Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

จากประวัติศาสตร์สู่ Creative Economy! ถ้ำพระเชียงรายเปิดฐานเรียนรู้ ตอกลายโลหะ-ทำสวยกาบ ตามนโยบาย “ไท ไทย”

วธ.เชียงรายนำภาคีจัดพิธีใหญ่ “120 ปี รัชกาลที่ 6 เสด็จถ้ำพระ” เชื่อมถวายราชกุศลพระพันปีหลวง สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 11 ธันวาคม 2568 – บริเวณโบราณสถานถ้ำพระ อำเภอเมืองเชียงราย ในช่วงเช้าจรดเย็นของวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสงบ ศรัทธา และความภาคภูมิใจของคนท้องถิ่น เมื่อสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (วธ.ชร.) ผนึกกำลังกับคณะสงฆ์ หน่วยงานท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และภาคประชาชน จัดพิธีบำเพ็ญถวายราชกุศลครั้งสำคัญ ควบคู่กับกิจกรรมสืบสานภูมิปัญญาวัฒนธรรมในระดับพื้นที่อย่างเป็นระบบ

งานในครั้งนี้มี “สองวาระหลัก” ที่มีนัยสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์และสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้แก่ การรำลึกครบรอบ 120 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) เสด็จประพาสโบราณสถานถ้ำพระ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2448 และพิธีบำเพ็ญถวายราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันสวรรคต 24 ตุลาคม 2568

ตลอดเวลาตั้งแต่ 09.00–18.00 น. บริเวณถ้ำพระจึงกลายเป็น “เวทีร่วม” ที่ผสานมิติประวัติศาสตร์ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าด้วยกัน ภายใต้กรอบนโยบาย “ไท ไทย” ของกระทรวงวัฒนธรรม ที่ต้องการนำความเป็นไทยดั้งเดิมให้ก้าวเดินเคียงคู่ไปกับความร่วมสมัย สร้างทั้งพลังทางจิตวิญญาณและมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว

รำลึก 120 ปี เสด็จประพาสถ้ำพระ ประวัติศาสตร์ที่ “ยังมีชีวิต”

โบราณสถานถ้ำพระ เป็นหนึ่งในพื้นที่ทางศาสนาและโบราณคดีที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย มีความผูกพันกับชุมชนในพื้นที่มาอย่างยาวนาน แต่สิ่งที่ทำให้วันที่ 11 ธันวาคม 2568 มีความหมายเป็นพิเศษ คือการครบรอบ 120 ปี การเสด็จประพาสของรัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศ เป็นมงกุฎราชกุมาร และทรงเสด็จตรวจเยี่ยมดินแดนภาคเหนือในปลายสมัยรัชกาลที่ 5

วาระ “120 ปี” จึงไม่ใช่เพียงการนับตัวเลขของกาลเวลา หากเป็นการย้ำเตือนว่าพื้นที่เล็ก ๆ ริมขุนเขาและป่าไม้ของเชียงรายแห่งนี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงดินแดน การปกครอง และการดูแลทุกข์สุขของราษฎรในอดีต การจัดพิธีบำเพ็ญถวายราชกุศลในครั้งนี้จึงมีนัยของการ “เชื่อมอดีตกับปัจจุบัน” ให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นภาพที่ต่อเนื่องกันของประวัติศาสตร์ชาติและชุมชน

ในช่วงเช้า นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีฝ่ายฆราวาส นำข้าราชการ เจ้าหน้าที่ คณะสงฆ์ และประชาชน ร่วมประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพิธีทางศาสนาและการกล่าวรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่เคยมีต่อดินแดนล้านนาและประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ

บรรยากาศของพิธีเป็นไปด้วยความสงบและสมพระเกียรติ แสดงให้เห็นว่าการรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ในอดีต ไม่ได้ดำรงอยู่เพียงในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์หรือห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังสามารถถูก “ปลุกให้ตื่น” ในพื้นที่จริง ผ่านการประกอบพิธีกรรม วัฒนธรรม และกิจกรรมการเรียนรู้ที่จับต้องได้

ถวายราชกุศล “พระพันปีหลวง” เชื่อมสายใยศรัทธาในยุคปัจจุบัน

อีกหนึ่งวาระสำคัญของกิจกรรมครั้งนี้ คือพิธีบำเพ็ญถวายราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันสวรรคต 24 ตุลาคม 2568 ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาไม่นานนักในมิติประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของคนไทย

พิธีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง “สายใยแห่งความผูกพัน” ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับชุมชนท้องถิ่นในภาคเหนือ การเลือกจัดงาน ณ ถ้ำพระ ซึ่งเป็นโบราณสถานด้านพุทธศาสนา ยังสื่อถึงความตั้งใจในการเชื่อมโยงพระราชกรณียกิจด้านศาสนา วัฒนธรรม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ที่พระองค์ท่านทรงให้ความสำคัญมาตลอดพระชนมชีพ

ในเชิงสัญลักษณ์ การจัดให้มีพิธีถวายราชกุศลสองวาระในวันเดียวกัน – ทั้งรัชกาลที่ 6 ในมิติประวัติศาสตร์เมื่อ 120 ปีก่อน และพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในมิติร่วมสมัย – ทำให้ถ้ำพระในวันนี้กลายเป็น “สะพานเชื่อมเวลา” ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ผ่านพิธีกรรมและวัฒนธรรมที่ยังคงดำรงอยู่

จากพิธีกรรมสู่การเรียนรู้ ฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น และบทบาทของเยาวชน

สิ่งที่ทำให้กิจกรรมครั้งนี้แตกต่างจากพิธีรำลึกเชิงสัญลักษณ์ทั่วไป คือการขยายมิติจาก “พิธีกรรม” ไปสู่ “การเรียนรู้” อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการออกแบบ “ฐานการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น” เพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนได้ลงมือสัมผัสวัฒนธรรมด้วยตนเอง

ภายใต้โครงการส่งเสริมสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นและมรดกภูมิปัญญา ประจำปีงบประมาณ 2569 วธ.เชียงรายได้เชิญคณะครูและนักเรียนจากหลายสถาบันการศึกษา อาทิ โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และโรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา รวมถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ รวมมากกว่า 100 คน ให้เข้าร่วมกิจกรรมฐานเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ

หนึ่งในฐานสำคัญคือ “ฐานการตอกลายโลหะ” ที่ถ่ายทอดองค์ความรู้โดยนายพงศกร ไกรกิจราษฎร์ และนายนัยยะ เหมือนนิ่ม จากศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดนเชียงราย อำเภอเชียงแสน ฐานนี้ไม่ได้สอนเพียงการใช้ค้อนและเหล็กตอกลายลงบนแผ่นโลหะ หากยังเป็น “พื้นที่สนทนา” เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศิลปะการตกแต่งวัตถุโลหะในสังคมล้านนา และการนำทักษะดังกล่าวไปต่อยอดเป็นอาชีพ หรือผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ในยุคปัจจุบัน

อีกฐานหนึ่งคือ “ฐานการทำสวยกาบ” ซึ่งมีนางสาวนงคราญ สมบัติหลาย และนางเพ็ญพักตร์ มหาวรรณ จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ทำหน้าที่เป็นวิทยากรถ่ายทอดองค์ความรู้ การทำสวยกาบ หรือพานบายศรีแบบล้านนา ไม่ได้เป็นเพียงงานประดิษฐ์ตกแต่ง แต่เกี่ยวข้องกับความหมายเชิงพิธีกรรม ความเชื่อ การแสดงความเคารพ และการใช้ในงานบุญประเพณีต่าง ๆ การให้เยาวชนได้ฝึกทำด้วยตนเองจึงเป็นทั้งการรักษา “ภาษาทางพิธีกรรม” และการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการต่อยอดออกแบบผลิตภัณฑ์พิธีกรรมแบบร่วมสมัยในอนาคต

ในมิติของการสร้างแรงบันดาลใจเชิงศิลปะ วธ.เชียงรายยังเชิญศิลปินและกลุ่มศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่มาร่วมถ่ายทอดผลงานอย่างใกล้ชิด อาจารย์ฉลอง พินิจสุวรรณ ศิลปินอาวุโสเชียงราย ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติทั้งระดับ “เพชรราชภัฏ–เพชรล้านนา” และ “เพชรพระนคร” สาขาวรรณศิลป์ ได้นำเครื่องดนตรีพื้นบ้าน “ปี่น้ำเต้า” มาบรรเลงในพื้นที่โบราณสถาน เสียงปี่ที่เป่าด้วยลมหายใจของศิลปินผู้คร่ำหวอดในงานวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เข้าร่วมงานสัมผัสได้ถึง “ความต่อเนื่องของลมหายใจทางวัฒนธรรม” จากรุ่นสู่รุ่น

ขณะเดียวกัน การแสดง “อื่อกะโลง” ถ่ายทอดบทกวีโดยอาจารย์ธัญญณัฐ ชาวเหนือ การแสดงดนตรีจากมหาวิทยาลัยวัยที่สาม เทศบาลนครเชียงราย และการฟ้อนชุด “สร้อยแสงแดง” โดยกลุ่มแม่บ้านบ้านป่าอ้อ ตำบลแม่ลาว ล้วนเป็นส่วนเสริมที่ทำให้กิจกรรมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงงานรำลึกในเชิงพิธีกรรม แต่เป็น “เทศกาลการเรียนรู้วัฒนธรรมขนาดย่อม” ที่เกิดขึ้นท่ามกลางโบราณสถานที่มีชีวิต

บูรณาการเครือข่าย วัฒนธรรมไม่ได้อยู่ลำพังในห้องทำงานราชการ

เบื้องหลังความสำเร็จของกิจกรรมที่ดำเนินตลอดทั้งวันอย่างเป็นระบบ คือการประสานความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ในการจัดงานครั้งนี้ วธ.เชียงรายได้บูรณาการความร่วมมือกับ สำนักสงฆ์โบราณสถานถ้ำพระ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย เทศบาลตำบลแม่ยาว มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย รวมถึงเครือข่ายวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ตลอดจนภาคประชาชนในชุมชนรอบถ้ำพระ

ในเชิงการบริหารจัดการ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายภารกิจให้ทีมงานมืออาชีพด้านวัฒนธรรมหลายฝ่าย อาทิ นายกำพล จาววัฒนาสกุล นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม, นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม, และนางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ รักษาการผู้อำนวยการกลุ่มกิจการพิเศษ พร้อมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมออกแบบและขับเคลื่อนกิจกรรมภาคสนามให้ดำเนินการได้อย่างเรียบร้อย

ภาพรวมของการทำงานจึงสะท้อนให้เห็นว่า “งานวัฒนธรรม” ไม่ใช่กิจกรรมที่ปฏิบัติโดยหน่วยงานราชการเพียงลำพัง แต่เกิดขึ้นจาก “โครงข่าย” ของพระสงฆ์ ท้องถิ่น สถาบันการศึกษา ศิลปิน กลุ่มแม่บ้าน เยาวชน และประชาชนทั่วไปที่ต่างมีบทบาทของตนเองในพื้นที่เดียวกัน

เชื่อมโยงนโยบาย “ไท ไทย” สู่เศรษฐกิจวัฒนธรรมในระดับพื้นที่

ด้านนโยบายระดับชาติ กิจกรรมครั้งนี้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับแนวคิด “ไท ไทย” ภายใต้วิสัยทัศน์ “สืบสาน สร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมไทย สู่อนาคตอย่างยั่งยืน” ของกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ผลักดันให้เป็นกรอบใหญ่ในการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมของประเทศ

หัวใจสำคัญของแนวคิด “ไท ไทย” คือการยกระดับ “ความเป็นไทยดั้งเดิม” (Traditional Thai) ให้ผสานกับ “ความร่วมสมัย” (Contemporary Thai) และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่คนสามารถสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงวัฒนธรรมที่สงวนอยู่ในพิพิธภัณฑ์หรืออยู่ในภาพจำของอดีตเท่านั้น

หากมองจากรูปแบบของกิจกรรมที่ถ้ำพระในครั้งนี้ จะพบว่ามีการทำงานบนสามมิติหลัก ได้แก่

  1. มิติการสืบสาน – ผ่านพิธีบำเพ็ญถวายราชกุศล การเป่าปี่น้ำเต้า การทำสวยกาบ การฟ้อน และฐานการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ทำให้เยาวชน “ได้สัมผัสของจริง”
  2. มิติการสร้างสรรค์ – ผ่านการออกแบบฐานเรียนรู้และกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้มีการต่อยอดองค์ความรู้ เช่น การนำทักษะตอกลายโลหะหรือออกแบบพานบายศรีไปเชื่อมกับผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ
  3. มิติการมองไปข้างหน้า – ผ่านการเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การสร้าง “ประสบการณ์วัฒนธรรม” ให้กับนักท่องเที่ยว และการใช้กิจกรรมเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ในระดับจังหวัด

แม้ในวันจัดงานจะยังไม่มีตัวเลขเชิงเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ แต่การมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 100 คน จากหลายสถาบัน และการผนวกกลุ่มเป้าหมายทั้งครู นักเรียน ประชาชน และนักท่องเที่ยวเข้าไว้ด้วยกัน แสดงให้เห็นว่า “วัฒนธรรม” กำลังถูกใช้เป็นฐานในการสร้างทั้งทุนทางสังคม (Social Capital) และทุนทางเศรษฐกิจ (Economic Capital) อย่างค่อยเป็นค่อยไปในพื้นที่เชียงราย

จากถ้ำพระสู่อนาคตเชียงราย ความทรงจำ ประวัติศาสตร์ และทุนวัฒนธรรมร่วมสมัย

หากพิจารณาในภาพกว้างของจังหวัดเชียงราย ซึ่งกำลังผลักดันตนเองให้เป็น “นครแห่งศิลปะ สีสัน และเทศกาลตลอดปี” กิจกรรมที่ถ้ำพระในวันที่ 11 ธันวาคม 2568 จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่างานเทศกาลใหญ่ในตัวเมือง

ถ้ำพระในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงโบราณสถานเก่าแก่ในหุบเขา หากแต่เริ่มกลายเป็น “จุดหมายทางวัฒนธรรม” ที่เชื่อมโยงประวัติศาสตร์ชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ ศาสนสถานท้องถิ่น ภูมิปัญญาชุมชน และนโยบายวัฒนธรรมระดับชาติไว้ในพื้นที่เดียวกัน

สำหรับประชาชนในพื้นที่ การได้เห็นข้าราชการ นักวิชาการวัฒนธรรม ศิลปิน และเยาวชนมาร่วมกันทำกิจกรรมในวันเดียวกัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษนั้น “ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง” แต่กำลังถูกนำกลับมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความภาคภูมิใจและโอกาสทางอาชีพในอนาคต

สำหรับเยาวชน การได้ลองตอกลายโลหะ ทำสวยกาบ เป่าปี่น้ำเต้า หรือฟังบทกวี “อื่อกะโลง” ท่ามกลางบรรยากาศของถ้ำพระ อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของคำถามสำคัญในใจว่า “วัฒนธรรมท้องถิ่นของเรา สามารถกลายเป็นอาชีพ เป็นงานสร้างสรรค์ หรือเป็นธุรกิจได้อย่างไรบ้าง” ซึ่งคำถามเหล่านี้เองคือหัวใจของการผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระยะยาว

สำหรับผู้กำหนดนโยบายระดับจังหวัด กิจกรรมในครั้งนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ “จุดแข็งด้านวัฒนธรรม” มาสร้างความโดดเด่นให้พื้นที่นอกเขตเมืองใหญ่ ช่วยกระจายจุดท่องเที่ยวและประสบการณ์ให้กว้างออกไปจากตัวเมืองเชียงราย เชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไปสู่ชุมชนอื่น ๆ รอบนอก

ในท้ายที่สุด กิจกรรมรำลึก 120 ปี รัชกาลที่ 6 เสด็จประพาสถ้ำพระ และพิธีถวายราชกุศลสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ผสานเข้ากับฐานการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและการแสดงศิลปวัฒนธรรม จึงไม่ใช่เพียง “งานพิธีครั้งหนึ่งแล้วผ่านไป” แต่เป็นเสมือน “บทเรียนภาคสนาม” ที่แสดงให้เห็นว่า หากมีการออกแบบอย่างรอบคอบ วัฒนธรรมสามารถเป็นทั้งความทรงจำร่วมของผู้คน เป็นแหล่งเรียนรู้ของเยาวชน และเป็นต้นทุนสำคัญของการพัฒนาเมืองได้ในเวลาเดียวกัน

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

จากเตาเผาโบราณสู่เวทีโลก! เชียงรายชูเวียงกาหลงเป็นเสาหลักเศรษฐกิจฐานราก ผสานศิลปะกับดีไซน์สมัยใหม่

ผู้ว่าฯ เชียงรายหนุน “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สู่เวทีตลาดใหม่ของชุมชน

เชียงราย, 9 ธันวาคม 2568 – ที่อำเภอเวียงป่าเป้า เสียงเตาเผาดินเผาโบราณยังคงดังอย่างสม่ำเสมอท่ามกลางหมู่บ้านที่โอบล้อมด้วยภูเขา ในเช้าวันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย “นายชูชีพ พงษ์ไชย” พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมชม “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” หนึ่งในหัตถศิลป์พื้นเมืองที่ถือเป็นหน้าตาทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย และเป็นความภาคภูมิใจของคนเวียงป่าเป้ามาอย่างยาวนาน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงพิธีการหรือการเยี่ยมชมเชิงสัญลักษณ์ แต่สะท้อนถึงความพยายามของจังหวัดในการ “จับมือกับชุมชน” เพื่อยกระดับหัตถกรรม OTOP ให้เดินหน้าสู่ตลาดสร้างสรรค์ ทั้งในเชิงการท่องเที่ยว เศรษฐกิจฐานราก และภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะแหล่งรวมภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย

เวียงกาหลง จากเตาเผาโบราณ สู่สัญลักษณ์หัตถศิลป์ล้านนา

เวียงกาหลงเป็นเมืองโบราณในเขตอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งในทางโบราณคดีได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งเตาเผาโบราณสำคัญแห่งหนึ่งของภาคเหนือ และเป็นต้นกำเนิด “เครื่องถ้วยเวียงกาหลง” ที่มีลวดลายและเนื้อดินเป็นเอกลักษณ์ จนถูกจัดให้เป็นหนึ่งในมรดกหัตถกรรมสำคัญของไทย DB SAC

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เวียงกาหลงไม่เพียงเป็นแหล่งโบราณสถาน แต่ยังพัฒนาเป็น “ชุมชนหัตถกรรมร่วมสมัย” ที่หยิบยกภูมิปัญญาโบราณ เช่น เทคนิคการขึ้นรูปดิน การเคลือบสีเขียว–น้ำตาล และการเผาที่อุณหภูมิสูง มาปรับใช้กับดีไซน์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ทั้งในรูปแบบภาชนะใช้สอย ของตกแต่งบ้าน ไปจนถึงงานออกแบบร่วมสมัยที่เน้นความเรียบง่ายแต่มีอัตลักษณ์สูง

การได้รับการยอมรับในฐานะสินค้า OTOP ของจังหวัดเชียงราย รวมถึงการผลักดันให้เป็นสินค้าที่มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทำให้ “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าท้องถิ่น แต่เป็น “สื่อ” ที่บอกเล่าเรื่องราวของชุมชน ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของผู้คนริมขอบป่าในภาคเหนือของไทย

ครูทันธิ จิตตัง ช่างฝีมือ OTOP ผู้สืบสานงานดินเผาให้ยืนยาว

หัวใจของมรดกหัตถศิลป์ไม่ได้อยู่ที่เตาเผา แต่อยู่ที่ “คน” ผู้สืบสานภูมิปัญญา ภาพของ “ครูทันธิ จิตตัง” ศิลปิน OTOP ที่ยืนต้อนรับผู้ว่าฯ เชียงรายในวันลงพื้นที่ จึงไม่ใช่เพียงพิธีการ แต่คือภาพแทนของ “ช่างฝีมือท้องถิ่น” ที่อุทิศชีวิตให้กับการรักษามรดกดินเผาเวียงกาหลงไว้ในบริบทของโลกยุคใหม่

ครูทันธิไม่เพียงสืบทอดเทคนิคการปั้นและการเคลือบแบบดั้งเดิม แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้มีความร่วมสมัย เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในกลุ่มนักท่องเที่ยว คนเมือง และนักสะสมงานหัตถศิลป์ การร่วมทำงานกับภาครัฐและองค์กรสนับสนุนต่าง ๆ ช่วยให้ครูทันธิสามารถนำ “ภาษาใหม่ของการออกแบบ” มาผสานกับ “รากเดิมของภูมิปัญญา” จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทั้ง “ใช้ได้จริง” และ “เล่าเรื่องชุมชนได้จริง” ไปพร้อมกัน

ในมุมของผู้ว่าราชการจังหวัด การลงพื้นที่เยี่ยมชมและรับฟังเสียงจากครูทันธิและชุมชน จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าใจข้อจำกัด และมองเห็นช่องทางสนับสนุนอย่างตรงจุด ทั้งเรื่องตลาด ช่องทางจัดจำหน่าย การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการสร้างโอกาสให้ศิลปิน OTOP สามารถแข่งขันในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่ จากเตาเผาเล็ก ๆ สู่โจทย์ใหญ่ระดับจังหวัด

ในการเยี่ยมชมแหล่งผลิตและจำหน่ายเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงครั้งนี้ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ได้รับฟังการบรรยายอย่างละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการผลิต ตั้งแต่การคัดเลือกดินในพื้นที่ การขึ้นรูป การลงเคลือบ ไปจนถึงการเผาที่ต้องอาศัยประสบการณ์สูงในการควบคุมอุณหภูมิ

นอกจากจะเรียนรู้ขั้นตอนเชิงช่างแล้ว คณะผู้บริหารยังได้หารือกับครูทันธิและชุมชนถึงแนวทางการ “ต่อยอดเชิงสร้างสรรค์” เช่น

  • การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาดของตกแต่งบ้านและงานดีไซน์สมัยใหม่
  • การพัฒนาบรรจุภัณฑ์และเรื่องเล่า (storytelling) ให้สอดคล้องกับตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ
  • การเชื่อมโยงเวียงกาหลงกับเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

ผู้ว่าฯ เชียงรายเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดในการสนับสนุนสินค้า OTOP และศิลปินชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้าน “การตลาด–การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–โอกาสทางเศรษฐกิจ” เพื่อให้การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไม่ใช่เพียงการเก็บรักษาอดีต หากแต่เป็นการสร้างอนาคตที่จับต้องได้ให้แก่คนในพื้นที่

การลงพื้นที่ในลักษณะนี้จึงเป็นมากกว่าการเยี่ยมชม แต่คือ “สัญญาณทางนโยบาย” ว่าจังหวัดเห็นคุณค่าและพร้อมจะผลักดันให้หัตถกรรมเวียงกาหลงกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจฐานรากเชียงรายในระยะยาว

OTOP และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บทเรียนจากระดับประเทศสู่เวียงป่าเป้า

หากมองภาพกว้างกว่าหนึ่งชุมชน จะเห็นว่า “เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง” กำลังยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกับนโยบายระดับประเทศด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการพัฒนาสินค้าชุมชน OTOP

ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ระบุว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1–1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 9% ของจีดีพี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม ThaiPublica ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า “ความคิดสร้างสรรค์และทุนทางวัฒนธรรม” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภาพลักษณ์ แต่เป็น “เศรษฐกิจจริง” ที่สร้างรายได้และการจ้างงานจำนวนมาก

ด้านสินค้า OTOP เอง แม้ตัวเลขเฉพาะจังหวัดเชียงรายในบางปีอาจแตกต่างกันไป แต่แนวโน้มในระดับประเทศชี้ชัดว่าสินค้า OTOP สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมระดับหลายหมื่นล้านบาทต่อปี และเป็น ช่องทางสำคัญในการยกระดับรายได้ครัวเรือนในชนบท ขณะที่ในจังหวัดเชียงราย สินค้า OTOP หลายกลุ่ม—ตั้งแต่กาแฟ ชา สมุนไพร ไปจนถึงงานหัตถกรรม—ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

ในบริบทนี้ เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงจึงไม่ใช่เพียง “สินค้าอีกชิ้น” หากแต่เป็นตัวแทนของการผสาน “รากวัฒนธรรม” เข้ากับ “โอกาสจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่กำลังเติบโตในระดับประเทศ

เวียงกาหลงในยุคตลาดดิจิทัล โอกาสใหม่และแรงกดดันรูปแบบใหม่

แม้เวียงกาหลงจะมีชื่อเสียงจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนเชียงราย แต่สภาพการแข่งขันในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่หน้าร้านหรือหมู่บ้านอีกต่อไป ตลาดออนไลน์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และสื่อโซเชียลกลายเป็น “สมรภูมิใหม่” ที่ทั้งสร้างโอกาสและกดดันผู้ประกอบการหัตถกรรมไปพร้อมกัน

สำหรับครูทันธิและศิลปิน OTOP ในเวียงกาหลง การต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสร้างสรรค์จึงไม่ใช่เพียงการออกแบบลายใหม่ แต่รวมถึงการเรียนรู้การเล่าเรื่องผ่านภาพถ่าย วิดีโอ หรือการถ่ายทอดเบื้องหลังการทำงานในโรงเผา ให้ผู้ซื้อในเมืองใหญ่หรือในต่างประเทศ “สัมผัสความเป็นมือคนและความเป็นหมู่บ้าน” ผ่านหน้าจอ

ในมุมนี้ การสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การฝึกอบรมด้านการตลาดดิจิทัล การจับคู่ธุรกิจ (business matching) และการเชื่อมโยงกับเครือข่ายดีไซเนอร์หรือแพลตฟอร์มสร้างสรรค์ จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญไม่แพ้การพัฒนามาตรฐานสินค้า เพราะหากชุมชนสามารถ “เล่าเรื่องตัวเองได้เก่ง” เท่า ๆ กับที่ “ทำของได้เก่ง” ศักยภาพในการแข่งขันในตลาดสร้างสรรค์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ศิลปะ–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจฐานราก สามเสาหลักของเวียงกาหลงในยุคใหม่

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ยังสะท้อนแนวโน้มการพัฒนาพื้นที่ที่พยายาม “ล็อกสามเสาหลัก” ให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ได้แก่

  1. ศิลปะและภูมิปัญญาท้องถิ่น – ใช้เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงเป็นตัวแทนของอัตลักษณ์ล้านนาและเรื่องเล่าของชุมชน
  2. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม – เชื่อมโยงเวียงกาหลงเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยวในเชียงราย เช่น ดอยตุง เมืองเชียงราย หรือชุมชนใกล้เคียง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบทั้งธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ศิลปะ
  3. เศรษฐกิจฐานราก – ทำให้รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวกลับคืนสู่คนในพื้นที่อย่างเป็นธรรม ช่วยลดการอพยพแรงงาน และสร้างงานให้คนรุ่นใหม่ในชุมชน

เมื่อทั้งสามเสานี้ถูกออกแบบให้เสริมกันและกัน เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงก็ไม่ใช่แค่วัตถุสวยงามที่ตั้งอยู่บนชั้นโชว์ แต่กลายเป็น “เครื่องมือ” ที่ช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มั่นคง เด็กรุ่นใหม่เห็นคุณค่าภูมิปัญญาบรรพบุรุษ และจังหวัดมีจุดขายใหม่ในสายตานักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ

ความท้าทายที่ต้องเผชิญ คนรุ่นใหม่ ทุน และความต่อเนื่องของนโยบาย

แม้ภาพรวมจะมีโอกาสจำนวนมาก แต่เวียงกาหลงและหัตถกรรมท้องถิ่นก็ยังเผชิญ “โจทย์ยาก” หลายด้าน เช่น

  • การสืบทอดของคนรุ่นใหม่ ที่อาจลังเลระหว่างกลับบ้านมาทำดินเผากับการไปทำงานในเมือง
  • ต้นทุนการผลิตและความเสี่ยงทางตลาด เมื่อวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้น
  • ความต่อเนื่องของนโยบาย ที่หากเปลี่ยนชุดผู้บริหารหรือแนวทางสนับสนุนบ่อยเกินไป อาจทำให้โครงการระยะยาวสะดุดกลางคัน

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเป็น “จุดเริ่มต้นที่สำคัญ” แต่การจะเปลี่ยนศักยภาพให้กลายเป็นผลลัพธ์จริง จำเป็นต้องมีแผนงานต่อเนื่อง ทั้งในระดับจังหวัดและระดับชุมชน เช่น การจัดทำแผนพัฒนาหัตถกรรมเวียงกาหลงระยะ 3–5 ปี การสนับสนุนงบประมาณวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) การเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษา หรือการสร้างแบรนด์ร่วมของชุมชนอย่างเป็นระบบ

 

เวียงกาหลง แบบทดสอบเล็ก ๆ ของคำว่า “เชียงรายเมืองสร้างสรรค์”

เชียงรายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พยายามวางตัวเองในฐานะ “เมืองสร้างสรรค์” ผ่านทั้งงานศิลปะร่วมสมัย การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมระดับนานาชาติ การหนุนเสริมเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงในวันนี้ จึงอาจมองได้ว่าเป็น “แบบทดสอบเล็ก ๆ” ของจังหวัดว่า จะสามารถทำให้คำว่า “เมืองสร้างสรรค์” ลงลึกไปถึงระดับหมู่บ้านและครอบครัวได้จริงเพียงใด

หากเวียงกาหลงสามารถกลายเป็นตัวอย่างของการใช้ศิลปะและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม เชียงรายก็จะมี “เคสศึกษา” ที่ชัดเจนสำหรับการขยายบทเรียนไปยังชุมชนอื่น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มหัตถกรรม กลุ่มกาแฟ ชา หรือเกษตรเชิงสร้างสรรค์ในพื้นที่อื่นของจังหวัด

ในทางกลับกัน หากเวียงกาหลงยังติดขัดเรื่องทุน การตลาด หรือการสืบทอดคนรุ่นใหม่ ก็จะเป็น “สัญญาณเตือน” ต่อผู้กำหนดนโยบายว่า การผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในระดับพื้นที่จำเป็นต้องลงลึกกว่าการจัดกิจกรรมเชิงพิธีการ และต้องลงทุนกับคน–ระบบ–ความต่อเนื่องให้มากกว่าที่เป็นอยู่

จากมือช่างถึงมือผู้ว่าฯ และอนาคตของชุมชน

ในวันที่นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ก้าวเข้าสู่โรงเผาเล็ก ๆ ของครูทันธิ จิตตัง ที่อำเภอเวียงป่าเป้า ภาพที่เห็นไม่ได้มีเพียงเตาดินเผาและชั้นวางเครื่องเคลือบ แต่เป็น “จุดตัด” ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเศรษฐกิจชุมชนเชียงราย

อดีต – ถูกหล่อหลอมอยู่ในดินและลายเส้นของเวียงกาหลง
ปัจจุบัน – ปรากฏผ่านมือช่างฝีมือ ศิลปิน OTOP และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาซื้อผลงาน
อนาคต – ขึ้นอยู่กับว่า จังหวัดและชุมชนจะสามารถนำมรดกเหล่านี้ไปต่อยอดในโลกของเศรษฐกิจสร้างสรรค์และตลาดดิจิทัลได้อย่างยั่งยืนเพียงใด

การลงพื้นที่เยี่ยมชมครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ในปฏิทินราชการ หากแต่เป็น “สัญญาณ” ว่าเชียงรายกำลังเลือกเดินบนเส้นทางที่ใช้ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และเวียงกาหลงก็อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการเดินทางเส้นนี้ในสายตาของทั้งคนในจังหวัดและสังคมไทยโดยรวม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผู้ว่าฯ ชูเชียงรายเมืองศิลปะ! ขัวศิลปะจัดงานใหญ่ 3 เดือน ผสาน Artist Talk และ Art Market สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

ขัวศิลปะจัด “นิทรรศการประจำปี ครั้งที่ 14” ที่ CCAM ตอกย้ำเชียงรายในฐานะเมืองศิลปะ และเวทีหลักของศิลปินไทยร่วมสมัย

เชียงราย, 7 ธันวาคม 2568 – ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiang Rai Contemporary Art Museum – CCAM) สมาคมขัวศิลปะจัดพิธีเปิด “นิทรรศการประจำปีขัวศิลปะ ครั้งที่ 14” อย่างเป็นทางการ บรรยากาศภายในงานคึกคักด้วยขบวนศิลปิน สถาปนิก นักออกแบบ ภาคีเครือข่ายด้านวัฒนธรรม ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง สะท้อนให้เห็นว่า “ศิลปะ” ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของสังคมเชียงรายอีกต่อไป

พิธีเปิด  6 ธันวาคม 2568 ได้รับเกียรติจาก นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยศิลปินแห่งชาติ อาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ และคณะศิลปินเชียงรายร่วมเป็นสักขีพยาน โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า

“เชียงรายเป็นเมืองที่มีศิลปินพำนักอยู่มากที่สุดในประเทศไทย เป็นหลักฐานชัดเจนว่าเชียงรายคือเมืองแห่งศิลปะ และเมืองแห่งศิลปินอย่างแท้จริง”

คำกล่าวนี้ไม่เพียงเป็นถ้อยแถลงเชิงสัญลักษณ์ แต่ยังสะท้อนทิศทางนโยบายจังหวัดที่เลือก “ศิลปะและวัฒนธรรม” เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

14 ปีของเจตนารมณ์ “เชื่อมคน เชื่อมศิลปะ เชื่อมวัฒนธรรม”

นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี นายกสมาคมขัวศิลปะ ระบุว่า การจัดนิทรรศการประจำปีครั้งนี้ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 14 แล้ว สะท้อนความมั่นคงของสมาคมในฐานะองค์กรศิลปะที่เติบโตจากภาคประชาชนและศิลปินเอง ไม่ใช่โครงการระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้วจบไป

ภายใต้เจตนารมณ์ “เชื่อมคน เชื่อมศิลปะ เชื่อมวัฒนธรรม” สมาคมขัวศิลปะทำหน้าที่เสมือน “ขัว” หรือ “สะพาน” ตามคำในภาษาเหนือ ที่เชื่อมต่อสามมิติสำคัญเข้าด้วยกันคือ

  1. เชื่อมศิลปินกับสังคม – ทำให้ผลงานและตัวตนของศิลปินเข้าถึงผู้ชมทั่วไป ไม่จำกัดอยู่ในวงแคบของนักสะสม
  2. เชื่อมวัฒนธรรมดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย – เปิดพื้นที่ให้ศิลปินตีความเมืองเชียงรายด้วยภาษาศิลปะสมัยใหม่ แต่อิงรากทางวัฒนธรรมเดิม
  3. เชื่อมท้องถิ่นกับเวทีประเทศและนานาชาติ – ผ่านการเชิญศิลปินรับเชิญจากหลายภูมิภาค และการใช้พื้นที่อย่าง CCAM เป็นเวทีมาตรฐานระดับประเทศ

การที่สมาคมสามารถยืนหยัดมาถึงปีที่ 14 ได้ แสดงให้เห็นว่า โมเดลองค์กรศิลปะที่นำโดยศิลปิน (Artist-led Organization) สามารถบริหารจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน หากมีวิสัยทัศน์ชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นจากภาคส่วนอื่นได้อย่างต่อเนื่อง

โครงสร้างนิทรรศการ มากกว่า 150 ผลงาน และเทศกาลศิลปะตลอด 3 เดือน

นิทรรศการประจำปีครั้งนี้จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยกว่า 150 ชิ้น ครอบคลุมสื่อหลากหลายประเภท ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม สื่อผสม ภาพถ่าย และศิลปะแบบสื่อใหม่ จากศิลปินเชียงราย ศิลปินรุ่นใหม่ และศิลปินรับเชิญจากทั่วประเทศ

ตลอดระยะเวลา 3 เดือน การจัดงานไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการ “เดินชมภาพ” ภายในห้องจัดแสดง แต่ถูกออกแบบให้เป็นลักษณะ เทศกาลศิลปะต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรมคู่ขนาน เช่น

  • Artist Talk ให้ศิลปินเล่าที่มาของผลงานด้วยตนเอง
  • เวิร์กช็อปศิลปะ สำหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป
  • กิจกรรมสำหรับเด็กและครอบครัว เพื่อปลูกฝังการมองศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
  • การแสดงดนตรีและศิลปะการแสดง เพิ่มมิติทางประสบการณ์ให้ผู้เข้าชม
  • ตลาดศิลปะและโซนอาหารพื้นเมือง เชื่อมศิลปะกับเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน

สมาคมขัวศิลปะตั้งเป้าผู้เข้าชมไว้ไม่ต่ำกว่า 15,000 คน ตลอด 3 เดือนของการจัดแสดง ซึ่งหากบรรลุเป้าหมาย ตัวเลขดังกล่าวจะไม่ใช่เพียง “จำนวนคนเดินชมงาน” แต่หมายถึงเม็ดเงินที่ไหลเวียนสู่ร้านอาหาร ที่พัก ร้านกาแฟ แท็กซี่ท้องถิ่น และผู้ค้าชุมชนรอบพื้นที่ CCAM ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างชัดเจน

จากที่ดิน 5 ไร่ สู่พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัย พลังการลงทุนของศิลปิน

หนึ่งในจุดแข็งที่ทำให้เชียงรายโดดเด่นเหนือเมืองอื่น คือการมี “ศิลปินชั้นนำระดับชาติ” ลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางศิลปะด้วยตนเอง

  • อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินชื่อดัง ได้มอบที่ดินจำนวน 5 ไร่ เพื่อพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) และเคยเป็นผู้มอบทุนตั้งต้นในการจัดตั้งกองทุนศิลปินเชียงราย
  • อาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินแห่งชาติ เจ้าของ “ดอยดินแดง” และนายกสมาคมขัวศิลปะคนแรก ทำหน้าที่วางรากฐานการรวมตัวของศิลปินเชียงรายและสร้างมาตรฐานงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ

บทบาทของศิลปินทั้งสองท่าน ทำให้ขัวศิลปะไม่ได้เป็นเพียงหอศิลป์ขนาดกลางในจังหวัด แต่กลายเป็น “โครงสร้าง/ระบบ” ที่มีทั้งหอศิลป์ดั้งเดิม ร้านอาหาร (เช่น ครัวศิลปิน) พื้นที่เวิร์กช็อป และ CCAM เป็นปลายทางของงานระดับชาติ–นานาชาติ

ด้วยเหตุนี้ นิทรรศการประจำปีครั้งที่ 14 ที่ย้ายไปจัดที่ CCAM จึงสะท้อน “การยกระดับสถานะ” ของงานจากกิจกรรมของสมาคม ไปสู่การเป็น “กิจกรรมหลักของเมือง” อย่างชัดเจน

CCAM พื้นที่ศิลปะของเมือง และจังหวะเวลาที่สอดรับฤดูท่องเที่ยว

CCAM เปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่วันอังคารถึงวันอาทิตย์ ทำหน้าที่เสมือน “ประตูเมืองทางวัฒนธรรม” ของเชียงราย ที่นักท่องเที่ยวสามารถบรรจุไว้ในโปรแกรมการเดินทางควบคู่ไปกับจุดหมายสำคัญอื่น ๆ เช่น วัดร่องขุน ดอยตุง หรือถนนคนเดินในตัวเมือง

การกำหนดช่วงเวลาจัดนิทรรศการระหว่าง พฤศจิกายน 2568 – กุมภาพันธ์ 2569 ถือเป็นการวางจังหวะเชิงกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับฤดูกาลท่องเที่ยวหลักของจังหวัด ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นและมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่จำนวนมาก การจัดงานศิลปะขนาดใหญ่ในช่วงนี้ จึงช่วยเพิ่ม “เหตุผลใหม่” ให้ผู้คนมาใช้เวลานานขึ้นในเมืองเชียงราย ไม่เพียงเพื่อชมธรรมชาติ แต่เพื่อสัมผัสประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมที่ลึกขึ้น

ผสานพลังนิทรรศการระดับชาติ สร้าง “ความหนาแน่นทางศิลปะ” ให้เชียงราย

หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจในช่วงปลายปี 2568 คือ การจัดนิทรรศการสำคัญของประเทศให้ “ซ้อนทับ” อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับงานประจำปีขัวศิลปะ ณ พื้นที่ CCAM เช่น นิทรรศการ “I AM FINE สัญจร ครั้งที่ 2” ที่รวบรวมผลงานและเรื่องเล่าชีวิตของศิลปินแถวหน้าของไทยหลายคน

การจัดนิทรรศการระดับชาติและกิจกรรมประจำปีของสมาคมในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เชียงรายมี “ความหนาแน่นของเหตุการณ์ทางศิลปะ” สูงเป็นพิเศษในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดทั้งนักสะสม ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ สื่อมวลชน และนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้เดินทางขึ้นเหนือในช่วงเวลาเดียวกัน เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินและการประชาสัมพันธ์ไปพร้อมกัน

เปลี่ยนผู้ชมให้เป็น “ผู้ร่วมสร้างประสบการณ์ศิลปะ”

ต่างจากภาพจำของ “หอศิลป์เงียบ ๆ” นิทรรศการครั้งนี้ถูกออกแบบให้ผู้เข้าชมมีบทบาทมากกว่าผู้สังเกตการณ์ ผ่านกิจกรรมเชิงโต้ตอบ (Interactive) หลายรูปแบบ เช่น

  • เวิร์กช็อปสำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อให้การเรียนรู้ศิลปะเกิดขึ้นผ่านการลงมือทำ
  • เวทีสนทนาศิลปะ (Artist Talk) ที่เปิดโอกาสให้ตั้งคำถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับศิลปินโดยตรง
  • การใช้พื้นที่นอกห้องจัดแสดงเป็นลานกิจกรรม เปิดเพลง ขับกล่อมด้วยดนตรี และการแสดงในบรรยากาศสบาย ๆ ยามเย็น

แนวทางนี้ทำให้ “ศิลปะร่วมสมัย” ซึ่งมักถูกมองว่ายากและเข้าถึงลำบาก กลายเป็นประสบการณ์ที่จับต้องได้ เข้าใจได้ และสนุกกับได้ในทุกวัย เป็นการยกระดับ “สายตาศิลปะ” (Art Literacy) ของชุมชนอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต่อเนื่องและเป็นระบบ

Artbridge Young Artist และศิลปะเพื่อสังคม เมื่องานศิลป์เดินออกจากผนังห้องจัดแสดง

อีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนิทรรศการ คือโครงการสำหรับศิลปินรุ่นใหม่อย่าง Artbridge Young Artist ที่เน้นให้ศิลปินไม่เพียงสร้างผลงานเพื่อจัดแสดง แต่ยังต้องออกแบบโครงการที่ใช้ศิลปะเข้าไป “เปลี่ยนพื้นที่จริง” และตอบโจทย์สังคมร่วมสมัย

ตัวอย่างกิจกรรมเช่น การออกแบบทางม้าลายร่วมกับโรงเรียนและชุมชน เพื่อนำลายเส้นจากจินตนาการของเด็ก ๆ ไปใช้จริงในพื้นที่ตลาดและเขตชุมชน โครงการลักษณะนี้ชี้ให้เห็นว่า สำหรับขัวศิลปะแล้ว ศิลปะไม่ใช่เพียงภาพแขวนผนัง แต่เป็นเครื่องมือในการทำให้เมืองน่าอยู่ ปลอดภัย และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ใด

บทบาทดังกล่าวช่วยขยายภาพของขัวศิลปะจาก “ผู้จัดนิทรรศการ” ไปสู่การเป็น “ผู้พัฒนาพื้นที่ด้วยศิลปะ” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาเมืองเชิงสร้างสรรค์ (Creative City) ในระดับสากล

Art Market และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อการดูงานศิลป์เชื่อมต่อกับรายได้ของชุมชน

ภายในนิทรรศการมีการจัด “ตลาดศิลปะ” ควบคู่กับโซนจำหน่ายอาหารและของที่ระลึกท้องถิ่น เป้าหมายไม่ใช่เพียงให้ศิลปินมีพื้นที่วางขายงานของตนเอง แต่เป็นการทดลองโมเดล “ตลาดศิลปะที่เข้าถึงได้” เพื่อพิสูจน์ว่า งานศิลปะสามารถเป็นสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ไม่จำกัดแค่กลุ่มนักสะสมรายใหญ่

เมื่อเชื่อมต่อกับเป้าหมายผู้เข้าชม 15,000 คนตลอดระยะเวลา 3 เดือน นิทรรศการประจำปีขัวศิลปะจึงกลายเป็น “จุดยุทธศาสตร์” สำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์เชียงราย ที่เชื่อมสามเส้นเลือดคือ ศิลปิน–ผู้ประกอบการท้องถิ่น–นักท่องเที่ยว ให้ไหลเวียนถึงกันอย่างเป็นรูปธรรม

โมเดล Public–Private–Artist Partnership รัฐ–เอกชน–ศิลปิน ร่วมกันขับเคลื่อนเมืองศิลปะ

จากโครงสร้างการดำเนินงาน สามารถมองเห็นได้ชัดว่า นิทรรศการประจำปีครั้งที่ 14 ยืนอยู่บนโมเดลความร่วมมือแบบ Public–Private–Artist Partnership (PPAP) ได้แก่

  • ภาครัฐ (Public) – ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานด้านวัฒนธรรมร่วมให้การรับรอง สนับสนุน และบรรจุงานไว้ในปฏิทินกิจกรรมสำคัญของจังหวัด
  • ภาคเอกชน (Private) – ผู้ประกอบการท้องถิ่น ผู้สนับสนุนต่าง ๆ และเครือข่ายธุรกิจที่เข้ามาร่วมสนับสนุนด้านงบประมาณและการประชาสัมพันธ์
  • ภาคศิลปิน (Artist) – สมาคมขัวศิลปะ ศิลปินเชียงราย ศิลปินรับเชิญ และศิลปินรุ่นใหม่ ที่เป็นผู้ลงมือสร้างสรรค์ผลงานและกิจกรรมเชิงเนื้อหา

โมเดลนี้ทำให้ขัวศิลปะไม่ต้องพึ่งพิงงบประมาณรัฐเพียงด้านเดียว ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็สามารถใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารภาพลักษณ์จังหวัดและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ Creative City ได้อย่างมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือ เพราะตั้งอยู่บนฐานชุมชนจริง ไม่ได้เกิดจากโครงการชั่วคราวที่ “สร้างเสร็จแล้วเงียบหาย”

รักษามาตรฐานและความต่อเนื่องในวันที่เชียงรายถูกจับตามองมากขึ้น

เมื่อเชียงรายถูกยกให้เป็น “เมืองแห่งศิลปะและเมืองแห่งศิลปิน” ความคาดหวังจากทั้งสังคมในประเทศและต่างประเทศก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย ความท้าทายสำคัญที่ตามมาคือ

  1. การรักษาคุณภาพและมาตรฐานของผลงาน – เมื่อจำนวนกิจกรรมและศิลปินเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีกลไกคัดสรรและดูแลคุณภาพอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ “ปริมาณ” กลบ “คุณภาพ”
  2. การบริหารจัดการเชิงวิชาชีพ – การเติบโตของ CCAM และสมาคมขัวศิลปะต้องมาพร้อมการเสริมทักษะด้านบริหารหอศิลป์ การเงิน การสื่อสาร และการตลาด เพื่อรองรับงานระดับนานาชาติในอนาคต
  3. การยึดโยงกับชุมชนฐานราก – ยิ่งงานเติบโตมากเท่าใด ยิ่งต้องระวังไม่ให้ศิลปะถูกจำกัดอยู่ในวงการเฉพาะกลุ่ม เป้าหมายเรื่อง “เชื่อมคน เชื่อมศิลปะ เชื่อมวัฒนธรรม” จึงต้องถูกย้ำอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการที่ลงไปทำงานกับโรงเรียน ชุมชน และกลุ่มเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรม

 “เชียงรายเมืองศิลปะ” จากคำขวัญสู่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้

นิทรรศการประจำปีขัวศิลปะ ครั้งที่ 14 ที่จัดขึ้น ณ CCAM ในปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงหมุดหมายในปฏิทินกิจกรรมศิลปะของจังหวัด หากแต่เป็น “หลักฐานเชิงประจักษ์” ว่าเชียงรายกำลังพัฒนาไปสู่การเป็นเมืองศิลปะระดับสากลด้วยกระบวนการที่มีระบบ มีฐานชุมชน และมีการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

ผลงานกว่า 150 ชิ้น กิจกรรมต่อเนื่อง 3 เดือน เป้าหมายผู้เข้าชม 15,000 คน บทบาทของศิลปินแห่งชาติ การลงทุนที่ดินและทุนตั้งต้นของศิลปินชั้นนำ การสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัด และโครงการพัฒนาศิลปินรุ่นใหม่ ล้วนผสานกันเป็น “โครงสร้าง” ที่ทำให้คำว่า “เชียงรายเมืองศิลปะ” ไม่ใช่เพียงคำขวัญสวยหรู แต่เป็นข้อเท็จจริงที่มองเห็นได้ ลงแตะพื้นที่เมือง และสัมผัสได้ในชีวิตคนเชียงรายอย่างเป็นรูปธรรม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สมาคมขัวศิลปะ (Art Bridge Chiang Rai)
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (Chiang Rai Contemporary Art Museum – CCAM)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY EDITORIAL

กลยุทธ์ ASV เปลี่ยน อ.พาน จาก “เมืองผ่าน” สู่ “เมืองแนะนำ” ก่อนเคาท์ดาวน์พะเยา

พะเยาทุ่ม “งานใหญ่ส่งท้ายปี” ดันเศรษฐกิจท่องเที่ยวพุ่ง ชี้โอกาส “อ.พาน จ.เชียงราย” ปั้นบทบาทเมืองพัก เมืองแนะนำ เสริมเส้นทาง CR–PY ให้ไม่ใช่แค่ “เมืองผ่าน”

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – บรรยากาศปลายปีในลุ่มน้ำกว๊านกำลังจะคึกคักที่สุดครั้งหนึ่ง เมื่อจังหวัดพะเยาเตรียมเปิดม่านงานระดับเรือธงรับปีใหม่ “AMAZING THAILAND PHAYAO COUNTDOWN Flora Fest 2026” ณ ลานกิจกรรมพ่อขุนงำเมือง ริมกว๊านพะเยา ระหว่าง 28–31 ธันวาคม 2568 ต่อเนื่องจากอีเวนต์กีฬามวยไทยกระแสแรง THAI FIGHT พะเยา วันที่ 21 ธันวาคม 2568 ขณะที่จังหวัดเชียงราย ศูนย์กลางคมนาคมและการท่องเที่ยวของภาคเหนือตอนบน ถูกจับตาในฐานะ ประตูรับ” นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติสู่พื้นที่ กนบ.2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) โดยเฉพาะ อำเภอพาน ที่อยู่กึ่งกลางเส้นทาง เชื่อม “เมืองหลัก–เมืองรอง” และมีศักยภาพยกระดับจาก “เมืองผ่าน” สู่ “เมืองพัก เมืองแนะนำ” เพื่อยืดเวลาการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวก่อนเข้าร่วมกิจกรรมยามค่ำที่กว๊านพะเยา

ภาพรวมอีเวนต์ “ดอกไม้ วัฒนธรรม ดนตรี ดอกไม้ไฟ” ยกทั้งเมืองสู่เวทีประเทศ

งาน Phayao Countdown Flora Fest 2026 วางคอนเซ็ปต์ “แสงรักแห่งพะเยา เกิดพระเกียรติแม่แห่งแผ่นดิน” ยึดพื้นที่ริมกว๊านพะเยาเป็นฉากหลัง ท่ามกลางสวนดอกไม้และไฟประดับ พร้อมเวทีคอนเสิร์ตศิลปินชื่อดังต่อเนื่องหลายคืนตามกำหนดการประชาสัมพันธ์ของจังหวัด และปิดท้ายด้วย พลุเคาท์ดาวน์ เหนือน้ำกว๊านซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญทางธรรมชาติและวัฒนธรรมของเมือง นัยสำคัญไม่ใช่เพียงจำนวนผู้เข้าร่วม แต่คือการ “รีโพสิชัน” พะเยาจากเมืองท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติสู่ เมืองกิจกรรม เมืองเทศกาล” (Festival City) ที่สร้าง เหตุผลใหม่ในการเดินทาง และ เหตุผลให้พักค้าง เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว (ASV)

ก่อนถึงเคาท์ดาวน์หนึ่งสัปดาห์ พะเยายังจัด THAI FIGHT อีเวนต์กีฬาที่ดึงฐานแฟนมวยไทย-มวยสากลและสายคอนเทนต์ ซึ่งมักก่อให้เกิดการเดินทางแบบ “มาก่อน อยู่นานขึ้น” และ “กลับมาอีก” หากเมืองรองสามารถออกแบบ เส้นทางท่องเที่ยวกลางวัน และ ประสบการณ์ก่อนงาน ได้พอดี

เส้นทางการเดินทาง “ลงเชียงราย ใกล้สุด ลงเชียงใหม่ เที่ยวบินเยอะสุด”

ข้อมูลระยะทางสู่ตัวเมืองพะเยา (วัดตามเส้นทางถนน) สะท้อนบทบาทของ “เชียงราย” เป็นประตูหลักของภูมิภาค

  • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) 90–92 กม., เวลาเดินทาง 1 ชม. 20–30 นาที
  • สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ (CNX)   155–160 กม., เวลา 2 ชม. 30–45 นาที
  • สนามบินลำปาง (LPT)   138–141 กม., เวลา 2 ชม.–2 ชม. 15 นาที

ส่วนระยะระหว่าง อำเภอพาน (เชียงราย) ถึง กว๊านพะเยา อยู่ที่เพียง 47–50 กม. ใช้เวลา 45–55 นาที เท่านั้น เมื่อพิจารณาว่าอีเวนต์หลักของพะเยาจัด ช่วงเย็น–ค่ำ, การวางแผนทริปที่ ลงเครื่องเชียงรายช่วงเช้า–เที่ยง แล้ว พัก–เที่ยวกลางวันในอ.พาน ก่อนมุ่งหน้ากว๊านฯ ช่วงเย็น จึงเป็นรูปแบบที่เป็นไปได้สูงสำหรับทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ

กลยุทธ์หลักในการเพิ่ม ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว (ASV – Average Spending Value)

ในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการอย่างแท้จริง นี่คือ เหตุผลหลัก และ กลยุทธ์ ที่ใช้ในการจูงใจให้ลูกค้าพักค้างคืนนานขึ้น เพื่อเพิ่ม ASV

 

เหตุผลหลัก การพักค้างคืนเพิ่ม ASV ได้อย่างไร

  1. การเพิ่มฐานค่าใช้จ่ายหลัก (ที่พัก):
    • ยิ่งพักนาน รายได้จากค่าห้องพัก/ที่พัก ต่อลูกค้าหนึ่งคนยิ่งสูงขึ้นโดยตรง (ASV = (ค่าห้องพัก + ค่าใช้จ่ายอื่นๆ) / จำนวนลูกค้า)
  2. โอกาสในการขายบริการเสริม (Cross-selling/Upselling) เพิ่มขึ้น
    • ทุก ๆ คืนที่ลูกค้าพัก คือการเพิ่มโอกาสในการใช้บริการอื่น ๆ เช่น สปา, ร้านอาหาร Fine Dining, บาร์, ทัวร์ในท้องถิ่น, บริการซักรีด, หรือซื้อสินค้าที่ระลึก
  3. การใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) สูงขึ้น
    • ลูกค้าที่พักค้างคืนมีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารที่โรงแรม/รีสอร์ทมากกว่า 1 มื้อ (อาหารเช้า, กลางวัน, เย็น) และดื่มเครื่องดื่มที่บาร์ในช่วงเย็น ซึ่งมีกำไรสูง
  4. ความจำเป็นในการเข้าร่วมกิจกรรม
    • การพักหลายคืนเปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าร่วมกิจกรรมหรือเวิร์คช็อปที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (เช่น คลาสทำอาหาร, ดำน้ำ, เดินป่าพร้อมไกด์)
  5. การเปลี่ยนจาก ‘นักท่องเที่ยว’ เป็น ‘ผู้พักอาศัยชั่วคราว’
    • การพักนานทำให้ลูกค้าผ่อนคลายและกล้าที่จะสำรวจและใช้จ่ายในท้องถิ่นมากขึ้น ทั้งร้านค้า ร้านกาแฟ และแหล่งท่องเที่ยวโดยรอบ

กลยุทธ์เพื่อจูงใจให้ลูกค้า “พักค้างนานขึ้น”

  1. การนำเสนอแพ็คเกจและส่วนลดสำหรับเข้าพักระยะยาว
  • ส่วนลดตามจำนวนคืน (Tiered Discount):
    • เสนอส่วนลดที่จูงใจเป็นพิเศษสำหรับการจอง ตั้งแต่ 3 คืนขึ้นไป หรือ พัก 3 คืน จ่าย 2 คืน” ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (Low Season)
  • แพ็คเกจประสบการณ์ (Experience Packages):
    • สร้างแพ็คเกจที่รวมห้องพักกับบริการเสริมที่มีมูลค่าสูง (เช่น ห้องพัก + สปานวด 90 นาที + ดินเนอร์มื้อพิเศษ 1 มื้อ) เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้ ความคุ้มค่า” หากพักนาน
  1. การสร้างประสบการณ์ที่ไม่สามารถทำได้ภายในวันเดียว
  • กำหนดการเดินทางที่น่าสนใจ (Itinerary):
    • นำเสนอแผนการท่องเที่ยว/กิจกรรมที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วัน เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องค้างคืนจึงจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้ครบถ้วน
  • กิจกรรมเฉพาะเจาะจงสำหรับผู้พักค้างคืน (Exclusive Activities):
    • กิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นในช่วงกลางวันหรือกลางคืนสำหรับแขกที่พักกับเราเท่านั้น (เช่น ทัวร์ชมดาว, คลาสโยคะยามเช้า, การชิมไวน์)
  1. การเพิ่มมูลค่าให้กับห้องพัก (Upselling)
  • การอัปเกรดห้องพักที่น่าดึงดูดใจ:
    • เสนอการอัปเกรดเป็นห้องพักที่หรูหรากว่า (วิวดีกว่า, มีอ่างจากุซซี่, มีพื้นที่นั่งเล่น) ในราคาที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อลูกค้าตัดสินใจพักนานขึ้น
  • สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พักระยะยาว:
    • จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การพักนาน เช่น พื้นที่ทำงาน Co-working Space, เครื่องซักผ้า/อบผ้า, หรือมุมครัวขนาดเล็กในห้องพักประเภท Suite

การจูงใจให้ลูกค้าพักค้างคืนนานขึ้นคือการเปลี่ยนจาก การขายสินค้า (ห้องพัก) ไปสู่ การขายประสบการณ์ (Experience Selling) ซึ่งเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากทุกส่วนของธุรกิจ และส่งผลให้ ASV เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

มองผ่าน “เลนส์ตัวเลข” พะเยาโตเร็ว เชียงรายฐานแน่น และพานคือ “ตัวคูณการใช้จ่ายระหว่างเส้นทาง”

การเปรียบเทียบผลการท่องเที่ยวปี 2566 ระหว่าง เชียงราย และ พะเยา ชี้ภาพ “ฐาน ศักยภาพ กลยุทธ์” ที่แตกต่างชัดเจน

  • เชียงราย มีนักท่องเที่ยวรวม 6,147,860 คน รายได้ 46,774 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน (ASV) ราว 7,608 บาท และโตจากก่อนโควิด +64.86%
  • พะเยา มีผู้เยือน 1,009,648 คน รายได้ 2,290 ล้านบาท ASV เฉลี่ย 2,268 บาท สัดส่วนผู้เยือนเป็นคนไทย  95.7% โต +53.59% เทียบก่อนโควิด

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า เชียงราย เป็น “สมอรายได้” ของภูมิภาคจากฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพและผลิตภัณฑ์พรีเมียม ขณะที่ พะเยา แม้ตัวเลขปริมาณยังด้อยกว่า แต่ อัตราเติบโต สูงจากนโยบายผลักดัน “เมืองรอง” และการลงทุนด้านซอฟต์พาวเวอร์ กิจกรรมอย่างต่อเนื่อง

หากซูมระดับ อำเภอพาน (แม้ไร้สถิติทางการรายอำเภอ) การประมาณการเชิงอนุรักษนิยม สมมติ 12% ของนักท่องเที่ยวในประเทศที่มาเชียงรายแวะพาน เท่ากับ  650,000 คน ในปี 2566 และด้วย ASV ถ่วงน้ำหนัก 3,000 บาท/คน (สะท้อนพฤติกรรม “กิน ช้อป แวะถ่ายรูป ซื้อของท้องถิ่น”) จะเทียบเท่ารายได้  1,950 ล้านบาท ซึ่ง ใกล้ 85% ของรายได้รวมทั้งจังหวัดพะเยา ในปีเดียวกัน ชี้ว่าพานคือ จุดแวะที่ทำเงินได้จริง หากมีการจัดวางผลิตภัณฑ์ สื่อสารเส้นทางอย่างเป็นระบบ

โครงสร้างพื้นฐาน ถนน 1020 “ตัวเปลี่ยนเกม” และบทของเส้นทาง CR–PY

โครงการก่อสร้าง ถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข 1020 บ้านกิ่วแก้ว ระยะ 43.709 กม. งบประมาณ 1,199 ล้านบาท (คาดเสร็จปี 2567) ถูกวางให้เป็น คอขวดที่ถูกปลดล็อก เชื่อมการเดินทาง เชียงราย พะเยา จุน เทิง ให้ไหลลื่น สอดรับยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ ไทย–พม่า–ลาว–จีน ระดับอนุภูมิภาค GMS ผลลัพธ์เชิงท่องเที่ยวคือ เวลาบนถนนลดลง และ โอกาสแวะ พัก จับจ่ายเพิ่มขึ้น โดย อ.พาน จะรับอานิสงส์จาก การเก็งกำไรโครงสร้างพื้นฐาน” (Infrastructure Arbitrage) อย่างชัดเจน

พะเยา เร่ง “มูลค่า” มากกว่า “ปริมาณ” เป้าโตด้วยซอฟต์พาวเวอร์และงบ 300 ล้านบาท

หลังโควิด ภาคเหนือทะลุผู้มาเยือนระดับ 45 ล้านคน (เป้า 2567) และตั้งเป้ารายได้ภูมิภาค 2.09 แสนล้านบาท แนวโน้มประเทศขับเคลื่อนสู่ “Quality Tourism” ดึงต่างชาติคุณภาพ 39–40 ล้านคนในปี 2568 การเป็น เมืองเทศกาล” ของพะเยา จึงทำหน้าที่ เพิ่มระยะพัก เพิ่มราคาที่นักท่องเที่ยวยอมจ่าย (ยก ASV) ควบคู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Wellness Gastronomy Creative ตามกรอบงบ คณะรัฐมนตรีสัญจร กลุ่ม กนบ.2 รวม 300 ล้านบาท (มีโครงการด้านอาหาร 20 ล้านบาท, ชา–กาแฟ 15 ล้านบาท, โครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวสร้างสรรค์ 26.12 ล้านบาท, ยกระดับสุขภาพ 15 ล้านบาท ฯลฯ) และ แผน 5 ปี ฉบับทบทวน 2568 จัดสรร 72.6 ล้านบาท เฉพาะกิจกรรมท่องเที่ยว รวมระบบ Application ท่องเที่ยว 6.5 ล้านบาท เพื่อยิงตลาดดิจิทัลให้ตรงกลุ่มคุณภาพ

ความท้าทาย คือ วินัยการส่งมอบ มีรายงานบางโครงการคืบเพียง  45% ถึง 30 ก.ย. 2568 หากล่าช้า ผลคูณรายได้ ASV จะ เบี่ยงเบนจากประมาณการ ทันที

ทำไม “อ.พาน” จึงสำคัญกับความสำเร็จของพะเยาในช่วงเคาท์ดาวน์

  1. ระยะ เวลา พฤติกรรม นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยจะลงเครื่อง เชียงราย (CEI) เพราะใกล้และเที่ยวบินเพียงพอ ก่อนขยับไปกว๊านพะเยาช่วงเย็น ช่องว่างครึ่งวันถึงบ่าย คือ ชั่วโมงทองของพาน ในการแปรสภาพ “เวลารอ” เป็น “เวลาจับจ่าย”
  2. สินทรัพย์ทางธรรมชาติ อุทยานแห่งชาติดอยหลวง น้ำตกปูแกง และพื้นที่สีเขียวของพาน ตอบเทรนด์ Green Season/Slow Travel และตลาด Wellness Annex ของเชียงรายได้ดี กิจกรรมเบา ๆ กลางวัน เช่น เดินเส้นทางสั้นชมธรรมชาติ ถ่ายภาพวิวเขา สวน ทุ่ง ก่อนไปงานเย็น ไม่เหนื่อย ไม่เปื้อน และสร้างคอนเทนต์
  3. วัฒนธรรม ชุมชน วัดห้วยทรายขาว และงานหัตถกรรม OTOP (ผ้าปัก/สิ่งทอ) ช่วยเล่าเรื่อง “เมืองระหว่างทางที่มีตัวตน” เพิ่มความหมายให้ทริป และเอื้อต่อการใช้จ่ายเล็ก กลางที่กระจายถึงร้านชุมชน

ข้อเสนอ “แพ็กเกจครึ่งวันพาน” เพื่อยืดเวลา ยืดกระเป๋า ก่อนเคาท์ดาวน์พะเยา

ธีม 1 Nature Ease & Snap

  • สายถ่ายรูป เดินสบาย จุดชมวิวทุ่ง สวนริมนา, จุดพักคาเฟ่ชุมชนริมทาง (เน้นกาแฟ ชาน้ำผึ้งท้องถิ่น), เซ็ตเมนู “ขันโตกจิ๋ว” สำหรับ 2–3 คน กลางวัน
  • ใช้เวลารวม 2–3 ชั่วโมง ได้รูป ได้รสชาติ ได้ซื้อของฝาก OTOP ขนาดพกสะดวก

ธีม 2 Culture Bite & Craft

  • แวะวัดห้วยทรายขาว เรียนรู้ลวดลายผ้าปัก 30–45 นาที
  • เวิร์กช็อปลองปัก/ทอแบบ “Mini Try” 1 ชั่วโมง ได้ชิ้นงานเล็กกลับบ้าน
  • ปิดด้วยมื้อเที่ยงอาหารเหนือ (ลาบคั่ว จอผักกาด แกงฮังเล) ขนาด “แชร์ริ่ง” สำหรับกลุ่มเพื่อน

ธีม 3 Wellness Annex (เบา ๆ)

  • เดินป่าเส้นทางง่ายในพื้นที่ดอยหลวงช่วงสาย เที่ยง (ไม่เกิน 90 นาที)
  • ชุดเครื่องดื่มสมุนไพรเย็น สปาเท้า 20 นาทีจากชุมชน (บิลเล็ก เพิ่มความรู้สึกพรีเมียม)
  • เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจ “เคาท์ดาวน์แบบสุขภาพดี”

โจทย์หลักของทั้ง 3 แพ็กเกจ ไม่เหนื่อย ไม่เลอะ ไม่ไกล ใช้เวลารวม 3–4 ชั่วโมง แล้วมุ่งหน้า กว๊านพะเยา ช่วงบ่ายแก่ ๆ เพื่อจับจองพื้นที่คอนเสิร์ตและชมพลุ

เชื่อมงาน เชื่อมเมือง แนะนำ “ศูนย์บริการข้อมูล CR–PY Gateway Phan Stop”

เพื่อให้พานยกระดับจาก “เมืองผ่าน” เป็น “เมืองพัก เมืองแนะนำ” ได้จริง ควรมี ศูนย์บริการข้อมูลริมทาง รูปแบบ Pop-up/Seasonal ติดถนนสายหลัก (แนวทางหลวง 1 หรือจุดทางเชื่อม 1020) ทำหน้าที่

  • แสดง “แผนที่ทริปครึ่งวัน” พร้อม QR Code ไปยัง แอปท่องเที่ยว กนบ.2
  • เสิร์ฟ Welcome Drink ท้องถิ่น (ชา–กาแฟ–น้ำผึ้งมะนาว) บริการห้องน้ำมาตรฐาน
  • ขาย ชุดของฝากราคา 199–299 บาท (ขนม ผ้า ชา) แบบ Grab & Go
  • จอง ยืนยัน แพ็กเกจชุมชน เวิร์กช็อปสั้น เดินป่าทางง่าย เซ็ตอาหารเหนือ

ศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่ ยึดนักท่องเที่ยวให้อยู่พาน 1–3 ชั่วโมง ทั้งยังเก็บ ดาต้าท่องเที่ยว เพื่อวิเคราะห์เส้นทาง พฤติกรรมจริง รองรับแคมเปญซ้ำในเทศกาลใหญ่ปีถัดไป

กลยุทธ์สื่อสาร (Communication Playbook) ช่วง 1 เดือนก่อนงาน

1.ข้อความหลัก (Key Messages)

  • “ลงเชียงราย ใกล้พะเยาที่สุด แวะพานครึ่งวัน ได้รูป ได้รส ได้ของฝาก ก่อนเคาท์ดาวน์”
  • “พะเยา เมืองเทศกาล เมืองดอกไม้ / พาน เมืองพัก เมืองแนะนำ (CR–PY Gateway)”

2.ช่องทางและรูปแบบ

  • Short-form Video 30–45 วินาที โชว์ทริปจริง “ลง CEI แวะพาน เข้ากว๊านช่วงเย็น”
  • Influencer/Travel Creator สายครอบครัว สุขภาพ ถ่ายรูปธรรมชาติ
  • แผนที่อินเตอร์แอคทีฟ บนแอป/เว็บ กนบ.2 (ใช้งบ 6.5 ล้านบาทที่จัดสรรเพื่อระบบดิจิทัล)

3.ข้อเสนอเชิงการค้า (Trade Offers)

  • คูปอง ค่าน้ำมัน/เครื่องดื่ม เมื่อเช็กอินจุด “Phan Stop”
  • ส่วนลด 10–15% แพ็กเกจเวิร์กช็อป/อาหารชุมชน เมื่อแสดงตั๋วคอนเสิร์ตเคาท์ดาวน์

บริบทความเสี่ยงและการบรรเทา

  • ฝุ่นควัน (PM2.5) ไตรมาส 1–2 ใช้กลยุทธ์ Green Season และ Wellness นำเสนอกิจกรรมกลางแจ้งเบา ๆ และผลิตภัณฑ์สุขภาพ น้ำพุร้อน (ในแผนยกระดับ) กระจายฤดูกาลเดินทาง
  • ความระมัดระวังการใช้จ่ายของคนไทย ลดการพึ่งพาตลาดในประเทศของพะเยา (ปัจจุบัน  95.7%) ผ่านแคมเปญยิงตลาดต่างชาติที่ลง CEI/CNX โดยจับคู่ เที่ยวบิน แพ็กเกจ และสร้างเส้นทาง CR–Phan–PY ภาษาอังกฤษ–จีน
  • ความไม่แน่นอนการเบิกจ่ายงบ ติดตามความคืบหน้าโครงการ 300 ล้านบาทอย่างใกล้ชิด จัดลำดับความสำคัญโครงการที่ “ยก ASV ได้ทันที” เช่น ปรับปรุงจุดบริการนักท่องเที่ยว, สุขลักษณะ, ไฟ ป้าย ที่จอด ห้องน้ำ, ทดลองเปิด Pop-up Market ริมกว๊านและในพาน

มุมเศรษฐศาสตร์ท่องเที่ยว ทำไม “ASV” คือคำตอบ

ช่องว่าง ASV เชียงราย  พะเยา = 3.4 : 1 หมายความว่า รายได้ 10 ล้านบาท ของเชียงราย ใช้นักท่องเที่ยวน้อยกว่าพะเยา  4.4 เท่า การจะทำให้พะเยา “ทัน” จึงต้องเลิกวิ่งแข่งที่ ปริมาณ แต่ยกระดับ มูลค่า/คน” ด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพ (เทศกาล อาหาร สุขภาพ สร้างสรรค์) และ เมืองพักระหว่างทาง อย่างพาน ทำหน้าที่ “Hedonic Add-on” เติมคุณค่าให้ทริป

ในเชิงปฏิบัติ หากนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายเฉลี่ย 7,608 บาท/คน ในเชียงราย แวะพานแล้วเพิ่มการใช้จ่ายเพียง 10% ( 760 บาท) ต่อหัว จะเกิด รายได้ประจำ (repeatable revenue) กับผู้ประกอบการชุมชนทันที โดยไม่ต้องเร่ง “จำนวน” จนเกินขีดความสามารถของเมือง

สิ่งที่ อำเภอพาน ควร “ทำทันที” ก่อนถึงสัปดาห์เคาท์ดาวน์

  • คัดเลือก 6–8 จุดแวะ (ธรรมชาติ วัฒนธรรม กิน ช้อป) และกำหนดเวลาอยู่ต่อจุด 20–40 นาที
  • ตั้งจุด “Phan Stop” พร้อม QR เดียวเข้าสู่ “เส้นทางครึ่งวัน คูปอง จองเวิร์กช็อป”
  • ทำสื่อ 3 ภาษา (ไทย–อังกฤษ–จีน) สั้น กระชับ พร้อมภาพถ่าย ถ่ายซ้ำได้จริง
  • ซ้อมเส้นทางรถ ที่จอด ห้องน้ำ เพิ่มปริมาณชั่วคราวช่วง 21 ธ.ค. (THAI FIGHT) และ 28–31 ธ.ค. (Flora Fest) เพื่อทดสอบโหลด
  • เชื่อม Call Center/Chat ของจังหวัด อุทยาน ชุมชน เพื่อรับจอง ตอบคำถามแบบเรียลไทม์

ปลายปีนี้ พะเยา กำลัง “เร่งเครื่อง” จากเมืองธรรมชาติสู่ เมืองเทศกาล ด้วย THAI FIGHT และ Flora Fest–Countdown 2026 ขณะที่ เชียงราย ยังคงบทบาทประตูหลักของภาคเหนือ ด้วยเที่ยวบินและโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม การเชื่อมสองเมืองด้วยถนน 1020 และการจัดเส้นทาง CR–Phan–PY คือกลยุทธ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ พะเยา ยก ASV, เชียงราย ยืดเวลาพัก, และ อ.พาน เก็บรายได้ระหว่างทาง อย่างมีเกียรติและยั่งยืน

หากทุกชิ้นส่วน “ส่งมอบทันเวลา” และ “เล่าเรื่องร่วมกัน” ปลายปี 2568 อาจไม่ใช่แค่ภาพพลุเหนือน้ำกว๊านที่สวยที่สุด แต่คือ จุดเริ่มต้นของระเบียงท่องเที่ยวคุณภาพ CR–PY ที่ทำให้คำว่า #เมืองพานไม่ใช่เมืองผ่าน เกิดขึ้นจริง

ข้อมูลชวนคิด (Highlights)

  • ระยะ เวลาเดินทาง CEI–พะเยา  90–92 กม./1 ชม.20–30 นาที, พาน–กว๊าน  47–50 กม./45–55 นาที
  • ฐาน 2566 เชียงราย 6.15 ล้านคน/46,774 ลบ., ASV  7,608 บ.; พะเยา 1.01 ล้านคน/2,290 ลบ., ASV  2,268 บ.
  • โครงการขับเคลื่อน งบ ครม.สัญจร กนบ.2 รวม 300 ลบ.; แผน 5 ปี (ทบทวน 2568) จัดงบท่องเที่ยว 72.6 ลบ. และระบบแอป 6.5 ลบ.
  • โครงสร้างพื้นฐาน ถนน 1020 ระยะ 43.709 กม., งบ 1,199 ลบ., เป้าหมายเสร็จ 2567

พฤติกรรมเป้าหมาย “ลงเชียงราย แวะพานครึ่งวัน เข้ากว๊านเย็น” เพิ่มการใช้จ่ายเล็ก กลาง แต่อย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • มติคณะรัฐมนตรีสัญจร กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (กนบ.2) อนุมัติโครงการพัฒนารวมวงเงิน 300 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างถนนสายแยกทางหลวงหมายเลข 1020 บ้านกิ่วแก้ว ระยะ 43.709 กม. งบ 1,199 ล้านบาท กำหนดเสร็จปี 2567
  • สถิติการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงราย ปี 2566 นักท่องเที่ยวรวม 6,147,860 คน รายได้ 46,774 ล้านบาท เติบโต +64.86% เทียบก่อนโควิด   แหล่ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)/ข้อมูลจังหวัดเชียงราย
  • สถิติการท่องเที่ยว จังหวัดพะเยา ปี 2566 นักท่องเที่ยว 1,009,648 คน รายได้ 2,290 ล้านบาท สัดส่วนคนไทย   95.7%   แหล่ง ททท./ข้อมูลจังหวัดพะเยา
  • สินค้าท่องเที่ยวพรีเมียมเชียงราย (สนามกอล์ฟ/ที่พัก 4–5 ดาว/เส้นทางวัฒนธรรม) และบทบาท “ประตู GMS”   แหล่ง แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวจังหวัด/ททท. ภาคเหนือ
  • แผน 5 ปี (ทบทวนปี 2568) กลุ่มกนบ.2 งบด้านท่องเที่ยว 72.6 ล้านบาท และพัฒนาระบบแอป 6.5 ล้านบาท รวมถึงแผนยกระดับแหล่งน้ำพุร้อน สุขภาพ
  • ยุทธศาสตร์ภาคเหนือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ/ระเบียงการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และเป้าหมาย Quality Tourism 2568 – แหล่ง ททท./หน่วยงานเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
  • เป้าหมายผู้มาเยือนภาคเหนือ 45 ล้านคน (2567) รายได้ 2.09 แสนล้านบาท และแนวทาง Green Season – แหล่ง ททท.
  • เป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39–40 ล้านคน ปี 2568 (ระดับประเทศ) – แหล่ง นโยบายการท่องเที่ยวระดับชาติ/ททท.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“Fashion on the Road” เงินสะพัดกว่า 10 ล้าน! ! เชียงรายใช้แฟชั่นโชว์ยืนยันศักยภาพชายแดน

ปิดฉาก “Fashion on the Road” แม่สายเงินสะพัด 10 ล้าน ผ้าไทยบนถนนชายแดน ยกเครื่อง Soft Power เชียงราย หนุนวิสัยทัศน์ NEC

เชียงราย, 3 พฤศจิกายน 2568 — ผืนผ้าไทยสะบัดพลิ้วท่ามกลางสายลมจากแนวสันเขาแม่สาย ก่อนจะตกกระทบเลนส์กล้องนักท่องเที่ยวและผู้สื่อข่าวนับร้อย ณ บริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา ในค่ำคืนที่เสียงปรบมือก้องยาวกว่าปกติ “Fashion on the Road 3rd Chiang Rai Designer’s Competition” ประกาศปิดฉากอย่างงดงามเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานปิดงาน และประกาศผลผู้ชนะครบทั้ง 3 ประเภท ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของผู้ชมทั้งชาวไทยและต่างชาติ

งานปีนี้ไม่ได้ปิดเพียงไฟบนรันเวย์ แต่ปิดด้วย “ตัวเลข” ที่จับต้องได้ — เงินสะพัดกว่า 10 ล้านบาท ตลอดห้วงการจัดงาน ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่ต่อเส้นเลือดจากพื้นที่ชายแดนไปสู่ผู้ประกอบการท้องถิ่น ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ ช่างฝีมือผ้า และผู้ค้าใน “Premium Market” ร้อยบูธที่ขยับตัวตลอดวัน

Soft Power ที่ลงดิน จากลายผ้าล้านนาสู่แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดน

แก่นสำคัญของ “Fashion on the Road” คือการเลือก “ถนนชายแดน” เป็นรันเวย์ เปิดพื้นที่ให้ผ้าไทยและผ้าชาติพันธุ์พูดภาษาสากลได้ด้วยตัวเอง การจัดงานที่หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อำเภอแม่สาย ทำให้การแลกเปลี่ยนผู้คน สินค้า และวัฒนธรรม เกิดขึ้นแบบไร้รอยต่อ เมื่อผู้มาเยือนได้สัมผัสเนื้อแท้ของผืนผ้า ตั้งแต่แหล่งกำเนิด หัตถกรรม ไปจนถึงแฟชั่นร่วมสมัย ไม่ใช่ผ่านตู้กระจกในหอศิลป์ แต่ “บนถนนจริง” ที่การค้าจริงเกิดขึ้น

งานครั้งนี้ได้รับการขานรับจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ จนเกิดอานิสงส์ทางเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างชัดเจน ทั้งรายได้จากที่พัก ร้านอาหาร การเดินทาง ภาษีท้องถิ่น ไปจนถึงยอดจำหน่ายจากบูธ Chiang Rai Premium Market ที่คัด สินค้า GI, Chiang Rai Brand และสินค้า Wellness รวมกว่า 100 บูธ มาตั้งเรียงยาวเคียงข้างเวที สะท้อนแนวคิด “แฟชั่น–การค้า–การท่องเที่ยว” ที่ออกแบบให้ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน

เวทีประกวด 3 หมวด คุณภาพงานออกแบบที่ยืนยันความเป็นนานาชาติ

หัวใจของค่ำคืนคือการประกาศผลรางวัล 3 ประเภท ซึ่งทำหน้าที่เป็น “ดัชนีคุณภาพ” ของเวทีออกแบบในระดับภูมิภาค รายละเอียดดังนี้

  • ประเภทชุดลำลอง รางวัลชนะเลิศ Thaw Thazin Myanmar รับเงินรางวัล 100,000 บาท
    หมายเหตุ: อันดับ 2 Saw Kyaw Thuya Min (Myanmar) เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 นพรัตน์ ตาละสา เงินรางวัล 10,000 บาท
  • ประเภทชุดทำงาน: รางวัลชนะเลิศ Team Sean มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เงินรางวัล 100,000 บาท
    อันดับ 2 เรณู ศิลป์ท้าว เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 ทักษิณ มะลูลีม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เงินรางวัล 10,000 บาท
  • ประเภทชุดราตรี: รางวัลชนะเลิศ นนท์ฒวัศณ์ วงค์พิใจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เงินรางวัล 100,000 บาท
    อันดับ 2 รัตนาภรณ์ ธนเสรีธรรม วิทยาลัยการอาชีพป่าซาง จ.ลำพูน เงินรางวัล 20,000 บาท และอันดับ 3 จรณี แซ่ว่าง และ นันทนา แช่ชง วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง เงินรางวัล 10,000 บาท
  • รางวัลพิเศษ The New Generation Creative Ward: นทฤทธ์ จินตกานนท์ จาก Wellington College International School Bangkok เงินรางวัล 10,000 บาท

ผลการตัดสินที่ “ชุดลำลอง” ตกเป็นของดีไซเนอร์จากเมียนมา ขณะที่ประเภทอื่น ๆ กระจายตัวอยู่ในสถาบันการศึกษาหลากหลายของไทย สะท้อน “DNA ข้ามพรมแดน” และ “เครือข่ายการเรียนรู้” ที่งานได้วางรากไว้ตั้งแต่รุ่นแรก ๆ สิ่งนี้ทำให้เวทีแม่สายไม่ได้เป็นเพียง “งานโชว์” แต่เป็น “สนามบ่มเพาะ” ที่เปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่และมืออาชีพได้ทดสอบงานจริงกับผู้ชมจริงและผู้ซื้อจริง

เชื่อมวิสัยทัศน์ NEC ถนนผืนผ้ากับระเบียงเศรษฐกิจเหนือ

งานปีนี้ชัดเจนขึ้นในบทบาทของตนต่อ NEC (Northern Economic Corridor) — ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือที่ตั้งใจยกระดับฐานเศรษฐกิจชายแดน จาก “ประตูการค้า” ไปเป็น “ชุมทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์” กลไกสำคัญคือ Soft Power ด้านผ้าไทย–แฟชั่น–งานออกแบบ ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายผลักดันต่อเนื่องผ่านแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” ผสาน ประเพณีล้านนา–ภูมิปัญญาท้องถิ่น–ผ้าชาติพันธุ์ กับรสนิยมร่วมสมัย เป็นภาษาการตลาดที่คนทั้งโลกเข้าใจและเต็มใจควักกระเป๋า

ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดการ “น้อมนำ” พระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการส่งเสริมการใช้ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน ทำให้หัตถศิลป์ผ้าไม่ถูกยึดติดอยู่ในตู้โชว์ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “วิถีชีวิตที่ซื้อซ้ำได้” เมื่อพลังความภาคภูมิใจถูกเชื่อมเข้ากับช่องทางการตลาดและการออกแบบที่ร่วมสมัย

10 ล้านบาทที่ไหลเวียน ทำไมตัวเลขนี้สำคัญกว่า “ยอดขาย”

แม้ตัวเลข เงินสะพัดกว่า 10 ล้านบาท จะสะดุดตาในเชิงประชาสัมพันธ์ แต่ความหมายที่ลึกกว่าคือ “คุณภาพการไหลเวียน” ของเงินภายในอีโคซิสเต็มแฟชั่น–ท่องเที่ยวชายแดน เงินก้อนนี้แตกตัวไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ — กลุ่มทอผ้า ช่างฝีมือ ผู้ค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม รถโดยสาร คนทำงานอีเวนต์ ไปจนถึงช่างภาพ–ครีเอเตอร์ท้องถิ่น

หากพิจารณา “มูลค่าในอนาคต” (future value) งานลักษณะนี้ยังสร้าง “ทุนทางสังคมและวัฒนธรรม” ที่แปลงเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จริงในรอบปีถัดไป ทั้งการสั่งตัดชุด การสั่งซื้อสินค้าหัตถกรรมซ้ำ การกลับมาเที่ยวแม่สาย และการดึงดูดแบรนด์–สปอนเซอร์ที่สนใจวิถีแฟชั่น–ชุมชนอย่างจริงจัง

เสียงจากเวทีนโยบาย ผ้าหนึ่งผืน เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งชุมชน

ในนามเจ้าภาพจังหวัด ฝ่ายจัดงานย้ำบทบาท “ถนนแฟชั่น” ที่ต้องคงความเป็นเวทีสาธารณะ เปิดกว้างให้ช่างฝีมือ–ดีไซเนอร์–นักเรียนสายออกแบบได้ทดลองงานและได้คำติชมจากตลาดจริง แนวทางนี้อยู่บนฐานคิด “สร้างอุปสงค์ด้วยความหมาย” เมื่อผู้สวมใส่รู้เรื่องราวของผืนผ้า—แหล่งที่มา เทคนิคการทอ สีธรรมชาติ ลวดลายชาติพันธุ์—ความยินดีที่จะจ่ายย่อมสูงขึ้น และนานขึ้น

การผลักดันเช่นนี้ไม่ใช่งาน “หรู–ไกลตัว” แต่คือเศรษฐกิจชุมชนที่เรียบง่ายและยั่งยืน ผ้าขายได้—ครอบครัวช่างฝีมือมีรายได้—เยาวชนเห็นอนาคตในท้องถิ่น—นักท่องเที่ยวกลับมา—ธุรกิจรายย่อยเติบโต—ภาษีท้องถิ่นเพิ่มขึ้น—รัฐมีทรัพยากรพัฒนาพื้นฐานต่อเนื่อง วงจรนี้คือคำจำกัดความของ “Soft Power ที่ลงดิน” อย่างแท้จริง

Premium Market ห้องเครื่องลับของการค้าแฟชั่น

คู่ขนานกับรันเวย์คือ “Chiang Rai Premium Market” ที่ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เป็น “โชว์รูม–ตลาด–ห้องเจรจา” ในคราวเดียวกัน การคัด สินค้า GI, Chiang Rai Brand และ Wellness มากกว่า 100 บูธ ทำให้ผู้ซื้อต่างจังหวัดและต่างชาติมีโอกาสเห็นสินค้าแท้และแหล่งผลิตในคราวเดียว ลดต้นทุนการค้นหา และเร่ง “วงจรการตัดสินใจซื้อ” ให้สั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ

ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงยอดขายหน้างาน แต่คือ “สายสัมพันธ์ทางธุรกิจ” ที่ต่อยอดไปสู่การสั่งผลิต การทำคอลเลกชันร่วม การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และการวางขายในช่องทางใหม่ ๆ ซึ่งเป็นผลตอบแทนระยะกลางที่มักสูงกว่ายอดขายทันทีในวันงาน

ความหมายเชิงการศึกษา ห้องเรียนมีชีวิตของดีไซน์รุ่นใหม่

รายชื่อผู้ชนะที่กระจายอยู่ในหลายสถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร, สถาบันอาชีวศึกษาในลำพูน–ลำปาง ตลอดจน Wellington College International School Bangkok ชี้ให้เห็นว่า “ห้องเรียนแฟชั่น” ของภาคเหนือ–กรุงเทพฯ–และต่างประเทศ เริ่มมาบรรจบกันที่ชายแดนแม่สาย

เวทีนี้ทำหน้าที่เสมือน “สตูดิโอภาคสนาม” ที่ให้ดีไซเนอร์ได้เห็นการตอบสนองของผู้ชมจริงต่อวัสดุจริง สีจริง แพตเทิร์นจริง—บทเรียนที่ไม่มีในห้องเรียน และเป็นชนวนให้เกิดการพัฒนาเชิงเทคนิคและการตลาดที่มีฐานความจริงรองรับ

ขยายเครือข่ายจากถนนชายแดนสู่แพลตฟอร์มการค้าเชิงสร้างสรรค์

เมื่อเส้นทาง “แฟชั่น–การค้า–การท่องเที่ยว” เริ่มเข้าที่ คำถามสำคัญคือ “จะทำอย่างไรให้มูลค่าต่อหน่วยสูงขึ้นและยั่งยืนขึ้น” แนวทางที่งานนี้วางไว้และควรต่อยอด ได้แก่

  1. คอลเลกชันร่วม (Co-creation) ระหว่างดีไซเนอร์รุ่นใหม่–กลุ่มทอผ้าชาติพันธุ์–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อสร้างสินค้าที่มีเรื่องเล่าร่วมและขายได้หลายฤดูกาล
  2. มาตรฐานคุณภาพและการรับรอง (Certification) สำหรับสินค้า GI และแบรนด์เชียงราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นตลาดสากล
  3. ดาต้าท่องเที่ยว–การค้า ของงานในปีถัดไป เช่น จำนวนผู้เข้าชมซ้ำ อัตราการแปลงเป็นยอดสั่งผลิต เพื่อวัดผลเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบ
  4. เชื่อม NEC กับโลจิสติกส์ชายแดน เพื่อให้การสั่งซื้อข้ามแดนสะดวกขึ้น ลดเวลา–ต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผู้ซื้อรายใหม่

เมื่อผ้าไทยเดินทางถึงชายแดน โลกก็เดินเข้าหาเชียงราย

การปิดฉาก “Fashion on the Road” ปีนี้ไม่ได้ทิ้งรอยเท้าไว้แค่บนรันเวย์ แต่ทิ้ง “เส้นทาง” ให้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเชียงรายเดินหน้าต่อ ตัวเลขเงินสะพัด 10 ล้านบาท คือสัญญาณของโครงสร้างที่เริ่มทำงาน — รัฐ–ท้องถิ่น–เอกชน–การศึกษา–ชุมชน ขับเคลื่อนในทิศเดียวกัน และยืนยันว่า Soft Power ที่จับต้องได้ เริ่มแปรสภาพเป็นรายได้ที่แบ่งปันกันได้

บนถนนชายแดนที่ผู้คนหลายภาษาเดินสวนกัน ผืนผ้าหนึ่งผืนทำหน้าที่เชื่อมวัฒนธรรม สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภาคภูมิใจร่วม เมื่อรันเวย์ดับไฟลง เม็ดเงินยังไหลเวียนต่อ และเรื่องราวของเชียงรายยังเดินหน้า—จากแม่สายสู่ตลาดโลก—บนถนนสายเดิมที่ชื่อว่า “ความร่วมมือ”

สรุปสาระสำคัญ (Key Takeaways)

  • พิธีปิดจัดขึ้น 2 พฤศจิกายน 2568 ณ หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อ.แม่สาย โดย รองผู้ว่าฯ นรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ เป็นประธาน
  • งานสร้าง เงินสะพัดรวมกว่า 10 ล้านบาท จากแฟชั่นโชว์และ Premium Market กว่า 100 บูธ
  • ผลรางวัล 3 หมวด สะท้อนความเป็นนานาชาติ: Thaw Thazin (Myanmar) ชนะชุดลำลอง, Team Sean (มฟล.) ชนะชุดทำงาน, นนท์ฒวัศณ์ วงค์พิใจ (มทร.พระนคร) ชนะชุดราตรี และ นทฤทธ์ จินตกานนท์ คว้า The New Generation Creative Ward
  • งานตอบรับ NEC และแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” เชื่อมผ้าไทย–หัตถศิลป์–การท่องเที่ยวชายแดน สู่เวทีสากล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวท.เชียงราย กรมประชาสัมพันธ์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • ฝ่ายจัดงาน Fashion on the Road 3rd
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

Soft Power เชียงราย แฟชั่นโชว์ผ้าไทย-ชาติพันธุ์ ดันผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่ตลาดโลก

เชียงรายจุดประกายซอฟต์พาวเวอร์ชายแดน “Fashion on the Road” ครั้งที่ 3 โชว์ผ้าไทย–ชาติพันธุ์กว่า 200 ชุด เชื่อมดีไซน์–การค้า–ท่องเที่ยว ดันผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่ตลาดโลก รับยุทธศาสตร์ NEC

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 — ยามบ่ายปลายตุลาคม แสงแดดส่องทาบแนวสะพานพรมแดนไทย–เมียนมา อำเภอแม่สาย กลายเป็นรันเวย์กลางแจ้งที่ส่งเสียงของ “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย” ดังออกไปไกลกว่าขอบเขตจังหวัด เมื่อ จังหวัดเชียงราย จัดงาน “Fashion on the Road 3rd Chiang Rai Designer’s Competition” ครั้งที่ 3 อย่างคึกคัก โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมแรงสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐท้องถิ่นและเครือข่ายเอกชน ทั้ง เทศบาลตำบลแม่สาย และ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย ที่มาร่วมผลักดันผลงานผ้าไทย–ผ้าท้องถิ่นให้เดินหน้า “จากชุมชนสู่สากล” อย่างเป็นรูปธรรม

หัวใจของงานในปีนี้คือ การประกวดและแฟชั่นโชว์กว่า 200 ชุด ที่นำผืนผ้าล้านนา–ชาติพันธุ์มาถักทอเข้ากับการออกแบบร่วมสมัย โอบล้อมด้วยเสียงเชียร์จากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติที่แวะเวียนมาชมแนวคิดสร้างสรรค์ริมเส้นทางการค้าชายแดน ซึ่งนอกจากจะเป็นพื้นที่สื่อสารอัตลักษณ์แล้ว ยังทำหน้าที่เป็น “ตลาดทดลอง” ให้ดีไซเนอร์และผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ทดสอบรสนิยมผู้บริโภคจริงในพื้นที่ที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดแห่งหนึ่งของภาคเหนือ

เมื่อ “รันเวย์” ผสาน “การค้า” บนพรมแดน

เวลา 16.00 น. วันที่ 31 ตุลาคม 2568 บริเวณหน้าด่านพรมแดนแม่สายเปลี่ยนโฉมเป็นเวทีสีสัน ผู้คนจากสองฟากชายแดนเบียดเสียดเข้ามาจับจองพื้นที่ชมแฟชั่นโชว์ที่ท้าทายความคิดเดิมเกี่ยวกับ “ผ้าไทย” และ “ผ้าท้องถิ่น” ชุดแล้วชุดเล่าถ่ายทอดความแยบยลของ เส้นฝ้าย–ไหม–กี่กระตุก ไปจนถึงผ้าลายชาติพันธุ์ที่ขับรายละเอียดด้วยการปัก การย้อม และการกรองริ้วผ้าสไตล์โมเดิร์น ดีไซเนอร์รุ่นใหม่สลับคิวกับนักออกแบบมืออาชีพทั้งไทยและต่างประเทศ ขณะที่เสียงบรรยายแนวคิดการออกแบบชี้ให้เห็นรากของภูมิปัญญาและเส้นทางต่อยอดเชิงพาณิชย์

ผู้จัดงานเน้นย้ำ “บริบทชายแดน” ให้เป็นมากกว่าฉากหลัง ด้วยการจัดพื้นที่ “Chiang Rai Premium Market : มหกรรมสินค้าคุณภาพเชียงรายสู่ตลาดโลก” แบบคู่ขนาน รวมร้านค้าและผู้ผลิตจากกลุ่ม GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์), Chiang Rai Brand และกลุ่ม Wellness กว่า 100 บูธ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสและเลือกซื้อสินค้าจริง ขยับบทบาทแฟชั่นโชว์จากการสื่อสารแบรนด์สู่การสร้างรายได้ตรงหน้า—เงื่อนงำหนึ่งของ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่จับต้องได้ทันที

ซอฟต์พาวเวอร์ที่มีฐานราก—จาก “ผืนผ้า” สู่ “โอกาส”

จังหวัดเชียงราย วางงานนี้ไว้ในเส้นทางยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค คือ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC: Northern Economic Corridor) ที่เน้นย้ำการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม–สร้างสรรค์ ให้สอดรับศักยภาพท่องเที่ยว–การค้าชายแดน ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมอีเวนต์ แต่เป็น เวทีประลองโมเดลธุรกิจสร้างสรรค์” ที่เชื่อม ดีไซน์–การผลิต–การจำหน่าย–การท่องเที่ยว เข้าไว้อย่างครบวงจร

ด้านนโยบายเชิงสัญลักษณ์ งานยัง น้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมการใช้ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน เพื่อยกระดับอาชีพช่างฝีมือและอนุรักษ์ภูมิปัญญาอย่างยั่งยืน แนวคิดนี้ถูกตีความผ่านผลงานที่ “ใส่ได้จริง ขายได้จริง” ตั้งแต่เสื้อผ้าแนวเอนกประสงค์สำหรับเดินทาง จนถึงชุดร่วมสมัยที่ออกแบบสำหรับโอกาสพิเศษ—ลดช่องว่างระหว่าง “งานศิลป์บนรันเวย์” กับ “สินค้าเชิงพาณิชย์บนราวแขวน”

เชื่อมโยงเศรษฐกิจท้องถิ่น 10+Wow Chiang Rai และบทบาท “พาณิชย์จังหวัด”

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย รับบท “พี่เลี้ยง” ในการเชื่อมโลกดีไซน์กับโลกธุรกิจ ผ่านแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” ที่ยกจุดแข็งสิบประการของจังหวัด—ประเพณีล้านนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ กาแฟ–ชา งานหัตถศิลป์–คหกรรม—มาออกแบบเป็น ประสบการณ์ มากกว่าการขาย “สินค้าเดี่ยว” ในงานปีนี้ “Wow” ถูกพัฒนาต่อเป็น “แพ็กเกจเชื่อมประสบการณ์” เช่น ชุดแฟชั่นจากลายผ้าชาติพันธุ์จับคู่กับแอ็กเซสซอรีงานเงิน–หวายสาน พร้อมคูปองส่วนลดคาเฟ่กาแฟเขตเมืองเก่าและเส้นทางท่องเที่ยวชุมชน—โมเดลที่ทำให้เงิน “ไหลลึก” จากโชว์สู่ร้านค้า–ครัวเรือนในพื้นที่

บูธ GI และ Chiang Rai Brand ทำหน้าที่เป็น “ตราประทับคุณภาพ” ให้สินค้าในสายตานักท่องเที่ยวและผู้ซื้อจากต่างถิ่น ขณะเดียวกันยังเป็น เครื่องมือในการสร้างความเชื่อมั่น ให้ร้านค้าปลีกออนไลน์และตัวแทนจำหน่ายนอกจังหวัดเพื่อขยายตลาดหลังจบงาน นี่คือบทเรียนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์—มาตรฐานและการรับรอง คือภาษากลางที่ทำให้เรื่องเล่าท้องถิ่นแปลความเป็นมูลค่าในตลาดสมัยใหม่

แม่สาย พรมแดนที่เป็น “ตลาดทดสอบ” และเวที Soft Power ภาคเหนือ

การเลือกจัดงานที่ หน้าด่านพรมแดนแม่สาย ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างบรรยากาศ แต่เป็นกลยุทธ์เพื่อให้ ผลงานดีไซน์ ได้ “สอบผ่าน” กับฐานลูกค้าที่หลากหลายทั้งภาษา–วัฒนธรรม–ความต้องการ ตั้งแต่นักเดินทางวันเดียว นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไปจนถึงผู้ประกอบการจากเพื่อนบ้านและจีนตอนใต้ การขายจริง–ฟังจริง–ปรับจริง ที่หน้าด่านช่วยให้ดีไซเนอร์ จับสัญญาณตลาดแบบเรียลไทม์ ว่าดีเทล–แพตเทิร์น–โทนสีใด “ติดตลาด” และราคาใด “รับได้” ก่อนเข้าสู่การผลิตจำนวนมาก

ในทางเศรษฐกิจมหภาค ช่วงไฮซีซันท่องเที่ยวปลายปี—ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลประมาณการเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าการบริโภคเอกชนขยายตัวและมาตรการภาครัฐช่วยหนุนกำลังซื้อ—ทำให้พื้นที่จัดงานมีโอกาสรับเม็ดเงินหมุนเวียนสูงขึ้นกว่าปกติ โดย แฟชั่น ทำหน้าที่เป็น “แม่เหล็ก” ดึงผู้คน ขณะที่ Premium Market เปลี่ยน “ความสนใจ” ให้กลายเป็น “การซื้อจริง” ได้ในจุดเดียว

บทสะท้อนจากเวที อัตลักษณ์–ร่วมสมัย–ความยั่งยืน

แฟชั่นโชว์ปีนี้วางกรอบ สามคำหลัก ชัดเจน—อัตลักษณ์, ร่วมสมัย, ความยั่งยืน ผลงานหลายชุดเลือก เส้นใยธรรมชาติ และเทคนิคย้อมสีจากพืชท้องถิ่น ลดการใช้สารเคมี ขณะที่บางคอลเล็กชันทดลอง รีดีไซน์” (upcycle) เศษผ้า–ผ้าคงคลังให้เป็นงานชิ้นใหม่ ชี้ให้เห็นแนวโน้มตลาดแฟชั่นที่ผู้บริโภคคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้าน อัตลักษณ์ นักออกแบบหยิบลายผ้า–เอกลักษณ์ชาติพันธุ์มาเล่าใหม่อย่างเคารพบริบทชุมชนผ่านการร่วมงานกับกลุ่มทอผ้าในพื้นที่ ช่วยให้รายได้กลับคืนสู่คนทำผ้าต้นน้ำ

มิติ ร่วมสมัย สะท้อนผ่านการวางแพตเทิร์นที่ “ใส่ได้จริงและทุกเพศ” (gender-inclusive) ตอบไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยว–คนทำงาน–นักเรียน–นักศึกษา และผู้สูงวัยที่ต้องการความคล่องตัว—แนวทางที่เปิดประตูสู่ตลาดกว้างขึ้นกว่าการเน้นความงามบนเวทีเพียงอย่างเดียว

การบริหารจัดการงาน บูรณาการท้องถิ่น–เอกชน–ดีไซเนอร์

ความสำเร็จของงานเกิดจากการบูรณาการ สามฟันเฟือง คือ

  1. ภาครัฐท้องถิ่น (จังหวัดเชียงราย–เทศบาลแม่สาย–พาณิชย์จังหวัด) ทำหน้าที่ “อำนวยความสะดวก–กำกับมาตรฐาน–ประชาสัมพันธ์ภาพรวม”
  2. เอกชน–ผู้ประกอบการ ตั้งแต่โรงทอและกลุ่มหัตถกรรมจนถึงผู้จำหน่ายปลายทาง ร่วมออกบูธ สาธิต และทดลองตลาด
  3. นักออกแบบ–สถาบันการศึกษา เติมองค์ความรู้ด้านดีไซน์–การตลาด–ดิจิทัลคอมเมิร์ซ สร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแฟชั่นท้องถิ่น

การจัดพื้นที่แบบ “โชว์–ขาย–เล่าเรื่อง” ในจุดเดียว ช่วยให้ผู้มาเยือนเข้าใจ ที่มา–วัตถุดิบ–แรงบันดาลใจ ของแต่ละชุด ลดช่องว่างระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้ และเปิดทางให้เกิด ออเดอร์แบบ B2B จากผู้ซื้อที่ต้องการคอลเล็กชันเฉพาะสำหรับรีสอร์ต–สปา–ร้านบูติก หรือกิจกรรมองค์กร

จาก “อีเวนต์” สู่ “ระบบนิเวศเศรษฐกิจสร้างสรรค์”

งานปีนี้ตั้งอยู่บนเป้าหมาย สามชั้น
ชั้นที่หนึ่ง สร้างรายได้ทันทีแก่ผู้ประกอบการผ่านการจำหน่ายหน้างานและออเดอร์ล่วงหน้า
ชั้นที่สอง วางเครือข่ายความร่วมมือระหว่างดีไซเนอร์–ช่างทอ–โรงงานตัดเย็บ–ผู้ค้า เพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์หลังงาน
ชั้นที่สาม สร้างการรับรู้ระดับนานาชาติ โดยอาศัยพื้นที่ชายแดนเป็น “หน้าต่าง” สื่อสารซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ผู้เยือนหลากหลายสัญชาติ และปูทางการเข้าร่วมเวทีแฟชั่น–ไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาคในอนาคต

ในเชิงนโยบายท้องถิ่น ผลลัพธ์ที่ “ห่วงโซ่คุณค่า” ได้รับคือ ช่างทอ–กลุ่มแม่บ้าน–เยาวชน มีแรงจูงใจสืบสานและพัฒนาอาชีพงานผ้า ด้านผู้ประกอบการได้ ต้นแบบสินค้า ที่ผ่านการทดสอบตลาดจริง ขณะที่นักท่องเที่ยวได้รับ ประสบการณ์ที่เล่าเรื่องเมืองเชียงราย มากกว่าสินค้าชิ้นเดียว—องค์ประกอบทั้งหมดขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

มองอย่างเป็นกลาง โอกาส–ความท้าทาย และการบ้านหลังเวที

แม้งานสะท้อนทิศทางบวก แต่ก็มี โจทย์เชิงโครงสร้าง ที่ต้องจัดการอย่างต่อเนื่อง

  • มาตรฐานคุณภาพและไซส์: หากต้องการขยายสู่ต่างจังหวัด–ต่างประเทศ จำเป็นต้องมีมาตรฐานไซซิงและคุณภาพผ้า–ตัดเย็บที่สม่ำเสมอเพื่อรองรับออเดอร์จำนวนมาก
  • ทรัพย์สินทางปัญญา: ลายผ้า–ลวดลายชาติพันธุ์ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิและจัดทำระบบอนุญาตใช้ลายอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ชุมชนเสียเปรียบ
  • การเงิน–โลจิสติกส์: ผู้ประกอบการรายย่อยควรเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน (เช่น สินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้น) และบริการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการส่งข้ามแดนที่ต้องอาศัยความเข้าใจข้อกำหนดประเทศเพื่อนบ้าน
  • การตลาดดิจิทัล: การต่อยอดยอดขายหลังงานต้องอาศัยช่องทางอีคอมเมิร์ซ–คอนเทนต์มัลติมีเดียและความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์เชิงวัฒนธรรมที่สื่อสารเรื่องราว “ทำไมต้องเชียงราย” ได้ชัดเจน

การบ้านที่ชัดเจนหลังเวที คือ การเก็บข้อมูลออเดอร์–ประเภทสินค้า–ช่วงราคาที่ขายได้ ตลอดจนฟีดแบ็กจากนักท่องเที่ยว เพื่อเป็นฐานในการออกแบบคอลเล็กชันฤดูกาลหน้า และเพื่อประสานกับโครงการ NEC ในการจัดทำ “Design to Market” ที่ครบวงจรยิ่งขึ้น

น้ำหนักความสำคัญในข่าว จังหวัดเชียงราย 50% | ภาคเหนือ 30% | ประเทศไทย 20%

บทวิเคราะห์นี้ให้สัดส่วนความสำคัญกับ เชียงราย เป็นหลัก ผ่านการเจาะกลไกการจัดงานที่หน้าด่านแม่สาย ผลต่อผู้ประกอบการท้องถิ่น และการบ้านหลังงาน ตามด้วยบริบท ภาคเหนือ ที่ตอกย้ำศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และปิดท้ายด้วยภาพ นโยบายส่วนกลาง ที่เป็นกรอบสนับสนุนให้เม็ดเงินหมุนเวียนลงสู่ฐานรากช่วงไฮซีซัน

เวทีชายแดนที่ “เชื่อมโลก” ด้วยผืนผ้า

“Fashion on the Road” ครั้งที่ 3 ไม่ได้เป็นเพียงแฟชั่นโชว์ริมพรมแดน หากแต่เป็น ห้องทดลองนโยบายสาธารณะ ที่เอาคำว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” ออกจากหน้ากระดาษแล้วแปลงเป็น รายได้–อาชีพ–ความภาคภูมิใจ ของผู้คนในชุมชน งานแสดงให้เห็นว่าผ้าไทย–ผ้าชาติพันธุ์สามารถยืนข้างแฟชั่นร่วมสมัยอย่างสง่างาม และเมื่อจับคู่กับตลาดชายแดนที่มีชีพจรทางการค้าสูง ก็กลายเป็น สะพานเศรษฐกิจ ที่พาผู้ประกอบการเชียงรายเดินจาก “ของดีบ้านเรา” ไปสู่ “สินค้าคุณภาพที่โลกต้องการ”

ความต่อเนื่องคือคำสำคัญ—หากจังหวัดและหน่วยงานคู่ขับเคลื่อนรักษาความสม่ำเสมอของงาน สร้างฐานข้อมูลตลาด และสนับสนุนมาตรฐาน–ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง เวทีริมพรมแดนแห่งนี้จะเติบโตจาก “งานอีเวนต์” เป็น แพลตฟอร์มถาวรของอุตสาหกรรมแฟชั่นสร้างสรรค์เชียงราย ที่ยืนได้ด้วยตัวเองบนเวทีภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ถอดบทเรียน “แม่ข่า-โอตารุ” สู่การสร้าง “ถนนศิลปิน” ริมคลองเกาะทองอย่างยั่งยืน

คลองเกาะทอง” จะไปให้สุดแบบ “คลองแม่ข่า–โอตารุ” ได้อย่างไร แผนพลิกคลองบำบัดน้ำเสีย สู่ถนนศิลปินและแลนด์มาร์กสีเขียวกลางเมืองเชียงราย

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — ถ้าสักเช้าวันหนึ่ง เราได้เห็นเงาน้ำเป็นประกายสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ตัดกับแนวไม้ดอกสีสดที่เรียงรายริมตลิ่ง ผู้คนจิบกาแฟ เดิน วิ่ง ปั่นจักรยานเคียงข้างคลอง และวงดนตรีบรรเลงรับลมเหนือ—ภาพฝันแบบ “โอโตรุเบา ๆ” อยู่กลางเมืองเชียงราย จะเป็นไปได้แค่ไหน?
คำตอบกำลังค่อย ๆ เดินหน้าอยู่ที่ คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทอง”—พื้นที่ซึ่งเทศบาลนครเชียงรายและ 3 ชุมชนหลัก (เกาะทอง–วังดิน–ร่องปลาค้าว) กำลังร่วมกันปรับภูมิทัศน์จากคลองลำเลียงน้ำเสียให้กลับมาสะอาด เป็นระเบียบ ร่มรื่น พร้อมวางระบบ น้ำหมุนเวียนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อฟื้นระบบนิเวศอย่างยั่งยืน และตั้งเป้าผลักดันให้เป็น แลนด์มาร์กสีเขียว แห่งใหม่ของเมือง

ในเวลาไล่เลี่ยกัน โซเชียลมีเดียต่างบันทึกความฮอตของ คลองแม่ข่า” เชียงใหม่—พื้นที่ฟื้นฟูที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่นเบา ๆ เดินสบายด้วยแนวซีรีนบล็อกริมขอบน้ำ ร้านกาแฟ–ของที่ระลึก–สตูดิโอศิลปินผุดขึ้นรายทาง กลายเป็นจุดเช็กอินใหม่ที่ชวนให้คนไปสัมผัสบรรยากาศชิล ๆ ได้แทบทุกฤดู ขณะที่ภาพจำต้นแบบระดับโลกอย่าง คลองโอตารุ (Otaru Canal) ในฮอกไกโด—ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นท่าเรือสินค้า แต่วันนี้เป็นย่านพิพิธภัณฑ์–ร้านค้า–งานศิลป์ มีไฟระยิบยามค่ำคืนและเทศกาลฤดูหนาว—ก็ย้ำให้เห็นว่า “คลองในเมือง” สามารถแปลงร่างเป็นหัวใจของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้จริง หากออกแบบ “ประสบการณ์” และ “ระบบจัดการน้ำ” ได้ลงตัว

บทความเชิงข่าว–วิเคราะห์ชิ้นนี้ชวนผู้อ่านเจาะลึกว่า คลองเกาะทองของเชียงราย จะ ก้าวจากโครงสร้างพื้นฐานสิ่งแวดล้อม ไปสู่ โครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แบบ “แม่ข่า–โอตารุโมเดล” ได้อย่างไร พร้อมร้อยเรียงข้อเท็จจริง แผนงานที่มีอยู่ กลไกเทคนิค อนาคตเศรษฐกิจชุมชน และ “จุดเปลี่ยน” ที่จะทำให้เส้นทางนี้ไปถึงปลายทางอย่างยั่งยืน

จากคลองลำเลียงน้ำเสีย สู่ “ระเบียงสีเขียว” ของคนทั้งสามชุมชน

บริบทพื้นที่ คลองเกาะทองคือเส้นทางนำน้ำเสียไปยังบ่อบำบัดเดิมในย่านชุมชนหนาแน่นของเมืองเชียงราย ปัญหาที่สะสมมายาวนานคือ น้ำชะงัก–ตะกอน–กลิ่น–ขยะล่องลอย และสภาพภูมิทัศน์ที่ไม่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์สาธารณะ เทศบาลนครเชียงรายจึงวางแผน ปรับภูมิทัศน์ใหม่ทั้งระบบ—ตั้งแต่งานสะสาง–จัดระเบียบ–ปลูกไม้ดอก (เช่น พุทธรักษา ยี่โถสีม่วง) ตลอดแนวคลอง ไปจนถึงการออกแบบทางเดิน–พื้นที่ออกกำลังกายสำหรับทุกวัย พร้อม ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Pump) เพื่อเร่งการไหล–เติมน้ำดี–ผลักน้ำเสียไปยังบ่อบำบัดอย่างเป็นระบบ

หมุดหมายและแรงขับ วันที่ 10 ตุลาคม 2568 ผู้บริหารเทศบาลลงพื้นที่ร่วมปลูกต้นไม้และจัดระเบียบทางกายภาพ—เป็นสัญญาณว่าช่วง “ก่อรูป” เริ่มปรากฏให้เห็นจริงบนพื้นดิน ไม่ใช่แค่แผนบนกระดาษ เป้าประสงค์ชัดเจนสองชั้น (1) แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาลน้ำเสียแบบยั่งยืนด้วยโซลูชันพลังงานสะอาด และ (2) เปลี่ยนพื้นที่ริมคลองให้เป็น สาธารณูปการเพื่อสุขภาวะ—เดิน–วิ่ง–ปั่นได้ ปลอดภัย สวยงาม ใช้งานได้ทุกวัน

ทุนสังคมที่พร้อม ความร่วมมือของ 3 ชุมชน (เกาะทอง–วังดิน–ร่องปลาค้าว) เป็น “แรงขับนุ่ม” ที่สำคัญ เพราะพื้นที่นี้เคยเผชิญข้อจำกัดด้านน้ำและอุทกภัยร่วมกัน การรวมพลังดูแล “คลองบ้านเรา” จึงไม่ใช่กิจกรรมสวยงามชั่วคราว แต่เป็น ผลประโยชน์ร่วม ของคนในละแวกโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น ชุมชนเกาะทองเองเคยได้รับการยอมรับเป็น แหล่งเรียนรู้ต้นแบบ จากการขับเคลื่อนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง—ทุนทางสังคมแบบนี้เป็น “เงื่อนไขสำเร็จ” ของงานพัฒนาเมืองที่ใช้เวลานาน

ถอดบทเรียน “คลองแม่ข่า–เชียงใหม่” ทำไมฟีลญี่ปุ่นจึงเวิร์ก และเราจะยกมาปรับใช้ที่เชียงรายอย่างไร

บรรยากาศและการออกแบบ คลองแม่ข่าในสายตาผู้มาเยือนคือแถวทางเดินที่ สะอาด–เป็นระเบียบ–เรียบง่าย เสริมด้วย ซีรีนบล็อกคอนกรีต รับเส้นสายตลิ่งที่ชัด และเปิดมุมมองให้เห็นสายน้ำอย่างปลอดโปร่ง ร้านกาแฟ–ของที่ระลึก–งานคราฟต์เรียงตัวพองามโดยไม่บีบพื้นที่สาธารณะ ผลรวมทั้งหมดส่ง “กลิ่นอายญี่ปุ่นเบา ๆ” ที่คุ้นตาในงานออกแบบญี่ปุ่นสมัยใหม่—น้อยแต่พอดี เน้นผิวสัมผัสวัสดุและสัดส่วนที่เดินสบาย

กิจกรรมคือหัวใจ แม่ข่าประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้มีแค่ “พื้นที่” แต่มี กิจกรรมที่ไหล—ศิลปินข้างคลอง ตลาดน้อย ๆ ช่วงบ่าย–เย็น มุมดนตรีสด งานแสดงชั่วคราว และคาแรกเตอร์ร้านที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้คนมีเหตุผลกลับมาอีกบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปครั้งเดียวแล้วจบ

บทเรียนสู่เชียงราย

  • 1. มาตรฐานน้ำและความสะอาด ความสวยงามอยู่ไม่ได้ถ้าน้ำมีกลิ่นหรือขยะลอย นี่คือ “ชั้นฐาน” ที่ต้องทำให้เสถียรก่อน—ซึ่งแผนโซลาร์ปั๊มของเชียงรายตอบโจทย์นี้ตรงจุด
  • 2. ผังใช้ประโยชน์พื้นที่ (Zoning) จัดสรรแนว Walkway–Green–Water Edge ให้เดินต่อเนื่อง ไม่เบียดล้ำทางน้ำ ร้านค้าควรตั้งถอยหลังพอสมควรเพื่อคง “ขอบน้ำ” ให้โปร่งและเป็นของส่วนรวม
  • 3. คัดสรร–คัดคุณภาพกิจกรรม แทนการเปิดเสรีทุกอย่าง ควรตั้ง เกณฑ์คุณภาพ และเลือกกิจกรรม–ร้านค้าที่สอดคล้องอัตลักษณ์เชียงราย (งานศิลป์–ช่างฝีมือ–กาแฟ–อาหารพื้นถิ่น) เพื่อหลีกเลี่ยง สตรีทของก๊อบปี้”
  • 4. ดูแลตลอดชั่วโมงใช้งาน ทีม Operation & Maintenance (O&M) ต้องทำงานเงียบ ๆ แต่เข้มข้น—ล้างทาง–เก็บขยะ–ตรวจน้ำ–ดูไฟ—เพราะความประทับใจของเมืองอยู่ที่ “จุดเล็ก ๆ” ที่ไม่สะดุด
Hokkaido: Otaru Canal Cruise and Seal Engraving Experience

แบบฝันที่จับต้องได้ “โอตารุโมเดล” กับถนนศิลปินริมคลองเกาะทอง

แรงบันดาลใจจากโอตารุ โอตารุเคยเป็น คลองขนส่งสินค้า ก่อนปรับบทบาทเป็น พิพิธภัณฑ์–ร้านค้า–ร้านอาหาร ย่านเดียวกันในตอนกลางวันจะมี ศิลปิน–นักวาด–นักดนตรี สลับคิว โคมไฟสไตล์วิกตอเรียนและการประดับไฟยามค่ำทำให้ภาพรวม “โรแมนติก” และ เทศกาล Otaru Snow Story ช่วงกลาง พ.ย.–ต้น ก.พ. ก็ช่วยยืดฤดูกาลท่องเที่ยว

พิมพ์เขียวที่เข้ากับเชียงราย

  • คอนเซ็ปต์ “ถนนศิลปินกลางเมือง” เชียงรายเป็นเมืองศิลป์โดยสายเลือด—จากงานจิตรกรรม–ประติมากรรม–คราฟต์พื้นถิ่นสู่ศิลปะร่วมสมัย ริมคลองเกาะทองสามารถกำหนดแนวยาว “Artist Strip” ที่มีซุ้มงานวาด/งานปั้น/เป่าแก้ว/สกรีนพิมพ์—เชื่อมกับสตูดิโอขนาดเล็กและแกลเลอรีในระยะเดินถึง
  • คืนชีวิตให้ “น้ำ” ยามค่ำ ใช้ แสง–เงา–ไฟ เป็นภาษาของพื้นที่ เช่น โคมไฟย้อนยุคเรียงช่วง–งาน Projection Mapping บางเทศกาลบนผนังที่จัดทำเฉพาะกิจ—ทำให้ “คืนเชียงราย” ชวนเดินปลอดภัยและน่าจดจำ
  • เทศกาลตามวาระ วางปฏิทิน คลองศิลป์เชียงราย” ฤดูหนาว–ฤดูร้อน–ฤดูฝน แต่ละวาระมีธีมกิจกรรมต่างกัน (ตลาดงานพิมพ์, ดนตรีฟังสบาย, ศิลปะกับเด็ก, งานอาหารพื้นถิ่นในคืนลมหนาว) เพื่อกระจายคนและยืดการใช้งานทั้งปี
  • เชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เปิดพื้นที่ Pop-up ให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่และ วิสาหกิจชุมชน เข้าถึงหน้าเช่าราคายุติธรรม แลกกับการรักษามาตรฐานและร่วมดูแลพื้นที่ร่วมกัน

โครงสร้างเทคนิค–การบริหารน้ำ หัวใจที่มองไม่เห็น แต่ทำให้ทุกอย่าง “อยู่ได้”

ทำไม “น้ำหมุนเวียน” สำคัญ คลองบำบัดน้ำเสียจะมีกลิ่นและเกิดตะกอนหากน้ำ นิ่ง การวางระบบ Solar Pump เพื่อจ่าย “น้ำดี” เข้า—ให้เกิด Flow ต่อเนื่อง—ช่วยสองเรื่องพร้อมกัน (1) ไล่น้ำเสีย ลงสู่ระบบบำบัด และ (2) เติมออกซิเจน ฟื้นระบบนิเวศทางน้ำ เมื่อหน้าร้อนยาวหรือหน้าแล้งมา น้ำยัง เคลื่อน จึงลดโอกาสเกิดกลิ่นได้มาก

ข้อควรระวัง

  • วาง เกณฑ์คุณภาพน้ำเป้าหมาย รายเดือน (เช่น ค่าความขุ่น–กลิ่น–การเกิดตะกอนริมตลิ่ง) และเผยแพร่เป็น Dashboard สาธารณะ ให้ชุมชนตรวจสอบได้
  • นอกจากปั๊ม ควรมี กระบวนการกรองหยาบ–ตะแกรงขยะ ที่เข้าถึงง่าย เพื่อให้ทีมชุมชนช่วยยก–เก็บได้ในกิจกรรมประจำสัปดาห์
  • ผนวก พลังงานแสงอาทิตย์ เข้ากับ แบตเตอรี่สำรอง ในจุดสำคัญ เพื่อรักษาการไหลยามฟ้าปิด–ฝนต่อเนื่อง
  • ทำ คู่มือ O&M ที่ชัดเจน ตารางตรวจ–จุดทดสอบน้ำ–การแจ้งเหตุซ่อม–เวลาแก้ปัญหามาตรฐาน (SLA) ระหว่างเทศบาล–ชุมชน–ผู้รับจ้างบำรุงรักษา

ทั้งหมดนี้คือ “เครื่องจักรเงียบ” ที่ทำให้หน้าบ้าน (ทางเดิน–ร้าน–ศิลปะ) สวยและไม่สะดุด—ถ้าใจกลางระบบน้ำทำงานไม่ล้ม ความน่าเชื่อถือของแลนด์มาร์กก็ยืนระยะ

คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ ภาพจาก เฟซบุ๊ก Fontip Dam-iam
คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ ภาพจาก เฟซบุ๊ก Fontip Dam-iam

เศรษฐกิจย่านและผลประโยชน์สังคม ตัวเลขที่ควรมองและผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ผลต่อคุณภาพชีวิต

  • พื้นที่สีเขียวและทางเดิน–วิ่ง–ปั่น ช่วยเพิ่ม กิจกรรมทางกาย ของคนเมืองแบบ “เดินได้ทุกวัน”
  • ความปลอดภัย ดีขึ้นจากระบบไฟ–กล้อง–การออกแบบพื้นที่เปิดโล่ง ลด “มุมอับ”
  • ทุนสังคม แข็งแรงขึ้นเมื่อชุมชนมี “งานกลางแจ้งร่วมกัน” อย่างสม่ำเสมอ

ผลต่อเศรษฐกิจในรัศมีเดินเท้า

  • โอกาสของ SMEs/วิสาหกิจชุมชน คาเฟ่–ของที่ระลึก–สตูดิโอเวิร์กช็อป–เช่าจักรยาน—รายได้กระจายสู่คนในพื้นที่โดยตรง
  • ผลทวีคูณ (Multiplier) เมื่อย่านมีเหตุผลให้มาเยือน ทั้งเช้า–บ่าย–ค่ำ ร้านค้าในตรอกใกล้เคียงจะได้ลูกค้าต่อเนื่อง เกิด เศรษฐกิจย่อยรายรอบคลอง
  • การตลาดเมือง (City Branding) ภาพ “คลองสวย–สะอาด–ศิลปะ” เสริมแบรนด์ “นครแห่งความสุข” ของเชียงราย เชื่อมกับสินทรัพย์ท่องเที่ยวหลักของเมือง (วัด–พิพิธภัณฑ์–ย่านเก่า–คาเฟ่) และ ปั่นต่อ ไปยังแลนด์มาร์กใหม่ ๆ ได้ในแนวทาง เที่ยวระยะสั้น–หลายจุด

ชวนคิด แม่ข่าพิสูจน์แล้วว่า “บรรยากาศดี + เดินง่าย + ร้านมีเอกลักษณ์” = คนอยากกลับมาอีก ส่วนโอตารุสอนว่า “เทศกาล + แสงยามค่ำ” = ยืดเวลาการใช้งานพื้นที่ให้คุ้มค่ายิ่งขึ้น หากคลองเกาะทองเดินตามนี้อย่างมีวินัย ตัวเลขผู้มาเยือนและรายได้ชุมชนจะ “ไหล” ตามสายน้ำที่หมุนเวียนไม่หยุด

ธรรมาภิบาล–กติกาย่าน–การมีส่วนร่วม ทำให้ย่าน “สวยและเป็นธรรม” พร้อมเติบโต

ตั้งกติกาให้ชัดตั้งแต่ต้น

  • Zoning & Design Code ความกว้างทางเดิน–ระยะร่นอาคาร–ความสูง–วัสดุริมตลิ่ง–สีและป้าย—เพื่อให้ภาพรวมเรียบ งาม และเดินสบาย
  • Vendor & Activity Curation ระบบคัดสรรผู้ค้า/ศิลปินที่คุมคุณภาพสินค้า–บริการ และร้อยกับอัตลักษณ์เชียงราย ลดโอกาส “สตรีทซ้ำแบบทุกเมือง”
  • เสียงของชุมชน เวทีรับฟังความเห็นสม่ำเสมอ (รายไตรมาส) เพื่อปรับแผนกิจกรรม–เวลาเปิด–ระบบดูแลพื้นที่ ไม่ให้ย่าน “เหนื่อยล้า” จากความนิยม
  • ค่าตอบแทนเป็นธรรม อัตราหน้าร้าน/การใช้พื้นที่สาธารณะควรมี Rate พิเศษ สำหรับชุมชนรอบคลอง–ผู้ประกอบการรุ่นใหม่–ผู้พิการ/ผู้สูงอายุ–กิจกรรมสาธารณะ เพื่อให้ เศรษฐกิจย่านเติบโตแบบไม่ทิ้งกัน

โครงสร้างบริหารร่วม (Joint Operations)
สร้างกลไก คณะกรรมการคลองเกาะทอง” มีตัวแทนเทศบาล–สามชุมชน–ผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อม–ตำรวจ–นักท่องเที่ยว–ภาคธุรกิจในรัศมี เดินงานร่วมกัน 3 วงหลัก

  1. น้ำและสิ่งแวดล้อม (วัดคุณภาพน้ำ–ดูแลปั๊ม–เก็บขยะ–ความสะอาด)
  2. กิจกรรมและย่าน (ปฏิทินเทศกาล–คัดสรรผู้ค้า–มาตรฐานร้าน–ความปลอดภัยยามค่ำ)
  3. การสื่อสารและการตลาดเมือง (แบรนด์คลอง–สื่อสารภาพเดียว–ข้อมูลผู้มาเยือน–สำรวจความพึงพอใจ)

แผนเดินหน้า 12–18 เดือน จาก “งานกายภาพ” สู่ “ย่านที่มีชีวิต”

เฟส 1: งานฐานราก (0–6 เดือน)

  • เดินเครื่อง Solar Pump และระบบกรองหยาบ/ตะแกรงขยะ
  • ปรับขอบคลอง–ปรับผิว–วาง Walkway ต่อเนื่อง–เพิ่มไฟส่องสว่าง–จุดนั่งพัก
  • ปลูกไม้ดอก–ไม้พุ่ม–เพิ่มร่มเงาบางช่วง—เลือกชนิดดูแลง่าย ทนสภาพอากาศเหนือ
  • ทดลอง กิจกรรมความถี่ต่ำ (เสาร์–อาทิตย์/รายเดือน) เพื่อเทสต์การจัดการฝูงชน–จุดขาย–จุดเสี่ยง

เฟส 2: กติกาและคัดสรร (6–12 เดือน)

  • ออก Design Code–Vendor Code พร้อมประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
  • เปิดรับผู้ค้า/ศิลปินรอบแรก—คละประเภท เพื่อสร้างประสบการณ์หลากหลาย
  • ตั้งทีม O&M ประจำคลอง (เทศบาล + อาสาชุมชน + ผู้รับจ้าง) พร้อม SLA ชัดเจน

เฟส 3: เทศกาลและแสงเมือง (12–18 เดือน)

  • เปิดตัวเทศกาล คลองศิลป์เชียงราย” ครั้งที่ 1 (ธีมฤดูหนาว) พร้อมงานไฟ–ดนตรี–เวิร์กช็อปเด็ก
  • เชื่อมเส้นทางจักรยาน/เดินต่อไปย่านใกล้เคียง—ทำ Map เมืองเดินได้
  • เริ่มเก็บข้อมูลผู้มาเยือน–การใช้จ่าย–ความพึงพอใจ (แบบสอบถาม/นับคน) เพื่อปรับแผนปีถัดไปอย่างมีข้อมูล

ความเสี่ยงและทางกันคลื่น เมืองที่งามอย่างยั่งยืนต้อง “เอาชนะความเคยชิน”

  • เสน่ห์หายเพราะล้น ถ้ากิจกรรม–ร้าน–คนแน่นเกินไปจนเดินไม่สบาย–ขยะสะสม–เสียงดัง–จราจรรอบย่านตึง ภาพจำจะเปลี่ยนเร็ว ต้องใช้ เพดานการใช้พื้นที่ (Carrying Capacity) ที่ประเมินจากความกว้างทางเดิน–จำนวนจุดนั่ง–ทางหนีไฟ และหมุนเวียนกิจกรรมไม่ให้หนาแน่นเกินไป
  • ราคาที่ดิน–ค่าเช่าไหลแรง ตั้ง โควต้า/เพดานค่าเช่าพื้นที่สาธารณะ ฝั่งชุมชน เพื่อคง สมดุลสังคม ไม่ให้คนดั้งเดิมถูกเบียดออก
  • ระบบน้ำสะดุด = ความเชื่อมั่นหาย กำหนด ทีมฉุกเฉิน ซ่อมบำรุงภายในเวลามาตรฐาน พร้อม สื่อสารโปร่งใส กรณีเกิดเหตุ—รักษาความเชื่อใจของสาธารณะ
  • ความสับสนภาพลักษณ์ วาง แบรนด์คลองเกาะทอง ให้ชัด (โลโก้–โทนสี–ป้าย–ภาษาภาพ) และสร้าง คู่มือใช้แบรนด์ สำหรับผู้ค้า/กิจกรรม เพื่อให้ภาพรวม “พูดภาษาเดียวกัน”

มองไกล “โครงสร้างพื้นฐานของความสุข” ที่พาคนทั้งเมืองเดินไปด้วยกัน

“คลองในเมือง” ไม่ควรเป็นเพียง แนวระบายน้ำ แต่เป็น ที่ว่างของความสุขร่วมกัน คลองเกาะทองกำลังเดินหน้าในทางนี้ด้วยชุดเครื่องมือครบมือ—ระบบน้ำหมุนเวียนสะอาด + ทางสาธารณะเดินสบาย + ชุมชนเข้มแข็ง + วิสัยทัศน์เมืองแห่งความสุข หากเรียนรู้จากแม่ข่าและดึงแรงบันดาลใจบางส่วนจากโอตารุ (ในแบบที่เป็นเชียงรายเอง) การเกิดขึ้นของ ถนนศิลปินริมคลองเกาะทอง” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

และเมื่อทุกอย่างเข้าที่—ตั้งแต่กลิ่นน้ำที่หายไปจนถึงไฟยามค่ำที่อบอุ่น—ชื่อของคลองเกาะทองจะค่อย ๆ ถูกเรียกขานด้วยคำใหม่ หมุดหมายใหม่ของเชียงราย” ที่คนอยากกลับมาซ้ำ เพียงเพราะที่นั่น เดินแล้วสบายใจ

ข้อเสนอฉบับย่อ “คลองเกาะทองสไตล์เชียงราย”

  • หัวใจเทคนิค เดินเครื่อง Solar Pump + ระบบกรองหยาบ + Dashboard คุณภาพน้ำสาธารณะ
  • หัวใจพื้นที่ Walkway ต่อเนื่อง–ไฟทาง–ที่นั่ง–ไม้ดอก–ร่มเงา–ขอบน้ำโปร่ง
  • หัวใจกิจกรรม ถนนศิลปิน–ตลาดงานคราฟต์–ดนตรีรับลม–เทศกาลไฟฤดูหนาว
  • หัวใจธรรมาภิบาล Zoning & Design Code + Vendor Code + เพดานใช้พื้นที่ + ส่วนร่วมชุมชน
  • หัวใจยั่งยืน ทีม O&M เฉพาะ–SLA ซ่อมไว–เผยแพร่ข้อมูลโปร่งใส–แบบสำรวจผู้ใช้พื้นที่สม่ำเสมอ

 

ทำไม “คลองเกาะทองเวอร์ชันญี่ปุ่นเบา ๆ” จึงคุ้มค่าเมือง

  1. สุขภาวะประชาชน เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมกายภาพประจำวัน—เมืองสุขภาพดี “ลดค่ารักษา” ในระยะยาว
  2. ศักยภาพเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพิ่มขึ้น—รายได้จ่อเข้าคนท้องถิ่น–ผู้ประกอบการรายเล็ก
  3. แบรนด์เมือง แข็งแรง—เชียงรายไม่ได้มีดีแค่แลนด์มาร์กดังเดิม แต่มี “คลองสีเขียวสายใหม่” ใจกลางเมือง
  4. การเรียนรู้ของเมือง—ชุมชนได้ทักษะดูแลพื้นที่สาธารณะและระบบเทคนิค (น้ำ–ไฟ–ความปลอดภัย) อย่างแท้จริง

สิ่งที่เชียงรายทำอยู่ไม่ใช่เพียง “ปรับภูมิทัศน์” แต่คือการสร้าง โครงสร้างพื้นฐานของความสุข ให้คนเมือง—และถ้าหัวใจเทคนิค–การจัดการ–กิจกรรม–ธรรมาภิบาล วิ่งไปพร้อมกัน คลองเกาะทองจะไม่ใช่แค่ “ที่สวย” แต่จะเป็น “ที่ที่อยากอยู่และอยากกลับมา” เหมือนที่แม่ข่าทำได้ และโอตารุเล่าเรื่องมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ

จาก “คลองบำบัดน้ำเสีย” สู่ “ถนนศิลปินริมคลอง”—เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อเรียก แต่คือ การสร้างระบบ ให้คน เดิน–ดู–ดื่มด่ำ–และดูแลร่วมกัน เมื่อระบบน้ำไหลอย่างมีชีวิต ทางเดินต่อเนื่องอย่างพอดี ร้านค้า–งานศิลป์มีตัวตนของเชียงราย และกติกาย่านทำให้เติบโตอย่างเป็นธรรม วันนั้น “คลองเกาะทอง” จะไม่ใช่เพียงทางผ่านของน้ำ แต่เป็น ทางผ่านของความสุข ที่คนทั้งเมืองภูมิใจ และนักเดินทางอยากแวะซ้ำ—เหมือนที่เราเคยเห็นที่แม่ข่า และตกหลุมรักที่โอตารุมาแล้ว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

รายงาน Booking.com ชี้ 88% คนไทยเลือกเมืองเพราะอาหาร เชียงรายต้องเร่งยกระดับครัวที่พัก

เชียงรายไม่ควรรอ “Food Culture” คือโอกาสทอง—เมื่ออาหารกลายเป็นเหตุผลหลักของการเดินทาง และที่พักต้องเป็น “ครัวหลังที่สอง”

เชียงราย, 4 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าในเมืองเหนือที่อากาศเย็นจัด อ่างน้ำชาอุ่น ๆ กับไอน้ำที่ลอยขึ้นจากหม้อนึ่งข้าวจี่ริมตลาดชุมชน อาจเป็นภาพคุ้นตาของคนเชียงราย แต่สำหรับนักเดินทางยุคใหม่ ภาพเหล่านี้คือ “จุดหมาย” ไม่ใช่เพียง “รายละเอียด” ระหว่างทาง รายงานล่าสุดของ Booking.com ระบุชัดว่า “อาหาร” กำลังผันตัวจาก “องค์ประกอบของทริป” มาเป็น หัวใจของการตัดสินใจเดินทาง—แนวโน้มที่เปลี่ยนเกมท่องเที่ยวปี 2568 และวางเชียงรายไว้บนจุดตัดของโอกาสครั้งใหญ่

รายงาน ‘Taste of Home Asia Pacific’ ระบุว่า ผู้เดินทางในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก ถึง 97% ปรับพฤติกรรมการกินและการทำอาหารระหว่างทริป ขณะที่นักเดินทางชาวไทย 88% ยอมรับว่า “เลือกจุดหมายปลายทาง เพียงเพราะต้องการไปเยือนร้านอาหารโดยเฉพาะ” นั่นหมายความว่าแผนที่การท่องเที่ยวไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเช็กลิสต์แลนด์มาร์กอีกต่อไป ทว่า รสชาติ–วัตถุดิบ–เรื่องราวท้องถิ่น กลายเป็นพิกัดนำทางรูปแบบใหม่ และจังหวัดที่มี “ความหลากหลายทางอาหาร” อย่างเชียงราย ย่อมมีข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่หาได้ยาก

“ช่วงเวลาแห่งการรับประทานอาหาร ไม่ได้เป็นเพียงมื้ออาหารอีกต่อไป แต่คือโอกาสในการเชื่อมต่อ เรียนรู้วัฒนธรรม และสร้างความทรงจำที่ยั่งยืน บ้านพักตากอากาศจึงกำลังขึ้นมาเป็นตัวเลือกหลัก เพราะให้ทั้งอิสระและความเป็นส่วนตัวในการทำอาหารร่วมกัน” — บรานาวัน อรุลโจธี, Area Manager, Booking.com (อ้างอิงรายงาน Taste of Home Asia Pacific)

จาก “ร้านอร่อย” สู่ “ครัวหลังที่สอง” ที่พักต้องตอบโจทย์สายกิน

ข้อมูลเดียวกันยังสะท้อนพฤติกรรมใหม่ที่ชัดเจน นักเดินทางชาวไทยให้ความนิยม บ้านพักตากอากาศแบบส่วนตัว (32%) เป็นอันดับ 2 รองจากบ้านพักริมทะเล (57%) โดยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ “ต้องมี” คือ เครื่องครัวครบ (73%), อุปกรณ์ทำอาหารกลางแจ้ง เช่น เตาย่าง/หมูกระทะ (62%), และ พื้นที่รับประทานอาหารกลางแจ้งพร้อมวิว (62%) เหตุผลไม่ซับซ้อน—ผู้เดินทางอยาก “ทำอาหารเองได้” (45%) สลับกับ “ออกไปกินร้านดัง” (31%) และอยาก เข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่น ง่ายขึ้น (34%)

แปลเป็นภาษาเชียงราย วิลล่าที่มองเห็นไร่ชา/ไร่กาแฟ บนดอยแม่สลองหรือเทือกดอยยาว–ผาหม่น ซึ่งจัดวางครัวจริงจัง มีเตาถ่านทำ บาร์บีคิว/หมูกระทะ (เมนูยอดนิยมของคนไทย 48%) พร้อมระเบียงกว้างให้ จิบชาอัสสัม หรือ ชิมกาแฟอาราบิก้า จากสวนหลังบ้าน—ทั้งหมดนี้คือ “แพ็กเกจความทรงจำ” ที่ดึงดูดใจมากกว่าห้องพักสวย ๆ ที่มีเพียงเตาไมโครเวฟ

เชียงรายได้เปรียบอะไร ความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร (Food Culture) ที่ “กินได้จริง”

เชียงรายคือทางแยกของชาติพันธุ์และวัฒนธรรมอาหาร—ไทลื้อ, ไทใหญ่, จีนยูนนาน, อาข่า, ลาหู่—ซึ่งถ่ายทอดผ่านวัตถุดิบพื้นบ้านและกรรมวิธีที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดแข็งนี้ยิ่งชัดเมื่อสอดรับกับความต้องการของนักเดินทางที่ “อยากสัมผัสท้องถิ่นแท้” มากขึ้น

ตัวอย่างการต่อยอดเชิงประสบการณ์ ที่สอดคล้องกับเทรนด์

  • ทัวร์ตลาดเช้า + ครัวชุมชน เริ่มวันด้วยการคัดวัตถุดิบพื้นถิ่น—ผักกูด, เห็ดป่า, ปลาน้ำโขง—ก่อนขึ้นวิลล่าทำเมนู น้ำพริกหนุ่ม, แกงฮังเล หรือ “เมนูซิกเนเจอร์” อย่าง แกงแคไก่เมือง ที่เพิ่งได้รับการเชิดชูเป็นอาหารถิ่นเด่น
  • อาหารจีนยูนนานบนดอยแม่สลอง เรียนรู้การทำ ขาหมูหมั่นโถว, ชิมชาอัสสัมแบบพิธีชา พร้อมเรื่องเล่าประวัติชุมชนจีนคณะชาติ
  • ครัวชนเผ่าอาข่า สำรวจสมุนไพรจากป่า เรียนรู้การปรุง เนื้อย่างเครื่องเทศพื้นถิ่น และพิธีกรรมความเชื่อเรื่องอาหาร—กิจกรรมที่ยากจะพบในเมืองใหญ่
  • ฟาร์มทูเทเบิล x ไร่กาแฟ เก็บกาแฟ เชอร์รี–สี–ตาก–คั่ว ลองจับคู่ (pairing) ของหวานพื้นบ้านกับกาแฟดริป

ทั้งหมดนี้คือ “เรื่องเล่า” ที่กินได้จริง และสอดคล้องกับทิวทัศน์ภูเขา–สายหมอกของเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นหลังชั้นดีของ มื้อพิเศษกลางแจ้ง” ที่นักท่องเที่ยวยุคใหม่กำลังตามหา

จากครัวบ้านเกิดสู่ครัวบ้านพัก—เหตุผลที่ทริปอาหารติดอันดับ

Booking.com ชี้ว่าคนรุ่นใหม่เริ่ม ทำอาหารเอง มากขึ้นระหว่างทริป โดย Gen Z ทำตามสูตรครอบครัวบ่อยที่สุด (25%) มากกว่า Millennials (19%), Gen X (21%) และ Boomers (18%) ขณะเดียวกัน นักเดินทางไทยกว่า 54% “กินร้านท้องถิ่นเป็นประจำ” เมื่อไปต่างประเทศ สะท้อนว่า ทำเองบ้าง–ออกไปชิมบ้าง” กำลังเป็นรูปแบบมาตรฐานของทริปยุคใหม่

เชียงรายจึงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะ—เมืองที่ อาหารร้านท้องถิ่นเข้มข้น แต่ก็ ปรับตัวให้คนทำกินกันเองได้ง่าย จากตลาดสดในเขตเมือง–อำเภอ ไปจนถึง โฮมสเตย์–บ้านพักตากอากาศ ที่จัดสรรครัวและลานย่างครบชุด อาหารจึงไม่ใช่เพียง “สถานที่ไปกิน” แต่เป็น กิจกรรมร่วมกัน” ที่ใส่ความทรงจำของครอบครัวลงไปได้ทุกมื้อ

มองเชิงเศรษฐกิจ Food Culture เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่กระจายรายได้

หากมองจากห่วงโซ่อุปทาน การยกระดับ “Food Culture x ที่พัก” ไม่ได้สร้างรายได้เฉพาะที่พักและร้านอาหาร แต่ยัง กระจายไปถึงเกษตรกร–ชุมชน–ผู้ผลิตวัตถุดิบ โดยตรง

  • วัตถุดิบท้องถิ่น ผักป่า, สมุนไพร, ปลาแม่น้ำ, ชา–กาแฟ—ทั้งหมดกลับมามีมูลค่าเพิ่มเมื่อเชื่อมกับประสบการณ์
  • บริการสนับสนุน ไกด์ชุมชน, ครูสอนทำอาหาร, เชฟท้องถิ่น, รถรับ–ส่งตลาดเช้า
  • ของฝากเชิงวัฒนธรรม เครื่องเทศบด, ชุดวัตถุดิบทำแกงแค (Cooking Kit), ใบชา–เมล็ดกาแฟคั่ว, เครื่องจักสานสำหรับครัวเรือน

เมื่อที่พักทำหน้าที่เป็น “จุดรองรับกิจกรรมอาหาร” รายรับจึงกระจายออกไปมากกว่าการท่องเที่ยวแบบเช็คอินถ่ายรูปอย่างเดียว ที่สำคัญ ฤดูกาลมีผลน้อยลง เพราะครัว–ตลาด–วัตถุดิบ–เรื่องราว อยู่ได้ตลอดทั้งปี สอดคล้องกับเป้าหมาย “ท่องเที่ยวทั้งปี มีดีทั้งอำเภอ” ที่หลายจังหวัดกำลังมุ่งหน้า

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ เชียงรายควรขยับอย่างไร “ตอนนี้”

เพื่อเปลี่ยนโอกาสเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เชียงรายควรเดินหน้าอย่างบูรณาการและเป็นกลางทางการค้า ดังนี้

1) จัดทำ “มาตรฐานที่พักนักชิม (Gastronomy-Ready Stays)”

อบจ.เชียงราย ร่วมกับหน่วยงานท่องเที่ยวจังหวัดและเครือข่ายผู้ประกอบการ กำหนด มาตรฐานขั้นต่ำด้านครัว สำหรับโฮมสเตย์/บ้านพักตากอากาศ ได้แก่

  • ชุดครัวพื้นฐานครบ (เตา–เตาอบ–เครื่องครัว–ภาชนะสำหรับกลุ่ม) และอุปกรณ์ทำอาหารกลางแจ้งที่ปลอดภัย
  • คู่มือ แหล่งวัตถุดิบรอบตัว” ระบุพิกัดตลาดเช้า/ตลาดชุมชน–ร้านเครื่องเทศ–ไร่ชา–ไร่กาแฟในรัศมี 10–20 กม.
  • แนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม (ขยะอินทรีย์–การคัดแยก–การใช้ภาชนะซ้ำ) เพื่อให้การทำอาหารเป็นมิตรกับพื้นที่

2) เปิด “Local Food Experience Pass” เชื่อมที่พัก–ตลาด–ครัวชุมชน

สร้างแพ็กเกจประสบการณ์ร่วมกับชมรมแม่ครัวชุมชน/เชฟท้องถิ่น เช่น

  • Market & Cook with Local พาเข้าตลาดเช้า–คัดวัตถุดิบ–กลับไปทำกับข้าวที่ที่พัก
  • Tea & Yunnan Table พิธีชาพร้อมทำอาหารยูนนานบนดอย
  • Akha Forest Pantry เดินสำรวจพืชสมุนไพร–ทำอาหารชนเผ่า
    ออกแบบให้จองง่ายผ่านพาร์ตเนอร์ OTA และสื่อสารเป็น คอนเทนต์กลาง ระดับจังหวัด

3) ใช้ “แกงแคไก่เมือง” เป็น Soft Power Menu

หลังเมนูนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอาหารถิ่น—ควร ยกระดับเป็นสัญลักษณ์ ของจังหวัด จัดทำ Cooking Kit (สมุนไพร–เครื่องแกง–คู่มือภาษาไทย/อังกฤษ) ในโรงแรม–วิลล่าที่ร่วมโครงการ พร้อมคิวอาร์โค้ดเชื่อม “คลิปสั้นสอนทำ” โดยครูครัวชุมชน เพิ่มรายได้ปลายน้ำจากชุดวัตถุดิบและเวิร์กช็อป

4) คุ้มครองความแท้ (Authenticity) และความปลอดภัยอาหาร

  • จัดทำ คลังสูตรมาตรฐาน สำหรับเมนูหลัก (เหนือ–ยูนนาน–ชนเผ่า) ที่เคารพต้นตำรับ ลด “เมนูแฟนตาซี” ที่คลาดเคลื่อนจนเสียความเชื่อถือ
  • ยกระดับ สุขอนามัย–โภชนาการ–การแพ้อาหาร ในกิจกรรมทำอาหาร ให้ได้มาตรฐานสากล รองรับตลาดครอบครัวและนักท่องเที่ยวระยะยาว

5) สื่อสารภาพลักษณ์ “ครัวบนภูเขา–ครัวกลางหมอก”

พัฒนาแนวสื่อสารร่วมระดับจังหวัด ให้ภาพ การทำอาหารกลางแจ้ง ท่ามกลางภูมิทัศน์ธรรมชาติเป็นแอ่งอารมณ์หลัก (emotional anchor) โดยหลีกเลี่ยงการตลาดที่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยว แต่ย้ำ คุณภาพ–ความยั่งยืน–รายได้ถึงชุมชน

ใครควรเป็นแม่งาน?

ด้วยลักษณะข้ามมิติ (วัฒนธรรม–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจชุมชน) การขับเคลื่อน “Food Culture x ที่พัก” ควรอยู่ในกรอบ บูรณาการ ระหว่าง

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – วางกรอบมาตรฐานที่พักนักชิม สนับสนุนเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนย่อย (ครัว–ลานย่างปลอดภัย)
  • สำนักงานพาณิชย์/เกษตรจังหวัด – เชื่อมแหล่งวัตถุดิบ ปรับบรรจุภัณฑ์ Cooking Kit ที่ได้มาตรฐาน
  • สำนักงานวัฒนธรรม–ท่องเที่ยวจังหวัด – คัดเลือก/อบรมเชฟท้องถิ่น–ครูครัวชุมชน และพัฒนาคอนเทนต์สองภาษา
  • ภาคเอกชน/เครือข่ายที่พัก – ลงทุนปรับครัว–พื้นที่ และร่วมออกแบบแพ็กเกจประสบการณ์
  • สถาบันการศึกษาในพื้นที่ – สนับสนุนงานวิจัยเมนูพื้นถิ่น–โภชนาการ–ความปลอดภัยอาหาร

ทำไม “ตอนนี้” ไม่ใช่ “วันหน้า”

หนึ่ง—หน้าต่างโอกาส เปิดกว้าง เพราะรายงานระดับภูมิภาคชี้ชัดว่าปี 2568 การท่องเที่ยวเชิงอาหารจะมาแรง และ บ้านพักตากอากาศ คือโครงสร้างรองรับหลัก
สอง—เชียงรายมี ทุนวัฒนธรรมอาหารพร้อมใช้ ทั้งเหนือ–ยูนนาน–ชนเผ่า ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นประสบการณ์โดยไม่ต้องสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่
สาม—การพึ่งพา “ฤดูหนาว” เพียงฤดูเดียวไม่ยั่งยืน ขณะที่อาหาร–ตลาด–ครัว–ไร่ชา/กาแฟ คือ กิจกรรม 365 วัน ที่เสริมเศรษฐกิจชุมชนอย่างทั่วถึง

หากลงมือวันนี้ เชียงรายจะไม่เพียง “ตามเทรนด์” แต่จะ กำหนดมาตรฐาน ให้จังหวัดท่องเที่ยวอื่น ๆ เห็นภาพว่า “อาหาร” สามารถยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวได้อย่างไร—โดยเคารพอัตลักษณ์ท้องถิ่นและกระจายรายได้จริง

เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ

การค้นพบเชิงตลาด ประเด็นที่ผู้ประกอบการควรหยิบไปเล่าให้สื่อ/นักท่องเที่ยว ได้แก่

  • ที่พักของเรา = ครัวหลังที่สอง” โชว์รายการครัว–อุปกรณ์–พื้นที่ย่าง–มุมกินข้าวกลางแจ้ง
  • พิกัดวัตถุดิบรอบตัว” แผนที่ตลาดเช้า/ฟาร์ม/ไร่ชา–กาแฟ และการจองกิจกรรมเชื่อมชุมชน
  • เมนูเล่าเรื่อง” ตั้งแต่แกงแคไก่เมืองถึงอาหารยูนนาน พร้อมคู่มือย่อสองภาษา
  • ยั่งยืนและปลอดภัย” นโยบายขยะอินทรีย์–การใช้น้ำ–สุขอนามัยอาหาร

เชียงรายไม่ควรรอ

สนามท่องเที่ยวปี 2568 ไม่ได้แข่งขันกันที่จำนวนห้าง ร้าน หรือโรงแรมหรู แต่แข่งขันกันที่ ความหมายของประสบการณ์”—และอาหารคือภาษากลางที่เล่าเรื่องได้ดีที่สุด เชียงรายมีทุกส่วนประกอบในมือแล้ว ทั้งวัตถุดิบหลากหลาย วัฒนธรรมอาหารที่ลึกและจริง วิวธรรมชาติที่ซัพพอร์ตมื้อพิเศษนอกบ้าน และฐานที่พักตากอากาศที่กำลังโต สิ่งที่ต้องทำคือ เชื่อมจิ๊กซอว์ ให้เป็นแพ็กเกจเดียวกัน—จากตลาดเช้าถึงครัววิลล่า จากเรื่องเล่าบนโต๊ะอาหารถึงรายได้ในชุมชน

ในวันที่นักเดินทาง 97% ปรับพฤติกรรมการกิน–ทำอาหารระหว่างทริป และ 88% ของคนไทย “เลือกเมืองเพราะอยากไปกินร้านนั้นร้านนี้” เชียงรายไม่ควรรอให้โอกาสผ่านไป—ถึงเวลาเปลี่ยน “ครัวบ้านเรา” ให้เป็น “ครัวของโลก” ที่ใคร ๆ ก็อยากเดินทางมาชิม มาทำ และมาจดจำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Booking.com – รายงาน ‘Taste of Home Asia Pacific’ (2025 Travel & Food Trends)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

กาแฟ-ศิลปะผสานพลัง! เชียงรายพลิกโฉมสู่ “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ต้องรอหน้าหนาว

เชียงราย เมื่อจุดแข็ง “กาแฟ-ศิลปะ” พร้อมสร้างเมืองที่มีชีวิตชีวาตลอดปี

จุดเปลี่ยนของเมืองท่องเที่ยวที่ไม่ต้องรอหน้าหนาว เมื่อศักยภาพที่มีอยู่พร้อมถูกผสานเป็นยุทธศาสตร์ใหม่

เชียงราย 2 ตุลาคม 2568 — ในช่วงเวลาที่เมืองท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังแข่งขันกันดึงดูดนักเดินทาง จังหวัดเชียงรายกลับยืนอยู่ที่จุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่ใช่เพราะขาดศักยภาพ แต่เพราะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่ คำถามที่วงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรมกำลังตั้งขึ้นคือ เชียงรายจะยังคงเป็น “เมืองที่ต้องรอ” เทศกาลใหญ่หรือฤดูหน้าหนาวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่หรือไม่ หรือจะพลิกโฉมสู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่มีชีวิตชีวาตลอด 365 วัน

การวิเคราะห์จากนักสื่อสารและผู้สังเกตการณ์ในแวดวงศิลปวัฒนธรรมชี้ให้เห็นว่า คำตอบอยู่ที่การผสานพลังระหว่างสองจุดแข็งที่เชียงรายมีอยู่แล้วอย่างล้นเหลือ นั่นคือ “วัฒนธรรมกาแฟและคาเฟ่” กับ “ชุมชนศิลปินและศิลปะร่วมสมัย” ซึ่งหากนำมาบูรณาการอย่างเป็นระบบ จะสามารถสร้างเอกลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายกลายเป็น “เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่ไม่เหมือนใครในภูมิภาค

มรดกกาแฟที่ไม่เพียงแค่เครื่องดื่ม

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองที่มีร้านกาแฟมากมาย แต่คือแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพที่มีชื่อเสียงระดับสากล โดยเฉพาะกาแฟอาราบิก้าจากชุมชนชาวเขาบนพื้นที่สูง ชาวอาข่าในพื้นที่เชียงรายได้พัฒนาฝีมือการปลูก แปรรูป และคั่วกาแฟจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของท้องถิ่น

จากข้อมูลของวิสาหกิจชุมชนกาแฟดอยผาหมี ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนอาข่าที่ประสบความสำเร็จในเชียงราย ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 50-60 คน และมีกำลังการผลิตกาแฟกะลาหลักแสนกิโลกรัมต่อปี โดยราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำงานในธุรกิจกาแฟของชุมชนเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาและการต่อยอดสู่รุ่นถัดไป

ความสำเร็จของกาแฟเชียงรายไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ไร่กาแฟ แต่ขยายตัวสู่วงการคาเฟ่ที่มีความหลากหลายและสร้างสรรค์ จนมีคำกล่าวในหมู่นักท่องเที่ยวว่า “เชียงรายมีร้านกาแฟเยอะกว่าร้านข้าว” การออกแบบคาเฟ่ในเชียงรายมักผสมผสานระหว่างความเป็นร่วมสมัยกับเอกลักษณ์ท้องถิ่น บรรยากาศที่เป็นมิตร และการใช้เมล็ดกาแฟท้องถิ่นคุณภาพสูง ทำให้คาเฟ่ในเชียงรายไม่ใช่แค่สถานที่ดื่มกาแฟ แต่กลายเป็นพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญ

ศิลปินและศิลปะที่รอคอยเวที

ขณะที่วงการกาแฟกำลังเติบโต อีกหนึ่งจุดแข็งของเชียงรายที่ไม่ควรมองข้ามคือชุมชนศิลปินที่มีความหลากหลายและมีพลัง เชียงรายเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของศิลปินชื่อดังระดับชาติ และยังคงดึงดูดศิลปินรุ่นใหม่ที่เคลื่อนย้ายมาสร้างฐานการทำงานในพื้นที่ ด้วยต้นทุนการครองชีพที่ต่ำกว่ากรุงเทพฯ บรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ และชุมชนศิลปินที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ศิลปินเหล่านี้มักเผชิญกับปัญหาขาดพื้นที่แสดงผลงานอย่างต่อเนื่อง แกลเลอรีศิลปะในเชียงรายมีจำนวนจำกัด และส่วนใหญ่เปิดให้จัดแสดงเฉพาะเทศกาลหรืองานใหญ่ๆ เท่านั้น ส่งผลให้ศิลปินรุ่นใหม่หรือศิลปินที่ทดลองรูปแบบใหม่ๆ ขาดโอกาสในการนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ

จุดนี้เองที่เป็นโอกาสทองสำหรับการบูรณาการระหว่างวงการกาแฟและศิลปะ คาเฟ่ที่มีอยู่มากมายในเชียงรายสามารถกลายเป็น “แกลเลอรีเคลื่อนที่” หรือพื้นที่แสดงผลงานศิลปะที่เข้าถึงได้ง่ายและเปิดกว้างมากกว่าแกลเลอรีแบบดั้งเดิม การจิบกาแฟท่ามกลางงานศิลปะไม่ใช่แนวคิดใหม่ในระดับสากล แต่ในบริบทของเชียงราย มันคือโอกาสในการสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างและยั่งยืน

บทเรียนจาก Thailand Biennale 2023 ความสำเร็จที่ไม่ควรจบ

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าการผสานกาแฟและศิลปะในเชียงรายสามารถประสบความสำเร็จได้ คือ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 งานศิลปะร่วมสมัยระดับนานาชาติที่จัดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงเมษายน 2567 ภายใต้แนวคิด “The Open World” (เปิดโลก)

งานครั้งนี้นำเสนอผลงานของศิลปินกว่า 60 คนจาก 21 ประเทศ และที่สำคัญคือการใช้พื้นที่ที่หลากหลายทั่วจังหวัดเชียงราย รวมถึงคาเฟ่ โรงแรม ร้านค้า และสถานที่สาธารณะต่างๆ ให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะแบบ Site-specific หรืองานศิลปะที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสถานที่นั้นๆ โดยเฉพาะ

ผลลัพธ์เกินความคาดหมาย งาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากกว่า 2.7 ล้านคนตลอดระยะเวลาจัดงาน 5 เดือน สร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ คาเฟ่และพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการต่างได้รับความสนใจและมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ได้จางหายไปหลังงานสิ้นสุดลง คาเฟ่และพื้นที่ต่างๆ กลับมาทำงานตามปกติโดยไม่มีการจัดแสดงงานศิลปะต่อเนื่อง นี่คือโอกาสที่สูญเสียไป เพราะหากสามารถรักษาโมเมนตัมและพัฒนาให้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องตลอดปีได้ เชียงรายจะไม่ต้องรองาน Biennale ครั้งต่อไปอีก 2 ปี แต่สามารถสร้างเอกลักษณ์เป็นเมืองที่มีศิลปะและวัฒนธรรมอยู่ในชีวิตประจำวันได้

ยุทธศาสตร์ “เมืองศิลปะคาเฟ่”: จากแนวคิดสู่ความเป็นจริง

การสร้าง “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ใช่เพียงแค่ให้ศิลปินนำผลงานมาแขวนในร้านกาแฟเท่านั้น แต่ต้องเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ซึ่งเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน รูปแบบที่เป็นไปได้ประกอบด้วยหลายมิติ:

  1. สร้างย่านศิลปะคาเฟ่และเส้นทางศิลปะ

การรวมกลุ่มคาเฟ่ในพื้นที่ต่างๆ ของเชียงรายให้เป็น “ย่านศิลปะคาเฟ่” โดยแต่ละร้านจะมีการจัดแสดงงานศิลปะหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ อาจเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้แสดงผลงาน

นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชม “เส้นทางศิลปะคาเฟ่” ได้เหมือนการเดินชมแกลเลอรี แต่ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองกว่า พร้อมทั้งได้ดื่มด่ำกับกาแฟคุณภาพสูงของเชียงรายไปในตัว การสร้างแผนที่หรือแอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการในแต่ละคาเฟ่จะช่วยให้นักท่องเที่ยววางแผนการเยี่ยมชมได้สะดวกขึ้น

  1. โครงการ Art Residency ในคาเฟ่

การสร้างโครงการ Art Residency หรือการให้ศิลปินพักอาศัยและทำงานในพื้นที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยใช้คาเฟ่เป็นฐานการทำงาน ศิลปินสามารถสร้างผลงานที่เกี่ยวข้องกับบริบทของคาเฟ่หรือชุมชนรอบข้าง และนำเสนอกระบวนการสร้างสรรค์ให้ผู้เข้าชมได้เห็น

รูปแบบนี้ไม่เพียงแต่ให้พื้นที่กับศิลปินเท่านั้น แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจให้กับผู้มาเยือนคาเฟ่ ที่จะได้พบปะพูดคุยกับศิลปิน เรียนรู้กระบวนการสร้างสรรค์ และเข้าใจบริบททางศิลปะมากขึ้น การมีศิลปินประจำจะทำให้แต่ละคาเฟ่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเรื่องราวที่น่าติดตาม

  1. ขายประสบการณ์ ไม่ใช่แค่สินค้า

นักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันไม่ได้ต้องการเพียงแค่ “ซื้อกาแฟดี” หรือ “ดูงานศิลปะ” แยกกัน แต่พวกเขาต้องการ “ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความหมาย” ที่สามารถเชื่อมโยงกับท้องถิ่นและสร้างความประทับใจที่ยาวนาน

การจิบกาแฟชั้นดีที่มีเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปจากชุมชนชาวเขา ภายใต้ผลงานศิลปะที่สะท้อนเรื่องราวของเชียงราย หรือการได้พูดคุยกับศิลปินเกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ คือประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น และเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นและบอกต่อ

  1. ใช้ความสำเร็จดึงดูดการลงทุน

ในยุคที่นักลงทุนระมัดระวังและต้องการเห็น “หลักฐานความสำเร็จ” (Proof of Concept) ก่อนตัดสินใจ การแสดงให้เห็นว่าโมเดลเมืองศิลปะคาเฟ่สามารถทำงานได้จริงและสร้างรายได้จริงคือกุญแจสำคัญ

เมื่อมีคาเฟ่บางร้านเริ่มประสบความสำเร็จจากการจัดแสดงงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น และมีรายได้ดีขึ้น จะเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงจูงใจให้เจ้าของคาเฟ่รายอื่นๆ เข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลความสำเร็จเหล่านี้ยังสามารถใช้ดึงดูดการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสนับสนุนศิลปะทั้งในและต่างประเทศ

การลงทุนจากภายนอกจะช่วยขยายขนาดของตลาด สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบการจัดการนิทรรศการ การประชาสัมพันธ์ การฝึกอบรมบุคลากร และการสร้างเครือข่ายกับเมืองศิลปะอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างแข็งแกร่ง

กรณีศึกษา: “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง

ในขณะที่แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน ปรากฏว่ามีศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังทำให้มันเป็นจริงอยู่แล้ว นิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ที่กำลังจัดแสดงอยู่ ณ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) คือตัวอย่างที่ชัดเจนของศักยภาพที่ว่า

นิทรรศการนี้จัดโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ที่ย้ายมาอยู่เชียงรายได้ 5 ปี และมีความสนใจในงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับ NANZI (Nanzi Meechumna) ศิลปินรับเชิญ โดยใช้พื้นที่ชั้นสองของร้านกาแฟที่ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ทดลองสร้างสรรค์

แนวคิดหลักของนิทรรศการคือการสำรวจ “สภาวะจิตภายใน” ของผู้คนในยุคที่โซเชียลมีเดียครอบงำชีวิต ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์บนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพของร้านคาเฟ่ งานชิ้นนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งสะท้อนถึงการคัดกรองสิ่งที่ถูกมองเห็นและสิ่งที่ถูกซ่อนบนโลกออนไลน์

วัชราอธิบายว่า งานนี้ต้องการ “ชวนแง้มประตูเข้ามา ‘ส่อง’ พื้นที่ ข้าวของ และผู้คน ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ซุกซ่อนความหมายอยู่ในระหว่างบรรทัด” โดยสำรวจผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลบนโซเชียลมีเดีย ที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่ยังเป็นปัจจัยในการกำหนดวิธีคิด วิธีมอง และการแสดงออกของผู้คน

นิทรรศการนี้สะท้อนประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจในสังคมร่วมสมัย เช่น ความวิตกกังวลจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย การผลิตซ้ำวาทกรรมเกี่ยวกับความสำเร็จ ความงาม และมาตรฐานทางสังคม รวมถึงการต่อสู้เพื่อรักษาคุณค่าในตัวเองท่ามกลางความคาดหวังภายนอก

ที่สำคัญคือรูปแบบการจัดแสดงแบบ Site-specific ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับพื้นที่ของคาเฟ่ ทำให้ผู้เข้าชมไม่ได้แค่มาดื่มกาแฟ แต่ได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ทางศิลปะที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของตัวเองผ่านบรรยากาศที่คุ้นเคย

นิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. ซึ่งการเปิดเข้าชมฟรีและเวลาที่ยาวนานตลอดวันทำให้งานศิลปะเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ชมศิลปะเท่านั้น ภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม “Mangos(on)teen” ที่เพิ่มมิติความสนุกสนานและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น

ปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ

แม้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่จะดูมีศักยภาพ แต่การนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและยั่งยืนยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องเผชิญ

ความเข้าใจและการยอมรับจากเจ้าของธุรกิจ หลายเจ้าของคาเฟ่อาจยังไม่เห็นคุณค่าของการนำศิลปะเข้ามาในพื้นที่ หรือกังวลว่าจะเพิ่มต้นทุนหรือสร้างความยุ่งยาก การสร้างความเข้าใจและแสดงให้เห็นประโยชน์ที่จับต้องได้ เช่น การเพิ่มจำนวนลูกค้า การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น หรือการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น

การขาดระบบสนับสนุนและประสานงาน ปัจจุบันยังไม่มีองค์กรหรือเครือข่ายที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างคาเฟ่ ศิลปิน และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ การมีหน่วยงานกลางที่ช่วยจัดการตารางการแสดง ประสานงานระหว่างศิลปินและเจ้าของพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ และจัดหาแหล่งทุนสนับสนุน จะช่วยให้การดำเนินงานราบรื่นและยั่งยืนมากขึ้น

การสร้างตลาดและผู้ชม การพัฒนาฐานผู้ชมที่เข้าใจและชื่นชมศิลปะร่วมสมัยต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนอาจยังไม่คุ้นเคยกับรูปแบบงานศิลปะบางประเภท การจัดกิจกรรมให้ความรู้ การพูดคุยกับศิลปิน หรือการจัด workshop ที่เชื่อมโยงศิลปะเข้ากับชีวิตประจำวัน จะช่วยสร้างความเข้าใจและความสนใจมากขึ้น

ความยั่งยืนทางการเงิน ศิลปินต้องการค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และคาเฟ่ก็ต้องการดำเนินธุรกิจที่มีกำไร การหาจุดสมดุลระหว่างการสนับสนุนศิลปะและความยั่งยืนทางธุรกิจเป็นความท้าทาย การหาแหล่งทุนสนับสนุนจากภาครัฐ เอกชน หรือองค์กรศิลปะ รวมถึงการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

บทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การผลักดันให้เชียงรายกลายเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่อย่างแท้จริงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะบทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สามารถบรรจุแนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เข้าในแผนการตลาดการท่องเที่ยวเชียงราย สร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงคาเฟ่ต่างๆ และประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรม การสร้างแคมเปญ “Chiang Rai: Where Coffee Meets Art” หรือคำขวัญที่คล้ายกันจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและน่าสนใจ

สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (OCAC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) สามารถให้การสนับสนุนทางวิชาการและงบประมาณสำหรับโครงการศิลปะในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของศิลปินท้องถิ่นและการสร้างเครือข่ายกับศิลปินและองค์กรศิลปะในระดับชาติและนานาชาติ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ การจัดทำป้ายบอกทางและข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์หรือการลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ ยังสามารถจัดกิจกรรมประจำปี เช่น “Chiang Rai Art & Coffee Festival” เพื่อรวมพลังและสร้างโมเมนตัม

สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีคณะศิลปกรรมศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง สามารถเป็นแหล่งผลิตศิลปินรุ่นใหม่ และเป็นพื้นที่ทดลองแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับคาเฟ่ท้องถิ่นจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย นักศึกษาได้พื้นที่แสดงผลงานจริง และคาเฟ่ได้งานศิลปะที่สดใหม่และร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ

แนวคิดการผสานกาแฟและศิลปะเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยววัฒนธรรมได้รับการตอบรับเชิงบวกจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในวงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม

นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลายท่านชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่การมาเห็นสถานที่ แต่เป็นการแสวงหาประสบการณ์ที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตท้องถิ่น การผสานกาแฟซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นกับศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนเรื่องราวและอัตลักษณ์ของพื้นที่ คือการสร้างประสบการณ์แบบองค์รวมที่นักท่องเที่ยวคุณภาพกำลังมองหา

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์มองว่า การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ “ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการท้องถิ่น กาแฟที่มีเรื่องราวและบริบททางวัฒนธรรมจะมีมูลค่าสูงกว่ากาแฟธรรมดา และคาเฟ่ที่เป็นพื้นที่ศิลปะจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและยินดีจ่ายมากขึ้น

นักวิจารณ์ศิลปะบางท่านแม้จะเห็นด้วยกับแนวคิด แต่ก็เตือนให้ระวังเรื่องการรักษามาตรฐานและคุณภาพของงานศิลปะ การทำให้ศิลปะกลายเป็นเพียงการตกแต่งหรือเครื่องมือทางการตลาดโดยปราศจากเนื้อหาที่มีความหมายอาจทำให้โครงการสูญเสียคุณค่าในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีการคัดสรรและดูแลคุณภาพของงานที่นำมาจัดแสดง

เปรียบเทียบกับเมืองต้นแบบในต่างประเทศ

การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในระดับสากล มีหลายเมืองที่ประสบความสำเร็จและสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เชียงราย

เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมกาแฟและศิลปะริมถนน (Street Art) ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ตรอกซอกซอยในเมืองเต็มไปด้วยงานศิลปะกราฟฟิตีและจิตรกรรมฝาผนังที่มีคุณภาพสูง ขณะที่คาเฟ่เล็กๆ มากมายกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง นักท่องเที่ยวสามารถเดินชม “ตรอกศิลปะ” พร้อมดื่มกาแฟคุณภาพสูงได้ในเวลาเดียวกัน เมลเบิร์นจึงกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเยือนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น แม้จะขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกิดกระแสคาเฟ่ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย หลายคาเฟ่ตั้งอยู่ในอาคารไม้เก่าที่ได้รับการบูรณะ และมีการจัดแสดงงานศิลปะหรือหัตถกรรมท้องถิ่น นักท่องเที่ยวไม่ได้มาแค่ดื่มชาหรือกาแฟ แต่มาเพื่อสัมผัสบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบัน

พอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งกาแฟและศิลปะอิสระ” โดยมีการสนับสนุนจากเทศบาลให้คาเฟ่และร้านค้าท้องถิ่นเป็นพื้นที่แสดงงานของศิลปินอิสระ มีกิจกรรม “First Thursday” ที่แกลเลอรีและพื้นที่ศิลปะต่างๆ เปิดให้เข้าชมฟรีในวันพฤหัสบดีแรกของทุกเดือน พร้อมกับคาเฟ่และบาร์ต่างๆ ที่มีการแสดงดนตรีสดและกิจกรรมทางศิลปะ

สิ่งที่เมืองเหล่านี้มีเหมือนกันคือ ความต่อเนื่องและความเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การจัดงานใหญ่ๆ เป็นครั้งคราว แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ศิลปะและกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

โอกาสในยุคดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย

ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมาก การผสานศิลปะกับคาเฟ่กลับกลายเป็นโอกาสทองในการสร้างเนื้อหาที่ “Instagrammable” หรือเหมาะกับการถ่ายรูปและแชร์บนโซเชียลมีเดีย

งานศิลปะที่น่าสนใจในพื้นที่คาเฟ่จะกระตุ้นให้ผู้มาเยือนถ่ายรูปและแชร์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งเป็นการโปรโมตฟรีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แฮชแท็กเช่น #ChiangRaiArtCafe #CoffeeAndArt #ChiangRaiCulture สามารถสร้างกระแสและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ตามกระแสเหล่านี้

นอกจากนี้ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างแผนที่เชิงโต้ตอบ แอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการและกิจกรรมต่างๆ หรือระบบ QR Code ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงานศิลปะและศิลปิน จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้มาเยือนและทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับงานมากขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือนิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก็สะท้อนถึงปรากฏการณ์โซเชียลมีเดียนี้เอง การที่งานศิลปะพูดถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อจิตใจ ขณะเดียวกันก็อาศัยโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการเผยแพร่และดึงดูดผู้ชม คือความขัดแย้งที่น่าสนใจและสะท้อนความซับซ้อนของยุคสมัย

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น

หากเชียงรายสามารถพัฒนาเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ได้อย่างยั่งยืน ผลกระทบเชิงบวกจะเกิดขึ้นในหลายมิติ

ด้านเศรษฐกิจ จะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนในวงกว้างขึ้น ไม่เพียงแต่เจ้าของคาเฟ่และศิลปิน แต่ยังรวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ช่างฝีมือ ธุรกิจที่พักและร้านอาหาร ตลอดจนธุรกิจบริการอื่นๆ การมีนักท่องเที่ยวตลอดปีจะช่วยลดความผันผวนของรายได้ที่มักเกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวตามฤดูกาล

ด้านสังคม จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่นและเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชุมชน ศิลปินรุ่นใหม่จะมีโอกาสทำงานในบ้านเกิดโดยไม่ต้องย้ายไปเมืองใหญ่ ผู้คนในชุมชนจะมีโอกาสเข้าถึงศิลปะและวัฒนธรรมมากขึ้น และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับชุมชนจะช่วยสร้างความเข้าใจและความผูกพันที่แน่นแฟ้น

ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เน้นประสบการณ์มากกว่าการบริโภคมวลชน จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวที่มาเพื่อศิลปะและวัฒนธรรมมักใช้เวลาพำนักนานขึ้นและใช้จ่ายในชุมชนมากกว่า แต่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่านักท่องเที่ยวแบบมวลชน

ก้าวต่อไป: จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

เพื่อให้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นจริง จำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

ระยะแรก (6 เดือนแรก): โครงการนำร่อง เริ่มจากการรวมกลุ่มคาเฟ่ที่สนใจประมาณ 5-10 ร้านในพื้นที่ใจกลางเมืองเชียงราย จัดหาศิลปินที่สนใจเข้าร่วม และสร้างตารางการจัดแสดงที่ชัดเจน จัดกิจกรรมเปิดตัวพร้อมประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง เก็บข้อมูลและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ระยะที่สอง (ปีที่ 1-2): ขยายและพัฒนา หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ ขยายไปยังคาเฟ่ในพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัด พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวและระบบข้อมูลที่สมบูรณ์ จัดกิจกรรมประจำปีเช่น Art & Coffee Festival และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อขอการสนับสนุน

ระยะที่สาม (ปีที่ 3 เป็นต้นไป): ยกระดับสู่มาตรฐานสากล สร้างความร่วมมือกับเมืองศิลปะในต่างประเทศ เชิญศิลปินต่างชาติมาจัดแสดง และส่งศิลปินไทยไปแสดงในเมืองพี่เมืองน้อง พัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมสำหรับบุคลากร และสร้างระบบการจัดการที่ยั่งยืนซึ่งสามารถดำเนินไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเดียว

สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความต่อเนื่อง และคุณภาพ หากเชียงรายสามารถทำให้ศิลปะและกาแฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ของเมืองอย่างแท้จริง มันจะไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาดอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “วิถีเชียงราย” ที่ยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เชียงรายไม่ต้องรออีกต่อไป

เชียงรายมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ที่มีชีวิตชีวาตลอดปี กาแฟคุณภาพสูงจากชุมชนท้องถิ่น คาเฟ่ที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ศิลปินที่มีความสามารถและแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ความสำเร็จจาก Thailand Biennale ที่พิสูจน์แล้วว่ามันทำได้ ส่องภาวะจิตภายใน: นิทรรศการที่สะท้อน “Soft Power” แห่งคาเฟ่ เพื่อเป็นการพิสูจน์แนวคิดนี้ การเคลื่อนไหวของศิลปินรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับความคิดที่สดใหม่ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเชียงราย ล่าสุดคือ นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์”

นิทรรศการนี้จัดแสดงโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ผู้ย้ายมาอยู่เชียงรายและสนใจงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับศิลปินรับเชิญ NANZI Nanzi Meechumna โดยใช้พื้นที่ของ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) เป็นพื้นที่ทดลอง

แก่นสารของงาน เป็นงานทดลองขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น บนชั้นสองของร้านกาแฟ ที่สำรวจ สภาวะจิตภายใน” ผ่านความสัมพันธ์บนโลกเสมือนอย่างโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลและวาทกรรมทางสังคมที่ก่อให้เกิดความคาดหวัง ความวิตกกังวล และการ นอยซ์” ภายในจิตใจ

  • งานทดลองกึ่ง Site-Specific: งานนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งเชื่อมโยงตัวตนบนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพในร้านกาแฟ
  • การเชื่อมโยงบริบท: สะท้อนความสัมพันธ์ของการกระทำที่ก่อให้เกิด ความนอยซ์” ที่ส่งคลื่นแทรกซ้อนไปในบริบทภายนอก พร้อมกระตุ้นให้ผู้เข้าชมมองกลับเข้าสู่ภายในตัวเอง เพื่อสำรวจคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการตัดสินและความคาดหวังทางสังคม

นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์” จะจัดแสดงที่ OBOON Coffee House (ชั้นสอง) ตั้งแต่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 08.00 – 17.00 น. โดยมีการเปิดตัวในวันที่ 13 กันยายน เวลา 16.30 น. ซึ่งภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม Mangos(on)teen เปิดทำการอีกด้วย

การเกิดขึ้นของนิทรรศการเช่นนี้ในพื้นที่ของคาเฟ่ เป็นการตอกย้ำว่าเชียงรายมีศักยภาพในการเป็น เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่มีชีวิตชีวาด้วยตัวเอง การนำเสนอผลงานที่ลึกซึ้งและทันสมัยเช่นนี้ในพื้นที่ที่เข้าถึงง่ายอย่างร้านกาแฟ คือก้าวสำคัญที่จะทำให้เชียงรายไม่ต้องรอให้ใครมาจุดไฟ แต่สามารถสร้างแสงสว่างให้ตัวเองได้ตลอดปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“น้องกอดอุ่น” มาสคอตใหม่เชียงราย สื่อสาร Soft Power “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เชียงรายเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” ทูตการท่องเที่ยวใหม่ คราฟต์แบรนด์เมืองด้วยอารมณ์ “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานราก

เชียงราย,28 กันยายน 2568 – เวลา 15.30 น. บรรยากาศลาน Grand Hall ชั้น G ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เชียงราย คึกคักเป็นพิเศษ เมื่อ นายรุจติศักดิ์ รังสี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม “Gord-Aun Meet & Greet พบปะน้องกอดอุ่น” เปิดตัว น้องกอดอุ่น (Gord-Aun)” มาสคอตทูตการท่องเที่ยวตัวแทน “ภูเขาและเมฆหมอกที่โอบล้อมเชียงราย” เชื้อเชิญนักเดินทาง “มากอดเชียงราย” ผ่านพลัง Soft Power ที่สื่อสารด้วยอ้อมกอดและความอบอุ่นของผู้คนเมืองเหนือ

พิธีเปิดได้รับเกียรติจากผู้แทนภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายวิโรจน์ ชายา ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ดร.เอกภพ ช่างแก้ว รองประธานฯ และ นายโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย สะท้อน “ฉันทามติ” ของทุกภาคส่วนในการยกระดับแบรนด์จังหวัดอย่างเป็นระบบ

จุดเปลี่ยนจาก “ขายสถานที่” สู่ “ขายความรู้สึก” ด้วยทูตการท่องเที่ยว

สารหลักของ “น้องกอดอุ่น” คือการชวนผู้มาเยือน “รับอ้อมกอดจากธรรมชาติ”  ภาพจำของเชียงรายในฐานะ ดินแดนขุนเขาและสายหมอก ถูกถ่ายทอดเป็นบุคลิกของมาสคอตที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยงความทรงจำระหว่างการเดินทางกับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย การวางตำแหน่งในลักษณะนี้ถือเป็นการปรับยุทธศาสตร์จาก Place-centric สู่ Emotion-centric เปลี่ยนการสื่อสารจาก “มาเที่ยวที่ไหน” เป็น “มาเที่ยวแล้วรู้สึกอย่างไร” เพื่อให้แบรนด์เชียงราย “อยู่ในใจ” ยาวนานกว่าอยู่ในภาพถ่าย

ด้านนโยบายการสื่อสารสาธารณะ กิจกรรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อนำสื่อสร้างสรรค์มาขับเคลื่อนเป้าหมายสาธารณะในระดับพื้นที่ ทั้งการสร้างการรับรู้แบรนด์จังหวัด การกระจายกิจกรรมลงชุมชน และการเสริมรายได้แก่ประชาชนสอดรับพันธกิจของกองทุนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายเพื่อ “รณรงค์ ส่งเสริม และสนับสนุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” อย่างเป็นระบบ

นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ ในนามฝ่ายจัดกิจกรรมอธิบาย “โจทย์” ของงานชัดเจนว่า ต้องการ เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว ให้เชียงรายผ่านการประชาสัมพันธ์เชิงบูรณาการ พร้อมกระจายผลประโยชน์ลงสู่ฐานราก จุดยืนนี้ได้รับการเสริมแรงด้วยแนวคิดการตลาดเชิงประสบการณ์ (experiential marketing) ที่วางไลน์-อัปกิจกรรมให้ผู้ร่วมงาน “ได้ลงมือ” และ “ได้ของกลับบ้าน” จาก Workshop ของ Gord-Aun Art Studio ไปจนถึง ของที่ระลึก “ตุ๊กตาน้องกอดอุ่น” ซึ่งต่อยอดให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์รายย่อยควบคู่กัน

เวทีที่ออกแบบมาเพื่อเศรษฐกิจชุมชน กาแฟเชียงรายเป็นพระเอก

หนึ่งในภาพจำที่ชัดเจนของงานวันนี้ คือ โซนกาแฟเชียงราย ที่รวบรวมเครือข่าย Chiangrai Coffee Lovers (CCL) มากกว่า 40 ร้าน ล้อมวงเล่าเรื่องเส้นทางเมล็ดกาแฟจากผู้ปลูกสู่ถ้วย พร้อมเมนูซิกเนเจอร์เฉพาะกิจ ซึ่งไม่เพียงสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์รสชาติ” ให้แบรนด์จังหวัดทิ้งรสชาติติดปากผู้มาเยือนในเชิงสัญลักษณ์กาแฟดี = การต้อนรับดี = อ้อมกอดที่จริงใจของเชียงราย เครือข่าย CCL เองมีฐานกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่และสื่อสังคม ทำให้การระดมพลังครั้งนี้มีแรงส่งไปไกลกว่างานวันเดียว

วงดนตรีและการแสดงร่วมสมัยสลับกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา เติมความสนุกและความหมายให้พื้นที่สาธารณะ ขณะเดียวกัน มินิคอนเสิร์ตจาก “ทิกเกอร์ อชิระ” ทำหน้าที่เป็น “แม่เหล็ก” ช่วยเพิ่มทราฟฟิกคนเมืองและนักท่องเที่ยวเข้าโซนกิจกรรมผลักให้ยอดขายรายย่อยของผู้ประกอบการในงาน “ขยับขึ้น” ควบคู่การรับรู้แบรนด์

พลังเครือข่าย รัฐ เอกชน สื่อคนละมือ แต่เป้าหมายเดียวกัน

การเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” มี “สมการสามเหลี่ยม” ที่เดินไปด้วยกันอย่างลงตัว
มุมแรก คือ รัฐและท้องถิ่น นำโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด ทำหน้าที่ “รับรองนโยบาย” และเป็น “เจ้าภาพความน่าเชื่อถือ” ให้แบรนด์ใหม่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
มุมที่สอง คือ เครือข่ายผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย และ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ที่ทำงานระยะยาวกับผู้ให้บริการท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร บริษัททัวร์ ซึ่งมีทุนทางสังคมและช่องทางตลาดของตนเอง
มุมสุดท้าย คือ สื่อและครีเอเตอร์ท้องถิ่น ตั้งแต่นักข่าว ช่างภาพ เพจเมือง ไปจนถึงสตูดิโอศิลปะที่ช่วยตัดต่อ เติมคอนเทนต์ให้ “น้องกอดอุ่น” กลายเป็นเรื่องเล่าที่ผู้คนอยากแชร์

นายรุจติศักดิ์ รังสี ระบุในเวทีกล่าวเปิดว่า นี่ไม่ใช่แค่งานเปิดตัวมาสคอต แต่เป็น “แพลตฟอร์ม” ที่จะยึดโยงกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงชุมชนเข้ากับแบรนด์จังหวัดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีซึ่งเชียงรายมีจุดแข็งด้านภูมิอากาศและภูมิประเทศ

กอด” ให้เป็นระบบ จากกิจกรรมวันเดียว สู่กรอบทำงานตลอดปี

เพื่อไม่ให้พลังของเวทีนี้จบลงที่ภาพถ่าย กรอบทำงานหลังงานเปิดตัวจึงสำคัญไม่แพ้กัน ทีมภาคีร่วมงานได้สรุป “แนวทางต่อยอด” เบื้องต้นไว้ 4 แกน ได้แก่

  1. ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส จับมือกับศูนย์การค้า/แลนด์มาร์กหลัก ผลัก “Gord-Aun Pop-up” แทรกในเทศกาลเมือง เช่น สวนดอกไม้ บูชาพญานาค ปั่นชมชุมชน สร้างการพบปะมาสคอตอย่างสม่ำเสมอ
  2. Loyalty & Collectibles ขยายไลน์ของที่ระลึก “น้องกอดอุ่น” ร่วมกับแบรนด์ท้องถิ่น ตั้งกติกาสะสมตราปั๊ม/สติ๊กเกอร์จากร้านภาคี เพื่อแลกของพิเศษ กระตุ้น repeat visit
  3. Gord-Aun for Good ให้มาสคอตเป็น “ทูตงานสังคม” เช่น แคมเปญ ท่องเที่ยวปลอดภัย–สื่อปลอดภัย รณรงค์การท่องเที่ยวเคารพชุมชนและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องพันธกิจของกองทุนสื่อ
  4. Route การท่องเที่ยวรสกาแฟ พัฒนาเส้นทาง “Chiang Rai Coffee Journey by CCL” แบบทำจริงจัง ร้อยจุดชิม–ชมโรงคั่ว–พบชุมชนปลูกกาแฟ สร้างแพ็กเกจร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว

ทำไม “เซ็นทรัล เชียงราย” คือเวทีที่ใช่

การเลือก เซ็นทรัล เชียงราย เป็นสถานที่เปิดตัว ไม่ได้สะท้อนแค่ความสะดวกด้านโลจิสติกส์และระบบเสียง-แสง แต่คือการตั้ง “จุดรับรู้” กลางเมืองให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวพบมาสคอตได้จริง ศูนย์การค้าดังกล่าวมีพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่และที่จอดรถรองรับการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการพัฒนา “มุมถ่ายรูปถาวร” ของน้องกอดอุ่น ตลอดจนการหมุนเวียนกิจกรรมสร้างสรรค์รายเดือน

เล่าเชียงรายให้ “นุ่ม-แน่น” ผ่านตัวเลขที่ชวนคิด

แม้ข่าววันนี้จะเป็น “ก้าวแรก” ของน้องกอดอุ่น แต่ “โจทย์ใหญ่” ที่จังหวัดต้องการตอบคือ ทำอย่างไรให้แบรนด์จังหวัดไปไกลกว่าวิวสวย กาแฟเชียงรายเป็นตัวอย่างของ “สินค้าเชิงคุณค่า” ที่เพิ่มอำนาจต่อรองราคาให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย หากมาสคอตสามารถเชื่อม เส้นเรื่องกาแฟ–งานศิลป์–ชุมชน เข้าด้วยกันได้อย่างสม่ำเสมอ ผลที่ได้จะกว้างกว่า “ความน่ารัก” และเข้าใกล้คำว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จับต้องได้

ในทางกลับกัน การรักษามาตรฐาน “ประสบการณ์ผู้มาเยือน” คือจุดคานงัดของแบรนด์ หากผู้มาเยือนได้เจอทั้ง การต้อนรับที่จริงใจ ร้านกาแฟดี ระบบขนส่งท้องถิ่นที่เป็นมิตร และปฏิทินกิจกรรมที่ไม่สะดุด พวกเขาจะแชร์ “อ้อมกอดเชียงราย” ต่อไปโดยสมัครใจนั่นคือ สื่อ Earned Media ต้นทุนต่ำแต่ทรงพลังที่สุด

เสียงจากภาคี คำมั่นสัญญาสู่ฤดูท่องเที่ยว

  • เครือข่าย CCL ยืนยันเดินหน้าจัด กิจกรรมกาแฟรายไตรมาส เชื่อมโยงแหล่งปลูกกับเมือง เพื่อเล่าเรื่องชุมชนและต้นทางเมล็ดเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณค่าให้ “แก้วกาแฟเชียงราย” ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มแต่คือเรื่องเล่ากับผู้คนจริง ๆ
  • ภาคเอกชนท่องเที่ยว ผ่านสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด เชื่อมผู้ประกอบการที่พัก–ทัวร์–ร้านอาหาร เป็น “พันธมิตรแบรนด์” เพื่อจัด แพ็กเกจ “กอดเชียงราย” เจาะครอบครัว คู่รัก และกลุ่มทำงานไฮบริดที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศซึ่งเป็นแม่เหล็กช่วงไฮซีซันปลายปี
  • หน่วยงานรัฐและกองทุนสื่อ จะคงบทบาทกำกับทิศทางการสื่อสารสาธารณะและความปลอดภัยของสื่อในกิจกรรมต่อเนื่อง ให้ทุกชิ้นงาน “สร้างสรรค์-รับผิดชอบ-เข้าถึงได้” เพื่อให้แบรนด์จังหวัดเติบโตคู่ความไว้วางใจ

ทำอย่างไรให้น้องกอดอุ่น “อยู่ยาว” ไม่ใช่กระแส

บทเรียนจากหลายจังหวัดชี้ว่า มาสคอตจะ “อยู่ยาว” ได้ต้องประกอบด้วย 3 เงื่อนไข
หนึ่ง มี เจ้าภาพชัดเจน ทั้งเชิงทรัพย์สินทางปัญญาและกำกับใช้แบรนด์
สอง มี โรดแมปกิจกรรม ที่ต่อยอดได้จริงพิพิธภัณฑ์ชุมชนขนาดย่อม จุดถ่ายรูปถาวร เส้นทางวิ่ง–ปั่น–เดิน ที่หยิบมาสคอตไปวางเรื่องเล่า
สาม มี ตัวชี้วัด ที่มากกว่า “ยอดไลก์” เช่น รายได้ผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าร่วม กิจกรรมชุมชนที่เกิดใหม่ หรือจำนวน “แพ็กเกจท่องเที่ยว” ภายใต้แบรนด์

เชียงรายมี “ทุน” สำหรับทั้งสามข้อแล้วตั้งแต่ เครือข่ายผู้ประกอบการ ที่ขยับงานจริง ศูนย์การค้าหลัก ที่พร้อมเป็นเวที คอมมูนิตี้กาแฟ ที่มีพลัง และ เครื่องมือสื่อสาธารณะ จากกองทุนสื่อหากทุกมือยังประสานกันต่อเนื่อง “กอดเชียงราย” จะไม่ใช่แค่คำขวัญ แต่เป็น ประสบการณ์ร่วม ที่วัดผลได้

ฉากสุดท้ายของวันนี้และฉากเปิดของฤดูกาลใหม่

เมื่อเพลงสุดท้ายของมินิคอนเสิร์ตจบ สปอตไลต์ที่ลาน Grand Hall ค่อย ๆ ดับลง แต่แสงแฟลชจากโทรศัพท์ของครอบครัวหนึ่งยังไม่หยุด พวกเขาถ่ายภาพกับ “น้องกอดอุ่น” ก่อนที่ลูกชายตัวเล็กจะยื่นมือออกไป “กอด” มาสคอตอีกครั้ง ภาพง่าย ๆ นี้อธิบายสารของทั้งงานได้ครบ เชียงรายอยากให้คุณมากอด และพร้อมกอดตอบ ตั้งแต่ผู้คน สภาพแวดล้อม ไปจนถึงเศรษฐกิจชุมชน

ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง หากจังหวัดและภาคีผลักปฏิทินกิจกรรมต่อจากวันนี้ให้ออกสตาร์ทได้ทัน น้องกอดอุ่น จะกลายเป็นหน้าแรกของฤดูกาลท่องเที่ยวเชียงรายปีนี้ ไม่ใช่แค่ “ไอคอน” บนโปสเตอร์ แต่เป็น ตัวละครเอก ในเรื่องเล่าที่ทุกคนมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (Thai Media Fund)
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CCL)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News