เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 67 เวลา 09.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการส่งเสริมภูมิคุ้มกันทางการเงิน (MSO FinProtect)” ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับธนาคารออมสิน โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายวุฒิพงษ์ ภิรมยาภรณ์ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าฐานรากและสนับสนุนนโยบายรัฐ ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายวราวุธ กล่าวว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยถึงปัญหาหนี้สิ้นของประชาชน และได้สั่งการให้ทุกกระทรวงรวบรวมปัญหาหนี้สิ้นทั้งระบบ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการวางแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินของบุคลากรกระทรวง พม. โดยความร่วมมือกับธนาคารออมสิน ภายใต้ “โครงการส่งเสริมภูมิคุ้มกันทางการเงิน (MSO FinProtect)” เป็นการประสานความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่บุคลากรกระทรวง พม. ตลอดจนสนับสนุนความรู้และให้คำปรึกษาแนะนำ การวางแผน และการรักษาวินัยทางการเงิน
นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า ความร่วมมือในวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของทั้งสองหน่วยงานในการช่วยเหลือสวัสดิการด้านการเงินให้แก่บุคลากรกระทรวง พม. ทุกคน ทุกระดับ โดยผู้บริหารทั้งสองหน่วยงานตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสวัสดิการด้านการเงินของบุคลากร เพื่อแบ่งเบา แก้ไขปัญหาภาระหนี้สิน ด้วยการสนับสนุนข้อมูล ความรู้ การให้คำปรึกษาแนะนำ การจัดการมาตรการผ่อนปรนทางด้านดอกเบี้ย การวางแผนและการรักษาวินัยทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลต่อบุคลากรที่พร้อมเข้าร่วมโครงการในวันนี้ จำนวน 3,233 คน มียอดหนี้สินรวมกัน 3,884,720,010 บาท ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้สินของบุคลากรกลุ่มนำร่อง จำนวน 150 คน วงเงินไม่เกิน 250,000 บาท โดยเบื้องต้นของเป้าหมายคือ ลูกหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้นอกระบบ มีจำนวนหนี้รวมทั้งหมด 16,118,109 บาท ในจำนวนเงินดังกล่าว มีภาระชำระดอกเบี้ย จำนวนเงิน 3,183,665 บาทต่อปี หากทำการปรับโครงสร้างหนี้สินกับธนาคารออมสินแล้ว จะสามารถลดภาระการชำระดอกเบี้ยได้ จำนวนเงิน 1,733,035 บาทต่อปี จะเห็นได้ว่าเบื้องต้น เป็นโครงการนำร่องจากจำนวนบุคลากร 150 เท่านั้น และหากดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้สินได้ทั้งหมด 3,233 คน จะส่งผลให้ภาระหนี้สินด้านดอกเบี้ยที่จ่ายได้ผ่อนคลายลง สำหรับบุคลากรที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้สินในเรื่องการยืดระยะเวลาชำระ ยิ่งจะส่งผลให้ลดภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน ทำให้สามารถบริหารการเงินส่วนบุคคลให้เกิดสภาพคล่องในการดำรงชีพได้ดียิ่งขึ้น
นายวราวุธ กล่าวต่ออีกว่า ตั้งแต่ที่ตนได้เข้ามาทำงานที่กระทรวง พม. เมื่อเดือนกันยายน 2566 เห็นได้ว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมถึงอาสาสมัครของกระทรวง พม. มีภารกิจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรับฟังปัญหาและเข้าไปแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านที่อยู่อาศัย สภาพความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัว ดังนั้น การที่กระทรวง พม. จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องดูแลคนของเรา ก่อนที่จะเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น เพราะฉะนั้นแล้ว เราจะเป็นน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว ดังนั้น วันนี้สิ่งที่สำคัญคือการแสดงให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวง พม. ได้เห็นว่าผู้บริหารของกระทรวง พม. ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการ เข้าใจและให้ความสำคัญกับสถานการณ์และความเป็นอยู่ของเพื่อนข้าราชการทุกคน จึงเป็นเหตุผลให้เริ่มดำเนินโครงการในวันนี้ และต้องขอขอบคุณธนาคารออมสินที่เข้ามาเป็นผู้แก้โครงสร้างหนี้สินและดูแลการจัดระเบียบของหนี้สินทั้งหลายของข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม.
นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นของโครงการนี้ จะเข้ามาดูปริมาณหนี้สินทั้งหมดว่า มีจำนวนเท่าไหร่และจะมาปรับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตนั้นค่อนข้างสูง ดังนั้น การที่ธนาคารออมสินเข้ามาดูแลหนี้สิน ดอกเบี้ยบัตรเครดิต เราจะสามารถปรับมูลค่าดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายลดลงไปได้กว่าครึ่ง ซึ่งคาดว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ไปได้มากพอสมควร นอกจากนี้ เรายังมีแผนเจรจากับสถาบันการเงิน เรื่องหนี้ที่อยู่อาศัย เพราะปัญหาที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญของพี่น้องประชาชนรวมถึงเพื่อนข้าราชการกระทรวง พม. ดังนั้น การที่เราจะสามารถเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินเรื่องบ้าน ตนเชื่อมั่นว่าการทำโครงการนี้และในอนาคตนั้น จะเพิ่มศักยภาพการทำงาน
ของเพื่อนข้าราชการกระทรวง พม. ได้เป็นอย่างดี
นายวราวุธ กล่าวว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยถึงปัญหาหนี้สิ้นของประชาชน และได้สั่งการให้ทุกกระทรวงรวบรวมปัญหาหนี้สิ้นทั้งระบบ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการวางแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินของบุคลากรกระทรวง พม. โดยความร่วมมือกับธนาคารออมสิน ภายใต้ “โครงการส่งเสริมภูมิคุ้มกันทางการเงิน (MSO FinProtect)” เป็นการประสานความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่บุคลากรกระทรวง พม. ตลอดจนสนับสนุนความรู้และให้คำปรึกษาแนะนำ การวางแผน และการรักษาวินัยทางการเงิน
นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า ความร่วมมือในวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของทั้งสองหน่วยงานในการช่วยเหลือสวัสดิการด้านการเงินให้แก่บุคลากรกระทรวง พม. ทุกคน ทุกระดับ โดยผู้บริหารทั้งสองหน่วยงานตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสวัสดิการด้านการเงินของบุคลากร เพื่อแบ่งเบา แก้ไขปัญหาภาระหนี้สิน ด้วยการสนับสนุนข้อมูล ความรู้ การให้คำปรึกษาแนะนำ การจัดการมาตรการผ่อนปรนทางด้านดอกเบี้ย การวางแผนและการรักษาวินัยทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลต่อบุคลากรที่พร้อมเข้าร่วมโครงการในวันนี้ จำนวน 3,233 คน มียอดหนี้สินรวมกัน 3,884,720,010 บาท ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้สินของบุคลากรกลุ่มนำร่อง จำนวน 150 คน วงเงินไม่เกิน 250,000 บาท โดยเบื้องต้นของเป้าหมายคือ ลูกหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้นอกระบบ มีจำนวนหนี้รวมทั้งหมด 16,118,109 บาท ในจำนวนเงินดังกล่าว มีภาระชำระดอกเบี้ย จำนวนเงิน 3,183,665 บาทต่อปี หากทำการปรับโครงสร้างหนี้สินกับธนาคารออมสินแล้ว จะสามารถลดภาระการชำระดอกเบี้ยได้ จำนวนเงิน 1,733,035 บาทต่อปี จะเห็นได้ว่าเบื้องต้น เป็นโครงการนำร่องจากจำนวนบุคลากร 150 เท่านั้น และหากดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้สินได้ทั้งหมด 3,233 คน จะส่งผลให้ภาระหนี้สินด้านดอกเบี้ยที่จ่ายได้ผ่อนคลายลง สำหรับบุคลากรที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้สินในเรื่องการยืดระยะเวลาชำระ ยิ่งจะส่งผลให้ลดภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน ทำให้สามารถบริหารการเงินส่วนบุคคลให้เกิดสภาพคล่องในการดำรงชีพได้ดียิ่งขึ้น
นายวราวุธ กล่าวต่ออีกว่า ตั้งแต่ที่ตนได้เข้ามาทำงานที่กระทรวง พม. เมื่อเดือนกันยายน 2566 เห็นได้ว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมถึงอาสาสมัครของกระทรวง พม. มีภารกิจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรับฟังปัญหาและเข้าไปแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านที่อยู่อาศัย สภาพความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัว ดังนั้น การที่กระทรวง พม. จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องดูแลคนของเรา ก่อนที่จะเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น เพราะฉะนั้นแล้ว เราจะเป็นน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว ดังนั้น วันนี้สิ่งที่สำคัญคือการแสดงให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวง พม. ได้เห็นว่าผู้บริหารของกระทรวง พม. ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการ เข้าใจและให้ความสำคัญกับสถานการณ์และความเป็นอยู่ของเพื่อนข้าราชการทุกคน จึงเป็นเหตุผลให้เริ่มดำเนินโครงการในวันนี้ และต้องขอขอบคุณธนาคารออมสินที่เข้ามาเป็นผู้แก้โครงสร้างหนี้สินและดูแลการจัดระเบียบของหนี้สินทั้งหลายของข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม.
นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นของโครงการนี้ จะเข้ามาดูปริมาณหนี้สินทั้งหมดว่า มีจำนวนเท่าไหร่และจะมาปรับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตนั้นค่อนข้างสูง ดังนั้น การที่ธนาคารออมสินเข้ามาดูแลหนี้สิน ดอกเบี้ยบัตรเครดิต เราจะสามารถปรับมูลค่าดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายลดลงไปได้กว่าครึ่ง ซึ่งคาดว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ไปได้มากพอสมควร นอกจากนี้ เรายังมีแผนเจรจากับสถาบันการเงิน เรื่องหนี้ที่อยู่อาศัย เพราะปัญหาที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญของพี่น้องประชาชนรวมถึงเพื่อนข้าราชการกระทรวง พม. ดังนั้น การที่เราจะสามารถเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินเรื่องบ้าน ตนเชื่อมั่นว่าการทำโครงการนี้และในอนาคตนั้น จะเพิ่มศักยภาพการทำงาน
ของเพื่อนข้าราชการกระทรวง พม. ได้เป็นอย่างดี
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์