Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ถอดบทเรียน “แม่ข่า-โอตารุ” สู่การสร้าง “ถนนศิลปิน” ริมคลองเกาะทองอย่างยั่งยืน

คลองเกาะทอง” จะไปให้สุดแบบ “คลองแม่ข่า–โอตารุ” ได้อย่างไร แผนพลิกคลองบำบัดน้ำเสีย สู่ถนนศิลปินและแลนด์มาร์กสีเขียวกลางเมืองเชียงราย

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — ถ้าสักเช้าวันหนึ่ง เราได้เห็นเงาน้ำเป็นประกายสะท้อนแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ตัดกับแนวไม้ดอกสีสดที่เรียงรายริมตลิ่ง ผู้คนจิบกาแฟ เดิน วิ่ง ปั่นจักรยานเคียงข้างคลอง และวงดนตรีบรรเลงรับลมเหนือ—ภาพฝันแบบ “โอโตรุเบา ๆ” อยู่กลางเมืองเชียงราย จะเป็นไปได้แค่ไหน?
คำตอบกำลังค่อย ๆ เดินหน้าอยู่ที่ คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทอง”—พื้นที่ซึ่งเทศบาลนครเชียงรายและ 3 ชุมชนหลัก (เกาะทอง–วังดิน–ร่องปลาค้าว) กำลังร่วมกันปรับภูมิทัศน์จากคลองลำเลียงน้ำเสียให้กลับมาสะอาด เป็นระเบียบ ร่มรื่น พร้อมวางระบบ น้ำหมุนเวียนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อฟื้นระบบนิเวศอย่างยั่งยืน และตั้งเป้าผลักดันให้เป็น แลนด์มาร์กสีเขียว แห่งใหม่ของเมือง

ในเวลาไล่เลี่ยกัน โซเชียลมีเดียต่างบันทึกความฮอตของ คลองแม่ข่า” เชียงใหม่—พื้นที่ฟื้นฟูที่มีกลิ่นอายญี่ปุ่นเบา ๆ เดินสบายด้วยแนวซีรีนบล็อกริมขอบน้ำ ร้านกาแฟ–ของที่ระลึก–สตูดิโอศิลปินผุดขึ้นรายทาง กลายเป็นจุดเช็กอินใหม่ที่ชวนให้คนไปสัมผัสบรรยากาศชิล ๆ ได้แทบทุกฤดู ขณะที่ภาพจำต้นแบบระดับโลกอย่าง คลองโอตารุ (Otaru Canal) ในฮอกไกโด—ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นท่าเรือสินค้า แต่วันนี้เป็นย่านพิพิธภัณฑ์–ร้านค้า–งานศิลป์ มีไฟระยิบยามค่ำคืนและเทศกาลฤดูหนาว—ก็ย้ำให้เห็นว่า “คลองในเมือง” สามารถแปลงร่างเป็นหัวใจของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้จริง หากออกแบบ “ประสบการณ์” และ “ระบบจัดการน้ำ” ได้ลงตัว

บทความเชิงข่าว–วิเคราะห์ชิ้นนี้ชวนผู้อ่านเจาะลึกว่า คลองเกาะทองของเชียงราย จะ ก้าวจากโครงสร้างพื้นฐานสิ่งแวดล้อม ไปสู่ โครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แบบ “แม่ข่า–โอตารุโมเดล” ได้อย่างไร พร้อมร้อยเรียงข้อเท็จจริง แผนงานที่มีอยู่ กลไกเทคนิค อนาคตเศรษฐกิจชุมชน และ “จุดเปลี่ยน” ที่จะทำให้เส้นทางนี้ไปถึงปลายทางอย่างยั่งยืน

จากคลองลำเลียงน้ำเสีย สู่ “ระเบียงสีเขียว” ของคนทั้งสามชุมชน

บริบทพื้นที่ คลองเกาะทองคือเส้นทางนำน้ำเสียไปยังบ่อบำบัดเดิมในย่านชุมชนหนาแน่นของเมืองเชียงราย ปัญหาที่สะสมมายาวนานคือ น้ำชะงัก–ตะกอน–กลิ่น–ขยะล่องลอย และสภาพภูมิทัศน์ที่ไม่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์สาธารณะ เทศบาลนครเชียงรายจึงวางแผน ปรับภูมิทัศน์ใหม่ทั้งระบบ—ตั้งแต่งานสะสาง–จัดระเบียบ–ปลูกไม้ดอก (เช่น พุทธรักษา ยี่โถสีม่วง) ตลอดแนวคลอง ไปจนถึงการออกแบบทางเดิน–พื้นที่ออกกำลังกายสำหรับทุกวัย พร้อม ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Pump) เพื่อเร่งการไหล–เติมน้ำดี–ผลักน้ำเสียไปยังบ่อบำบัดอย่างเป็นระบบ

หมุดหมายและแรงขับ วันที่ 10 ตุลาคม 2568 ผู้บริหารเทศบาลลงพื้นที่ร่วมปลูกต้นไม้และจัดระเบียบทางกายภาพ—เป็นสัญญาณว่าช่วง “ก่อรูป” เริ่มปรากฏให้เห็นจริงบนพื้นดิน ไม่ใช่แค่แผนบนกระดาษ เป้าประสงค์ชัดเจนสองชั้น (1) แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาลน้ำเสียแบบยั่งยืนด้วยโซลูชันพลังงานสะอาด และ (2) เปลี่ยนพื้นที่ริมคลองให้เป็น สาธารณูปการเพื่อสุขภาวะ—เดิน–วิ่ง–ปั่นได้ ปลอดภัย สวยงาม ใช้งานได้ทุกวัน

ทุนสังคมที่พร้อม ความร่วมมือของ 3 ชุมชน (เกาะทอง–วังดิน–ร่องปลาค้าว) เป็น “แรงขับนุ่ม” ที่สำคัญ เพราะพื้นที่นี้เคยเผชิญข้อจำกัดด้านน้ำและอุทกภัยร่วมกัน การรวมพลังดูแล “คลองบ้านเรา” จึงไม่ใช่กิจกรรมสวยงามชั่วคราว แต่เป็น ผลประโยชน์ร่วม ของคนในละแวกโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น ชุมชนเกาะทองเองเคยได้รับการยอมรับเป็น แหล่งเรียนรู้ต้นแบบ จากการขับเคลื่อนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง—ทุนทางสังคมแบบนี้เป็น “เงื่อนไขสำเร็จ” ของงานพัฒนาเมืองที่ใช้เวลานาน

ถอดบทเรียน “คลองแม่ข่า–เชียงใหม่” ทำไมฟีลญี่ปุ่นจึงเวิร์ก และเราจะยกมาปรับใช้ที่เชียงรายอย่างไร

บรรยากาศและการออกแบบ คลองแม่ข่าในสายตาผู้มาเยือนคือแถวทางเดินที่ สะอาด–เป็นระเบียบ–เรียบง่าย เสริมด้วย ซีรีนบล็อกคอนกรีต รับเส้นสายตลิ่งที่ชัด และเปิดมุมมองให้เห็นสายน้ำอย่างปลอดโปร่ง ร้านกาแฟ–ของที่ระลึก–งานคราฟต์เรียงตัวพองามโดยไม่บีบพื้นที่สาธารณะ ผลรวมทั้งหมดส่ง “กลิ่นอายญี่ปุ่นเบา ๆ” ที่คุ้นตาในงานออกแบบญี่ปุ่นสมัยใหม่—น้อยแต่พอดี เน้นผิวสัมผัสวัสดุและสัดส่วนที่เดินสบาย

กิจกรรมคือหัวใจ แม่ข่าประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้มีแค่ “พื้นที่” แต่มี กิจกรรมที่ไหล—ศิลปินข้างคลอง ตลาดน้อย ๆ ช่วงบ่าย–เย็น มุมดนตรีสด งานแสดงชั่วคราว และคาแรกเตอร์ร้านที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้คนมีเหตุผลกลับมาอีกบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปครั้งเดียวแล้วจบ

บทเรียนสู่เชียงราย

  • 1. มาตรฐานน้ำและความสะอาด ความสวยงามอยู่ไม่ได้ถ้าน้ำมีกลิ่นหรือขยะลอย นี่คือ “ชั้นฐาน” ที่ต้องทำให้เสถียรก่อน—ซึ่งแผนโซลาร์ปั๊มของเชียงรายตอบโจทย์นี้ตรงจุด
  • 2. ผังใช้ประโยชน์พื้นที่ (Zoning) จัดสรรแนว Walkway–Green–Water Edge ให้เดินต่อเนื่อง ไม่เบียดล้ำทางน้ำ ร้านค้าควรตั้งถอยหลังพอสมควรเพื่อคง “ขอบน้ำ” ให้โปร่งและเป็นของส่วนรวม
  • 3. คัดสรร–คัดคุณภาพกิจกรรม แทนการเปิดเสรีทุกอย่าง ควรตั้ง เกณฑ์คุณภาพ และเลือกกิจกรรม–ร้านค้าที่สอดคล้องอัตลักษณ์เชียงราย (งานศิลป์–ช่างฝีมือ–กาแฟ–อาหารพื้นถิ่น) เพื่อหลีกเลี่ยง สตรีทของก๊อบปี้”
  • 4. ดูแลตลอดชั่วโมงใช้งาน ทีม Operation & Maintenance (O&M) ต้องทำงานเงียบ ๆ แต่เข้มข้น—ล้างทาง–เก็บขยะ–ตรวจน้ำ–ดูไฟ—เพราะความประทับใจของเมืองอยู่ที่ “จุดเล็ก ๆ” ที่ไม่สะดุด
Hokkaido: Otaru Canal Cruise and Seal Engraving Experience

แบบฝันที่จับต้องได้ “โอตารุโมเดล” กับถนนศิลปินริมคลองเกาะทอง

แรงบันดาลใจจากโอตารุ โอตารุเคยเป็น คลองขนส่งสินค้า ก่อนปรับบทบาทเป็น พิพิธภัณฑ์–ร้านค้า–ร้านอาหาร ย่านเดียวกันในตอนกลางวันจะมี ศิลปิน–นักวาด–นักดนตรี สลับคิว โคมไฟสไตล์วิกตอเรียนและการประดับไฟยามค่ำทำให้ภาพรวม “โรแมนติก” และ เทศกาล Otaru Snow Story ช่วงกลาง พ.ย.–ต้น ก.พ. ก็ช่วยยืดฤดูกาลท่องเที่ยว

พิมพ์เขียวที่เข้ากับเชียงราย

  • คอนเซ็ปต์ “ถนนศิลปินกลางเมือง” เชียงรายเป็นเมืองศิลป์โดยสายเลือด—จากงานจิตรกรรม–ประติมากรรม–คราฟต์พื้นถิ่นสู่ศิลปะร่วมสมัย ริมคลองเกาะทองสามารถกำหนดแนวยาว “Artist Strip” ที่มีซุ้มงานวาด/งานปั้น/เป่าแก้ว/สกรีนพิมพ์—เชื่อมกับสตูดิโอขนาดเล็กและแกลเลอรีในระยะเดินถึง
  • คืนชีวิตให้ “น้ำ” ยามค่ำ ใช้ แสง–เงา–ไฟ เป็นภาษาของพื้นที่ เช่น โคมไฟย้อนยุคเรียงช่วง–งาน Projection Mapping บางเทศกาลบนผนังที่จัดทำเฉพาะกิจ—ทำให้ “คืนเชียงราย” ชวนเดินปลอดภัยและน่าจดจำ
  • เทศกาลตามวาระ วางปฏิทิน คลองศิลป์เชียงราย” ฤดูหนาว–ฤดูร้อน–ฤดูฝน แต่ละวาระมีธีมกิจกรรมต่างกัน (ตลาดงานพิมพ์, ดนตรีฟังสบาย, ศิลปะกับเด็ก, งานอาหารพื้นถิ่นในคืนลมหนาว) เพื่อกระจายคนและยืดการใช้งานทั้งปี
  • เชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เปิดพื้นที่ Pop-up ให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่และ วิสาหกิจชุมชน เข้าถึงหน้าเช่าราคายุติธรรม แลกกับการรักษามาตรฐานและร่วมดูแลพื้นที่ร่วมกัน

โครงสร้างเทคนิค–การบริหารน้ำ หัวใจที่มองไม่เห็น แต่ทำให้ทุกอย่าง “อยู่ได้”

ทำไม “น้ำหมุนเวียน” สำคัญ คลองบำบัดน้ำเสียจะมีกลิ่นและเกิดตะกอนหากน้ำ นิ่ง การวางระบบ Solar Pump เพื่อจ่าย “น้ำดี” เข้า—ให้เกิด Flow ต่อเนื่อง—ช่วยสองเรื่องพร้อมกัน (1) ไล่น้ำเสีย ลงสู่ระบบบำบัด และ (2) เติมออกซิเจน ฟื้นระบบนิเวศทางน้ำ เมื่อหน้าร้อนยาวหรือหน้าแล้งมา น้ำยัง เคลื่อน จึงลดโอกาสเกิดกลิ่นได้มาก

ข้อควรระวัง

  • วาง เกณฑ์คุณภาพน้ำเป้าหมาย รายเดือน (เช่น ค่าความขุ่น–กลิ่น–การเกิดตะกอนริมตลิ่ง) และเผยแพร่เป็น Dashboard สาธารณะ ให้ชุมชนตรวจสอบได้
  • นอกจากปั๊ม ควรมี กระบวนการกรองหยาบ–ตะแกรงขยะ ที่เข้าถึงง่าย เพื่อให้ทีมชุมชนช่วยยก–เก็บได้ในกิจกรรมประจำสัปดาห์
  • ผนวก พลังงานแสงอาทิตย์ เข้ากับ แบตเตอรี่สำรอง ในจุดสำคัญ เพื่อรักษาการไหลยามฟ้าปิด–ฝนต่อเนื่อง
  • ทำ คู่มือ O&M ที่ชัดเจน ตารางตรวจ–จุดทดสอบน้ำ–การแจ้งเหตุซ่อม–เวลาแก้ปัญหามาตรฐาน (SLA) ระหว่างเทศบาล–ชุมชน–ผู้รับจ้างบำรุงรักษา

ทั้งหมดนี้คือ “เครื่องจักรเงียบ” ที่ทำให้หน้าบ้าน (ทางเดิน–ร้าน–ศิลปะ) สวยและไม่สะดุด—ถ้าใจกลางระบบน้ำทำงานไม่ล้ม ความน่าเชื่อถือของแลนด์มาร์กก็ยืนระยะ

คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ ภาพจาก เฟซบุ๊ก Fontip Dam-iam
คลองแม่ข่า จ.เชียงใหม่ ภาพจาก เฟซบุ๊ก Fontip Dam-iam

เศรษฐกิจย่านและผลประโยชน์สังคม ตัวเลขที่ควรมองและผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ผลต่อคุณภาพชีวิต

  • พื้นที่สีเขียวและทางเดิน–วิ่ง–ปั่น ช่วยเพิ่ม กิจกรรมทางกาย ของคนเมืองแบบ “เดินได้ทุกวัน”
  • ความปลอดภัย ดีขึ้นจากระบบไฟ–กล้อง–การออกแบบพื้นที่เปิดโล่ง ลด “มุมอับ”
  • ทุนสังคม แข็งแรงขึ้นเมื่อชุมชนมี “งานกลางแจ้งร่วมกัน” อย่างสม่ำเสมอ

ผลต่อเศรษฐกิจในรัศมีเดินเท้า

  • โอกาสของ SMEs/วิสาหกิจชุมชน คาเฟ่–ของที่ระลึก–สตูดิโอเวิร์กช็อป–เช่าจักรยาน—รายได้กระจายสู่คนในพื้นที่โดยตรง
  • ผลทวีคูณ (Multiplier) เมื่อย่านมีเหตุผลให้มาเยือน ทั้งเช้า–บ่าย–ค่ำ ร้านค้าในตรอกใกล้เคียงจะได้ลูกค้าต่อเนื่อง เกิด เศรษฐกิจย่อยรายรอบคลอง
  • การตลาดเมือง (City Branding) ภาพ “คลองสวย–สะอาด–ศิลปะ” เสริมแบรนด์ “นครแห่งความสุข” ของเชียงราย เชื่อมกับสินทรัพย์ท่องเที่ยวหลักของเมือง (วัด–พิพิธภัณฑ์–ย่านเก่า–คาเฟ่) และ ปั่นต่อ ไปยังแลนด์มาร์กใหม่ ๆ ได้ในแนวทาง เที่ยวระยะสั้น–หลายจุด

ชวนคิด แม่ข่าพิสูจน์แล้วว่า “บรรยากาศดี + เดินง่าย + ร้านมีเอกลักษณ์” = คนอยากกลับมาอีก ส่วนโอตารุสอนว่า “เทศกาล + แสงยามค่ำ” = ยืดเวลาการใช้งานพื้นที่ให้คุ้มค่ายิ่งขึ้น หากคลองเกาะทองเดินตามนี้อย่างมีวินัย ตัวเลขผู้มาเยือนและรายได้ชุมชนจะ “ไหล” ตามสายน้ำที่หมุนเวียนไม่หยุด

ธรรมาภิบาล–กติกาย่าน–การมีส่วนร่วม ทำให้ย่าน “สวยและเป็นธรรม” พร้อมเติบโต

ตั้งกติกาให้ชัดตั้งแต่ต้น

  • Zoning & Design Code ความกว้างทางเดิน–ระยะร่นอาคาร–ความสูง–วัสดุริมตลิ่ง–สีและป้าย—เพื่อให้ภาพรวมเรียบ งาม และเดินสบาย
  • Vendor & Activity Curation ระบบคัดสรรผู้ค้า/ศิลปินที่คุมคุณภาพสินค้า–บริการ และร้อยกับอัตลักษณ์เชียงราย ลดโอกาส “สตรีทซ้ำแบบทุกเมือง”
  • เสียงของชุมชน เวทีรับฟังความเห็นสม่ำเสมอ (รายไตรมาส) เพื่อปรับแผนกิจกรรม–เวลาเปิด–ระบบดูแลพื้นที่ ไม่ให้ย่าน “เหนื่อยล้า” จากความนิยม
  • ค่าตอบแทนเป็นธรรม อัตราหน้าร้าน/การใช้พื้นที่สาธารณะควรมี Rate พิเศษ สำหรับชุมชนรอบคลอง–ผู้ประกอบการรุ่นใหม่–ผู้พิการ/ผู้สูงอายุ–กิจกรรมสาธารณะ เพื่อให้ เศรษฐกิจย่านเติบโตแบบไม่ทิ้งกัน

โครงสร้างบริหารร่วม (Joint Operations)
สร้างกลไก คณะกรรมการคลองเกาะทอง” มีตัวแทนเทศบาล–สามชุมชน–ผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อม–ตำรวจ–นักท่องเที่ยว–ภาคธุรกิจในรัศมี เดินงานร่วมกัน 3 วงหลัก

  1. น้ำและสิ่งแวดล้อม (วัดคุณภาพน้ำ–ดูแลปั๊ม–เก็บขยะ–ความสะอาด)
  2. กิจกรรมและย่าน (ปฏิทินเทศกาล–คัดสรรผู้ค้า–มาตรฐานร้าน–ความปลอดภัยยามค่ำ)
  3. การสื่อสารและการตลาดเมือง (แบรนด์คลอง–สื่อสารภาพเดียว–ข้อมูลผู้มาเยือน–สำรวจความพึงพอใจ)

แผนเดินหน้า 12–18 เดือน จาก “งานกายภาพ” สู่ “ย่านที่มีชีวิต”

เฟส 1: งานฐานราก (0–6 เดือน)

  • เดินเครื่อง Solar Pump และระบบกรองหยาบ/ตะแกรงขยะ
  • ปรับขอบคลอง–ปรับผิว–วาง Walkway ต่อเนื่อง–เพิ่มไฟส่องสว่าง–จุดนั่งพัก
  • ปลูกไม้ดอก–ไม้พุ่ม–เพิ่มร่มเงาบางช่วง—เลือกชนิดดูแลง่าย ทนสภาพอากาศเหนือ
  • ทดลอง กิจกรรมความถี่ต่ำ (เสาร์–อาทิตย์/รายเดือน) เพื่อเทสต์การจัดการฝูงชน–จุดขาย–จุดเสี่ยง

เฟส 2: กติกาและคัดสรร (6–12 เดือน)

  • ออก Design Code–Vendor Code พร้อมประกาศใช้อย่างเป็นทางการ
  • เปิดรับผู้ค้า/ศิลปินรอบแรก—คละประเภท เพื่อสร้างประสบการณ์หลากหลาย
  • ตั้งทีม O&M ประจำคลอง (เทศบาล + อาสาชุมชน + ผู้รับจ้าง) พร้อม SLA ชัดเจน

เฟส 3: เทศกาลและแสงเมือง (12–18 เดือน)

  • เปิดตัวเทศกาล คลองศิลป์เชียงราย” ครั้งที่ 1 (ธีมฤดูหนาว) พร้อมงานไฟ–ดนตรี–เวิร์กช็อปเด็ก
  • เชื่อมเส้นทางจักรยาน/เดินต่อไปย่านใกล้เคียง—ทำ Map เมืองเดินได้
  • เริ่มเก็บข้อมูลผู้มาเยือน–การใช้จ่าย–ความพึงพอใจ (แบบสอบถาม/นับคน) เพื่อปรับแผนปีถัดไปอย่างมีข้อมูล

ความเสี่ยงและทางกันคลื่น เมืองที่งามอย่างยั่งยืนต้อง “เอาชนะความเคยชิน”

  • เสน่ห์หายเพราะล้น ถ้ากิจกรรม–ร้าน–คนแน่นเกินไปจนเดินไม่สบาย–ขยะสะสม–เสียงดัง–จราจรรอบย่านตึง ภาพจำจะเปลี่ยนเร็ว ต้องใช้ เพดานการใช้พื้นที่ (Carrying Capacity) ที่ประเมินจากความกว้างทางเดิน–จำนวนจุดนั่ง–ทางหนีไฟ และหมุนเวียนกิจกรรมไม่ให้หนาแน่นเกินไป
  • ราคาที่ดิน–ค่าเช่าไหลแรง ตั้ง โควต้า/เพดานค่าเช่าพื้นที่สาธารณะ ฝั่งชุมชน เพื่อคง สมดุลสังคม ไม่ให้คนดั้งเดิมถูกเบียดออก
  • ระบบน้ำสะดุด = ความเชื่อมั่นหาย กำหนด ทีมฉุกเฉิน ซ่อมบำรุงภายในเวลามาตรฐาน พร้อม สื่อสารโปร่งใส กรณีเกิดเหตุ—รักษาความเชื่อใจของสาธารณะ
  • ความสับสนภาพลักษณ์ วาง แบรนด์คลองเกาะทอง ให้ชัด (โลโก้–โทนสี–ป้าย–ภาษาภาพ) และสร้าง คู่มือใช้แบรนด์ สำหรับผู้ค้า/กิจกรรม เพื่อให้ภาพรวม “พูดภาษาเดียวกัน”

มองไกล “โครงสร้างพื้นฐานของความสุข” ที่พาคนทั้งเมืองเดินไปด้วยกัน

“คลองในเมือง” ไม่ควรเป็นเพียง แนวระบายน้ำ แต่เป็น ที่ว่างของความสุขร่วมกัน คลองเกาะทองกำลังเดินหน้าในทางนี้ด้วยชุดเครื่องมือครบมือ—ระบบน้ำหมุนเวียนสะอาด + ทางสาธารณะเดินสบาย + ชุมชนเข้มแข็ง + วิสัยทัศน์เมืองแห่งความสุข หากเรียนรู้จากแม่ข่าและดึงแรงบันดาลใจบางส่วนจากโอตารุ (ในแบบที่เป็นเชียงรายเอง) การเกิดขึ้นของ ถนนศิลปินริมคลองเกาะทอง” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

และเมื่อทุกอย่างเข้าที่—ตั้งแต่กลิ่นน้ำที่หายไปจนถึงไฟยามค่ำที่อบอุ่น—ชื่อของคลองเกาะทองจะค่อย ๆ ถูกเรียกขานด้วยคำใหม่ หมุดหมายใหม่ของเชียงราย” ที่คนอยากกลับมาซ้ำ เพียงเพราะที่นั่น เดินแล้วสบายใจ

ข้อเสนอฉบับย่อ “คลองเกาะทองสไตล์เชียงราย”

  • หัวใจเทคนิค เดินเครื่อง Solar Pump + ระบบกรองหยาบ + Dashboard คุณภาพน้ำสาธารณะ
  • หัวใจพื้นที่ Walkway ต่อเนื่อง–ไฟทาง–ที่นั่ง–ไม้ดอก–ร่มเงา–ขอบน้ำโปร่ง
  • หัวใจกิจกรรม ถนนศิลปิน–ตลาดงานคราฟต์–ดนตรีรับลม–เทศกาลไฟฤดูหนาว
  • หัวใจธรรมาภิบาล Zoning & Design Code + Vendor Code + เพดานใช้พื้นที่ + ส่วนร่วมชุมชน
  • หัวใจยั่งยืน ทีม O&M เฉพาะ–SLA ซ่อมไว–เผยแพร่ข้อมูลโปร่งใส–แบบสำรวจผู้ใช้พื้นที่สม่ำเสมอ

 

ทำไม “คลองเกาะทองเวอร์ชันญี่ปุ่นเบา ๆ” จึงคุ้มค่าเมือง

  1. สุขภาวะประชาชน เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมกายภาพประจำวัน—เมืองสุขภาพดี “ลดค่ารักษา” ในระยะยาว
  2. ศักยภาพเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพิ่มขึ้น—รายได้จ่อเข้าคนท้องถิ่น–ผู้ประกอบการรายเล็ก
  3. แบรนด์เมือง แข็งแรง—เชียงรายไม่ได้มีดีแค่แลนด์มาร์กดังเดิม แต่มี “คลองสีเขียวสายใหม่” ใจกลางเมือง
  4. การเรียนรู้ของเมือง—ชุมชนได้ทักษะดูแลพื้นที่สาธารณะและระบบเทคนิค (น้ำ–ไฟ–ความปลอดภัย) อย่างแท้จริง

สิ่งที่เชียงรายทำอยู่ไม่ใช่เพียง “ปรับภูมิทัศน์” แต่คือการสร้าง โครงสร้างพื้นฐานของความสุข ให้คนเมือง—และถ้าหัวใจเทคนิค–การจัดการ–กิจกรรม–ธรรมาภิบาล วิ่งไปพร้อมกัน คลองเกาะทองจะไม่ใช่แค่ “ที่สวย” แต่จะเป็น “ที่ที่อยากอยู่และอยากกลับมา” เหมือนที่แม่ข่าทำได้ และโอตารุเล่าเรื่องมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ

จาก “คลองบำบัดน้ำเสีย” สู่ “ถนนศิลปินริมคลอง”—เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อเรียก แต่คือ การสร้างระบบ ให้คน เดิน–ดู–ดื่มด่ำ–และดูแลร่วมกัน เมื่อระบบน้ำไหลอย่างมีชีวิต ทางเดินต่อเนื่องอย่างพอดี ร้านค้า–งานศิลป์มีตัวตนของเชียงราย และกติกาย่านทำให้เติบโตอย่างเป็นธรรม วันนั้น “คลองเกาะทอง” จะไม่ใช่เพียงทางผ่านของน้ำ แต่เป็น ทางผ่านของความสุข ที่คนทั้งเมืองภูมิใจ และนักเดินทางอยากแวะซ้ำ—เหมือนที่เราเคยเห็นที่แม่ข่า และตกหลุมรักที่โอตารุมาแล้ว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

รายงาน Booking.com ชี้ 88% คนไทยเลือกเมืองเพราะอาหาร เชียงรายต้องเร่งยกระดับครัวที่พัก

เชียงรายไม่ควรรอ “Food Culture” คือโอกาสทอง—เมื่ออาหารกลายเป็นเหตุผลหลักของการเดินทาง และที่พักต้องเป็น “ครัวหลังที่สอง”

เชียงราย, 4 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าในเมืองเหนือที่อากาศเย็นจัด อ่างน้ำชาอุ่น ๆ กับไอน้ำที่ลอยขึ้นจากหม้อนึ่งข้าวจี่ริมตลาดชุมชน อาจเป็นภาพคุ้นตาของคนเชียงราย แต่สำหรับนักเดินทางยุคใหม่ ภาพเหล่านี้คือ “จุดหมาย” ไม่ใช่เพียง “รายละเอียด” ระหว่างทาง รายงานล่าสุดของ Booking.com ระบุชัดว่า “อาหาร” กำลังผันตัวจาก “องค์ประกอบของทริป” มาเป็น หัวใจของการตัดสินใจเดินทาง—แนวโน้มที่เปลี่ยนเกมท่องเที่ยวปี 2568 และวางเชียงรายไว้บนจุดตัดของโอกาสครั้งใหญ่

รายงาน ‘Taste of Home Asia Pacific’ ระบุว่า ผู้เดินทางในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก ถึง 97% ปรับพฤติกรรมการกินและการทำอาหารระหว่างทริป ขณะที่นักเดินทางชาวไทย 88% ยอมรับว่า “เลือกจุดหมายปลายทาง เพียงเพราะต้องการไปเยือนร้านอาหารโดยเฉพาะ” นั่นหมายความว่าแผนที่การท่องเที่ยวไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเช็กลิสต์แลนด์มาร์กอีกต่อไป ทว่า รสชาติ–วัตถุดิบ–เรื่องราวท้องถิ่น กลายเป็นพิกัดนำทางรูปแบบใหม่ และจังหวัดที่มี “ความหลากหลายทางอาหาร” อย่างเชียงราย ย่อมมีข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่หาได้ยาก

“ช่วงเวลาแห่งการรับประทานอาหาร ไม่ได้เป็นเพียงมื้ออาหารอีกต่อไป แต่คือโอกาสในการเชื่อมต่อ เรียนรู้วัฒนธรรม และสร้างความทรงจำที่ยั่งยืน บ้านพักตากอากาศจึงกำลังขึ้นมาเป็นตัวเลือกหลัก เพราะให้ทั้งอิสระและความเป็นส่วนตัวในการทำอาหารร่วมกัน” — บรานาวัน อรุลโจธี, Area Manager, Booking.com (อ้างอิงรายงาน Taste of Home Asia Pacific)

จาก “ร้านอร่อย” สู่ “ครัวหลังที่สอง” ที่พักต้องตอบโจทย์สายกิน

ข้อมูลเดียวกันยังสะท้อนพฤติกรรมใหม่ที่ชัดเจน นักเดินทางชาวไทยให้ความนิยม บ้านพักตากอากาศแบบส่วนตัว (32%) เป็นอันดับ 2 รองจากบ้านพักริมทะเล (57%) โดยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ “ต้องมี” คือ เครื่องครัวครบ (73%), อุปกรณ์ทำอาหารกลางแจ้ง เช่น เตาย่าง/หมูกระทะ (62%), และ พื้นที่รับประทานอาหารกลางแจ้งพร้อมวิว (62%) เหตุผลไม่ซับซ้อน—ผู้เดินทางอยาก “ทำอาหารเองได้” (45%) สลับกับ “ออกไปกินร้านดัง” (31%) และอยาก เข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่น ง่ายขึ้น (34%)

แปลเป็นภาษาเชียงราย วิลล่าที่มองเห็นไร่ชา/ไร่กาแฟ บนดอยแม่สลองหรือเทือกดอยยาว–ผาหม่น ซึ่งจัดวางครัวจริงจัง มีเตาถ่านทำ บาร์บีคิว/หมูกระทะ (เมนูยอดนิยมของคนไทย 48%) พร้อมระเบียงกว้างให้ จิบชาอัสสัม หรือ ชิมกาแฟอาราบิก้า จากสวนหลังบ้าน—ทั้งหมดนี้คือ “แพ็กเกจความทรงจำ” ที่ดึงดูดใจมากกว่าห้องพักสวย ๆ ที่มีเพียงเตาไมโครเวฟ

เชียงรายได้เปรียบอะไร ความหลากหลายทางวัฒนธรรมอาหาร (Food Culture) ที่ “กินได้จริง”

เชียงรายคือทางแยกของชาติพันธุ์และวัฒนธรรมอาหาร—ไทลื้อ, ไทใหญ่, จีนยูนนาน, อาข่า, ลาหู่—ซึ่งถ่ายทอดผ่านวัตถุดิบพื้นบ้านและกรรมวิธีที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จุดแข็งนี้ยิ่งชัดเมื่อสอดรับกับความต้องการของนักเดินทางที่ “อยากสัมผัสท้องถิ่นแท้” มากขึ้น

ตัวอย่างการต่อยอดเชิงประสบการณ์ ที่สอดคล้องกับเทรนด์

  • ทัวร์ตลาดเช้า + ครัวชุมชน เริ่มวันด้วยการคัดวัตถุดิบพื้นถิ่น—ผักกูด, เห็ดป่า, ปลาน้ำโขง—ก่อนขึ้นวิลล่าทำเมนู น้ำพริกหนุ่ม, แกงฮังเล หรือ “เมนูซิกเนเจอร์” อย่าง แกงแคไก่เมือง ที่เพิ่งได้รับการเชิดชูเป็นอาหารถิ่นเด่น
  • อาหารจีนยูนนานบนดอยแม่สลอง เรียนรู้การทำ ขาหมูหมั่นโถว, ชิมชาอัสสัมแบบพิธีชา พร้อมเรื่องเล่าประวัติชุมชนจีนคณะชาติ
  • ครัวชนเผ่าอาข่า สำรวจสมุนไพรจากป่า เรียนรู้การปรุง เนื้อย่างเครื่องเทศพื้นถิ่น และพิธีกรรมความเชื่อเรื่องอาหาร—กิจกรรมที่ยากจะพบในเมืองใหญ่
  • ฟาร์มทูเทเบิล x ไร่กาแฟ เก็บกาแฟ เชอร์รี–สี–ตาก–คั่ว ลองจับคู่ (pairing) ของหวานพื้นบ้านกับกาแฟดริป

ทั้งหมดนี้คือ “เรื่องเล่า” ที่กินได้จริง และสอดคล้องกับทิวทัศน์ภูเขา–สายหมอกของเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นหลังชั้นดีของ มื้อพิเศษกลางแจ้ง” ที่นักท่องเที่ยวยุคใหม่กำลังตามหา

จากครัวบ้านเกิดสู่ครัวบ้านพัก—เหตุผลที่ทริปอาหารติดอันดับ

Booking.com ชี้ว่าคนรุ่นใหม่เริ่ม ทำอาหารเอง มากขึ้นระหว่างทริป โดย Gen Z ทำตามสูตรครอบครัวบ่อยที่สุด (25%) มากกว่า Millennials (19%), Gen X (21%) และ Boomers (18%) ขณะเดียวกัน นักเดินทางไทยกว่า 54% “กินร้านท้องถิ่นเป็นประจำ” เมื่อไปต่างประเทศ สะท้อนว่า ทำเองบ้าง–ออกไปชิมบ้าง” กำลังเป็นรูปแบบมาตรฐานของทริปยุคใหม่

เชียงรายจึงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะ—เมืองที่ อาหารร้านท้องถิ่นเข้มข้น แต่ก็ ปรับตัวให้คนทำกินกันเองได้ง่าย จากตลาดสดในเขตเมือง–อำเภอ ไปจนถึง โฮมสเตย์–บ้านพักตากอากาศ ที่จัดสรรครัวและลานย่างครบชุด อาหารจึงไม่ใช่เพียง “สถานที่ไปกิน” แต่เป็น กิจกรรมร่วมกัน” ที่ใส่ความทรงจำของครอบครัวลงไปได้ทุกมื้อ

มองเชิงเศรษฐกิจ Food Culture เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่กระจายรายได้

หากมองจากห่วงโซ่อุปทาน การยกระดับ “Food Culture x ที่พัก” ไม่ได้สร้างรายได้เฉพาะที่พักและร้านอาหาร แต่ยัง กระจายไปถึงเกษตรกร–ชุมชน–ผู้ผลิตวัตถุดิบ โดยตรง

  • วัตถุดิบท้องถิ่น ผักป่า, สมุนไพร, ปลาแม่น้ำ, ชา–กาแฟ—ทั้งหมดกลับมามีมูลค่าเพิ่มเมื่อเชื่อมกับประสบการณ์
  • บริการสนับสนุน ไกด์ชุมชน, ครูสอนทำอาหาร, เชฟท้องถิ่น, รถรับ–ส่งตลาดเช้า
  • ของฝากเชิงวัฒนธรรม เครื่องเทศบด, ชุดวัตถุดิบทำแกงแค (Cooking Kit), ใบชา–เมล็ดกาแฟคั่ว, เครื่องจักสานสำหรับครัวเรือน

เมื่อที่พักทำหน้าที่เป็น “จุดรองรับกิจกรรมอาหาร” รายรับจึงกระจายออกไปมากกว่าการท่องเที่ยวแบบเช็คอินถ่ายรูปอย่างเดียว ที่สำคัญ ฤดูกาลมีผลน้อยลง เพราะครัว–ตลาด–วัตถุดิบ–เรื่องราว อยู่ได้ตลอดทั้งปี สอดคล้องกับเป้าหมาย “ท่องเที่ยวทั้งปี มีดีทั้งอำเภอ” ที่หลายจังหวัดกำลังมุ่งหน้า

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์ เชียงรายควรขยับอย่างไร “ตอนนี้”

เพื่อเปลี่ยนโอกาสเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เชียงรายควรเดินหน้าอย่างบูรณาการและเป็นกลางทางการค้า ดังนี้

1) จัดทำ “มาตรฐานที่พักนักชิม (Gastronomy-Ready Stays)”

อบจ.เชียงราย ร่วมกับหน่วยงานท่องเที่ยวจังหวัดและเครือข่ายผู้ประกอบการ กำหนด มาตรฐานขั้นต่ำด้านครัว สำหรับโฮมสเตย์/บ้านพักตากอากาศ ได้แก่

  • ชุดครัวพื้นฐานครบ (เตา–เตาอบ–เครื่องครัว–ภาชนะสำหรับกลุ่ม) และอุปกรณ์ทำอาหารกลางแจ้งที่ปลอดภัย
  • คู่มือ แหล่งวัตถุดิบรอบตัว” ระบุพิกัดตลาดเช้า/ตลาดชุมชน–ร้านเครื่องเทศ–ไร่ชา–ไร่กาแฟในรัศมี 10–20 กม.
  • แนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม (ขยะอินทรีย์–การคัดแยก–การใช้ภาชนะซ้ำ) เพื่อให้การทำอาหารเป็นมิตรกับพื้นที่

2) เปิด “Local Food Experience Pass” เชื่อมที่พัก–ตลาด–ครัวชุมชน

สร้างแพ็กเกจประสบการณ์ร่วมกับชมรมแม่ครัวชุมชน/เชฟท้องถิ่น เช่น

  • Market & Cook with Local พาเข้าตลาดเช้า–คัดวัตถุดิบ–กลับไปทำกับข้าวที่ที่พัก
  • Tea & Yunnan Table พิธีชาพร้อมทำอาหารยูนนานบนดอย
  • Akha Forest Pantry เดินสำรวจพืชสมุนไพร–ทำอาหารชนเผ่า
    ออกแบบให้จองง่ายผ่านพาร์ตเนอร์ OTA และสื่อสารเป็น คอนเทนต์กลาง ระดับจังหวัด

3) ใช้ “แกงแคไก่เมือง” เป็น Soft Power Menu

หลังเมนูนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอาหารถิ่น—ควร ยกระดับเป็นสัญลักษณ์ ของจังหวัด จัดทำ Cooking Kit (สมุนไพร–เครื่องแกง–คู่มือภาษาไทย/อังกฤษ) ในโรงแรม–วิลล่าที่ร่วมโครงการ พร้อมคิวอาร์โค้ดเชื่อม “คลิปสั้นสอนทำ” โดยครูครัวชุมชน เพิ่มรายได้ปลายน้ำจากชุดวัตถุดิบและเวิร์กช็อป

4) คุ้มครองความแท้ (Authenticity) และความปลอดภัยอาหาร

  • จัดทำ คลังสูตรมาตรฐาน สำหรับเมนูหลัก (เหนือ–ยูนนาน–ชนเผ่า) ที่เคารพต้นตำรับ ลด “เมนูแฟนตาซี” ที่คลาดเคลื่อนจนเสียความเชื่อถือ
  • ยกระดับ สุขอนามัย–โภชนาการ–การแพ้อาหาร ในกิจกรรมทำอาหาร ให้ได้มาตรฐานสากล รองรับตลาดครอบครัวและนักท่องเที่ยวระยะยาว

5) สื่อสารภาพลักษณ์ “ครัวบนภูเขา–ครัวกลางหมอก”

พัฒนาแนวสื่อสารร่วมระดับจังหวัด ให้ภาพ การทำอาหารกลางแจ้ง ท่ามกลางภูมิทัศน์ธรรมชาติเป็นแอ่งอารมณ์หลัก (emotional anchor) โดยหลีกเลี่ยงการตลาดที่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยว แต่ย้ำ คุณภาพ–ความยั่งยืน–รายได้ถึงชุมชน

ใครควรเป็นแม่งาน?

ด้วยลักษณะข้ามมิติ (วัฒนธรรม–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจชุมชน) การขับเคลื่อน “Food Culture x ที่พัก” ควรอยู่ในกรอบ บูรณาการ ระหว่าง

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – วางกรอบมาตรฐานที่พักนักชิม สนับสนุนเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนย่อย (ครัว–ลานย่างปลอดภัย)
  • สำนักงานพาณิชย์/เกษตรจังหวัด – เชื่อมแหล่งวัตถุดิบ ปรับบรรจุภัณฑ์ Cooking Kit ที่ได้มาตรฐาน
  • สำนักงานวัฒนธรรม–ท่องเที่ยวจังหวัด – คัดเลือก/อบรมเชฟท้องถิ่น–ครูครัวชุมชน และพัฒนาคอนเทนต์สองภาษา
  • ภาคเอกชน/เครือข่ายที่พัก – ลงทุนปรับครัว–พื้นที่ และร่วมออกแบบแพ็กเกจประสบการณ์
  • สถาบันการศึกษาในพื้นที่ – สนับสนุนงานวิจัยเมนูพื้นถิ่น–โภชนาการ–ความปลอดภัยอาหาร

ทำไม “ตอนนี้” ไม่ใช่ “วันหน้า”

หนึ่ง—หน้าต่างโอกาส เปิดกว้าง เพราะรายงานระดับภูมิภาคชี้ชัดว่าปี 2568 การท่องเที่ยวเชิงอาหารจะมาแรง และ บ้านพักตากอากาศ คือโครงสร้างรองรับหลัก
สอง—เชียงรายมี ทุนวัฒนธรรมอาหารพร้อมใช้ ทั้งเหนือ–ยูนนาน–ชนเผ่า ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นประสบการณ์โดยไม่ต้องสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่
สาม—การพึ่งพา “ฤดูหนาว” เพียงฤดูเดียวไม่ยั่งยืน ขณะที่อาหาร–ตลาด–ครัว–ไร่ชา/กาแฟ คือ กิจกรรม 365 วัน ที่เสริมเศรษฐกิจชุมชนอย่างทั่วถึง

หากลงมือวันนี้ เชียงรายจะไม่เพียง “ตามเทรนด์” แต่จะ กำหนดมาตรฐาน ให้จังหวัดท่องเที่ยวอื่น ๆ เห็นภาพว่า “อาหาร” สามารถยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวได้อย่างไร—โดยเคารพอัตลักษณ์ท้องถิ่นและกระจายรายได้จริง

เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ

การค้นพบเชิงตลาด ประเด็นที่ผู้ประกอบการควรหยิบไปเล่าให้สื่อ/นักท่องเที่ยว ได้แก่

  • ที่พักของเรา = ครัวหลังที่สอง” โชว์รายการครัว–อุปกรณ์–พื้นที่ย่าง–มุมกินข้าวกลางแจ้ง
  • พิกัดวัตถุดิบรอบตัว” แผนที่ตลาดเช้า/ฟาร์ม/ไร่ชา–กาแฟ และการจองกิจกรรมเชื่อมชุมชน
  • เมนูเล่าเรื่อง” ตั้งแต่แกงแคไก่เมืองถึงอาหารยูนนาน พร้อมคู่มือย่อสองภาษา
  • ยั่งยืนและปลอดภัย” นโยบายขยะอินทรีย์–การใช้น้ำ–สุขอนามัยอาหาร

เชียงรายไม่ควรรอ

สนามท่องเที่ยวปี 2568 ไม่ได้แข่งขันกันที่จำนวนห้าง ร้าน หรือโรงแรมหรู แต่แข่งขันกันที่ ความหมายของประสบการณ์”—และอาหารคือภาษากลางที่เล่าเรื่องได้ดีที่สุด เชียงรายมีทุกส่วนประกอบในมือแล้ว ทั้งวัตถุดิบหลากหลาย วัฒนธรรมอาหารที่ลึกและจริง วิวธรรมชาติที่ซัพพอร์ตมื้อพิเศษนอกบ้าน และฐานที่พักตากอากาศที่กำลังโต สิ่งที่ต้องทำคือ เชื่อมจิ๊กซอว์ ให้เป็นแพ็กเกจเดียวกัน—จากตลาดเช้าถึงครัววิลล่า จากเรื่องเล่าบนโต๊ะอาหารถึงรายได้ในชุมชน

ในวันที่นักเดินทาง 97% ปรับพฤติกรรมการกิน–ทำอาหารระหว่างทริป และ 88% ของคนไทย “เลือกเมืองเพราะอยากไปกินร้านนั้นร้านนี้” เชียงรายไม่ควรรอให้โอกาสผ่านไป—ถึงเวลาเปลี่ยน “ครัวบ้านเรา” ให้เป็น “ครัวของโลก” ที่ใคร ๆ ก็อยากเดินทางมาชิม มาทำ และมาจดจำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Booking.com – รายงาน ‘Taste of Home Asia Pacific’ (2025 Travel & Food Trends)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

กาแฟ-ศิลปะผสานพลัง! เชียงรายพลิกโฉมสู่ “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ต้องรอหน้าหนาว

เชียงราย เมื่อจุดแข็ง “กาแฟ-ศิลปะ” พร้อมสร้างเมืองที่มีชีวิตชีวาตลอดปี

จุดเปลี่ยนของเมืองท่องเที่ยวที่ไม่ต้องรอหน้าหนาว เมื่อศักยภาพที่มีอยู่พร้อมถูกผสานเป็นยุทธศาสตร์ใหม่

เชียงราย 2 ตุลาคม 2568 — ในช่วงเวลาที่เมืองท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังแข่งขันกันดึงดูดนักเดินทาง จังหวัดเชียงรายกลับยืนอยู่ที่จุดเปลี่ยนสำคัญ ไม่ใช่เพราะขาดศักยภาพ แต่เพราะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่ คำถามที่วงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรมกำลังตั้งขึ้นคือ เชียงรายจะยังคงเป็น “เมืองที่ต้องรอ” เทศกาลใหญ่หรือฤดูหน้าหนาวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอยู่หรือไม่ หรือจะพลิกโฉมสู่การเป็นจุดหมายปลายทางที่มีชีวิตชีวาตลอด 365 วัน

การวิเคราะห์จากนักสื่อสารและผู้สังเกตการณ์ในแวดวงศิลปวัฒนธรรมชี้ให้เห็นว่า คำตอบอยู่ที่การผสานพลังระหว่างสองจุดแข็งที่เชียงรายมีอยู่แล้วอย่างล้นเหลือ นั่นคือ “วัฒนธรรมกาแฟและคาเฟ่” กับ “ชุมชนศิลปินและศิลปะร่วมสมัย” ซึ่งหากนำมาบูรณาการอย่างเป็นระบบ จะสามารถสร้างเอกลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายกลายเป็น “เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่ไม่เหมือนใครในภูมิภาค

มรดกกาแฟที่ไม่เพียงแค่เครื่องดื่ม

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองที่มีร้านกาแฟมากมาย แต่คือแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพที่มีชื่อเสียงระดับสากล โดยเฉพาะกาแฟอาราบิก้าจากชุมชนชาวเขาบนพื้นที่สูง ชาวอาข่าในพื้นที่เชียงรายได้พัฒนาฝีมือการปลูก แปรรูป และคั่วกาแฟจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของท้องถิ่น

จากข้อมูลของวิสาหกิจชุมชนกาแฟดอยผาหมี ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนอาข่าที่ประสบความสำเร็จในเชียงราย ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 50-60 คน และมีกำลังการผลิตกาแฟกะลาหลักแสนกิโลกรัมต่อปี โดยราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำงานในธุรกิจกาแฟของชุมชนเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาและการต่อยอดสู่รุ่นถัดไป

ความสำเร็จของกาแฟเชียงรายไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ไร่กาแฟ แต่ขยายตัวสู่วงการคาเฟ่ที่มีความหลากหลายและสร้างสรรค์ จนมีคำกล่าวในหมู่นักท่องเที่ยวว่า “เชียงรายมีร้านกาแฟเยอะกว่าร้านข้าว” การออกแบบคาเฟ่ในเชียงรายมักผสมผสานระหว่างความเป็นร่วมสมัยกับเอกลักษณ์ท้องถิ่น บรรยากาศที่เป็นมิตร และการใช้เมล็ดกาแฟท้องถิ่นคุณภาพสูง ทำให้คาเฟ่ในเชียงรายไม่ใช่แค่สถานที่ดื่มกาแฟ แต่กลายเป็นพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรมที่สำคัญ

ศิลปินและศิลปะที่รอคอยเวที

ขณะที่วงการกาแฟกำลังเติบโต อีกหนึ่งจุดแข็งของเชียงรายที่ไม่ควรมองข้ามคือชุมชนศิลปินที่มีความหลากหลายและมีพลัง เชียงรายเป็นที่รู้จักในฐานะบ้านเกิดของศิลปินชื่อดังระดับชาติ และยังคงดึงดูดศิลปินรุ่นใหม่ที่เคลื่อนย้ายมาสร้างฐานการทำงานในพื้นที่ ด้วยต้นทุนการครองชีพที่ต่ำกว่ากรุงเทพฯ บรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ และชุมชนศิลปินที่ให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ตาม ศิลปินเหล่านี้มักเผชิญกับปัญหาขาดพื้นที่แสดงผลงานอย่างต่อเนื่อง แกลเลอรีศิลปะในเชียงรายมีจำนวนจำกัด และส่วนใหญ่เปิดให้จัดแสดงเฉพาะเทศกาลหรืองานใหญ่ๆ เท่านั้น ส่งผลให้ศิลปินรุ่นใหม่หรือศิลปินที่ทดลองรูปแบบใหม่ๆ ขาดโอกาสในการนำเสนอผลงานสู่สาธารณะ

จุดนี้เองที่เป็นโอกาสทองสำหรับการบูรณาการระหว่างวงการกาแฟและศิลปะ คาเฟ่ที่มีอยู่มากมายในเชียงรายสามารถกลายเป็น “แกลเลอรีเคลื่อนที่” หรือพื้นที่แสดงผลงานศิลปะที่เข้าถึงได้ง่ายและเปิดกว้างมากกว่าแกลเลอรีแบบดั้งเดิม การจิบกาแฟท่ามกลางงานศิลปะไม่ใช่แนวคิดใหม่ในระดับสากล แต่ในบริบทของเชียงราย มันคือโอกาสในการสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างและยั่งยืน

บทเรียนจาก Thailand Biennale 2023 ความสำเร็จที่ไม่ควรจบ

หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าการผสานกาแฟและศิลปะในเชียงรายสามารถประสบความสำเร็จได้ คือ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 งานศิลปะร่วมสมัยระดับนานาชาติที่จัดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงเมษายน 2567 ภายใต้แนวคิด “The Open World” (เปิดโลก)

งานครั้งนี้นำเสนอผลงานของศิลปินกว่า 60 คนจาก 21 ประเทศ และที่สำคัญคือการใช้พื้นที่ที่หลากหลายทั่วจังหวัดเชียงราย รวมถึงคาเฟ่ โรงแรม ร้านค้า และสถานที่สาธารณะต่างๆ ให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะแบบ Site-specific หรืองานศิลปะที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับสถานที่นั้นๆ โดยเฉพาะ

ผลลัพธ์เกินความคาดหมาย งาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากกว่า 2.7 ล้านคนตลอดระยะเวลาจัดงาน 5 เดือน สร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ คาเฟ่และพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการต่างได้รับความสนใจและมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ได้จางหายไปหลังงานสิ้นสุดลง คาเฟ่และพื้นที่ต่างๆ กลับมาทำงานตามปกติโดยไม่มีการจัดแสดงงานศิลปะต่อเนื่อง นี่คือโอกาสที่สูญเสียไป เพราะหากสามารถรักษาโมเมนตัมและพัฒนาให้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องตลอดปีได้ เชียงรายจะไม่ต้องรองาน Biennale ครั้งต่อไปอีก 2 ปี แต่สามารถสร้างเอกลักษณ์เป็นเมืองที่มีศิลปะและวัฒนธรรมอยู่ในชีวิตประจำวันได้

ยุทธศาสตร์ “เมืองศิลปะคาเฟ่”: จากแนวคิดสู่ความเป็นจริง

การสร้าง “เมืองศิลปะคาเฟ่” ไม่ใช่เพียงแค่ให้ศิลปินนำผลงานมาแขวนในร้านกาแฟเท่านั้น แต่ต้องเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ซึ่งเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน รูปแบบที่เป็นไปได้ประกอบด้วยหลายมิติ:

  1. สร้างย่านศิลปะคาเฟ่และเส้นทางศิลปะ

การรวมกลุ่มคาเฟ่ในพื้นที่ต่างๆ ของเชียงรายให้เป็น “ย่านศิลปะคาเฟ่” โดยแต่ละร้านจะมีการจัดแสดงงานศิลปะหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ อาจเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้แสดงผลงาน

นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชม “เส้นทางศิลปะคาเฟ่” ได้เหมือนการเดินชมแกลเลอรี แต่ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเองกว่า พร้อมทั้งได้ดื่มด่ำกับกาแฟคุณภาพสูงของเชียงรายไปในตัว การสร้างแผนที่หรือแอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการในแต่ละคาเฟ่จะช่วยให้นักท่องเที่ยววางแผนการเยี่ยมชมได้สะดวกขึ้น

  1. โครงการ Art Residency ในคาเฟ่

การสร้างโครงการ Art Residency หรือการให้ศิลปินพักอาศัยและทำงานในพื้นที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยใช้คาเฟ่เป็นฐานการทำงาน ศิลปินสามารถสร้างผลงานที่เกี่ยวข้องกับบริบทของคาเฟ่หรือชุมชนรอบข้าง และนำเสนอกระบวนการสร้างสรรค์ให้ผู้เข้าชมได้เห็น

รูปแบบนี้ไม่เพียงแต่ให้พื้นที่กับศิลปินเท่านั้น แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจให้กับผู้มาเยือนคาเฟ่ ที่จะได้พบปะพูดคุยกับศิลปิน เรียนรู้กระบวนการสร้างสรรค์ และเข้าใจบริบททางศิลปะมากขึ้น การมีศิลปินประจำจะทำให้แต่ละคาเฟ่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเรื่องราวที่น่าติดตาม

  1. ขายประสบการณ์ ไม่ใช่แค่สินค้า

นักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันไม่ได้ต้องการเพียงแค่ “ซื้อกาแฟดี” หรือ “ดูงานศิลปะ” แยกกัน แต่พวกเขาต้องการ “ประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความหมาย” ที่สามารถเชื่อมโยงกับท้องถิ่นและสร้างความประทับใจที่ยาวนาน

การจิบกาแฟชั้นดีที่มีเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปจากชุมชนชาวเขา ภายใต้ผลงานศิลปะที่สะท้อนเรื่องราวของเชียงราย หรือการได้พูดคุยกับศิลปินเกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ คือประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น และเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นและบอกต่อ

  1. ใช้ความสำเร็จดึงดูดการลงทุน

ในยุคที่นักลงทุนระมัดระวังและต้องการเห็น “หลักฐานความสำเร็จ” (Proof of Concept) ก่อนตัดสินใจ การแสดงให้เห็นว่าโมเดลเมืองศิลปะคาเฟ่สามารถทำงานได้จริงและสร้างรายได้จริงคือกุญแจสำคัญ

เมื่อมีคาเฟ่บางร้านเริ่มประสบความสำเร็จจากการจัดแสดงงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น และมีรายได้ดีขึ้น จะเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงจูงใจให้เจ้าของคาเฟ่รายอื่นๆ เข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลความสำเร็จเหล่านี้ยังสามารถใช้ดึงดูดการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรสนับสนุนศิลปะทั้งในและต่างประเทศ

การลงทุนจากภายนอกจะช่วยขยายขนาดของตลาด สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบการจัดการนิทรรศการ การประชาสัมพันธ์ การฝึกอบรมบุคลากร และการสร้างเครือข่ายกับเมืองศิลปะอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้อย่างแข็งแกร่ง

กรณีศึกษา: “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง

ในขณะที่แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน ปรากฏว่ามีศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังทำให้มันเป็นจริงอยู่แล้ว นิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ที่กำลังจัดแสดงอยู่ ณ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) คือตัวอย่างที่ชัดเจนของศักยภาพที่ว่า

นิทรรศการนี้จัดโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ที่ย้ายมาอยู่เชียงรายได้ 5 ปี และมีความสนใจในงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับ NANZI (Nanzi Meechumna) ศิลปินรับเชิญ โดยใช้พื้นที่ชั้นสองของร้านกาแฟที่ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น เป็นพื้นที่ทดลองสร้างสรรค์

แนวคิดหลักของนิทรรศการคือการสำรวจ “สภาวะจิตภายใน” ของผู้คนในยุคที่โซเชียลมีเดียครอบงำชีวิต ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์บนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพของร้านคาเฟ่ งานชิ้นนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งสะท้อนถึงการคัดกรองสิ่งที่ถูกมองเห็นและสิ่งที่ถูกซ่อนบนโลกออนไลน์

วัชราอธิบายว่า งานนี้ต้องการ “ชวนแง้มประตูเข้ามา ‘ส่อง’ พื้นที่ ข้าวของ และผู้คน ผ่านการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ซุกซ่อนความหมายอยู่ในระหว่างบรรทัด” โดยสำรวจผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลบนโซเชียลมีเดีย ที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่ยังเป็นปัจจัยในการกำหนดวิธีคิด วิธีมอง และการแสดงออกของผู้คน

นิทรรศการนี้สะท้อนประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจในสังคมร่วมสมัย เช่น ความวิตกกังวลจากการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย การผลิตซ้ำวาทกรรมเกี่ยวกับความสำเร็จ ความงาม และมาตรฐานทางสังคม รวมถึงการต่อสู้เพื่อรักษาคุณค่าในตัวเองท่ามกลางความคาดหวังภายนอก

ที่สำคัญคือรูปแบบการจัดแสดงแบบ Site-specific ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับพื้นที่ของคาเฟ่ ทำให้ผู้เข้าชมไม่ได้แค่มาดื่มกาแฟ แต่ได้ดื่มด่ำกับประสบการณ์ทางศิลปะที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของตัวเองผ่านบรรยากาศที่คุ้นเคย

นิทรรศการจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. ซึ่งการเปิดเข้าชมฟรีและเวลาที่ยาวนานตลอดวันทำให้งานศิลปะเข้าถึงได้ง่ายสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ชมศิลปะเท่านั้น ภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม “Mangos(on)teen” ที่เพิ่มมิติความสนุกสนานและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น

ปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ

แม้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่จะดูมีศักยภาพ แต่การนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังและยั่งยืนยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องเผชิญ

ความเข้าใจและการยอมรับจากเจ้าของธุรกิจ หลายเจ้าของคาเฟ่อาจยังไม่เห็นคุณค่าของการนำศิลปะเข้ามาในพื้นที่ หรือกังวลว่าจะเพิ่มต้นทุนหรือสร้างความยุ่งยาก การสร้างความเข้าใจและแสดงให้เห็นประโยชน์ที่จับต้องได้ เช่น การเพิ่มจำนวนลูกค้า การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น หรือการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น

การขาดระบบสนับสนุนและประสานงาน ปัจจุบันยังไม่มีองค์กรหรือเครือข่ายที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างคาเฟ่ ศิลปิน และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ การมีหน่วยงานกลางที่ช่วยจัดการตารางการแสดง ประสานงานระหว่างศิลปินและเจ้าของพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ และจัดหาแหล่งทุนสนับสนุน จะช่วยให้การดำเนินงานราบรื่นและยั่งยืนมากขึ้น

การสร้างตลาดและผู้ชม การพัฒนาฐานผู้ชมที่เข้าใจและชื่นชมศิลปะร่วมสมัยต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ผู้คนอาจยังไม่คุ้นเคยกับรูปแบบงานศิลปะบางประเภท การจัดกิจกรรมให้ความรู้ การพูดคุยกับศิลปิน หรือการจัด workshop ที่เชื่อมโยงศิลปะเข้ากับชีวิตประจำวัน จะช่วยสร้างความเข้าใจและความสนใจมากขึ้น

ความยั่งยืนทางการเงิน ศิลปินต้องการค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และคาเฟ่ก็ต้องการดำเนินธุรกิจที่มีกำไร การหาจุดสมดุลระหว่างการสนับสนุนศิลปะและความยั่งยืนทางธุรกิจเป็นความท้าทาย การหาแหล่งทุนสนับสนุนจากภาครัฐ เอกชน หรือองค์กรศิลปะ รวมถึงการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

บทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การผลักดันให้เชียงรายกลายเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่อย่างแท้จริงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะบทบาทของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สามารถบรรจุแนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เข้าในแผนการตลาดการท่องเที่ยวเชียงราย สร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงคาเฟ่ต่างๆ และประชาสัมพันธ์สู่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรม การสร้างแคมเปญ “Chiang Rai: Where Coffee Meets Art” หรือคำขวัญที่คล้ายกันจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและน่าสนใจ

สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (OCAC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) สามารถให้การสนับสนุนทางวิชาการและงบประมาณสำหรับโครงการศิลปะในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของศิลปินท้องถิ่นและการสร้างเครือข่ายกับศิลปินและองค์กรศิลปะในระดับชาติและนานาชาติ

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ การจัดทำป้ายบอกทางและข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์หรือการลดหย่อนภาษีสำหรับธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ ยังสามารถจัดกิจกรรมประจำปี เช่น “Chiang Rai Art & Coffee Festival” เพื่อรวมพลังและสร้างโมเมนตัม

สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีคณะศิลปกรรมศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง สามารถเป็นแหล่งผลิตศิลปินรุ่นใหม่ และเป็นพื้นที่ทดลองแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับคาเฟ่ท้องถิ่นจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย นักศึกษาได้พื้นที่แสดงผลงานจริง และคาเฟ่ได้งานศิลปะที่สดใหม่และร่วมสมัยอย่างต่อเนื่อง

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ

แนวคิดการผสานกาแฟและศิลปะเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยววัฒนธรรมได้รับการตอบรับเชิงบวกจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในวงการท่องเที่ยวและศิลปวัฒนธรรม

นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลายท่านชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่การมาเห็นสถานที่ แต่เป็นการแสวงหาประสบการณ์ที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตท้องถิ่น การผสานกาแฟซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นกับศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนเรื่องราวและอัตลักษณ์ของพื้นที่ คือการสร้างประสบการณ์แบบองค์รวมที่นักท่องเที่ยวคุณภาพกำลังมองหา

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์มองว่า การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ “ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการท้องถิ่น กาแฟที่มีเรื่องราวและบริบททางวัฒนธรรมจะมีมูลค่าสูงกว่ากาแฟธรรมดา และคาเฟ่ที่เป็นพื้นที่ศิลปะจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและยินดีจ่ายมากขึ้น

นักวิจารณ์ศิลปะบางท่านแม้จะเห็นด้วยกับแนวคิด แต่ก็เตือนให้ระวังเรื่องการรักษามาตรฐานและคุณภาพของงานศิลปะ การทำให้ศิลปะกลายเป็นเพียงการตกแต่งหรือเครื่องมือทางการตลาดโดยปราศจากเนื้อหาที่มีความหมายอาจทำให้โครงการสูญเสียคุณค่าในระยะยาว จึงจำเป็นต้องมีการคัดสรรและดูแลคุณภาพของงานที่นำมาจัดแสดง

เปรียบเทียบกับเมืองต้นแบบในต่างประเทศ

การพัฒนาเมืองศิลปะคาเฟ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในระดับสากล มีหลายเมืองที่ประสบความสำเร็จและสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เชียงราย

เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมกาแฟและศิลปะริมถนน (Street Art) ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ตรอกซอกซอยในเมืองเต็มไปด้วยงานศิลปะกราฟฟิตีและจิตรกรรมฝาผนังที่มีคุณภาพสูง ขณะที่คาเฟ่เล็กๆ มากมายกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง นักท่องเที่ยวสามารถเดินชม “ตรอกศิลปะ” พร้อมดื่มกาแฟคุณภาพสูงได้ในเวลาเดียวกัน เมลเบิร์นจึงกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเยือนมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น แม้จะขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมดั้งเดิม แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เกิดกระแสคาเฟ่ที่ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมดั้งเดิมกับศิลปะร่วมสมัย หลายคาเฟ่ตั้งอยู่ในอาคารไม้เก่าที่ได้รับการบูรณะ และมีการจัดแสดงงานศิลปะหรือหัตถกรรมท้องถิ่น นักท่องเที่ยวไม่ได้มาแค่ดื่มชาหรือกาแฟ แต่มาเพื่อสัมผัสบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบัน

พอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “เมืองแห่งกาแฟและศิลปะอิสระ” โดยมีการสนับสนุนจากเทศบาลให้คาเฟ่และร้านค้าท้องถิ่นเป็นพื้นที่แสดงงานของศิลปินอิสระ มีกิจกรรม “First Thursday” ที่แกลเลอรีและพื้นที่ศิลปะต่างๆ เปิดให้เข้าชมฟรีในวันพฤหัสบดีแรกของทุกเดือน พร้อมกับคาเฟ่และบาร์ต่างๆ ที่มีการแสดงดนตรีสดและกิจกรรมทางศิลปะ

สิ่งที่เมืองเหล่านี้มีเหมือนกันคือ ความต่อเนื่องและความเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การจัดงานใหญ่ๆ เป็นครั้งคราว แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ศิลปะและกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

โอกาสในยุคดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย

ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมาก การผสานศิลปะกับคาเฟ่กลับกลายเป็นโอกาสทองในการสร้างเนื้อหาที่ “Instagrammable” หรือเหมาะกับการถ่ายรูปและแชร์บนโซเชียลมีเดีย

งานศิลปะที่น่าสนใจในพื้นที่คาเฟ่จะกระตุ้นให้ผู้มาเยือนถ่ายรูปและแชร์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งเป็นการโปรโมตฟรีที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แฮชแท็กเช่น #ChiangRaiArtCafe #CoffeeAndArt #ChiangRaiCulture สามารถสร้างกระแสและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ตามกระแสเหล่านี้

นอกจากนี้ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการสร้างแผนที่เชิงโต้ตอบ แอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลนิทรรศการและกิจกรรมต่างๆ หรือระบบ QR Code ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงานศิลปะและศิลปิน จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้มาเยือนและทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับงานมากขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจคือนิทรรศการ “ME AND SHE AND EVERYTHING WE นอยยยด์” ก็สะท้อนถึงปรากฏการณ์โซเชียลมีเดียนี้เอง การที่งานศิลปะพูดถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อจิตใจ ขณะเดียวกันก็อาศัยโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการเผยแพร่และดึงดูดผู้ชม คือความขัดแย้งที่น่าสนใจและสะท้อนความซับซ้อนของยุคสมัย

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมท้องถิ่น

หากเชียงรายสามารถพัฒนาเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ได้อย่างยั่งยืน ผลกระทบเชิงบวกจะเกิดขึ้นในหลายมิติ

ด้านเศรษฐกิจ จะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนในวงกว้างขึ้น ไม่เพียงแต่เจ้าของคาเฟ่และศิลปิน แต่ยังรวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ช่างฝีมือ ธุรกิจที่พักและร้านอาหาร ตลอดจนธุรกิจบริการอื่นๆ การมีนักท่องเที่ยวตลอดปีจะช่วยลดความผันผวนของรายได้ที่มักเกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวตามฤดูกาล

ด้านสังคม จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่นและเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชุมชน ศิลปินรุ่นใหม่จะมีโอกาสทำงานในบ้านเกิดโดยไม่ต้องย้ายไปเมืองใหญ่ ผู้คนในชุมชนจะมีโอกาสเข้าถึงศิลปะและวัฒนธรรมมากขึ้น และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปินกับชุมชนจะช่วยสร้างความเข้าใจและความผูกพันที่แน่นแฟ้น

ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เน้นประสบการณ์มากกว่าการบริโภคมวลชน จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวที่มาเพื่อศิลปะและวัฒนธรรมมักใช้เวลาพำนักนานขึ้นและใช้จ่ายในชุมชนมากกว่า แต่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่านักท่องเที่ยวแบบมวลชน

ก้าวต่อไป: จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

เพื่อให้แนวคิดเมืองศิลปะคาเฟ่เป็นจริง จำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

ระยะแรก (6 เดือนแรก): โครงการนำร่อง เริ่มจากการรวมกลุ่มคาเฟ่ที่สนใจประมาณ 5-10 ร้านในพื้นที่ใจกลางเมืองเชียงราย จัดหาศิลปินที่สนใจเข้าร่วม และสร้างตารางการจัดแสดงที่ชัดเจน จัดกิจกรรมเปิดตัวพร้อมประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง เก็บข้อมูลและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

ระยะที่สอง (ปีที่ 1-2): ขยายและพัฒนา หากโครงการนำร่องประสบความสำเร็จ ขยายไปยังคาเฟ่ในพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัด พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวและระบบข้อมูลที่สมบูรณ์ จัดกิจกรรมประจำปีเช่น Art & Coffee Festival และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อขอการสนับสนุน

ระยะที่สาม (ปีที่ 3 เป็นต้นไป): ยกระดับสู่มาตรฐานสากล สร้างความร่วมมือกับเมืองศิลปะในต่างประเทศ เชิญศิลปินต่างชาติมาจัดแสดง และส่งศิลปินไทยไปแสดงในเมืองพี่เมืองน้อง พัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมสำหรับบุคลากร และสร้างระบบการจัดการที่ยั่งยืนซึ่งสามารถดำเนินไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเดียว

สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความต่อเนื่อง และคุณภาพ หากเชียงรายสามารถทำให้ศิลปะและกาแฟกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ของเมืองอย่างแท้จริง มันจะไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาดอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “วิถีเชียงราย” ที่ยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เชียงรายไม่ต้องรออีกต่อไป

เชียงรายมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเป็นเมืองศิลปะคาเฟ่ที่มีชีวิตชีวาตลอดปี กาแฟคุณภาพสูงจากชุมชนท้องถิ่น คาเฟ่ที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ศิลปินที่มีความสามารถและแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ความสำเร็จจาก Thailand Biennale ที่พิสูจน์แล้วว่ามันทำได้ ส่องภาวะจิตภายใน: นิทรรศการที่สะท้อน “Soft Power” แห่งคาเฟ่ เพื่อเป็นการพิสูจน์แนวคิดนี้ การเคลื่อนไหวของศิลปินรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับความคิดที่สดใหม่ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเชียงราย ล่าสุดคือ นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์”

นิทรรศการนี้จัดแสดงโดย วัชรา พิพัฒนาไพบูรณ์ นักสร้างสรรค์ผู้ย้ายมาอยู่เชียงรายและสนใจงานด้านการสื่อสาร ร่วมกับศิลปินรับเชิญ NANZI Nanzi Meechumna โดยใช้พื้นที่ของ OBOON Coffee House (อบอุ่นคอฟฟี่เฮาส์) เป็นพื้นที่ทดลอง

แก่นสารของงาน เป็นงานทดลองขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น บนชั้นสองของร้านกาแฟ ที่สำรวจ สภาวะจิตภายใน” ผ่านความสัมพันธ์บนโลกเสมือนอย่างโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะผลกระทบของมวลคอนเทนต์มหาศาลและวาทกรรมทางสังคมที่ก่อให้เกิดความคาดหวัง ความวิตกกังวล และการ นอยซ์” ภายในจิตใจ

  • งานทดลองกึ่ง Site-Specific: งานนี้เล่นกับตัวอักษร การจัดวาง และการมองผ่าน “ฟิลเตอร์” ซึ่งเชื่อมโยงตัวตนบนโลกเสมือนเข้ากับพื้นที่ทางกายภาพในร้านกาแฟ
  • การเชื่อมโยงบริบท: สะท้อนความสัมพันธ์ของการกระทำที่ก่อให้เกิด ความนอยซ์” ที่ส่งคลื่นแทรกซ้อนไปในบริบทภายนอก พร้อมกระตุ้นให้ผู้เข้าชมมองกลับเข้าสู่ภายในตัวเอง เพื่อสำรวจคุณค่าในตัวเองท่ามกลางการตัดสินและความคาดหวังทางสังคม

นิทรรศการ 𝗠𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗦𝗛𝗘 𝗔𝗡𝗗 𝗘𝗩𝗘𝗥𝗬𝗧𝗛𝗜𝗡𝗚 𝗪𝗘 นอยยยด์” จะจัดแสดงที่ OBOON Coffee House (ชั้นสอง) ตั้งแต่ 13 กันยายน ถึง 3 พฤศจิกายน 2568 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 08.00 – 17.00 น. โดยมีการเปิดตัวในวันที่ 13 กันยายน เวลา 16.30 น. ซึ่งภายในงานยังมี Hidden Bar ในนาม Mangos(on)teen เปิดทำการอีกด้วย

การเกิดขึ้นของนิทรรศการเช่นนี้ในพื้นที่ของคาเฟ่ เป็นการตอกย้ำว่าเชียงรายมีศักยภาพในการเป็น เมืองศิลปะคาเฟ่” ที่มีชีวิตชีวาด้วยตัวเอง การนำเสนอผลงานที่ลึกซึ้งและทันสมัยเช่นนี้ในพื้นที่ที่เข้าถึงง่ายอย่างร้านกาแฟ คือก้าวสำคัญที่จะทำให้เชียงรายไม่ต้องรอให้ใครมาจุดไฟ แต่สามารถสร้างแสงสว่างให้ตัวเองได้ตลอดปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“น้องกอดอุ่น” มาสคอตใหม่เชียงราย สื่อสาร Soft Power “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เชียงรายเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” ทูตการท่องเที่ยวใหม่ คราฟต์แบรนด์เมืองด้วยอารมณ์ “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานราก

เชียงราย,28 กันยายน 2568 – เวลา 15.30 น. บรรยากาศลาน Grand Hall ชั้น G ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เชียงราย คึกคักเป็นพิเศษ เมื่อ นายรุจติศักดิ์ รังสี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม “Gord-Aun Meet & Greet พบปะน้องกอดอุ่น” เปิดตัว น้องกอดอุ่น (Gord-Aun)” มาสคอตทูตการท่องเที่ยวตัวแทน “ภูเขาและเมฆหมอกที่โอบล้อมเชียงราย” เชื้อเชิญนักเดินทาง “มากอดเชียงราย” ผ่านพลัง Soft Power ที่สื่อสารด้วยอ้อมกอดและความอบอุ่นของผู้คนเมืองเหนือ

พิธีเปิดได้รับเกียรติจากผู้แทนภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายวิโรจน์ ชายา ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ดร.เอกภพ ช่างแก้ว รองประธานฯ และ นายโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย สะท้อน “ฉันทามติ” ของทุกภาคส่วนในการยกระดับแบรนด์จังหวัดอย่างเป็นระบบ

จุดเปลี่ยนจาก “ขายสถานที่” สู่ “ขายความรู้สึก” ด้วยทูตการท่องเที่ยว

สารหลักของ “น้องกอดอุ่น” คือการชวนผู้มาเยือน “รับอ้อมกอดจากธรรมชาติ”  ภาพจำของเชียงรายในฐานะ ดินแดนขุนเขาและสายหมอก ถูกถ่ายทอดเป็นบุคลิกของมาสคอตที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยงความทรงจำระหว่างการเดินทางกับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย การวางตำแหน่งในลักษณะนี้ถือเป็นการปรับยุทธศาสตร์จาก Place-centric สู่ Emotion-centric เปลี่ยนการสื่อสารจาก “มาเที่ยวที่ไหน” เป็น “มาเที่ยวแล้วรู้สึกอย่างไร” เพื่อให้แบรนด์เชียงราย “อยู่ในใจ” ยาวนานกว่าอยู่ในภาพถ่าย

ด้านนโยบายการสื่อสารสาธารณะ กิจกรรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อนำสื่อสร้างสรรค์มาขับเคลื่อนเป้าหมายสาธารณะในระดับพื้นที่ ทั้งการสร้างการรับรู้แบรนด์จังหวัด การกระจายกิจกรรมลงชุมชน และการเสริมรายได้แก่ประชาชนสอดรับพันธกิจของกองทุนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายเพื่อ “รณรงค์ ส่งเสริม และสนับสนุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” อย่างเป็นระบบ

นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ ในนามฝ่ายจัดกิจกรรมอธิบาย “โจทย์” ของงานชัดเจนว่า ต้องการ เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว ให้เชียงรายผ่านการประชาสัมพันธ์เชิงบูรณาการ พร้อมกระจายผลประโยชน์ลงสู่ฐานราก จุดยืนนี้ได้รับการเสริมแรงด้วยแนวคิดการตลาดเชิงประสบการณ์ (experiential marketing) ที่วางไลน์-อัปกิจกรรมให้ผู้ร่วมงาน “ได้ลงมือ” และ “ได้ของกลับบ้าน” จาก Workshop ของ Gord-Aun Art Studio ไปจนถึง ของที่ระลึก “ตุ๊กตาน้องกอดอุ่น” ซึ่งต่อยอดให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์รายย่อยควบคู่กัน

เวทีที่ออกแบบมาเพื่อเศรษฐกิจชุมชน กาแฟเชียงรายเป็นพระเอก

หนึ่งในภาพจำที่ชัดเจนของงานวันนี้ คือ โซนกาแฟเชียงราย ที่รวบรวมเครือข่าย Chiangrai Coffee Lovers (CCL) มากกว่า 40 ร้าน ล้อมวงเล่าเรื่องเส้นทางเมล็ดกาแฟจากผู้ปลูกสู่ถ้วย พร้อมเมนูซิกเนเจอร์เฉพาะกิจ ซึ่งไม่เพียงสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์รสชาติ” ให้แบรนด์จังหวัดทิ้งรสชาติติดปากผู้มาเยือนในเชิงสัญลักษณ์กาแฟดี = การต้อนรับดี = อ้อมกอดที่จริงใจของเชียงราย เครือข่าย CCL เองมีฐานกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่และสื่อสังคม ทำให้การระดมพลังครั้งนี้มีแรงส่งไปไกลกว่างานวันเดียว

วงดนตรีและการแสดงร่วมสมัยสลับกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา เติมความสนุกและความหมายให้พื้นที่สาธารณะ ขณะเดียวกัน มินิคอนเสิร์ตจาก “ทิกเกอร์ อชิระ” ทำหน้าที่เป็น “แม่เหล็ก” ช่วยเพิ่มทราฟฟิกคนเมืองและนักท่องเที่ยวเข้าโซนกิจกรรมผลักให้ยอดขายรายย่อยของผู้ประกอบการในงาน “ขยับขึ้น” ควบคู่การรับรู้แบรนด์

พลังเครือข่าย รัฐ เอกชน สื่อคนละมือ แต่เป้าหมายเดียวกัน

การเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” มี “สมการสามเหลี่ยม” ที่เดินไปด้วยกันอย่างลงตัว
มุมแรก คือ รัฐและท้องถิ่น นำโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด ทำหน้าที่ “รับรองนโยบาย” และเป็น “เจ้าภาพความน่าเชื่อถือ” ให้แบรนด์ใหม่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
มุมที่สอง คือ เครือข่ายผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย และ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ที่ทำงานระยะยาวกับผู้ให้บริการท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร บริษัททัวร์ ซึ่งมีทุนทางสังคมและช่องทางตลาดของตนเอง
มุมสุดท้าย คือ สื่อและครีเอเตอร์ท้องถิ่น ตั้งแต่นักข่าว ช่างภาพ เพจเมือง ไปจนถึงสตูดิโอศิลปะที่ช่วยตัดต่อ เติมคอนเทนต์ให้ “น้องกอดอุ่น” กลายเป็นเรื่องเล่าที่ผู้คนอยากแชร์

นายรุจติศักดิ์ รังสี ระบุในเวทีกล่าวเปิดว่า นี่ไม่ใช่แค่งานเปิดตัวมาสคอต แต่เป็น “แพลตฟอร์ม” ที่จะยึดโยงกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงชุมชนเข้ากับแบรนด์จังหวัดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีซึ่งเชียงรายมีจุดแข็งด้านภูมิอากาศและภูมิประเทศ

กอด” ให้เป็นระบบ จากกิจกรรมวันเดียว สู่กรอบทำงานตลอดปี

เพื่อไม่ให้พลังของเวทีนี้จบลงที่ภาพถ่าย กรอบทำงานหลังงานเปิดตัวจึงสำคัญไม่แพ้กัน ทีมภาคีร่วมงานได้สรุป “แนวทางต่อยอด” เบื้องต้นไว้ 4 แกน ได้แก่

  1. ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส จับมือกับศูนย์การค้า/แลนด์มาร์กหลัก ผลัก “Gord-Aun Pop-up” แทรกในเทศกาลเมือง เช่น สวนดอกไม้ บูชาพญานาค ปั่นชมชุมชน สร้างการพบปะมาสคอตอย่างสม่ำเสมอ
  2. Loyalty & Collectibles ขยายไลน์ของที่ระลึก “น้องกอดอุ่น” ร่วมกับแบรนด์ท้องถิ่น ตั้งกติกาสะสมตราปั๊ม/สติ๊กเกอร์จากร้านภาคี เพื่อแลกของพิเศษ กระตุ้น repeat visit
  3. Gord-Aun for Good ให้มาสคอตเป็น “ทูตงานสังคม” เช่น แคมเปญ ท่องเที่ยวปลอดภัย–สื่อปลอดภัย รณรงค์การท่องเที่ยวเคารพชุมชนและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องพันธกิจของกองทุนสื่อ
  4. Route การท่องเที่ยวรสกาแฟ พัฒนาเส้นทาง “Chiang Rai Coffee Journey by CCL” แบบทำจริงจัง ร้อยจุดชิม–ชมโรงคั่ว–พบชุมชนปลูกกาแฟ สร้างแพ็กเกจร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว

ทำไม “เซ็นทรัล เชียงราย” คือเวทีที่ใช่

การเลือก เซ็นทรัล เชียงราย เป็นสถานที่เปิดตัว ไม่ได้สะท้อนแค่ความสะดวกด้านโลจิสติกส์และระบบเสียง-แสง แต่คือการตั้ง “จุดรับรู้” กลางเมืองให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวพบมาสคอตได้จริง ศูนย์การค้าดังกล่าวมีพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่และที่จอดรถรองรับการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการพัฒนา “มุมถ่ายรูปถาวร” ของน้องกอดอุ่น ตลอดจนการหมุนเวียนกิจกรรมสร้างสรรค์รายเดือน

เล่าเชียงรายให้ “นุ่ม-แน่น” ผ่านตัวเลขที่ชวนคิด

แม้ข่าววันนี้จะเป็น “ก้าวแรก” ของน้องกอดอุ่น แต่ “โจทย์ใหญ่” ที่จังหวัดต้องการตอบคือ ทำอย่างไรให้แบรนด์จังหวัดไปไกลกว่าวิวสวย กาแฟเชียงรายเป็นตัวอย่างของ “สินค้าเชิงคุณค่า” ที่เพิ่มอำนาจต่อรองราคาให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย หากมาสคอตสามารถเชื่อม เส้นเรื่องกาแฟ–งานศิลป์–ชุมชน เข้าด้วยกันได้อย่างสม่ำเสมอ ผลที่ได้จะกว้างกว่า “ความน่ารัก” และเข้าใกล้คำว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จับต้องได้

ในทางกลับกัน การรักษามาตรฐาน “ประสบการณ์ผู้มาเยือน” คือจุดคานงัดของแบรนด์ หากผู้มาเยือนได้เจอทั้ง การต้อนรับที่จริงใจ ร้านกาแฟดี ระบบขนส่งท้องถิ่นที่เป็นมิตร และปฏิทินกิจกรรมที่ไม่สะดุด พวกเขาจะแชร์ “อ้อมกอดเชียงราย” ต่อไปโดยสมัครใจนั่นคือ สื่อ Earned Media ต้นทุนต่ำแต่ทรงพลังที่สุด

เสียงจากภาคี คำมั่นสัญญาสู่ฤดูท่องเที่ยว

  • เครือข่าย CCL ยืนยันเดินหน้าจัด กิจกรรมกาแฟรายไตรมาส เชื่อมโยงแหล่งปลูกกับเมือง เพื่อเล่าเรื่องชุมชนและต้นทางเมล็ดเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณค่าให้ “แก้วกาแฟเชียงราย” ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มแต่คือเรื่องเล่ากับผู้คนจริง ๆ
  • ภาคเอกชนท่องเที่ยว ผ่านสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด เชื่อมผู้ประกอบการที่พัก–ทัวร์–ร้านอาหาร เป็น “พันธมิตรแบรนด์” เพื่อจัด แพ็กเกจ “กอดเชียงราย” เจาะครอบครัว คู่รัก และกลุ่มทำงานไฮบริดที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศซึ่งเป็นแม่เหล็กช่วงไฮซีซันปลายปี
  • หน่วยงานรัฐและกองทุนสื่อ จะคงบทบาทกำกับทิศทางการสื่อสารสาธารณะและความปลอดภัยของสื่อในกิจกรรมต่อเนื่อง ให้ทุกชิ้นงาน “สร้างสรรค์-รับผิดชอบ-เข้าถึงได้” เพื่อให้แบรนด์จังหวัดเติบโตคู่ความไว้วางใจ

ทำอย่างไรให้น้องกอดอุ่น “อยู่ยาว” ไม่ใช่กระแส

บทเรียนจากหลายจังหวัดชี้ว่า มาสคอตจะ “อยู่ยาว” ได้ต้องประกอบด้วย 3 เงื่อนไข
หนึ่ง มี เจ้าภาพชัดเจน ทั้งเชิงทรัพย์สินทางปัญญาและกำกับใช้แบรนด์
สอง มี โรดแมปกิจกรรม ที่ต่อยอดได้จริงพิพิธภัณฑ์ชุมชนขนาดย่อม จุดถ่ายรูปถาวร เส้นทางวิ่ง–ปั่น–เดิน ที่หยิบมาสคอตไปวางเรื่องเล่า
สาม มี ตัวชี้วัด ที่มากกว่า “ยอดไลก์” เช่น รายได้ผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าร่วม กิจกรรมชุมชนที่เกิดใหม่ หรือจำนวน “แพ็กเกจท่องเที่ยว” ภายใต้แบรนด์

เชียงรายมี “ทุน” สำหรับทั้งสามข้อแล้วตั้งแต่ เครือข่ายผู้ประกอบการ ที่ขยับงานจริง ศูนย์การค้าหลัก ที่พร้อมเป็นเวที คอมมูนิตี้กาแฟ ที่มีพลัง และ เครื่องมือสื่อสาธารณะ จากกองทุนสื่อหากทุกมือยังประสานกันต่อเนื่อง “กอดเชียงราย” จะไม่ใช่แค่คำขวัญ แต่เป็น ประสบการณ์ร่วม ที่วัดผลได้

ฉากสุดท้ายของวันนี้และฉากเปิดของฤดูกาลใหม่

เมื่อเพลงสุดท้ายของมินิคอนเสิร์ตจบ สปอตไลต์ที่ลาน Grand Hall ค่อย ๆ ดับลง แต่แสงแฟลชจากโทรศัพท์ของครอบครัวหนึ่งยังไม่หยุด พวกเขาถ่ายภาพกับ “น้องกอดอุ่น” ก่อนที่ลูกชายตัวเล็กจะยื่นมือออกไป “กอด” มาสคอตอีกครั้ง ภาพง่าย ๆ นี้อธิบายสารของทั้งงานได้ครบ เชียงรายอยากให้คุณมากอด และพร้อมกอดตอบ ตั้งแต่ผู้คน สภาพแวดล้อม ไปจนถึงเศรษฐกิจชุมชน

ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง หากจังหวัดและภาคีผลักปฏิทินกิจกรรมต่อจากวันนี้ให้ออกสตาร์ทได้ทัน น้องกอดอุ่น จะกลายเป็นหน้าแรกของฤดูกาลท่องเที่ยวเชียงรายปีนี้ ไม่ใช่แค่ “ไอคอน” บนโปสเตอร์ แต่เป็น ตัวละครเอก ในเรื่องเล่าที่ทุกคนมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (Thai Media Fund)
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CCL)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

Netflix ทุ่ม 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยสู่ “ฮับคอนเทนต์โลก” ดึง Soft Power สู่สากล

Netflix ทุ่มสุดตัว! อัดฉีดงบฯ กว่า 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยสู่ “ฮับคอนเทนต์โลก” ดึง Soft Power สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จระดับสากล

ประเทศไทย, 21 สิงหาคม 2568 – โอกาส–ตัวเลข–โจทย์ที่ต้องแก้ ปรากฏการณ์ “เงินไหลเข้า” ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์ในไทยกำลังเกิดขึ้นจริงและชัดขึ้นทุกปี ทั้งจากแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกอย่าง Netflix ที่เดินหน้าลงทุนระยะยาวในไทย และจากกองถ่ายต่างชาติที่เลือกประเทศไทยเป็นโลเกชันหลักของงานระดับเรือธง (flagship) ผลลัพธ์เบื้องต้นวัดได้ด้วยตัวเลข: รายได้จากกองถ่ายต่างชาติปีล่าสุดแตะหลายพันล้านบาทต่อปี ขณะที่ฝั่งคอนเทนต์ไทยบนแพลตฟอร์มโลกทำสถิติชั่วโมงรับชมรวมระดับหลายร้อยล้านชั่วโมง คำถามสำคัญมีสองชั้น—เราพร้อมแค่ไหนจะเป็น “ฮับการผลิตคอนเทนต์” ของภูมิภาค และจะต่อยอด Soft Power ให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างไร

รายงานนี้พาไล่เรียงตั้งแต่ “เงินลงทุน” ของแพลตฟอร์ม, “อุปสงค์” จากกองถ่ายต่างชาติ, ไปจนถึง “นโยบาย” ที่กำลังเติมเชื้อไฟให้ระบบนิเวศคอนเทนต์ไทย พร้อมชวนคิดด้วยตัวเลขจริงและประเด็นที่ต้องจับตา—เพื่อให้ผู้อ่านใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงงานและธุรกิจอย่างมั่นใจ

จากริมกกสู่จอโลก เมื่อเรื่องเล่าไทยกลายเป็นสินทรัพย์ระดับภูมิภาค

บ่ายแก่ๆ ในเชียงราย ร้านกาแฟอาร์ตๆ ริมแม่น้ำกกเปิดจอทีวีฉายซีรีส์ไทยที่ติดอันดับใน Netflix ผู้คนต่างถกกันถึงงานโปรดักชันที่ยกระดับอย่างชัดเจน—นี่ไม่ใช่เพียง “กระแส” แต่สะท้อนการลงทุนต่อเนื่องของแพลตฟอร์มระดับโลกใน “คนทำงานไทย” และ “เรื่องเล่าแบบไทย” ที่กำลังไปได้สวยในตลาดสากล

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา สื่อธุรกิจในไทยและต่างประเทศรายงานสอดคล้องกันว่า Netflix ลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.5 พันล้านบาท) เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ไทย สร้างโอกาสงานและทักษะใหม่ๆ ให้ทีมโปรดักชันรุ่นใหม่ รวมทั้งยกระดับระบบนิเวศให้แข็งแรงขึ้นโดยรวม ตัวเลขจากรายงานฉบับเดียวกันยังชี้ว่ามีออริจินัลคอนเทนต์ไทยกว่า 15 เรื่องที่เคยติดชาร์ต Global Top 10 (คอนเทนต์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) และภาพรวมชั่วโมงรับชมคอนเทนต์ไทยในแพลตฟอร์มแตะราว 750 ล้านชั่วโมง นับเป็น “หลักฐานเชิงอุปสงค์” ว่าผู้ชมทั่วโลกพร้อมเปิดใจให้กับความเป็นไทยในรูปแบบร่วมสมัยและสากลมากขึ้นเรื่อยๆ

ในเชิงพอร์ตโฟลิโอ Netflix เดินเกมสองทางคู่ขนาน—สร้างออริจินัลไทย (เช่น “Master of the House” ที่ปล่อยในปี 2567) ควบคู่กับการขยายฐานเรื่องเล่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในฐานผลิตสำคัญของภูมิภาค โดยบทเรียนความสำเร็จจากเกาหลีใต้กลายเป็น “พิมพ์เขียว” ที่ชี้ว่าการลงทุนระยะยาวด้านคน–มาตรฐาน–การตลาดคือสามเสาหลักของความยั่งยืน

โลเกชันไทย “ฮอต” ต่อเนื่อง จาก The White Lotus ถึง Alien และ Jurassic World

ขณะเดียวกัน “แรงดึงดูดโลเกชันไทย” ก็พุ่งแรง—ไม่ใช่เฉพาะงานระดับเอเชีย แต่คือซีรีส์–ภาพยนตร์เรือธงของสตูดิโอฮอลลีวูดที่เลือกไทยเป็นฉากสำคัญ

  • The White Lotus ซีซัน 3 ของ HBO Max ยืนยันถ่ายทำในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี 2567 นำร่องด้วยโลเกชันภาคใต้และภาคกลาง เป็นการตอกย้ำไทยในฐานะเวทีของซีรีส์รางวัลเอ็มมีที่มีฐานผู้ชมระดับโลก.
  • Alien (FX/Disney) เริ่มถ่ายทำในไทยและเป็นโปรดักชันไซไฟ–สยองขวัญฟอร์มใหญ่ที่เลือกไทยด้วยเหตุผลด้านทีมงาน–โลเกชัน–ค่าใช้จ่ายที่แข่งขันได้.
  • Jurassic World (ภาคใหม่) อยู่ในลิสต์โปรเจ็กต์ที่รัฐบาลไทยใช้มาตรการ cash rebate ดึงเข้ามา เป็นงานระดับ “แม่เหล็ก” ที่ช่วยยกเพดานความเชื่อมั่นต่อสารพัดบริการโปรดักชันในประเทศ.

แรงสะเทือนเชิงบวกถัดมาคือ “ตัวเลขจริง” จากกองถ่ายต่างชาติ กรมการท่องเที่ยว (ผ่านกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ: TFO) ระบุว่าในปีที่ผ่านมา ไทยรองรับโปรเจ็กต์ถ่ายทำต่างชาติหลายร้อยเรื่อง รวมเม็ดเงินใช้จ่ายในประเทศระดับหลายพันล้านบาทต่อปี—สะท้อนทั้งศักยภาพซัพพลายเชน (โลเกชัน–สตูดิโอ–อุปกรณ์–ทีมงาน) และประสิทธิผลของมาตรการจูงใจที่ปรับให้ “ทันเกม” คู่แข่งในภูมิภาค

เงินอุดหนุน–มาตรการจูงใจฟันเฟืองที่ทำให้ “ดีลใหญ่” เกิดขึ้นได้จริง

หัวใจหนึ่งของ “เกมแย่งชิงกองถ่าย” ระหว่างประเทศคือ “ความแน่นอน” เชิงนโยบาย ไทยเดินหน้าโครงการคืนเงินสนับสนุน (cash rebate) ให้โปรดักชันต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำและใช้ทีมงาน–บริการในประเทศตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยล่าสุดมีการขออนุมัติงบสนับสนุนเพิ่มเติมราว 845 ล้านบาท เพื่อรองรับโปรเจ็กต์เรือธง 7 เรื่อง มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 4,500 ล้านบาท—นี่คือสัญญาณว่าตลาด “ต้องการไทย” และไทยกำลังก้าวให้ทันดีมานด์จริง.

ด้านสถิติภาพรวม กรมการท่องเที่ยวเปิดเผยว่าการถ่ายทำต่างชาติสร้างรายได้ 6.6 พันล้านบาท ในปี 2566 จาก 466 โปรเจ็กต์ ที่เข้ามาถ่ายทำทั่วประเทศ—ตัวเลขเชิงโครงสร้างเช่นนี้ช่วยตอบโจทย์ทั้ง “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” และ “ท่องเที่ยวจากหนัง–ซีรีส์” (screen tourism) ที่พร้อมต่อยอดสู่ธุรกิจบริการท้องถิ่น

Soft Power เป็นวาระแห่งชาติ กรอบคิด–เป้าหมาย–ความคาดหวัง

นโยบาย Soft Power ของรัฐบาลถูกยกระดับเป็น “ยุทธศาสตร์ประเทศ” ผ่านคณะกรรมการนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ โดยมีการประกาศเป้าหมายเชิงเศรษฐกิจที่ทะเยอทะยาน ทั้งรายได้รวมจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับ 4 ล้านล้านบาท และ การจ้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง ในระยะยาว—แม้ตัวเลขดังกล่าวเป็น “ภาพใหญ่ในเชิงเป้า” แต่ก็สะท้อนความตั้งใจของภาครัฐที่จะใช้วัฒนธรรม–คอนเทนต์–ท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของเศรษฐกิจไทย.

เมื่อวางร่วมกับ “เม็ดเงินจริง” ของ Netflix และ “เม็ดเงินใช้จ่ายจริง” จากกองถ่ายต่างชาติ ภาพรวมจึงไม่ใช่เพียงการ “ปั้นไวรัลชั่วคราว” แต่คือการยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ตั้งแต่ทักษะบุคลากร, โครงสร้างพื้นฐานโปรดักชัน, ระบบสิทธิประโยชน์ ไปจนถึงกติกาที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยโตได้ในตลาดโลก

สิ่งที่ตัวเลขบอกเราตัวอย่างผลกระทบที่วัดได้และวัดยาก

  1. ผลกระทบตรง (Direct Impact):
    • การจ้างงานทีมโปรดักชัน–หลังการถ่ายทำ (post-production)–ซัพพลายเออร์อุปกรณ์–สตูดิโอ–รถแสงเสียง–อีเวนต์
    • เม็ดเงินจ่ายตรงในชุมชนโลเกชัน (อาหารถ่ายทำ, ที่พัก, เดินทาง, ค่าบริการท้องถิ่น)
  2. ผลกระทบต่อเนื่อง (Indirect/Induced):
    • Screen Tourism: โลเกชันที่ปรากฏในซีรีส์/หนังระดับโลกถูก “ปักหมุด” เป็นจุดหมายใหม่—ตั้งแต่ที่พัก, ร้านอาหาร, ไปจนถึงชุมชนวัฒนธรรม (จังหวัดปลายทางยิ่งได้ประโยชน์)
    • แบรนด์ประเทศไทย (Country Brand): ภาพลักษณ์มืออาชีพด้านโปรดักชัน สะอาด ปลอดภัย มีทีมงานฝีมือดี และค่าใช้จ่ายแข่งขันได้—ล้วนต่อยอดดีลใหม่ได้รวดเร็ว
  3. ทุนมนุษย์ (Human Capital):
    • โปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ช่วย “อัพสกิล” ทีมงานไทย ผ่านการทำงานร่วมกับหัวหน้าทีม (head of departments) ระดับนานาชาติ—ตั้งแต่มาตรฐานเซฟตี้, เวิร์กโฟลว์, ไปจนถึงเทคโนโลยีงานกล้อง/เสียง/แสง และ VFX
  4. โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure):
    • ความต้องการสตูดิโอ, เวทีถ่ายทำ, โรงงานพร็อพ, บริษัทโพสต์, และโครงสร้างดิจิทัล (รวมถึงดาต้าเซ็นเตอร์–ระบบเก็บข้อมูลดิจิทัลสำหรับเวิร์กโฟลว์สมัยใหม่) จะกดดันให้เกิดการลงทุนใหม่ต่อเนื่อง—ยิ่งไทยตั้งเป้าฐานผลิตระดับภูมิภาค ยิ่งต้องเร่งเติม “ชั้นลึก” ของซัพพลายเชนให้ครบวงจร

จะ “ล็อกอิน” ไทยให้เป็นฮับอย่างยั่งยืนได้อย่างไร

ทำให้กติกา “เสถียรและแข่งขันได้” ผู้เล่นโลกมองหา “ความแน่นอน” ไทยต้องคงความต่อเนื่องของมาตรการ cash rebate และยกระดับให้เป็นแพ็กเกจ One-Stop (ตั้งแต่ใบอนุญาตจนถึงภาษี) ที่ลดความยุ่งยากของโปรดักชันขนาดใหญ่ โดยไม่ลดทอนมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม ปั้นคน–ปั้นทักษะ–ปั้นมาตรฐาน งบพัฒนาทักษะควรถูกกระจายสู่หัวเมืองโปรดักชันที่กำลังโต (เชียงใหม่–เชียงราย–ภูเก็ต–พังงา–กทม.) พร้อมแผนสร้าง “พอร์ตโฟลิโอ” ให้สถาบันการศึกษาร่วมมือสตูดิโอและกิลด์อาชีพ (เช่น ผู้ช่วยผู้กำกับ, ผู้จัดกอง, ช่างไฟ, ช่างกล้อง, กราฟิก/โพสต์) ให้มีเส้นทางอาชีพชัดเจน

เชื่อม Soft Power กับชุมชน เมื่อโลเกชันถูกปักหมุด สิ่งที่ชุมชนได้มากกว่ารายได้ระยะสั้น คือโอกาสต่อยอดงานฝีมือ–อาหาร–วัฒนธรรมท้องถิ่นให้เป็นสินค้า–บริการที่เล่า “เรื่อง” ได้จริง การทำงานเชิงพันธมิตรระหว่าง อปท.–ททท.–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–ผู้ผลิตคอนเทนต์ จึงจำเป็น วัฒนธรรม–ความหลากหลาย–ความปลอดภัย
ความแข็งแรงของความหลากหลายทางวัฒนธรรมไทยคือ “จุดขาย” ที่โลกต้องการ—but ต้องมาพร้อมกรอบคุ้มครองแรงงานกองถ่าย, ความปลอดภัย, การเคารพชุมชน, และมาตรการสิ่งแวดล้อมที่จริงจัง เพื่อให้การเติบโต “ยั่งยืนจริง” ไม่ใช่เพียง “เร็วชั่วคราว”

 

มุมมองผู้เล่นโลก ไทย “สอบผ่าน” และกำลังถูกจับตา ฝั่งแพลตฟอร์ม สัญญาณลงทุนระยะยาวของ Netflix ในไทย—ตั้งแต่ออริจินัลไทย, การทำงานกับผู้กำกับ–สตูดิโอท้องถิ่น, ไปจนถึงการผลักดันเรื่องเล่าใหม่—สะท้อน “ระดับความเชื่อมั่น” ต่อศักยภาพทีมงานไทยและพลัง Soft Power ไทยในตลาดโลก ขณะเดียวกัน การที่โปรดักชันฮอลลีวูดเรือธงเลือกถ่ายทำในไทยต่อเนื่อง ก็เสมือนการ “รับรอง” ว่าโลเกชันและซัพพลายเชนไทยตอบโจทย์คุณภาพ–ต้นทุน–ความพร้อมของงานระดับท็อปได้จริง

ไม่ใช่แค่เงิน แต่คือ “ระบบนิเวศ” ที่ต้องสร้างครบ

คำโปรยในวันนี้—“Netflix ทุ่มกว่า 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยเป็นฮับคอนเทนต์”—จะเป็น “เรื่องเล่าความสำเร็จ” ที่ยืนระยะได้ ก็ต่อเมื่อเราทำสามเรื่องให้สำเร็จพร้อมกัน (1) นโยบายที่เสถียร–แข่งขันได้, (2) คน–มาตรฐาน–ทักษะที่ก้าวทันเทคโนโลยี, และ (3) การเชื่อม Soft Power กับเศรษฐกิจฐานชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม หากทำได้ ไทยไม่เพียงเป็นโลเกชันสวย แต่จะเป็น “ฐานผลิตคอนเทนต์คุณภาพ” ที่เลี้ยงตัวเองได้และเลี้ยงประเทศได้ในระยะยาว

ประโยคชวนคิด: ถ้า 1 โปรเจ็กต์เรือธงสร้างการจ้างงานหลักพันตำแหน่งตลอดห่วงโซ่ แล้วถ้าไทยดึงงานระดับนี้ได้เดือนละ 1 โปรเจ็กต์ต่อเนื่องทั้งปี—เรากำลังพูดถึง “แรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ” ขนาดไหน?

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายเปิด “มหกรรม Homecoming” จุดประกายเยาวชน ปูทางตั้ง “NEW TCDC เชียงราย”

อบจ.เชียงรายเปิด “มหกรรม Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” จุดประกายเยาวชนแดนโขง พร้อมปูทางตั้ง “NEW TCDC เชียงราย” ยกระดับเมืองสร้างสรรค์

เชียงราย, 16 สิงหาคม 2568 – เช้าวันเสาร์ริมโขงที่อำเภอเชียงของมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ ลานกิจกรรมของโรงเรียนอนุบาลเชียงของคึกคักด้วยสีสันและเสียงดนตรี เด็กๆ ซ้อมท่าเต้น ขณะทีมครัวพื้นถิ่นขยับครกตำเครื่องลาบอย่างพร้อมเพรียง “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงงานสนุกสุดสัปดาห์ หากเป็นเวทีทดสอบพลังความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนชายแดน และเป็น “สะพานนโยบาย” ไปสู่การจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบรูปแบบใหม่ NEW TCDC เชียงราย ที่กำลังจ่อคิวเกิดขึ้นจริงในจังหวัดนี้ตามกรอบการขยายเครือข่ายของ CEA (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์) ซึ่งประกาศคัดเลือก 10 จังหวัดตั้งแต่ปี 2567–2568 รวมถึงเชียงรายด้วยโดยตรง

ทำไม “งานเยาวชน 1 วัน” จึงสำคัญต่อภูมิทัศน์สร้างสรรค์ทั้งจังหวัด

หนึ่ง งานนี้ย้าย “เวที” ออกนอกเมืองไปยัง เชียงของ เมืองชายแดนที่ไกลศูนย์กลาง แต่ล้อมด้วยทุนทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ นั่นทำให้เด็กนอกตัวเมืองเข้าถึงพื้นที่ปล่อยของได้จริง สอง กิจกรรมออกแบบให้ “บันเทิง + เรียนรู้” ไปพร้อมกัน เช่น Cover Dance และ ลาบหมูลีลา ที่แทรกศาสตร์พื้นถิ่นกับศิลปะร่วมสมัย เด็กจึงฝึกทำงานเป็นทีม ฝึกนำเสนอ และฝึกสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อผู้ชม สาม งานนี้เชื่อมตรง “เวทีชั่วคราว” กับ “โครงสร้างถาวร” คือ NEW TCDC ที่ CEA ขับเคลื่อนในระดับประเทศ—หากโครงสร้างนี้ตั้งในเชียงรายจริง ชุดประสบการณ์จากงานเยาวชนจะไหลต่อไปเป็นผู้ใช้พื้นที่ประจำในอนาคต ไม่ใช่เพียงความทรงจำหนึ่งวัน

เปิดฉากเชียงของ เวทีกลางแจ้งที่เยาวชนได้เป็น “ตัวจริง”

พิธีเปิด จัดขึ้นที่โรงเรียนอนุบาลเชียงของ โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ประธาน กล่าวต้อนรับและให้กำลังใจเยาวชนจากพื้นที่โซนชายแดนโขง พร้อมตัวแทนท้องถิ่นและครูอาจารย์เข้าร่วมอย่างคับคั่ง บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยพลังบวก เด็กๆ จากหลายอำเภอมารวมตัวกันเพื่อ “ปล่อยของ” บนเวทีเดียวกันและแลกเปลี่ยนกันแบบข้ามโรงเรียน ข้ามชุมชน กิจกรรมไฮไลต์ของงานมีทั้งเวที แข่งขัน Cover Dance ที่จัดระบบประกวดจริงจัง และกิจกรรม ลาบหมูลีลา ที่ผสานการครัวพื้นบ้านกับโชว์สเตจอย่างเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจน บูธเวิร์กช็อป และ นิทรรศการผลงานเยาวชน ที่เล่าความภูมิใจในท้องถิ่นด้วยภาษาของคนรุ่นใหม่ ข้อมูลกำหนดการและคำเชิญชวนถูกสื่อสารโดยเพจศูนย์เยาวชน อบจ. มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม จนถึงถ่ายทอดสดหน้างานในวันจริง

สิ่งที่เห็นชัด คือ การจัดระบบ “พื้นที่ปลอดภัย” ให้เด็กได้ลอง-พลาด-เรียนรู้บนเวทีจริง มีทีมครู โค้ช และเจ้าหน้าที่คอยกำกับดูแลทั้งหลังบ้านและหน้าเวที จุดรับสมัครและเอกสารประจำทีมถูกทำเป็นระบบตั้งแต่ก่อนวันงาน ซึ่งสะท้อนวิธีคิดแบบ “ศูนย์เยาวชนมืออาชีพ” ที่เพจของศูนย์เยาวชน อบจ. เชียงราย สื่อสารมาต่อเนื่องในหลายโซนก่อนถึงคิวเชียงของ

จากลานโรงเรียนสู่ “สถาปัตยกรรมความคิด” ทางด่วนเชื่อมสู่ NEW TCDC เชียงราย

เบื้องหลังงานเยาวชนครั้งนี้ไม่ใช่กิจกรรมโดดๆ หากเชื่อมกับ “ภาพใหญ่” ของนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับประเทศอย่างแนบแน่น CEA ประกาศเดินหน้าโครงการ NEW TCDC เพื่อกระจายศูนย์เรียนรู้-ทดลอง-สร้างเครือข่ายสู่ 10 จังหวัด โดยสื่อกระแสหลักยืนยันรายชื่อที่คัดเลือก รวมเชียงราย หรือ “เมืองศิลปะบนสายน้ำโขง” ไว้ชัดเจน ขณะที่ Bangkok Post และ Nation Thailand รายงานไปในทิศทางเดียวกันตั้งแต่กลางปี 2567 ว่า NEW TCDC จะเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ไทย ผ่านการอัปสกิล–รีสกิลคนท้องถิ่นและย่านสร้างสรรค์ในภูมิภาค

ยิ่งไปกว่านั้น เว็บไซต์ทางการของโครงการ NEW TCDC ยังแสดง “การเตรียมตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเชียงราย” โดยระบุชัดถึงหน่วยงานพาร์ตเนอร์ในจังหวัด (อบจ.เชียงราย) ควบคู่กับจังหวัดเพื่อนบ้านในภาคเหนือ ซึ่งสะท้อนสถาปัตยกรรมความร่วมมือแบบ เครือข่ายจังหวัด ไม่ใช่เกาะเดี่ยวของเมืองใหญ่เพียงแห่งเดียว

ออกแบบเพื่อทุกคน” คอนเซ็ปต์ TCDC เชียงรายตามแบบ CEA

ข้อมูลเชิงแนวคิดจาก CEA เปิดเผยภาพฝันของ “TCDC เชียงราย” ไว้อย่างน่าสนใจ พื้นที่จะตั้งอยู่บริเวณ หน้าศาลากลางหลังเก่า (ใจกลางเมืองที่คนคุ้น) ทีมสถาปนิกเสนอให้ศูนย์เป็น “Creative Space for All” โดยตั้งใจเชื่อมพื้นที่อาคารกับ ลานกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อดึงคนหลากวัยเข้าใช้จริง ไม่ใช่พื้นที่จัดแสดงเฉพาะกิจ คอนเซ็ปต์ดังกล่าวสอดรับวิธีจัดงานเยาวชนที่เชียงของในวันนี้ ซึ่งใช้สนามโล่งเป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ให้เด็กได้ทดลองโชว์และสร้างงานร่วมกับชุมชนตั้งแต่ต้นทาง

มหกรรม 1 วัน…ที่วางรางวิ่งให้ “ระบบนิเวศสร้างสรรค์” ทั้งจังหวัด

เชื่อมชุมชน–โรงเรียน–ท้องถิ่น: งานนี้ผลักดันการทำงานเป็นเครือข่าย ทุกฝ่าย “มีบท” ทั้งหน่วยงานท้องถิ่น โรงเรียน กลุ่มผู้ปกครอง และเอกชนในพื้นที่ เด็กเห็นภาพโครงสร้างสนับสนุนครบวงจร ไม่ใช่เวทีที่มาแล้วก็จบ

เชื่อม “ออฟไลน์” เข้ากับ “ออนไลน์” การสื่อสารและรับสมัครผ่านเพจศูนย์เยาวชน ทำให้เด็กต่างอำเภอรับรู้ได้ไว มีการปล่อยคลิปและไลฟ์เพื่อกระตุ้นชุมชนให้เข้ามีส่วนร่วมต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนงานจนถึงวันจริง ซึ่งคือทักษะสื่อสารร่วมสมัยที่เด็กยุคนี้ต้องใช้ในการพัฒนางานสร้างสรรค์ของตนเอง

เชื่อม “กิจกรรม” กับ “โครงสร้างถาวร”: จุดหมายปลายทางคือให้เด็กวันนี้เติบโตเป็น ผู้ใช้พื้นที่ TCDC วันพรุ่งนี้ เมื่อศูนย์ฯ เปิดใช้งาน พวกเขาจะกลับมาในฐานะผู้จัดนิทรรศการ นักออกแบบ นักทำคอนเทนต์ หรือผู้ประกอบการตัวเล็กที่ใช้ศูนย์เป็นห้องทดลองทางธุรกิจ สิ่งนี้ทำให้การลงทุนด้านโครงสร้างมี “เจ้าของร่วม” ตั้งแต่วัยเรียน

ตัวเลข–ไทม์ไลน์ที่ต้องรู้ จากนโยบายส่วนกลางสู่การขับเคลื่อน ณ พรมแดนโขง

  • 10 จังหวัด ที่ CEA คัดเลือกให้เป็น NEW TCDC เพื่อจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์รูปแบบใหม่ กระจายจุดเรียนรู้และเครือข่ายในภูมิภาค มี เชียงราย อยู่ในรายชื่อร่วมกับนครราชสีมา แพร่ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ปัตตานี และภูเก็ต สื่อหลักรายงานสอดคล้องกันในกลางปี 2567
  • สถานะเชียงราย: เว็บไซต์โครงการ NEW TCDC แสดงสถานะ “จังหวัดคู่พัฒนา” และระบุพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นอย่าง อบจ.เชียงราย ชี้แนวโน้มความคืบหน้าจริง ไม่ใช่เพียงแนวคิดบนกระดาษ
  • ดีไซน์คอนเซ็ปต์เชียงราย: CEA เผยแนวคิดสถาปัตยกรรมที่ยึดหัวใจ “Creative Space for All” บริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่า เน้นเชื่อมพื้นที่ใน–นอกอาคารให้เป็น ลานสร้างสรรค์ของทุกคน
  • ฐานกิจกรรมเยาวชนในพื้นที่: เพจศูนย์เยาวชน อบจ. เชียงราย โพสต์กำหนดการ–เปิดรับสมัคร–ไลฟ์สด และภาพบรรยากาศงาน Homecoming โซน 4 วันที่ 16 ส.ค. 2568 ที่ โรงเรียนอนุบาลเชียงของ เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าพื้นที่กิจกรรมเยาวชนกำลังถูกสร้าง “อย่างสม่ำเสมอ” ไม่ใช่ไฟไหม้ฟาง

ความท้าทายที่ต้องมองตรง จาก “เวทีเดียว” สู่ “ระบบนิเวศที่ยั่งยืน”

หนึ่ง งบประมาณ–บุคลากร: ศูนย์ถาวรต้องการทีมคิวเรเตอร์ ครูเวิร์กช็อป และผู้จัดการพื้นที่ที่เข้าใจทั้งเด็กและธุรกิจสร้างสรรค์ การปลูกคนควบคู่กับปลูกอาคารจึงจำเป็น เพื่อไม่ให้พื้นที่กลายเป็น “ห้องว่างสวยๆ” ที่เปิดเพียงบางเทศกาล

สอง การเข้าถึงของเด็กชายแดน: เชียงของ–เวียงแก่น–เวียงแก้ว มีต้นทุนระยะทางและรายได้ครัวเรือน การทำให้ศูนย์อยู่ “ใกล้มือ” แม้อยู่ในเมือง ต้องใช้โมเดลบริการนอกศูนย์ เช่น คลินิกออกแบบเคลื่อนที่, ห้องสมุดวัสดุเดินทาง, หรือ บัตรสมาชิกเยาวชน ที่ลดต้นทุนการเข้าร่วมกิจกรรม

สาม เชื่อมเศรษฐกิจท้องถิ่น: โอกาสของเชียงรายอยู่ที่ “วัฒนธรรมชาติพันธุ์–หัตถกรรม–เกษตรสร้างสรรค์–ท่องเที่ยวชุมชน” ศูนย์ต้องแปลทุนวัฒนธรรมให้เป็นผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย สอดรับกับแผนการขยาย TCDC ที่มุ่งยกระดับซอฟต์พาวเวอร์ภูมิภาคอยู่แล้ว

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ “เด็ก ได้เวที—ผู้ใหญ่ ได้เห็น”

คำบอกเล่าของครูและผู้ปกครองที่หน้างานสรุปภาพเดียวกันว่า เมื่อมีเวทีที่จับต้องได้ เด็กกล้าแสดงออกมากขึ้น และเรียนรู้การทำงานกับคนต่างโรงเรียนต่างอำเภอ งานแบบนี้ไม่ใช่การแข่งชิงถ้วยเพียงอย่างเดียว แต่ทำหน้าที่เป็น “ห้องทดลองทักษะชีวิต” ตั้งแต่การซ้อม การบริหารเวลา ไปจนถึงการรับคำวิจารณ์บนเวที ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นของคนทำงานสร้างสรรค์ในโลกจริง—ทักษะที่ TCDC จะต้องรองรับต่อยอดในชั้นเรียนและเวิร์กช็อปที่เป็นระบบในอนาคต (บนฐานแนวคิด “Creative Space for All”)

ทางเดินต่อ ใช้ “เทศกาลเยาวชน” เป็นรางพาเข้าสู่ศูนย์ถาวร

  1. ปักปฏิทินรายปี – จัด Homecoming ให้ครบทุกโซน เชื่อมกับปฏิทินนิทรรศการ–คลาสสั้นในเมือง เพื่อดึงเด็กจากชายแดนเข้าศูนย์ในรอบปี
  2. สร้างพาสปอร์ตทักษะ – ให้ผู้เข้าร่วมเก็บสะสมคลาส–ชั่วโมงอาสา แลกสิทธิใช้สตูดิโอ/วัสดุ/ที่ปรึกษาในศูนย์
  3. แมตช์เมกกิ้งกับภาคธุรกิจ – จับคู่ทีมเยาวชนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้ทำงานจริงขนาดเล็ก ตั้งแต่ออกแบบบรรจุภัณฑ์ร้านชุมชนถึงคอนเทนต์โปรโมตเส้นทางท่องเที่ยว
  4. เผยแพร่โอเพ่นดาต้า – เก็บและเปิดข้อมูลผลลัพธ์งานเยาวชนและเวิร์กช็อป เช่น จำนวนผู้เข้าร่วม ผลงานต่อยอด เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายประเมินความคุ้มค่าการลงทุนได้โปร่งใส

จาก “พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” สู่ “บ้านหลังใหม่ของความคิดสร้างสรรค์”

ภาพของเด็กๆ เต้นด้วยความมั่นใจข้างครกเครื่องลาบ คือสัญลักษณ์ของเชียงรายที่ก้าวไปพร้อมกัน ทั้งความเป็นพื้นถิ่นและความร่วมสมัย “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” จึงไม่ได้ปิดฉากที่การประกาศผลรางวัล แต่เปิดฉากให้เห็น ทางเดินจริง จากลานโรงเรียนสู่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ NEW TCDC เชียงราย ที่กำลังขยับเข้ามาใกล้ทุกคน เมื่อเวทีชั่วคราวกับโครงสร้างถาวรเชื่อมกันครบวงจร เมืองชายแดนแห่งนี้ย่อมมีทุนมนุษย์รุ่นใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเชียงรายจะไม่ได้เป็นเพียง “จุดหมายปลายทางท่องเที่ยว” แต่เป็น บ้านหลังใหม่ของความคิดสร้างสรรค์ บนลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์เยาวชน อบจ.เชียงราย: โพสต์เปิดรับสมัคร–กำหนดการ–ถ่ายทอดสดงาน “มหกรรมโซน 4 Homecoming พาใจ๋ปิ๊กบ้านเฮา” วันเสาร์ที่ 16 ส.ค. 2568 ณ โรงเรียนอนุบาลเชียงของ รวมถึงสื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมแต่ละโซนก่อนถึงวันงาน
  • อบจ.เชียงราย: โพสต์ภาพและคำบรรยายระบุวัน เวลา สถานที่ และบทบาทประธานพิธีเปิดโดยนายก อบจ.เชียงราย ในงานโซน 4 ที่เชียงของ
  • เว็บไซต์ทางการ NEW TCDC (CEA): หน้ารวมจังหวัดและพาร์ตเนอร์ ระบุ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ เชียงราย โดย อบจ.เชียงราย พร้อมคู่จังหวัดภาคเหนืออื่นในเครือข่าย
  • บทความ CEA: “เปิดแนวคิด 10 ทีมนักออกแบบ NEW TCDC” ระบุคอนเซ็ปต์ TCDC เชียงราย “Creative Space for All” และตำแหน่งที่ตั้งบริเวณหน้าศาลากลางหลังเก่า
  • เพจ TCDC Chiang Rai (ข้อมูลสื่อสารสาธารณะของเครือข่าย TCDC จังหวัด): บทบาทและความร่วมมือกับ อบจ.เชียงราย ในการขับเคลื่อนงานสร้างสรรค์ในพื้นที่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ไม่เคยหลับใหล เมื่อผลงานประมูล 25.5 ล้านบาท สะท้อนพลังตลาดศิลปะไทย

ถวัลย์ ดัชนี” ศิลปินแห่งชาติผู้ไม่เคยหลับใหล: เมื่อผลงานประมูล 25.5 ล้านบาท สะท้อนพลังตลาดศิลปะไทยที่สวนกระแสโลก

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – “บ้านดำ” พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สร้างโดยถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับ เขาเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่เติบโตมากับเรื่องราวของศิลปินผู้นี้ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมล้านนา แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนรอบๆ สร้างสรรค์งานหัตถกรรมและศิลปะเพื่อขายให้นักท่องเที่ยว  ผลงานของถวัลย์ ดัชนี ถูกประมูลไปในราคา 25.5 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ให้วงการศิลปะไทย ในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวและตลาดศิลปะสากลหดตัวลงอย่างหนัก ทำไมตลาดศิลปะไทย โดยเฉพาะผลงานจากศิลปินเชียงรายอย่างถวัลย์ ดัชนี ถึงยังคงผงาดขึ้นได้

การประมูลที่สร้างสถิติและปัจจัยขับเคลื่อนตลาดศิลปะไทย

การประมูลที่สร้างความฮือฮาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ที่ The Art Auction Center ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในบ้านประมูลชั้นนำของไทย ผลงานภาพวาด “Vitruvian Man” โดยถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ผู้เกิดและเติบโตในเชียงราย ได้ถูกประมูลไปในราคา 25.531 ล้านบาท (รวมค่าธรรมเนียม) ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดสำหรับการประมูลศิลปะไทยที่ไม่ใช่งานการกุศล ภาพนี้เป็นจิตรกรรมสีน้ำมันบนผ้าใบขนาดใหญ่ 203 x 247.5 เซนติเมตร สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2511 ช่วงที่ถวัลย์เพิ่งกลับจากศึกษาต่อที่ Royal Academy of Art ในเนเธอร์แลนด์

ตามรายงานจาก The Art Auction Center ภาพนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก “Vitruvian Man” ของ Leonardo da Vinci แต่ถวัลย์ได้ผสมผสานสัญลักษณ์ไทยอย่างรูปควายสามตัว ซึ่งตีความได้ว่าเป็นการสะท้อนถึงรากเหง้าของตัวเองและวัฒนธรรมไทย แม้จะได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ภาพนี้ถูกเก็บรักษาโดยครอบครัวชาวอเมริกันมานานกว่า 50 ปี ก่อนนำออกประมูล ทำให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ราวกับแคปซูลเวลา การประมูลครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก โดยราคาเริ่มต้นที่ 15 ล้านบาท และพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงจุดสูงสุด

นอกจากนี้ ผลงานอื่นของถวัลย์ยังสร้างสถิติในเวทีสากล เช่น ภาพ “Scream of Sorrowful” ที่ประมูลได้ 775,644 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27.6 ล้านบาท) ที่ Christie’s Hong Kong ในปีเดียวกัน สถิติเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อนถึงตลาดศิลปะไทยที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้ตลาดโลกจะหดตัว ตามรายงาน The Art Market Report 2025 โดย Art Basel และ UBS Global Wealth Management ตลาดศิลปะโลกในปี 2024 หดตัวลง 12% เหลือมูลค่า 57.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ในเอเชีย โดยเฉพาะไทย ตลาดศิลปะกลับเติบโต ตามข้อมูลจาก Knight Frank Luxury Investment Index (KFLII) ซึ่งระบุว่าดัชนีการลงทุนหรูหราโลกติดลบ 3.3% ในปี 2024 โดยหมวดศิลปะหดตัวมากถึง 16-18% แต่ตลาดไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากราคายังเข้าถึงได้และมีนักสะสมในประเทศหนุนหลัง

ถวัลย์ ดัชนี “Batter of Mara / มารผจญ” (พ.ศ.2537) สีน้ำมันและทองคำเปลวบนผ้าใบ “ถวัลย์ได้พัฒนากระบวนการสร้างสรรค์ผลงานไปสู่การถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสัญลักษณ์ของสัตว์และมนุษย์ การตีความเรื่องราวความเชื่อทางศาสนาเป็นโครงสร้างหลัก แล้วสื่อสารโดยใช้กระบวนการทางจิตรกรรมเป็นภาษาภาพ ด้วยรูปทรงสัญลักษณ์และตัวละครในรูปแบบเฉพาะตัวของศิลปิน เป็นหนึ่งในรูปแบบศิลปะประเพณีใหม่ที่สร้างชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ผลงาน “มารผจญ” แสดงให้เห็นถึงแนวทางดังกล่าว ด้วยภาพพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าตามแบบพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยอันเป็นประธานของภาพ สื่อถึงความนิ่งสงบไม่หวั่นเกรงต่อเหล่าสัตว์ร้ายที่ก่อกวนอยู่รายรอบ”

ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดศิลปะไทยเติบโตสวนกระแส

นักวิเคราะห์อย่าง พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้ง The Art Auction Center ได้เปิดเผยในบทความของ Forbes Thailand ถึง 7 ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดศิลปะไทยเติบโตสวนกระแส ซึ่งผมจะสรุปจากข้อมูลจริงดังนี้:

  1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนักสะสมโลก: ตลาดโลกหดตัวเพราะผลงานราคาสูงเกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐลดลง แต่หันมานิยมศิลปะร่วมสมัยราคาย่อมเยา ศิลปะไทยส่วนใหญ่ยังราคาไม่ถึงหลักล้านดอลลาร์ จึงได้รับประโยชน์ ตามรายงาน Artprice ซึ่งชี้ว่าการขายออนไลน์ศิลปะเอเชียเพิ่มขึ้น 20% ในปี 2024
  2. กระแส Quiet Luxury: นักสะสมหันมาสนใจสิ่งที่สะท้อนรสนิยมลึกซึ้ง ไม่ใช่แบรนด์เนมทั่วไป งานศิลปะไทยตอบโจทย์นี้ โดยเฉพาะผลงานที่มีเรื่องราววัฒนธรรมอย่างของถวัลย์
  3. การลงทุนที่ผสมผสาน passion: ชาวไทยมองศิลปะเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ตัวอย่างเช่น ผลงานถวัลย์เพิ่มมูลค่าเฉลี่ย 15-20% ต่อปี ตามข้อมูลจาก MutualArt
  4. ราคาที่มีศักยภาพเติบโต: เมื่อเทียบกับเวียดนามหรือสิงคโปร์ ศิลปะไทยยังราคาต่ำกว่า 2-3 เท่า ทำให้มีโอกาสขึ้นราคาได้อีกมาก
  5. นักสะสมรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น: จากเดิมจำกัดกลุ่มนักธุรกิจ ตอนนี้ขยายสู่คนรุ่น millennials และ Gen Z โดย 40% ของนักสะสมใหม่ในไทยอายุต่ำกว่า 40 ปี ตามสำรวจของ Bangkok Art Auction Center
  6. พลังจากภาคเอกชน: แม้รัฐบาลจะสนับสนุนน้อย แต่เอกชนอย่าง The Art Auction Center และ Nova Contemporary Gallery ที่เพิ่งขยายในปี 2025 ได้จัดงานอีเวนต์มากขึ้น สร้างดีมานด์
  7. ชาตินิยมในนักสะสมไทย: นักสะสมไทยกว่า 80% เลือกซื้อผลงานศิลปินไทย และมักชนะประมูลผลงานที่ออกนอกประเทศ สร้าง ecosystem ที่แข็งแกร่ง ตามรายงานจาก ISEAS-Yusof Ishak Institute

ข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ โดยในปี 2025 ตลาดศิลปะไทยคาดเติบโต 7-10% ตาม Thailand Art and Sculpture Market Report โดย 6Wresearch ซึ่งคาดการณ์ CAGR 7.3% จนถึงปี 2031

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจชุมชนและประชาชนในเชียงราย

หากตลาดศิลปะไทยเติบโตสวนกระแสเช่นนี้ ชาวบ้านที่บ้านดำหรือหมู่บ้านศิลปินใกล้เคียงจะได้รับส่วนแบ่งอย่างไรหรือจะเป็นแค่ประโยชน์ของนักสะสมรวยๆ เท่านั้น การสร้างสถิติของถวัลย์ ดัชนี ซึ่งมีฐานที่มั่นในเชียงรายผ่าน “บ้านดำ” (Baan Dam Museum) อาจกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงศิลปะให้เพิ่มขึ้น ตามสถิติจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ในปี 2024 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 6 ล้านคน สร้างรายได้ 60,000 ล้านบาท โดย 25% มาจากการท่องเที่ยววัฒนธรรมและศิลปะ 

การเยี่ยมชมบ้านดำซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว 500,000 คนต่อปี หากข่าวการประมูลนี้แพร่กระจายในปี 2025 อาจเพิ่มนักท่องเที่ยวอีก 15-20% ตามแบบจำลองของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ซึ่งคาดว่าการท่องเที่ยวศิลปะในเอเชียจะเติบโต 8% ต่อปี 

เมืองท่องเที่ยวกับชนบทในภาคเหนือเพิ่มขึ้น 15% หลังโควิด

ความเสี่ยงหากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการจัดการ อาจนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การจราจรติดขัดในพื้นที่ดอยหรือการบุกรุกชุมชน จากรายงานของ Bank of Thailand ปี 2024 ช่องว่างรายได้ระหว่างเมืองท่องเที่ยวกับชนบทในภาคเหนือเพิ่มขึ้น 15% หลังโควิด ดังนั้น รัฐบาลท้องถิ่นควรใช้โอกาสนี้ในการกระจายรายได้ เช่น จัด workshop ศิลปะให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้ประโยชน์จริง ไม่ใช่แค่เจ้าของแกลเลอรีใหญ่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคตาม The Art Market Report 2025 ตลาดศิลปะไทยมีส่วนช่วย GDP ราว 0.5-1% ผ่านการส่งออกและการท่องเที่ยว หากตลาดเติบโตต่อเนื่อง อาจสร้างงานใหม่กว่า 50,000 ตำแหน่งในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในภาคเหนือซึ่งมีศิลปินท้องถิ่นจำนวนมาก 

สำหรับชาวเชียงราย การวิเคราะห์จาก Forbes Thailand ชี้ว่า การประมูลสูงเช่นนี้จะยกมูลค่างานศิลปะท้องถิ่นให้สูงขึ้น ตัวอย่างเช่น งานหัตถกรรมจากหมู่บ้านแม่จันอาจขายได้ราคาดีขึ้น 20-30% หากโปรโมทว่าได้รับแรงบันดาลใจจากถวัลย์ นายกรัฐมนตรีเคยให้สัมภาษณ์ในปี 2024 ว่า “ศิลปะไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ช่วยยกประเทศออกจากกับดักรายได้ปานกลาง” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย THACCA ที่มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

หากเชียงรายใช้ชื่อเสียงของถวัลย์เป็นจุดขาย

การแข่งขันในเวทีโลกผลงานถวัลย์ที่ขายดีใน Christie’s แสดงว่าศิลปะไทยมีศักยภาพสากล แต่ต้องระวังการแข่งขันจากเวียดนามซึ่งตลาดเติบโต 15% ในปี 2024 หากเชียงรายใช้ชื่อเสียงของถวัลย์เป็นจุดขาย เช่น จัดเทศกาลศิลปะประจำปี อาจดึงนักลงทุนต่างชาติ สร้างงานในอุตสาหกรรมเนื้อหาดิจิทัลเกี่ยวกับศิลปะล้านนา โดยสรุปการวิเคราะห์ ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน หากจัดการดี ประชาชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์จากรายได้เพิ่ม การพัฒนาทักษะ และชุมชนที่เข้มแข็ง

จากมรดกศิลปะสู่โอกาสชีวิตจริง

เรื่องราวของถวัลย์ ดัชนี เริ่มจากภาพวาดที่สร้างสถิติ และคลี่คลายสู่การเติบโตของตลาดศิลปะไทยที่สวนกระแสโลก สำหรับชาวเชียงราย โอกาสนี้หมายถึงการยกระดับชีวิตผ่านการท่องเที่ยวและธุรกิจสร้างสรรค์ หากทุกฝ่ายร่วมมือ มรดกนี้จะไม่ใช่แค่ของนักสะสม แต่เป็นของชุมชนทั้งหมด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บทความของ พิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้ง The Art Auction Center ใน Forbes Thailand
  • Nation Thailand, บทความเกี่ยวกับการประมูล Vitruvian Man (เครดิต: Nation Thailand)
  • Art Basel & UBS, The Art Market Report 2025 (เครดิต: Art Basel & UBS)
  • Knight Frank, Luxury Investment Index 2024-2025 (เครดิต: Knight Frank)
  • Christie’s, รายงานการประมูล Scream of Sorrowful (เครดิต: Christie’s)
  • 6Wresearch, Thailand Art and Sculpture Market Report (เครดิต: 6Wresearch)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

ไทยผงาด! มรดกวัฒนธรรมอันดับ 1 เอเชีย: โอกาสของซอฟต์พาวเวอร์ในเชียงราย

ซอฟต์พาวเวอร์พลิกโฉม! ไทยมรดกวัฒนธรรมอันดับ 1 โลก ยกระดับชีวิตคนเชียงราย

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมร่ำรวยที่สุดในเอเชีย จากรายงานของ U.S. News & World Report ประจำปี 2024 การประกาศนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของชาวเชียงรายและชุมชนใกล้เคียงให้ดีขึ้นได้อย่างไร? ในขณะที่โลกกำลังมองหา “ซอฟต์พาวเวอร์” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่อย่างเชียงรายที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรมชนเผ่า วัดวาอารามโบราณ และธรรมชาติอันงดงาม กำลังยืนอยู่บนเวทีที่พร้อมจะผงาดขึ้น แต่คำถามที่ชวนสงสัยคือ โอกาสนี้จะนำพาประโยชน์อะไรมาสู่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะคนในพื้นที่ภาคเหนือที่กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจจากความผันผวนของการท่องเที่ยวและการเกษตร

การจัดอันดับและนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

ก่อนอื่น เรามาดูข้อเท็จจริงที่เป็นพื้นฐานของเรื่องนี้กัน รายงาน Best Countries Rankings ประจำปี 2024 จาก U.S. News & World Report ซึ่งเป็นองค์กรสื่อชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ได้จัดอันดับประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมร่ำรวยที่สุดอันดับ 1 ในเอเชีย และอันดับ 8 ของโลก จากทั้งหมด 89 ประเทศที่ได้รับการประเมิน การจัดอันดับนี้มาจากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 17,000 คนทั่วโลก โดยใช้เกณฑ์ 5 ประการที่ถ่วงน้ำหนักเท่ากัน ได้แก่ การเข้าถึงวัฒนธรรม (culturally accessible), ประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง (has a rich history), อาหารยอดเยี่ยม (has great food), สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย (many cultural attractions) และความน่าดึงดูดทางภูมิศาสตร์ (many geographic attractions)

จากรายงาน ประเทศไทยทำคะแนนโดดเด่นในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงวัดวาอาราม โบราณสถาน และเทศกาลประเพณีที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น การนวดแผนไทย อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับระดับโลก และหาดทรายขาวกับภูเขาที่งดงาม ทำให้ไทยแซงหน้าประเทศอย่างอินเดีย (อันดับ 2 ในเอเชีย), ญี่ปุ่น (อันดับ 3), จีน (อันดับ 4), อินโดนีเซีย (อันดับ 5), เวียดนาม (อันดับ 6), มาเลเซีย (อันดับ 7), เกาหลีใต้ (อันดับ 8), สิงคโปร์ (อันดับ 9) และฟิลิปปินส์ (อันดับ 10) ในภูมิภาคเอเชีย

รายงานยังระบุว่า แม้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวของไทยจะคิดเป็นเพียง 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2024 แต่ไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนมากที่สุดในโลก โดยในปี 2024 มีนักท่องเที่ยวกว่า 35 ล้านคน เพิ่มขึ้น 43.8% จากปีก่อนหน้า และสร้างรายได้กว่า 42.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) ตามข้อมูลจาก World Travel & Tourism Council (WTTC) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมไทยไม่เพียงแต่เป็นมรดก แต่ยังเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด-19

ยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ THACCA

ในส่วนของนโยบายภาครัฐ รัฐบาลไทยได้ตอบสนองต่อการจัดอันดับนี้อย่างรวดเร็ว โดยผ่านหน่วยงานหลักอย่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Thailand Creative Culture Agency หรือ THACCA) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2023 เพื่อขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ THACCA ทำงานร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. ต้นน้ำ: การพัฒนาทักษะคนไทย – นโยบาย “หนึ่งครอบครัว หนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS)” มุ่งสกิล (up-skill) และรีสกิล (re-skill) คนไทย โดยใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การอบรมช่างฝีมือท้องถิ่นในเชียงรายให้ใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งขายผลิตภัณฑ์หัตถกรรมออนไลน์ ในปี 2024 มีการจัดอบรมกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คนในปี 2025
  2. กลางน้ำ: การพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ – รัฐบาลมุ่งแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและออกกฎหมายใหม่เพื่อสนับสนุน 14 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อาหาร ภาพยนตร์ ดนตรี มวยไทย และการท่องเที่ยว โดย THACCA ได้จัดงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2024 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งรวบรวมผู้ประกอบการจาก 11 อุตสาหกรรม เพื่อแสดงศักยภาพวัฒนธรรมไทย และวางแผนขยายไปยังงานใหญ่ในปี 2025 ที่จะจัดระหว่าง 8-11 กรกฎาคม
  3. ปลายน้ำ: การผลักดันสู่เวทีโลก – ใช้ “การทูตทางวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Cultural Diplomacy)” เพื่อสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ เช่น การส่งออกภาพยนตร์ไทย ซีรีส์ และอาหารไปยังตลาดเอเชียและยุโรป ในปี 2024 THACCA ได้ลงทุนกว่า 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 240 ล้านบาท) ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน เพื่อส่งเสริมการส่งออก

นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าหมายให้ซอฟต์พาวเวอร์ช่วยเพิ่ม GDP จากภาคสร้างสรรค์ให้ถึง 15% ภายในปี 2030 จากปัจจุบันที่อยู่ราว 7-8% ตามข้อมูลจาก Brand Finance’s Global Soft Power Index 2024 ซึ่งจัดอันดับไทยเป็นอันดับ 1 ในเอเชียด้านวัฒนธรรมเช่นกัน

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชน โดยเฉพาะในเชียงราย

นโยบายซอฟต์พาวเวอร์จะส่งผลกระทบอย่างไร โดยเน้นผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะชาวเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงที่อาศัยพึ่งพาการเกษตร การท่องเที่ยว และหัตถกรรมการครองอันดับ 1 ในเอเชียด้านมรดกวัฒนธรรมอาจกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คำถามชวนคิดคือ หากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 20-30% ในปี 2025 ตามที่ WTTC คาดการณ์ ชุมชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์อย่างไร? จากสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในปี 2024 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 5 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 50,000 ล้านบาท โดย 40% มาจากการท่องเที่ยววัฒนธรรม เช่น การเยี่ยมชมวัดร่องขุ่น ดอยตุง และหมู่บ้านชนเผ่า การผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ผ่าน THACCA อาจทำให้รายได้จากภาคนี้เพิ่มขึ้น 15-20% ต่อปี โดยเฉพาะหากรัฐบาลขยายโครงการ OFOS มาสู่พื้นที่ภาคเหนือ ที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและช่างฝีมือ สามารถขายผลิตภัณฑ์อย่างผ้าทอหรือชาโออิ้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ สร้างรายได้เสริมเฉลี่ย 5,000-10,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยง หากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการจัดการที่ดี อาจนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การบุกรุกพื้นที่ป่าดอยในเชียงราย หรือการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดหัตถกรรม จากข้อมูลของ ISEAS-Yusof Ishak Institute ในปี 2025 ชี้ว่า นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่เน้น (bureaucratic) อาจจำกัดความคิดสร้างสรรค์ระดับ grassroots ในพื้นที่อย่างเชียงใหม่และเชียงราย ดังนั้น รัฐบาลควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อให้ประโยชน์ตกถึงประชาชนจริงๆ ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่

ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นเครื่องมือยกไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลาง

ประการที่สอง ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาค จากรายงานของ World Bank ปี 2024 เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5% โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกและการท่องเที่ยว หากซอฟต์พาวเวอร์ช่วยเพิ่มมูลค่าส่งออกวัฒนธรรม เช่น อาหารและภาพยนตร์ ให้ถึง 10% ของ GDP ภายใน 5 ปี ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์จากงานใหม่ๆ กว่า 1 ล้านตำแหน่ง ตามที่นายกรัฐมนตรีสฤษฎ์ฐา ทวีสินเคยให้สัมภาษณ์ในงาน THACCA SPLASH 2024 ว่า “ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นเครื่องมือยกไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลาง” โดยเฉพาะในเชียงราย ซึ่งมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวชุมชน (community-based tourism) ที่คิดเป็น 8% ของรายได้การท่องเที่ยวไทย ตามรายงาน Tourism Analytics 2024 การพัฒนานี้จะช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มั่นคงขึ้น ลดการย้ายถิ่นฐานไปเมืองใหญ่ และเสริมสร้างชุมชนที่ยั่งยืน

แต่ในมุมวิเคราะห์เชิงลึก เราต้องถามว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ หากไม่มีการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม? จากตัวเลขของ Bank of Thailand การท่องเที่ยวสร้างรายได้หลักให้กับ 11% ของ GDP ในปี 2019 แต่หลังโควิด ช่องว่างระหว่างเมืองใหญ่กับชนบทเพิ่มขึ้น 20% ดังนั้น THACCA ควรเน้นโครงการที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมล้านนาในเชียงรายเข้ากับตลาดโลก เช่น การส่งเสริมเทศกาลสงกรานต์หรือประเพณียี่เป็งให้เป็นแบรนด์ระดับสากล ซึ่งอาจเพิ่มรายได้ชุมชน 30% ตามแบบจำลองของ WTTC

ต้องระวังการแข่งขันจากจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมีซอฟต์พาวเวอร์แข็งแกร่ง

ประการสุดท้าย การผลักดันสู่เวทีโลกผ่านการทูตวัฒนธรรมอาจเสริมอิทธิพลของไทยในเอเชีย แต่ต้องระวังการแข่งขันจากจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมีซอฟต์พาวเวอร์แข็งแกร่ง จากข้อมูล Global Soft Power Index 2024 ไทยอยู่อันดับ 1 เอเชียด้านวัฒนธรรม แต่จีนนำด้านเศรษฐกิจ หากรัฐบาลใช้โอกาสนี้ดี ประชาชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์จากนักลงทุนต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมชนเผ่า สร้างงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น การผลิตเนื้อหาดิจิทัลเกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่น

โดยสรุป การวิเคราะห์ชี้ว่า ซอฟต์พาวเวอร์ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นโอกาสสร้างเศรษฐกิจยั่งยืน หากรัฐบาลและชุมชนร่วมมือกัน ประชาชนอายุ 30-55 ปีในเชียงรายจะสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจ เช่น การเข้าร่วมโครงการ OFOS เพื่อพัฒนาทักษะ หรือการลงทุนในธุรกิจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งจะนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นและชุมชนที่เข้มแข็ง

จากมรดกสู่โอกาสที่ยั่งยืน

เรื่องราวของซอฟต์พาวเวอร์ไทยเริ่มจากความภาคภูมิใจในมรดกวัฒนธรรม และคลี่คลายสู่โอกาสทางเศรษฐกิจที่มหาศาล โดยเฉพาะสำหรับชาวเชียงรายที่สามารถใช้ประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้ในการยกระดับชีวิต หากทุกฝ่ายร่วมมือ โอกาสนี้จะไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงจริงที่สัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • U.S. News & World Report, Best Countries Rankings 2024 (เครดิต: U.S. News & World Report)
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (THACCA), รายงานยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ 2024-2025 (เครดิต: THACCA และรัฐบาลไทย)
  • World Travel & Tourism Council (WTTC), Economic Impact Research 2024 (เครดิต: WTTC)
  • ISEAS-Yusof Ishak Institute, Perspective 2025/44 (เครดิต: ISEAS)
  • Brand Finance, Global Soft Power Index 2024 (เครดิต: Brand Finance)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

จากของเก่าสู่ของใหม่! “รชรินทร์” ชู “ธนาลัย กู๊ดกู้ดส์” ปลุกย่านเก่าธนาลัยด้วยงานดีไซน์

 “BACK TO THE FUTURE” จากอดีตสู่โอกาส นิทรรศการ จุดประกายศักยภาพย่านธนาลัยในเวียงเชียงราย สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งอนาคต

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 – ย่านธนาลัยและในเวียง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวทางศิลปะ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์อันยาวนานของจังหวัดเชียงราย กำลังได้รับการพลิกโฉมสู่ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา ผ่านการขับเคลื่อนของโครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ โดยมีจุดศูนย์กลางคือนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ที่ได้ฤกษ์เปิดม่านขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย งานนี้ไม่เพียงเป็นเพียงการจัดแสดงผลงาน แต่ยังเป็นเสมือนสะพานเชื่อมโยงอดีตอันรุ่งเรืองของย่านการค้าเก่าแก่แห่งนี้เข้ากับโอกาสใหม่ ๆ ในอนาคต เพื่อสร้างคุณค่าและแรงบันดาลใจให้กับชุมชนและผู้ประกอบการรุ่นใหม่

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่รวบรวมพลังสร้างสรรค์จากหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับความร่วมมือจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่ การรวมตัวกันของพันธมิตรเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการพัฒนาและต่อยอดแบรนด์กิจการดั้งเดิมของย่านธนาลัย ให้ก้าวสู่การเป็นธุรกิจสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ โดยยังคงรักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์และความเป็นพหุวัฒนธรรมอันเป็นเสน่ห์ของเมืองเชียงราย

แนวคิด (Re)made in Thanalai หรือ (รี)เมดอิน ธนาลัย

หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นและเป็นรูปธรรมที่สะท้อนนวคิด (Re)made in Thanalai หรือ (รี)เมดอิน ธนาลัย ส่วนชื่อคอลเลชั่นผลงานคือ Thanalai Good Goods หรือ ธนาลัย กู๊ดกู้ดส์ สิ่งที่มีอยู่ในย่านธนาลัยให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง คือผลงานของ คุณรชรินทร์ อินธุระ หนึ่งในนักสร้างสรรค์ที่เข้าร่วมจัดแสดง คุณรชรินทร์ได้นำเสนอผลงานภายใต้แนวคิด “ธนาลัย กู๊ดกู้ดส์ ” หรือ “ของดีธนาลัย” ซึ่งเป็นการโฟกัสไปที่ “การยกระดับสินค้า” เพื่อให้ย่านธนาลัยกลับมาคึกคักอีกครั้ง เขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์จัดองค์ประกอบของสิ่งของที่หาได้จากร้านค้าต่าง ๆ ในธนาลัย ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟตั้งโต๊ะ โคมไฟตั้งพื้น ชั้นวางของ โต๊ะเล่นกระดานหมากรุก หรือแม้กระทั่งพัด ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจและมีมูลค่าเพิ่ม แนวคิดนี้เป็นการนำเสนอ “ความเป็นไปได้ที่หลากหลายและความสนุกในการเอาไอเดียมาจับใช้” ในการเดินช้อปปิ้งและเดินเล่นในย่านธนาลัยจากมุมมองที่แตกต่าง

ผลงานของคุณรชรินทร์และนักสร้างสรรค์ท่านอื่น ๆ อาทิ เอกพงษ์ ใจบุญ, พุทธรักษ์ ดาษดา, สิริฉาย เอาฬาร และกลุ่มศิลปินไส้ติ่ง : โซไซตี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาดั้งเดิม มาผสานกับแนวคิดการออกแบบสมัยใหม่ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการตอบรับต่อเป้าหมายของโครงการในการส่งเสริมศักยภาพของนักสร้างสรรค์และสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับสินค้าและบริการในพื้นที่ แต่ยังช่วยต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมให้คงอยู่และเป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น

 

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 8 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์) ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย นับเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของย่านธนาลัย และร่วมเป็นประจักษ์พยานถึงพลังแห่งการสร้างสรรค์ที่สามารถพลิกโฉมอดีตให้กลายเป็นโอกาสอันสดใสในอนาคต ทำให้เชียงรายยังคงเป็นเมืองแห่งศิลปะ วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

รชรินทร์ อินธุระ” เผยแนวคิดพลิกโฉม “ธนาลัย” สู่ยุคใหม่ในนิทรรศการ “Back to the Future”

จุดประสงค์หลักของการนำเสนอผลงานเหล่านี้คือ เพื่อแสดงให้เห็นถึง “ความเป็นไปได้ที่หลากหลาย” และ “ความสนุก” ในการนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ เพื่อประยุกต์ใช้ในการเดินช้อปปิ้งหรือเดินเล่นในธนาลัยจากอีกมุมมองหนึ่ง. คุณรชรินทร์หวังว่าแนวทางนี้จะ ก่อให้เกิดทิศทางที่น่าสนใจในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลให้ นักออกแบบหรือผู้คนในพื้นที่ได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ. แม้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตอาจไม่ได้มีรูปลักษณ์ตรงตามตัวอย่างที่จัดแสดง แต่ความตั้งใจสูงสุดคือการ สร้างความ “คึกคัก” ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ธนาลัยอย่างต่อเนื่อง

นายรชรินทร์ อินธุระ ศิลปินอีกท่านหนึ่ง ได้นำเสนอแนวคิดในการ "ยกระดับสินค้า" ของย่านธนาลัยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิมดชนะภัย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน และหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จังหวัดเชียงราย
  • นักสร้างสรรค์ผู้เข้าร่วมแสดงผลงาน (เอกพงษ์ ใจบุญ, พุทธรักษ์ ดาษดา, สิริฉาย เอาฬาร, กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง : โซไซตี้, รชรินทร์ อินธุระ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE LIFESTYLE

เชียงรายปลุกประวัติศาสตร์! ไส้ติ่ง โซไซตี้ นำเสนอ “ภาชนะทางความคิด” ในนิทรรศการ “ธนาลัย”

จังหวัดเชียงรายได้พลิกโฉมอดีตอันรุ่งโรจน์ของย่านการค้าเก่าแก่ “ธนาลัย” ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผ่านการเปิดตัวนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย”

เชียงราย, 9 สิงหาคม 2568 –  ภายใต้โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย. นิทรรศการนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่เชื่อมโยงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ เข้ากับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ เพื่อขับเคลื่อนย่านธนาลัยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา.

จุดกำเนิดของ “ธนาลัย”  มรดกการค้าพหุวัฒนธรรม

ย่านถนนธนาลัยในจังหวัดเชียงรายมิได้เป็นเพียงแค่เส้นทางสัญจร แต่เป็นพื้นที่ที่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวและแรงบันดาลใจ. นับตั้งแต่อดีต ถนนสายนี้เป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่สะท้อนถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมอันหลากหลายของเมืองเชียงรายได้อย่างชัดเจน. ที่นี่เป็นจุดบรรจบของเรื่องราวมากมาย ทั้งในมิติของชาติพันธุ์ ศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ประวัติศาสตร์การค้า” ที่ฝังแน่นอยู่ในอาคาร ร้านค้า และวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งยังคงดำรงอยู่และเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับกาลเวลา. การพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคม ศิลปะ วัฒนธรรม ตลอดจนการเติบโตของร้านค้าเก่าแก่ที่ส่งต่อมายังธุรกิจคนรุ่นใหม่ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้ธนาลัยเป็นย่านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น.

เบื้องหลังแนวคิด ปลุกประวัติศาสตร์ให้ “มีชีวิต”

หัวใจสำคัญของการจัดนิทรรศการครั้งนี้คือแนวคิดในการมองเห็นคุณค่าของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และพยายามแปลงสารเหล่านั้นให้กลับมา “มีชีวิต” อีกครั้งในโลกปัจจุบัน. แนวคิดนี้ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน รวมถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของจังหวัดเชียงราย. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้ (SIDETHINK SOCIETY) ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับพื้นที่ของประวัติศาสตร์ ซึ่งหมายถึงเรื่องเล่าที่ไม่ถูกบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ แต่ถูกถ่ายทอดจากผู้คนผ่านสิ่งของ สถานที่ และวัฒนธรรมการใช้ชีวิตในแต่ละช่วงเวลา. พวกเขาเชื่อมั่นว่าการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์เข้ากับพหุวัฒนธรรมของย่านธนาลัยจะนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งว่า การค้าในแต่ละยุคสมัยนั้นมิได้เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนสินค้า แต่คือการแลกเปลี่ยนคุณค่า ความเชื่อ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน

ภาชนะทางความคิด”  การเดินทางสู่รากฐานแห่งความสัมพันธ์

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” ไม่ใช่เพียงการจัดแสดงผลงานทั่วไป แต่เป็นพื้นที่ที่ชวนให้ผู้เข้าชมได้ร่วมสำรวจและทำความเข้าใจแก่นแท้ของย่านธนาลัยผ่านมุมมองที่หลากหลาย. นอกเหนือจากการนำเสนอผลงานการออกแบบสร้างสรรค์จากแรงบันดาลใจในย่านธนาลัย ยังมีการจัดกิจกรรมในรูปแบบของการเสวนาแลกเปลี่ยนที่นำเสนอเรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งตั้งคำถามกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น.

หัวใจสำคัญของนิทรรศการคือ “ภาชนะทางความคิด” (ตามความหมายที่สื่อถึงการบรรจุความสัมพันธ์) ซึ่งเปรียบเสมือนพื้นที่แห่งการเก็บรวบรวมความทรงจำ วัตถุ สัญลักษณ์ และเรื่องราวของผู้คนในย่านธนาลัยไว้อย่างประณีต. กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้ ได้รวบรวมของเก่าและผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่จริงในย่านธนาลัยมาจัดแสดง เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสและเชื่อมโยงกับเรื่องราวในอดีต. นิทรรศการนี้จึงเป็นมากกว่าการจัดแสดงวัตถุ แต่เป็น “พื้นที่ของการฟัง พื้นที่ของการมองย้อน และพื้นที่ของการพูดคุย” เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการร้อยเรียงอดีตเข้ากับปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง ผ่านมุมมองที่เคารพต่อความหลากหลาย และเปิดโอกาสให้เรื่องเล่าเก่าๆ ได้กลับมามีความหมายใหม่อีกครั้ง.

ผลลัพธ์และประโยชน์ต่อประชาชน  จากอดีตสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิต

การจัดนิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการพัฒนาต่อยอดพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ให้เป็นย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวา. ประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับจาก นิทรรศการนี้ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการรักษาเรื่องราวและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของย่านธนาลัย. ผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ จะได้เรียนรู้และเข้าใจรากฐานของเมืองเชียงราย รวมถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่หล่อหลอมพื้นที่นี้ ความภาคภูมิใจและอัตลักษณ์ชุมชนเมื่อประวัติศาสตร์ถูกนำมาเล่าใหม่ในรูปแบบที่เข้าถึงง่ายและน่าสนใจ จะช่วยให้คนในพื้นที่เกิดความผูกพันและภาคภูมิใจในถิ่นกำเนิดของตนเองมากขึ้น. นี่คือการสร้างอัตลักษณ์ชุมชนที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

นิทรรศการ “BACK TO THE FUTURE : กาลครั้งหนึ่ง ณ ธนาลัย” จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม ถึง 8 กันยายน พ.ศ. 2568 เวลา 10.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์). นับเป็นโอกาสสำคัญที่ชาวเชียงรายและผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับมิติใหม่ของย่านธนาลัย ที่ซึ่งอดีตและปัจจุบันหลอมรวมกันเพื่อสร้างสรรค์อนาคตอันสดใส.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โครงการส่งเสริมศักยภาพและสร้างเครือข่ายนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มเครือข่ายศิลปิน นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการ ชุมชน
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) เชียงใหม่
  • บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มศิลปิน ไส้ติ่ง โซไซตี้ (SIDETHINK SOCIETY)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News