Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เวียงกาหลง GI ดัง! ผู้ว่าฯ เชิญชวนชม สืบสานภูมิปัญญา

ผู้ว่าฯ เชียงราย เยี่ยม “คุณพ่อทัน” ผู้อนุรักษ์เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง

รากฐานอารยธรรมเก่าแก่หลายพันปีที่ควรค่าแก่การสืบสาน

เชียงราย, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เข้าเยี่ยมเยียน คุณพ่อทัน ผู้อนุรักษ์และสืบสานมรดกเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า ซึ่งเป็นศิลปะเครื่องปั้นดินเผาที่มีประวัติยาวนานนับพันปี และเป็นรากฐานอารยธรรมของชุมชนดั้งเดิมตั้งแต่ก่อนยุคพ่อขุนรามคำแหง

ปัจจุบัน เครื่องเคลือบเวียงกาหลง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของจังหวัดเชียงราย และเป็นที่รู้จักในหมู่นักสะสมเครื่องปั้นดินเผาทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากมีคุณภาพสูง น้ำหนักเบา และมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างไรก็ตาม ภายในจังหวัดเชียงรายเอง กลับยังมีการรับรู้และใช้เครื่องเคลือบเวียงกาหลงในวงจำกัด

ร่วมอนุรักษ์และสืบสานเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง

เพื่อส่งเสริมและรักษามรดกวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่านี้ ผู้ว่าฯ เชียงรายได้เชิญชวนประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ให้ร่วมกันสนับสนุนเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงผ่านแนวทางดังต่อไปนี้:

  1. เยี่ยมชมและศึกษา ประวัติความเป็นมาของเครื่องดินเผาเวียงกาหลงได้ที่บ้านคุณพ่อทัน หรือแหล่งผลิตอื่น ๆ ในอำเภอเวียงป่าเป้า
  2. สนับสนุนสินค้าท้องถิ่น โดยเลือกซื้อเครื่องเคลือบเวียงกาหลงเป็นของใช้ในบ้าน หรือของฝากในโอกาสต่าง ๆ ปัจจุบันจังหวัดเชียงรายใช้เครื่องเคลือบเวียงกาหลงเป็นของฝากแก่เอกอัครราชทูตและกงสุลที่มาเยือน
  3. ใช้เป็นของรางวัลและเกียรติบัตร เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้พิจารณานำเครื่องเคลือบเวียงกาหลงมาใช้เป็นโล่รางวัลหรือประกาศเกียรติคุณในงานสำคัญต่าง ๆ

สถิติและผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

จากข้อมูลของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย พบว่าในปี 2567 มูลค่าการส่งออกเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงเพิ่มขึ้นกว่า 30% โดยมีตลาดหลักอยู่ในประเทศญี่ปุ่นและยุโรป นอกจากนี้ ยังมีความต้องการภายในประเทศเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมให้ใช้เป็นของขวัญและของที่ระลึกอย่างเป็นทางการ

ที่มา: สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย, กลุ่มผู้ผลิตเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงราย นำชิงไถลดการเผา อากาศเป็นของทุกคน

ผู้ว่าฯ เชียงราย นำประชาชนร่วมกิจกรรม “ชิงไถ ลดการเผา” สร้างอากาศบริสุทธิ์

อากาศเป็นของทุกคน เราต้องช่วยกันดูแลรักษา”

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำประชาชนบ้านหนองเขียว อ.เวียงป่าเป้า ร่วมกิจกรรม ชิงไถ ลดการเผา” ณ บ้านหนองเขียว (หย่อมบ้านแม่ฉางข้าว) หมู่ 10 ตำบลป่างิ้ว อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยมี นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

ส่งเสริมแนวทางไถกลบ ลดปัญหาการเผา

หลังจากกิจกรรมไถกลบ ผู้ว่าฯ เชียงราย พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกัน หว่านเมล็ดพันธุ์ปอเทือง เพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ช่วยเพิ่มไนโตรเจนและสารอาหารในดิน ป้องกันหน้าดินพังทลาย และสามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงโค กระบือ หมู และสัตว์ชนิดอื่น ๆ ได้อีกด้วย

สร้างฝายชะลอน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้พื้นที่ต้นน้ำ

นอกจากนี้ คณะทำงานยังร่วมกัน สร้างฝายชะลอน้ำ เพื่อลดความรุนแรงของกระแสน้ำ ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน และกักเก็บน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ด้านอุปโภคบริโภคแก่ชุมชน รวมถึงสนับสนุนการเกษตรกรรมและปศุสัตว์บนพื้นที่ต้นน้ำ

ลงพื้นที่ให้กำลังใจประชาชนที่ทำแนวกันไฟ

ผู้ว่าฯ เชียงรายยังได้ลงพื้นที่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ร่วมกัน ทำแนวกันไฟ ในตำบลป่างิ้ว อำเภอเวียงป่าเป้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกันไฟป่าในจังหวัดเชียงราย

เชียงรายฟ้าใส” 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา

จังหวัดเชียงรายได้ออกประกาศมาตรการ เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้:

  1. ช่วงห้ามเผาในที่โล่ง: ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 การบริหารจัดการเชื้อเพลิงจะดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น
  2. ช่วงบังคับใช้มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด: ตั้งแต่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด
  3. ช่วงฟื้นฟูพื้นที่และเฝ้าระวัง: ดำเนินการหลังจากมาตรการห้ามเผาสิ้นสุดลง เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสร้างความตระหนักแก่ประชาชน

สถิติไฟป่าและผลกระทบด้านมลพิษทางอากาศ

จากข้อมูลของ กรมควบคุมมลพิษ พบว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมี จุดความร้อน (Hotspot) กว่า 2,800 จุด ส่งผลให้ค่าฝุ่น PM2.5 ในบางพื้นที่สูงเกิน 100 µg/m³ ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 50 µg/m³ และก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรณรงค์ งดเผาป่า-ลด PM2.5 ห้ามเผา 1 มีนาคม

เชียงรายเดินหน้ารณรงค์ “วันปลอดควันพิษจากไฟป่า” ลดเผา สู้วิกฤต PM2.5

สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เร่งเครื่องรณรงค์แก้ปัญหาไฟป่า

เชียงราย,28 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) จัดกิจกรรม “24 กุมภาพันธ์ วันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า” โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่

เป้าหมายหลัก: ลด ละ เลิก การเผาในที่โล่ง

กิจกรรมนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อ รณรงค์ให้ประชาชนลด ละ เลิก การเผาป่าและการเผาในที่โล่งทุกชนิด โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีอัตราการเกิดไฟป่าสูงสุด โดยมี นายเจษฎา เงินทอง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และเครือข่ายแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันจากเชียงรายและพะเยาเข้าร่วมงาน

เดินหน้าประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง

เพื่อให้การรณรงค์เกิดผล ขบวนรถประชาสัมพันธ์กว่า 22 คัน ถูกส่งออกไปกระจายข่าวสารและสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงฤดูไฟป่า

24 กุมภาพันธ์: วันสำคัญในการลดหมอกควันไฟป่า

มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 กำหนดให้ 24 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันรณรงค์ให้ปลอดควันพิษจากไฟป่า โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้

เชียงรายในกลุ่มเสี่ยงสูง: เผาป่าทำให้ PM2.5 พุ่งสูง

เชียงรายเป็น 1 ใน 9 จังหวัดภาคเหนือที่เผชิญปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 จากปัจจัยหลักดังนี้:

  • การเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก
  • การลักลอบเผาป่าเพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดิน
  • หมอกควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน

ภาวะแห้งแล้งในช่วงต้นปีเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้มลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้น กระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง

มาตรการเข้ม: ห้ามเผาเด็ดขาด 1 มี.ค. – 31 พ.ค. 2568

จังหวัดเชียงรายได้ออกประกาศห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด ตั้งแต่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 โดยมีการกำหนดมาตรการควบคุมดังนี้:

  • บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน
  • ช่องทางแจ้งเหตุเมื่อพบการเผา
  • มาตรการเฝ้าระวังและควบคุมพื้นที่เสี่ยง

เป้าหมายคือการแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างยั่งยืนและลดผลกระทบจากหมอกควันในระยะยาว

สถิติไฟป่าและผลกระทบต่อ PM2.5

จากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในปี 2567 เชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) กว่า 3,500 จุด และค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยในช่วงเดือนมีนาคมแตะระดับ 150 µg/m³ ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด (50 µg/m³) หลายเท่าตัว

ที่มา: สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15, กรมควบคุมมลพิษ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารพันธุ์ดี มทบ.37 ขยายผลสู่เยาวชน ปลูกฝังศาสตร์พระราชา

โครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 ขยายผลสู่สถานศึกษา สร้างการเรียนรู้ตามศาสตร์พระราชา

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568สำนักงานโครงการทหารพันธุ์ดี มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ได้ดำเนินโครงการขยายผลการเรียนรู้ ศาสตร์พระราชา สู่สถานศึกษา โดยให้การต้อนรับคณะครูและนักเรียนจาก โรงเรียนเกษมสาสน์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ที่เดินทางมาเข้าศึกษาดูงาน โครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ เพื่อให้เยาวชนเข้าใจหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านรูปแบบเกษตรผสมผสาน

การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมและการลงมือปฏิบัติจริง

โครงการครั้งนี้เปิดโอกาสให้นักเรียนระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 1-3 จำนวน 32 คน พร้อมครูผู้ควบคุม 4 ท่าน ได้เข้าเยี่ยมชมและศึกษาแนวทางการดำเนินโครงการพัฒนาตามแนวทาง ศาสตร์พระราชา โดยมีเนื้อหาการเรียนรู้ที่หลากหลาย ได้แก่

  • การปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติและประวัติศาสตร์เชียงราย
  • เยี่ยมชมโครงการทหารพันธุ์ดี และการนำแนวคิด ศาสตร์พระราชา มาประยุกต์ใช้
  • โครงการแพะเพื่อนแกะ ศึกษาการเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจที่สามารถสร้างรายได้
  • มินิซู (สวนสัตว์เล็ก) เรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศและการดูแลสัตว์
  • โครงการเกาะสมุนไพร การใช้สมุนไพรไทยในการดูแลสุขภาพ
  • โครงการเกษตรปลอดภัย ฝึกการปลูกพืชผักปลอดสารพิษ
  • การผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพ เพื่อลดการเผาวัสดุทางการเกษตร ลดปัญหาหมอกควัน
  • โครงการน้ำส้มควันไม้ เทคนิคการผลิตน้ำส้มควันไม้เพื่อใช้ในการเกษตรและปศุสัตว์

นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการได้เรียนรู้และลงมือทำจริง ทำให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

ผลตอบรับจากครูและนักเรียน

หลังจากจบกิจกรรม นักเรียนต่างมีความสุข สนุกสนาน และได้รับ ความรู้แปลกใหม่จากการสัมผัสของจริง ซึ่งช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับ การเกษตรเชิงยั่งยืน และ การดูแลสิ่งแวดล้อม ได้ดียิ่งขึ้น

คณะครูที่ร่วมสังเกตการณ์ต่างให้ความเห็นว่า รูปแบบการเรียนรู้นี้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นแนวทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพและตรงตามวัตถุประสงค์ของการศึกษานอกห้องเรียน

การขยายผลโครงการทหารพันธุ์ดีสู่เยาวชน

โครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 ได้ดำเนินการขยายผลการเรียนรู้นี้ไปยังสถานศึกษาหลายแห่งในจังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายในการปลูกฝังแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง” และ การพัฒนาที่ยั่งยืน ให้แก่เยาวชน ซึ่งจะช่วยให้เด็ก ๆ มีความรู้ด้านการเกษตรและการดูแลสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ระดับเยาวชน

ในอนาคต โครงการนี้จะขยายการเรียนรู้ให้ครอบคลุมโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับการศึกษาเชิงปฏิบัติ และสามารถนำแนวคิด พึ่งพาตนเอง” ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

สถิติที่เกี่ยวข้องกับโครงการและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 ปี 2567: กว่า 2,000 คน (ที่มา: มณฑลทหารบกที่ 37)
  • จำนวนโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการในจังหวัดเชียงราย: 20 โรงเรียน (ที่มา: กองบัญชาการทหารบก)
  • สัดส่วนพื้นที่เกษตรกรรมที่นำแนวคิดศาสตร์พระราชามาประยุกต์ใช้: 65% ของพื้นที่เกษตรในจังหวัดเชียงราย (ที่มา: กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
  • โครงการเกษตรปลอดภัยในภาคเหนือ: มีการผลิตพืชผักปลอดสารพิษมากกว่า 10,000 ไร่ (ที่มา: กรมวิชาการเกษตร)

สรุป

โครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยพัฒนา การเรียนรู้นอกห้องเรียน ให้แก่เยาวชนในจังหวัดเชียงราย โดยการน้อมนำ ศาสตร์พระราชา มาเป็นแนวทางในการพัฒนาและขยายผลสู่สถานศึกษา เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ทั้งด้าน ประวัติศาสตร์, การเกษตร, การดูแลสิ่งแวดล้อม และการพึ่งพาตนเอง ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในอนาคต

นักเรียน ครู และประชาชนที่สนใจสามารถติดต่อโครงการทหารพันธุ์ดี มทบ.37 เพื่อขอเข้าศึกษาดูงานและเรียนรู้ศาสตร์พระราชาได้ตลอดทั้งปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายห่วงใย! ผู้ว่าฯ เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวไฟไหม้บ้าน

ผู้ว่าฯ เชียงราย เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวผู้ประสบภัยไฟไหม้บ้านทั้งหลัง มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ให้กำลังใจครอบครัวผู้ประสบเหตุไฟไหม้บ้านทั้งหลังในเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้บ้านและทรัพย์สินได้รับความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท

เหตุการณ์ไฟไหม้และผลกระทบต่อครอบครัวผู้ประสบภัย

ไฟไหม้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ชุมชนสันโค้งหลวง ซอย 5 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยต้นเพลิงมาจากบ้านของ ส.อ.บุญศรี อายุ 88 ปี ซึ่งถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหลัง ส่งผลให้ทรัพย์สินภายในบ้านมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ถูกเผาทำลายทั้งหมด

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลนครเชียงรายได้รับแจ้งเหตุและระดมกำลังเข้าควบคุมเพลิงโดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง จึงสามารถดับไฟได้สำเร็จ เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าของบ้านและครอบครัวต้องสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด

ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ให้กำลังใจและมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจแก่ครอบครัวผู้ประสบภัย พร้อมทั้งนำสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมอบให้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

ผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายและทุกภาคส่วน พร้อมให้ความช่วยเหลือ และฟื้นฟูจิตใจของผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเน้นย้ำถึงความร่วมมือของชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือครอบครัว ส.อ.บุญศรี ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้โดยเร็ว

“นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้า แต่สิ่งที่เราทำได้คือร่วมมือกันเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และทำให้ครอบครัวของ ส.อ.บุญศรี ได้รับการฟื้นฟูทั้งทางกายและใจ” นายชรินทร์กล่าว

เทศบาลนครเชียงรายเร่งประสานความช่วยเหลือเพิ่มเติม

ด้าน เทศบาลนครเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่าง การประเมินความเสียหาย และเตรียมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือเพิ่มเติม เบื้องต้นได้จัดหาสถานที่พักชั่วคราวสำหรับครอบครัว ส.อ.บุญศรี และกำลังพิจารณาแนวทางการสนับสนุนเงินเยียวยา

นอกจากนี้ หน่วยงานภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป สามารถร่วมบริจาคช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบภัย ผ่านกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยของจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะนำเงินไปใช้ในการฟื้นฟูที่อยู่อาศัยและความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สถิติไฟไหม้ในจังหวัดเชียงราย ปี 2567: เกิดเหตุไฟไหม้ทั้งสิ้น 58 ครั้ง (ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย)
  • มูลค่าความเสียหายจากเหตุไฟไหม้เฉลี่ยต่อปีในจังหวัดเชียงราย: ประมาณ 120 ล้านบาท (ที่มา: เทศบาลนครเชียงราย)
  • ระยะเวลาเฉลี่ยในการควบคุมเพลิงของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงในพื้นที่เชียงราย: 90-120 นาที (ที่มา: หน่วยกู้ภัยเชียงราย)
  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ในเชียงราย ปี 2567: 85 ครัวเรือน (ที่มา: สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย)

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเชียงราย ขอให้ประชาชน เพิ่มความระมัดระวังในการใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าในช่วงฤดูแล้ง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ และหากพบเห็นเหตุการณ์ไฟไหม้สามารถแจ้งเหตุได้ที่ สายด่วน 199 ตลอด 24 ชั่วโมง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ป.ป.ช.เชียงราย ลุยตลาดร้าง 49 ล้าน ประชาชนร้องทิ้งขว้าง เทศบาลยังเงียบ!

ป.ป.ช.เชียงรายร่วมชมรม STRONG ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว หลังถูกปล่อยร้าง

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ ชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่เทศบาลตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบ โครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก ที่ใช้งบประมาณ 49.31 ล้านบาทในการก่อสร้าง แต่กลับถูกปล่อยร้าง ไม่มีการใช้งาน

การลงพื้นที่ติดตามและตรวจสอบข้อร้องเรียน

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายกิตติศักดิ์ พิมสาร ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายนั้ง แสงเพชรไพบูรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต พร้อมด้วย นางวันดี ราชชมภู ประธานกรรมการชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย นำคณะกรรมการชมรมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อร้องเรียนที่ได้รับจากสมาชิกเกี่ยวกับ โครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก

โครงการก่อสร้างที่ยังไร้การใช้งาน

โครงการดังกล่าวได้รับการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณ 49,310,000 บาท แต่จากการตรวจสอบพบว่า ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ เทศบาลตำบลม่วงยายได้รับการถ่ายโอนโครงการจาก กรมโยธาธิการและผังเมือง เมื่อปี 2567 และแม้จะมีแผนการบริหารจัดการตลาด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน

ป.ป.ช.ให้คำแนะนำแนวทางแก้ไข

ป.ป.ช.เชียงรายได้เสนอแนะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งพิจารณานำสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการถ่ายโอนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงตรวจสอบสาเหตุของความล่าช้าในการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายมีความโปร่งใสและคุ้มค่าต่องบประมาณที่ใช้จ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • งบประมาณโครงการก่อสร้างตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก: 49.31 ล้านบาท (ที่มา: กรมโยธาธิการและผังเมือง)
  • จำนวนโครงการก่อสร้างในเชียงรายที่ได้รับการร้องเรียนเรื่องความล่าช้าและการทุจริตในปี 2567: 12 โครงการ (ที่มา: ป.ป.ช.เชียงราย)
  • ตลาดที่ยังไม่เปิดใช้งานในพื้นที่ภาคเหนือ: มากกว่า 25 แห่ง (ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ความล่าช้าเฉลี่ยของโครงการภาครัฐในภาคเหนือ: 12-18 เดือน (ที่มา: สำนักงานงบประมาณแห่งชาติ)

สำนักงาน ป.ป.ช.เชียงรายระบุว่า จะยังคงติดตามความคืบหน้าของโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และเปิดรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนผ่านสายด่วน ป.ป.ช. หมายเลข 1205

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสั่งเร่งแก้ไฟป่า PM2.5 เปิดคลินิกมลพิษออนไลน์

รองผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ย้ำตรวจสอบจุดความร้อน พร้อมหามาตรการแก้ไข

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเผยว่าผู้ว่าราชการจังหวัดได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งตรวจสอบจุดความร้อนที่เกิดขึ้นเพื่อหาสาเหตุและแนวทางแก้ไข

ศูนย์ปฏิบัติการฯ เร่งหารือแนวทางแก้ปัญหา

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามและรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมา

มาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ แก้ไขปัญหาหมอกควัน

รองผู้ว่าฯ เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 ไปเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้มอบหมายมาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ ได้แก่

  1. ประชาสัมพันธ์กฎหมายห้ามเผาในที่โล่ง – แจ้งโทษและข้อกฎหมายให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง
  2. ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง – บูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหารือแนวทางแก้ไขปัญหา
  3. เพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ – หากค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ให้ฉีดพ่นละอองน้ำและดำเนินมาตรการอื่น โดยเฉพาะใน อำเภอแม่สาย
  4. ตรวจสอบจุดความร้อน – หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเข้าตรวจสอบจุดที่เกิดไฟป่า ค้นหาตัวผู้กระทำผิด และดำเนินคดีทางกฎหมาย

คลินิกมลพิษอำนวยความสะดวกประชาชน

ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ขยายบริการ คลินิกมลพิษทางอากาศ ผ่านระบบ หมอพร้อม” โดยประชาชนสามารถนัดหมายออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันหรือ Line OA ของหมอพร้อม เพื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป 106 แห่งทั่วประเทศ รวมถึง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และโรงพยาบาลแม่สาย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จุดความร้อนสะสม (Hotspot) ในจังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 25 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 320 จุด (ข้อมูลจาก GISTDA)
  • คุณภาพอากาศ (AQI) เฉลี่ยในเชียงราย วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 162 (ระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ) (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ)
  • อัตราผู้ป่วยจากปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เข้ารับบริการคลินิกมลพิษที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มี เพิ่มขึ้น 35% เทียบกับเดือนก่อนหน้า

ประชาชนที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ PM2.5 สามารถติดต่อ สายด่วนกรมอนามัย 1478 และ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

FAQs คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันและไฟป่า

  1. ทำไมภาคเหนือถึงเกิดไฟป่าและหมอกควันบ่อยในช่วงต้นปี?
    • สาเหตุหลักมาจาก การเผาป่าเพื่อหาของป่าและทำเกษตร รวมถึงลักษณะภูมิอากาศที่เอื้อต่อการสะสมของฝุ่น
  2. การเผาป่าในเชียงรายผิดกฎหมายหรือไม่?
    • ผิดกฎหมาย โดยผู้ฝ่าฝืนอาจถูก จำคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
  3. ค่าฝุ่น PM2.5 ที่อันตรายต่อสุขภาพคือระดับใด?
    • หากเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
  4. มีวิธีป้องกันฝุ่น PM2.5 อย่างไรบ้าง?
    • สวมหน้ากาก N95, หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และเปิดเครื่องฟอกอากาศในบ้าน
  5. จะตรวจสอบคุณภาพอากาศในเชียงรายได้จากที่ไหน?
    • สามารถติดตามได้ที่ แอป Air4Thai, เว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ, และ GISTDA

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพภาค 3 พัฒนาแหล่งน้ำ! แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ป่าแดด

แม่ทัพภาค 3 ลุยป่าแดด! แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม สร้างความมั่นคง

เชียงราย, 25 กุมภาพันธ์ 2568 – แม่ทัพภาคที่ 3 ลงพื้นที่ติดตามโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำใน อ.ป่าแดด

พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้า “โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ” ณ พื้นที่สาธารณะประโยชน์ หลงช้างตาย อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างกองทัพบกและมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตามแนวคิดที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วม โดยคำนึงถึงลักษณะภูมิสังคมและความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่

ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร

โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 และได้แสดงผลสำเร็จที่ชัดเจนในการลดปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือของไทย ซึ่งในอดีตเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมและการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง การดำเนินงานเน้นการพัฒนาระบบน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มักสร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร

ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ

สำหรับปีงบประมาณ 2567 กองทัพภาคที่ 3 ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 9 โครงการ, จังหวัดพะเยา 4 โครงการ, จังหวัดลำพูน 2 โครงการ, จังหวัดขอนแก่น 6 โครงการ และจังหวัดชัยภูมิ 10 โครงการ รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ การดำเนินงานเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 และมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2568 โดยมีการขุดดินทั้งหมด 3,058,018 ลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้ประชาชน 18,436 ครัวเรือน และพื้นที่เกษตรกรรม 1,507,515 ไร่ ได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม โครงการนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ แต่ยังเพิ่มความมั่นคงในชีวิตและรายได้ให้แก่ชุมชนเกษตรกรในระยะยาว

หน่วยทหารช่าง

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ตรวจสอบการทำงานของหน่วยทหารช่าง ซึ่งกองทัพภาคที่ 3 ได้มอบหมายให้หน่วยต่าง ๆ เข้าร่วมปฏิบัติงาน ประกอบด้วย กองพลพัฒนาที่ 3, กรมทหารช่างที่ 3, กองพันทหารช่างที่ 302 กรมทหารช่างที่ 3, กองพันทหารช่างที่ 4 กองพลทหารราบที่ 4 และกองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 หน่วยเหล่านี้ได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าปรับปรุงแหล่งน้ำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามกำหนดและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

การตอบรับอย่างดีจากชุมชน

นอกจากการติดตามความคืบหน้าโครงการแล้ว พลโท กิตติพงษ์ ยังได้มอบถุงยังชีพที่มีเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน พร้อมมอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนในชุมชน เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในท้องถิ่น อีกทั้งยังได้เยี่ยมชมและให้กำลังใจแก่กำลังพลจากหน่วยทหารที่จัดตั้งจุดบริการเคลื่อนที่ในพื้นที่ โดยมีทั้งการซ่อมรถยนต์, เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง, บริการตัดผม และการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชน


ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิต

อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญปัญหาการจัดการน้ำมาอย่างยาวนาน เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มสลับกับเนินเขา และมีแม่น้ำพุงไหลผ่าน ซึ่งในอดีตมักเกิดน้ำท่วมในฤดูฝนและขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาน้ำในการเพาะปลูกพืชผล เช่น ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วลิสง และลำไย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของพื้นที่


มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและเศรษฐกิจฐานราก

การดำเนินงานของกองทัพภาคที่ 3 และมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและเศรษฐกิจฐานรากให้แก่ประชาชนในเขตชนบท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่นและการเกษตรอย่างทั่วถึง

ในระหว่างการลงพื้นที่ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลและรักษาแหล่งน้ำที่ได้รับการปรับปรุง เพื่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว พร้อมทั้งยืนยันว่ากองทัพบกจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่มักถูกละเลยจากการพัฒนาในอดีต

โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำฝนและความถี่ของภัยพิบัติในประเทศไทย โดยการฟื้นฟูแหล่งน้ำจะช่วยเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝน และกระจายน้ำไปยังพื้นที่เกษตรในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ปี 2567 พบว่า พื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเฉลี่ย 20-30% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอำเภอป่าแดดที่มีประชากรราว 6,494 คน (ข้อมูลจากเทศบาลตำบลป่าแดด ปี 2561) และพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก
  • ข้อมูลจากมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ระบุว่า โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำตั้งแต่ปี 2559 ได้ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำกักเก็บทั่วประเทศกว่า 150 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลดีต่อครัวเรือนกว่า 500,000 ครัวเรือน (ที่มา: รายงานประจำปี 2566 มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

แพเปียก ‘แม่สรวย’ เปิดแล้ว อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวชุมชน

เชียงรายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ล่องแพเปียกแม่สรวย เปิดฤดูกาลปี 2568

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัวกิจกรรมท่องเที่ยวโดยชุมชน “การล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย” อย่างเป็นทางการ โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีเปิดกิจการดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

พิธีเปิดกิจกรรมล่องแพเปียกแม่สรวย

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00 น. ณ บริเวณลำน้ำแม่สรวย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางสาวณิชาภา สันธิ หัวหน้าฝ่ายกิจการคณะผู้บริหาร และ นางสาวสุมิตรา บางขะกูล หัวหน้าฝ่ายการท่องเที่ยว ร่วมเปิดตัวกิจกรรมสำคัญนี้

ในพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางสาวสุภาภรณ์ ยาลังคำ ปลัดอำเภอแม่สรวย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมรับฟังรายงานจาก นายประดิษฐ์ สุวรรณ์ ประธานกลุ่มแพเปียก และมีผู้นำท้องที่และท้องถิ่นเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้

การส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน

กิจกรรม ล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย – ลำน้ำแม่ลาว จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 พฤษภาคม 2568 ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมอาชีพและการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นเวทีสำคัญในการสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

นอกจากนี้ การจัดงานยังมุ่งเน้นการสร้างเอกลักษณ์และวัฒนธรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชนมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ล่องแพเปียก ท่ามกลางความงดงามของธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กิจกรรมการล่องแพเปียกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิด การสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ อย่างยั่งยืน ไม่เพียงแต่เจ้าของแพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่น และธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นายประดิษฐ์ สุวรรณ์ ประธานกลุ่มแพเปียก กล่าวว่าการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ได้สร้างรายได้หมุนเวียนให้กับชุมชนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและเกิดความร่วมมือระหว่างชาวบ้านในการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นไปอย่างยั่งยืน

แนวทางการพัฒนาในอนาคต

อบจ.เชียงราย มีแผนพัฒนาโครงการล่องแพเปียกให้มีความปลอดภัยและยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้แก่:

  • การเพิ่มมาตรการความปลอดภัย – กำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ช่วยชีวิตและการอบรมไกด์นำเที่ยว
  • การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ – ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน – ปรับปรุงท่าเทียบแพ จุดจอดรถ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว

สรุป

การเปิดตัว ล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญของการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่สามารถสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐและการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้กิจกรรมนี้กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การล่องแพเปียกแม่สรวยมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
    ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับแพ็คเกจท่องเที่ยวที่เลือก โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากกลุ่มแพเปียกแม่สรวยได้
  2. การล่องแพเปียกเหมาะกับทุกวัยหรือไม่?
    กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับทุกวัย แต่ควรมีการดูแลเด็กและผู้สูงอายุเป็นพิเศษเพื่อความปลอดภัย
  3. นักท่องเที่ยวควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
    ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม เตรียมอุปกรณ์กันน้ำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย
  4. สามารถจองล่องแพล่วงหน้าได้หรือไม่?
    สามารถจองล่วงหน้าผ่านกลุ่มแพเปียกแม่สรวย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความสะดวก
  5. มีมาตรการด้านความปลอดภัยอะไรบ้าง?
    มีอุปกรณ์ชูชีพ การอบรมไกด์นำเที่ยว และการตรวจสอบสภาพแพเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านร้อง! ย้ายทะเบียนบ้านกระทบ 3 ชุมชน วอนแก้ไขด่วน

ฝ่ายปกครองเชียงรายเร่งแก้ปัญหาย้ายทะเบียนบ้าน 3 ชุมชน หลังชาวบ้านวิตกกังวลผลกระทบ

เชียงราย, 23 กุมภาพันธ์ 2568 – ฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงรายรับฟังปัญหาจากชาวบ้าน 3 ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งทางปกครองให้ย้ายทะเบียนบ้านออกจากเขตเทศบาลนครเชียงราย พร้อมหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน

การประชุมหารือกับประชาชน

วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 13.00 น. ณ อาคารพบโชคคอมเพล็กซ์ บ้านห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เชียงราย เขต 1 ว่าที่ร้อยตรี สมชาติ เตชถาวรเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับสูง ได้ร่วมรับฟังปัญหาจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าว

ชาวบ้านจาก ชุมชนห้วยปลากั้ง ชุมชนบ้านดอย และชุมชนทวีรัตน์ (บางส่วน) แสดงความวิตกกังวลต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการย้ายทะเบียนราษฎร์โดยไม่มีการหารือหรือแจ้งข้อมูลล่วงหน้า ทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน วิถีชีวิต และการเข้าถึงบริการสาธารณะของพวกเขา

ต้นเหตุของปัญหาและกระบวนการเปลี่ยนแปลงแนวเขต

พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตเทศบาลเมืองเชียงราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2538 ได้กำหนดให้หมู่บ้านน้ำลัดได้รับการจัดตั้งเป็นชุมชนภายในเขตเทศบาลเมืองเชียงราย ต่อมาเมื่อเทศบาลเมืองเชียงรายได้รับการยกฐานะเป็นเทศบาลนครเชียงรายในปี 2547 ได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมและจัดตั้งชุมชนย่อยเพิ่มเติม ได้แก่ ชุมชนน้ำลัด ชุมชนบ้านห้วยปลากั้ง ชุมชนบ้านดอย และชุมชนทวีรัตน์ เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่เมือง

อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 กระทรวงมหาดไทยได้ออกคำสั่งที่ 133/2566 แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต่อมา สำนักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลนครเชียงรายได้มีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าบ้านในพื้นที่ดังกล่าว โดยระบุว่าพื้นที่นี้ไม่สอดคล้องกับแนวเขตเทศบาลนครเชียงราย และให้เจ้าบ้านไปพบนายทะเบียนท้องถิ่นของพื้นที่ข้างเคียงเพื่อดำเนินการแก้ไข

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน

ชาวบ้านทั้ง 3 ชุมชนจำนวน 3,579 คน ไม่ประสงค์ย้ายทะเบียนราษฎร์เนื่องจากกังวลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งรวมถึง:

  • ปัญหาทางกฎหมายและธุรกรรม – การเปลี่ยนทะเบียนบ้านส่งผลต่อสิทธิในที่ดินและการทำธุรกรรมทางกฎหมาย
  • การเข้าถึงบริการสาธารณะ – อาจมีผลกระทบต่อสิทธิด้านสาธารณสุขและการศึกษา
  • วิถีชีวิตและเศรษฐกิจ – การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่ออาชีพและสวัสดิการที่ชาวบ้านได้รับ

นอกจากนี้ ในวันแรกของการโอนย้ายทะเบียนบ้าน พบว่าชาวบ้านที่ไปทำใบขับขี่ที่สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงราย ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ยังไม่ได้รับการอัปเดต ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้

แนวทางแก้ไขปัญหา

ว่าที่ร้อยตรี สมชาติ เตชถาวรเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับหนังสือร้องเรียนจากตัวแทนชาวบ้านเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระเร่งด่วน โดยมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • คณะกรรมาธิการกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ
  • รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • ผู้อำนวยการคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย
  • กำนันตำบลบ้านดู่ และกำนันตำบลแม่ยาว
  • นายทะเบียนท้องถิ่นของเทศบาลนครเชียงราย บ้านดู่ และแม่ยาว

โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไขให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชน และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงแนวเขตเทศบาล

สรุป

ปัญหาการย้ายทะเบียนบ้านของ 3 ชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงรายส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชาชน ทำให้ฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงรายต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย การประชุมหารือครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของการรับฟังความคิดเห็นและหาทางออกที่เหมาะสม

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. เหตุใดจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวเขตเทศบาลนครเชียงราย?
    การเปลี่ยนแปลงเกิดจากแนวทางการจัดทำและแก้ไขแนวเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดโดยกระทรวงมหาดไทย
  2. ชาวบ้านสามารถคัดค้านคำสั่งย้ายทะเบียนบ้านได้หรือไม่?
    สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือร้องเรียนผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาปรับแก้ไขได้
  3. การเปลี่ยนแปลงทะเบียนบ้านส่งผลกระทบอย่างไร?
    อาจส่งผลต่อสิทธิทางกฎหมาย การเข้าถึงบริการสาธารณะ และการดำเนินธุรกรรมทางกฎหมายของประชาชน
  4. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างไร?
    กำลังมีการประชุมหารือและยื่นเรื่องเข้าสภาผู้แทนราษฎรเพื่อหาทางออกที่เป็นธรรม
  5. ชาวบ้านควรทำอย่างไรหากต้องการให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือร้องเรียน?
    สามารถติดต่อฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงราย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมและร้องเรียน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News