Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

มหากาพย์ 24 ชม.! ‘อาร์ม วิญญู’ ระดมพลช่วยหมู 1,150 ตัว พ้นวิกฤตน้ำท่วมเทิง

ภารกิจ 24 ชั่วโมงไม่หยุด: ทีมกู้ภัยเชียงรายช่วยหมู 1,150 ตัว หนีน้ำท่วมฉับพลัน

เชียงราย,ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เมื่อธรรมชาติทดสอบความมุ่งมั่นของมนุษย์ เสียงเรือยนต์ดังก้องไปทั่วพื้นที่น้ำท่วมบ้านห้วยไคร้ หมู่ 6 อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่เสียงของการขนส่งสินค้าตามปกติ แต่เป็นเสียงของภารกิจกู้ภัยที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะต้องใช้เวลานานถึง 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยเหลือหมูกว่า 1,150 ตัวให้รอดพ้นจากน้ำท่วมฉับพลันครั้งรุนแรง

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวของการช่วยเหลือสัตว์ แต่เป็นบทพิสูจน์ความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่รัฐและอาสาสมัครที่ไม่ยอมถอย แม้เมื่อความเหนื่อยล้าจะถึงขีดสุด และความมืดจะปกคลุมพื้นที่

เมื่อพายุ “วิภา” นำมาซึ่งวิกฤต

สถานการณ์เริ่มต้นจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ที่ก่อให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันในพื้นที่จังหวัดเชียงราย น้ำป่าล้นไหลหลากเข้าชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเขตบ้านห้วยไคร้ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหมูและไก่สำคัญของจังหวัด

นายกนก หรือ อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้รับรายงานสถานการณ์น้ำท่วมจากบ้านห้วยไคร้ตั้งแต่ช่วงกลางดึก ไม่ว่าจะทางโซเชียลหรือคนแจ้งมาโดยตรงพบว่ามีฟาร์มหมูและฟาร์มไก่จำนวนมากตกค้างอยู่ในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะหมูมากกว่า 1,000 ตัว และไก่อีกหลายร้อยตัวที่ต้องอพยพด่วน

“เมื่อวานตอนช่วงเช้าเลย ที่มีโพสต์กันในเฟซบุ๊ก จากของท่านนายกฯ ด้วย และหลายคนได้แชร์มา แล้วก็ขอให้ทางหน่วยงานที่มีอุปกรณ์ เครื่องมือ พวกเรือต่างๆ เข้าไปช่วย” เลขาอาร์ม หรือ วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของภารกิจ

การระดมกำลังและความท้าทายแรก

เมื่อทีมจาก อบจ.เชียงราย นำโดยนายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก พร้อมด้วยพันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และบุคลากรกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย เดินทางถึงพื้นที่ในช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม

สิ่งที่พบคือภาพที่น่าตกใจ ฟาร์มหมูที่ให้เกษตรกรในพื้นที่เลี้ยงหมู กลายเป็นพื้นที่น้ำท่วมสูงถึงเอวและอก หมูกว่า 1,150 ตัวติดอยู่ในสภาวะวิกฤต ต้องใช้เรือเข้าไปช่วยเหลือ

“พอไปถึงประมาณสัก 10 โมง 11 โมง ช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีเรือของชาวบ้านเป็นเรือลำเล็กประมาณสัก 2 ถึงสามลำ ที่ขนได้ครั้งละ 2 ถึง 3 ตัวไม่เกิน แล้วก็มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมีหนึ่งลำที่ขนได้ประมาณ 10 ตัวอีกหนึ่งลำ” นายวิญญู อธิบายถึงสถานการณ์ในช่วงแรก

ความยากลำบากในการดำเนินภารกิจ

ความท้าทายหลักของภารกิจนี้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนหมูเท่านั้น แต่รวมถึงสภาพพื้นที่ที่ต้องใช้เรือเดินทางระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร จากฟาร์มมาถึงถนนลาดยางของหมู่บ้าน ใช้เวลาเดินทางไป-กลับประมาณ 10-15 นาที ในช่วงกลางวัน

“ช่วงแรกหมูยังมีแรงอยู่ มันดิ้น เราต้องจับใส่กรงก่อน ใช้เวลาเป็นหลายนาที เป็นเกือบชั่วโมงบางครั้ง การลำเลียงแต่ละรอบใช้เวลานานมาก ตั้งแต่เที่ยงมาจนถึง 5-6 โมงเย็น ขนได้แค่ 200-300 ตัวเอง ในช่วงแรก” วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย เผยถึงอุปสรรคในช่วงต้น

สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อมีทีมกู้ภัยจากหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ รวมเกือบ 20 ทีม จำนวนคนรวมกว่า 100 คน แต่พื้นที่ที่จำกัดและการขาดการประสานงานที่ลงตัว ทำให้การทำงานในช่วงแรกค่อนข้างช้า

เลขาอาร์ม หรือ วิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย

จุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อความมืดเข้าปกคลุม

เมื่อเวลาผ่านไปถึงหลัง 18.00 น. ความมืดเริ่มปกคลุมพื้นที่ การทำงานกลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น ต้องมีการวางระบบไฟส่องสว่างและให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย หลายทีมเริ่มถอนตัวออกไป

“หลังจาก 4 ทุ่ม ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเหลือแค่ 5 ทีม ตอนนั้นจะมีอบจ. ตำรวจ และกู้ภัยอีกสัก 2-3 ทีมที่ยังเหลืออยู่” นายวิญญู เล่าถึงช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

แต่นี่กลับเป็นจุดที่การทำงานเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะหมูเริ่มอ่อนแรง ไม่ดิ้นมากเหมือนเดิม ทำให้สามารถจับโยนลงเรือได้เลย โดยไม่ต้องใส่กรง การวางแผนและการประสานงานดีขึ้น

ช่วงวิกฤตสุดท้ายการตัดสินใจที่ยากลำบาก

เมื่อเวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืน หมูที่เหลืออยู่ในพื้นที่ประมาณ 200-300 ตัว ทีมกู้ภัยส่วนใหญ่ขอถอนตัวเนื่องจากความเหนื่อยล้า เหลือเพียง 2 ทีมคือ อบจ.เชียงราย และตำรวจ

“เราคุยกันว่า ตอนแรกก็อยากถอนแต่เห็นหมูแล้วมันไม่ไหว ตอนนั้นหมูเหลือประมาณ 200 กว่าตัว มันเหมือนจะไม่เยอะ เราช่วยมาแบบทั้งวัน แล้วเหลือแค่สองร้อยกว่าตัวเอง ถ้าปล่อยไว้ โอกาสตายมีสูงมาก เพราะน้ำมันขึ้นเรื่อยเรื่อย แล้วหมูมันอ่อนแรงแล้ว” นายวิญญู เล่าถึงการตัดสินใจสำคัญ

วีรกรรมในยามคืนการยืนหยัดจนท้ายที่สุด

หลังจากเที่ยงคืน การทำงานดำเนินต่อไปด้วยเรือเพียง 3 ลำ คือ อบจ.เชียงราย 2 ลำ และตำรวจ 1 ลำ จำนวนคนลดลงเหลือเพียง 20 กว่าคน แต่ความมุ่งมั่นไม่ลดลง

เมื่อถึงตี 3 ทีมตำรวจแจ้งขอถอนตัวเนื่องจากไม่ไหว เหลือเพียงทีมจาก อบจ.เชียงราย 5 คน กับเรือ 2 ลำ รวมกับเจ้าหน้าที่ของฟาร์มที่ยังคงช่วยเหลืออยู่ประมาณ 15-20 คน

“เราก็เลยบอกว่า งั้นเราขอสู้ต่อไปจนจบ เพราะว่าถ้าปล่อยไว้น่าจะตายทั้งหมด ตอนนั้นจำนวนหมูหลังตี 3 น่าจะเหลือประมาณ 150 ตัวบวกลบ” นายวิญญู เล่าถึงช่วงที่ท้าทายที่สุด

การเคลียร์ครั้งสุดท้ายเมื่อแสงอรุณส่องทาง

จากตี 3 กว่าจนถึงเกือบ 7 โมงเช้า ทีมที่หลงเหลือทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน หมูในฟาร์มถูกเคลียร์ออกไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ภารกิจยังไม่จบ

“ประมาณ 7-8 โมงเช้า เราขับเรือวนดูรอบตัวอีกรอบ ก็เห็นหมูลอยคออยู่ตามกอไผ่ มีบางตัวอยู่นอกฟาร์ม เราต้องลงไปจับในน้ำเลย ลึกประมาณไม่ถึง 2 เมตร อันนั้นยากกว่าอยู่ในฟาร์มอีก เพราะต้องดึงขึ้นเรือเอง” นายวิญญู อธิบายถึงช่วงสุดท้าย

ภารกิจสิ้นสุดลงในเวลา 11.00 น. ของวันที่ 25 กรกฎาคม หลังจากดำเนินการต่อเนื่องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

ผลลัพธ์และบทเรียน

จากหมูทั้งหมด 1,150 กว่าตัว อัตราการสูญเสียอยู่ที่ไม่เกิน 5% หรือประมาณ 4-5% ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จที่น่าประทับใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้

นายวิญญู มองว่า บทเรียนสำคัญคือ การเตรียมความพร้อมที่ธรรมชาติไม่มีกำหนดการตายตัว อยากจะก่อตัวขึ้นเมื่อไร มีรูปแบบอย่างไรเราไม่สามารถรับรู้นอกจากต้องพร้อมรับเท่านั้น”

สำหรับด้านการปฏิบัติงาน ปัญหาหลักอยู่ที่การจำกัดของพื้นที่ การสัญจรที่ยาก และการขาดศูนย์ปฏิบัติการที่ชัดเจน แต่ทุกหน่วยงานสามารถประสานงานและช่วยเหลือกันได้เป็นอย่างดี “สิ่งสำคัญคือการที่ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ ไม่ถอดใจยังทำภารกิจต่อเนื่องจนกว่าจะช่วยเสร็จทั้งหมด มันทำให้ทีมที่อยู่ก็พร้อมที่จะทำต่อ มันเหมือนมีคนไม่ทิ้งแล้วเราจะทิ้งไปได้ยังไง” นายวิญญูพูดทิ้งท้าย

หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ

ความหมายเชิงลึกของภารกิจ

ภารกิจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงหลายมิติที่สำคัญ:

ด้านการจัดการภัยพิบัติ: แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการจัดการวิกฤตที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เศรษฐกิจ ซึ่งต้องการการประสานงานระหว่างหน่วยงานหลายฝ่าย และการตัดสินใจที่รวดเร็ว

ด้านจิตวิญญาณมนุษย์: การที่เจ้าหน้าที่ยินดีทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงโดยไม่หยุดหย่อน แม้ในสภาวะที่เหนื่อยล้าและท่ามกลางความมืด แสดงถึงจิตสำนึกในการรับใช้สังคมที่แท้จริง

ด้านเศรษฐกิจ: การช่วยเหลือสัตว์เศรษฐกิจไม่ได้เป็นเพียงการดูแลสัตว์ แต่เป็นการปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเกษตรกรและห่วงโซ่อุปทานอาหาร

ด้านการสื่อสาร: การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการขอความช่วยเหลือและประสานงาน แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยีในการจัดการภัยพิบัติยุคใหม่

ความต่อเนื่องและการเตรียมรับมือในอนาคต

อบจ.เชียงราย ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการอพยพ การจัดหาสิ่งของยังชีพ และการฟื้นฟูในระยะต่อไป

ภารกิจครั้งนี้จะกลายเป็นต้นแบบสำหรับการจัดการภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เศรษฐกิจในอนาคต และเป็นบทพิสูจน์ว่า เมื่อความมุ่งมั่นและการทำงานเป็นทีมมาบรรจบกัน ไม่มีภารกิจใดที่เป็นไปไม่ได้

การดำเนินการในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤต ที่ทุกความช่วยเหลือจำเป็นต้องดำเนินอย่างรวดเร็วและทั่วถึง นี่คือเรื่องราวของวีรกรรมเงียบๆ ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความมืดและน้ำท่วม เพื่อความหวังที่จะเห็น 1,150 ชีวิตได้กลับไปสู่ความปลอดภัย

หน่วยงานที่ให้ความร่วมมือ

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย,กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย,สถานีตำรวจในพื้นที่อำเภอเทิง,หน่วยกู้ภัยจากหลายองค์กร,อาสาสมัครและชาวบ้านในพื้นที่,สมาคมกู้ชีพกู้ภัยเทิงการกุศล-หน่วยกู้ภัยเทิง,กู้ภัยบุญช่วย,กู้ภัยเทิง,กู้ภัยศิริกรณ์,กู้ภัยปิยะมิตรแม่สาย,กู้ภัยสิงห์,ตำรวจน้ำ,ตำรวจตระเวนชายแดน,กู้ภัยแสงธรรมเทิง,กู้ภัยแสงธรรมขุนตาล,กู้ภัยเจริญเมือง,กู้ภัยแสงแก้ว,กองร้อยทหารพราน,อส.เทิง,ศ.เขต 15

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การสัมภาษณ์พิเศษ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย
  • รายงานการปฏิบัติงาน กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย
  • ข้อมูลจากผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในพื้นที่
  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วม องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รฟท. หยุดสร้างรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ รับมือพายุ “วิภา” เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

พายุ “วิภา” ถล่มเหนือ! รฟท. สั่งหยุดงานโครงการรถไฟเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ชั่วคราว “ผู้ว่าฯ วีริศ” ย้ำ “ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก”

เชียงราย, 24 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์ภัยพิบัติจากพายุ “วิภา” โครงการรถไฟสายยุทธศาสตร์ต้องหยุดชะงัก พายุโซนร้อน “วิภา” ที่สร้างผลกระทบหนักต่อหลายจังหวัดในภาคเหนือในสัปดาห์นี้ มิได้ส่งผลกระทบเพียงประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างแรงสะเทือนต่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศอย่างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ซึ่งเป็นโครงการยุทธศาสตร์ระดับชาติด้านโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย-จีน-ลาว

ภายใต้สถานการณ์ฝนตกหนักและสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟฯ ได้ประกาศสั่ง “หยุดหรือชะลอการดำเนินงานชั่วคราว” ในบางช่วงของโครงการ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของพนักงาน วิศวกร และโครงสร้างต่างๆ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งครอบคลุมงานสำคัญ อาทิ การยกชิ้นส่วนโครงสร้าง (Girder), การติดตั้งนั่งร้านในที่สูง, และงานระบบไฟฟ้าต่างๆ

มาตรการเข้มงวด! เฝ้าระวัง 24 ชม. ป้องกันอุบัติเหตุและช่วยเหลือประชาชน

นอกจากคำสั่งหยุดงานแล้ว รฟท. ยังจัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดต่างๆ ในโครงการให้เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งเตรียมอุปกรณ์และแผนตอบโต้เหตุฉุกเฉิน เพื่อเข้าแก้ไขทันทีหากเกิดสถานการณ์คับขัน นอกจากนี้ยังมอบหมายให้มีเจ้าหน้าที่คอยประสานงานและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่โครงการและชุมชนโดยรอบอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ผลกระทบจากเหตุการณ์ธรรมชาติครั้งนี้ “น้อยที่สุด”

ผู้ว่าการรถไฟฯ ยังเน้นย้ำว่า รฟท. มีการประเมินสถานการณ์พายุและสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดโดยอาศัยข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อวางแผนการทำงานและปรับแผนก่อสร้างแบบวันต่อวัน หากสภาพอากาศเอื้ออำนวยจะสามารถ “กลับเข้าสู่ภาวะปกติ” และเดินหน้าก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว

ความปลอดภัยต้องมาก่อนทุกความก้าวหน้า”  โมเดลบริหารจัดการในยุคภัยธรรมชาติรุนแรง

การตัดสินใจของ รฟท. ในครั้งนี้สะท้อนปรัชญา “ความปลอดภัยต้องมาก่อนความก้าวหน้า” อย่างแท้จริง แม้จะส่งผลกระทบต่อไทม์ไลน์ของโครงการ ซึ่งมีเป้าหมายจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคในอนาคต แต่การยึดมั่นในมาตรการป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงในสถานการณ์วิกฤตถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องและได้รับการยอมรับในระดับสากล

ในช่วงที่สภาพภูมิอากาศผันผวนรุนแรงบ่อยครั้ง โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั่วโลกต่างต้องปรับแผน “บริหารความเสี่ยงเชิงรุก” มากขึ้น ตัวอย่างเช่น รฟท. ที่สั่งหยุดงานทันทีในงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การยกโครงสร้างหนักและงานบนที่สูง เพื่อปกป้องชีวิตและสุขภาพของบุคลากร รวมถึงปกป้องโครงสร้างที่อยู่ระหว่างก่อสร้างไม่ให้ได้รับความเสียหายรุนแรง

นอกจากนี้ รฟท. ยังนำข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยามาใช้ในการตัดสินใจและวางแผนงานอย่างเป็นระบบ (Data-driven Decision Making) เพื่อให้แต่ละช่วงของโครงการมีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างทันท่วงที

ผลกระทบและความท้าทาย การชะลอโครงการและโอกาสสู่การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย

แม้มาตรการหยุดงานชั่วคราวจะทำให้เกิดความล่าช้าต่อแผนการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในโครงการขนาดใหญ่ของไทยในยุคสภาพภูมิอากาศรุนแรง การบริหารความเสี่ยงและการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติได้อย่างเป็นระบบจะเป็น “ต้นแบบใหม่” ให้กับโครงการเมกะโปรเจกต์ในอนาคต

ประเด็นวิเคราะห์สำคัญ

  • การสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าและความปลอดภัย: การตัดสินใจหยุดงานในจุดเสี่ยงโดยไม่คำนึงถึงกำหนดเวลาที่ต้องเร่งรัด แสดงให้เห็นถึงการให้คุณค่ากับชีวิตและสุขภาพคนงานมากกว่าตัวเลขเป้าหมาย
  • การบูรณาการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ: ใช้ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาและเครือข่ายเตือนภัยมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติงานประจำวัน
  • ความรับผิดชอบต่อชุมชน: การเตรียมแผนช่วยเหลือประชาชนรอบพื้นที่โครงการ สะท้อนจริยธรรมองค์กรและความโปร่งใสในการบริหาร

ความท้าทายที่ยังต้องจับตา

  • ผลกระทบต่อไทม์ไลน์: โครงการจะต้องเร่งฟื้นฟูการทำงานเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย เพื่อให้กระทบกับกำหนดการน้อยที่สุด
  • ความยืดหยุ่นและแผนสำรอง: ในอนาคต การปรับปรุงระบบการทำงานให้มีความยืดหยุ่นสูง และมีแผนสำรองที่ชัดเจน จะเป็นสิ่งจำเป็นต่อโครงการขนาดใหญ่

มาตรการรับมือภัยธรรมชาติของ รฟท. ในสถานการณ์พายุ “วิภา” ครั้งนี้ คือบทพิสูจน์สำคัญของ “ภาวะผู้นำเชิงรุก” ที่คำนึงถึงสวัสดิภาพชีวิตและความปลอดภัยของทุกฝ่ายอย่างสูงสุด แม้ต้องแลกมาด้วยเวลาที่ล่าช้าลงบ้าง แต่ถือเป็นแนวทางที่ทุกโครงการขนาดใหญ่ควรนำไปปรับใช้ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและปลอดภัยสำหรับประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News