Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

Likhai Nature Walk ปี 3 ยกระดับ ‘ลิไข่’ สู่จุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวคุณภาพของเชียงราย

เปิดประสบการณ์ “อาบป่า” ที่ลิไข่! อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าที่หมอกบางๆ คลุมทิวเขา แสงแรกของวันค่อยๆ ไล้ตามแนวสันนาขั้นบันไดสีเขียวมรกต บ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เริ่มตื่นก่อนเมือง นักท่องเที่ยวบางส่วนกำลังยืดแขนรับอากาศเย็น ขณะชาวบ้านชงกาแฟคั่วสดในกระบอกไม้ไผ่ กลิ่นหอมของดินเปียก น้ำค้าง ใบหญ้า และควันอ่อนจากเตาถ่าน ประสานกันจนไม่แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว หรืออยู่ในพิธีกรรมบำบัดใจ

นี่คือบรรยากาศของกิจกรรม “Likhai Nature Walk – เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ บ้านลิไข่” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกำลังถูกยกระดับให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสุขภาพของจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่มุ่งหมายให้การท่องเที่ยวไม่กระจุกอยู่เพียงจุดดัง แต่กระจายสู่ทุกพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง

ในปีนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม ณ บ้านลิไข่ โดยมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายท้องถิ่นและภาคเอกชน ได้แก่ นายวิทยา เหล่าธีรศิริ ประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC หอการค้าจังหวัดเชียงราย) ซึ่งรายงานภาพรวมความร่วมมือ และนายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับในฐานะตัวแทนพื้นที่

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรมนี้อาจเป็นเพียง “การเดินชมวิว” ของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนเชียงราย โดยเฉพาะผู้ทำงานในพื้นที่มานาน กิจกรรม “Likhai Nature Walk” เป็นมากกว่านั้น มันคือพื้นที่ทดลองนโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่จริง เป็นการจัดการสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และการออกแบบรูปแบบ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” แทนที่จะเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นตัวเลขปริมาณผู้มาเยือน

นาขั้นบันไดลิไข่” จากภูมิทัศน์ชาวบ้าน สู่แหล่งฮีลใจระดับประเทศ

นาขั้นบันไดบ้านลิไข่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นชื่อที่เริ่มถูกพูดถึงในหมู่นักเดินทางที่ต้องการ “พักใจแท้ๆ” โดยไม่ต้องเดินทางไกลถึงชายแดนหรือยอดดอยสูง นาขั้นบันไดที่นี่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามของผืนนาเรียงชั้นตามไหล่เขา แต่มีบริบทของคน ชุมชน และธรรมชาติที่ยังเชื่อมถึงกันอย่างใกล้ชิด

ภาพที่เห็นคือผืนนาข้าวโค้งเรียวรับไปตามสันคันนา มองได้ไกลสุดสายตาแบบไม่มีเสาไฟฟ้าแรงสูง ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีร้านค้าสำเร็จรูปขนาดใหญ่ และไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่ตัดกับภูมิประเทศดั้งเดิม ความงดงามจึงไม่ใช่เพียง “ทิวทัศน์” แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผืนดิน

กิจกรรม Likhai Nature Walk จึงไม่ใช่เพียงการพาคนนอกเข้ามาถ่ายภาพ แต่คือการนำผู้เข้าร่วม “เดินเข้าไปในระบบนิเวศของชุมชน” อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยึดหลักการที่ผู้จัดเรียกว่า “อาบป่า” หรือ Shinrin-Yoku ซึ่งเป็นแนวคิดการบำบัดด้วยธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ

ในพื้นที่ลิไข่ การ “อาบป่า” ไม่ได้จำกัดอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ หากแต่เกิดขึ้นในนาขั้นบันได ป่าชุมชน ลำธารเล็กๆ ทางเดินเก่าใต้ร่มไผ่ และพื้นที่เกษตรผสมผสาน — กล่าวคือ เป็นการยอมรับว่าภูมิทัศน์ทางการเกษตรแบบดั้งเดิมเองก็มีมิติการเยียวยาที่แท้จริง ไม่ต่างไปจากป่าดิบ

ผู้ร่วมกิจกรรมได้สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งสี่

  • เสียง: เสียงลมพัดผ่านยอดข้าว เสียงน้ำไหลเบาๆ จากร่องน้ำและลำธาร เสียงจั๊กจั่นในร่องป่าชื้น
  • กลิ่น: กลิ่นหญ้าเปียก กลิ่นข้าวอ่อน กลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวบ้านปลูกริมคันนา
  • ภาพ: ภาพพื้นที่สีเขียวไล่ระดับแบบไม่มีเส้นตึกตัดสายตา พร้อมหมอกลงสลับเงาเขา
  • สัมผัสและรส: การเดินเท้าเปล่าแตะบนดินเย็น แช่ปลายเท้าลงในลำธารธรรมชาติ จิบกาแฟร้อนที่คั่วโดยคนในพื้นที่ ยามอุณหภูมิยังต่ำกว่ายี่สิบนิดๆ

แนวคิดตรงนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนการมาเยือนจาก “การบริโภคสถานที่” ไปสู่ “การอยู่กับสถานที่” ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ นักท่องเที่ยวไม่ได้ถูกปฏิบัติในฐานะลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ในฐานะแขกที่ได้รับเชิญให้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับภูมิทัศน์อย่างเคารพ

ไม่ใช่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติธรรมดา แต่คือเศรษฐกิจฐานรากแบบมีสติ

การผลักดัน Likhai Nature Walk ในปีนี้มีความหมายทางนโยบายในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ระบุถึงทิศทางดังกล่าวว่า การผลักดันกิจกรรมลักษณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในทุกอำเภออย่างทั่วถึง พร้อมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับเชียงรายให้เป็น “เมืองแห่งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

หากมองในเชิงโครงสร้าง จะเห็นว่ามีความพยายามผลักเชียงรายให้ก้าวข้ามการเป็น “จังหวัดท่องเที่ยวเชิงฤดูกาล” (เมืองหนาวปลายปี ดอยดัง คาเฟ่ดัง) ไปสู่การเป็น “พื้นที่การท่องเที่ยวคุณภาพที่เที่ยวได้ทั้งปี” โดยใช้ความหลากหลายของภูมิประเทศ ชาติพันธุ์ วิถีชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นเสาหลักของการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว

นโยบายดังกล่าวถูกสรุปในคำขวัญเชิงปฏิบัติการของ อบจ.เชียงราย คือ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” (นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ในชุดนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.) ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึง

  1. ลดการกระจุกของรายได้ท่องเที่ยว
    รายได้จากการท่องเที่ยวไม่ควรตกอยู่เฉพาะในอำเภอที่เป็นแม่เหล็กทางการตลาด เช่น เมืองเชียงราย แม่สาย แม่จัน หรือจุดแลนด์มาร์กที่ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียมาก่อนหน้านี้ แต่ควรไหลลงสู่พื้นที่ชนบท พื้นที่เกษตรดั้งเดิม และพื้นที่ชุมชนที่ยังพึ่งพาการผลิตภาคเกษตรเป็นหลัก
    บ้านลิไข่ ตำบลนางแล คือหนึ่งในพื้นที่เช่นนั้น
  2. เสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
    การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ออกแบบอย่างระมัดระวัง เช่น “อาบป่า” ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกลุ่มวัยทำงานที่มองหาความสงบ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับครัวเรือนในชุมชนผ่านการขายกาแฟพื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปเล็กๆ ของครัวเรือน อาหารเช้าแบบพื้นบ้าน ของฝากทำมือ รวมถึงบริการนำทางท้องถิ่น (local guide) ที่พึ่งพาความรู้ของคนในพื้นที่จริง ไม่ใช่บริษัททัวร์จากภายนอก
  3. ยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชียงรายสู่มาตรฐานเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
    กิจกรรมแนวธรรมชาติบำบัด (nature therapy) แบบนี้ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์เชิงลึกมากกว่าการเช็กอิน
    แนวโน้มดังกล่าวมีนัยทางเศรษฐกิจสำคัญ เพราะเป็นฐานนักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาพักนานขึ้น มีการใช้จ่ายสูงขึ้น และให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ

หรือกล่าวอีกแบบ การท่องเที่ยวในแนวทางนี้ไม่ได้ขาย “วิว” อย่างเดียว แต่ขาย “คุณภาพชีวิต” ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับ — และรายได้ที่ชาวบ้านจะได้กลับคืน

การทำงานร่วมกัน ภาครัฐ – เอกชน – ชุมชน

หนึ่งในจุดเด่นของ Likhai Nature Walk คือการเป็นตัวอย่างของ “การขับเคลื่อนร่วม” ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ให้หน่วยงานภาครัฐทำงานแบบสั่งการฝ่ายเดียว แต่ทำในรูปแบบเครือข่าย

  • อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่สนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงจังหวัด เชื่อมปรัชญาการท่องเที่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ (เทศบาลตำบลนางแล) ซึ่งในครั้งนี้มีตัวแทนคือ นายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่รองรับ” จัดระเบียบพื้นที่ ดูแลความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น และเป็นจุดประสานกับชุมชน
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ซึ่งมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา เป็นผู้อำนวยการ ทำหน้าที่เชื่อมการสื่อสารสู่สาธารณะและนักท่องเที่ยวในเชิงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวคุณภาพ
  • หอการค้าจังหวัดเชียงรายและเครือข่ายนักธุรกิจรุ่นใหม่ (YEC) โดยมีนายวิทยา เหล่าธีรศิริ เป็นหนึ่งในกลไกผลักดัน เพื่อมองโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างสมดุลกับการรักษาพื้นที่ เช่น การสร้างแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเชื่อมโยงระหว่างที่พัก ร้านอาหารพื้นถิ่น และประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม

โครงสร้างนี้สะท้อนความพยายามของเชียงรายในการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” ไม่ใช่การผลักให้ชุมชนไปรับผิดชอบเองโดยลำพัง แต่เป็นการวางชุมชนให้อยู่กลางวง แล้วให้หน่วยงานรัฐและเอกชนทำหน้าที่สนับสนุน ช่วยการตลาด สร้างระบบความพร้อม และคุ้มครองความสมดุลเชิงนิเวศ

กล่าวอีกมุม นี่คือแบบจำลองของ “การพัฒนาที่ไม่บังคับชุมชนให้เป็นรีสอร์ต” แต่ให้ชุมชนเป็นชุมชน และทำมาหากินจากสิ่งที่เป็นตัวเอง

จากกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ สู่เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์จังหวัด

กิจกรรม Likhai Nature Walk ไม่ใช่งานครั้งแรก แต่จัดต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปี และผู้จัดระบุว่า จำนวนผู้มาเยือนนาขั้นบันไดลิไข่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงาน กลุ่มคนเมืองที่ต้องการพัก-ฟื้น และครอบครัวรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหากิจกรรมแนว “พาเด็กสัมผัสดินน้ำลมไฟ” มากกว่าพาไปศูนย์การค้า

ปรากฏการณ์ “คนกลับมาหาธรรมชาติ” ซึ่งเกิดขึ้นหลังช่วงวิกฤตสุขภาพโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา กำลังสร้างตลาดใหม่ที่จังหวัดเชียงรายมองเห็นอย่างจริงจัง — ตลาดของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สุขภาวะ และสมดุลชีวิต (wellbeing tourism)

สิ่งนี้กำลังสะท้อนชัดว่า จ.เชียงราย ไม่ต้องการยืนอยู่บนคำว่า “หน้าหนาวค่อยมา” อีกต่อไป แต่ต้องการยืนอยู่บนฐาน “เชียงราย = เมืองคุณภาพชีวิต” ที่เที่ยวได้ทั้งปี และแต่ละอำเภอมีสินค้าการท่องเที่ยวที่เป็นของตัวเอง

นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ซึ่งย้ำว่า “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จึงไม่ใช่คำขวัญเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่คือกรอบยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเชิงโครงสร้าง ดังนี้

  1. ทำให้การท่องเที่ยวกลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองได้ในระดับอำเภอ
  2. ทำให้ชุมชนในพื้นที่เกษตร-พื้นที่ภูเขา ได้รับรายได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจนสูญเสียตัวตน
  3. ลดแรงกดดันเชิงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม (overtourism) ด้วยการกระจายความนิยมไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ
  4. ปรับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายสู่ “เมืองสุขภาวะ” (wellbeing destination) ซึ่งเชื่อมโยงได้ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ อาหารพื้นถิ่น การทำสมาธิ การบำบัดด้วยป่า การเรียนรู้วิถีชุมชน

กล่าวในเชิงนโยบายสาธารณะ นี่คือการสร้างทางเลือกในระดับจังหวัด เพื่อเตรียมรับอนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่แข่งขันสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของประเทศ เช่น สัดส่วนประชากรวัยทำงานที่เผชิญความเครียดเรื้อรัง และกลุ่มผู้สูงวัยที่มีความต้องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น

เชียงรายจึงไม่ได้ขายแค่ภาพสวยของภูเขาอีกต่อไป แต่ขาย “การฟื้นตัวของตัวเราเอง” ในพื้นที่ที่ยังคงหายใจได้

เมืองท่องเที่ยว กับ เมืองน่าอยู่ ต้องเป็นเมืองเดียวกัน

ประเด็นที่ผู้บริหารท้องถิ่นในเชียงรายย้ำหลายครั้งในกิจกรรมนี้ คือการผลักดันการท่องเที่ยว ต้องไม่ผลักภาระให้คนในพื้นที่ต้องรับความเปลี่ยนแปลงจนชีวิตปกติถูกรบกวน

การท่องเที่ยวในรูปแบบ “เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ – อาบป่า” จึงถูกออกแบบต่างจากทัวร์เชิงปริมาณในหลายประเด็นสำคัญ เช่น

  • กลุ่มนักท่องเที่ยวถูกจำกัดขนาด ไม่ใช่การระดมคนจำนวนมากในคราวเดียว
  • กิจกรรมเน้นการเดินเท้า ไม่ใช่การขับยานพาหนะเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
  • เวลาการจัดกิจกรรมสอดประสานกับวิถีเกษตรในพื้นที่ (เช้า–สาย) เพื่อลดการรบกวนการทำงานจริงของชาวบ้าน
  • รายได้เชื่อมตรงกับคนในพื้นที่ เช่น ร้านกาแฟชุมชน ผู้จัดกิจกรรมชุมชน วิสาหกิจท้องถิ่น มากกว่าการปล่อยให้เงินไหลออกนอกพื้นที่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อนักท่องเที่ยวค่อยๆ สูดลมหายใจในป่าบ้านลิไข่ คนในพื้นที่เอง ก็ยังสามารถหายใจในบ้านเกิดของตนได้เช่นกัน

จากนาขั้นบันได สู่แบบจำลองการท่องเที่ยวเพื่อคุณภาพชีวิต

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านลิไข่ ตำบลนางแล ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเดินป่า หรือการจิบกาแฟกลางหมอก หากแต่เป็นการวางหมุดหมายด้านการพัฒนาในระดับจังหวัด โดยมี “สุขภาวะของคน” เป็นแกนกลาง

นี่คือการประกาศว่า เชียงรายจะไม่วัดความสำเร็จด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะวัดด้วยคำถามว่า

  • คนในพื้นที่อยู่ได้ดีขึ้นหรือไม่
  • พื้นที่ยังคงความสมดุลทางธรรมชาติหรือไม่
  • นักท่องเที่ยวกลับไปพร้อมหัวใจที่เบาลงไหม
  • และในระยะยาว พื้นที่แบบลิไข่ จะยังคงเป็น “บ้าน” ของคนลิไข่ได้จริงหรือไม่

การผลักดันกิจกรรม Likhai Nature Walk ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และการเข้ามาหนุนอย่างชัดเจนของ อบจ.เชียงราย ททท.เชียงราย เทศบาลตำบลนางแล ภาคธุรกิจท้องถิ่น และชุมชน จึงสะท้อนว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ต้องแลกธรรมชาติกับเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอไป หากแต่สามารถเป็น “ระบบนิเวศของการอยู่ร่วมกัน” ที่ทุกฝ่ายมองเห็นคุณค่าของกันและกัน

และเมื่อคำขวัญ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ถูกนำลงสู่พื้นที่จริงผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้แบบนี้ เชียงรายก็กำลังส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เมืองท่องเที่ยวที่ดีในศตวรรษนี้ ต้องเป็นเมืองที่คนอยู่ได้ดีเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • YEC Chiang Rai – กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เชียงราย
  • อบจ.เชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ตำบลนางแล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

“หนองน้ำพุ” 180 ล้านบาท แลนด์มาร์กใหม่แม่สาย สู่ศูนย์สุขภาพชุมชน 82 ไร่

หนองน้ำพุ” 180 ล้านบาท แลนด์มาร์กใหม่ 82 ไร่ของแม่สาย สวนสาธารณะ–ศูนย์สุขภาพชุมชนใกล้บ้าน สร้างเสร็จครบเฟส เตรียมส่งมอบบริหารให้ อบต.โป่งผา

เชียงราย, 7 ตุลาคม 2568 — พื้นที่เหนือสุดแดนสยาม ลมจากดอยผ่าลงมาช่วยพาไอเย็นแตะผิวน้ำ “หนองน้ำพุ” แหล่งพักผ่อนขนาด 82 ไร่ กลางตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย ชาวบ้านเดิน–วิ่ง–ปั่นจักรยานสลับกันตามลู่วิ่งรอบบึง เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ บนลานกิจกรรมคละเคล้าเสียงนกน้ำ—ภาพที่หลายคนเคยจินตนาการ วันนี้กลายเป็น “ของจริง” หลังโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จเต็มรูปแบบ และกำลัง รอพิธีส่งมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการ จากกรมโยธาธิการและผังเมืองสู่ องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา) เพื่อเริ่มต้นบทบาทการบริหารจัดการโดยชุมชนอย่างเป็นระบบ

โครงการนี้ใช้งบประมาณรวม 180 ล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือของ สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดเชียงราย สังกัดกระทรวงมหาดไทย ในกรอบ โครงการพัฒนาพื้นที่รอบอุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ดำเนินการต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2566–2568) จนเสร็จสมบูรณ์ตามแบบแปลน ทั้งคันบ่อ ระบบภูมิสถาปัตยกรรมทางน้ำ ลู่วิ่ง–ทางจักรยาน ลานอเนกประสงค์ และพื้นที่สีเขียวรองรับกิจกรรมครอบครัว

ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา กล่าวขอบคุณหน่วยงานรัฐที่สนับสนุนและผลักดันให้โครงการสำเร็จ พร้อมระบุว่า การส่งมอบพื้นที่จะทำให้ อบต.สามารถจัดระบบดูแล–บำรุงรักษา จัดตารางกิจกรรม และพัฒนาเฟสต่อเนื่องได้อย่างเต็มศักยภาพ “หนองน้ำพุคือพื้นที่สาธารณะของทุกคน และเราจะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางสุขภาพ–คุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง”

จาก “แนวคิด” สู่ “พื้นที่ที่จับต้องได้” บทเรียนการพัฒนาเชิงระบบ

หนองน้ำพุ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการถมดิน–ขุดบ่ออย่างฉับพลัน แต่เป็นผลของการวางผังและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะอย่างมีขั้นตอน จุดเน้นของโครงการมีสองมิติที่เดินคู่กัน ได้แก่

  1. มิติสิ่งแวดล้อมและภูมินิเวศ
  • ใช้ “บึงหนอง” เป็นแกนกลาง เพื่อทำหน้าที่ทั้ง พื้นที่รับน้ำ ในฤดูฝน, บ่อหน่วงน้ำ ช่วยชะลอน้ำหลาก และ แหล่งน้ำหล่อเลี้ยงพืชพรรณ ในหน้าแล้ง
  • ออกแบบ พื้นที่ชุ่มน้ำตื้น (shallow wetland) รอบบึง ช่วยกรองตะกอน–ดูดซับสารอาหารส่วนเกิน เพิ่มความหลากหลายของสัตว์น้ำและนกอพยพ
  • ปลูกไม้ยืนต้นท้องถิ่นให้ร่มเงา ลดเกาะความร้อนในเมือง (urban heat island) รอบชุมชน
  1. มิติสุขภาวะและพื้นที่สาธารณะ
  • ลู่วิ่ง–ทางจักรยานแยกเลน, ลานกิจกรรมอเนกประสงค์, สนามเด็กเล่น, ลานผู้สูงอายุ และจุดชมวิวรอบหนอง
  • แนวคิด Universal Design ทางลาด–ราวจับ–พื้นผิวต่างสัมผัส เพื่อให้ผู้พิการและผู้สูงวัยเข้าถึงได้จริง
  • จุดลาน “สันทนาการครอบครัว” ที่มองเห็นผืนน้ำ เปิดรับลม ดึงคนทุกช่วงวัยให้ออกมาใช้พื้นที่ร่วมกัน

เมื่อรวมกับเครือข่ายพื้นที่สาธารณะเดิม—วัด โรงเรียน ตลาด และทางเชื่อมสัญจรของหมู่บ้าน—หนองน้ำพุจึงกลายเป็น “หัวใจสีเขียว” ดวงใหม่ของตำบลโป่งผา เชื่อมชีวิตประจำวันของผู้คนกับธรรมชาติอย่างแนบเนียน

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง 20,000+ การใช้งาน—สัญญาณ “ถูกจริตชุมชน”

แม้ยังไม่เข้าสู่โหมดบริหารเต็มรูปแบบ อบต.โป่งผา ระบุว่าตลอดช่วงทดสอบพื้นที่และเปิดใช้บางส่วน มีประชาชนมาใช้บริการเพื่อเดิน–วิ่ง–ปั่น–เล่นกีฬา และทำกิจกรรมครอบครัว สะสมมากกว่า 20,000 คน ตัวเลขนี้สะท้อนสองประเด็นสำคัญ

  • ความต้องการจริง (real demand) ของคนในพื้นที่ต่อ “สนามสุขภาพกลางแจ้ง” ที่เข้าถึงง่าย ปลอดภัย และฟรี
  • พฤติกรรมสุขภาพที่เริ่มเปลี่ยน—จากอยู่กับบ้านสู่การออกมาทำกิจกรรมร่วมกันในพื้นที่สาธารณะ สอดคล้องกับกรอบแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ชี้ว่าผู้ใหญ่ควรมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง อย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ และเด็ก–เยาวชนควรมีกิจกรรมทางกาย เฉลี่ย 60 นาที/วัน การมี “พื้นที่ชวนขยับ” ใกล้บ้านถือเป็นปัจจัยเอื้อที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มกิจกรรมทางกายได้จริง

สาระสำคัญ คือ หนองน้ำพุไม่ได้เป็นเพียง “สวนสวย” แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐานสุขภาพเชิงป้องกัน” (preventive health infrastructure) ที่ลดค่าใช้จ่ายระบบสุขภาพระยะยาวในมิติไม่เป็นทางการ

หลังส่งมอบ 4 งานใหญ่ที่ อบต.โป่งผา ต้องทำทันที

เมื่อกรมโยธาธิการฯ ส่งมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการ อบต.จะเป็น “แม่บ้านหลัก” ของผืนที่ 82 ไร่นี้ งานเร่งด่วนที่ต้องทำคู่กันมีอย่างน้อย 4 เรื่อง

  1. จัดระเบียบการใช้งาน–ความปลอดภัย
  • เวลาเปิด–ปิด, เส้นทางเข้า–ออก, การติดตั้งไฟส่องสว่าง, กล้องวงจรปิด, จุดปฐมพยาบาล–AED, ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน
  • แนวร่วมชุมชน ตั้งอาสาสมัครดูแลพื้นที่ (park steward) ร่วมกับผู้นำชุมชน–อสม.–เยาวชน
  1. แผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive O&M)
  • ตารางตัดหญ้า–ดูแลไม้ยืนต้นกำจัดวัชพืชน้ำอย่างถูกวิธี (เลี่ยงสารเคมี), ลอกตะกอนตามรอบเวลา, ตรวจอุปกรณ์สนาม พื้นทาง ราวจับ
  • การจัดการขยะและน้ำเสียจากกิจกรรมให้ไม่รบกวนคุณภาพน้ำในหนอง
  1. ออกแบบปฏิทินกิจกรรมสาธารณะประจำปี
  • “สัปดาห์สุขภาพชุมชน”, งานวิ่งการกุศล, ตลาดสีเขียวสินค้าเกษตรปลอดเผา, เวิร์กช็อปจักรยาน–พายเรือ, ลานดนตรีเยาวชน
  • โปรแกรม “หมอชวนวิ่ง ครูชวนขยับ ผู้ใหญ่บ้านชวนเดิน” เชื่อมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.), โรงเรียน, กลุ่มผู้สูงอายุ
  1. ระบบการเงินเพื่อความยั่งยืน
  • ตั้ง “กองทุนดูแลสวน” จาก 3 ช่องทาง งบประจำ, รายได้กิจกรรม/เช่าพื้นที่เฉพาะครั้ง (non-commercial friendly), และเงินร่วมบริจาคโปร่งใส
  • คู่มือธรรมาภิบาล เผยแพร่รายรับ–รายจ่ายรายไตรมาส, เปิดรับข้อเสนอชุมชน, ตั้งคณะกรรมการมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ

แก่นคิด คือ พื้นที่สาธารณะจะ “อยู่รอด” ได้ก็ต่อเมื่อกลายเป็น “ของเรา” ของทุกคน—ไม่ใช่เพียงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฝ่ายเดียว

เชื่อมเศรษฐกิจท้องถิ่น สวนสาธารณะไม่ใช่ “ต้นทุนจม”

แม้โครงการใช้งบ 180 ล้านบาท แต่ผลตอบแทนทางสังคม–เศรษฐกิจที่ “ไม่ติดป้ายราคา” มีมากกว่าที่คิด

  • สุขภาพดี = ค่าใช้จ่ายรักษาลด เพิ่มกิจกรรมทางกายของชุมชน ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในระยะยาว
  • เศรษฐกิจชุมชนหมุน แผงน้ำดื่มผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาตรฐานสะอาด (ไม่ขายเครื่องดื่มหวานจัด), กิจกรรมวิ่ง–ปั่น–เวิร์กช็อปสร้างรายได้เสริม
  • การท่องเที่ยวใกล้บ้าน (micro tourism)  ผู้มาเยือนแม่สาย–ถ้ำหลวงฯ มี “จุดพักจุดเรียนรู้ธรรมชาติ” เพิ่มอีกแห่งหนึ่ง เชื่อมเส้นทางวัด ชุมชน ไร่เกษตรยั่งยืน
  • มูลค่าที่ดินโดยรอบ–คุณภาพชีวิต พื้นที่สีเขียวคุณภาพดีเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินรอบข้างในกรอบผังเมือง พร้อมลดความร้อนและน้ำท่วมเฉียบพลันแบบบัฟเฟอร์ธรรมชาติ

เมื่อรวมกับ “อัตลักษณ์ท้องถิ่น” ที่ อบต.ตั้งใจสื่อผ่าน เสื้อลายผ้าน้ำผุด” ของนายก อบต.และทีมงาน หนองน้ำพุจึงทำหน้าที่เป็น “ห้องรับแขกกลางแจ้ง” ของตำบลโป่งผา—เชื้อเชิญให้คนแปลกหน้าได้รู้จักวัฒนธรรมและวิถีชีวิตกึ่งเมือง กึ่งภูเขาที่งดงามของชายแดนแม่สาย

คำถาม–คำตอบเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้ “หนองน้ำพุ” อยู่ดีมีอนาคตยืนยาว

ถาม: งบ 180 ล้านบาท ควรคาดหวังอะไรใน 3–5 ปีแรก?
ตอบ: (1) ดัชนีกิจกรรมทางกายของชุมชนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, (2) อัตราใช้พื้นที่เฉลี่ยต่อวัน ต่อสัปดาห์ชัดเจนและเติบโต, (3) กิจกรรมสาธารณะคุณภาพสม่ำเสมออย่างน้อยรายเดือน, (4) ระบบ O&M เดินได้จริงโดยมีชุมชนมีส่วนร่วม, (5) คุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพรอบหนองไม่ถดถอย

ถาม: จะหลีกเลี่ยงปัญหา “สวนสาธารณะสวยเฉพาะวันเปิด” ได้อย่างไร?
ตอบ: สร้าง ผู้ใช้แกนกลาง” (core users) ตั้งแต่ต้น—กลุ่มวิ่ง–จักรยาน ผู้สูงอายุ เยาวชน ให้มี “สิทธิ–หน้าที่” ร่วมดูแลพื้นที่ ควบคู่สมดุลกิจกรรมฟรีและกิจกรรมหารายได้เพื่อกองทุนบำรุง โดยมีธรรมาภิบาลโปร่งใสตรวจสอบได้

ถาม: ทำไมต้องย้ำ Universal Design?
ตอบ: เพราะประชากรสูงวัยในเชียงรายเพิ่มต่อเนื่อง การออกแบบที่ทุกคนใช้ได้จริงคือ ความเป็นธรรมด้านพื้นที่ และทำให้สวนเป็น “ของจริง” สำหรับคนทั้งตำบล ไม่ใช่เฉพาะคนแข็งแรงหรือวัยทำงาน

ถาม: หนองน้ำพุจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมจริงหรือ?
ตอบ: หากจัดการคันบ่อ พืชน้ำ–ตะกอนตามรอบเวลา และลดสารเคมี–ขยะได้สม่ำเสมอ บึงหนองทำงานเป็น ระบบนิเวศบริการ (ecosystem services) ทั้งบรรเทาน้ำหลาก ลดความร้อน เพิ่มความหลากหลายชีวภาพ และเป็นคลังคาร์บอนขนาดย่อม

เส้นทางข้างหน้า ปฏิทิน “หนองน้ำพุ—สวนของเรา”

เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพการใช้ประโยชน์หลังส่งมอบ อบต.สามารถประกาศปฏิทินกิจกรรมสามชุดหลัก

  1. สุขภาพชุมชน
  • เดิน–วิ่งทุกเช้าวันอังคาร/พฤหัส, โยคะเย็นวันเสาร์, “คุณตาคุณยายฟิต” เวทเทรนนิงแบบปลอดภัย, คลาสปั่นจักรยานสำหรับเด็ก
  • คลินิกโภชนาการร่วม รพ.สต. ลดหวาน–มัน–เค็ม
  1. สิ่งแวดล้อม–การเรียนรู้
  • วันชวนปลูกไม้พื้นถิ่น–ปลูกพืชน้ำ, ส่องนก–ส่องแมลง, “วิทยาศาสตร์ริมหนอง” สำหรับโรงเรียน
  • งานตลาดสีเขียว สินค้าภูมิปัญญา–เกษตรปลอดเผา
  1. วัฒนธรรม–ครอบครัว
  • ลานดนตรีเยาวชนทุกปลายเดือน, หนังกลางแปลงครอบครัว, กิจกรรมวันสำคัญ–งานบุญชุมชน เชื่อมศิลป์ชนเผ่าท้องถิ่น

ทั้งหมดต้องเดินคู่กับ กติกาใช้พื้นที่ ที่ชัดเจน (เสียง–เวลา–ความสะอาด–การใช้จักรยาน–สัตว์เลี้ยง) เพื่อรักษาความสมดุลระหว่าง “ความสนุก” และ “ความสงบ” ของคนรอบหนอง

เสียงจากพื้นที่ความภูมิใจที่ “จับต้องได้”

นอกจากคำขอบคุณของผู้บริหารท้องถิ่น หลายครอบครัวเริ่มมองหนองน้ำพุเป็น สนามหลังบ้านของตำบล” เด็ก ๆ ได้มีที่วิ่งเล่น คนทำงานมีที่ปลดล็อกร่างกาย ผู้สูงอายุมีที่พบปะเพื่อนฝูง ยิ่งไปกว่านั้น หนองน้ำพุยังกลายเป็น จุดเริ่มต้นบทสนทนา เรื่องสิ่งแวดล้อม–สุขภาพ–วัฒนธรรม ที่ผู้คนมีส่วนร่วม—ไม่ใช่เพียงผู้รับนโยบาย

“หนองน้ำพุคือพื้นที่สาธารณะของทุกคน…เราจะทำให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางสุขภาพ–คุณภาพชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง” — ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา

“หนองน้ำพุ” คือกรณีศึกษาว่าการลงทุนพื้นที่สาธารณะอย่างมี วิสัยทัศน์–วินัย–วัฒนธรรมการมีส่วนร่วม สามารถแปลงงบประมาณ 180 ล้านบาทให้เป็น “สินทรัพย์สาธารณะ” ที่สร้างผลตอบแทนทางสังคม–เศรษฐกิจระยะยาวได้จริง อำเภอชายแดนอย่างแม่สายจึงไม่ได้มีเพียงภาพการค้าชายแดนคึกคัก แต่ยังมี อุทยานน้ำ–สวนสุขภาพชุมชน ที่เสริมคุณภาพชีวิตผู้คน

เมื่อพิธีส่งมอบเดินหน้า อบต.โป่งผาจะก้าวสู่บทบาท “ผู้จัดการสวน” ที่ท้าทาย—มีทั้งงานบำรุงรักษา การเงินโปร่งใส กิจกรรมที่เข้าถึงทุกวัย และระบบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ หากทำได้ครบ “หนองน้ำพุ” จะไม่ใช่เพียง แลนด์มาร์กใหม่ 82 ไร่ แต่เป็น สัญญาใจ ว่าพื้นที่สาธารณะคุณภาพดี สามารถเกิดและยืนยาวได้ ด้วยมือของคนในชุมชนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา), อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดเชียงราย (กระทรวงมหาดไทย)
  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (DPT), กระทรวงมหาดไทย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
  • กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสุข / สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL TRAVEL

สิ้นสุดยุคทัวร์ชะโงก เชียงรายต้องเร่งพัฒนา AI รับมือ 10 เทรนด์ท่องเที่ยวโลก 2026

เชียงราย สามารถตอบรับได้ 7 จาก 10 เทรนด์หลัก ด้วยศักยภาพด้านอากาศเย็น-ธรรมชาติ-วัฒนธรรมชนเผ่า แต่ยังขาดการพัฒนาด้านเทคโนโลยี AI และระบบความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยว

เชียงราย, 1 ตุลาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลกที่กำลังเข้าสู่ปี 2026 จังหวัดเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ กำลังเผชิญกับคำถามสำคัญว่า “พร้อมแค่ไหนในการรองรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว”

รายงานเชิงลึกจากศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยถึง 10 แนวโน้มหลักของการท่องเที่ยวโลกในปี 2026 ที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทุกจุดหมายปลายทาง โดยมีแกนหลักอยู่ที่การเดินทางที่เน้นเจตจำนง ความยั่งยืน และการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณถึงจุดสิ้นสุดของยุค “ทัวร์ชะโงก” และนำไปสู่การท่องเที่ยวที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นกับวัฒนธรรม ธรรมชาติ และชุมชน

รายงานเชิงลึกจากหน่วยงานด้านตลาดการท่องเที่ยวและสถาบันวิจัยระดับนานาชาติ (TAT Academy, Mastercard Economics Institute, Virtuoso, Intrepid Travel ตลอดจนผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์) ชี้ประเด็นร่วมกันว่า นักเดินทางยุคใหม่กำลังมองหา “ประสบการณ์ที่มีเจตจำนงและคุณค่า” มากกว่า “ภาพถ่ายที่ได้เช็กอินครบทุกจุด” ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับการปรับตัวของจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวทั่วโลก—โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีธรรมชาติบริสุทธิ์อากาศเย็น วิถีชุมชนแท้ และบริการสุขภาพองค์รวมครบวงจร

และเมื่อย้อนมองเชียงราย—ซึ่งประกาศเป้าหมาย 20 ปีให้เป็น “เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์–เมืองแห่งสุขภาพ–เศรษฐกิจชายแดนเข้มแข็ง–พัฒนาอย่างยั่งยืน”—หลายฟันเฟืองที่เมืองนี้เดินไว้ล่วงหน้า กลับกลายเป็น “คำตอบตรงจังหวะ” ของ 10 เทรนด์ 2026 อย่างน่าสนใจ ซึ่ง 10 เทรนด์ท่องเที่ยวของโลก 2026 คือ

1) Coolcation Travel — “หนีร้อนสู่ขุนเขา” จุดแข็งโดยธรรมชาติของเชียงราย

คลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงทั่วโลกผลักให้นักท่องเที่ยวมองหาจุดหมายปลายทางที่อากาศเย็นกว่า มีภูเขาและป่าไม้ล้อมรอบ เทรนด์ “Coolcation” จึงพุ่งขึ้นเป็นตัวเลือกหลักของกลุ่มกำลังซื้อกลางถึงสูง เชียงรายมี “สินทรัพย์ธรรมชาติ” ตรงโจทย์—อุณหภูมิที่นุ่มนวลกว่าเมืองใหญ่ภาคกลาง–ภาคใต้ ช่วงฤดูหนาว–ปลายฝนมีหมอกไหล ภูเขาซ้อนคลื่น วิวพรีเมียมในระยะเดินทางสั้น ๆ จากตัวเมือง

2) Slow Travel — “น้อยเมือง–นานวัน–ลึกประสบการณ์”

แนวคิด “อยู่ให้นานขึ้น–รู้จักให้ลึกขึ้น” ทำให้เมืองรองที่มีจังหวะเนิบช้าได้รับความนิยม เชียงรายมีองค์ประกอบพร้อม เมืองขนาดกะทัดรัด–ขับรถสั้น ๆ ถึงชุมชนหัตถกรรม–ไร่กาแฟ–งานศิลป์ และแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่น กรณีตัวอย่างเช่นแพ็กเกจ “Active Senior 50+ – Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่จัดเส้นทาง 2 วันขึ้นไป ผสานพิพิธภัณฑ์ บ้านศิลปิน วัดร่วมสมัย คาเฟ่ริมแม่น้ำ และโฮมคาเฟ่ชุมชน—เป็นภาพสะท้อนว่าตลาดพร้อมทดลอง “สโลว์–ดีพ–มีความหมาย”

3) Off-Season Travel — “หน้าฝน–ปลายฝน–ต้นหนาว” จากช่วงโลว์ สู่ช่วงรัก

การท่องเที่ยวนอกฤดู (off-season/shoulder season) ทำให้นักเดินทางหลีกเลี่ยงความแออัด มีพื้นที่สงบ และได้ราคาคุ้มค่า เชียงรายมี “เสน่ห์หน้าฝน”—เขียวชุ่ม ต้นน้ำไหล อากาศเย็นในบางอำเภอ หากมีแผนกิจกรรมเชิงธรรมชาติ–ศิลปวัฒนธรรม–เวิร์กชอป–คาเฟ่–สปา–ชุมชนรองรับ ก็สามารถเปลี่ยน “หน้าที่เคยเงียบ” ให้กลายเป็น “หน้าที่คนรัก”

4) Solo Travel — “อิสระ–ปลอดภัย–มีเพื่อนร่วมทางเมื่ออยากมี”

การเดินทางคนเดียวโดยเฉพาะนักเดินทางหญิงเติบโตเร็ว เงื่อนไขที่จุดหมายต้องมีคือความปลอดภัย การเดินทางสาธารณะสะดวก การต้อนรับเป็นมิตร และกิจกรรมที่คนเดียวก็สนุก เชียงรายมีเมืองที่เดินง่าย–คาเฟ่–สตูดิโอศิลป์–ชุมชนสร้างสรรค์–คอร์สสั้นและกิจกรรมเชื่อมคนแปลกหน้าผ่านงานคราฟต์/กาแฟ/โยคะ

5) Foodie Travel — “กินดี–ทำเอง–เข้าใจชุมชน”

เทรนด์อาหารปี 2026 เน้นอาหารท้องถิ่น–เอกลักษณ์–พร้อม “ลงมือทำ” เชียงรายมีทุนทางอาหาร–กาแฟ–ชา–ผักผลไม้ภาคเหนือ–ครัวชุมชน–โฮมคาเฟ่ รวมถึงเชฟ/ร้านที่หยิบจับวัตถุดิบท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เมนูร่วมสมัย

6) Hyper-personalised Travel — “ทริปที่ใช่ ไม่ใช่ทริปที่เยอะ”

การออกแบบเส้นทางด้วยข้อมูลความสนใจรายบุคคล กำลังเป็นมาตรฐานใหม่ เชียงรายมี “พาเลตต์ประสบการณ์” หลากหลาย แต่ยังต้องการ “โครงข้อมูล” ที่ต่อกับดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อคัดสรรทริปที่เหมาะกับบุคคล (เช่น ศิลป์–สุขภาพ–กาแฟ–ชุมชน–ธรรมชาติ–ถ่ายภาพ)

7) AI Fellow Travel — “เอไอเป็นเพื่อนร่วมทริป”

แนวโน้มปี 2026 ชี้ว่า AI จะช่วยวางแผน–จอง–อัปเดตความหนาแน่นจุดท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ เชียงรายควรมี ข้อมูลเปิด (open data) เช่น เวลาแออัด, ที่จอด, เส้นทางสั้น–ปลอดภัย, สภาพอากาศ–คุณภาพอากาศ, งานอีเวนต์—เพื่อให้แชตบอต/เอไอของผู้เดินทาง “คุยกับเมือง” ได้

8) Holistic Travel — “เกินกว่า Wellness ฟื้นกาย–ใจ–อารมณ์แบบวัดผลได้”

โลกกำลังขยับจาก Wellness สู่ Holistic Travel—เน้นผลลัพธ์วัดได้ เช่น การนอน (sleep), การหายใจ/เยียวยาด้วยธรรมชาติและสายน้ำ (blue health), การพักเงียบ (silent retreat) เชียงรายประกาศทิศ “Wellness City” โดยมีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และเครือสาธารณสุขเป็นแกนวิชาการ/บริการ จุดแข็งคือธรรมชาติ–ศิลป์–วัฒนธรรมที่ช่วยซัพพอร์ตสุขภาวะเชิงลึก

9) Value-Driven Travel — “เที่ยวที่สะท้อนคุณค่า–คืนคุณค่าให้พื้นที่”

นักเดินทางเลือกจุดหมายที่เคารพสิ่งแวดล้อม มีความเป็นธรรม สนับสนุนท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ “มีส่วนร่วม” เชียงราย—ด้วยโครงเรื่องเมืองสร้างสรรค์–ชุมชนเข้มแข็ง–หัตถกรรม/เกษตรคุณค่า—มีฐานพร้อมเปลี่ยนจาก “ผู้ชม” เป็น “ผู้ร่วมสร้าง”

10) Low-Carbon Luxury — “ลักชัวรีสายเขียว–เดินทางช้าลงแต่ลึกขึ้น”

กลุ่มลักชัวรีพร้อมจ่ายเพื่อความยั่งยืน (มีงานวิจัยระบุสัดส่วนสูงกว่า 70% ของนักท่องเที่ยวรายได้สูงยอมจ่ายเพิ่มเพื่อทางเลือกที่ยั่งยืน) ความคาดหวังคือ carbon-tracking ของแพ็กเกจ การลดการบินต่อ การใช้รถไฟ/รถไฟหรู/EV การเข้าพักที่มีมาตรฐานพลังงานสะอาด–ของเสียต่ำ เชียงรายมีโรงแรมบูทิก–รีสอร์ตธรรมชาติหลายระดับและภูมิประเทศเอื้อต่อ “ความหรูสงบ” แต่ยังต้องยกระดับโครงสร้างสีเขียวและหลักฐานการลดคาร์บอนที่ตรวจสอบได้

 

การวิเคราะห์เบื้องต้นจากข้อมูลภาคสนามและโปรแกรมการท่องเที่ยวที่มีอยู่ในปัจจุบัน พบว่าเชียงรายมีศักยภาพในการตอบรับเทรนด์เหล่านี้ได้ประมาณ 7 จาก 10 เทรนด์ โดยมีจุดแข็งที่โดดเด่นในด้านธรรมชาติ ภูมิอากาศ และวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังคงมีช่องว่างสำคัญในด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและการบริการที่ต้องเร่งพัฒนา

พันดาว 1000 Stars

จุดแข็งเด่นชัด อากาศเย็นและธรรมชาติ ตอบโจทย์เทรนด์ “Coolcation Travel”

หนึ่งในจุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดของเชียงรายคือความสามารถในการตอบสนองต่อเทรนด์ “Coolcation Travel” หรือการท่องเที่ยวเพื่อหนีความร้อน ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสหลักของตลาดโลก รายงานจากสถาบันเศรษฐศาสตร์ Mastercard และ Virtuoso ระบุตัวเลขที่น่าสนใจว่า 82 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรีพิจารณาจุดหมายปลายทางที่มีสภาพอากาศเย็นกว่า เนื่องจากทั่วโลกได้เผชิญกับปีที่ร้อนระอุมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2023

เชียงรายด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ที่อุณหภูมิสามารถลดลงต่ำถึง 10-15 องศาเซลเซียส พื้นที่อย่างดอยตุง ดอยแม่สลอง และพื้นที่บนเขาในอำเภอเชียงของและอำเภอแม่สรวย ล้วนเป็นจุดหมายที่มีอากาศเย็นสบาย รายล้อมด้วยป่าไม้และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

ข้อได้เปรียบนี้สอดคล้องกับแนวโน้มที่รายงานโดย Intrepid Travel ซึ่งระบุถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในจุดหมายปลายทางที่มีทะเลสาบ ป่าไม้ และอากาศบริสุทธิ์ เชียงรายจึงมีโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แสวงหาการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติและอากาศเย็นสบายได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเขตเมืองใหญ่ที่ต้องการหนีความร้อนจากช่วงฤดูร้อน

Athu Akhahome

การท่องเที่ยวแบบ “ช้าๆ” และนอกฤดู ศักยภาพที่พร้อมใช้

เทรนด์ “Slow Travel” หรือการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงเพื่อซึมซับประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มที่เชียงรายมีศักยภาพสูงในการรองรับ จากข้อมูลโปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่ม Active Senior อายุ 50 ปีขึ้นไป แสดงให้เห็นว่าเชียงรายสามารถนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เน้นการใช้เวลาอย่างมีคุณค่า ไม่เร่งรีบ และเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม

โปรแกรมดังกล่าวประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านดำ วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น การเรียนรู้งานศิลปะที่ขัวศิลปะ และการแวะเยี่ยมชุมชน Athu Akha Home ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนเผ่าอาข่า กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้เน้นการเดินทางเร่งรีบเปลี่ยนสถานที่ทุกชั่วโมง แต่มุ่งเน้นให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสเรื่องราว ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

การท่องเที่ยวในแบบนี้สอดคล้องกับรายงานของ The Getaway Co. ซึ่งระบุว่านักเดินทางในปี 2026 ต้องการใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มในเมืองเล็กแห่งหนึ่ง มากกว่าการเปลี่ยนเมืองใหญ่หลายแห่งภายในห้าวัน พวกเขาต้องการ “สัมผัส” สถานที่นั้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ “มองเห็น” เชียงรายซึ่งมีเมืองหลวงขนาดกะทัดรัด มีชุมชนท้องถิ่นที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม และมีแหล่งท่องเที่ยวที่กระจายอยู่ในรัศมีไม่ไกลเกินไป จึงเหมาะสมกับการท่องเที่ยวแบบนี้อย่างยิ่ง

นอกจากนี้ เทรนด์ “Off-Season Travel” หรือการท่องเที่ยวนอกฤดูก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับเชียงราย เนื่องจากจังหวัดนี้มีจุดเด่นที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นทุ่งดอกไม้ในฤดูหนาว ทุ่งข้าวเขียวชอุ่มในฤดูฝน หรือบรรยากาศเงียบสงบในช่วงไหล่ฤดู การท่องเที่ยวนอกฤดูช่วยให้นักเดินทางหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและเข้าถึงประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เชียงรายสามารถนำเสนอได้โดยไม่ต้องลงทุนพัฒนาโครงสร้างใหม่มากนัก

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหาร จุดขายที่แข็งแกร่ง

เทรนด์ “Value Driven Travel” และ “Foodie Travel” เป็นอีกสองประเด็นที่เชียงรายมีความโดดเด่น เนื่องจากจังหวัดนี้เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีชนเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่ เช่น อาข่า ลาหู่ ยาว ม้ง ซึ่งแต่ละชนเผ่ามีวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน

โปรแกรม Athu Akha Home ที่ปรากฏในแผนการท่องเที่ยวเป็นตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวเชิงชุมชนที่มีคุณค่า นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน เรียนรู้วิถีชีวิต ประเพณี และงานฝีมือท้องถิ่น การท่องเที่ยวในรูปแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิด “Authenticity is the new luxury” ที่รายงานโดย TAT Academy และหลายหน่วยงานระดับโลก ซึ่งระบุว่านักท่องเที่ยวในปัจจุบันไม่ได้แสวงหาโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดหรือจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่ต้องการประสบการณ์ที่ “เป็นจริง” และสามารถสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นได้

ด้านอาหาร เชียงรายมีความหลากหลายทางอาหารท้องถิ่นที่โดดเด่น ทั้งอาหารล้านนา อาหารชนเผ่า และอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ร้านอาหารต่างๆ ที่ปรากฏในโปรแกรมท่องเที่ยว เช่น บ้านเสาวกา ร้านอาหารมุมไม้ และ Melt In Your Mouth แสดงให้เห็นว่าเชียงรายมีศักยภาพในการนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเชียงรายจะมีความหลากหลายของอาหารท้องถิ่น แต่ยังขาดการพัฒนาในด้าน “ประสบการณ์การทำอาหารด้วยตนเอง” (hands-on cooking experience) ที่เป็นส่วนสำคัญของเทรนด์ Foodie Travel ในปี 2026 ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ได้ต้องการแค่ลิ้มลอง แต่ต้องการลงมือทำด้วยมือของตนเอง การพัฒนาคอร์สสอนทำอาหารท้องถิ่นหรืออาหารชนเผ่าที่เข้าถึงได้ง่ายและมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่เชียงรายควรเร่งพัฒนา

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม โอกาสที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์เต็มที่

เทรนด์ “Holistic Travel” หรือการเดินทางเพื่อเยียวยาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เป็นหนึ่งในแนวโน้มสำคัญที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้นิยามภาวะการอดนอนว่าเป็น “การระบาดด้านสุขภาพทั่วโลก” ซึ่งทำให้การเดินทางที่มุ่งเน้นการพักผ่อน การฟื้นฟู และการเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับได้รับความสนใจอย่างสูง

เชียงรายมีศักยภาพในการรองรับเทรนด์นี้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะด้านสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพักผ่อน ความเงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ และบรรยากาศธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังขาดหายไปคือโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่ตอบสนองต่อเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเฉพาะทาง เช่น Sleep Tourism, Blue Health Travel และ Silent Retreats ซึ่งต้องการเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

รายงานจาก Mastercard Economics Institute เน้นย้ำว่าโรงแรมระดับไฮเอนด์ในต่างประเทศได้เริ่มนำเทคโนโลยี AI มาใช้ เช่น เตียงอัจฉริยะที่สามารถตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจและรูปแบบการหายใจ ระบบแสงสว่างตามวงจรชีวิต และเมนูอาหารที่ปรับสมดุลเมลาโทนิน แม้ว่าเชียงรายจะมีโรงแรมและรีสอร์ตจำนวนหนึ่งที่มีคุณภาพ แต่การลงทุนในเทคโนโลยีระดับนี้ยังไม่แพร่หลาย

อีกทั้ง แนวคิด Silent Retreats หรือการเดินทางเพื่อความเงียบ ซึ่งมุ่งเน้นการทำสมาธิโดยไม่มีการพูดคุย เขตปลอดหน้าจอ หรือการพักในเคบินที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง แม้ว่าเชียงรายจะมีพื้นที่ธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาโปรแกรมประเภทนี้ก็ตาม การวิจัยระบุว่าการใช้เวลาในความเงียบช่วยลดฮอร์มอนความเครียด เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และอาจส่งเสริมการเติบโตของเซลล์ประสาทใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับจังหวัดที่ต้องการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ช่องว่างด้านเทคโนโลยี ความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข

หนึ่งในจุดอ่อนที่ชัดเจนที่สุดของเชียงรายในการรองรับเทรนด์การท่องเที่ยว 2026 คือช่องว่างด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะเทรนด์ “Hyper-personalised Travel” และ “AI Fellow Travel” ซึ่งเป็นแกนหลักของประสบการณ์การท่องเที่ยวในอนาคต

รายงานของ TAT Academy ระบุว่านักท่องเที่ยวยุคใหม่ไม่ต้องรอให้ใครมาจัดทริปให้ พวกเขาสามารถใช้โลกออนไลน์ ทั้งโซเชียลมีเดียและปัญญาประดิษฐ์เพื่อออกแบบการเดินทางที่เหมาะสมกับสิ่งที่พวกเขาต้องการและตอบโจทย์ประสบการณ์ส่วนตัว ในอนาคตอันใกล้ AI จะไม่เป็นเพียงเครื่องมือ แต่จะกลายเป็น “เพื่อนร่วมเดินทาง” ที่ช่วยวางแผน จอง และจัดการทุกอย่างให้เหมาะสมกับความต้องการ

สิ่งที่เชียงรายยังขาดหายไปคือระบบข้อมูลดิจิทัลที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พัก ไปจนถึงการอัปเดตแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวในจุดต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI จำเป็นต้องใช้ในการให้คำแนะนำที่เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังขาดความพร้อมในการนำเทคโนโลยีมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นระบบจองออนไลน์ที่ทันสมัย ระบบชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย หรือแม้แต่การสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่น่าสนใจ

Mastercard Economics Institute เน้นย้ำว่าการเดินทางที่ราบรื่นไร้รอยต่อและการชำระเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนี้หมายความว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การฝึกอบรมผู้ประกอบการ และการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลท่องเที่ยวที่ครอบคลุมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เชียงรายสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

Solo Travel และความปลอดภัย ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ

เทรนด์ “Solo Travel” หรือการเดินทางคนเดียวกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวหญิง การเดินทางคนเดียวถูกมองว่าเป็นวิธีแสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง และเป็นรูปแบบที่ทรงพลังของการพัฒนาตนเอง

อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยและการต้อนรับที่อบอุ่นสำหรับนักเดินทางคนเดียวถือเป็นสิ่งสำคัญที่จุดหมายปลายทางต้องให้ความสำคัญ เชียงรายแม้จะเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ยังขาดระบบสนับสนุนที่เฉพาะเจาะจงสำหรับนักท่องเที่ยวเดี่ยว เช่น โรงแรมหรือที่พักที่ออกแบบมาสำหรับผู้เดินทางคนเดียวโดยเฉพาะ ทัวร์ “Solo Together” ที่จัดขึ้นสำห

รับนักเดินทางคนเดียวเพื่อสร้างการเชื่อมต่อโดยไม่มีข้อผูกมัด หรือแม้แต่แอปพลิเคชันและระบบข้อมูลที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวเดี่ยวรู้สึกปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ประเด็นด้านภาษาและการสื่อสารยังเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางคนเดียว การขาดข้อมูลภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ที่ครอบคลุมในสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และระบบขนส่งสาธารณะ อาจทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่มั่นใจและลดความสนใจในการเลือกเชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเดินทางคนเดียว

Social-First Itineraries และพลังของโซเชียลมีเดีย

อีกหนึ่งเทรนด์ที่เชียงรายต้องให้ความสำคัญคือการที่โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok และ Instagram Reels ได้กลายเป็นผู้กำหนดเส้นทางการเดินทาง สิ่งที่ดูดี ถ่ายรูปสวย หรือกลายเป็นไวรัล สามารถทำให้จุดหมายปลายทางบางแห่งได้รับความนิยมอย่างมหาศาลภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

เชียงรายมีจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูงในการกลายเป็นไวรัลบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะวัดร่องขุ่นที่มีสถาปัตยกรรมสีขาวล้วนที่โดดเด่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำที่มีความลึกลับและศิลปะร่วมสมัยที่น่าสนใจ หรือแม้แต่ทุ่งดอกไม้และวิวทิวทัศน์ภูเขาที่สวยงาม อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการความนิยมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เป็นความท้าทายใหม่ที่เชียงรายต้องเผชิญ

การที่สถานที่แห่งหนึ่งกลายเป็นไวรัลอาจนำมาซึ่งนักท่องเที่ยวจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ซึ่งหากไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของประสบการณ์ท่องเที่ยว สภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น การพัฒนาระบบจัดการนักท่องเที่ยว (crowd management) การสร้างกฎระเบียบที่เหมาะสม และการสื่อสารกับชุมชนเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับกระแสดังกล่าว จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน

Low-Carbon Luxury Travel โอกาสสำหรับตลาดระดับสูง

เทรนด์ “Low-Carbon Luxury Travel” หรือการท่องเที่ยวแบบลักชัวรีที่เน้นการลดคาร์บอน เป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ผลสำรวจในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า 76 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูงยอมจ่ายเงินเพิ่มสำหรับตัวเลือกที่มีความยั่งยืนมากกว่า

เชียงรายมีศักยภาพในการพัฒนาตลาดนี้ โดยเฉพาะการนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ผสานความหรูหราเข้ากับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การเดินทางด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่แล้วเชื่อมต่อด้วยรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริดมายังเชียงราย การพักในรีสอร์ตที่ใช้พลังงานหมุนเวียน การรับประทานอาหารออร์แกนิกจากฟาร์มท้องถิ่น และการมีระบบติดตามคาร์บอนในแพ็กเกจการเดินทาง ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทรนด์นี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภาคเอกชนที่ต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับหลักความยั่งยืน และชุมชนท้องถิ่นที่ต้องมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม

กรณีศึกษา โปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย”

โปรแกรม “Grand Moment จังหวัดเชียงราย” ที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่ม Active Senior อายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นตัวอย่างที่ดีของการพยายามตอบรับเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่ โปรแกรมนี้ครอบคลุมกิจกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอย่างวัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น และพิพิธภัณฑ์บ้านดำ ไปจนถึงการเรียนรู้ศิลปะที่ขัวศิลปะ และการสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนชนเผ่าที่ Athu Akha Home

โปรแกรมดังกล่าวตอบโจทย์เทรนด์ Slow Travel ด้วยการจัดกิจกรรมที่ไม่เร่งรีบ ให้เวลานักท่องเที่ยวได้สัมผัสและเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงเทรนด์ Value Driven Travel ด้วยการเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นและการให้คุณค่ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น นอกจากนี้ การเลือกร้านอาหารท้องถิ่นอย่างบ้านเสาวกา ร้านอาหารมุมไม้ และ Melt In Your Mouth ยังตอบโจทย์เทรนด์ Foodie Travel ที่เน้นการลิ้มรสอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์

การเลือกที่พักอย่าง เดอะ เลเจนด์ เชียงราย บูทิค รีสอร์ท ที่เป็นโรงแรมบูทิคขนาดเล็ก ยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและมีเอกลักษณ์มากขึ้น ไม่ใช่โรงแรมเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีรูปแบบเหมือนกันทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนี้ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการวางแผนและจัดการการเดินทาง การเพิ่มกิจกรรมที่เน้นด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เช่น โยคะ สมาธิ หรือการออกกำลังกายท่ามกลางธรรมชาติ และการมีระบบติดตามคาร์บอนเพื่อตอบสนองต่อเทรนด์ Low-Carbon Luxury Travel

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย สิ่งที่เชียงรายต้องทำเพื่อก้าวสู่ 2026

จากการวิเคราะห์ความสามารถของเชียงรายในการตอบรับ 10 เทรนด์การท่องเที่ยวโลก มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญดังนี้

ด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

  1. พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลท่องเที่ยวดิจิทัลที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกัน รวมถึงระบบอัปเดตเรียลไทม์
  2. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ เช่น ระบบจองออนไลน์ ระบบชำระเงินดิจิทัล
  3. สร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI-ready เพื่อรองรับการใช้งาน AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ด้านความปลอดภัยและบริการ

  1. พัฒนาระบบสนับสนุนนักท่องเที่ยวเดี่ยว เช่น ที่พักที่เหมาะสม ทัวร์ Solo Together และแอปพลิเคชันความปลอดภัย
  2. ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้านภาษาต่างประเทศในทุกจุดบริการ
  3. สร้างเครือข่ายอาสาสมัครท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

  1. ส่งเสริมการพัฒนาโปรแกรม Silent Retreats และ Wellness Programs ที่มีคุณภาพ
  2. สนับสนุนให้โรงแรมและรีสอร์ตลงทุนในเทคโนโลยีด้านสุขภาพและการนอนหลับ
  3. พัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและการเยียวยาจิตใจ

ด้านความยั่งยืน

  1. พัฒนาระบบติดตามและรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับแพ็กเกจท่องเที่ยว
  2. ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในสถานประกอบการท่องเที่ยว
  3. พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้านวัฒนธรรมและชุมชน

  1. เสริมสร้างศักยภาพชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
  2. พัฒนาคอร์สสอนทำอาหารท้องถิ่นและกิจกรรม hands-on experience ที่มีคุณภาพ
  3. สร้างกลไกการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนอย่างเป็นธรรม

ด้านการจัดการนักท่องเที่ยว

  1. พัฒนาระบบจัดการนักท่องเที่ยว (crowd management) ในจุดท่องเที่ยวหลัก
  2. สร้างช่องทางการสื่อสารและกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับนักท่องเที่ยว
  3. เตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากโซเชียลมีเดีย

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ทิศทางที่ต้องเดินหน้า

แม้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นในเชียงรายจะไม่ปรากฏในเอกสารที่นำมาประกอบข่าวนี้ แต่จากการวิเคราะห์รายงานของ TAT Academy สถาบันเศรษฐศาสตร์ Mastercard และหน่วยงานชั้นนำระดับโลกอื่นๆ สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังเปลี่ยนผ่านจากการเป็น “อุตสาหกรรมบริการ” ไปสู่ “อุตสาหกรรมแห่งประสบการณ์และคุณค่า”

Mastercard Economics Institute ย้ำว่าผู้บริโภคในปี 2026 มีความซับซ้อน ตระหนักถึงคุณค่า และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี คำถามที่สำคัญที่สุดในการเดินทางในปี 2026 คือ “คุณไปทำไม” ไม่ใช่ “คุณไปไหน” การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการให้จุดหมายปลายทางอย่างเชียงรายปรับกระบวนทัศน์จากการ “ขายสถานที่” เป็นการ “นำเสนอความหมาย”

The Getaway Co. ซึ่งเป็นบริษัททัวร์เฉพาะทางที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ได้สรุปไว้ว่า “การเดินทางในโลกยุคใหม่คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ มีสติ และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความใส่ใจ วิธีการเดินทางมีความสำคัญพอๆ กับสถานที่ที่คุณไป”

เชียงรายยืนอยู่ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญ

จากการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน สามารถสรุปได้ว่าเชียงรายมีศักยภาพในการตอบรับ 10 เทรนด์การท่องเที่ยวโลกในปี 2026 ได้ประมาณ 7 จาก 10 เทรนด์ โดยมีจุดแข็งที่โดดเด่นใน 3 เทรนด์หลัก ได้แก่:

  1. Coolcation Travel – ความได้เปรียบด้านภูมิอากาศเย็นและธรรมชาติ (ระดับความพร้อม: 90%)
  2. Slow Travel และ Off-Season Travel – วัฒนธรรมและชุมชนที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวแบบช้าๆ (ระดับความพร้อม: 80%)
  3. Value Driven Travel และ Foodie Travel – ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอาหาร (ระดับความพร้อม: 75%)

เทรนด์ที่มีความพร้อมปานกลาง ได้แก่: 4. Holistic Travel – มีพื้นฐานแต่ขาดโครงสร้างเฉพาะทาง (ระดับความพร้อม: 60%) 5. Low-Carbon Luxury Travel – มีโอกาสแต่ต้องลงทุนพัฒนา (ระดับความพร้อม: 55%)

เทรนด์ที่ยังมีความพร้อมต่ำและต้องเร่งพัฒนา ได้แก่: 6. Solo Travel – ขาดระบบสนับสนุนเฉพาะ (ระดับความพร้อม: 50%) 7. Hyper-personalised Travel – ขาดข้อมูลดิจิทัลและระบบ (ระดับความพร้อม: 40%) 8. AI Fellow Travel – ขาดโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี (ระดับความพร้อม: 30%)

เทรนด์ที่ไม่สามารถประเมินได้ชัดเจน: 9. Social-First Itineraries – มีศักยภาพแต่ขาดการจัดการที่เหมาะสม

ระยะเวลา 18 เดือนที่เหลือก่อนถึงปี 2026 เป็นช่วงเวลาทองสำหรับเชียงรายในการเร่งปิดช่องว่างเหล่านี้ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น

การท่องเที่ยวในยุคใหม่ไม่ได้วัดความสำเร็จด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่วัดด้วยคุณภาพของประสบการณ์ ความยั่งยืนของผลกระทบ และความสามารถในการสร้างคุณค่าให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น เชียงรายมีทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญในยุค 2026 หากสามารถแก้ไขจุดอ่อนและใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่อย่างเต็มที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร 
  • ศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย – รายงาน “10 Trends การท่องเที่ยว ที่ต้องรู้ในปี 2026” เผยแพร่เมื่อ 19 กันยายน 2568
  • Mastercard Economics Institute – “การพลิกโฉมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 2026: จากการตะลอนเที่ยวสู่การเดินทางที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่าและเจตจำนง”
  • The Getaway Co. – รายงาน “Unlock the Ultimate 2026 Travel Trends to Inspire Your Next Adventure” เผยแพร่เมื่อ 15 กรกฎาคม 2025
  • Virtuoso – การสำรวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวระดับลักชัวรี ปี 2024
  • Intrepid Travel – รายงานแนวโน้มจุดหมายปลายทางยอดนิยม ปี 2024-2026
  • Eclectic Trends และ Travel Trade Days
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายมีศักยภาพ “ดอยลังกาหลวง-ดอยช้าง” ติดท็อปเท็นภูเขาสูงสุดของไทย

เชียงรายชูศักยภาพภูเขา “ดอยลังกาหลวง–ดอยช้าง” ติดท็อปเท็นสูงสุดของไทย (เมื่อจัดจำแนกอย่างรอบด้าน) — เปิดความจริง-คลี่คลายความสับสนของตัวเลขและชื่อสถานที่ พร้อมข้อเสนอให้อัปเดตฐานข้อมูลทางการ

เชียงราย, 16 กันยายน 2568 — เมื่อพูดถึง “ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย” หลายคนตอบได้ทันทีว่า ดอยอินทนนท์ สูง 2,565 เมตร แต่พอไล่ลำดับถัดไป หลายสำนักกลับให้ตัวเลขและชื่อยอดเขาไม่ตรงกัน—ดอยผ้าห่มปก บางที่ 2,285 เมตร บางที่ 2,296 เมตร, ยอดภูสอยดาว บางที่ 2,102 บางที่ 2,120 เมตร ขณะที่ชื่อ “ดอยช้าง” ก็ยิ่งชวนสับสน เพราะบางแหล่งหมายถึง “ยอดเขา” แต่บางแหล่งหมายถึง “ชุมชนและแหล่งปลูกกาแฟ” ที่ระดับสูงเฉลี่ย 1,000–1,700 เมตร ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตรตามลิสต์บางแห่ง

รายงานชิ้นนี้ได้ข้อมูลสารตั้งต้นมาจากเพจ “สุดยอดแห่งสยาม” ทางสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์อยากชวนผู้อ่านสำรวจอย่างเป็นระบบว่า “อะไรจริง อะไรคลาดเคลื่อน” โดยยึดหลักฐานจากหน่วยงานรัฐและเอกสารอ้างอิงที่เชื่อถือได้เป็นแกนหลัก ให้เห็นภาพตั้งแต่นักท่องเที่ยวเชิงผจญภัย และชุมชนท้องถิ่น ใช้ข้อมูลเดียวกันในการวางแผน—ทั้งด้านความปลอดภัย การอนุรักษ์ และการพัฒนาการท่องเที่ยว

ปมสับสน ตัวเลขสูง–ต่ำต่างกันได้อย่างไร

ข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้แน่น

  • ดอยอินทนนท์ สูง 2,565 เมตร — เป็นความสูง “ทางการ” ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันไว้ในเอกสารของกรมอุทยานฯ ว่าดอยอินทนนท์เป็นยอดสูงสุดของประเทศ (เอกสารสำนักอุทยานแห่งชาติ ระบุช่วงความสูงพื้นที่อุทยาน 400–2,565 เมตร และระบุชัดเจนว่าอินทนนท์เป็นยอดสูงสุดของไทย)
  • ดอยผ้าห่มปก ยอดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก ระดับ 2,285 เมตร (ข้อมูลหน้าอย่างเป็นทางการของอุทยาน)
  • ดอยหลวงเชียงดาว มีสองค่าที่ถูกใช้งานคู่ขนาน 2,225 เมตร (ใช้กว้างขวางในเอกสารและป้ายสื่อสารของไทย เช่น มูลนิธิสืบนาคะเสถียร) และค่าจากสารานุกรมสากลบางแหล่งที่ลง 2,175 เมตร — สะท้อนปัญหา “ค่ามาตรฐาน” คนละชุดที่ยังไม่ถูกเทียบมาตรฐานร่วมกัน
  • โมโกจู (อุทยานแห่งชาติแม่วงก์) ยืนยันสูงสุดของอุทยานที่ 1,964 เมตร บนหน้าอย่างเป็นทางการของกรมอุทยานฯ (ระบุชัดที่หัวข้อสภาพภูมิประเทศ)
  • ดอยภูคา (จ.น่าน) ระดับสูงสุด 1,980 เมตร อ้างอิงจากหน้าจองที่พัก/แนะนำอุทยานของกรมอุทยานฯ (NPS)

ยอดที่ยืนยันโดยฐานข้อมูลมาตรฐานและสารานุกรม

  • ดอยลังกาหลวง — ยอดสูงสุดของเชียงราย อยู่แนวเทือกลังกา–ขุนแจ ค่าความสูงที่ปรากฏซ้ำมากที่สุดคือ 2,031 เมตร (พบในสารานุกรมภูมิประเทศที่สรุปยอดเด่นของไทย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลสื่อรัฐ/ท้องถิ่น)

ข้อสังเกตสำคัญ ตัวเลขความสูงที่ “ทางการ” รับรองกับตัวเลขจากฐานข้อมูลแผนที่/ชุมชน (เช่นสารานุกรมออนไลน์หรือฐานข้อมูลภูมิประเทศสากล) อาจต่างกันเพราะ (1) ระบบอ้างอิงระดับทะเล (datums) ต่างชุด, (2) ความละเอียดแบบจำลองภูมิประเทศ (DEM) ต่างความละเอียด และ (3) บางแหล่งนับ “ปุ่มยอด/สันเขาย่อย” เป็นยอดแยก ขณะที่รัฐนับเฉพาะยอดหลัก

ดอยลังกาหลวง, เชียงราย สูง 2,031 เมตร

เคสศึกษาเชียงราย “ดอยลังกาหลวง” ชัดเจน — “ดอยช้าง” ต้องระบุให้ตรง

ดอยลังกาหลวง — เสาหลักเหนือสุด

เชียงรายมีภูมิประเทศซับซ้อนเชื่อมเทือกเขาถนนธงชัยกับสันปันน้ำชายแดน ดอยลังกาหลวงจึงเป็น “เสาหลัก” ที่ยืนเด่นด้วยระดับกว่า 2 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ค่าที่พบซ้ำในแหล่งข้อมูลวิชาการ/สารานุกรมคือ 2,031 เมตร (และสอดคล้องกับสื่อราชการพื้นที่) ทำให้ดอยลังกาหลวงติดหนึ่งใน “คลับ 2,000+ เมตร” ของไทยร่วมกับอินทนนท์ ผ้าห่มปก และภูสอยดาว

แม้หน้าเว็บไซต์กลางของกรมอุทยานฯ จะไม่ได้ลงรายละเอียดความสูงยอดนี้ไว้ชัดเจนเท่าดอยยอดอื่น แต่ข้อมูลเชิงพื้นที่จากสื่อรัฐและชุมชนผู้เดินป่าระบุสอดคล้องกันมาอย่างยาวนาน จุดนี้สะท้อนโจทย์นโยบายสำคัญ—เราควรมีฐานข้อมูลยอดเขาทางการที่อัปเดตและค้นหาได้ง่าย เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของตัวเลขในสื่อสาธารณะ

ดอยช้าง, เชียงราย สูง 1,962 เมตร

ดอยช้าง — ชื่อเดียว หลาย “ที่”

ชื่อ “ดอยช้าง” เป็นปมใหญ่ของความสับสน เพราะในเชียงรายมี อย่างน้อย 2–3 จุด ที่ถูกเรียกว่า “ดอยช้าง” ในชีวิตประจำวัน

  1. ดอยช้าง” ในลิสต์ยอดเขาสูง (1,962 เมตร) — บางฐานข้อมูลภูมิประเทศของชุมชนผู้ปีนเขาระบุยอดชื่อ Doi Chang สูง 1,962 เมตร (มีพิกัดชัดเจน) แม้จะไม่ใช่เอกสารราชการ แต่เป็นหลักฐานแผนที่จากชุมชนที่ใช้กันกว้างขวางในแวดวงเดินเขา จึงมีคุณค่าทางข้อมูลเชิงสำรวจ (ควรใช้คู่กับข้อมูลราชการเพื่อความรัดกุม)
  2. ดอยช้าง” แหล่งปลูกกาแฟ–ท่องเที่ยววาวี (1,000–1,700 เมตร) — พื้นที่ บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย เป็น “โลเคชันดังระดับโลก” สำหรับกาแฟอาราบิก้า ไม่ใช่ยอดเขา 1,962 เมตร โดยหน่วยงานรัฐด้านเกษตรระดับจังหวัดระบุชัดว่าเขตปลูกอยู่ที่ระดับ 1,000–1,700 เมตร ซึ่งอธิบายความต่างของตัวเลขกับ “ยอดดอยช้าง” ที่โผล่ในลิสต์ภูเขาสูงได้เป็นอย่างดี 
  3. ดอยช้างมูบ” (1,504 เมตร) — จุดชมวิวชายแดนไทย–เมียนมา ทางแม่ฟ้าหลวง/แม่สาย เป็นอีกชื่อที่ใกล้เคียงและทำให้คนทั่วไปเข้าใจปะปนกับ “ดอยช้าง” ในวาวีอยู่บ่อยครั้ง (แม้ความสูงจะต่างกันมาก)

บทเรียนจากดอยช้าง การสื่อสารชื่อภูมิประเทศในสื่อสาธารณะควร “ระบุพิกัด/อำเภอ–ตำบล” ควบคู่เสมอ โดยเฉพาะชื่อสามัญอย่าง “ดอยช้าง/ดอยผาหม่น/ผาหัวช้าง” ที่มีหลายแห่งทั่วยอดดอยของภาคเหนือ

รายชื่อยอดเด่น 

เมื่อ “จัดจำแนก” ด้วยหลักฐานภาครัฐควบคู่กับสารานุกรม/แหล่งข้อมูลมาตรฐาน จะได้ภาพรวมของยอดเด่นดังนี้

  • ดอยอินทนนท์ 2,565 ม. — สูงสุดของไทย (อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ยืนยันในเอกสารกรมอุทยานฯ)
  • ดอยผ้าห่มปก 2,285 ม. — ยอดสูงสุดของอช. ผ้าห่มปกและสูงอันดับ 2 ของประเทศตามสื่อราชการของอุทยานเอง
  • ดอยหลวงเชียงดาว 2,225/2,175 ม. — มีสองค่าที่ใช้จริง (มูลนิธิสืบฯ ระบุ 2,225 ม. ขณะที่สารานุกรมสากลลง 2,175 ม.) จึงควรระบุแหล่งอ้างอิงควบคู่ทุกครั้งที่เผยแพร่
  • ยอดภูสอยดาว 2,120/2,102 ม. — สื่อวิชาการ–สารานุกรมไทยนิยม 2,120 ม. ในขณะที่สื่อไทยบางแห่งใช้ 2,102 ม. (แนะนำให้อ้างแหล่งที่ใช้ตัวเลขอย่างชัดเจนทุกครั้ง)
  • ดอยลังกาหลวง 2,031 ม. — ยอดสูงสุดของเชียงรายตามสารานุกรมภูมิประเทศ (ภาครัฐยังไม่มีหน้าเว็บกลางระบุค่าความสูงนี้อย่างเป็นทางการ)
  • ดอยภูคา 1,980 ม. — อ้างอิงหน้า NPS ของกรมอุทยานฯ
  • โมโกจู 1,964 ม. — ยอดสูงของอช. แม่วงก์ (ข้อมูลทางการ)

หมายเหตุ ชื่ออย่าง “กิ่วแม่ปาน” ซึ่งบางลิสต์นำไปจัดรวมเป็น “ยอด 2,000 เมตร” แท้จริงคือ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติ” ใกล้ยอดอินทนนท์ (ไม่ใช่ยอดเขาเอกเทศ) จึงไม่ควรนับเป็นยอดแยกตามธรรมเนียมภูมิประเทศสากล

ทำไม “จัดอันดับ 1–10” ถึงยาก?

เพราะวิธี “นับยอด” ต่างกัน หลายสำนักนับเฉพาะ “ยอดหลัก” (prominence สูง) ขณะที่บางสำนักนับ “สัน/ปุ่ม” ที่สูงเกินเกณฑ์ด้วย จึงทำให้ลำดับ 5–10 ขยับขึ้นลงได้ นี่ยังไม่นับความต่างของฐานข้อมูล DEM/การยึด datum คนละชุด และความคลาดเคลื่อนจากการอ่านค่าสูงสุดของ cell พิกเซล DEM ที่หยาบ–ละเอียดต่างกัน

จังหวัดเชียงราย เป็น 2 ใน 10 ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย

ดอยลังกาหลวง และ ดอยช้าง ซึ่งเป็นยอดเขาสำคัญของจังหวัดเชียงราย ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 2 ใน 10 ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดย ดอยลังกาหลวง ติดอันดับที่ 5 และ ดอยช้าง ติดอันดับที่ 8

จากข้อมูลล่าสุด ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย 10 อันดับแรก ประกอบด้วย

1 ดอยอินทนนท์, เชียงใหม่ 2,565 เมตร

2 ดอยผ้าห่มปก, เชียงใหม่ 2,285 เมตร

3 ดอยหลวงเชียงดาว, เชียงใหม่ 2,225 เมตร

4 ยอดภูสอยดาว, อุตรดิตถ์ 2,102 เมตร

5 ดอยลังกาหลวง, เชียงราย 2,031 เมตร

6 กิ่วแม่ปาน, เชียงใหม่ 2,000 เมตร

7 ดอยภูคา, น่าน 1,980 เมตร

8 ดอยช้าง, เชียงราย 1,962 เมตร

9 โมโกจู, กำแพงเพชร 1,950 เมตร

10 ดอยม่อนจอง, เชียงใหม่ 1,925 เมตร

ความโดดเด่นของดอยทั้งสองในจังหวัดเชียงรายนี้ นอกจากจะมีความสูงที่ติดอันดับแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและมีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปสัมผัสความงามของธรรมชาติอยู่เสมอ

จากภูมิประเทศสู่การท่องเที่ยว ข้อมูลที่แม่นยำ = ความปลอดภัย + มูลค่าเศรษฐกิจ

ตัวเลขความสูงไม่ใช่เรื่อง “เอาไว้เถียงกันเท่านั้น” แต่มีผลต่อการสื่อสารความปลอดภัยและการบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยตรง—ทั้งการประเมินสภาพอากาศ (ลม–ฝน–อุณหภูมิ), เวลาเดิน, ระดับความยากของเส้นทาง, การเตรียมอุปกรณ์ และการจำกัดจำนวนผู้เข้าพื้นที่อนุรักษ์ต่อวัน

  • กรณีโมโกจู (1,964 ม.) อช.แม่วงก์ระบุชัดเจนบนหน้าเว็บว่าเป็นยอดสูงสุดและบอกลักษณะภูมิประเทศ—ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้จัดการท่องเที่ยว/ไกด์กำหนดฤดูกาลเปิด–ปิดเส้นทาง และกำหนดมาตรการความปลอดภัยได้เหมาะสม
  • กิ่วแม่ปาน การสื่อสารให้ถูกต้องว่าเป็น “เส้นทางเรียนรู้” ใกล้ยอดอินทนนท์ ไม่ใช่ยอดเขาเอกเทศ ช่วยตั้งความคาดหวังนักท่องเที่ยวให้เหมาะสม และกระจายคนออกจากจุดเปราะบางทางนิเวศของยอดหลักได้ดีขึ้น
  • ดอยช้าง (วาวี) การยืนยันว่าพื้นที่ปลูกกาแฟอยู่ช่วง 1,000–1,700 เมตร ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตร ช่วย “จัดวางผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว” ให้ถูกที่ถูกทาง (เน้นวัฒนธรรมกาแฟ วิถีชุมชน วิวไร่บนไหล่เขาสูง) แทนการนำเสนอเป็น “จุดพิชิตยอด” ที่อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัยและกระทบพื้นที่ป่าโดยไม่จำเป็น 

 ทำ “ฐานข้อมูลยอดเขาทางการ” กลางประเทศ

บทเรียนจากความสับสนของตัวเลขและชื่อสถานที่ชี้ไปที่โจทย์ร่วม 3 ประการ

  1. จัดทำฐานข้อมูล “ยอดเขาทางการ” กลางประเทศ — โดยหน่วยงานแกนกลาง เช่น กรมอุทยานฯ ร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี/กรมแผนที่ทหาร เผยแพร่ชุดข้อมูลมาตรฐาน (ชื่อ–พิกัด–ระดับความสูง–prominence) พร้อมอธิบายที่มาของตัวเลขและระบบอ้างอิง (datum/DEM) อย่างโปร่งใส
  2. ระบุ “พิกัด + อำเภอ/ตำบล” ทุกครั้งในสื่อสาธารณะ — โดยเฉพาะชื่อสามัญที่ซ้ำกันในหลายจังหวัด เพื่อลดความเข้าใจผิด (กรณี “ดอยช้าง/ดอยผาหม่น/ดอยผ้าห่มปก–ดอยฝาง” เป็นต้น)
  3. ปรับคู่มือสื่อสารการท่องเที่ยว — แยก “ยอดเขา” ออกจาก “เส้นทาง/จุดชมวิว” ให้ชัดเจน (เช่นกิ่วแม่ปาน) และเน้นความพร้อมด้านความปลอดภัยตามมาตรฐานของแต่ละพื้นที่ (ฤดู–อุปกรณ์–การขออนุญาต–โควตา)

เชียงรายได้อะไรจาก “ข้อมูลที่ตรงกัน”

ในมหากาพย์ “จัดอันดับความสูง” ที่ต่างสำนักลงตัวเลขไม่ตรงกัน เชียงราย ได้รับบทเรียนสำคัญสองชั้น

  • ชั้นแรก—ภาพจำเชิงพื้นที่ ดอยลังกาหลวง 2,031 เมตร คือเสาหลักบนแผนที่ภาคเหนือที่ยืนยันทักษะผจญภัยขั้นสูงของจังหวัด ส่วน ดอยช้าง (วาวี) คือภูมิทัศน์วัฒนธรรมกาแฟระดับโลกที่ต้องเล่าให้ชัดว่าคือ “พื้นที่ไหล่เขา 1,000–1,700 เมตร” ไม่ใช่ยอด 1,962 เมตร เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวให้ตรงประเด็น—ชุมชนได้ประโยชน์ นักท่องเที่ยวปลอดภัย
  • ชั้นที่สอง—โครงสร้างข้อมูลสาธารณะ ความต่างของตัวเลข ดอยหลวงเชียงดาว (2,225 กับ 2,175) หรือ ภูสอยดาว (2,120 กับ 2,102) สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนของ “ฐานข้อมูลยอดเขาทางการ” ที่ค้นหาได้ง่ายและอ้างอิงได้เหมือนกันทั่วประเทศ เพื่อยุติความสับสนและยกระดับความน่าเชื่อถือของข้อมูลท่องเที่ยว–ความปลอดภัยของไทยในสายตาโลก

ท้ายที่สุด—ตัวเลขคือ “ภาษาเดียวกัน” ระหว่างเจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ นักเดินป่า และนักท่องเที่ยว หากเราพูดภาษาเดียวกันได้ ความเสี่ยงก็ลดลง โอกาสทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพก็เพิ่มขึ้น และธรรมชาติบนสันเขาไทยจะถูกดูแลได้ดีขึ้นด้วยข้อมูลที่เที่ยงตรง

ดอยอินทนนท์, เชียงใหม่ สูง 2,565 เมตร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช — เอกสารอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ระบุความสูงสูงสุดประเทศ 2,565 เมตร (สำนักอุทยานแห่งชาติ)
  • อุทยานแห่งชาติผ้าห่มปก (กรมอุทยานฯ) — ระบุยอดสูงสุด 2,285 เมตร และสถานะเป็นยอดสูงอันดับสองของไทย
  • อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ (กรมอุทยานฯ) — หน้าอย่างเป็นทางการ ระบุ “โมโกจู” สูง 1,964 เมตร เป็นยอดสูงสุดของอุทยาน (หัวข้อ Topographical features)
  • อุทยานแห่งชาติดอยภูคา (หน้า NPS ของกรมอุทยานฯ) — ระบุความสูงพื้นที่อุทยานและข้อมูลประกอบ (ยอด 1,980 เมตร)
  • มูลนิธิสืบนาคะเสถียร — บทความความรู้ ดอยเชียงดาว (ใช้ค่าความสูง 2,225 เมตรตามสื่อไทย)
  • สารานุกรม/รายการภูเขาไทย (วิกิพีเดียภาษาอังกฤษ “List of mountains in Thailand”) — ใช้ประกอบเทียบค่าที่ต่างกันของยอดเด่น (เช่น ดอยลังกาหลวง 2,031 ม., ดอยหลวงเชียงดาว 2,175 ม., ภูสอยดาว 2,120 ม.) ควรใช้อ้างอิงคู่กับแหล่งราชการทุกครั้ง
  • DNP 1362 (กรมอุทยานฯ)
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (กระทรวงเกษตรฯ) — บทความแนะนำ ดอยช้าง–ดอยวาวี ยืนยัน “ระดับความสูงพื้นที่ปลูกกาแฟ 1,000–1,700 เมตร” ใช้แยกจาก “ยอดดอยช้าง 1,962 ม.” ในฐานข้อมูลนักปีนเขาได้ชัดเจน
  • ฐานข้อมูลภูมิประเทศชุมชนผู้ปีนเขา (Peakery) — ระบุยอด Doi Chang 1,962 เมตร 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

สวนนงนุชยกระดับ! เปิดอาณาจักรพุทธศิลป์รวมองค์แทนพระพุทธเจ้าจากทั่วโลก

สวนนงนุชพัทยาเปิด “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้พุทธศิลป์นานาชาติ” รวมองค์แทนพระพุทธเจ้า หวังปลูกฝังความรู้และศรัทธาให้เยาวชน

พัทยา, 15 กันยายน 2568 — สวนนงนุชพัทยาเดินหน้าวิสัยทัศน์ “อาณาจักรแห่งแหล่งเรียนรู้ครบวงจร” เปิดพื้นที่การเรียนรู้ด้านพระพุทธศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดสร้างและรวบรวม “องค์แทนพระพุทธเจ้า” จากหลากหลายประเทศ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้ทำความเข้าใจความงดงามของพุทธศิลป์ในบริบทวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันยังย้ำบทบาทสวนนงนุชในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาเคียงข้างสวนพฤกษศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และสวนสัตว์ปูนปั้น ซึ่งเป็น 5 เสาหลักของแผนพัฒนาเชิงเนื้อหาที่วางไว้

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ยกเหตุผลสำคัญว่า โครงการนี้ตั้งใจ “ทำให้เด็กๆ เข้าถึงพระพุทธศาสนาในรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย และเห็นความงามของพุทธศิลป์จากนานาชาติ” ด้วยความเชื่อว่าการเห็นของจริงในบริบทย่อส่วน จะช่วย “ปลูกฝังความรัก ความศรัทธา และความเข้าใจหลักคำสอนที่ถูกต้อง” ตั้งแต่วัยเยาว์ และติดตัวไปสู่การเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต (อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารที่สอดคล้องกับข่าวเผยแพร่ล่าสุดของสวนนงนุชพัทยาและสื่อท้องถิ่น)

จาก “สวนสวย” สู่ “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” โครงเรื่องที่สวนนงนุชอยากเล่า

เรื่องราวเริ่มที่คำถามง่ายๆ ว่า “เราจะทำให้พระพุทธศาสนาน่าสนใจสำหรับเด็กและคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร” คำตอบของสวนนงนุชคือการยก “โลกของพุทธศิลป์” มาไว้ในพื้นที่เดียว ให้ผู้ชมเดินผ่านเรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์ รูปทรง และสุนทรียะ จากหลากหลายภูมิภาค แล้วเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างด้วยสายตาตนเอง

แนวคิดนี้สอดรับกับทิศทางการเป็น “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้ครบวงจร” ของสวนนงนุช ซึ่งมี 5 ด้านหลัก ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสัตว์ปูนปั้น ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และพระพุทธศาสนา โดยด้านสุดท้ายถูกต่อยอดให้ชัดเจนขึ้นผ่าน “องค์แทนพระพุทธเจ้า” ที่ทำหน้าที่เหมือนห้องเรียนภาคสนามกลางแจ้ง ผู้ชมจึงไม่ได้เพียง “ดู” หากแต่ “เชื่อมโยง” ข้อมูลศิลปะ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์วัฒนธรรมเข้าด้วยกัน (ข้อมูลทิศทางจากเว็บไซต์สวนนงนุชและบทความแนะนำพิพิธภัณฑ์พุทธคุโณปการ)

ความคืบหน้าโครงการ 5 องค์แล้วเสร็จ และ 11 องค์อยู่ระหว่างดำเนินการ

สวนนงนุชระบุว่า ขณะนี้ได้จัดสร้างองค์แทนพระพุทธเจ้าจากนานาชาติแล้ว 5 องค์ ได้แก่

  • พระโพธิสัตว์กวนอิม
  • พระศรีอริยเมตไตรย (อ้างอิงแรงบันดาลใจจากวัดในเกาหลีใต้)
  • พระสังกัจจายน์
  • พระพุทธรูป “เลจุน เซจาร์” จากเมียนมา
  • พระพุทธรูป “ไดบุตสึ” จากญี่ปุ่น

นอกจากนี้ยังมี 11 องค์ อยู่ระหว่างทำงาน ซึ่ง 3 องค์ แรกที่แล้วเสร็จและทยอยเปิดให้ชม ได้แก่ พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน), พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) และ พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน—ในฐานะองค์แทน/การระลึกถึง) รายละเอียดดังกล่าวยืนยันในข่าวเผยแพร่ของสื่อไทยท้องถิ่นและเว็บไซต์ข่าวเชิงสาธารณะ ซึ่งระบุวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็ก เยาวชน และนักท่องเที่ยวเข้าถึงความหลากหลายของพุทธศิลป์โลกในพื้นที่เดียว

“เมื่อได้เห็นความงดงามของพุทธศิลป์จากหลายประเทศ เด็กๆ จะเกิดความรู้สึกชอบ เมื่อเติบโตขึ้นมาจึงเกิดความรักและความศรัทธาในหลักคำสอนที่ถูกต้อง” — นายกัมพล ตันสัจจา (อ้างอิงตามเนื้อหาข่าวประชาสัมพันธ์)

ทำไมต้อง “องค์แทน” บทเรียนเชิงบริบทและการเทียบเคียง

การจัดสร้าง “องค์แทน” มิได้เป็นเพียงการจำลองรูปเคารพ หากคือการ “ย่อโลก” ของคติ ความเชื่อ และรูปแบบศิลป์ที่สะท้อนรากวัฒนธรรมแต่ละภูมิภาคให้มาอยู่ในระยะสายตาเดียวกัน เด็กและผู้ชมจึงสามารถเทียบเคียง “ภาษาศิลป์” ได้โดยตรง ว่าทำไมพระพุทธรูปจากญี่ปุ่นจึงหนักแน่นเรียบง่าย เหตุใดพระโพธิสัตว์ในจีนจึงอ่อนช้อย และเหตุใดรูปเคารพจากหิมาลัยจึงเต็มไปด้วยรายละเอียดเชิงสัญลักษณ์ เมื่อมองผ่านเลนส์นี้ “องค์แทน” กลายเป็นตำราเรียนที่เดินเข้าไปอ่านได้

เปิดเลนส์ดู 3 สัญลักษณ์สำคัญ ภูฐาน–ทิเบต–อัฟกานิสถาน

1) พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน) — ความศรัทธาที่โอบล้อมเมืองหลวง

Great Buddha Dordenma ตั้งอยู่บนเนินเขาในทิมพู สร้างด้วย สำริดปิดทอง สูงราว 54 เมตร ก่อสร้างระหว่างปี 2006–2015 ภายในบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็กกว่า หนึ่งแสนองค์ ตามคติศรัทธา การมีอยู่ขององค์พระซึ่งมองเห็นได้เด่นชัดราวคุ้มครองเมืองทั้งเมือง จึงมีนัยทั้งเชิงสัญลักษณ์และทัศนภูมิประเทศที่น่าสนใจต่อการเรียนรู้ด้านภูมิสถาปัตยกรรมศาสนา

2) พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) — ศูนย์กลางศรัทธาที่โยกย้ายมิได้

Jowo Shakyamuni ประดิษฐานในวัดโจกัง เมืองลาซา และถูกยกย่องว่าเป็น “พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของทิเบต” ความสำคัญอยู่ที่บทบาททางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของทิเบต มากกว่าขนาดหรือวัสดุ การศึกษาองค์นี้ช่วยเปิดมุมมองว่า “คุณค่าทางศาสนา” อาจวัดจากความทรงจำร่วมของสังคม และบทบาททางพิธีกรรม มิใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก

3) พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน) — อนุสรณ์แห่งการคุ้มครองมรดกโลก

พระพุทธรูปยักษ์สององค์ที่หน้าผาหุบเขาบามิยันถูกทำลายเมื่อปี 2001 จนเหลือเพียง “โพรงว่าง” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์เตือนใจโลกให้ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกของยูเนสโก ในชื่อ Cultural Landscape and Archaeological Remains of the Bamiyan Valley การสร้าง “องค์แทนเพื่อระลึกถึง” จึงมีนัยเชิงการศึกษา ว่าความสูญเสียทางวัฒนธรรมส่งผลอย่างไร และโลกเรียนรู้อะไรจากบทเรียนนี้

สวนนงนุชในฐานะ “สะพาน” เชื่อมศิลป์–ศรัทธา–สังคม

เมื่อองค์แทนจากภูมิภาคต่างๆ มาวางอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ผู้ชมจะเห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งแช่แข็ง หากสัมพันธ์กับภูมิอากาศ วัสดุท้องถิ่น ประวัติศาสตร์การเมือง ศาสนาท้องถิ่น และการตีความคำสอน ทั้งหมดนี้ทำให้ “ศิลป์” กลายเป็น “กระจก” สะท้อนสังคม และทำให้ “ศรัทธา” กลายเป็น “บทสนทนา” ระหว่างคนต่างวัฒนธรรมได้อย่างสง่างาม

สำหรับการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา โครงการนี้เพิ่ม “ชั้นความหมาย” ให้การมาเยือนพัทยาและชลบุรี ซึ่งเดิมเป็นจุดหมายพักผ่อนตามธรรมชาติและวัฒนธรรมร่วมสมัย ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ให้ครู นักเรียน มหาวิทยาลัย และชมรมศิลปะ เข้ามาใช้พื้นที่เรียนรู้แบบ hands-on โดยผูกเรื่องกับรายวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ สังคมศึกษา และพลเมืองโลก

มาตรฐานการเล่าเรื่องและความอ่อนน้อมต่อศาสนา

สวนนงนุชตระหนักถึง “ความอ่อนไหวทางศาสนา” จึงวางกรอบการสื่อสารเชิงความรู้ควบคู่มารยาทการเยี่ยมชม เช่น การแต่งกายสุภาพ การเว้นระยะเหมาะสม การไม่ปีนป่ายหรือสัมผัสองค์แทนโดยไม่จำเป็น รวมถึงการจัดป้ายความรู้สองภาษา เพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าใจที่มา ความหมาย และบริบทของแต่ละองค์อย่างเคารพ ซึ่งแนวปฏิบัติทำนองนี้ปรากฏในเอกสารแนะนำเชิงนิทรรศการของสวนนงนุชที่เน้นบทบาท “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” และ “ห้องเรียนกลางแจ้ง”

ความต่อเนื่องของภารกิจ “ปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์”

ใจกลางของโครงการคือคำว่า “เข้าถึงง่าย” เด็กจำนวนมากรู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะบุคคลสำคัญทางศาสนา แต่ยังไม่รู้ว่า “พุทธศิลป์” ในแต่ละประเทศต่างกันอย่างไร การได้เห็นองค์แทนจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เมียนมา ภูฐาน ทิเบต ไปจนถึงอนุสรณ์แห่งบามิยันในอัฟกานิสถาน จะช่วยกระตุ้นให้ตั้งคำถามและค้นคว้า เช่น ทำไมกวนอิมจึงมีบุคลิกอ่อนโยน ทำไมไดบุตสึจึงเน้นความสุขุมมั่นคง หรือทำไมโจโวจึงเป็น “หัวใจของทิเบต” คำถามเหล่านี้คือเชื้อเพลิงของการเรียนรู้ระยะยาว

“เราต้องการให้เด็กรู้สึกชอบก่อน แล้วความรักและความศรัทธาที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจจะตามมาเอง” — นายกัมพล ตันสัจจา กล่าวในทิศทางเดียวกับข่าวเผยแพร่

อนาคตข้างหน้า จากองค์แทน สู่เครือข่ายการเรียนรู้ระดับภูมิภาค

เมื่อองค์แทนชุดแรกทยอยเปิดครบ สวนนงนุชมีแนวโน้มจะขยายกิจกรรมประกอบผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ เช่น เวิร์กช็อปนำชมเชิงลึก การบรรยายสั้นสำหรับครอบครัว เสวนาเชิงวิชาการกับมหาวิทยาลัย และการพัฒนา guidebook ขนาดพกพา เพื่อช่วยครูและนักเรียนเตรียมตัวก่อนมาเยือน หากเกิดขึ้นจริง พื้นที่นี้จะค่อยๆ กลายเป็น “โหนดความรู้” เชื่อมโยงโรงเรียน ชุมชน และนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าหากัน

ในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ องค์แทนยังเปิดโอกาสต่อยอดสู่งานออกแบบของที่ระลึกเชิงความรู้ คอนเทนต์ดิจิทัลแบบสั้น และสื่ออินเทอร์แอ็กทีฟที่เล่าความหมายของรูปทรงและสัญลักษณ์ ซึ่งจะทำให้เด็กและผู้ใหญ่ “เรียนรู้ซ้ำ” ได้แม้กลับถึงบ้านแล้ว โดยไม่ลดทอนความเคารพต่อศาสนา

มองผ่านเลนส์เมืองท่องเที่ยว พัทยาที่ซับซ้อนกว่าเดิม

พัทยาในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติอาจถูกมองด้วยภาพจำจำกัด โครงการแบบนี้ช่วย “ปรับโทน” เมืองให้ลุ่มลึกขึ้น เพิ่มมิติการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสอดรับพฤติกรรมผู้เดินทางรุ่นใหม่ที่แสวงประสบการณ์มีความหมาย การมีแลนด์มาร์กเชิงการศึกษาในพื้นที่สวนระดับโลกอย่างสวนนงนุช ซึ่งเดิมโดดเด่นด้านภูมิสถาปัตยกรรมและคอลเลกชันพืช ก็ยิ่งทำให้พัทยาเป็นปลายทางที่ครบเครื่องขึ้น (ข้อมูลภาพรวมแหล่งท่องเที่ยวจากบทความแนะนำการท่องเที่ยวพัทยาที่กล่าวถึงบทบาทสวนนงนุช)

องค์แทนที่ “แทน” ได้มากกว่ารูปเคารพ

โครงการ “องค์แทนพระพุทธเจ้านานาชาติ” ของสวนนงนุชพัทยาไม่ใช่แค่การจัดวางรูปเคารพให้คนมาถ่ายรูป หากเป็น “บทเรียนมีชีวิต” ที่วางอยู่กลางเมืองท่องเที่ยว เพื่อให้เด็ก เยาวชน และผู้มาเยือนเรียนรู้การอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเคารพ เข้าใจ และเท่าทันโลก

ภาพใหญ่ของเรื่องนี้ คือการใช้ “พุทธศิลป์” เป็นภาษากลางเชื่อมประวัติศาสตร์ ศรัทธา และสังคม จากภูฐานและทิเบตถึงอัฟกานิสถาน จากจีนและญี่ปุ่นถึงเกาหลีและเมียนมา แล้วนำทั้งหมดมาบอกเล่าที่พัทยา เมืองที่กำลังสร้างบทใหม่ของการท่องเที่ยวคุณภาพ เมื่อโครงการเดินหน้าครบถ้วน พื้นที่แห่งนี้จะยืนอยู่ได้ด้วยความรู้ ความอ่อนน้อม และบทสนทนา ซึ่งคือหัวใจของคำว่า “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้” อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายพร้อม! ดัน “โล้ชิงช้าอาข่า” เป็น Soft Power แห่งการท่องเที่ยว

โล้ชิงช้าบ่อฉ่องตุ๊” ประเพณีศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่ฟ้าหลวง—อบจ.เชียงราย–อบต.แม่สลองใน ผนึกพลังชุมชน ขับเคลื่อน Soft Power ชนเผ่าอาข่าสู่สายตาโลก

เชียงราย, 6 กันยายน 2568 – เหนือยอดดอยแม่สลอง เสียงฆ้องและกระบอกไม้ไผ่กระทบกันเป็นจังหวะกังวาน ณ ลานพระสยามเทวาธิราช บ้านสามแยกอาข่า ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยความปลื้มปีติของชุมชนอาข่า—ชายหญิงแต่งชุดชาติพันธุ์อันวิจิตร สีเงินของเครื่องประดับสะท้อนแดดอ่อนราวประกายแห่งศรัทธา วันนี้คือ “วันสร้างชิงช้า”—วันสำคัญในลำดับพิธีของ เทศกาลโล้ชิงช้า “บ่อฉ่องตุ๊” ที่ชาวอาข่าขนานนามกันมายาวนานว่า “ปีใหม่อาข่า” และพรุ่งนี้ (7 กันยายน) คือวันไคลแมกซ์ที่ทั้งหญิงและชายจะออกมาโล้ชิงช้าอย่างสนุกสนานและสำรวมในคราวเดียวกัน

พิธีเปิดงานปีนี้ได้รับเกียรติจาก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) เป็นประธาน ท่ามกลางการต้อนรับจากผู้นำชุมชน ผู้แทนหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายวัฒนธรรมในพื้นที่ ภาพทั้งหมดสะท้อนพลัง “ร่วมจัด–ร่วมอนุรักษ์–ร่วมภาคภูมิใจ” และกำลังผลักเชียงรายให้โดดเด่นขึ้นในฐานะจุดหมายการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มี “วิถีชนเผ่า” เป็นหัวใจ

พิธีกรรมที่มากกว่างานรื่นเริง บูชาพระแม่โพสพ–กตัญญูบรรพชน–ยกย่องบทบาทสตรี

ตาม ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม เทศกาลโล้ชิงช้าเป็นพิธีกรรมที่จัดปีละครั้งเพื่อบูชา “พระแม่โพสพ” และแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เป้าหมายลึกซึ้งกว่าการเฉลิมฉลอง คือการทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับผืนดินและข้าวปลาอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิต ตลอดจนร้อยสายใยคนในชุมชนให้แน่นแฟ้น

สัญลักษณ์เด่นที่สุดของงานคือ “การโล้ชิงช้า” ซึ่งถูกมอบความหมายเชิงยกย่องบทบาทของสตรีชาวอาข่า ในเทศกาลนี้หญิงสาวจะสวมชุดประจำเผ่าที่ประดับงานโลหะ ลูกปัด และเครื่องตกแต่งแฮนด์เมดอันละเอียดอ่อน ออกมาโล้ชิงช้าอย่างสง่างาม ถึงพร้อมด้วยความสนุกและกิริยามารยาทที่อยู่บนฐานของมารยาทชุมชน ในสายตาคนนอก นี่คือภาพงดงามทางสุนทรียะ แต่สำหรับชาวอาข่า มันคือ “การประกาศตัวตน”—การสืบสานวิถีชีวิตและบทบาทสตรีที่มีเกียรติในโครงสร้างสังคมของชนเผ่า

แผนงาน 3 พื้นที่—หนึ่งอัตลักษณ์ร่วม

เทศกาลปี 2568 มิได้มีเพียง “บ่อฉ่องตุ๊” แห่งแม่ฟ้าหลวงเท่านั้น หากยังจัดต่อเนื่องในพื้นที่ชุมชนอาข่าชื่อดังของอำเภอแม่สาย ตาม กำหนดการในข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม ดังนี้

  • โล้ชิงช้าอาข่าบ้านผาฮี้ อ.แม่สาย : วันที่ 4–8 กันยายน 2568
  • โล้ชิงช้าอาข่าบ้านผาหมี อ.แม่สาย : วันที่ 6–8 กันยายน 2568
  • โล้ชิงช้า “บ่อฉ่องตุ๊” บ้านสามแยกอาข่า อ.แม่ฟ้าหลวง : วันที่ 6–7 กันยายน 2568

แม้จะต่างวันและต่างพื้นที่ แต่ทั้งสามต่างยึดแก่นพิธีเดียวกัน—การสำนึกในบุญคุณผืนดินและบรรพบุรุษพร้อมการเฉลิมฉลองชุมชน รายละเอียดปลีกย่อยในแต่ละชุมชนสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ผสานอยู่ภายใต้ “รากเดียวกัน” ของอาข่า และนี่คือเสน่ห์ซึ่งนักเดินทางสมัยใหม่ที่มองหาประสบการณ์แท้ (authentic) ให้ความสนใจ

วัตถุประสงค์ชัด 4 ข้อ—โมเดลจัดงานที่วางบนฐานความยั่งยืน

นายปิยะเดช เชิงพิทักษ์กุล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน ย้ำถึงแกนกลางของงานว่า เทศกาลนี้มิใช่เพียง “งานรื่นเริง” แต่คือเครื่องมือสร้างความยั่งยืนให้ชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ

  1. ฟื้นฟูประเพณี–พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม: ให้คนมา “เห็น–เข้าใจ–เคารพ” วิถีชนเผ่า ผ่านพิธีกรรมและกิจกรรมที่ชุมชนออกแบบ
  2. เสริมความเข้มแข็งและสามัคคี: ทุกเพศวัยมีบทบาทร่วมในงาน เกิดความภูมิใจและเป็นเจ้าของมรดกร่วม
  3. ปลูกจิตสำนึกเยาวชน: ถ่ายทอดความรู้ ขนบธรรมเนียม และบทบาทหน้าที่ทางวัฒนธรรมสู่คนรุ่นใหม่
  4. สืบทอดวิถีชนเผ่า: ให้ประเพณียัง “มีชีวิต” ไม่ใช่แค่ “จัดแสดง”

การกำหนดเป้าหมาย “เชิงสังคม–เชิงวัฒนธรรม–เชิงเศรษฐกิจ” ควบคู่กัน ทำให้งานนี้กลายเป็นต้นแบบการใช้วัฒนธรรมสร้างคุณค่าใหม่ (value creation) โดยไม่ทำลายแก่นแท้—ตรงกับหลักคิด “ท่องเที่ยวรับผิดชอบและยั่งยืน” ที่สังคมไทยและโลกกำลังมุ่งไป

กิจกรรมแน่นตลอดสองวัน—จากพิธีกรรมสู่เวทีสร้างสรรค์

ภายในงาน บ่อฉ่องตุ๊ 2568 ชุดกิจกรรมถูกออกแบบให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสทั้งพิธีกรรม วิถีชีวิต และความบันเทิงร่วมสมัย (ข้อมูลจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) อาทิ

  • พิธีและการละเล่นโล้ชิงช้า (ไฮไลต์ของงาน)
  • การละเล่นชิงช้าสวรรค์ และ การแสดงกระทุ้งกระบอกไม้ไผ่
  • เดินแบบชุดชาติพันธุ์อาข่า โชว์ศิลปะการแต่งกายอย่างเป็นระบบ
  • ประกวดประกอบอาหารชนเผ่า เปิดพื้นที่ให้สูตรดั้งเดิม–ดัดแปลงร่วมสมัย
  • การแสดงของพี่น้องรวม 7 ชนเผ่า สะท้อนความหลากหลายชาติพันธุ์บนดอย
  • นิทรรศการชุมชน และ ตลาดชนเผ่า” จำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น
  • การแสดงจาก ศิลปินดาราชื่อดังชาวอาข่า เพิ่มสีสันยามค่ำคืน (มีการจัดพื้นที่นั่งโต๊ะแบบจองล่วงหน้า เพื่อความเรียบร้อยของงาน)

โครงสร้างกิจกรรมแบบ “พิธี–เรียนรู้–สร้างสรรค์–แบ่งปันรายได้” ทำให้งานไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ยังคืนรายได้สู่ครัวเรือนชุมชน ตั้งแต่กลุ่มแม่บ้านเครื่องประดับงานปัก ผู้สูงวัยที่เชี่ยวชาญงานฝีมือ ไปจนถึงเยาวชนที่ได้แสดงความสามารถบนเวทีร่วมสมัย

Soft Power ชนเผ่าบนฐานความเคารพ—ทางรอดของท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เมื่อคำว่า “Soft Power” กลายเป็นยุทธศาสตร์ชาติ การผลักดันให้ วัฒนธรรมชนเผ่าอาข่า ก้าวออกสู่สาธารณะโดย เจ้าของวัฒนธรรมเป็นผู้นำ คือคำตอบที่ถูกทาง เทศกาลโล้ชิงช้า ทำให้โลกเห็น “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ตั้งแต่อาหาร เครื่องแต่งกาย พิธีกรรม ดนตรี ไปจนถึงเรื่องเล่าปากต่อปากที่ถ่ายทอดผ่านผู้นำชุมชนและผู้เฒ่าผู้แก่

อย่างไรก็ดี ความสำเร็จด้านภาพลักษณ์ต้องเดินคู่กับ หลักการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (intangible cultural heritage) ในเชิงปฏิบัติ—เช่น การกำหนดขอบเขตการถ่ายภาพบางช่วงพิธี การขออนุญาตก่อนบันทึกเสียง–ภาพ การซื้อสินค้า/อาหารจากร้านชุมชนจริง และการแต่งกายสุภาพในการร่วมงาน ทั้งหมดคือ “กติกาแห่งความเคารพ” ที่ทำให้งานเติบโตอย่างมีศักดิ์ศรีและยั่งยืน

เส้นทางสู่ความยั่งยืนข้อเสนอเชิงระบบจากบทเรียนพื้นที่

จากประสบการณ์การจัดงานซ้ำต่อเนื่องในหลายชุมชน ผู้สื่อข่าวสรุป “ข้อเสนอเชิงระบบ” ที่สะท้อนจาก ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม และข้อเท็จจริงหน้างานดังนี้

  1. ปฏิทินท่องเที่ยวร่วมเดียวกัน: รวมทุกงานโล้ชิงช้าในจังหวัดไว้ในหน้าเดียว (ออนไลน์/ออฟไลน์) กำหนดเวลา–สถานที่–ข้อควรรู้ให้เข้าใจง่าย ลดความสับสนของนักท่องเที่ยว
  2. เส้นทางเข้า–ออกและจุดจอดรถชัดเจน: โดยเฉพาะพื้นที่ภูเขา ทางคดเคี้ยว—ต้องมีแผนผังภาษาไทย–อังกฤษ–จีน พร้อมระบบรถรับ–ส่งจากจุดจอด
  3. มาตรฐานค้าขายชุมชน: ป้ายราคาเดียวกัน ชื่อสินค้า–แหล่งผลิตชัดเจน หนุนให้ “ตลาดชนเผ่า” เป็นหน้าต่างเศรษฐกิจของบ้านตนเองจริง ๆ
  4. พื้นที่เรียนรู้สำหรับเยาวชน: จัดมุมเวิร์กช็อปงานฝีมือ/การเล่าเรื่องโดยผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อ “ต่อสายใย” ระหว่างรุ่น
  5. คู่มือผู้เยี่ยมเยือน (Visitor Code): ข้อพึงระวังในพิธี กติกาการถ่ายภาพ การแต่งตัว และการมีส่วนร่วมอย่างเคารพ

มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพื่อ “ความเรียบร้อย” แต่เป็น “ระบบนิเวศ” ที่รักษาสมดุลระหว่างการท่องเที่ยวกับศักดิ์ศรีของวัฒนธรรม

จากลานชิงช้าสู่ความทรงจำร่วมปลายทางของเรื่องเล่า

เมื่อเสาสูงทั้งสี่ถูกผูกเข้าหากันเป็นชิงช้าขนาดใหญ่ และเชือกเส้นสุดท้ายถูกขึงตึงโดยมือของผู้อาวุโส—เสียงโห่ร้องของเด็ก ๆ คลอไปกับบทสวดสั้น ๆ ในภาษาชุมชน พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายของพิธีในปีนี้ วันที่ทั้งหญิงและชายจะได้ “โล้ชิงช้า” ร่วมกันตามครรลอง เป็นการปิดพิธีอย่างรื่นเริงและสำรวมในคราเดียวกัน

ในมุมของนักเดินทาง นี่คือเทศกาลที่ “ต้องไปให้เห็นด้วยตา” สักครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ในมุมของชุมชนอาข่า มันคือ “ชีวิตประจำปี” ที่กลับมาเติมเต็มความทรงจำร่วมของผู้คน—ยืนยันว่ารากเหง้าที่ยืนหยัดอยู่บนดอยสูงยังคงแข็งแรง และพร้อมส่งต่อสู่สายตาโลกด้วยภาษาวัฒนธรรมของตนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.)
  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองใน (อบต.)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ดอยแม่สลอง จากวีรชนผู้พลัดถิ่น สู่ความรุ่งเรืองแห่ง “เมืองสามวัฒนธรรม”

จากสงครามสู่สันติภาพ – อนุสรณ์สถานวีรชนดอยแม่สลองเล่าเรื่องราว “กองพลพลัดถิ่น” สู่ชุมชนรุ่งเรือง

เชียงราย,5 กันยายน 2568 – บนเนินเขาสูงของดอยแม่สลอง ที่ระดับความสูง 1,200 เมตร ณ บ้านสันติคีรี อำเภอแม่ฟ้าหวง จังหวัดเชียงราย ตั้งหยัดอยู่อนุสรณ์สถานแห่งหนึ่งที่เล่าเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งสู่ความสงบสุข จากผู้พลัดถิ่นสู่ชุมชนที่รุ่งเรือง และจากความหวาดกลัวสู่ความหวังแห่งอนาคต

เมื่อแสงแรกของยามเช้าส่องผ่านหมอกเบาบางลงมายังสถาปัตยกรรมจีนอันงดงามของอนุสรณ์สถานวีรชนอดีตทหารจีนคณะชาติภาคเหนือ ภาพที่ปรากฏต่อหน้าผู้มาเยือนไม่ได้เป็นเพียงแค่อาคารที่สวยงาม แต่เป็นประตูบานใหญ่ที่เปิดเข้าสู่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร

บทเปิดแห่งความทรงจำ จากยูนนานสู่ดอยแม่สลอง

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1940 เมื่อสงครามกลางเมืองจีนได้ส่ายคลื่นความขัดแย้งไปทั่วทวีปเอเชียตะวันออก ภายหลังสงครามกลางเมืองจีนสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2492 บางส่วนของกองกำลังพรรคก๊กมินตั๋งปฏิเสธที่จะยอมจำนน รวมทั้งกองพล 93 นำโดยพลเอกต้วน ซีเหวิน

นายสุรศักดิ์ ทวีอภิรดีไข่มุข นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก เล่าถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้ว่า “กองพล 93 และกองพล 193 เป็นกองกำลังที่ไม่ยอมจำนนต่อการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ พวกเขาต้องถอนกำลังออกจากมณฑลยูนนาน ประมาณ 20,000 คน และเข้าสู่ดินแดนพม่าในขณะแรก”

แต่ชะตากรรมไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น จนถึงปี 2497 สหประชาชาติ ได้เข้ามาประสานงานให้มีการอพยพกองกำลังส่วนหนึ่งไปยังไต้หวัน แต่ทหารจำนวนมากที่นำโดยนายพลต้วน ซีเหวิน ได้เลือกที่จะขอลี้ภัยในประเทศไทย

การเปลี่ยนโฉมหน้าจากผู้ลี้ภัยสู่ผู้พิทักษ์แผ่นดิน

การตัดสินใจที่จะอยู่ในประเทศไทยของกองพล 93 ไม่ได้เป็นเพียงการหาที่อยู่อาศัย แต่กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เมื่อรัฐบาลไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น

“กองพล 93” ร่วมทัพไทยขับไล่คอมมิวนิสต์ ลุยทุกสมรภูมิทั้งผาตั้ง-ดอยยาว ผาหม่น ไปจนถึงเขาค้อ ก่อนตั้งถิ่นฐานดอยแม่สลอง การต่อสู้เหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างปี 2514-2528 และเป็นการต่อสู้ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตและเลือดเนื้อ

นายสุรศักดิ์เล่าต่อด้วยสีหน้าที่เคารพในผู้เสียสละ “การต่อสู้ครั้งนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การสู้รบทางทหาร แต่เป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเป็นอิสระ มีอดีทหารจีนคณะชาติจำนวนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทุพพลภาพจากการสู้รบในครั้งนั้น”

อนุสรณ์สถาน สัญลักษณ์แห่งความกตัญญูและการเริ่มต้นใหม่

เพื่อเป็นการตอบแทนการเสียสละอันยิ่งใหญ่นี้ รัฐบาลไทยได้พิจารณาให้สิทธิ์พิเศษแก่กองกำลังเหล่านี้ เริ่มตั้งแต่การอนุมัติให้อาศัยในฐานะผู้อพยพในปี 2513 และต่อมาได้อนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นคนไทยได้ในปี 2521 และ 2527

บนพื้นฐานของความกตัญญูต่อการเสียสละนี้ อนุสรณ์สถานวีรชนจึงถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมจีนอันงดงาม ประกอบด้วยอาคารหลักสามหลังที่เรียงตัวเป็นรูปตัวยู และมีอาคารอนุสรณ์สถานตั้งอยู่ตรงกลาง

การจัดแสดงภายในอนุสรณ์สถานได้รับการออกแบบอย่างประณีตเพื่อเล่าเรื่องราวอันสมบูรณ์ โดยอาคารที่ 1 ด้านซ้ายจัดแสดงประวัติศาสตร์การทหารของกองพล 93 ตั้งแต่ความขัดแย้งในยูนนานปี 2492 และการสู้รบในพม่า ส่วนอาคารตรงกลางเป็นอนุสรณ์สถานหลักที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารที่เสียชีวิตในการสู้รบ และอาคารที่ 2 และ 3 ด้านขวาเล่าเรื่องราวหลังสงคราม โดยเน้นไปที่โครงการพัฒนาชุมชนและความเจริญที่ตามมา

การปฏิวัติเศรษฐกิจ จากไร่ฝิ่นสู่ไร่ชาระดับโลก

หนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชุมชนบ้านสันติคีรี คือการเปลี่ยนผ่านจากพื้นที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ มาเป็นศูนย์กลางการผลิตชาที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย

“ดอยแม่สลองเคยเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นายสุรศักดิ์อธิบาย “แต่หลังจากกองกำลังติดอาวุธถูกขับไล่ออกไป รัฐบาลไทยได้เข้าควบคุมพื้นที่และริเริ่มโครงการปลูกพืชทดแทนฝิ่นอันเนื่องมาจากพระราชดำริ”

ผลลัพธ์ของโครงการนี้เกินความคาดหมาย ปัจจุบันดอยแม่สลองได้กลายเป็นแหล่งปลูกชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีกำลังการผลิตชาอูหลงกว่า 80% ของจังหวัดเชียงราย ชาที่ปลูกบนความสูงเฉลี่ย 1,200 เมตร ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น ให้รสชาติที่หอมกรุ่นและมีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม

นอกจากชาแล้ว ชุมชนยังประสบความสำเร็จในการปลูกกาแฟอะราบิกาและพืชเมืองหนาวอื่นๆ จนได้รับการยอมรับให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว OTOP จากผลิตภัณฑ์ชาคุณภาพดี

วัฒนธรรมสามแผ่นดินเสน่ห์แห่งเมืองสามวัฒนธรรม

ความสำเร็จทางเศรษฐกิจเป็นเพียงด้านหนึ่งของเรื่องราว ด้านที่น่าประทับใจไม่น้อยคือการที่ชุมชนบ้านสันติคีรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายจีนยูนนาน ได้ผสมผสานและรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ในชีวิตประจำวัน

การเดินเข้าไปในหมู่บ้านเปรียบเสมือนการเดินทางผ่านกาลเวลาไปยังดินแดนจีนยูนนาน ร้านอาหารมากมายเสิร์ฟเมนูขึ้นชื่อ เช่น ขาหมูหมั่นโถว ผัดยอดฟักแม้ว ผัดหมี่ยูนนาน และไก่ดำตุ๋นตังกุย ที่ยังคงความเป็นต้นตำรับไว้อย่างครบถ้วน

เทศกาลประจำปี “งานมหัศจรรย์ชา ซากุระบาน อาหารชนเผ่า” ที่จัดขึ้นที่บริเวณอนุสรณ์สถานในช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีน ไทย และชาวเขาที่อยู่ในพื้นที่ สร้างเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครให้กับนักท่องเที่ยว

เส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ การเดินทางที่สมบูรณ์

การเยี่ยมชมอนุสรณ์สถานวีรชนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ “เส้นทางประวัติศาสตร์” ที่เชื่อมโยงสถานที่สำคัญต่างๆ เข้าด้วยกัน

สุสานนายพลต้วน ซีเหวิน ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอนุสรณ์สถาน สร้างขึ้นในปี 2523 ด้วยหินอ่อนทั้งหมด เป็นสถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวเชื้อสายจีนนิยมขึ้นไปกราบเคารพ

ปลายทางของการเดินทางคือพระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี ที่ตั้งอยู่บนยอดดอยที่สูงที่สุดที่ระดับ 1,500 เมตร เจดีย์ทรงล้านนาประยุกต์นี้สร้างขึ้นในปี 2539 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการผนวกรวมและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างแท้จริง

ข้อมูลสำหรับผู้เดินทาง

สำหรับผู้ที่สนใจเยี่ยมชมอนุสรณ์สถานวีรชน สถานที่แห่งนี้เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08:00-17:00 น. ตั้งอยู่ที่ บ้านสันติคีรี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย มีค่าเข้าชมสำหรับคนไทย 30 บาท และชาวต่างชาติ 50 บาท

การเดินทางสามารถใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ได้ แม้ถนนจะมีความชันและคดเคี้ยว แต่รถเก๋งก็สามารถขึ้นไปได้ มีเส้นทางให้เลือกหลายสาย โดยเส้นทางหลักคือจากอำเภอเมืองเชียงราย ใช้ทางหลวงหมายเลข 1089 ผ่านอำเภอแม่จัน

มรดกที่คงอยู่บทเรียนแห่งการผสานวัฒนธรรม

เมื่อแสงแดดยามบ่ายค่อยๆ ลับขอบฟ้าลงไปเบื้องหลังเทือกเขา ทิวทัศน์อันสวยงามจากดอยแม่สลองสะท้อนให้เห็นภาพของความสำเร็จที่ไม่ธรรมดา จากดินแดนแห่งความขัดแย้งกลายเป็นชุมชนที่รุ่งเรือง จากผู้พลัดถิ่นกลายเป็นชาวไทยที่ภาคภูมิใจ

อนุสรณ์สถานวีรชนไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวหรือพิพิธภัณฑ์ธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของความหวังที่ว่า ความขัดแย้งและการพลัดถิ่นสามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอนาคทีที่ดีกว่าได้ เป็นพยานแห่งการที่ความแตกต่างทางวัฒนธรรมสามารถหลอมรวมเป็นความงดงามได้

เรื่องราวของกองพล 93 และการเปลี่ยนผ่านของดอยแม่สลอง จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงความยืดหยุ่น ความเสียสละ และพลังของการหลอมรวมทางวัฒนธรรม ที่ยังคงมีความหมายและให้แรงบันดาลใจแก่คนรุ่นหลังในยุคปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • วิกิพีเดียภาษาไทย: หมู่บ้านสันติคีรี
  • ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประวัติศาสตร์ไทย
  • ข่าวจากผู้จัดการออนไลน์ เรื่อง “51 ปีไม่เคยลืม! ลูกหลานจีนคณะชาติรำลึกวีรกรรม กองพล 93”
  • สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • ถ่ายภาพโดย :กีรติ ชุติชัย
  • บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

“บ้านลิไข่” เชียงราย แลนด์มาร์คฮีลใจใหม่ ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

บ้านลิไข่” แลนด์มาร์คลับแห่งใหม่ เชียงราย ขานรับเทรนด์ท่องเที่ยวฮีลใจ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่ผู้คนต้องการหลีกหนีจากความเร่งรีบของชีวิตเมือง “บ้านลิไข่” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่แสวงหาการเยียวยาจิตใจผ่านการสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

การค้นพบแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้เริ่มต้นจากการที่ชุมชนท้องถิ่นร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความงามที่ซ่อนเร้นของนาขั้นบันไดบริเวณนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก

จากหมู่บ้านเล็กๆ สู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

บ้านลิไข่เดิมเป็นหมู่บ้านย่อยของบ้านนางแลใน หมู่ที่ 7 ที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าอาข่าและลาหู่ ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการทำนาขั้นบันไดที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อชุมชนเริ่มตระหนักถึงศักยภาพทางการท่องเที่ยวของพื้นที่ตนเอง จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการจัดกิจกรรม “LI KHAI Nature Walk” เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2566 ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการส่งเสริมการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติเข้ากับการสร้างรายได้ให้ชุมชน

“การจัดกิจกรรมครั้งนั้นไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่เราต้องการระดมทุนเพื่อสร้างห้องน้ำและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรองรับนักท่องเที่ยว” ข้อมูลจากการดำเนินการของชุมชนระบุ

ผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นนี้ปรากฏชัดเจนในรูปแบบของการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีรายได้จากการท่องเที่ยว ชุมชนได้นำเงินกลับมาลงทุนในการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งส่งผลให้ประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวดียิ่งขึ้น สร้างกระแสบอกต่อที่เป็นบวก และดึงดูดผู้มาเยือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีความงาม วิเคราะห์สถิติและข้อมูลเชิงลึก

การวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นที่ทำให้บ้านลิไข่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย โดยหากพิจารณาจากระยะทางจากตัวเมือง บ้านลิไข่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 20-26 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางจากสนามบินแม่ฟ้าหลวงเพียง 25 นาที ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่าแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ

สถิติที่น่าสนใจคือระยะทางการเดินเท้าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีความยาวประมาณ 2-3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินโดยเฉลี่ย 1-1.5 ชั่วโมง สำหรับการไปเที่ยวเดียว ความยาวเส้นทางนี้ถือเป็นจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการท้าทายตัวเองกับความสามารถในการเข้าถึงของนักท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ยากเกินไปจนท้อแท้ แต่ก็ไม่ง่ายเกินไปจนขาดความรู้สึกของการผจญภัย

เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอื่นๆ เช่น บ้านป่าบงเปียงในจังหวัดเชียงใหม่ ผู้มาเยือนได้ให้ความเห็นว่าบรรยากาศและทะเลหมอกยามเช้าที่บ้านลิไข่มีความอลังการที่ไม่แพ้กัน แต่ยังคงความเงียบสงบและเป็นธรรมชาติมากกว่า การเปรียบเทียบนี้มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์การตลาด เนื่องจากสื่อสารไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์และเข้าใจถึงคุณค่าของสถานที่ที่ยังคงความบริสุทธิ์

วิถีธรรมชาติบำบัด เส้นทางสู่การฟื้นฟูจิตใจ

หัวใจสำคัญของประสบการณ์การเยือนบ้านลิไข่อยู่ที่การเดินบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ถูกออกแบบมาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมอย่างใกล้ชิด เส้นทางแบ่งออกเป็นจุดหลัก 3 กิโลเมตร ประกอบด้วย กิโลเมตรแรกเป็นจุดยิงก๋งตรงป่าสัก กิโลเมตรที่ 2 เป็นนาขั้นบันไดจุดที่ 1 และกิโลเมตรที่ 3 เป็นจุดชมวิว

การเดินตลอดเส้นทางนี้ให้ประสบการณ์ที่หลากหลายและครอบคลุมระบบนิเวศที่แตกต่างกัน นักเดินทางจะได้เดินผ่านป่าไผ่ที่ให้ร่มเงาเย็นสบาย ลำธารเล็กๆ ที่ส่งเสียงเซาเซา และไร่ข้าวโพดที่แสดงให้เห็นถึงการทำเกษตรของชาวบ้าน ตลอดการเดินจะได้ยินเสียงนกร้องและเสียงน้ำตกที่ดังแว่วมาเป็นเพลงประกอบธรรมชาติ

จุดหมายปลายทางหลักคือนาขั้นบันไดที่มีความงดงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝน เมื่อนาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวขจีสดใส เป็นภาพที่สร้างความประทับใจและเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ยังมีจุดพิเศษต่างๆ ที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ เช่น สะพานไม้ ชิงช้า ป้ายจุดชมวิว โขดหิน และกระจกที่สะท้อนวิวเส้นทางเดิน

มิติเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ตัวเลขและผลกระทบ

การพัฒนาการท่องเที่ยวในบ้านลิไข่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่น่าสนใจ โดยมีตัวเลือกที่พักที่หลากหลายเพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อและความต้องการที่แตกต่างกัน

โฮมสเตย์ในหมู่บ้านมีราคาอยู่ที่ประมาณ 700 บาทต่อคน ซึ่งรวมอาหารเย็นและอาหารเช้า นับเป็นราคาที่เข้าถึงได้สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ในขณะที่นักเดินทางสายประหยัดสามารถเลือกตั้งแคมป์ได้ด้วยค่าธรรมเนียมเพียง 50 บาทต่อเต็นท์ ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการวางแผนทางเศรษฐกิจที่มีเป้าหมายให้การท่องเที่ยวเป็นประโยชน์ต่อชุมชนโดยไม่สร้างอุปสรรคทางการเงินที่มากเกินไป

ความสำเร็จของแบบจำลองนี้สามารถมองเห็นได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการสร้างห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว การจัดเตรียมจุดจอดรถ และการพัฒนาจุดถ่ายภาพต่างๆ ที่กลมกลืนกับธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวที่ถูกนำกลับมาใช้เพื่อปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาธุรกิจเสริมในรูปแบบของร้านอาหารและคาเฟ่ที่ออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ริมลำธารจากน้ำตกนางแล ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถนั่งพักผ่อนและแช่เท้าในน้ำได้ รวมถึงคาเฟ่ยอดนิยมอย่าง “คาเฟ่ คาใจ” และ “Foreste’ Camp&Cafe'”

ผลกระทบเชิงสังคมและวัฒนธรรม

การท่องเที่ยวที่บ้านลิไข่ไม่ได้เป็นเพียงการมอบประสบการณ์ให้กับนักเดินทางเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ที่นักท่องเที่ยวจะมีโอกาสได้เห็นชาวบ้านในชุดประจำเผ่า ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง

การได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชุมชนชาวเขาที่ยังคงรักษาประเพณีและภูมิปัญญาการทำเกษตรแบบขั้นบันไดไว้ได้ ทำให้การเดินทางมีมิติที่ลึกซึ้งกว่าการท่องเที่ยวธรรมดา นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าบ้านลิไข่จะมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข เส้นทางการเดินทางในช่วงสุดท้ายก่อนถึงหมู่บ้านมีลักษณะแคบและมีความลาดชัน ผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ถนนอาจลื่นมาก นักเดินทางจำนวนไม่น้อยจึงเลือกจอดรถไว้ที่จุดจอดใกล้กับคาเฟ่ แล้วเดินเท้าหรือใช้มอเตอร์ไซค์ต่อไป

อีกความท้าทายหนึ่งคือการจำกัดของสิ่งอำนวยความสะดวก โฮมสเตย์ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เรียบง่าย ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น และไฟฟ้ามีจำกัดเพียงพอสำหรับแสงสว่าง ไม่เพียงพอสำหรับการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นักท่องเที่ยวจึงต้องเตรียมพาวเวอร์แบงค์ไปด้วย บางพื้นที่ยังไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ที่เสถียร ทำให้ต้องพกเงินสดติดตัวไป

กลยุทธ์การท่องเที่ยวตามฤดูกาล

การวิเคราะห์รูปแบบการท่องเที่ยวแสดงให้เห็นว่าแต่ละช่วงเวลาจะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ช่วงฤดูฝนจะให้ประสบการณ์ของธรรมชาติที่เขียวขจีและสดชื่นที่สุด บรรยากาศเย็นสบายทำให้การเดินเท้าไม่ร้อนจนเกินไป ในขณะที่ฤดูหนาวจะมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นทะเลหมอกปกคลุมภูเขาในยามเช้า

นักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ทางวัฒนธรรมควรพิจารณาการเดินทางในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เนื่องจากจะมีโอกาสได้เห็นชาวบ้านแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า ซึ่งเป็นการเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เทรนด์การท่องเที่ยวฮีลใจและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

ปรากฏการณ์ของบ้านลิไข่สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์การท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันที่เน้นการ “ฮีลใจ” หรือการฟื้นฟูจิตใจผ่านการสัมผัสธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากความเครียดและความกดดันในสังคมเมือง การที่สถานที่แห่งนี้ถูกบรรยายว่าเป็น “การเยียวยาจิตใจ” และ “การเดินทางที่คุ้มค่ามาก” แสดงให้เห็นว่าคุณค่าของการท่องเที่ยวไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราหรือความสะดวกสบายเท่านั้น แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและสร้างการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

การเติบโตของบ้านลิไข่ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนในประเทศไทย รูปแบบการพัฒนาที่เริ่มจากภายในชุมชนและขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้ สามารถเป็นต้นแบบสำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพคล้ายคลึงกัน

คำแนะนำสำหรับนักเดินทาง

สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปยังบ้านลิไข่ ควรเตรียมตัวโดยเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับการเดินป่าและมีคุณสมบัติกันลื่น โดยเฉพาะในฤดูฝน ควรพกพาวเวอร์แบงค์และเงินสดติดตัวไป เนื่องจากอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในพื้นที่ยังมีข้อจำกัด

ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพ เช่น หอบหืด ควรพิจารณาถึงระยะทางการเดินเท้าที่ค่อนข้างไกลและเตรียมยาประจำตัวให้เพียงพอ แม้ว่าเส้นทางจะไม่ชันมากนักและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น แต่การเดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรยังคงต้องใช้สมรรถภาพทางร่างกายในระดับหนึ่ง

อนาคตของการท่องเที่ยวยั่งยืน

บ้านลิไข่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการท่องเที่ยวที่สร้างผลลัพธ์ในหลายมิติ ทั้งการอนุรักษ์ธรรมชาติ การสืบทอดวัฒนธรรม การสร้างรายได้ให้ชุมชน และการมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้กับนักท่องเที่ยว ความสำเร็จในการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากการวางแผนอย่างรอบคอบและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

สำหรับนักเดินทางที่ต้องการมากกว่าการพักผ่อนธรรมดา แต่ต้องการประสบการณ์การ “ค้นพบ” และการ “เยียวยาจิตใจ” ที่แท้จริง บ้านลิไข่จึงเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบ การเดินทางมายังที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้พบกับความงามของธรรมชาติ แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ในขณะที่แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังเผชิญกับปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินพอ (Overtourism) บ้านลิไข่กลับสามารถรักษาสมดุลระหว่างการต้อนรับนักท่องเที่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างยอดเยี่ยม

มุมมองและทิศทางอนาคต

บ้านลิไข่เป็นตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวที่ชุมชนเป็นเจ้าของ (Community-Based Tourism) ที่สามารถสร้างรายได้ในระดับครัวเรือนและส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง การที่ชุมชนสามารถนำรายได้จากการท่องเที่ยวมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วยตนเอง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชนและความยั่งยืนของรูปแบบการท่องเที่ยวนี้

ความสำคัญกับการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวออกจากแหล่งท่องเที่ยวหลักและสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่” ทิศทางนี้สอดคล้องกับนโยบายการท่องเที่ยวยั่งยืนของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการกระจายผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น

การจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อม

การพัฒนาการท่องเที่ยวในบ้านลิไข่ได้รับการดำเนินการภายใต้หลักการของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด พื้นที่นี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก จึงมีข้อจำกัดทางกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

การสร้างจุดถ่ายภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้รับการออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติและไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ วัสดุที่ใช้เป็นไม้และวัสดุธรรมชาติ การจัดวางตำแหน่งต่างๆ คำนึงถึงการไม่รบกวนเส้นทางเดินของสัตว์ป่าและการไหลของน้ำตามธรรมชาติ

การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวโดยธรรมชาติผ่านข้อจำกัดของที่พักและการเข้าถึงที่ไม่ง่ายเกินไป ทำให้สามารถควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดปัญหาขยะล้นหรือการทำลายธรรมชาติจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาต่อไป

แม้ว่าบ้านลิไข่จะมีพัฒนาการที่น่าชื่นชม แต่ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป การปรับปรุงเส้นทางการเข้าถึงให้ปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน จะช่วยให้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

การพัฒนาระบบการสื่อสารและข้อมูลข่าวสารสำหรับนักท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งป้ายบอกทางและข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นตลอดเส้นทาง จะเพิ่มมูลค่าทางการศึกษาและทำให้ประสบการณ์การเดินทางสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงรายเพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวแบบครบวงจร จะช่วยยืดระยะเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้ให้กับพื้นที่

ผลกระทบระดับชาติและภูมิภาค

ความสำเร็จของบ้านลิไข่มีนัยสำคัญในระดับที่กว้างขึ้น ในฐานะที่เป็นตัวอย่างของการท่องเที่ยวยั่งยืนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีชุมชนชาวเขาและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

การที่นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยวแออัด สร้างโอกาสให้กับชุมชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยว โดยไม่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากภายนอกที่อาจนำมาซึ่งการสูญเสียการควบคุมในชุมชน

ความสำเร็จของบ้านลิไข่ยังส่งสัญญาณเชิงบวกต่อนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่เน้นการกระจายการท่องเที่ยวสู่พื้นที่ใหม่และการสร้างคุณค่าจากทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

การเดินทางไปยังบ้านลิไข่จึงไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการมีส่วนร่วมในการสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนอื่นๆ พัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวของตนเองในรูปแบบที่เคารพธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวยั่งยืนที่แข็งแกร่งในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ข้อมูลเกี่ยวกับป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากชุมชนบ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

มฟล.ทุ่ม 350 ล้าน สร้าง “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ยกระดับเชียงราย

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงปักหมุดสร้าง “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ” ศูนย์การเรียนรู้-ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเชียงราย

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่การศึกษาเชิงบูรณาการและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสำคัญมากขึ้น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ได้ก้าวสู่การเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์พื้นที่การเรียนรู้แห่งใหม่ด้วยโครงการ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ซึ่งจะเป็นมากกว่าพิพิธภัณฑ์ทั่วไป แต่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงรายให้มีมิติใหม่ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน

โครงการแห่งความยิ่งใหญ่นี้สะท้อนถึงปรัชญาหลัก “ปลูกป่า สร้างคน” ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยึดถือมาตั้งแต่ก่อตั้ง พร้อมกับวิสัยทัศน์การเป็น “มหาวิทยาลัยเพื่อสังคม” และ “มหาวิทยาลัยปลอดคาร์บอนสุทธิ” ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะการติดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของประเทศไทยและอันดับ 101 ของโลกในปี 2567

การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์กว่า 350 ล้านบาท สู่อนาคตแห่งการเรียนรู้

โครงการพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติแห่งนี้ถือเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ ด้วยงบประมาณก่อสร้างรวมกว่า 350 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 18,500 ตารางเมตร ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21

การออกแบบโครงการในรูปแบบ “กลุ่มอาคาร” ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ อาคารพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่จะเป็นหัวใจของการจัดแสดงและเก็บรักษาองค์ความรู้ อาคารหอประชุม (Auditorium) สำหรับกิจกรรมสาธารณะและการมีส่วนร่วมของชุมชน และอาคาร Co-Working Space/คาเฟ่ธรรมชาติ ที่จะเป็นพื้นที่สร้างสรรค์และผ่อนคลายให้กับนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และนักท่องเที่ยว

แนวคิดการออกแบบนี้สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าพิพิธภัณฑ์ในยุคปัจจุบันต้องเป็นมากกว่าสถานที่จัดแสดง แต่ต้องเป็น “พื้นที่มีชีวิต” ที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย

เส้นทางสู่ความสำเร็จ จากแผนสู่การปฏิบัติ

การติดตามความคืบหน้าของโครงการแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่มีระบบและโปร่งใส โดย รศ.ดร.ชยาพร วัฒนศิริ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เคยรายงานสถานะของโครงการเมื่อเดือนกันยายน 2565 ว่ากำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนการดำเนินงานที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความรอบคอบและมีระบบ:

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 มหาวิทยาลัยได้ประกาศเปลี่ยนแปลงแผนการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับค่าควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งแสดงถึงการปรับปรุงและพัฒนาแผนงานให้เหมาะสมที่สุด

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 มีการประกาศราคากลางสำหรับงานก่อสร้างและระบบสาธารณูปการ โดยใช้วิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ซึ่งสะท้อนถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

ในปี 2566 ได้มีการประกาศผลผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่นำไปสู่การก่อสร้างจริง

ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่าโครงการได้ผ่านขั้นตอนการวางแผน การจัดหาผู้รับเหมา และกำลังก้าวสู่ขั้นตอนการก่อสร้างทางกายภาพ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง

ความหมายเชิงลึกเมื่อศิลปะผสานกับธรรมชาติ

สิ่งที่น่าสนใจและแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ทั่วไปคือ การใช้ชื่อ “พิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวทางสหวิทยาการที่จะนำเสนอธรรมชาติผ่านมุมมองทางศิลปะ และใช้ศิลปะเป็นสื่อในการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์

แนวทางนี้สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นการเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆ เข้าด้วยกัน (STEAM Education) เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมบูรณ์และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้เรียนทุกเพศทุกวัย

การผสานศิลปะเข้ากับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอาจรวมถึงการใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสกับระบบนิเวศป่าฝนหรือความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ การจัดแสดงศิลปะจากวัสดุธรรมชาติ หรือการใช้ศิลปะเป็นสื่อในการสื่อสารประเด็นสิ่งแวดล้อม

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แตกต่างจาก “อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง” (ไร่แม่ฟ้าหลวง) ที่มีอยู่แล้วและมุ่งเน้นศิลปะวัฒนธรรมล้านนา โดยพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่ในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยและมุ่งเน้นธรรมชาติเป็นหลัก

ผลกระทบหลายมิติการศึกษา การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยว

โครงการพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ครอบคลุมหลายภาคส่วน:

ด้านการศึกษาและการวิจัย พิพิธภัณฑ์จะทำหน้าที่เป็นห้องปฏิบัติการธรรมชาติขนาดใหญ่ สนับสนุนหลักสูตรวิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และศาสตร์ที่เกี่ยวข้องของมหาวิทยาลัยโดยตรง นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากตัวอย่างจริง ข้อมูลที่ทันสมัย และเทคโนโลยีการจัดแสดงที่ล้ำสมัย นอกจากนี้ยังจะเป็นศูนย์กลางการวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพในระดับภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พิพิธภัณฑ์จะเป็นเวทีสาธารณะในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน การจัดแสดงจะช่วยให้ประชาชนเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมของมนุษย์กับสภาพแวดล้อม และเห็นแนวทางในการร่วมมือกันอนุรักษ์ธรรมชาติ

ด้านการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา ด้วยชื่อเสียงของเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ และการออกแบบพิพิธภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย จึงมีศักยภาพสูงที่จะกลายเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งใหม่ ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับท้องถิ่นและส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน

ก้าวสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ระดับโลก

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สอดคล้องกับแนวโน้มการศึกษาโลก ที่เน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การใช้เทคโนโลยี และการเชื่อมโยงกับชุมชน

การที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในไทยปี 2025 ด้านความเป็นสากลและความเป็นนานาชาติ ตาม Times Higher Education World University Rankings นั้น เป็นสัญญาณที่ดีว่ามหาวิทยาลัยมีศักยภาพในการจัดการโครงการระดับสากล

นอกจากนี้ การที่มหาวิทยาลัยติดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของประเทศไทย และอันดับ 101 ของโลก ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนที่แท้จริง ซึ่งจะสะท้อนออกมาในการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์

ความท้าทายและโอกาส

แม้โครงการจะมีศักยภาพสูง แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น การจัดหาผู้เชี่ยวชาญในการจัดแสดงและดูแลรักษาสิ่งของ การพัฒนาเนื้อหาที่ทันสมัยและน่าสนใจ รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้มีมากมาย ไม่เพียงแต่จะเป็นการยกระดับการศึกษาของจังหวัดเชียงราย แต่ยังจะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ การเสริมสร้างอัตลักษณ์ของพื้นที่ และการเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน

ก้าวสู่อนาคตแห่งการเรียนรู้

การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จึงไม่เพียงเป็นการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของจังหวัดเชียงรายและภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ในฐานะศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

โครงการนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการสืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า สร้างคน” และการก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของสังคม

เมื่อพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้บริการในอนาคต คาดว่าจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับความงดงามของธรรมชาติผ่านมุมมองทางวิทยาศาสตร์และศิลปะ พร้อมทั้งเป็นแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อคนรุ่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (www.mfu.ac.th)
  • ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างโครงการพิพิธภัณฑ์ศิลปะและธรรมชาติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัย Times Higher Education World University Rankings 2025
  • รายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียว UI Green Metric World University Rankings 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก! ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ผู้ว่าเชียงรายนำทัพเปิดเส้นทาง Wellness Trail ครั้งแรก ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ขณะที่ขบวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม “ผู้ว่าเชียงราย พาเที่ยว เพื่อสุขภาพ” ครั้งที่ 1 สู่เส้นทางแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เปี่ยมด้วยประวัติศาสตร์และความหมายต่อชาวเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะลงพื้นที่เพื่อเปิดตัวโครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพควบคู่ไปกับการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ พญาเม็งราย ขุนตาล และเทิง

การเดินทางเพื่อสุขภาพและชุมชน

ในเวลา 08.00 น. คุ้มพญาเม็งรายกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ไม่เพียงแต่เน้นการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวิถีชีวิตท้องถิ่นเข้ากับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คณะผู้เข้าร่วม ซึ่งประกอบด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายอำเภอทั้งสามพื้นที่ และหน่วยงานราชการ ได้รับการต้อนรับด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สะท้อนความงดงามของล้านนา ผู้มาเยือนยังได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เปี่ยมด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น แชมพูจากอัญชัน น้ำผึ้งจากบ้านสวนพอเพียง กล้วยอบธัญพืช และสมุนไพรพอกเข่า ซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างของการนำทรัพยากรท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

“เราต้องการให้เชียงรายเป็นมากกว่าแค่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่มอบสุขภาพที่ดีและความยั่งยืนให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชน” นายชรินทร์กล่าวขณะเดินชมบูธผลิตภัณฑ์ชุมชน

จากคุ้มพญาเม็งราย คณะเดินทางต่อไปยังบ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan ในอำเภอขุนตาลเมื่อเวลา 10.00 น. ที่นี่ ชาวบ้านได้แบ่งปันเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปโกโก้ ซึ่งกลายเป็นสินค้าภายใต้แบรนด์ “ARAMP อารัมภ์” ความสำเร็จของชุมชนนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอัตลักษณ์ท้องถิ่น แต่ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างรายได้จากเกษตรแปรรูปที่ยั่งยืน

ในช่วงบ่าย คณะมุ่งหน้าสู่ไร่รื่นรมย์ อำเภอเทิง ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์และพลังงานสะอาด ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์การทำน้ำสมุนไพรออร์แกนิคและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรม DIY ที่สร้างความประทับใจและจุดประกายไอเดียให้ผู้มาเยือน

การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน

โครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้ปี 2568 เป็น “ปีทองแห่งการท่องเที่ยว” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองรองให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ เส้นทาง Wellness Trail ไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีผ่านการเดินทางและกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์

“การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก และเชียงรายมีศักยภาพทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น” นายเสริฐ ไชยยานันตา กล่าว “เราต้องการให้ทุกคนที่มาเยือนได้รับทั้งความสุขและสุขภาพที่ดี พร้อมกับช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่ยั่งยืน”

ผลลัพธ์การก้าวสู่เมืองแห่งสุขภาพ

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Wellness Trail ที่จะจัดต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2568 โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและบริการด้านการท่องเที่ยว จากข้อมูลย้อนหลัง ปี 2566 เชียงรายมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 46,773.91 ล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.1 ล้านคน การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail นี้คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้ให้สูงกว่า 50,000 ล้านบาทในปี 2568 โดยเฉพาะเมื่อรวมกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรท้องถิ่นและการจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การโปรโมทผ่านแพลตฟอร์ม OTA และการพัฒนาระบบจองท่องเที่ยวออนไลน์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและประสบการณ์ท้องถิ่น

มองไปข้างหน้าเพื่อโอกาสและความยั่งยืน

การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก โครงการนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับจังหวัดในฐานะเมืองที่ผสานสุขภาพ วัฒนธรรม และธรรมชาติได้อย่างลงตัว การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและชุมชน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายก้าวสู่การเป็น Wellness City อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย. (2566). รายงานสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2566.
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.). (2568). แผนปฏิรูปการท่องเที่ยว 5 ปี (2568-2573).
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2568). นโยบายปีทองแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2568.
  • ไร่รื่นรมย์. (2568). รายงานกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอินทรีย์ อำเภอเทิง.
  • บ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan. (2568). ข้อมูลผลิตภัณฑ์โกโก้และการท่องเที่ยวชุมชน.
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย. (2568). แผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน.
  • สิงห์ปาร์คเชียงราย. (2568). รายละเอียดการจัดงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติ 2568.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News