซ็ตอาหารท้องถิ่น + เวิร์กช็อป + มุมถ่ายรูป + ส่วนลดร้านคู่ค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าต่อบิล
  3. เวลาทำการยืดหยุ่น สอดรับเที่ยวบิน–รถทัวร์–ด่านชายแดน เปิดเช้าขึ้น/ปิดดึกขึ้นในช่วงสัปดาห์พีก
  4. ข้อมูลลูกค้า = ทองคำ: เก็บอีเมล/ไลน์ OA จากลูกค้าหน้าร้าน พร้อมคูปองคัมแบ็กไตรมาส 1/2569 เพื่อลดหลุมยอดขายหลังเทศกาล
  5. มาตรฐานสะอาด–ปลอดภัย–ยั่งยืน สื่อสารชัด (ขยะเปียกลดเหลือศูนย์/ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น/ลดพลาสติกใช้ครั้งเดียว) ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพ

หน้าต่างแห่งโอกาส” ของเชียงรายในอีก 6 เดือน

ดัชนี RSI ที่ 73.5 ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจจะพุ่งแรงในชั่วข้ามคืน แต่มันบอกเราว่า โอกาสมีมากกว่าความเสี่ยง ในช่วงครึ่งปีข้างหน้า หากเชียงราย แปลงมาตรการกระตุ้น ให้เป็นกิจกรรมพื้นที่ที่เข้าถึงผู้ค้า–ชุมชนจริง ใช้ฤดูท่องเที่ยวเป็น “เครื่องเร่งการไหลเวียน” ของเงิน และยกระดับมาตรฐานบริการให้สอดรับผู้บริโภคยุคใหม่ เม็ดเงินจะไหลลึกและยั่งยืนกว่าแค่ “ภาพคนแน่นงาน”

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้อง ไม่หลงลืมภาพปี 2569 ที่ท้าทายกว่า—จากการชะลอของจีดีพีและการหดตัวของส่งออกตามวัฏจักร—จึงควรเตรียมกันชนด้านเงินสด สัญญาวัสดุ–แรงงาน และผลิตภัณฑ์–ตลาดที่ยืดหยุ่นไว้แต่เนิ่น ๆ

สารที่ควรถูกตอกย้ำ ถ้าภาคเอกชน–ชุมชน–ท้องถิ่นจับมือกัน “ออกแบบเศรษฐกิจหน้าร้าน” ให้สอดรับมาตรการใหญ่ของรัฐ เชียงรายจะไม่เพียง “รับลมหนาวเศรษฐกิจ” แต่จะสามารถ ชี้ทางลม ให้ไหลผ่านชุมชนอย่างเป็นธรรม สร้างรายได้ กระจายโอกาส และวางฐานใหม่สำหรับปีหน้าที่ท้าทายกว่า

เค้าโครงข้อมูลสำคัญที่ใช้ประกอบการรายงาน

  • ประมาณการเศรษฐกิจไทย 2568–2569 (ต.ค. 2568/ต.ค. 2569f)
    • จีดีพี 2568 = 2.4%, 2569f = 2.0%
    • บริโภคเอกชน 2568 = 3.0%, 2569f = 2.4%
    • เงินเฟ้อทั่วไป 2568 = -0.2%, 2569f = 0.5%
    • ส่งออกสินค้าและบริการ (Real term) 2568 = 7.6%, 2569f = -1.7%
    • ดุลบัญชีเดินสะพัด 2568 = 20.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, 2569f = 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
      (ตัวเลขตามเอกสารอินโฟกราฟิกของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่เผยแพร่ ณ ตุลาคม 2568/2569f)
  • ดัชนี RSI ต.ค. 2568
    • ภาคเหนือ 73.5 | ตะวันออก 75.5 | EEC 78.7 | อีสาน 73.9 | ตะวันตก 72.8 | ใต้ 72.7 | ภาคกลาง 68.5 | กทม.–ปริมณฑล 63.8
    • องค์ประกอบที่หนุนภาคเหนือ บริการ–ท่องเที่ยว และ อุตสาหกรรม บนแรงส่งไฮซีซันและมาตรการรัฐ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง (สศค.)
  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

1,406 กม. ข้ามประเทศ: เจ้าของฟาร์มสเตย์ระนอง พาทีม 50 คนเที่ยวเชียงราย กระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรอง

จากระนองสู่เชียงราย เมื่อเจ้าของฟาร์มสเตย์พาทีม 50 คนเดินทาง 1,406 กม. สร้างปรากฏการณ์ท่องเที่ยวเมืองรอง

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 – ในยุคที่การท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น การตัดสินใจของผู้ประกอบการธุรกิจที่พักแห่งหนึ่งจากจังหวัดระนอง ที่เลือกนำพนักงานทั้ง 50 คนเดินทางข้ามประเทศจากปักษ์ใต้สู่ปักษ์เหนือ กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่ไม่เพียงสร้างรายได้ให้กับจังหวัดปลายทาง แต่ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ศักยภาพการท่องเที่ยวของเมืองรองอย่างเชียงรายไปยังกลุ่มผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ

จากป่ารกร้างสู่ฟาร์มสเตย์ดัง พลังของการสื่อสารดิจิทัล

วิโรจน์ ฉิมมี หรือที่คนรู้จักในนาม “เบส” เจ้าของ “บ้านไร่ ไออรุณ” ฟาร์มสเตย์ในอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง เล่าถึงที่มาของการเดินทางครั้งนี้ว่า เริ่มจากความตั้งใจที่จะให้รางวัลกับพนักงานทุกคน หลังจากที่ทุกคนร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจที่เคยเป็นเพียงป่ารกร้าง ให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย

“ผมหยอดกระปุกสะสมเงินมาได้ 1 ล้านบาท เพื่อจะพาพนักงานไปเติมพลัง ไปมีความสุขด้วยกันอีกครั้ง” วิโรจน์โพสต์ในช่องทาง บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun  “อยากพาทุกคนไปไกลสุดในประเทศนี้ เท่าที่จะทำได้ ปีนี้เราจะไปอุดหนุนชาวจังหวัดเชียงรายกัน”

การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงานเพียง 50 คน โดยต้องปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 28-31 ตุลาคม 2568 และกลับมาเปิดบริการอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งหมายถึงการสูญเสียรายได้ช่วงปลายเดือนที่เป็นช่วงท่องเที่ยว

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

1,406 กิโลเมตร ข้ามน้ำข้ามทะเล จากใต้สุดสู่เหนือสุด

การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากสนามบินระนอง ที่อยู่ห่างจากบ้านไร่เพียง 28 กิโลเมตร คณะเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย โดยใช้งบประมาณค่าตั๋วเครื่องบินทั้งหมด 4 แสนบาท เดินทางไปต่อเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เชียงราย ระยะทางเกือบ 1,500 กิโลเมตร

“ครั้งแรกในชีวิตที่ทุกคนได้เดินทางมาที่จังหวัดนี้” วิโรจน์เล่า “หลายคนในทีมเป็นชาวบ้านที่เพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก ได้เห็นท้องฟ้า ท้องทะเล จากภาคใต้มาถึงเมืองเหนือ”

สิ่งที่น่าสนใจคือ สนามบินระนองในปัจจุบันมีเที่ยวบินให้บริการถึง 2 ไฟลต์ต่อวัน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางออกจากพื้นที่ได้มากขึ้น สะท้อนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองรองด้วยกัน

เส้นทางท่องเที่ยว สัมผัสเชียงรายในทุกมิติ

โปรแกรมการเดินทาง 4 วัน 3 คืน ที่วิโรจน์วางแผนไว้ ครอบคลุมจุดท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย เริ่มจากมื้อแรกที่ร้านข้าวซอยวิจิตตรา ร้านอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อ พร้อมเมนูข้าวซอยและน้ำเงี้ยวที่ทุกคนประทับใจ

คืนแรกพักกลางทุ่งดอกไฮเดรนเยียบนยอดดอย ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย พร้อมหมูกระทะที่จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนที่จะออกเดินทางสำรวจจุดท่องเที่ยวต่างๆ อาทิ ผาฮี้-ผาหมี, ไร่สิงห์ปาร์ค, อาข่า ฟาร์มวิว, สวนดอกไฮเดรนเยีย ดอยช้าง, ไร่ชาฉุยฟง และดอยตุง แต่ละจุดล้วนมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ความงามของธรรมชาติ ไร่กาแฟบนภูเขาสูง ฟาร์มแกะที่มีนักท่องเที่ยวต่อคิวซื้อบัตรเข้าชม ไปจนถึงดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์

คืนที่สองเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย พักที่โรงแรม The Riverie by Katathani ริมแม่น้ำกก ซึ่งทีมงานของโรงแรมได้ต้อนรับด้วยพวงมาลัยและการ์ดที่เขียนวางไว้บนเตียงทุกห้อง แม้จะไม่ได้แจ้งความเป็นพิเศษล่วงหน้า แต่การบริการที่เป็นเลิศทำให้ทุกคนประทับใจ

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น มากกว่าตัวเลข

การเดินทางของคณะ 50 คนจากระนองสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับเชียงรายในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ค่าเช่ารถ ไปจนถึงการซื้อของฝากจากชุมชนต่างๆ

หากประมาณการอย่างหยาบจากงบประมาณ 1 ล้านบาท หักค่าตั๋วเครื่องบิน 4 แสนบาท คงเหลืองบประมาณ 6 แสนบาท ที่ใช้จ่ายในพื้นที่เชียงราย เฉลี่ยคนละประมาณ 12,000 บาท ซึ่งครอบคลุมค่าที่พัก 2 คืน ค่าอาหาร 4 วัน ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือมูลค่าทางการตลาดที่เกิดขึ้น เมื่อเจ้าของธุรกิจที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย โพสต์ภาพและเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวเชียงราย กลายเป็นการประชาสัมพันธ์ที่มีพลังมหาศาลโดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากภาครัฐแต่อย่างใด

“การลงทุนของจังหวัดเชียงราย แค่การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ยิ้มแย้ม ก็เป็นการสร้างกำไรในระยะยาว” วิโรจน์กล่าว “แม้จะมีบางคนมองว่า ทางร้านก็จะได้การลดหย่อนภาษี 1.5 เท่า แต่เราก็ต้องดูว่าทำไมต้องเลือกเดินทางมาไกลจากระนองถึงเชียงรายมากกว่า 1,406 กม.”

เชื่อมโยงกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “เที่ยวดี มีคืน”

การเดินทางของคณะบ้านไร่ ไออรุณ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลเพิ่งเปิดตัวมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว “เที่ยวดี มีคืน” ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ประชาชนผู้เสียภาษีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลได้รับสิทธิประโยชน์จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ

สำหรับมาตรการสำหรับบุคคลธรรมดา ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2568 สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาทสำหรับการท่องเที่ยวในเมืองรอง (1.5 เท่าของค่าใช้จ่าย) และ 20,000 บาทสำหรับเมืองหลัก (1 เท่าของค่าใช้จ่าย) ครอบคลุมทั้งค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหารที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ มาตรการสำหรับบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่สามารถหักค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมหรือสัมมนาให้กับพนักงานได้ถึง 2 เท่าสำหรับเมืองรอง และ 1.5 เท่าสำหรับเมืองหลัก ซึ่งตรงกับกรณีของบ้านไร่ ไออรุณที่นำพนักงานเดินทางไปเพื่อเติมพลังและเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

การเรียนรู้ที่คุ้มค่ากว่าเงิน

วิโรจน์เปิดเผยว่า ธุรกิจของเขาเป็นเพียงกิจการเล็กๆ ที่ผลประกอบการไม่ได้มีกำไรเหลือเงินเยอะ แต่เขาเลือกที่จะลงทุนกับคน ด้วยความเชื่อว่าการพาพนักงานออกไปสัมผัสประสบการณ์ภายนอก จะช่วยพัฒนาทักษะและทัศนคติในการทำงาน โดยเฉพาะธุรกิจบริการอย่างฟาร์มสเตย์

“เราเลือกใช้วิธีนี้ในการพัฒนาคนมาหลายปีแล้ว ปีละ 1 ครั้ง” เขากล่าว “อยากพาทุกคนออกเดินทางมาพัก มาชาร์จพลัง มาเป็นผู้ใช้บริการ มาเห็นว่าที่อื่นเค้าทำอะไรกัน ในสถานที่ที่เราไม่เคยไป”

ประสบการณ์ที่พนักงานได้รับนั้นครอบคลุมทุกมิติของการท่องเที่ยว ตั้งแต่การได้นั่งเครื่องบิน ได้เห็นการบริการของแอร์โฮสเตส ได้นั่งรถขึ้นดอยที่มีคนขับคอยเล่าประวัติสถานที่ ได้เห็นโฮมสเตย์ที่ตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ได้สัมผัสการบริการที่ยอดเยี่ยมจากที่พักต่างๆ ทั้งหมดนี้คือการเรียนรู้ที่จะนำมาต่อยอดในการพัฒนา “บ้านไร่ ไออรุณ” ของตัวเองให้ดีขึ้น

“ประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้ จะเป็นพลังบวกให้เราทุกคนกลับไปพัฒนาบ้านไร่ เพื่อกลับไปเป็นผู้ให้บริการที่ดีขึ้น” วิโรจน์กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ภาคเหนือยุคใหม่ พร้อมรับนักท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ประกาศเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างเป็นทางการ ภายใต้แคมเปญ “Season of North 2026 : สุขทันที…ฤดูนี้ฤดูเหนือ” พร้อมเผยกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นการเติบโตของการท่องเที่ยว

นายขจรเดช อภิชาติตรากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ ททท. เปิดเผยว่า แม้ตัวเลข 9 เดือนแรกของปี 2568 จะทรงตัว แต่คาดการณ์ว่า 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้การท่องเที่ยวจะเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศคลี่คลายและมีกิจกรรมปลายปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าหมายว่าภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งปี 2568 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2569 ททท. ตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 178 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อนหน้า

กลยุทธ์ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเมืองรอง

ททท. ได้วางกลยุทธ์สำคัญ 3 ประการเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวภาคเหนือ ประการแรกคือการใช้พลังของรีวิวและโซเชียลมีเดีย การตลาดแบบ “ตามรอยรีวิว” และการบอกต่อจากอินฟลูเอนเซอร์ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งกรณีของบ้านไร่ ไออรุณที่มีผู้ติดตาม 1 ล้านคนนั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังทางการตลาดแบบนี้

ประการที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบิน ผู้ประกอบการและสายการบินมีแผนเพิ่มเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเมืองรองอย่างเชียงรายที่เริ่มมีสายการบินตรงจากต่างประเทศเข้าสู่พื้นที่ ทำให้การเข้าถึงง่ายขึ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ประการสุดท้ายคือการกระจายนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง ซึ่งพบว่ามีการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองมากขึ้น เช่น เชียงราย แพร่ น่าน ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ซึ่งช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนต่างๆ อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ททท. ยังเน้นการขยายตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และญี่ปุ่น เพื่อชดเชยความผันผวนของตลาดหลักและสร้างความหลากหลายของนักท่องเที่ยว

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

เทศกาลและกิจกรรมตลอดทั้งปี

แคมเปญ Season of North 2026 มุ่งเน้นให้ภาคเหนือเป็นจุดหมายที่ “เที่ยวได้ทุกฤดู” ผ่าน 3 มุมความสุขหลัก คือ ฤดูแห่งการให้รางวัลแก่ชีวิต (พักผ่อน/สุขภาพ) ฤดูแห่งการเฉลิมฉลอง (ความสุข/ฮีลใจ) และฤดูแห่งการแบ่งปัน (บอกเล่าเรื่องราวความเป็นเหนือ)

ในช่วงฤดูกาลนี้ ภาคเหนือมีกิจกรรมหลากหลายตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลทุเรียนอุตรดิตถ์ งานสีสันดอยตุงและเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม งานแพร่คราฟต์ และเทศกาลใหญ่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน อาทิ ยี่เป็งเชียงใหม่ โคมแสนดวงที่เมืองลำพูน ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟสุโขทัย ลอยกระทงสายตาก และนมัสการพระธาตุดอยกองมู แม่ฮ่องสอน

บทเรียนและแรงบันดาลใจ

กรณีของบ้านไร่ ไออรุณ สะท้อนให้เห็นหลายมิติของการท่องเที่ยวยุคใหม่ ทั้งในด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลผ่านประสบการณ์จริง การใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเชื่อมโยงระหว่างเมืองรองด้วยกัน และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแบบกระจายรายได้สู่ชุมชน

วิโรจน์เล่าถึงที่มาของความฝันในการสร้างบ้านไร่ที่บ้านเกิดว่า “ผมคุยกับพ่อตลอดถึงสิ่งที่อยากทำ แต่กับแม่ผมต้องอ้างไปก่อนว่าจะกลับมาทำงานเป็นสถาปนิกในตัวเมืองระนอง เพราะแม่เป็นแม่ค้าในตลาด ถ้าเพื่อนที่เป็นแม่ค้าด้วยกันรู้เข้า ทุกคนจะแห่ถามแม่ว่า ลูกไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ แล้วกลับมาทำอะไรที่บ้าน ผมไม่อยากให้แม่ต้องกังวลกับคำถามเหล่านี้ ก็เลยบอกแม่ไปแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วผมตั้งใจกลับมาสร้างบ้าน”

ความตั้งใจนั้นประสบผลสำเร็จ จากป่ารกร้างกลายเป็นฟาร์มสเตย์ที่ผสมผสานที่พัก คาเฟ่ ร้านอาหาร และขายของฝากงานแฮนด์เมด กลางสวนผักและผลไม้ เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8.00-20.00 น. และที่สำคัญคือการสร้างทีมงานที่เข้มแข็ง มีพนักงาน 50 คนที่เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจ

“ผลลัพธ์ที่ได้มัน คือความสุขทางใจ ไม่ใช่แค่พนักงานนะ นายจ้างอย่างผมใจมันก็ฟูไปด้วย” วิโรจน์กล่าวถึงการพาพนักงานเดินทาง “เดินคนเดียวไปได้ไว แต่เดินได้ไกล ก็ต้องไปด้วยกัน”

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

มาตรการเสริมอื่นๆ ที่หนุนการท่องเที่ยว

นอกจากมาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” สำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลแล้ว รัฐบาลยังมีมาตรการเสริมอื่นๆ อีก 3 มาตรการ ได้แก่ การเร่งรัดเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายภาครัฐด้านการฝึกอบรม (Front Load) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 – 31 มกราคม 2569 โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาดำเนินการในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองเป็นลำดับแรก และกำหนดให้เร่งรัดการเบิกค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 60% ของวงเงิน

มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก ระหว่าง 29 ตุลาคม 2568 – 31 มีนาคม 2569 ให้หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายจริง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่พักมีแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพที่พัก

และมาตรการลดอัตราภาษีกิจกรรมบันเทิง ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2569 สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ อาทิ ไนต์คลับ ดิสโกเทค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ จาก 10% เป็น 5% ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกลางคืนและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ความท้าทายและโอกาสข้างหน้า

แม้ว่าการท่องเที่ยวภาคเหนือจะมีศักยภาพสูง แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการแข่งขันกับจุดหมายปลายทางอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ ความผันผวนของสภาพอากาศ โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 ในช่วงฤดูแล้ง และการพัฒนาคุณภาพการบริการให้ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม โอกาสก็มีมากมาย ทั้งการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวจีนและเอเชียตะวันออกที่กำลังฟื้นตัว แนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ที่ดี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม และความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

การมีอินฟลูเอนเซอร์และผู้ประกอบการอย่างวิโรจน์ ที่มีฐานผู้ติดตามจำนวนมากและเลือกมาท่องเที่ยวเชียงราย ถือเป็นโอกาสทองในการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะเป็นการสื่อสารแบบ organic ที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

เชียงราย แบบจำลองของการท่องเที่ยวเมืองรองที่ประสบความสำเร็จ

เชียงรายถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรอง จากจังหวัดที่เคยถูกมองว่าเล็กที่สุดในภาคเหนือ กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ด้วยจุดเด่นหลายประการ

ประการแรกคือความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ทั้งธรรมชาติอันงดงามบนพื้นที่ภูเขาสูง วัดวาอารามที่มีสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์ ไร่กาแฟและไร่ชาบนดอยสูง ฟาร์มแกะและสวนดอกไม้นานาพันธุ์ และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ประการที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งสนามบินที่เริ่มมีเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ถนนและการคมนาคมที่สะดวกขึ้น และที่พักหลากหลายรูปแบบตั้งแต่โรงแรมระดับหรูจนถึงโฮมสเตย์ชุมชน

ประการที่สามคือคุณภาพการบริการที่ดี ดังที่วิโรจน์ให้ความเห็นว่า “พี่ๆพนักงานที่โรงแรม น่ารักมากดูแลพวกเราเป็นอย่างดี มีพวงมาลัยรอต้อนรับ มีการ์ดเขียนวางไว้บนที่นอนทุกห้อง ทุกคนประทับใจในงานบริการมากครับ” การบริการที่เป็นเลิศนี้คือสิ่งที่สร้างความประทับใจและทำให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาอีก

บทส่งท้าย เมื่อการท่องเที่ยวกลายเป็นการลงทุนในคน

เรื่องราวของวิโรจน์และทีมงาน 50 คนจากบ้านไร่ ไออรุณ สะท้อนให้เห็นมิติใหม่ของการท่องเที่ยว ที่ไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการลงทุนในการพัฒนาคน การเรียนรู้ และการสร้างแรงบันดาลใจ

การเดินทาง 1,406 กิโลเมตร ข้ามจากจังหวัดเล็กที่สุดในภาคใต้มาสู่เมืองรองของภาคเหนือ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขระยะทาง แต่เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายการท่องเที่ยวระหว่างเมืองรองด้วยกัน การสร้างความเข้าใจและแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจที่พักในพื้นที่ต่างๆ และที่สำคัญคือการประชาสัมพันธ์ที่มีพลังผ่านโซเชียลมีเดีย

จากผู้ติดตาม 1 ล้านคน ที่ได้เห็นภาพความสวยงามของเชียงราย ความอบอุ่นของการต้อนรับ และรอยยิ้มของทีมงานที่มีความสุขกับการเดินทาง กลายเป็นแรงจูงใจให้คนอื่นๆ อยากมาสัมผัสประสบการณ์เดียวกัน นี่คือพลังของการท่องเที่ยวแบบ storytelling ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการโฆษณาแบบเดิมๆ

ด้วยการสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐอย่าง “เที่ยวดี มีคืน” ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดถึง 1.5 เท่าสำหรับเมืองรอง และแคมเปญ “Season of North 2026” ที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ย่อมเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะทำให้เกิดกรณีศึกษาแบบนี้มากขึ้นในอนาคต

สำหรับวิโรจน์และทีมงาน พวกเขาได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 พร้อมจัดดอกไม้และตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเยือน บ้านไร่ ไออรุณ ในจังหวัดระนอง ด้วยการบริการที่ดียิ่งขึ้น จากประสบการณ์และแรงบันดาลใจที่ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้

“โคตรภูมิใจ” คำพูดสั้นๆ ที่วิโรจน์ใช้สรุปทริปนี้ สะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ประกอบการรายเล็กที่กล้าตัดสินใจลงทุนในคน และได้เห็นรอยยิ้มความสุขของพนักงานทุกคนที่ได้ออกไปสัมผัสโลกกว้าง ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่มีวันลืม บนยอดดอยแห่งเชียงราย จังหวัดเมืองรองเหนือสุดของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

โรงไฟฟ้าขยะพาน-ป่าหุ่ง เดินหน้า WTE 1.9 พันล้าน! ท้าพิสูจน์ระบบปิดต่อหน้าความกังวลชุมชน

โรงไฟฟ้าขยะ “พาน–ป่าหุ่ง” ศึกใหญ่ระหว่าง “วาระแห่งชาติ” กับ “สิทธิชุมชน” เมื่อเทคโนโลยีระบบปิดต้องพิสูจน์ความไว้ใจต่อหน้าแหล่งน้ำ–โบราณสถาน

เชียงราย, 31 ตุลาคม 2568 — ความพยายามแก้ปัญหาขยะเชิงโครงสร้างด้วย “โครงการบริหารและจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงานไฟฟ้า ระบบปิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” (Waste-to-Energy: WTE) ขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าหุ่ง กำลังเดินทางสู่จุดตัดสินเชิงนโยบายครั้งสำคัญ หลังเวที “รับฟัง–ทำความเข้าใจ” เมื่อ 24 กรกฎาคม 2568 เปิดข้อเท็จจริงและตัวเลขที่ตรงไปตรงมาว่า แม้ “เสียงเห็นด้วย” จะเป็นข้างมาก แต่ “ความวิตก” ต่อผลกระทบด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และพื้นที่อ่อนไหว กลับยังสูงและยังต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้จากรัฐและผู้ลงทุน (เวทีจัดที่โรงเรียนบ้านร่องคตสันปูเลย อ.พาน จ.เชียงราย เวลา 08.30–12.00 น.)

สาระสำคัญเชิงนโยบาย

  1. อย่าข้ามขั้นตอนกฎหมาย: พิสูจน์พื้นที่ “ไม่ขัด CoP–กกพ.–สธ.–มติ ครม.” ด้วยแผนที่/เอกสารโต๊ะเดียวกัน
  2. ทำให้ความโปร่งใส “จับต้องได้”: CEMs เปิดสาธารณะ–Trigger Alarm–Protocol หยุดเครื่อง–เผยแพร่ผลไดออกซิน/โลหะหนัก
  3. คืนประโยชน์ชุมชนอย่างยุติธรรม: กองทุนสิ่งแวดล้อม–ตรวจสุขภาพ–สิทธิการร่วมกำกับ–มาตรการคุ้มครองจุดเปราะบาง

จาก “จุดตั้งเดิม” ติดโบราณสถาน สู่การ “ย้ายพื้นที่” ริมทางหลวงหมายเลข 1

โครงการ WTE ของ อบต.ป่าหุ่งถูกผลักดันในฐานะกลไกหลักของ “คลัสเตอร์ 3” เพื่อรองรับขยะรวม 428.63 ตัน/วัน จาก อปท.ร่วมเครือข่าย 51 แห่ง และเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าขนาด 9.9 เมกะวัตต์ (ขายเข้าระบบได้ 8 เมกะวัตต์) โดยใช้ขยะอย่างน้อย 500 ตัน/วัน โครงการออกแบบให้ก่อสร้างบนที่ดินเอกชนไม่น้อยกว่า 45 ไร่ และมีกรอบลงทุน ไม่ต่ำกว่า 1,900 ล้านบาท ระยะสัญญา 25 ปี ภายใต้นโยบายรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทน (VSPP ≤10 MW)

เดิม สถานที่ดำเนินการได้รับความเห็นชอบที่ หมู่ 12 บ้านห้วยประสิทธิ์ ต.ป่าหุ่ง แต่ถูก “เบรก” หลังสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ยืนยันการมีอยู่ของ โบราณสถานสันกู่ และ กู่หัวแมน ในรัศมีที่กฎหมายและระเบียบห้ามตั้งโรงไฟฟ้า ส่งผลให้ อบต.ป่าหุ่งต้อง “ย้ายพื้นที่” ไปยังตัวเลือกใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ ม.4 บ้านท่าหล่ม ต.ทานตะวัน, ม.6 บ้านสันไม้ฮาม และ ม.9 บ้านสุขสันติ ต.แม่เย็น ซึ่งทั้งหมดอยู่ใกล้ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 และจุดเชื่อมโยงไฟฟ้าไปสถานีไฟฟ้าพานวงจร PAN01/PAN02 ได้ภายในรัศมีขยายเขตไม่เกิน 5 กม.

กติกาก่อนเดินหน้า เพดานกฎหมาย “CoP–กกพ.–สธ.” กำหนดเส้นที่ห้ามข้าม

การพิจารณาพื้นที่ใหม่ถูกออกแบบให้ สอดคล้องประมวลหลักปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) ปี 2565 สำหรับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงเผาไหม้กำลังติดตั้งต่ำกว่า 10 MW ซึ่งกำหนดชัดว่า “สถานที่ตั้งต้องไม่ขัดกฎหมายผังเมือง สิ่งแวดล้อม โบราณสถาน และมติ ครม.” และ ต้องไม่ตั้งอยู่ “ใน” หรือ “ใกล้” เขตอ่อนไหวในระยะ 1 กิโลเมตร เช่น อุทยาน/เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า/โบราณสถาน เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น “แบบรับรองตนเองที่ตั้งโครงการ” ของ กกพ. ยังระบุว่า ห้ามตั้งในพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม. และ ลุ่มน้ำชั้น 1–2 ซึ่งเชื่อมโยงกับข้อกังวลเรื่อง “หนองฮ่าง” พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญของชุมชนในอำเภอพานโดยตรง (แม้โครงการประกาศ “ระบบปิด–Zero Discharge” แต่เพียงคำประกาศยังไม่เพียงพอต่อการตัดความเสี่ยงเชิงพื้นที่ ต้องพิสูจน์ด้วยผังและมาตรการบริหารจัดการน้ำเสียเชิงประจักษ์)

 

ด้าน หลักเกณฑ์สาธารณสุขเรื่องการฝังกลบกากเถ้าจากการเผา ยังย้ำ “ห้าม” ใช้พื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ/นานาชาติ ลุ่มน้ำชั้น 1–2 เขตอนุรักษ์ หรือพื้นที่เสี่ยง และต้องคำนึงถึงสภาพธรณีที่มั่นคง (ในทางปฏิบัติ เท่ากับบังคับให้ผู้ออกแบบกำหนด “ปลายทางเถ้าหนัก–เถ้าลอย” ที่ปลอดภัย นอกเหนือจากการว่าจ้างผู้รับกำจัดที่ได้รับใบอนุญาต)

เวที “รับฟัง–ทำความเข้าใจ” เสียงส่วนใหญ่ “ยินดี” แต่ “ความกังวล” ยังไม่ตกเกณฑ์ปลอดภัยทางสังคม

เวทีรับฟัง–ทำความเข้าใจ เมื่อ 24 ก.ค. 2568 มีผู้เข้าร่วมจาก 3 ตำบลในรัศมี 3 กม. 1,552 คน (ไม่นับรวมหัวหน้าส่วนราชการ 34 คน) และส่งคืนแบบประเมิน 1,446 ฉบับ ตัวเลข “เห็นควร” ให้จัดการขยะเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 57.26% และ 56.85% “ยินดีให้ดำเนินโครงการ” ขณะที่ 23.17% ไม่ยินดี ทั้งนี้ เมื่อถาม “ความวิตกกังวลภาพรวม” มี 42.95% วิตกเล็กน้อย และ 20.54% วิตกมาก (ตัวเลขนี้สะท้อนโจทย์ด้าน “สังคมยอมรับ” โดยตรง: แม้เสียงสนับสนุนเป็นข้างมาก แต่ความไว้วางใจยังไม่ “ล็อกอิน”) ที่มา: รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจฯ ของ อบต.ป่าหุ่ง (ภาคผลการประชุมและแบบประเมิน)

ประเด็นกังวลหลัก จากห้องประชุมคือ

  • มลพิษอากาศ โดยเฉพาะ ไดออกซิน/ฟิวแรน, ก๊าซกรด (HCl/SOx/NOx) และ ฝุ่น PM2.5
  • น้ำชะขยะ ต่อ หนองฮ่าง (พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญตามมติ ครม.)
  • ความเสี่ยงฉุกเฉิน หากเกิดเหตุ emergency breakdown ในรัศมีที่มีโรงพยาบาล–อนามัย–ศูนย์เด็กเล็ก

คำถามจาก นพ.ตรีวัตน์ วงศ์ขุนสุวรรณ ตัวแทนชุมชน ตอกย้ำโจทย์ กรณีเลวร้ายสุด” (worst case) ว่า รัศมีประเมินผลกระทบและมาตรการฉุกเฉิน เผื่อ” พอสอดคล้องกับความจริงของภูมิประเทศและชุมชนรอบข้างแล้วหรือไม่ (บันทึกคำถาม: ส่วน Q&A เวที 24 ก.ค. 2568 ในรายงานฯ)

คำตอบจากฝั่งโครงการ “ระบบปิด + เตาเผาตะกรับ + CEMs + Zero Discharge” คือกลไกคุมเสี่ยง

ฝั่ง อบต.ป่าหุ่ง และทีมที่ปรึกษาอธิบาย “เทคโนโลยีระบบปิด” โดยใช้ เตาเผาแบบตะกรับเคลื่อนที่ (Moving Grate) ควบคุมอุณหภูมิในเตา 800–1,200°C โดยถือหลัก >850°C นาน ≥2 วินาที เพื่อทำลาย ไดออกซิน/ฟิวแรน ก่อนส่งก๊าซไอเสียผ่าน หม้อไอน้ำ–กำจัดมลพิษ หลายชั้น (ถ่านกัมมันต์–bag filter ฯลฯ) และติดตั้ง ระบบติดตามมลพิษปล่องแบบต่อเนื่อง (CEMs) รวมถึงการออกแบบอาคารรับขยะให้เป็น ความดันต่ำ เพื่อกันกลิ่น/ฝุ่นฟุ้งกระจาย

 

ส่วน น้ำเสีย–น้ำชะขยะ โครงการยืนยันแนวทาง “Zero Discharge” คือรวบรวม–บำบัด (ชีวภาพ/RO) แล้ว หมุนเวียนใช้ภายในโครงการทั้งหมด เช่น ล้างล้อรถ/รดน้ำพื้นที่สีเขียว ไม่ปล่อยสู่แหล่งน้ำสาธารณะ” (อย่างไรก็ดี สำหรับชุมชน คีย์เวิร์ดคือ “หลักฐานเชิงพื้นที่–เส้นทางน้ำ–ความหนาแน่นการกันน้ำ” ไม่ใช่คำประกาศเพียงอย่างเดียว)

กากเถ้า จะแยกเป็น เถ้าหนัก (~15%) และ เถ้าลอย (~3%) จัดส่งบริษัทกำจัดกากที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ประเด็นนี้ผูกกับกฎกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง “ที่ตั้งแหล่งฝังกลบ” ซึ่งห้ามพื้นที่ชุ่มน้ำ/ลุ่มน้ำชั้น 1–2 ฯลฯ ดังอ้างข้างต้น)

เส้นบาง ๆ” ระหว่าง โครงการสาธารณะจำเป็น กับ ความชอบธรรมทางสังคม

ในเชิงนโยบาย โครงการ WTE ของคลัสเตอร์ 3 ถูกออกแบบเพื่อแก้ปัญหา “ขยะล้น/เผากลางแจ้ง–control dump” ที่กดทับคุณภาพอากาศ–น้ำ–ดินมานาน และเพื่อบูรณาการขยะใหม่ 428.63 ตัน/วัน รวมถึง ขยะสะสม 168,265 ตัน ให้เข้าสู่ระบบกำจัดที่ถูกต้อง และสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นไฟฟ้า 9.9 MW ขายเข้าระบบ 8 MW ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายจังหวัดเดินหน้าอยู่ (ข้อเท็จจริงนี้สะท้อน “เหตุผลและความจำเป็น” ตามเอกสารรายงาน)

แต่อีกด้าน เส้น “ความชอบธรรมทางสังคม” ถูก กฎหมาย–ระเบียบ กำหนดไว้ชัด ทั้ง CoP 2565, ประกาศ กกพ. 2564, และ กติกาสาธารณสุข ว่าห้ามตั้งในเขตอ่อนไหว และต้องพิสูจน์ ไม่กระทบพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม.” ข้อนี้ทำให้ ผังระบบน้ำ–แนวกันน้ำ–ความสูงท่อปล่อง–ผลแบบจำลองแพร่กระจายมลพิษ กลายเป็น “หลักฐาน” ที่ชุมชนต้องได้เห็น ก่อน ตัดสินใจยินยอมร่วมกัน (free, prior and informed consent ในทางสิทธิชุมชน)

วิเคราะห์ “ความเสี่ยงสาระสำคัญ” ที่ยังต้องตอบให้จบ

  1. ความเสี่ยงเชิงพื้นที่ (Sensitive Receptors)
    พื้นที่เป้าหมายรายล้อมด้วยชุมชน–วัด–โรงเรียน–พื้นที่เกษตรและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การประเมินผลกระทบต้อง “ทำแผนที่ความเสี่ยง” (risk mapping) แสดงบ้านเรือน/โรงเรียน/ศาสนสถาน/ศูนย์เด็ก/สถานพยาบาล และเส้นทางลม–ทางน้ำ ตลอดจนระยะเผื่อกรณีฉุกเฉิน (ข้อกำหนด กกพ.เรื่องระยะห่างสาธารณสถาน 100 เมตร และข้อยกเว้น/ผ่อนผัน หากมี)
  2. คุณภาพอากาศ–ปล่อง–CEMs
    แม้เทคโนโลยีตะกรับ + ถ่านกัมมันต์ + bag filter + CEMs จะเป็นมาตรฐานโลก แต่ความเชื่อมั่นเกิดจาก ข้อมูลเปิดเผยแบบเรียลไทม์ (near-real time) ให้ชุมชนเข้าถึงค่ามลพิษปล่องอย่างต่อเนื่อง พร้อม Trigger Alarm ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (pre-alarm/critical alarm) รวมถึง protocol หยุดเดินเครื่อง อัตโนมัติเมื่อค่าเกินเกณฑ์ (ข้อเท็จจริง: รายงานโครงการระบุถัง–อุปกรณ์ควบคุมหลายชั้นและ CEMs ที่ปากปล่อง)
  3. น้ำชะขยะ–Zero Discharge
    คำว่า “ศูนย์การระบาย” ต้องลงรายละเอียด เส้นทางท่อ–ขีดความสามารถบำบัด–การสำรองไฟ–การสำรองบ่อ–การบริหารกรณีฝนสุดขั้ว ตลอดจน การทดสอบเชิงสภาวะเลวร้ายสุด (stress test) ที่รับประกันว่า “น้ำเสียไม่หลุด” สู่หนองฮ่างและคลองชลประทาน (สัมพันธ์กับข้อจำกัดพื้นที่ชุ่มน้ำตามกฎหมาย)
  4. กากเถ้า–ปลายทาง
    ต้องประกาศ คู่สัญญากำจัดกาก ที่ได้รับอนุญาต, เส้นทางขนส่ง, ใบกำกับ/Manifest, จุดฝังกลบ ที่ไม่ขัดประกาศสาธารณสุข (ห้ามลุ่มน้ำ 1–2, ห้ามพื้นที่ชุ่มน้ำ ฯลฯ) และ ผลทดสอบคุณลักษณะกาก (TCLP) เป็นระยะ เพื่อปิดความเสี่ยงการรั่วไหลในห่วงโซ่
  5. การมีส่วนร่วม–ความเป็นธรรม 절차 (Procedural Justice)
    จากบทเรียนย้ายจุดตั้งเดิมเพราะโบราณสถาน การสื่อสารครั้งใหม่ต้อง “เขย่าความไว้ใจ” ด้วย การเชิญทุกครัวเรือนในรัศมี 3 กม. ให้เข้าถึงข้อมูล ทางเลือกหลายฉากทัศน์ (ทำ/ไม่ทำ/ทำแต่ออกแบบเสริม) พร้อม มาตรการชดเชย–กองทุนสิ่งแวดล้อม–สวัสดิการสุขภาพ ที่คำนวณจาก ปริมาณขยะจริง–โหลดมลพิษจริง ไม่ใช่ตัวเลขประมาณการลอย ๆ (รายงานเวที 24 ก.ค. 2568 ระบุขอบเขตกลุ่มเป้าหมาย–ขั้นตอนประชาสัมพันธ์–กำหนดการประชุมไว้อย่างเป็นทางการ)

ข้อเสนอเชิงนโยบาย “สามชั้นป้องกัน” เพื่อคลี่คลายความเสี่ยงและสร้างฉันทามติ

ชั้นที่ 1: พิสูจน์ความสอดคล้องกฎหมาย–ผังพื้นที่ (Compliance by Design)

  • เผยแพร่ แผนที่ข้อจำกัดกฎหมาย: เส้น 1 กม. จากโบราณสถาน/ศาสนสถาน/สาธารณสถาน, แนวเขตพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม., ลุ่มน้ำชั้น 1–2, เขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม—ซ้อนทับกับผังโครงการให้ประชาชนตรวจสอบได้เอง (สอดคล้อง CoP/กกพ./สธ.)
  • ทำ Micro-Siting Study เปรียบเทียบตัวเลือก 3 พื้นที่ (ท่าหล่ม/สันไม้ฮาม/สุขสันติ) ด้วยดัชนีความเสี่ยงต่ออากาศ–น้ำ–เสียง–การจราจร–สังคม–โบราณสถาน–พื้นที่ชุ่มน้ำ แล้วเปิดผลเปรียบเทียบทางเลือก (รวม “ทางเลือกศูนย์” คือไม่ดำเนินการ)

ชั้นที่ 2: คุมมลพิษแบบโปร่งใส (Performance with Transparency)

  • ติดตั้ง CEMs + ป้ายจอหน้าประตูโรงไฟฟ้า แสดงค่ามลพิษปล่องแบบเรียลไทม์และย้อนหลัง พร้อม แดชบอร์ดออนไลน์ ให้ชุมชนเข้าถึงได้ 24 ชม. และ ระบบเตือนภัยชุมชน เมื่อค่าเข้าโซนเฝ้าระวัง
  • เปิด ผลตรวจไดออกซิน/โลหะหนัก รายไตรมาสจากห้องปฏิบัติการอิสระ พร้อม Protocol หยุดเดินเครื่อง หากค่าพุ่ง และ มาตรการทางปกครอง–สัญญา กรณีฝ่าฝืน
  • ทำ Stress Test น้ำเสีย เผยแพร่ผลทดสอบระบบกัก/บำบัด–สำรองไฟ–สำรองบ่อ รองรับเหตุฝนสุดขั้ว (AR5/AR6) และแผนซ้อมฉุกเฉินกับ รพ.–อนามัย–รพ.สต.–ศูนย์เด็กเล็ก

ชั้นที่ 3: ประโยชน์คืนชุมชน (Benefit-Sharing & Health Safeguard)

  • จัดตั้ง กองทุนสิ่งแวดล้อม–สุขภาพชุมชน บริหารร่วม โดยคิดจาก ตันขยะจริง–ชั่วโมงเดินเครื่องจริง ใช้ตรวจสุขภาพกลุ่มเสี่ยง/ติดตามมลพิษสิ่งแวดล้อม/พัฒนาพื้นที่สีเขียว
  • ทำ Community Monitoring สร้าง “อาสาสมัครเฝ้าระวัง” ที่ผ่านการอบรม เข้าถึงพื้นที่–ข้อมูล–ห้องควบคุม–จุดตรวจมลพิษได้ตามสิทธิ
  • กำหนด มาตรการชดเชย เฉพาะพื้นที่เปราะบาง (โรงเรียน/ศูนย์เด็ก/สถานพยาบาล/แหล่งน้ำชุมชน) เช่น ติดตั้งฟอกอากาศ, ระบบน้ำสะอาดสำรอง, เขตกันชนเขียว

ภาพใหญ่เศรษฐกิจ–สิ่งแวดล้อม “ขยะ” เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส — แต่ “ความไว้วางใจ” คือใบอนุญาตตัวจริง

ข้อเท็จจริงจากรายงานชี้ว่า เป้าหมายของโครงการไม่ใช่เพียง “ผลิตไฟฟ้า” แต่เพื่อ หยุดวงจรเผากลางแจ้ง/เทกอง ที่ก่อมลพิษเรื้อรัง พร้อมยกระดับการจัดการขยะของทั้ง อำเภอพาน–พื้นที่รอบข้าง สู่มาตรฐานสากล (Waste-to-Energy แบบระบบปิด) และเพิ่มความมั่นคงพลังงานท้องถิ่น แต่ในโลกความจริง ใบอนุญาตทางสังคม (Social License) คือสิ่งที่ “ซื้อไม่ได้” ต้องใช้ความโปร่งใส–การมีส่วนร่วม–ข้อมูลเชิงประจักษ์แลกมาเท่านั้น

เกมยาวที่ต้อง “ชนะด้วยหลักฐาน”

ตัวเลขบนเวที 24 ก.ค. 2568 ทำให้เห็นว่า “สังคมพร้อมคุย” แต่ ยังไม่พร้อมเชื่อ โครงการ WTE พาน–ป่าหุ่งจึงต้อง ขยับจาก “คำอธิบาย” ไปสู่ “หลักฐาน”—ผังพื้นที่ชัดเจน, แบบจำลองแพร่กระจายมลพิษ, แผน Zero Discharge ที่ทดสอบได้, แผนฉุกเฉิน worst-case ที่ฝึกซ้อมจริง, และระบบ CEMs ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พ่วง “สัญญาสังคม” เรื่องกองทุนสิ่งแวดล้อมและสิทธิการกำกับดูแลโดยชุมชน

เพราะในท้ายที่สุด นอกเหนือจากการพิสูจน์ “สอดคล้องกฎหมาย” (CoP–กกพ.–สธ.) คือการพิสูจน์ว่า โครงการพร้อม อยู่ร่วมกับหนองฮ่าง–ชุมชน–โบราณสถาน อย่างเคารพและรับผิดชอบได้จริง หากทำได้ การจัดการขยะตามวาระแห่งชาติจะไม่ใช่ “ภาระ” แต่คือ ภูมิคุ้มกันสิ่งแวดล้อม ของเชียงรายรุ่นถัดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย โครงการบริหารและจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงานไฟฟ้า
  • องค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง 
  • สถาบันที่ปรึกษาด้านพลังงาน/วิศวกรรมของโครงการ
  • คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และประมวลหลักปฏิบัติ (CoP 2565)  
  • กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

หนองน้ำพุ 82 ไร่ พร้อมใช้งาน! อบต.โป่งผา รับมอบพื้นที่-เดินหน้า “เฟส 2” เชื่อมถ้ำหลวง

หนองน้ำพุ” แลนด์มาร์กใหม่ชายแดนแม่สาย 180 ล้านบาทจากโยธาธิการฯ สู่มือ อบต.โป่งผา ปักธงเมืองสุขภาพ–ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ บนโจทย์ยั่งยืนระยะยาว

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 — พื้นที่ชุ่มน้ำขนาดสำคัญของตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย ที่ชาวบ้านคุ้นชื่อว่า “หนองน้ำพุ” กำลังเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์จากแหล่งพักผ่อนของชุมชน สู่ สวนสาธารณะเชิงนิเวศและศูนย์สุขภาพกลางแจ้ง ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับกิจกรรมสาธารณะระดับอำเภอและจังหวัด หลัง กรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) กระทรวงมหาดไทย ส่งมอบผลงานก่อสร้างตาม งบประมาณ 180 ล้านบาท ให้ องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา) เป็นผู้ดูแลบำรุงรักษา และวางธงเดินหน้า “เฟส 2” เพื่อยกระดับฟังก์ชันการใช้งานให้ครบวงจรด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง

ท้องถิ่นร่วมพัฒนาและเห็นผลเป็นรูปธรรม วันนี้เราส่งมอบพื้นที่ที่ประชาชนใช้งานจริง และพร้อมสนับสนุนต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด”นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง

 “ทุนกายภาพ–ทุนสังคม–ทุนนโยบาย” พร้อม แต่ความยั่งยืนต้องมี “แผนดูแลหลังส่งมอบ” ที่จับต้องได้

การส่งมอบโครงการมูลค่า 180 ล้านบาทในวันนี้สะท้อน 3 ปัจจัยบวกที่มาบรรจบกันอย่างน่าสนใจ

  1. ทุนกายภาพ (Physical Capital): สวนสาธารณะกว่า 82 ไร่ โครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้ มีลู่วิ่ง–ลานกิจกรรม–พื้นที่สีเขียวเชื่อมโยงทัศนียภาพ ดอยนางนอน และ “หนองน้ำพุ” ที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานช่วยลดอุปสรรคด้านการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะคุณภาพ (public open space) ให้กับประชาชนทุกกลุ่มวัย
  2. ทุนสังคม (Social Capital): ตัวเลขผู้มาใช้บริการออกกำลังกายและทำกิจกรรมแล้ว กว่า 20,000 คน เป็น “หลักฐานเชิงพฤติกรรม” ว่าพื้นที่ตอบโจทย์จริง สร้างความผูกพันระหว่างพื้นที่–คน–กิจกรรม และกลายเป็นเวทีชุมชนที่เข้มแข็งได้
  3. ทุนเชิงนโยบาย (Policy Capital): การผลักดันของ ยผ. ภายใต้มติและทิศทาง “พัฒนาเมืองปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และบำบัดทุกข์ บำรุงสุข” บวกกับวิสัยทัศน์ของ อบต.โป่งผา ที่ชัดเรื่อง “ศูนย์สุขภาพกลางแจ้ง–ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ” ทำให้แนวทางเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะเป็นเครื่องมือสุขภาวะ (Health in All Policies) เดินได้จริง

อย่างไรก็ดี โจทย์ยากหลังพิธีส่งมอบ คือ “แผนดูแล–บำรุงรักษา (O&M)” ระยะยาวให้คงคุณภาพ ทั้งเรื่องงบประมาณประจำปี, ระบบสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ/ผู้พิการ (universal design), การจัดการขยะ–น้ำเสียในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว, การบริหารความปลอดภัย–การจราจร, ตลอดจน แผนพัฒนาเฟส 2 ที่ต้องชัดเจนว่าลงทุนอะไร–เพื่อใคร–ชุมชนได้ประโยชน์อย่างไร และสอดคล้องกับธรรมชาติของพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างไร นี่คือ “บททดสอบความยั่งยืน” ที่ท้องถิ่นต้องตอบให้ได้ตั้งแต่วันนี้

ส่งมอบความสำเร็จ โครงงาน 3 ปี งบ 180 ล้านบาท สวนสาธารณะ–แลนด์มาร์ก 82 ไร่ ใช้งานจริงแล้วหมื่นราย

พิธีส่งมอบจากกรมโยธาธิการและผังเมืองสู่ อบต.โป่งผา ครอบคลุมผลงานก่อสร้างในกรอบ พัฒนาพื้นที่รอบอุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ)” โดยมีสาระสำคัญดังนี้

  • กรอบงบประมาณ: 180 ล้านบาท
  • กรอบเวลา: พ.ศ. 2566–2568 (รวม 3 ปี)
  • ขนาดพื้นที่พัฒนา: สวนสาธารณะและแลนด์มาร์กแห่งใหม่ กว่า 82 ไร่
  • ผลใช้งาน: มีผู้มาใช้บริการเพื่อออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่า 20,000 คน (นับถึงก่อนวันส่งมอบอย่างเป็นทางการ)
  • ฐานคิดการออกแบบ: เชื่อมโยงคุณค่าธรรมชาติ–ภูมิทัศน์ของ “หนองน้ำพุ” และ ดอยนางนอน ให้เป็นฉาก (backdrop) เพื่อกิจกรรมสำหรับทุกช่วงวัย ตั้งแต่เดิน–วิ่ง–ปั่นจักรยาน–ออกกำลังผู้สูงวัย–กิจกรรมครอบครัว–ตลาดชุมชน–กิจกรรมวัฒนธรรม

เราขอขอบคุณ ยผ. ที่สนับสนุนงบประมาณและขับเคลื่อนจนสำเร็จ วันนี้ชุมชนโป่งผามีพื้นที่สาธารณะคุณภาพ และเราพร้อมทำเฟส 2 ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในมิติสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชน”ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา

ด้วยทำเลที่ตั้ง หมู่ 1 ต.โป่งผา อ.แม่สาย ซึ่งเป็น ด่านหน้าชายแดนไทย–เมียนมา ด้านเหนือสุดของไทย พื้นที่ดังกล่าวจึงมีศักยภาพต่อยอดเป็น “เกตเวย์ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและสุขภาพ” เชื่อม อุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน, ตัวเมืองแม่สาย, แหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม, ตลาดชายแดน และจุดชมวิวธรรมชาติ กลายเป็น “จุดพัก–จุดรวมพล–จุดกิจกรรม” ที่กระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการท้องถิ่น

อัตลักษณ์ “หนองน้ำพุ” ธรรมชาติ–ตำนาน–ความทรงจำร่วม ของคนทั้งอำเภอ

เอกลักษณ์ของ “หนองน้ำพุ” ไม่ได้มีเพียงทัศนียภาพรายล้อมภูเขา หากยังมี ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ชาวบ้านเล่าขานว่า เมื่อเกิดเสียงดัง เช่น เคาะไม้–เคาะปี๊บ จะมีฟองน้ำพุผุดขึ้นเองจากผิวน้ำ สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนและกลายเป็นเรื่องเล่า (narrative) ของพื้นที่ นอกจากนี้ “หนองน้ำพุ” ยังเชื่อมโยง ความทรงจำร่วมระดับชาติ จากเหตุการณ์ช่วยเหลือทีมฟุตบอลเยาวชนใน ถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน เมื่อหลายปีก่อน ทำให้ชื่อของพื้นที่นี้ปรากฏในเส้นทางท่องเที่ยวและสื่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง

ในเชิงระบบนิเวศ “หนองน้ำพุ” ทำหน้าที่ราว ฟองน้ำธรรมชาติ (natural sponge) ที่ช่วยเก็บกักน้ำหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรในฤดูแล้ง และบรรเทาน้ำหลากในฤดูฝน เมื่อถูกพัฒนาให้เป็นสวนสาธารณะเชิงนิเวศ จึงมีบทบาทเสริมสร้าง ภูมิคุ้มกันพื้นที่ (area resilience) ทั้งด้านน้ำ อากาศ และความร้อนในเมือง (urban heat) โดยธรรมชาติของพื้นที่สีเขียว–สายน้ำ จะช่วยลดอุณหภูมิ สร้างร่มเงา และพื้นที่พักฟื้นสำหรับสัตว์นานาชนิด

หนองน้ำพุไม่ใช่เพียงสวนสาธารณะ แต่เป็นห้องเรียนธรรมชาติของคนแม่สาย ที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่ได้เติบโตพร้อมความหวงแหนสิ่งแวดล้อม”ตัวแทนชุมชนผู้ใช้งานกิจกรรมออกกำลังกาย (สะท้อนความเห็นในเวทีกิจกรรมชุมชน)

เมืองสุขภาพชายแดน สวนสาธารณะคุณภาพที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

แนวทาง “ศูนย์สุขภาพกลางแจ้ง” (Outdoor Health Hub) ที่ อบต.โป่งผาและภาคีท้องถิ่นร่วมกันขับเคลื่อน สอดคล้องกับแนวโน้มสังคมสูงวัยและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (wellness) ที่เติบโตในจังหวัดเชียงราย โครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่งส่งมอบช่วยให้เกิด “ต้นทุนสาธารณะ” ที่ผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถเชื่อมต่อกิจกรรมได้หลายมิติ เช่น

  • กิจกรรมกีฬา–มินิมาราธอน–ปั่นจักรยานชุมชน: สร้างการรับรู้และดึงนักท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม
  • ตลาดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น–สุขภาพ: ผักปลอดภัย, ชา–กาแฟ, สมุนไพร, อาหารเหนือเพื่อสุขภาพ เชื่อม “เส้นทางกาแฟ–ชาเชียงราย”
  • กิจกรรมครอบครัว–เทศกาลวัฒนธรรม: เวทีศิลปวัฒนธรรมล้านนา, ดนตรีในสวน, กิจกรรมเรียนรู้สิ่งแวดล้อม
  • คลินิกสุขภาพชุมชนในพื้นที่เปิด: ลานกายภาพ–โยคะ–ไทชิ–ตรวจสุขภาพเบื้องต้น ร่วมกับโรงพยาบาล–รพ.สต.

ประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น กระจายตัว ไปยังผู้ค้าชุมชน ผู้ให้บริการท่องเที่ยวรายย่อย และเกษตรกรที่เชื่อมโยงโซ่อุปทานอาหาร–เครื่องดื่มสุขภาพ ขณะเดียวกัน คุณภาพชีวิต ของประชาชนดีขึ้นผ่านการเข้าถึงพื้นที่ออกกำลังกายใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว และเพิ่มโอกาสการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

เฟส 2 ต้องชัด จาก “สวนสาธารณะ” สู่ “ห้องเครื่องยั่งยืน” ของชุมชน

แม้พิธีส่งมอบในวันนี้ยืนยันความพร้อมใช้งาน แต่ ความยั่งยืน จะเกิดจริงต่อเมื่อมี “พิมพ์เขียวเฟส 2” ที่ระบุชัดว่า

  1. O&M ระยะยาว: แผนงบประมาณบำรุงรักษา–ตัดหญ้า–ดูแลต้นไม้–ซ่อมพื้นผิวทาง–ไฟส่องสว่าง–ระบบระบายน้ำ–จุดนั่งพัก–ห้องน้ำ–ความสะอาด–ความปลอดภัย ต้องระบุวงเงินต่อปี แหล่งงบ และตัวชี้วัดคุณภาพ (service level)
  2. Universal Design เต็มรูปแบบ: ทางลาด–ราวจับ–ห้องน้ำผู้ใช้วีลแชร์–พื้นผิวต่างสัมผัส–ป้ายอักษรเบรลล์–จุดนั่งพักทุก 100–150 เมตร ให้ผู้สูงอายุ/ผู้พิการเข้าถึงได้เท่าเทียม
  3. Environmental Management: แผนจัดการขยะ (คัดแยก–ถังรีไซเคิล–จุดรองรับขยะกิจกรรม), น้ำเสีย (บ่อดักไขมัน–ระบบบำบัดจุดให้บริการอาหารชุมชน), ความหลากหลายทางชีวภาพ (ปลูก–ดูแลพันธุ์ไม้ท้องถิ่น/พื้นที่ชุ่มน้ำ), การป้องกันการชะล้างพังทลายตลิ่ง, ระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำหนองน้ำพุรายไตรมาส
  4. Safety & Mobility: แผนจราจรในช่วงกิจกรรมใหญ่, จุดรับ–ส่ง, ที่จอดรถ–จักรยาน, ระบบไฟส่องสว่าง, กล้องวงจรปิด, สายด่วนอาสาสมัครสวนสาธารณะ, ซ้อมแผนฉุกเฉินทางการแพทย์เบื้องต้นร่วมกับ รพ.สต./อปพร.
  5. Governance & Participation: คณะกรรมการบริหารพื้นที่ที่มีตัวแทนชุมชน–ผู้สูงอายุ–เยาวชน–ผู้ประกอบการ ร่วมวางแผนตารางกิจกรรม–กำกับดูแลงบประมาณ–ติดตามประสิทธิภาพ โดยเปิดแดชบอร์ดสาธารณะให้ประชาชนตรวจสอบได้
  6. เศรษฐกิจชุมชน–แบรนด์ปลายทาง: ยกระดับ “หนองน้ำพุ” เป็น แบรนด์จุดหมาย (destination brand) ของชายแดนแม่สาย สื่อสารเรื่องเล่าธรรมชาติ–วัฒนธรรม–สุขภาพ ผ่านป้ายความรู้หลายภาษา (ไทย–อังกฤษ–จีน) และกิจกรรมสม่ำเสมอทั้งปี

การพัฒนาจะสมบูรณ์เมื่อคนในชุมชนเป็นเจ้าของร่วม และมีเครื่องมือกำกับดูแลคุณภาพพื้นที่ได้ด้วยตนเอง”ข้อเสนอเชิงนโยบายของผู้สื่อข่าวต่อ อบต. และภาคี

ตัวเลขที่ชวนคิด: ผู้ใช้บริการ 20,000 คน—สัญญาณคำตอบของ “ดีมานด์” จริง

  • 20,000 คนขึ้นไป ที่เข้ามาใช้งานก่อนวันส่งมอบ เป็นดัชนีชี้ว่าพื้นที่ใหม่ ลดต้นทุนการเดินทาง ของคนในชุมชนที่ต้องการออกกำลังกาย–ทำกิจกรรมครอบครัว
  • 82 ไร่ ของพื้นที่สีเขียว เพิ่ม “พื้นผิวเย็น” ลดปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island) มีผลดีต่อสุขภาวะผู้สูงอายุ–เด็กเล็ก
  • ทำเลชายแดนแม่สาย เปิดโอกาสเชื่อม ท่องเที่ยวข้ามแดน (cross-border) สู่เมียนมา ในวันที่การเดินทางข้ามแดนคล่องตัวขึ้นในอนาคต
  • กิจกรรมประจำสัปดาห์–เทศกาลประจำปี สามารถสร้าง เม็ดเงินหมุนเวียนแบบกระจายตัว สู่พ่อค้า–แม่ค้า–เกษตรกร–ผู้ให้บริการท้องถิ่น หากมีระบบอนุญาตใช้พื้นที่ที่ชัดเจนและเป็นธรรม

หมายเหตุเชิงข้อมูล ฝ่ายสื่อสารท้องถิ่นบางแหล่งระบุ “หนองน้ำพุ” มีพื้นที่ผืนน้ำราว 6 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 3,750 ไร่) ซึ่ง ใหญ่กว่าขนาดพัฒนา 82 ไร่ มาก ผู้สื่อข่าวจึงเสนอให้หน่วยงานท้องถิ่น สื่อสารความหมายให้ชัดเจน ว่า “82 ไร่” คือ ขอบเขตสวนสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่ขนาดผืนน้ำทั้งหมด เพื่อป้องกันความสับสนของสาธารณะ และให้สอดคล้องกับแผนที่รูปธรรม

เส้นทางสู่ “เมืองสุขภาวะชายแดน” การบ้านที่ต้องทำให้ครบ

  1. วาระสุขภาพตลอดชีวิต: จัด “เมนูพื้นที่” สำหรับแต่ละช่วงวัย—ลานเด็กเล็ก, ลานเยาวชน, ลานผู้สูงอายุ, เส้นทางเดินเท้าปลอดภัย, สถานีออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างเหมาะสม
  2. เครือข่ายโรงเรียน–รพ.สต.: สร้างกิจกรรมพละ–สุขศึกษา–ค่ายเยาวชน, จุดตรวจสุขภาพเบื้องต้น, มุมความรู้โภชนาการ
  3. ระบบสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment): เซ็นเซอร์คุณภาพอากาศ–น้ำ ฝังจุดวัดภาคประชาชน เปิดข้อมูลสาธารณะบนจอในสวนและออนไลน์
  4. การสื่อสาร 3 ภาษา: ไทย–อังกฤษ–จีน รับนักท่องเที่ยวชายแดน, ป้ายสื่อความหมายธรรมชาติ–ประวัติศาสตร์–ความปลอดภัย
  5. ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส: กีฬา–วัฒนธรรม–อาหาร–วิถีชุมชน ให้ “หนองน้ำพุ” ไม่ใช่เพียงสถานที่ แต่เป็น “ประสบการณ์” ที่เกิดซ้ำได้

เสียงจากผู้เกี่ยวข้อง ย้ำความพร้อม–ขอความร่วมมือร่วมดูแล

อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง ย้ำว่า โครงการที่สำเร็จลุล่วงเป็นเพียง “จุดเริ่มต้นของการใช้ประโยชน์” ต้องอาศัยการบริหารท้องถิ่น–ชุมชนร่วมมือกันให้พื้นที่มีชีวิตตลอดทั้งปี พร้อมยืนยัน ความพร้อมสนับสนุนเฟส 2 ตามกรอบภารกิจของกระทรวงมหาดไทย

ด้าน ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา ระบุว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ “พร้อมรับไม้ต่อ” ทั้งเรื่องการดูแลรักษาและการต่อยอดกิจกรรม โดยจะเร่งทำแผนปฏิบัติการ O&M, จัดตั้งคณะกรรมการบริหารพื้นที่แบบมีส่วนร่วม และออกแบบกิจกรรมสุขภาพ–ท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มวัย พร้อม ขอบคุณ ยผ. ที่สนับสนุนงบประมาณและผลักดันโครงการจนเสร็จสิ้น

หนองน้ำพุคือของทุกคน ยิ่งใช้ยิ่งดี ยิ่งดูแลยิ่งยั่งยืน”ถ้อยคำสรุปจากเวทีชุมชนหลังพิธีส่งมอบ

จาก “งบลงทุน” สู่ “สินทรัพย์สาธารณะ” ที่งอกเงยได้

การลงทุน 180 ล้านบาทก่อให้เกิด สินทรัพย์สาธารณะ ที่จับต้องได้—พื้นที่สีเขียวคุณภาพ, โครงสร้างพื้นฐานกิจกรรม, จุดหมายท่องเที่ยวเชิงนิเวศ–สุขภาพ และความภูมิใจร่วมของคนแม่สาย–เชียงราย ความสำเร็จแท้จริงจากนี้จึงวัดที่ ความต่อเนื่อง ของการดูแล–ใช้งาน–ต่อยอด ให้พื้นที่ไม่เสื่อมคุณภาพเมื่อเวลาเดิน และสามารถสร้าง มูลค่าใหม่ ทั้งสุขภาพชุมชน–เศรษฐกิจท้องถิ่น–สิ่งแวดล้อม

“หนองน้ำพุ” ที่โป่งผา จึงไม่ใช่เพียงแลนด์มาร์กถ่ายรูป แต่คือ ห้องเครื่องเมืองสุขภาวะชายแดน ที่จะหมุนเครื่องได้ยาวนาน ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนร่วมเป็นเจ้าของ ร่วมคิด–ร่วมทำ–ร่วมรับผิดชอบ ตั้งแต่วันนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) กระทรวงมหาดไทย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News