Categories
CULTURE

3 เครือข่ายภาครัฐและเอกชนหนุน พัฒนางานศิลปะร่วมสมัยผ่านนิทรรศการเครือข่าย

 

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม  เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนางานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ประจำปี 2567 ระหว่างกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรมกับธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) บริษัท ไอคอนสยาม จำกัดและกลุ่ม Chat Lab โดยมีคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย นายประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Retail and Brand ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท ไอคอนสยาม จำกัด และนายณัฏฐาปกรณ์ คะปูคำ สถาปนิกผู้แทนกลุ่ม Chat Lab ร่วมลงนามความร่วมมือ 

 

โดยมีนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ  ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางสุภัทร กิจเวช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวเพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ศิลปินและผู้แทนหน่วยงานเครือข่ายที่ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ศิลปิน แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน กรุงเทพฯ 

 

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับองค์กรเครือข่ายและศิลปินทุกท่าน ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตลอดจนความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นจากพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในวันนี้ ระหว่าง กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย และสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายทั้ง 3 หน่วยงานได้แก่ 1. ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) 2. บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด 3. กลุ่ม Chat Lab และการจัดนิทรรศการแสดงผลงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนในปี 2566 จะทำให้การขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ของรัฐบาล โดยการนำศิลปะร่วมสมัยมาเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาความรู้ ความสามารถ และส่งเสริมพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้พัฒนาไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการบนพื้นฐานของทุนทางสังคมและวัฒนธรรม อันเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันและเสริมสร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทยให้แพร่หลายในประชาคมโลกและยังเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือเชิงรุก 
ที่สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต 
 
 
 
คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูลประธานกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย ได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งทุนที่ให้การส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยแก่ศิลปินและเครือข่ายฯ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561- 2566 โดยได้ให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ รวมทั้งสิ้น 162 โครงการ เป็นงบประมาณรวมกว่า 43 ล้านบาท และในปี พ.ศ. 2567 มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย จำนวนทั้งสิ้น 27 โครงการ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,950,000 บาท ครอบคลุม 4 แนวทางหลัก ได้แก่ แนวทางที่ 1 วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย และ/หรือนำงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม  แนวทางที่ 2 ส่งเสริมสนับสนุนการสร้างสรรค์งานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยเพื่อเป็นการเพิ่มคุณค่า มูลค่าทางเศรษฐกิจ แนวทางที่ 3 สร้างความร่วมมือเครือข่ายเพื่อยกระดับคุณค่าที่หลากหลายทางสังคมและชุมชน  แนวทางที่ 4 ส่งเสริมการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยไทยผ่านสื่อแขนงต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
 
โครงการที่ได้รับการส่งเสริมล้วนมีแนวทางการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการให้เกิดการมีส่วนร่วมกับเครือข่ายในระดับชุมชน ระดับชาติ และระดับนานาชาติ และต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้ง 3 ด้านได้แก่ ด้านสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งก่อให้เกิดการบูรณาการส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยเชิงรุกผ่านระบบนิเวศศิลปะ ช่วยยกระดับคุณค่าทางสังคมและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
 
 
ทั้งนี้ นิทรรศการโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจากกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เปิดให้เข้าชมผลงานโดยไม่เสียค่าเข้าชม ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2566 จนถึงวันที่ 5 มกราคม 2567  ณ ห้องปฏิบัติการ 1 และ 2 บริเวณชั้น 2 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน กรุงเทพฯ 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

อบจ.เชียงราย เปิดการแข่งขันกีฬาศูนย์เครือข่ายการศึกษาแม่ต๋ำตาดควัน “บ่อแสงเกมส์” 66

 
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 เวลา 08.30 น. นายก นก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาศูนย์เครือข่ายการศึกษาแม่ต๋ำตาดควัน “บ่อแสงเกมส์” ประจำปี พ.ศ. 2566 ณ สนามกีฬาโรงเรียนบ้านบ่อแสง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4 โดยมี นายอภิชัย สมบัติใหม่ ประธานศูนย์เครือข่ายการศึกษา ต.แม่ต๋ำ เป็นผู้กล่าวรายงาน และ นายนิคม ยะป๊อก ส.อบจ.เชียงราย อ.พญาเม็งราย เขต 1 นายทองใบ มีกิน นายก อบต.แม่ต๋ำ นายประสงค์ ชัยโย นายก อบต.ตาดควัน นายรุ่งโรจน์ เสนะ กำนัน ต.แม่ต๋ำ นายอินคำ พัสดา กำนัน ต.ตาดควัน ร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ด้วย
 
 
การจัดการแข่งขันกีฬานักเรียน และประชาชน “บ่อแสงเกมส์” ในครั้งนี้ได้กำหนดให้มีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 22-26 ธันวาคม 2566 มีกีฬา กรีฑา ที่ดำเนินการจัดการแข่งขัน 7 ประเภท สำหรับนักเรียน ได้แก่ วอลเลย์บอล ฟุตบอลชาย ฟุตบอลหญิง เซปักตะกร้อ เปตอง เทเบิลเทนนิส และกรีฑา
 
 
ส่วนประชาชน มีการแข่งขัน 4 ประเภทได้แก่ ฟุตบอล วอลเลย์บอล เซปักตะกร้อ และเปตอง ซึ่งการแข่งขันกีฬานักเรียนและประชาชน “บ่อแสงเกมส์” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักให้นักเรียนในศูนย์เครือข่ายการศึกษาตำบลแม่ต๋ำ – ตาดควัน ทั้ง 7 โรงเรียน (รร.บ้านใหม่โชคชัย รร.บ้านป่าม่วง รร.พญาเม็งราย รร.บ้านแม่ต๋ำกลาง รร.บ้านใหม่สุขสันต์ รร.บ้านบ่อแสง และ รร. อบต.แม่ต๋ำ) ให้มีการตื่นตัวในการเล่นกีฬา เป็นการส่งเสริมสุขภาพพลานามัยของนักเรียนให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ รู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และห่างไกลจากสิ่งเสพติดทั้งหลาย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

“เชียงรายสปอร์ตซิตี้” เจตจำนงขับเคลื่อนพัฒนาฝีมือทางด้านกีฬา

 
วันที่ 22 ธันวาคม 2566 ดร.วันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วย นางรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย นางชญาณ์นันท์ เชื้อศิริถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย ตัวแทนจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 เขต 2 เขต 3 เขต 4 และ ศึกษาธิการภาค 16 ร่วมกันลงนามแสดงเจตจำนง เพื่อขับเคลื่อนจังหวัดเชียงราย 
 
 
สู่การเป็นเมืองแห่งกีฬา ( Chiangrai Sport City) โดยการลงนามจัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมนครเชียงราย ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย โดยมีนักกีฬาจังหวัดเชียงราย ทั้งนักกีฬา เยาวชน อาวุโส และ นักกีฬาคนพิการ รวมทั้งตัวแทนจากชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงราย ร่วมในพิธีจำนวนมาก เพื่อร่วมกันเป็นพยานในการขับเคลื่อนเมืองแห่งกีฬา
 
 
จากนั้น นางรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และนายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย ได้มอบประกาศเกียรติคุณให้กับ ผู้ให้การสนับสนุนด้านกีฬาของจังหวัดเชียงราย รวมทั้งนักกีฬาตัวแทนจังหวัดเชียงราย เนื่องในวันกีฬาแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี
 
 
ดร.วันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า การลงนามแสดงเจตจำนงกับกลุ่มภาคีทั้ง 10 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาจังหวัดเชียงราย ให้เป็นเมืองแห่งกีฬาเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะการร่วมมือกันขับเคลื่อนการพัฒนาด้านกีฬาเพื่อส่งเสริมให้เด็กเยาวชนและประชาชนทั่วไปได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยการเล่นกีฬาพัฒนาฝีมือทางด้านกีฬา ในการต่อยอดไปสู่ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป และเพื่อหล่อหลอมเด็กและเยาวชนไปสู่เป้าหมายการอนาคตที่ดีมีโอกาสที่ดีมีสุขภาพที่ดีมีความสุข มีรายได้ และมีอาชีพที่มั่นคงสามารถลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมได้ อีกทั้งร่วมกันยกระดับสถานที่สำหรับการออกกำลังกายภายในสถานศึกษาและภายในชุมชนในความรับผิดชอบให้ได้มาตรฐานอย่างเป็นรูปธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการกีฬาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
 
 
โดยมีความสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย อีกทั้งเทศบาลนครเชียงรายมีความตั้งใจในการพัฒนาคนทั้งมิติทางสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่จะเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นพลเมืองของเชียงรายโดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อนำเสนอการกีฬาในรูปแบบ Soft Power ไปสู่รัฐบาล โดยมี กกท.จังหวัดเชียงราย สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงรายคอยเป็นผู้ขับเคลื่อนประสานงานงบประมาณ มาดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งสถานที่ฝึกซ้อมกีฬา และสถานที่การแข่งขัน
 
 
ทางด้าน นางรัตนา จงสุทธานามณี ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี และนายสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า อนาคตจังหวัดเชียงราย จะสามารถสร้างนักกีฬาระดับประเทศขึ้นมาได้อีกจำนวนมาก และนักกีฬาก็ได้ทำตามเป้าหมายที่มุ่งหวังไว้ เนื่องจากทุกภาคส่วนได้ให้การสนับสนุน ทั้งเรื่องงบประมาณ สถานที่จัดการแข่งขัน และสถานที่ซ้อม และยังมีภาคเอกชนคอยให้การสนับสนุน ที่สำคัญทางสถาบันครอบครัวมีการส่งเสริมให้บุตรหลานได้เล่นกีฬามากขึ้น จึงจะทำให้จังหวัดเชียงราย พัฒนาไปสู่เมืองแห่งกีฬาอย่างสมบูรณ์แบบ
 
 
ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทาง เทศบาลนครเชียงราย สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย กกท.เชียงราย และ สถาบันการศึกษาต่างๆ ที่ได้ให้ความสำคัญกับทางด้านกีฬา ที่ร่วมกันขับเคลื่อนในเรื่องนี้ ซึ่งในนาม สส.เชียงราย ก็พร้อมร่วมสนับสนุน กับเทศบาลนครเชียงราย และสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย ที่จะทำให้เชียงราย เป็นเมืองแห่งกีฬา ( Chiangrai Sport City)
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

อีกครั้งสำหรับการพัฒนาบำนาญผู้สูงอายุเพื่อระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม โดยดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย

 

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2566 ได้มีการยื่นเสนอกฎหมายร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่อาคารรัฐสภา โดยเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ และประชาชนทั่วไป ร่วมกันยื่น 43,826 รายชื่อ ต่อคุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร คุณปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง และคุณณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ประธานกรรมาธิการการสวัสดิการสังคมเป็นความพยายามอีกครั้งของภาคประชาชนที่พยายามขับเคลื่อนระบบหลักประกันรายได้และคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุ

เป็นความพยายามที่เต็มเปี่ยมด้วยจิตใจของการต่อสู้ หลังจากที่โดนปัดตก นั่งทับ หรือ “มีบัญชาไม่รับรอง” ข้อเสนอร่าง พรบ.บำนาญผู้สูงอายุ จากอย่างน้อย 5 ครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เป็นความพยายามที่จะผลักดันขับเคลื่อนให้เป็นสังคมที่มีความเป็นธรรม อันสะท้อนเสียงความต้องการของประชาชนต่อนโยบายผู้ชนะการเลือกตั้งที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง เป็นเสียงความต้องการของสังคมผ่านกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่ต้องการหลักประกันรายได้ยามสูงวัย และเป็นเสียงความต้องการของประเทศผ่านแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เช่น “ความอยู่ดีมีสุขของคนไทยและสังคมไทย” และ “ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและการกระจายรายได้”

สำหรับผู้เขียนแล้ว คือ เรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรทางเศรษฐกิจกลับคืนมา ไม่แตกต่างจากการต่อสู้ของแรงงานเรื่องวันลาคลอด เมื่อปี 2536 หรือ 3 ทศวรรษที่แล้ว แรงงานหญิงมีครรภ์ที่ต้องออกไปประท้วง อดข้าว และ กรีดเลือด จนได้สิทธิวันลาคลอดได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 60 วัน เป็น 90 วัน อันทำให้แรงงานหญิงที่ทำงานออฟฟิศ ได้รับอานิสงค์ผลบุญไปด้วย

ประเทศไทยพัฒนาเศรษฐกิจโดยการกดขี่ขูดรีดแรงงาน และ การเอารัดเอาเปรียบโดยกลุ่มทุน โดยเฉพาะไม่กี่ตระกูลบนยอดปีรามิด อันครอบคลุมชีวิตคนไทยในทุกมิติ แน่นอนว่า การลดความเหลื่อมล้ำจะต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนโดยตรงจากภาคการเมือง หรือผู้ที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่ข้อสรุปที่มีความสมเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์และทางศีลธรรม

การจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรมมากขึ้น จะสามารถปรากฏเป็นจริงได้ จึงขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นจริงจังของรัฐบาล โดยเราสามารถมีงบประมาณสำหรับระบบสวัสดิการคนไทยและการลงทุนในอนาคตของประเทศ โดยการเพิ่มรายได้จากภาษี และปฏิรูปการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนสมทบการออมในวัยทำงาน ตามข้อเสนอและรายงานการศึกษามากมายจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ และ องค์การระหว่างประเทศหลายหน่วยงาน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

รายงานในปีนี้ของธนาคารโลกเรื่อง “การประเมินรายได้และรายจ่ายภาครัฐของประเทศไทย – การส่งเสริมอนาคตที่ทั่วถึงและยั่งยืน” จึงเสนอให้ประเทศไทยสามารถปฏิรูปเศรษฐกิจให้มีความเท่าเทียมและความยืดหยุ่น (resilience) มากขึ้นได้ โดย

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ
  2. เพิ่มการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ และ
  3. ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและนโยบายรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิรูปภาษี “แบบก้าวหน้า” เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการใช้จ่ายภาครัฐที่จะเพิ่มสูงขึ้น เพราะการเข้าสู่สังคมสูงวัย จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในด้านบำนาญ สวัสดิการผู้สูงอายุ และสวัสดิการรักษาพยาบาล ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญต่อการเพิ่มงบประมาณภาครัฐด้านความช่วยเหลือทางสังคม โดยอย่างยิ่ง นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยกล่าวในปาฐกถาว่า อนาคตของเศรษฐกิจไทย จำเป็นต้องกระจายอย่างทั่วถึง (inclusive) ไม่ใช่เติบโตแบบกระจุกอยู่เพียงบางกลุ่มคน บางธุรกิจ หรือ บางพื้นที่ ทำให้เศรษฐกิจมีความเปราะบาง เราจำเป็นต้องเปลี่ยนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจะเผชิญแรงกดดันจากการทำลายล้างทางดิจิทัล (digital disruption) และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (climate change) ดังนั้น ถ้าเราไม่ทำให้การเจริญเติบโต (growth) สามารถแบ่งปันกันในวงกว้าง เราจะไม่สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบภาษีและการปฏิรูประบบงบประมาณ โดยเราสามารถมีแหล่งรายได้ที่สำคัญสำหรับพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย ได้แก่

  1. จัดระบบความสำคัญก่อนหลังในการจัดสรรงบประมาณประจำปี กล่าวคือ ลดงบที่ไม่จำเป็นและไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน
  2. ยกเลิกสิทธิพิเศษและค่าลดหย่อนทางภาษีสำหรับมหาเศรษฐีและกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น BOI และ Capital Gain Tax
  3. เก็บภาษีเพิ่มจากส่วนต่างของกำไรที่ได้จากการขายหลักทรัพย์และที่ดิน
  4. ปรับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพ
  5. ลดเกณฑ์ยกเว้นภาษีการรับมรดกที่มูลค่า 100 ล้านบาท ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับมรดกไม่ถึง 100 ล้านบาท ก็จะได้รับการยกเว้นภาษี ควรจะปรับลดลงมาให้สมเหตุสมผลมากกว่านี้
  6. เพิ่มอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล และ อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะอัตราต่ำเกินไปเมื่อเทียบกับสากล
  7. ปรับระบบภาษีเงินได้ ไม่ว่าจะมาจากแหล่งใดก็ตามต้องเสียภาษีในอัตราเดียวกันหมด ไม่ใช่เหลื่อมล้ำกันระหว่างภาษีรายได้ที่จัดเก็บจากเงินเดือน เงินปันผล กำไร หรือ ที่ดิน ซึ่งโดยเฉลี่ยคนรวยเสียภาษีในอัตราต่ำกว่ามนุษย์เงินเดือน
  8. หน่วยงานของรัฐที่ถือครองที่ดินมากเกินจำเป็นและไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ควรนำมาให้ประชาชนเช่าทำมาหากิน เมื่อประชาชนมีฐานะดีขึ้น รัฐจะเก็บภาษีได้มากขึ้น

ในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ปีนี้ธนาคารโลกยืนยันเสนอหลายครั้งผ่านสื่อให้ขึ้น VAT เป็น 10%  ตามรายงาน “การประเมินรายได้และรายจ่ายภาครัฐของประเทศไทย – การส่งเสริมอนาคตที่ทั่วถึงและยั่งยืน” โดยผู้เขียนเห็นว่า ควรทำ earmarked คือ เก็บเพิ่มเอามาใช้จ่ายตรงให้เป็นประโยชน์กับประชาชน และ ต้องควบคุมการฉวยโอกาสขึ้นราคาของนายทุนที่ยึดกุมธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง

แน่นอนว่า ประเทศไทยก็ยังมีโอกาสเลือกทิศทางที่มีเป้าหมายพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นธรรม ไม่ใช่กระจุกทรัพยากรและโอกาสเพียงแค่คนส่วนน้อยบนยอดปีรามิด แบบคนส่วนใหญ่ทำงานทั้งชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก ทั้งที่ร่วมจ่ายภาษีการบริโภคมาตลอด ในขณะที่ตระกูลรวยสุดกอบโกยด้วยการเอารัดเอาเปรียบจากการผูกขาดและมีอำนาจเหนือตลาด เพราะเราคงไม่อยากจะเห็นภาพที่ความเหลื่อมล้ำสะสมมากเข้า จนในที่สุดกลายเป็นโศกนาฏกรรมตามประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

ในเมื่อประเทศไทยจำเป็นต้องหาแหล่งรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับงบบำนาญข้าราชการและงบรักษาพยาบาลข้าราชการที่จะพุ่งขึ้นในอนาคต ก็ควรจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยใช้หลักวิชาการทางการคลัง ทั้งด้านงบประมาณและภาษีเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างด้านความเหลื่อมล้ำของประเทศ ช่วยสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยด้วยระบบสวัสดิการ และ เป็นเส้นทางอันพึงปรารถนาของการพัฒนาที่ยั่งยืนและปรองดอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม (CRISP) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ม่วนอ๋กม่วนใจ๋ เปิดงานมหกรรมของกิ๋นลำและของดีเมืองเชียงของ

 
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2566 เวลา 18.30 น.นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงานมหกรรมของกิ๋นลำและของดีเมืองเชียงของ ครั้งที่ 17 พร้อมด้วยนายวสุพล จตุรคเชนทร์เดชา สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเชียงของ เขต 1 นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการ โดยมีนายวิรุฬห์ สิทธิวงศ์ นายอำเภอเชียงของ และผู้นำท้องที่ท้องถิ่นให้การต้อนรับในครั้งนี้
 
 
สำหรับงานมหกรรมของกิ๋นลำและของดีอำเภอเชียงของ ครั้งที่ 17 จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ วันที่ 21– 23 ธันวาคม 2566 ณ ลานผาถ่าน อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มหกรรมที่รวบรวมร้านอาหารรสเลิศและของดีจากทั่วอำเภอเชียงของ อาหารพื้นเมือง อาหารชนเผ่า อาหารจากเพื่อนบ้าน สปป.ลาว ที่ยกครัวมาร่วมงาน ร่วมย้อนวันวานไปกับร้านอาหารในตำนานที่เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมเมืองเชียงของในอดีต ภายในงานพบกับความบันเทิงหลากหลาย 
 
 
ทั้งการประกวดร้องเพลงจากตัวแทนทุกชุมชนในอำเภอเชียงของ การแสดงแสง สี เสียง
ทั้งนี้ งานมหกรรมของกิ๋นลำและของดีอำเภอเชียงของ ครั้งที่ 17 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นจำนวน 200,000 บาท เพื่อใช้ในการจัดงานครั้งนี้อีกด้วย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ติดตามการดำเนินงานการพัฒนา วัดห้วยปลากั้ง สังฆาภิบาล แนวคิดอารามภิรมย์

 
เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2566 นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังวัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามการดำเนินงานการพัฒนาวัด ด้านสาธารณสงเคราะห์ การดำเนินงานของโรงพยาบาลวัดห้วยปลากั้งเพื่อสังคม ตามโครงการสังฆาภิบาล การสงเคราะห์เด็กกำพร้า 300 คน และการพัฒนาวัดตามแนวคิดอารามภิรมย์ โดยมีพระไพศาลประชาทร วิ.(พระอาจารย์ พบโชค ติสสะวังโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้งเป็นผู้ให้ข้อมูล และพาเยี่ยมชมการดำเนินด้านสังคมของวัดห้วยปลากั้ง 
 
 
ได้แก่สถานรับเลี้ยงเด็กด้อยโอกาส และสถานพักพิงสำหรับคนไร้ที่พึ่ง ตลอดจนเยี่ยมชมโรงพยาบาลวัดห้วยปลากั้ง ที่เปิดให้การรักษาแก่ประชาชนรวมถึงพระสงฆ์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งวัดห้วยปลาก้างได้เข้าร่วมโครงการสังฆาภิบาล พระสงฆ์อาพาธ ตามนโยบายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด) ในการให้ความช่วยเหลือพระสงฆ์อาพาธ
 
 
พระไพศาลประชาทร วิ.(พระอาจารย์ พบโชค ติสสะวังโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง กล่าวว่า “โรงพยาบาลวัดห้วยปลากั้งเพื่อสังคม” สร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่เข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ยาก โดยที่ผ่านมาวัดห้วยปลากั้ง เป็นสถานที่ทำบุญแบ่งปันสิ่งต่างๆ แก่ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถรองรับผู้ป่วยทั่วไปได้วันละประมาณ 500 คน และผู้ป่วยด้านทันตกรรมวันละประมาณ 120 คน สิ่งสำคัญคือการให้บริการ เน้นการทำบุญ โดยรับรักษาฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
 
 
สำหรับโรงพยาบาลวัดห้วยปลากั้งเพื่อสังคม ประกอบด้วย ศูนย์ทันตกรรม ศูนย์โพลีคลินิก ศูนย์ฝึกวิชาชีพ เป็นต้น และให้บริการเฉพาะผู้ป่วยนอกโดยไม่มีบริการนอนพัก ผู้ป่วยฉุกเฉินหรือทั่วไปเข้ารับการตรวจรักษาและกลับบ้านได้ หรือหากอาการหนักจะส่งตัวไปรักษาต่อ ณ สถานพยาบาลใกล้เคียง เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา
 
 
พระไพศาลประชาทร วิ. เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันทางวัดมีการดำเนินการหลายโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ตามแนวทางให้ความเมตตากับคนทุกชนชั้น และหนึ่งในนั้นคือการก่อสร้างโรงพยาบาลวัดห้วยปลากังเพื่อสังคมแห่งนี้ ถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ ที่มีรูปทรงอาคารเป็นเรือยาว 108 เมตร สูง 7 ชั้น ขนาด 90 เตียง เพื่อเอาไว้บริการรักษาผู้ที่เจ็บป่วยฟรี รวมถึงพระสงฆ์ที่อาพาธ โรงพยาบาลจะเน้นในเรื่องทันตกรรมและช่องปาก แต่ก็สามารถรับรักษาโรคทั่วไป ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยได้ด้วยเช่นกัน
 
 
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) รายงานว่า ปัจจุบันมีพระภิกษุสงฆ์ ทั้งหมดจำนวน 288,956 รูป อาพาธทั่วประเทศประมาณ 10,000 รูป ซึ่งบางรูปไม่ได้รับการรักษาตามสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของ สปสช. บางรูปไม่มีผู้ดูแล พศ. จึงจัดทำโครงการในการให้ความช่วยเหลือพระสงฆ์ ประกอบด้วย โครงการอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการสังฆาภิบาลเพื่อพระสงฆ์อาพาธ โครงการกุฎิสงฆ์อาพาธร่วมกับโรงพยาบาลสงฆ์ นอกจากนี้ พศ. ยังสร้างกลไกความร่วมมือในการจัดบริการดูแลพระสงฆ์ ทำสถานชีวาภิบาลสำหรับองค์กรพระพุทธศาสนา รวมถึงให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงฐานข้อมูลของเพื่อตรวจสอบสิทธิ์ในการเข้ารับการรักษาพยาบาล ตามข้อกำหนดของ สปสช.
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เปิดเวที COP28 Debrief “Unite. Act. Deliver.” ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิด ขับเคลื่อนประเทศไทย

วันที่ 20 ธันวาคม 2566 เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานเปิดการประชุมเผยแพร่สรุปผลการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 (COP28) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง COP28 Debrief “Unite. Act. Deliver.” ซึ่งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อเผยแพร่และสรุปผลการประชุม COP28 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่จัดไปเมื่อระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน –12 ธันวาคม 2566 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้งเป็นการเปิดเวทีให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้แลกเปลี่ยนแนวคิด และทิศทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย การวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น แผนการดำเนินงานที่จะต้องจะดำเนินการในลำดับต่อไป เพื่อสร้างความเข้าใจในวงกว้างให้กับทุกภาคส่วน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทย สู่เป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะลูกหลานของเราในวันข้างหน้าโดยมี H.E. Mr. Ernst Wolfgang Reichel เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย ร.อ. รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วย รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. คณะผู้บริหาร ทส. ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชนกว่า 200 คน เข้าร่วม ณ โรงแรม เดอะสุโกศล กรุงเทพมหานคร 

รมว.ทส. กล่าวว่า การประชุม COP28 ที่ผ่านมา จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “Unite. Act. Deliver ” เร่งให้มีการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามและนำมาประกอบการดำเนินงานภายในประเทศ อาทิ การทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก การจัดตั้งกรอบงาน UAE สำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการจัดทำเป้าหมายระดับโลกด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน การเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงกองทุนเพื่อรับมือกับความสูญเสียและความเสียหาย ซึ่งจะเป็นแนวทางการกำหนดทิศทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของทุกภาคี รวมทั้งกับประเทศไทยด้วย ตลอดจนเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และแบ่งปันประสบการณ์ การดำเนินงานของประเทศไทย นำไปสู่การดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

MOU เครือข่ายด้านสุขภาพเปิดศูนย์ซ่อม ดัดแปลง เปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์

 
วันที่ 20 ธันวาคม 2566 เวลา 13.30 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ซ่อม ดัดแปลง เปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ จังหวัดเชียงราย โดยมี นางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย นายกิตติพงศ์ สาหร่าย ผู้บัญชาการเรือนจำอำเภอเทิง และนางพัชราภรณ์ ธรรมรัตนพงษ์ ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาผู้ต้องขัง ร่วมพิธีเปิดฯ 
 
 
พร้อมร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ศูนย์ซ่อม ดัดแปลง เปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ จังหวัดเชียงราย ระหว่าง กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และเรือนจำอำเภอเทิง โดยมีบุคลากรเครือข่ายด้านสุขภาพในพื้นที่ ร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ ณ เรือนจำอำเภอเทิง
 
 
ศูนย์ซ่อมฯ กายอุปกรณ์ จังหวัดเชียงราย จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้บริการด้านการซ่อม ดัดแปลง เปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ เครื่องช่วยความพิการ หรือจัดทำอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ เป็นกรณีเฉพาะคนพิการนั้นๆ เพื่ออำนวยประโยชน์แก่คนพิการตามความจำเป็น ผู้รับบริการสามารถเข้าถึงบริการศูนย์ซ่อม ดัดแปลง เปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ จังหวัดเชียงรายได้อย่างสะดวก รวดเร็ว อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

วธ.เผยแผนพัฒนา Soft Power ปี 66-70 ดัน GDP 1 ใน 15 ของประเทศ

 

วธ. เผยแผนพัฒนา Soft Power ปี 66-70 ดัน GDP สินค้าและบริการทางวัฒนธรรมจากร้อยละ 8.9 เป็นร้อยละ 15 และเป็น 1 ใน 15 ประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมสูงสุดในตลาดโลก หนุนไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยววัฒนธรรมที่สำคัญของโลก พร้อมจับมือสถาบันศึกษาปั้นเด็กสู่อุตสาหกรรมบันเทิง

 

 ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “แนวทางสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ในมุมมองของกระทรวงวัฒนธรรม” ในการเสวนาหัวข้อ “นโยบายภาครัฐและความต้องการของภาคเอกชนในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของไทยสู่คอนเทนต์โลก กรณีศึกษา ด้านภาพยนตร์” ในเทศกาลหนังเมืองแคน ครั้งที่ ๗ เมื่อเร็วๆนี้ ว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้เริ่มดำเนินการใช้ Soft Power ความเป็นไทยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน บนแนวคิดนำทุนวัฒนธรรมดั้งเดิม มาพัฒนาใส่ความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่การขับเคลื่อนเป็น Soft Power ผ่านกลไกในการร่างแผนการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย (2566-2570) ยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 4 (2566-2570) โดยตั้งเป้าหมายสัดส่วน GDP สินค้าและบริการทางวัฒนธรรมจากร้อยละ 8.9 เป็นร้อยละ 15 และเป็น 1 ใน 15 ประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมสูงสุดในตลาดโลก รวมถึงตั้งเป้าให้อันดับโลกด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีขึ้น ไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่อเที่ยววัฒนธรรมและการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญของโลก

 

ปลัดวธ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับ  Soft Power ความเป็นไทยที่ผ่านมา วธ. ได้พัฒนา ได้แก่ 5F อาหาร (Food) ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) การออกแบบแฟชั่นไทย (Fashion) ศิลปะการป้องกันตัวแบบไทย (Fighting) เทศกาลประเพณีไทย (Festival) และมีการพัฒนาเพิ่มเติมอีก คือ 5F พลัส ได้แก่ ท่องเที่ยวชุมชน ศิลปะการแสดง และศิลปะ ซึ่งในปี 2566 นี้ก็พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน Soft Power ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อพัฒนาผู้ที่มีทักษะด้านวัฒนธรรมให้มีทักษะฝีมือสูงขึ้นใน 11 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ได้แก่ 1. แฟชั่น 2. หนังสือ 3. ภาพยนตร์ ละครและซีรีส์ 4. เฟสติวัล 5. อาหาร 6. ออกแบบ 7. ท่องเที่ยว 8.เกม 9.ดนตรี 10. ศิลปะ และ 11.กีฬา โดยขณะนี้ได้มีร่างแผนการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย (2566-2570) เป็นครั้งแรก อาทิ มีการศึกษาประเทศที่ประสบความสำเร็จด้าน Soft Power ศึกษาการตลาด พัฒนาบุคลากร ตามแผนของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำไปใช้ขับเคลื่อนได้จริงและได้ทันที ซึ่ง Soft Power ความเป็นไทยที่มีศักยภาพ นอกจาก 5 F แล้วก็มี 5F+2 ได้แก่ ศิลปะการแสดง และความเชื่อ ตำนาน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ เส้นทางท่องเที่ยวสายบุญ การจัดงานมหกรรมเชียงรายเบียนนาเล่ เป็นต้น 

 

ทั้งนี้  ในส่วนของการส่งเสริมอุตสาหกรรมบันเทิงนั้น จะต้องมีการพัฒนาบุคลากรให้เป็นมืออาชีพ เพิ่มช่องทางการตลาดและการเจรจาธุรกิจ โดยการนำผู้ประกอบการเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์ในต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมามูลค่าทางเศรษฐกิจจากการเจรจาในต่างประเทศ อาทิ งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ฝรั่งเศส มูลค่า 1,986 ล้านบาท เทศกาลภาพยนตร์ปักกิ่ง มูลค่า 1,976 ล้านบาท งาน Hong Kong International Film & TV Market มูลค่า 1,378 ล้านบาท งานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว มูลค่า 500 ล้านบาท งานแสดงสินค้าลิขสิทธิ์นานาชาติฮ่องกง มูลค่า 93 ล้านบาท  งานเทศกาลภาพยนตร์เซี่ยงไฮ้มูลค่า  5 ล้านบาท เป็นต้น โดย วธ. พร้อมให้ความร่วมมือทุกภาคีเครือข่ายในการพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงไทย ไม่ว่าจะเป็นงบสนับสนุน พัฒนาบุคลากร ช่องทางการตลาด ที่สำคัญจะมีการศึกษาแนวทางความร่วมมือจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศในการอบรมพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นกำลังสำคัญในอุตสาหกรรมบันเทิงในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดงาน 116 ของดี อ.เวียงป่าเป้า แหล่งผลิตที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งของเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมานายก นก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงานของดีอำเภอเวียงป่าเป้า ณ น้ำพุร้อนทุ่งเทวี พร้อมด้วยนายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมี นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า พร้อมด้วย นางรัชนีกร วงษาสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเวียงป่าเป้าเขต 1 และนายจรัญ สิทธิวงศ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเวียงป่าเป้าเขต 2 ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงอำเภอเวียงป่าเป้า หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน เข้าร่วมพิธีเปิดครั้งนี้ด้วย

 

ซึ่งในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการ 166 ของดีอำเภอเวียงป่าเป้า มีการออกบูธแสดงกิจกรรมของดีแต่ละตำบล เช่น สินค้า OTOP ของดีด้านผลิตผลทางการเกษตร ของดีด้านพันธุ์ข้าวพันธุ์พืช ระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคม 2566 ณ ลานน้ำพุร้อนทุ่งเทวี บ้านโป่งเทวี ตำบลบ้านโป่ง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
 
 
ทั้งนี้นายก นก ได้กล่าวอีกว่า อำเภอเวียงป่าเป้า เป็นเมืองที่น่าอยู่ เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่รอบล้อมด้วยภูเขา มีสถานที่ท่องเที่ยว ทางธรรมชาติที่งดงาม มีสภาพอากาศที่ดี เป็นที่ยอมรับหลายแห่ง อีกทั้ง เป็นแหล่งผลิตชา กาแฟ อินทรีย์ที่มีคุณภาพ เห็นควรสนับสนุน ส่งเสริมให้เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งของจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้อำเภอเวียงป่าเป้ายังมีวัฒนธรรมพื้นบ้าน วัฒนธรรมชนเผ่าที่หลากหลาย แต่สามารถอยู่ด้วยกันในสังคมได้อย่างกลมกลืน ทำให้เวียงป่าเป้า เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้น่าอยู่อาศัย และน่าท่องเที่ยวการจัดงานในครั้งนี้ นับว่าเป็นการร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วนที่ร่วมกัน สนับสนุนเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของอำเภอเวียงป่าเป้า เพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้กับกลุ่มอาชีพ ผลิตภัณฑ์ชุมชน อีกทั้งเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่นให้เป็นที่ รู้จักอย่างกว้างขวางและให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News