Categories
ECONOMY

ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติเด็กเกิดน้อย กระทบเศรษฐกิจและสังคม

ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติ “เด็กเกิดน้อย” กระทบเศรษฐกิจและสังคม

รายงานจาก Brandinside ระบุว่าในช่วงระหว่างปี 2506 ถึง 2526 ประเทศไทยมีประชากรเกิดใหม่ปีละกว่า 1 ล้านคน แต่นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนถึงปี 2568 ที่จำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยลดลงต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นครั้งแรก ส่งผลให้โครงสร้างประชากรของไทยเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเรื่องของสัดส่วนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากบทความ “จำนวนเด็กไทยเกิดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางนโยบายมีลูกเพื่อชาติ” ของ รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากจำนวนเด็กเกิดน้อยในประเทศไทย โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างประชากรของไทยและทำให้สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย

ในปี 2548 ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” ซึ่งมีผู้สูงอายุเกิน 10% ของประชากร และในปี 2567 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างสมบูรณ์ โดยมีผู้สูงอายุคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลในด้านเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากการมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นทำให้แรงงานลดลง ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ

ข้อมูลจากกรมอนามัยยังสะท้อนให้เห็นว่าในอีก 60 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงเหลือเพียง 33 ล้านคน ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 66 ล้านคน นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ ได้คาดการณ์ว่าในที่สุด หากไม่มีการนำนโยบายประชากรที่มีประสิทธิภาพมาใช้ ประเทศไทยอาจจะเหลือประชากรเพียง 29 ล้านคนในอนาคต

สาเหตุที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อย

การลดลงของจำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศไทยสามารถอธิบายได้จากหลายปัจจัย โดยกรมอนามัยได้ระบุถึง 4 สาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อยในประเทศไทย ได้แก่:

  1. คนไทยยังเป็นโสด: ข้อมูลจากสภาพัฒน์เผยว่า 40.5% ของคนไทยวัยเจริญพันธุ์ยังคงเป็นโสด ซึ่งทำให้มีการลดจำนวนคู่สมรสและการมีลูกลง
  2. คนไทยไม่อยากมีลูก: ผลการสำรวจจากนิด้าโพลพบว่า 44% ของคนไทยไม่อยากมีลูกเนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายที่สูงและความกังวลเกี่ยวกับสภาพสังคมที่ไม่เหมาะสำหรับการเลี้ยงดูเด็ก
  3. คนไทยมีลูกยาก: ข้อมูลจากกรมอนามัยระบุว่า 10-15% ของคู่สมรสไทยประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่
  4. คนไทยอยากมีลูก แต่กฎหมายไม่เอื้อ: แม้หลายคนจะต้องการมีลูก แต่กฎหมายในประเทศยังไม่ได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการให้สิทธิและการช่วยเหลือด้านการมีบุตรบุญธรรมและการอุ้มบุญ

นโยบาย “มีลูกเพื่อชาติ” และความล้มเหลวในการผลักดัน

ถึงแม้รัฐบาลไทยจะมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนมีลูกมากขึ้น เช่น การให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปี แต่ผลสำรวจจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคมพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจ (49%) เท่านั้นที่เชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนเด็กเกิดใหม่ในประเทศ ขณะที่มีเพียง 33% ของคู่สมรสไทยที่ยืนยันว่าจะ “มีลูก” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มการมีลูกยังคงต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

การสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่ม Gen Z, Gen X, และ Gen Y

จากการสำรวจของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม พบว่า กลุ่ม Gen X (อายุ 40-50 ปี) มีแนวโน้มจะมีลูกมากที่สุด (60%) ขณะที่กลุ่ม Gen Z (อายุ 18-25 ปี) อยู่ในลำดับรองลงมา (55%) และกลุ่ม Gen Y (อายุ 26-39 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะมีลูกน้อยที่สุด (44%) แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มของการมีลูกในรุ่นใหม่ๆ ยังคงลดลงตามทิศทางเดียวกัน

บทสรุป

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติ “เด็กเกิดน้อย” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรและเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ปัจจัยหลักที่ทำให้จำนวนเด็กเกิดน้อย ได้แก่ ความชอบในการเป็นโสด, ภาระค่าใช้จ่าย, ปัญหาภาวะมีบุตรยาก และความไม่เอื้ออำนวยของกฎหมาย ที่ยังไม่สนับสนุนให้มีลูกมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กำลังทำให้ประชากรไทยลดลง และคาดว่าในอนาคตประเทศจะเผชิญกับสังคมที่มีผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : brandinside

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

องค์มนตรีติดตามโครงการพระราชดำริที่เชียงราย

องค์มนตรีติดตามโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะในเชียงราย

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะที่โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเชียงของ โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ร่วมให้การต้อนรับ

การเยี่ยมชมในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของโครงการที่มีความสำคัญในด้านการพัฒนาชุมชนและการเกษตรกรรมในพื้นที่ โดยองค์มนตรีได้เยี่ยมชมผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากราษฎรในพื้นที่โครงการ พร้อมกับทำการปล่อยปลากระแห จำนวน 2,000 ตัว ปลานวลจันทร์ 500 ตัว และปลาบึก 19 ตัว ในแหล่งน้ำของหมู่บ้าน เพื่อนำไปสนับสนุนกิจกรรมการประมงในพื้นที่

พื้นที่โครงการและความสำคัญของโครงการ

อำเภอเชียงของ ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดต่อกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นระหว่างประเทศ โดยอำเภอเชียงของมีพื้นที่ปกครองแบ่งออกเป็น 7 ตำบล 102 หมู่บ้าน มีประชากรประมาณ 64,000 คน ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมและประมง

อำเภอเชียงของมีความสำคัญในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลายทางของรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย เชียงแสน เชียงของ ซึ่งตำแหน่งนี้ถือเป็น “Logistic City” ที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการพัฒนาสังคมและชุมชนควบคู่กับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะและประโยชน์ที่ได้รับ

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ตั้งอยู่ในตำบลห้ายซ้อ หมู่บ้านเวียหมอก เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีประชากร 336 ครัวเรือน หรือประมาณ 2,036 คน ซึ่งเป็นหมู่บ้านหลักที่ได้รับประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำนี้ ประชาชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์จากน้ำในอ่างเก็บน้ำในการทำการเกษตรกรรม ทั้งการปลูกพืชผัก ทำไร่ ทำนา และทำสวน ผลกระทบจากโครงการนี้ได้ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นอย่างมาก

ในปีที่ผ่านมา ส่วนราชการ ภาคเอกชน และชุมชนได้ร่วมกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่โดยการปลูกป่าและต้นไม้ในโครงการต่างๆ เช่น โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 และโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกับกรมป่าไม้และบริษัทต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต

โครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2564 โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในหมู่บ้านเวียหมอกได้ปลูกต้นไม้รวม 1,000 ต้น เช่น ต้นขี้เหล็ก มะขามป้อม ต้นเสี้ยวขาว และต้นพะยุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างพื้นที่สีเขียวและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2565 ได้มีการดำเนินโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจร่วมกับกรมป่าไม้และบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) โดยการปลูกป่าบนพื้นที่ 140.21 ไร่ และจะมีการดำเนินการต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2574 ในปี 2567 มีโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมกับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บนพื้นที่ 144.38 ไร่ ซึ่งจะเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2576

บทสรุป

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ตั้งอยู่ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนในด้านการเกษตรและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำในการเกษตรกรรมและการพัฒนาพื้นที่สีเขียวผ่านโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และชุมชนได้ช่วยสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและตรงตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงของเสริมท่องเที่ยวด้วยศิลปะ วัฒนธรรม MOU ม.ราชภัฏเชียงราย

พิธีลงนามความร่วมมือวิชาการ วิจัย และวัฒนธรรม เชียงของ มุ่งพัฒนาการท่องเที่ยวด้วยศิลปะการแสดง

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้จัดกิจกรรม การนำเสนอผลงานวิจัยและพัฒนาความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑ์กับท้องถิ่น” เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่ อำเภอเชียงของ ให้สอดคล้องกับการเป็นเมืองศิลปะของจังหวัดเชียงราย

ภายในงานมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ (MOU) ด้าน การวิจัยและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยมี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปวีณา ลี้ตระกูล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ร่วมลงนาม พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สภาวัฒนธรรมอำเภอเชียงของ และประชาชนในพื้นที่ที่เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธี

พิธีลงนามและกิจกรรมวิชาการครั้งนี้จัดขึ้นที่ พิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเชียงของ อาคารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (ท่าเรือบัค) บ้านหัวเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

การวิจัยเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวผ่านศิลปะวัฒนธรรม

หัวใจสำคัญของงานวิจัยครั้งนี้คือการใช้ ศิลปะการแสดงวัฒนธรรม มาสร้างสรรค์เป็นบทเพลงและผลงานจิตรกรรมร่วมสมัย เพื่อช่วย ส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของอำเภอเชียงของและจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วนในพื้นที่

นอกจากนี้ยังเป็นการเชื่อมโยงงานวิจัยให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมของเชียงของ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเด่นของเมืองศิลปะแห่งนี้

ผู้แทนหน่วยงานวัฒนธรรมร่วมกิจกรรม

ในงานนี้ได้รับเกียรติจาก นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายวรพล จันทร์คง และ นางสาวกนกวรรณ สุทธะ นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ จาก สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เข้าร่วมงาน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของ การบูรณาการศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นกับงานวิจัย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

MOU นี้จะช่วยพัฒนาเชียงของอย่างไร?

  1. พัฒนาเชียงของให้เป็นเมืองศิลปะและวัฒนธรรม – ขับเคลื่อนแหล่งท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น
  2. สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและชุมชน – สนับสนุนการวิจัยที่ตอบโจทย์พื้นที่
  3. ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ – ใช้ศิลปะ วัฒนธรรม และงานวิจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

เชียงของ เมืองศิลปะที่ต้องจับตา

อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม เนื่องจากมีประวัติศาสตร์ยาวนาน วิถีชีวิตดั้งเดิม และอยู่ติดแม่น้ำโขง โครงการความร่วมมือนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับเชียงของให้เป็น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนต่างให้คำมั่นว่า จะเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือเชิงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เชียงของกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในอนาคต

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการพัฒนาเชียงของผ่านศิลปะและวัฒนธรรม

  1. โครงการนี้มีเป้าหมายหลักคืออะไร?
    โครงการเน้น วิจัยและพัฒนาความร่วมมือด้านวัฒนธรรม เพื่อใช้ศิลปะและการแสดงวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์และยกระดับเชียงของให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปะ
  2. การลงนาม MOU นี้มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างไร?
    ช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน
  3. พิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเชียงของ คืออะไร?
    เป็นสถานที่จัดแสดงภาพถ่ายเก่าแก่เกี่ยวกับเชียงของและแม่น้ำโขง โดยสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
  4. การใช้ศิลปะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวได้อย่างไร?
    ศิลปะและการแสดงทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจ วัฒนธรรมท้องถิ่น และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน
  5. อำเภอเชียงของมีอะไรน่าสนใจบ้าง?
    เชียงของเป็นเมืองริมโขงที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัดเก่าแก่ พิพิธภัณฑ์ วิถีชีวิตชุมชน และศิลปะร่วมสมัยที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
EDITORIAL

ไขข้อข้องใจ นิสิต-นักศึกษา ต่างกันอย่างไรในมหาวิทยาลัยไทย

ความแตกต่างระหว่างคำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา” ในสถาบันการศึกษาไทย

ในประเทศไทย คำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา” ถูกใช้เรียกผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา แต่มีความแตกต่างกันทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละสถาบันการศึกษา

ที่มาของคำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา”

คำว่า นิสิต” มีรากฐานมาจากภาษาบาลี หมายถึง “ผู้อาศัยกับอุปัชฌาย์” ซึ่งในอดีตหมายถึงผู้เรียนที่พักอาศัยในบริเวณมหาวิทยาลัย เช่น ในยุคเริ่มแรกของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2459 ผู้เรียนจะต้องพักอาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ทำให้มีการเรียกผู้เรียนว่า “นิสิต” สะท้อนถึงลักษณะการเรียนรู้แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในบริเวณมหาวิทยาลัย

ส่วนคำว่า นักศึกษา” เริ่มต้นใช้ในปี พ.ศ. 2477 พร้อมการก่อตั้ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของไทย ผู้เรียนที่นี่ไม่จำเป็นต้องพักอาศัยในมหาวิทยาลัย คำว่า “นักศึกษา” จึงถูกใช้เพื่อแยกแยะลักษณะผู้เรียนที่มีความเป็นอิสระมากขึ้น

มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่ใช้คำว่า “นิสิต”

แม้ว่าคำว่า “นิสิต” จะเลือนหายไปในสถาบันใหม่ ๆ แต่ยังคงถูกใช้ในมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งมานาน เช่น

  1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  3. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  4. มหาวิทยาลัยนเรศวร
  5. มหาวิทยาลัยบูรพา
  6. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  7. มหาวิทยาลัยทักษิณ
  8. มหาวิทยาลัยพะเยา
  9. มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
  10. มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
  11. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยเหล่านี้ยังคงรักษาประเพณีดั้งเดิมและวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกันในลักษณะของการใช้ชีวิตแบบนิสิต

ความหมายของ “นิสิต” และ “นักศึกษา” ตามพจนานุกรม

  • นิสิต
    หมายถึงผู้ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยบางแห่ง หรือศิษย์ที่เล่าเรียนและอาศัยอยู่ในสำนักของครู
  • นักศึกษา
    หมายถึงผู้ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย หรือในสถานศึกษาระดับสูง

เหตุผลในการใช้คำเรียกที่แตกต่างกัน

การเลือกใช้คำว่า นิสิต” หรือ นักศึกษา” ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์และปรัชญาการศึกษาในแต่ละสถาบัน ตัวอย่างเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังคงใช้คำว่า “นิสิต” เพื่อสะท้อนถึงเอกลักษณ์ที่ผู้เรียนต้องมีการพักอาศัยและใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ในขณะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เลือกใช้คำว่า “นักศึกษา” เพื่อสะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตยและการเปิดกว้าง

ความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน การใช้คำว่า “นักศึกษา” กลายเป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ เพราะแสดงถึงความทันสมัยและอิสระของผู้เรียน ขณะที่คำว่า “นิสิต” ยังคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมหาวิทยาลัยดั้งเดิมเพียงไม่กี่แห่ง

สรุปความแตกต่างระหว่าง “นิสิต” และ “นักศึกษา”

  1. นิสิต: ใช้ในมหาวิทยาลัยที่มีประเพณีให้ผู้เรียนอาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. นักศึกษา: ใช้ในมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้าง และไม่จำเป็นต้องมีการพักอาศัยในมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

แม้ว่าคำสองคำนี้จะมีความหมายและประวัติที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง “นิสิต” และ “นักศึกษา” ต่างก็เป็นผู้แสวงหาความรู้ในระดับอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองและสังคมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : campus / มหาวิทยาลัยพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นักเรียนอนุบาลเชียงรายมอบผ้าห่มช่วยเด็กยากไร้ในถิ่นทุรกันดาร

นักเรียนอนุบาลเชียงรายมอบผ้าห่มกันหนาวช่วยเด็กด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดาร

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย (หลังเก่า) อ.เมืองเชียงราย นายพิษณุ คามวาสี ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ครู พี่เลี้ยง และนักเรียนสายชั้นปฐมวัย จำนวน 300 คน ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งมอบผ้าห่มกันหนาวจำนวน 200 ผืน ให้แก่นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดาร ตามโครงการ ทำดีเพื่อพ่อสานต่อ 89 ล้านความดี”

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวชื่นชมความเสียสละของเด็กๆ และโรงเรียนอนุบาลเชียงราย พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปลูกฝังคุณธรรมขั้นพื้นฐานในครอบครัวและโรงเรียน โดยระบุว่าความเสียสละแม้ในเรื่องเล็กน้อยจะส่งผลให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นบุคคลคุณภาพในอนาคต พร้อมมอบของที่ระลึกเพื่อขอบคุณความเสียสละและน้ำใจของนักเรียนทุกคน

ด้านนายพิษณุ คามวาสี กล่าวว่า กิจกรรมออมเงินเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวเชียงรายในโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็กนักเรียนชั้นปฐมวัย โดยเฉพาะเรื่องการเสียสละและการแบ่งปัน รวมถึงการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนในด้านความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความกตัญญู และความประหยัด

การมอบผ้าห่มกันหนาวสร้างพลังบวกในชุมชน

กิจกรรมนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้เด็กๆ เข้าใจถึงคุณค่าของการช่วยเหลือผู้อื่น และเป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดีในชุมชน ซึ่งผ้าห่มจำนวน 200 ผืน จะถูกนำไปแจกจ่ายให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร โดยการสนับสนุนของเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย

นอกจากการมอบผ้าห่มกันหนาวแล้ว ยังมีการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อการพัฒนานักเรียนในด้านวินัย ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์สุจริต และการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา รวมถึงส่งเสริมให้เด็กๆ มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

การปลูกฝังคุณธรรมสู่อนาคต

โรงเรียนอนุบาลเชียงรายได้เน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กนักเรียนเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา โดยการส่งเสริมกิจกรรมที่ปลูกฝังจิตสำนึกความดี เช่น การออมเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ซึ่งช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การเสียสละ ความเอื้อเฟื้อ และการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด

การดำเนินกิจกรรมครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในเด็กเล็ก แต่ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ปกครอง ครู และชุมชนในการส่งเสริมคุณค่าแห่งการแบ่งปันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างยั่งยืน

สรุป

กิจกรรมมอบผ้าห่มกันหนาวครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการปลูกฝังคุณธรรมในเด็กเล็ก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่มีความสุขและยั่งยืน เด็กๆ โรงเรียนอนุบาลเชียงรายได้แสดงให้เห็นถึงความเสียสละและน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ พร้อมทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมในการส่งเสริมความมีน้ำใจและการช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

เด็กออกกลางคันพุ่งทะลุ 1 ล้านคน เศรษฐกิจซบเซา พ่อแม่ดึงลูกออกจากระบบ

 

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา ในฐานะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์เด็กออกกลางคันหรือเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ในปีนี้เป็นไปอย่างหนักหน่วง โดยจากข้อมูลกสศ. พบว่าในปี2566 มีเด็กออกกลางคันประมาณ 1,025,514 คน  ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาจะมีเด็กออกกลางคันปีละกว่า 5 แสนคน ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างเท่าตัว และส่วนใหญ่เด็กจะออกกลางคันในช่วงรอยต่อระหว่างมัธยมต้นไปสู่มัธยมปลาย แต่ปัจจุบันพบว่ามีจำนวนเด็กที่ออกกลางคันในช่วงรอยต่ออื่น เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เช่น จากระดับประถมศึกษาไปสู่ระดับมัธยมศึกษา หรือจากมัธยมศึกษาตอนต้นไปสู่สายอาชีพ

 

“สำหรับสาเหตุเด็กออกกลางคัน ไม่ได้มาจากเรื่องความยากจนเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต  เพราะการเมือง เศรษฐกิจ และการศึกษา มีความสัมพันธ์กัน ตอนนี้การเมืองหม่นหมองจนสร้างความไม่มั่นใจให้กับการทำงาน การลงทุน เศรษฐกิจถดถอยซบเซาจนสังคมมีสภาพผุกร่อน ไปถึงเรื่องระบบการศึกษาที่มีปัญหา ทำให้เด็กออกกลางคันเพิ่มขึ้น ในอดีตเราอาจจะมองเพียงแค่เรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นหลักเพราะเป็นเรื่องของความยากจน แต่ในตอนนี้มันเป็นเรื่องของ 3-4 ระบบที่กล่าวมาจนส่งผลให้ครอบครัวของเด็กตัดสินใจในการเอาลูกตัวเองออกจากระบบการศึกษา”นายสมพงษ์ กล่าว

 

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวคิดว่าการศึกษา ขณะนี้มีลักษณะของการตื่นตัว พยายามเข้ามาช่วยเหลือเรื่องวิกฤตเด็กออกกลางคัน อย่างนโยบาย Thailand 0 Dropout ที่เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมามีการลงนามความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กับ 11 หน่วยงานในการผลักดันนโยบายนี้ หรือ นโยบาย พาน้องกลับมาเรียน ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นความพยายาม ในการช่วยเหลือเด็กออกนอกระบบ  เพียงแต่สถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น ไปเร็วกว่าการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาดังกล่าว ไป 1 หรือ 2 ก้าว  ทำให้ยังไม่ตอบโจทย์เด็กกลุ่มนี้ ซึ่งมีอยู่กว่า 15% ของประเทศ ฉะนั้น สิ่งที่ต้องดำเนินการ จึงไม่ใช่เพียงแค่การลงนามความร่วมมือหรือ ขับเคลื่อนระดับนโยบายเพียงอย่างเดียว  แต่ต้องเร่งค้นหาเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างจริงจัง ทั้งการเยี่ยมบ้าน การจัดสวัสดิการ การหาทุนการศึกษา รวมถึงการสร้างงานให้ผู้ปกครอง ต้องมองเด็กรุ่นนี้ว่าเป็นทรัพยากรพลเมืองสำคัญ เพราะเขาจะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกนี้เป็นปัจจัยที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการ

 

นายสมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ช่วง2-3ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดเก่าไม่ได้ทุ่มเทเอาใจใส่กับวิกฤตเด็กออกกลางคันให้ดีเท่าที่ควร  ทำให้เกิดปัญหาวิกฤตต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ประกอบกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19  ทำให้มีคนตกงาน  ครอบครัวมีหนี้สิน และเด็กต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้านผ่านมือถือ จนเกิดภาวะการเรียนรู้ถดถอย เด็กมีพฤติกรรมเชิงลบเข้าสังคมไม่เป็น เรื่องพวกนี้เป็นพื้นฐาน ให้เด็กปรับตัวได้ยาก เมื่อเปิดเรียนออนไซต์เต็มรูปแบบ  และสิ่งที่จะเห็นได้อีกอย่างคือ ปัญหาสุขภาพจิต ซึมเศร้า ยังไม่รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กเข้าถึงยาเสพติดได้ง่าย

 

“เด็กที่มีพฤติกรรมเชิงลบกับระบบการศึกษาก็จะถูกผลักออก ขณะที่อีกจำนวนมาก ไม่พร้อมกับการศึกษาที่ไม่อ่อนโยน ไม่ผ่อนปรน และไม่ยืดหยุ่น ปัญหาหลัก คือโครงสร้าง ระบบ และหลักสูตรการวัดผล ซึ่งผมคิดว่ายังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ทำให้เด็กจำนวนมากเข้าไม่ถึงการศึกษาที่ดีมีคุณภาพและเท่าเทียมกัน ส่วนเรื่องที่ พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ต้องการจะปฎิวัติการศึกษานั้น  ต้องเริ่มจากการเร่งจัดทำร่างพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ โดยเน้นหลักสูตรฐานสมรรถนะ และการนำระบบปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ มาใช้แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ การขาดแคลนครูในพื้นที่ห่างไกล  เพราะเรื่องการศึกษา มีหลายมิติ ดังนั้นการแก้ปัญหาก็ต้องมองในภาพรวมหลายมิติด้วยเช่นกัน  สิ่งที่ศธ.จะต้องทำให้ดีที่สุด คือ เปิดกระทรวงรับฟังข้อวิพากษ์วิจารณ์และแก้กฏระเบียบที่สกัดกั้นไม่ให้เอกชนกับท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการการศึกษา  การศึกษาไม่ใช่หน้าที่ของศธ. เพียงลำพัง โดยปัจจุบันสัดส่วนการจัดการศึกษากว่า 76% เป็นเรื่องของ ศธ. ส่วนท้องถิ่น 18% และเอกชนเพียง 5-6% เพียงเท่านั้น ฉะนั้นศธ.ต้องลดการจัดการลงมาให้เหลือ 50% เพื่อให้ท้องถิ่นกับเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา หน่วยงานละ 25% ทำให้เกิดการจัดการศึกษาที่หลากหลาย และมีความช่วยเหลือกันอย่างจริงจัง”นายสมพงษ์ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘หัวเว่ย’ ผนึกกำลัง ม.ราชภัฏเชียงราย ยกระดับการศึกษาปรับตัวเข้าตัวยุคดิจิทัล

 

เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา หัวเว่ยจัดงาน Digital Sustainable University Day อัพเดทเทรนด์เทคโนโลยีและโซลูชันไฮไลต์เพื่อการเตรียมพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสำหรับปรับตัวในยุคดิจิทัลของสถานศึกษา โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และลานนาคอม จัดขึ้นเป็นครั้งแรก ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 

นายวิลเลี่ยม จาง ประธานธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาในทุกๆ ด้าน และยังมีแนวโน้มที่จะมีพัฒนาการด้านความอัจฉริยะมากขึ้นทั้งการเรียน การสอน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนถึงการจัดการระบบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

 

กิจกรรมการเรียนการสอนได้เปลี่ยนจากการใช้กระดานดำแบบดั้งเดิมมาเป็นเครื่องมือมัลติมีเดีย จากการเรียนรู้เริ่มทำได้ไร้ข้อจำกัด และจากการบรรยายแบบทางเดียวไปสู่การเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น
ในฐานะผู้ให้บริการด้าน ICT ชั้นนํา

หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะนําเครือข่ายแคมปัสอัจฉริยะ ศูนย์ข้อมูล การประมวลผลคลาวด์ ห้องเรียนอัจฉริยะ และเทคโนโลยีอื่น ๆ มาใช้ในการพัฒนาบุคลากรด้านนวัตกรรมในการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา เร่งให้เกิดนวัตกรรมในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล

โดยจากการจัดอันดับของ QS World University Rankings มหาวิทยาลัยกว่า 30 แห่งจาก 100 อันดับแรกของโลกได้เลือกให้หัวเว่ยเป็นพันธมิตรในการนำเทคโนโลยีเข้าไปประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ประสิทธิภาพในการวิจัย และความสามารถด้านนวัตกรรม

“การจัดงานเทคโนโลยีในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นงานด้านเทคโนโลยีแบบฮาร์ดคอร์เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้พบปะกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการจริงๆ เพื่อพัฒนาความร่วมมือให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่สําหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับแถวหน้าของโลก หากเราสามารถใช้ข้อได้เปรียบของเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสร้างคุณค่ามากมาย“

ในโอกาสนี้ยังได้จัดให้มีพิธีลงนามความร่วมมือในโครงการหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่ (Huawei ICT Academy) เพื่อร่วมกันผลักดันการพัฒนาความรู้ความสามารถในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ตลอดจนเตรียมความพร้อมในเทคโนโลยีเฉพาะทาง เพื่อเป็นการบ่มเพาะบุคลากรในอนาคตให้มีทักษะความสามารถด้านดิจิทัลตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม

โดยผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมผ่านโครงการหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่ จะได้รับประกาศนียบัตรมาตรฐานวิชาชีพของหัวเว่ย ซึ่งเป็นการรับรองที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมระดับโลก อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสมัครงานของนิสิตนักศึกษา รวมไปถึงโอกาสฝึกงานกับบริษัท หัวเว่ย ประเทศไทย ตลอดจนอาจได้เป็นพนักงานของหัวเว่ยหรือบริษัทในเครือพันธมิตร ซึ่งปัจจุบัน มีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยเข้าร่วมในโครงการหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่แล้วมากกว่า 2,200 แห่งทั่วโลก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับหัวเว่ย ซึ่งก็ถือเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่ได้โฟกัสเพียงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของบุคลากรและนักศึกษา รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี

ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของมหาวิทยาลัยในการขับเคลื่อนสู่การเป็น CRRU Smart University อีกด้วย และเชื่อว่าความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนในยุคดิจิทัล และเกิดประโยชน์แก่ทั้งนักศึกษา อาจารย์ บุคลากร รวมถึงการให้บริการสังคมแก่พี่น้องประชาชนทุกคนอย่างแน่นอน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ตลาดนัดแนะแนวอาชีพสร้างโอกาสเด็กและเยาวชน เลือกสร้างทางการศึกษา

 

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 นายพิสุทธิศักดิ์ ธรรมะวุฒิสุข ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานทะเบียนและบัตร ได้เป็นประธานในการเปิดงาน ตลาดนัดแนะแนวอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมสู่โลกของการเรียนต่อและมีงานทำ ที่ สวนสุขภาพ 100 ปี อ.เชียงคำ จ.พะเยา โดยมี นายธีระชัย สมฤทธิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเชียงคำ และหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่เข้าร่วมจัดซุ้มนิทรรศการให้กับเด็กและนักเรียนกว่า 300 คน เข้าร่วม ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ.เพื่อเด็กและเยาวชนฯ ในพื้นที่ของโครงการฯ จังหวัดพะเยา ได้จัดกิจกรรม นิทรรศการตลาดนัดแนะแนวอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมสู่โลกของการเรียนต่อและมีงานทำ

 

นาย ขจรศักดิ์ กาติ๊บ ประธานกรรมการบริหารโครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ.จังหวัดพะเยา กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของโครงการแนะแนวอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมสู่โลกของงาน หรือตลาดนัดแนะแนวอาชีพ ครั้งนี้ โครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ. จังหวัดพะเยา ภายใต้การสนับสนุนของ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการพัฒนาเด็ก ให้ความช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสโดยไม่จำกัดเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา สุขภาพ ทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ และเป็นโอกาสดีที่เด็กและเยาวชนในจังหวัดพะเยา ได้รับการช่วยเหลือ และส่งเสริมอาชีพเพื่อนำไปต่อยอดในการเลี้ยงชีพในอานาคตได้
 
 
โดยมี สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานพะเยา วิทยาลัยเทคนิคเชียงคำ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงคำ ศูนย์ฝึกอาชีพเด็กและสตรี จังหวัดเชียงราย โรงเรียนทวิบริบาลศาสตร์ เชียงราย โรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ ณชจันทร์ และ ฟาร์มเห็ดเศรษฐกิจร่มเย็น แนะแนวทางการศึกษาต่อแก่เด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนสร้างทางเลือกการศึกษาต่อ ทั้งด้านสายอาชีพและอุดมศึกษา ที่ตรงกับความต้องการและความถนัดของตนเอง เพิ่มช่องทางให้นักเรียนและผู้ปกครองได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของสถาบันการศึกษา และเตรียมความพร้อมในการศึกษาต่อหรือเตรียมเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนความร่วมมือจากองค์กร หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ภาคีเครือข่ายโรงเรียน ชุมชน จัดซุ้มนิทรรศการทักษะอาชีพเด็กในโรงเรียน เพื่องานประชาสัมพันธ์
 
 
นายพิสุทธิศักดิ์ ธรรมะวุฒิสุข กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการเตรียมความพร้อมสู่โลกของการศึกษาต่อและมีงานทำ โดยภายในงานมีหน่วยงานการศึกษาต่างๆ ร่วมจัดนิทรรศการ สร้างความเข้าใจในเส้นทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ (INSPIRATION) ในหัวข้อเรื่องความสำคัญของการศึกษา สำหรับเด็กและเยาวชนในโรงเรียนภาคี ในพื้นที่การดำเนินงานโครงการฯ เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนสร้างทางเลือกการศึกษาต่อ ทั้งด้านสายอาชีพและอุดมศึกษา ที่ตรงกับความต้องการและความถนัดของตนเอง เพิ่มช่องทางให้นักเรียนและผู้ปกครองได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของสถาบันการศึกษา และเตรียมความพร้อมในการศึกษาต่อหรือเตรียมเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
 
สำหรับ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพื้นที่ดำเนินงานในจังหวัดพะเยา ครอบคลุม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอจุน อำเภอปง อำเภอภูซาง และ อำเภอเชียงคำ ปัจจุบัน มีเด็กในการดูแลของโครงการ จำนวน 1,191 ราย กิจกรรมตลาดนัดแนะแนวอาชีพ ในวันนี้ได้รับการสนับสนุนความร่วมมือจากองค์กร หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ภาคีโรงเรียน ชุมชน จัดซุ้มนิทรรศการเพื่อประชาสัมพันธ์ แนะแนวทางการศึกษาต่อแก่เด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรม
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News