Categories
WORLD PULSE

เปิดตลาดเมียนมา เชียงรายจับมือ สคต.ย่างกุ้ง

เชียงรายบุกตลาดเมียนมา จับมือ สคต. ย่างกุ้ง ผลักดันสินค้าท้องถิ่นสู่เมืองเศรษฐกิจ

ขยายโอกาสการค้า เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนไทย-เมียนมา

กรุงย่างกุ้ง, 12 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าขยายตลาดสินค้าท้องถิ่นสู่ประเทศเมียนมา โดยร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง (สคต. ย่างกุ้ง) เพื่อผลักดันสินค้าคุณภาพสูงของผู้ประกอบการในเชียงรายเข้าสู่ตลาดหลักของเมียนมา โดยเฉพาะในกรุงย่างกุ้งซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ

คณะผู้แทนจังหวัดเชียงราย นำโดย นาย นรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นาง ณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย พร้อมภาคเอกชน เช่น สมาพันธ์ SME ไทย จังหวัดเชียงราย, บริษัท เวลคัมทูเชียงราย จำกัด และ บริษัท Bon Burma ได้เข้าพบ นายเอกวัฒน์ ธนประสิทธิ์พัฒนา ผู้อำนวยการ สคต. ย่างกุ้ง เพื่อหารือแนวทางขยายตลาดภายใต้แบรนด์ “Welcome to Chiang Rai”

แผนการตลาดและการขยายเครือข่ายค้าปลีกในเมียนมา

เชียงรายมีแผนกระจายสินค้าท้องถิ่นคุณภาพสูง เช่น ผลไม้อบกรอบ น้ำผึ้ง น้ำพริกหนุ่ม และข้าวซอยตัด ซึ่งได้รับมาตรฐานส่งออก โดยบริษัท เวลคัมทูเชียงราย จำกัด จะทำหน้าที่รวบรวมสินค้าและดำเนินการขอจดทะเบียน FDA เมียนมา รวมถึงขอใบอนุญาตนำเข้า (Import License) เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

สำหรับการกระจายสินค้า บริษัท Bon Burma จะเป็นผู้รับผิดชอบโดยใช้เครือข่ายร้านค้า Traditional Trade กว่า 8,000 แห่ง ในย่างกุ้ง พร้อมทั้งอยู่ระหว่างเจรจากับกลุ่ม Modern Trade เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้า อาทิ Junction City และ Myanmar Plaza เพื่อเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายในตลาดระดับพรีเมียม

ต่อยอดจากโครงการ Business Matching เชื่อมโยงผู้ประกอบการไทย-เมียนมา

การเจรจาทางการค้าครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากโครงการ Business Matching ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งมีผู้ซื้อ (Buyer) จากเมียนมา ลาว และจีน เข้าร่วมเจรจากับผู้ประกอบการ 17 จังหวัดภาคเหนือ ผ่านโครงการร่วมค้าเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และโครงการเชื่อมโยงการค้าอนุภูมิภาค ซึ่งช่วยสร้างคู่ค้าและขยายตลาดชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม

แนวทางแก้ไขอุปสรรคทางการค้าและการขนส่ง

จากการประชุมหารือ สคต. ย่างกุ้ง ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ขั้นตอนการนำเข้าสินค้า อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และข้อจำกัดด้านการโอนเงิน รวมถึงแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหา เช่น การเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับผู้ถือใบอนุญาตส่งออก (Export License) ของเมียนมา เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้า

นอกจากนี้ยังมีการหารือเกี่ยวกับ แนวทางการขนส่งสินค้า โดยเสนอให้ใช้เส้นทางขนส่งทางบกผ่าน ด่านท่าขี้เหล็ก-ย่างกุ้ง และทางอากาศผ่าน สายการบิน Pattaya Airways ซึ่งอาจเปิดเส้นทางบินขนส่งสินค้าโดยตรงระหว่างเชียงราย-ย่างกุ้งในอนาคต

เป้าหมายขยายตลาดสินค้าไทยในเมียนมา

หากโครงการนำร่อง “Welcome to Chiang Rai” ประสบความสำเร็จ จังหวัดเชียงรายมีแผนขยายโมเดลไปสู่ “Welcome to Thailand” เพื่อเปิดโอกาสให้สินค้าท้องถิ่นจากจังหวัดอื่น ๆ ของไทยเข้าสู่ตลาดเมียนมา พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายช่องทางสู่ มัณฑะเลย์ และตองจี ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับด่าน ท่าขี้เหล็ก-แม่สาย เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

ความร่วมมือไทย-เมียนมาครั้งนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการผลักดันสินค้าท้องถิ่นของเชียงรายสู่ตลาดโลก โดยมีเป้าหมายให้ SMEs และ OTOP ไทยเติบโตในตลาดสากล ผ่านโครงข่ายการค้าระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • มูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมาในปี 2567: มากกว่า 150,000 ล้านบาท
  • อัตราการเติบโตของตลาดสินค้าส่งออกจากไทยไปเมียนมาในปี 2567: เพิ่มขึ้น 8%
  • จำนวนร้านค้าในเครือข่ายของ Bon Burma ในย่างกุ้ง: มากกว่า 8,000 แห่ง
  • เป้าหมายขยายตลาดสินค้าจากเชียงรายไปยังเมืองสำคัญในเมียนมา: มัณฑะเลย์ และตองจี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง (สคต. ย่างกุ้ง) / กระทรวงพาณิชย์ / สมาพันธ์ SME ไทย จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เริ่มแล้ว ‘โฮงยาใกล้บ้านพลัส’ อบรมทันตบุคลากร เชียงราย

อบจ.เชียงราย ขับเคลื่อนโครงการ “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” เสริมศักยภาพทันตบุคลากร รพ.สต.

พัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) จัดโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ ภายใต้แนวคิด อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” (โฮงยาใกล้บ้าน Plus) เพื่อเพิ่มศักยภาพทันตบุคลากรของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้สามารถดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ โดยมี นายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข หัวหน้าส่วนราชการ และผู้เข้าร่วมอบรมให้การต้อนรับ

เพิ่มประสิทธิภาพงานทันตสาธารณสุขระดับตำบล

นายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ ฟื้นฟูและพัฒนาองค์ความรู้ด้านทันตสาธารณสุข สำหรับบุคลากรของ รพ.สต. ที่อยู่ในสังกัด อบจ.เชียงราย ให้สามารถให้บริการที่ได้มาตรฐานมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคในช่องปากและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางทันตกรรมของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

โครงการนี้ยังช่วยให้ทันตบุคลากรได้รับข้อมูลและเทคนิคใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนได้จริง เพื่อให้การดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพมากขึ้น

ขับเคลื่อนนโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ”

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่าการดำเนินงานด้านทันตสาธารณสุขของ รพ.สต. เป็น หัวใจสำคัญของระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ซึ่งมีบทบาทในการให้บริการตรวจรักษาและส่งเสริมสุขภาพช่องปากสำหรับประชาชนทุกกลุ่มวัย

อบจ.เชียงรายให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนโครงการ อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” (โฮงยาใกล้บ้าน Plus) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเดินทางไกล โดยการอบรมครั้งนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่ทันตบุคลากร ให้เป็นบุคลากรต้นแบบและเป็นที่พึ่งของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบและประโยชน์ต่อประชาชน

การพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลเชิงบวกในหลายด้าน ได้แก่:

  • เพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการทางทันตกรรมของประชาชน
  • ลดอัตราการเกิดโรคในช่องปากในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ
  • พัฒนาศักยภาพของทันตบุคลากรให้สามารถดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนได้ดีขึ้น
  • ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • อัตราผู้ป่วยโรคฟันผุในเด็กก่อนวัยเรียนในเชียงราย: 57%
  • ประชากรในพื้นที่ชนบทที่ขาดการเข้าถึงบริการทันตกรรม: ประมาณ 30%
  • จำนวน รพ.สต. ในสังกัด อบจ.เชียงรายที่ให้บริการทันตกรรม: กว่า 50 แห่ง
  • เป้าหมายลดอัตราการเกิดโรคฟันผุในเด็กอายุ 6 ปีให้ต่ำกว่า: 30% ภายในปี 2570

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย / กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารเชียงราย ช่วยเก็บข้าวโพด ลดรายจ่ายให้ประชาชน

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกิจกรรมช่วยประชาชนเก็บข้าวโพด ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้

ทหารจิตอาสาเข้าช่วยเหลือเกษตรกรเชียงแสน

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน จัดกิจกรรม “ช่วยด้วยใจ ลดรายจ่าย สร้างรายได้” ด้วยการช่วยประชาชนเก็บข้าวโพดเพื่อใช้ทำอาหารสัตว์และเพื่อจำหน่าย ณ บ้านไร่ หมู่ 7 ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ซึ่งนำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมกำลังพล เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือ ลดต้นทุนแรงงาน

หนึ่งในผู้ได้รับการช่วยเหลือคือ นายเสาร์ ยาวิชัยป้อง อายุ 73 ปี เจ้าของไร่ข้าวโพดพื้นที่กว่า 20 ไร่ ซึ่งทหารเข้ามาช่วยเก็บเกี่ยวเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน และช่วยสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน กิจกรรมนี้ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนในพื้นที่

มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 15 คน ซึ่งต่างร่วมมือกันทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อสนับสนุนชุมชน

รณรงค์ลดปัญหาหมอกควันและไฟป่า

นอกจากการช่วยเก็บข้าวโพดแล้ว หน่วยทหารยังได้ ประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ให้กับประชาชน โดยให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” ซึ่งกำหนดห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อลดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่

แนวทางการลดปัญหาหมอกควันที่เผยแพร่ให้ประชาชน ได้แก่:

  • การไม่เผาขยะ ตอซังข้าว ข้าวโพด หญ้าแห้ง วัชพืช กิ่งไม้
  • การทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง
  • การทำแนวกันไฟในพื้นที่เพื่อลดการเกิดไฟป่า

ชุมชนซาบซึ้งในความช่วยเหลือของทหาร

ครอบครัวของ นายเสาร์ ยาวิชัยป้อง และชาวบ้านในพื้นที่ได้กล่าวขอบคุณทหารที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นที่พึ่งพาในทุกโอกาส การปฏิบัติงานครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกฝ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดในตำบลแม่เงิน: กว่า 5,000 ไร่
  • อัตราการเผาทำลายวัชพืชในเชียงรายก่อนมีมาตรการควบคุม: มากกว่า 70%
  • ค่า PM 2.5 เฉลี่ยในช่วงเดือนมีนาคม 2567: สูงถึง 150 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • ค่า PM 2.5 หลังเริ่มมาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา” ในปี 2567: ลดลงกว่า 35%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 / สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.เปิดเชียงราย Fam Trip ดึงสายการบินต่างชาติ

เชียงรายเปิดเส้นทางบินใหม่ ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

AOT ผนึกกำลัง ททท. เปิดตัวโครงการ FAM Trip เชียงราย

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมเปิดตัวโครงการสร้างการรับรู้และพัฒนาเส้นทางการบิน (Familiarization Trip : FAM Trip) ภายใต้ชื่อ “Discover Amazing Thailand Through The Skies FAM Trip” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศมายังเชียงราย ณ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายโดยใช้ศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเส้นทางบินระหว่างประเทศ โดยมีผู้แทนสายการบินและตัวแทนการท่องเที่ยวชั้นนำจากประเทศอินเดีย จีน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์เข้าร่วมงาน เพื่อพัฒนาเส้นทางบินและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมายังเชียงรายมากขึ้น

เชียงรายพร้อมเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค

ในพิธีเปิดโครงการ FAM Trip ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่โดดเด่น อีกทั้งยังมีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน

AOT ได้จัดทำโครงการสนับสนุนการตลาด (Marketing Fund) เพื่อจูงใจให้สายการบินต่างชาติเพิ่มเที่ยวบินมายังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเส้นทางบินใหม่กับเมืองสำคัญทั่วโลก เพื่อยกระดับให้ ทชร. เป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งทางอากาศของภูมิภาค (Regional Hub)

โครงการ FAM Trip เปิดประสบการณ์ใหม่ให้นักลงทุนและสายการบิน

ในช่วงงานเลี้ยงต้อนรับ (Welcome Reception) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมนำเสนอศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้แก่ผู้แทนสายการบินและบริษัทนำเที่ยวจากต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย และหอการค้าจังหวัดเชียงราย

ในโอกาสนี้ นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้บรรยายสรุปข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของ ทชร. รวมถึงแผนพัฒนาสนามบินเพื่อรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยผู้เข้าร่วมโครงการยังได้เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย อาทิ วัดร่องขุ่น ไร่ชาฉุยฟง และดอยตุง เพื่อสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่จริง

เป้าหมายเชียงราย: สู่ Aviation Hub ของภูมิภาค

รัฐบาลไทยมีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค ซึ่งนอกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เป็นองค์ประกอบหลักแล้ว การพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคอย่าง ทชร. ก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายเครือข่ายการบินระหว่างประเทศ

AOT วางแผนพัฒนา ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO – Maintenance, Repair, and Overhaul) ในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการสายการบินทั่วโลก ตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในแนวทางนี้คือสิงคโปร์ ซึ่งมีศูนย์ซ่อมอากาศยานชั้นนำระดับโลกและสถาบันฝึกอบรมด้านการบินอย่าง Singapore Aviation Academy (SAA)

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสถิติที่เกี่ยวข้อง

การพัฒนาเส้นทางบินระหว่างประเทศมายังเชียงรายคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนกว่า 1.2 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 20% ภายในปี 2569 หากมีการขยายเส้นทางบินใหม่เพิ่มเติม

นอกจากนี้ สถิติจาก AOT ชี้ให้เห็นว่าปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นกว่า 15% จากปี 2566 โดยมีจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นศูนย์กลางการบินแห่งใหม่ของภูมิภาค

สรุป

โครงการ FAM Trip เชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญในการดึงดูดสายการบินและนักลงทุนให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการพัฒนาเส้นทางบินระหว่างประเทศ ด้วยการสนับสนุนจาก AOT และ ททท. เชียงรายกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคที่สามารถแข่งขันกับเมืองท่องเที่ยวชั้นนำในเอเชียได้อย่างเต็มตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายไหว้ดอยตุง ตามรอยครูบาฯ สรงน้ำพระธาตุ

ดอยตุง 2007 ปี! ศรัทธาครูบาฯ เดินจาริกแสวงบุญ

เชียงราย, 13 มีนาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินจาริกแสวงบุญ ตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง”

พิธีบวงสรวงและการเตรียมความพร้อม

เช้าวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่วัดศาลาเชิงดอย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 ภายใต้ชื่อว่า “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ตลอดจนพระเถรานุเถระ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายอำเภอแม่สาย หัวหน้าส่วนราชการ พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

ในพิธีดังกล่าว พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนที่เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา วางพานพุ่มดอกไม้สดสักการะครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ด้านหน้าวัดศาลาเชิงดอย เพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกอบพิธีเดินจาริกแสวงบุญ จากนั้นได้มีการปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร เพื่อขึ้นไปไหว้สาพระธาตุดอยตุง

ความสำคัญของพระธาตุดอยตุง

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า พระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นโบราณสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งตามตำนานเล่าว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพระมหากัสสปเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มาบรรจุไว้ที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 561 ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะผู้ที่เกิดปีกุนหรือปีช้างตามความเชื่อของชาวล้านนา เชื่อว่าการเดินทางขึ้นมากราบไหว้พระธาตุเจดีย์ที่ดอยตุงจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

สำหรับปีนี้ ประเพณีดังกล่าวตรงกับวันที่ 13 มีนาคม 2568 จังหวัดเชียงรายจึงได้ร่วมกับคณะสงฆ์และภาครัฐจัดให้มีกิจกรรมเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยตุง เพื่อรำลึกถึงครั้งที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้เดินทางแสวงบุญและทำการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุดอยตุง เมื่อปีพุทธศักราช 2470

พิธีตักน้ำทิพย์และสรงน้ำพระธาตุดอยตุง

วันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่บ่อน้ำทิพย์ วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีตักน้ำทิพย์เพื่อใช้ในการสรงน้ำพระธาตุดอยตุง โดยมีขบวนน้ำสรงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เข้าประดิษฐานในวิหารวัดน้อยดอยตุง

สำหรับบ่อน้ำทิพย์ของวัดพระธาตุดอยตุง ถือเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีความลึกเพียง 2 เมตรจากพื้นดิน แต่มีน้ำใสสะอาดตลอดทั้งปี ซึ่งตามตำนานเชื่อว่าเป็นน้ำที่ใช้สรงน้ำพระธาตุดอยตุงมาตั้งแต่โบราณกาล

ขบวนแห่ศรัทธาและพิธีบวงสรวง

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่พระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีวางเครื่องสักการะและกล่าวขอสูมา ตามประเพณีล้านนา โดยมีการแสดง แสง สี เสียง ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งศรัทธา

ขบวนแห่ศรัทธาเริ่มต้นจากลานจอดรถหน้าทางเข้าพระธาตุดอยตุง มุ่งสู่ลานพระธาตุ ประกอบไปด้วยขบวนเสลี่ยงพุทธศาสนิกชนจากหลายพื้นที่ ขบวนน้ำทิพย์ ขบวนตุงพันวา และขบวนสักการะของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าวและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 มีประชาชนเข้าร่วมงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุงมากกว่า 50,000 คน และคาดว่าปี 2568 จะมีผู้เข้าร่วมมากขึ้น เนื่องจากมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอย่างต่อเนื่อง

พระธาตุดอยตุงเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมวดศาสนสถานของจังหวัดเชียงราย ตามสถิติจาก Google Maps พบว่ามีการรีวิวมากกว่า 20,000 รีวิว โดยผู้เข้าชมส่วนใหญ่ชื่นชมในบรรยากาศที่สงบ วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้พระธาตุดอยตุงกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย / ข้อมูลจาก Google Maps (ณ มีนาคม 2568) / กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

4 โรคร้ายคุกคาม ผู้ป่วยมากขึ้น เร่งควบคุมโรคกระจายวัคซีน

คณะกรรมการโรคติดต่อฯ เห็นชอบแนวทางควบคุม 4 โรคสำคัญ เตรียมจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเป็น 6 ล้านโดส

เชียงรายเป็นหนึ่งใน 6 จังหวัดที่ได้รับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม

ประเทศไทย, 13 มีนาคม 2568 – กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เดินหน้ามาตรการควบคุมโรคติดต่อสำคัญ โดยคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติให้ ขยายแนวทางการจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพิ่มเป็น 6 ล้านโดส สำหรับประชากรกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่มหลัก พร้อมกระจายวัคซีนให้กับ 6 จังหวัดที่พบการแพร่ระบาดสูง ได้แก่ พะเยา ลำพูน เชียงราย ภูเก็ต เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร โดยแต่ละจังหวัดจะได้รับจัดสรร 10,000 โดส ขณะที่ค่ายทหารและเรือนจำได้รับเพิ่มเติม 30,000 โดส

แนวทางควบคุม 4 โรคสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ณ กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค โดยที่ประชุมมีมติ เห็นชอบแนวทางป้องกันและควบคุม 4 โรคสำคัญ ได้แก่:

  1. โรคไข้หวัดใหญ่
  • ปี 2568 พบผู้ป่วยสะสมแล้ว 165,333 ราย เสียชีวิต 14 ราย
  • พบการแพร่ระบาดสูงสุดในกลุ่มเด็กอายุ 5 – 9 ปี และเด็กเล็กอายุ 0 – 4 ปี
  • กระจายวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติมใน 6 จังหวัด และค่ายทหาร-เรือนจำ
  1. โรคไข้เลือดออก
  • แม้แนวโน้มผู้ป่วยลดลง แต่ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและประชากรวัยทำงานอายุ 40 – 59 ปี
  • เตรียมเดินหน้าศึกษาวัคซีนไข้เลือดออกเพิ่มเติม โดยเริ่มทดลองฉีดในอาสาสมัคร 4 เมษายน 2568 ที่จังหวัดนครพนม
  1. โรคฝีดาษวานร (Mpox)
  • พบผู้ป่วยสะสม 873 ราย และเสียชีวิต 13 ราย โดย 12 ราย เป็นเพศชายที่ตรวจพบเชื้อ HIV
  • กระทรวงฯ ได้รับวัคซีนฝีดาษจำนวน 2,220 โดส จากสมาพันธ์อาเซียน เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงและบุคลากรทางการแพทย์
  1. โรคไวรัสตับอักเสบบีและซี
  • พบผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี 290,396 ราย แต่ได้รับการรักษาเพียง 13.33%
  • เร่งพัฒนาระบบ Hepatitis-BC-DDC เพื่อเฝ้าระวังและติดตามการรักษาอย่างครบวงจร

เชียงราย: จุดยุทธศาสตร์สำคัญในการกระจายวัคซีน

เชียงรายเป็นหนึ่งใน 6 จังหวัดที่พบอัตราการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สูง จากข้อมูลของ กรมควบคุมโรค พบว่า อัตราป่วยในจังหวัดเชียงรายเพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง พร้อมกับการสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติมจากกระทรวงสาธารณสุข

นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ปีนี้จังหวัดเชียงรายได้รับการจัดสรรวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 โดส ซึ่งจะช่วยลดการแพร่ระบาดในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง”

มุมมองจาก 2 ฝ่ายต่อมาตรการควบคุมโรค

ฝ่ายสนับสนุน

นักวิชาการด้านสาธารณสุขมองว่า การจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติมและการเฝ้าระวังการแพร่ระบาด เป็นมาตรการที่จำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอัตราการติดเชื้อสูง เช่น เชียงราย เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ นอกจากนี้ การศึกษา วัคซีนไข้เลือดออก และการขยายการฉีดวัคซีน HPV ยังเป็นการยกระดับมาตรการป้องกันโรคให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น

ฝ่ายกังวลเรื่องงบประมาณ

ขณะที่บางฝ่ายตั้งคำถามถึง งบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อวัคซีนและความคุ้มค่าในการกระจายวัคซีนในบางพื้นที่ รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับการศึกษา วัคซีนไข้เลือดออก ที่ยังอยู่ในช่วงทดลอง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการประเมินประสิทธิภาพก่อนนำมาใช้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • อัตราการป่วยไข้หวัดใหญ่ในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 165,333 ราย ทั่วประเทศ (ที่มา: กรมควบคุมโรค)
  • จังหวัดเชียงรายพบอัตราป่วยเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2567 (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
  • ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่ได้รับการรักษาเพียง 13.33% (ที่มา: กระทรวงสาธารณสุข)
  • โครงการฉีดวัคซีน HPV มีการฉีดสะสม 700,860 โดส จากเป้าหมาย 1 ล้านโดส (ที่มา: กรมควบคุมโรค)

สรุป

การขยายมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะการกระจายวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม สะท้อนถึงความพยายามในการลดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับงบประมาณและประสิทธิภาพของวัคซีนบางชนิด ซึ่งจำเป็นต้องมีการติดตามผลในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เที่ยวเชียงรายสัมผัสธรรมชาติ 6 เส้นทางวิถีชุมชน คนกับป่า

พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้สู่ชุมชน

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการ 6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว “วิถีชุมชนคนกับป่า” ณ โรงเรียนปางมะกาดวิทยาคม ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า, นางสาวทัศนาภรณ์ จันทร์ดง พัฒนาการอำเภอเวียงป่าเป้า พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม

พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ

อำเภอเวียงป่าเป้าถือเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยมีหลายหมู่บ้านที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ บ้านขุนลาว บ้านห้วยคุณพระ บ้านปางมะกาด บ้านห้วยน้ำกืน บ้านห้วยมะเกลี้ยง และบ้านแม่หาง เส้นทางเหล่านี้มีจุดเด่นด้านการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวิถีชุมชน ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสธรรมชาติ เที่ยวป่าต้นน้ำ ชมน้ำตก ชิมชา กาแฟอินทรีย์ และเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

การเปิดเส้นทาง “วิถีชุมชนคนกับป่า” เป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเป็นการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน

6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว เชื่อมโยงธรรมชาติและวัฒนธรรม

1. หมู่บ้านปางมะกาด (หมู่ 8 ต.แม่เจดีย์)

  • สักการะพระธาตุปางมะกาด

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เที่ยวน้ำตกเลาลี

  • ชมสวนดอกซิมมีเดียมและดอกนางลาว

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

2. บ้านห้วยน้ำกืน (หมู่ 13 ต.แม่เจดีย์)

  • ไหว้พระเจ้าพ่อคูณสาม

  • ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ดอยป่า ดอยมด

  • ชมดอกซากุระและดอกกุหลาบพันปี

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

3. บ้านขุนลาว (หมู่ 7 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • เที่ยวน้ำตกขุนลาว

  • ชมสวนชาและกาแฟพันธุ์พิเศษ

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ สบู่กาแฟ น้ำพริกตาแดง

4. บ้านห้วยคุณพระ (หมู่ 12 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • นมัสการพระที่อาราม

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เช็คอินที่ “แผ่นดินหวิด”

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

5. บ้านแม่หาง (หมู่ 7 ต.ป่างิ้ว)

  • เยี่ยมชมไร่ชาในชุมชน

  • เที่ยวน้ำตกห้วยต้นซ้อ

  • ไหว้พระขอพรที่วัดแม่หาง

  • ท่องเที่ยวดอยแปคมดาบ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

6. บ้านห้วยมะเกลี้ยง (หมู่ 8 ต.ป่างิ้ว)

  • ชมวิถีชีวิตชุมชนปกาเกอะญอ

  • นมัสการพระธาตุดุสิตาผาโง้ม

  • ไหว้พระเจ้าทันใจ

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

โครงการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในเชียงราย เพิ่มรายได้ให้ชุมชนกว่า 30% ภายในปีแรก และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น โดยข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า เชียงรายมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละกว่า 2 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายแสดงความกังวลว่าการพัฒนาการท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาขยะและการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น นักอนุรักษ์เสนอให้มีมาตรการควบคุมและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ธรรมชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) / รายงานการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567 / ข้อมูลจากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารสร้างฝายชะลอน้ำ เชียงรายยั่งยืน ตามรอยพ่อหลวง

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลสร้างฝายชะลอน้ำ เสริมความยั่งยืนให้ชุมชน

โครงการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 นำกำลังพลลงพื้นที่สร้างฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร ณ สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนและเสริมสร้างความสมดุลทางธรรมชาติ

ปฏิบัติการ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ภายใต้แนวคิด “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” กำลังพลของมณฑลทหารบกที่ 37 นำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ได้ร่วมแรงร่วมใจทำงานร่วมกับหัวหน้าสถานีพัฒนาการเกษตร เจ้าหน้าที่ และคนงานในพื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย โดยการสร้างฝายดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและป่าไม้

ลักษณะของฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร

ฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวรที่จัดสร้างในครั้งนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวัสดุตามธรรมชาติและวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้มีความคงทน แข็งแรง และสามารถดูแลรักษาได้ง่าย เหมาะสมกับพื้นที่ต้นน้ำที่มีลักษณะคดเคี้ยวและลาดชันสูง โดยฝายจะช่วยชะลอการไหลของน้ำ ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน และกักเก็บน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชนตลอดทั้งปี

ประโยชน์ของฝายชะลอน้ำ

  • ชะลอความเร็วของน้ำ ลดความรุนแรงของน้ำหลากในฤดูฝน
  • แก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยช่วยกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง
  • ดักตะกอนหน้าดิน ลดการชะล้างดินจากต้นน้ำ
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ ช่วยให้ระบบนิเวศฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
  • เสริมสร้างความมั่นคงทางน้ำ ให้กับเกษตรกรและชุมชนโดยรอบ

ปฏิบัติการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

การดำเนินโครงการนี้ยังเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี แสดงถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและฝายชะลอน้ำ

  • จากข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำ พบว่าประเทศไทยมีการสร้างฝายชะลอน้ำไปแล้วกว่า 100,000 ฝาย ทั่วประเทศ
  • ฝายชะลอน้ำสามารถช่วยกักเก็บน้ำได้เฉลี่ย 50-100 ลูกบาศก์เมตร ต่อฝาย ขึ้นอยู่กับขนาดและพื้นที่
  • การสร้างฝายในพื้นที่ป่าต้นน้ำช่วยลดความเร็วของน้ำไหลลงได้ถึง 30-50% เมื่อเทียบกับพื้นที่ไม่มีฝาย
  • ชุมชนที่มีฝายชะลอน้ำสามารถลดปัญหาภัยแล้งได้มากถึง 40% จากสถิติของกรมชลประทาน

สรุปภาพรวมโครงการ

โครงการสร้างฝายชะลอน้ำของมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยบริหารจัดการน้ำ เพิ่มความมั่นคงทางน้ำ และส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไป นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนที่มุ่งสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

แก้รถติด ‘สนามบินเชียงราย’ สร้างทางลอด 849 ล้าน เสร็จปี 70

กรมทางหลวงชนบทเร่งแก้รถติดหน้าสนามบินเชียงราย เสริมศักยภาพการเดินทาง

โครงการก่อสร้างทางลอดช่วยบรรเทาปัญหาการจราจร

กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้เดินหน้าโครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณทางแยกศูนย์ราชการ ถนนสาย ชร.1023 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะบริเวณหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวง ซึ่งถือเป็นจุดคอขวดที่ส่งผลต่อการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยว โครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2570

เสริมโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขีดความสามารถในการเดินทาง

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ทช. ได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงถนนและเตรียมก่อสร้างทางลอด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายถนนให้สามารถรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาปัญหารถติด แต่ยังช่วยยกระดับเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยวของภาคเหนือตอนบนอีกด้วย

รายละเอียดโครงการก่อสร้างทางลอด

โครงการนี้ประกอบไปด้วย:

  • ก่อสร้างอุโมงค์ลอดทางแยก ขนาด 4 ช่องจราจร (ไป-กลับ) ความยาว 425.50 เมตร
  • ขยายสะพานข้ามแม่น้ำกก ให้มีความกว้างของช่องจราจรมากขึ้น ตลอดระยะทาง 410 เมตร
  • ปรับปรุงถนนบริเวณแยกศูนย์ราชการ รวมถึงติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างและสาธารณูปโภคอื่น ๆ
  • ระยะทางดำเนินการทั้งหมด 1.635 กิโลเมตร
  • งบประมาณก่อสร้าง 849.800 ล้านบาท

ผลกระทบและมาตรการรองรับการก่อสร้าง

ในช่วงที่ดำเนินการก่อสร้าง ทช. ได้ติดตั้งมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ เช่น ป้ายเตือนลดความเร็ว และสัญญาณไฟกระพริบ เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ ทช. ได้ขออภัยในความไม่สะดวกและจะรายงานความคืบหน้าของโครงการเป็นระยะ

การพัฒนาโครงข่ายถนนรองรับอนาคต

หลังจากโครงการแล้วเสร็จ จะสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรที่แออัดหน้าสนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังรองรับการขยายตัวของชุมชนและการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมหลักให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการจราจรในเชียงราย

  • จากข้อมูลของกรมทางหลวง พบว่า ปริมาณจราจรบริเวณหน้าสนามบินเชียงรายเพิ่มขึ้น กว่า 20% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • สนามบินนานาชาติแม่ฟ้าหลวงรองรับผู้โดยสารเฉลี่ย 2.5 ล้านคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
  • ถนนสาย ชร.1023 เป็นเส้นทางหลักที่ใช้เชื่อมต่อสนามบินกับตัวเมืองเชียงราย โดยมีปริมาณรถยนต์ผ่านเข้า-ออกกว่า 30,000 คันต่อวัน

สรุปภาพรวมโครงการ

โครงการก่อสร้างทางลอดบริเวณหน้าสนามบินเชียงราย เป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร เพิ่มศักยภาพการเดินทาง และเสริมสร้างเศรษฐกิจการค้าการท่องเที่ยวของพื้นที่ให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สาวๆ เที่ยวชิลล์ที่ “เชียงราย” ปลอดภัยสุดเป็น อันดับ 2 ของโลก

เชียงรายติดอันดับ 2 เมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล

Time Out จัดอันดับ “เชียงราย” เมืองปลอดภัยอันดับสองของโลกสำหรับผู้หญิงนักเดินทางสายดิจิทัล

เชียงราย – วันที่ 10 มีนาคม 2568 Time Out และ Holidu เผยผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในโลกสำหรับ นักเดินทางหญิงสายดิจิทัล (Female Digital Nomads) โดยผลการจัดอันดับระบุว่า เชียงราย ได้รับการจัดให้อยู่ใน อันดับที่ 2 ของโลก รองจาก ไทเป ประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นอันดับหนึ่ง

การสำรวจดังกล่าวอ้างอิงจากข้อมูลของ Nomads.com และใช้เกณฑ์การวิเคราะห์หลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัยเมื่อต้องเดินทางคนเดียว ความเป็นมิตรต่อผู้หญิง และกฎหมายเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศในสถานที่ทำงาน ผลการสำรวจชี้ว่า เชียงรายเป็นเมืองที่ มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ทำงานทางไกลและเดินทางคนเดียว

หญิงดิจิทัลโนแมด” เทรนด์ใหม่มาแรง! อิสระ ทำงานได้ทั่วโลก

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น “หญิงดิจิทัลโนแมด” หรือ “Female Digital Nomads” กำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน

“หญิงดิจิทัลโนแมด” หมายถึง ผู้หญิงที่ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลก โดยไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานประจำ พวกเธอมีความยืดหยุ่นในการทำงานและสามารถเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ได้ตามต้องการ

ลักษณะสำคัญของหญิงดิจิทัลโนแมด

  • ทำงานทางไกล (Remote Work): ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น อินเทอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, และแอปพลิเคชันต่างๆ ในการทำงาน
  • อิสระในการเดินทาง: สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ต ทำให้พวกเธอสามารถเดินทางและใช้ชีวิตในสถานที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ
  • ความยืดหยุ่น: มีความยืดหยุ่นในการจัดการเวลาและสถานที่ทำงาน ทำให้พวกเธอสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้
  • ทักษะดิจิทัล: มีทักษะและความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการทำงาน เช่น การตลาดออนไลน์, การเขียน, การออกแบบกราฟิก, หรือการพัฒนาเว็บไซต์

ข้อดีของการเป็นหญิงดิจิทัลโนแมด

  • อิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน
  • โอกาสในการเดินทางและสัมผัสวัฒนธรรมที่หลากหลาย
  • ความยืดหยุ่นในการจัดการเวลา
  • โอกาสในการสร้างรายได้จากทั่วโลก

ข้อเสียที่ต้องพิจารณา

  • ความไม่แน่นอนของรายได้
  • ความท้าทายในการจัดการเวลาและการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
  • ความเหงาและความโดดเดี่ยว
  • ความท้าทายในการจัดการเรื่องภาษีและกฎหมายในต่างประเทศ

ถึงแม้ว่าการเป็นหญิงดิจิทัลโนแมดจะมีข้อเสียที่ต้องพิจารณา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์นี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องการอิสระในการใช้ชีวิตและการทำงาน

เหตุผลที่เชียงรายได้รับเลือกเป็นเมืองปลอดภัยสำหรับนักเดินทางหญิง

  1. ความปลอดภัยในการเดินทางและการใช้ชีวิต

จากรายงาน Holidu ระบุว่า เชียงรายได้รับคะแนนสูงเป็นอันดับสามของโลกในหัวข้อ ความปลอดภัยเมื่อต้องเดินคนเดียว” โดยมีคะแนนสูงถึง 93.18 เทียบกับกรุงเทพฯ ที่ได้เพียง 79.44 คะแนน นอกจากนี้ อัตราอาชญากรรมในเชียงรายยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในเอเชีย

  1. ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติและผู้หญิง

เชียงรายเป็นเมืองที่มีอัตราส่วนของนักเดินทางหญิงสายดิจิทัลต่อผู้ชายสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่ทำงานทางไกลมีแนวโน้มจะพบเจอและสร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมอาชีพได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับคะแนนสูงในด้าน ความเป็นมิตรต่อชาวต่างชาติ” โดยผู้คนในท้องถิ่นมีความต้อนรับและเปิดกว้างต่อผู้มาเยือน

  1. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการทำงานทางไกล
  • ค่าครองชีพต่ำกว่าหลายเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และภูเก็ต
  • อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีให้บริการทั่วเมือง
  • คาเฟ่และพื้นที่ทำงานร่วม (Co-working Spaces) มีให้เลือกมากมาย

นักเดินทางที่ทำงานทางไกลสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงเกินไป

อันดับเมืองที่ปลอดภัยที่สุดในเอเชียสำหรับนักเดินทางหญิงสายดิจิทัล

  1. ไทเป,ไต้หวัน (อันดับ 1 ของโลก)
  2. เชียงราย,ประเทศไทย (อันดับ2 ของโลก)
  3. ปีนัง,มาเลเซีย (อันดับ5 ของโลก)
  4. เกาสง,ไต้หวัน (อันดับ7 ของโลก)
  5. อูบุด,อินโดนีเซีย (อันดับ10 ของโลก)
  6. หนานจิง,จีน (อันดับ 17 ของโลก)
  7. โซล,เกาหลีใต้ (อันดับ 22 ของโลก)
  8. เชียงใหม่,ประเทศไทย ( อันดับ 26 ของโลก)
  9. กรุงเทพฯ,ประเทศไทย (อันดับ 31 ของโลก)
  10. แทจ็อน,เกาหลีใต้ (อันดับ 44 ของโลก)

ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเชียงราย

ด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

  • ดึงดูดนักเดินทางสายดิจิทัลจากทั่วโลก
  • เพิ่มการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเกี่ยวกับพื้นที่ทำงานร่วม
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติของเชียงราย

ด้านสังคมและความปลอดภัย

  • ช่วยกระตุ้นการพัฒนานโยบายด้านความปลอดภัยในเมือง
  • ทำให้เชียงรายกลายเป็นต้นแบบของเมืองปลอดภัยสำหรับผู้หญิง
  • เพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิของผู้หญิงในที่ทำงาน

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับผลการจัดอันดับ

ฝ่ายที่สนับสนุนมองว่า:

  • เชียงรายเป็นเมืองที่เงียบสงบ ปลอดภัย และมีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์
  • ความปลอดภัยสูงกว่ากรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ของไทย
  • เป็นโอกาสดีในการพัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางของ Digital Nomads

ฝ่ายที่กังวลมองว่า:

  • แม้จะเป็นเมืองที่ปลอดภัย แต่อาจต้องพัฒนาสาธารณูปโภคเพิ่มเติม
  • ยังขาดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติ เมื่อเทียบกับเชียงใหม่
  • อาจทำให้ค่าครองชีพในพื้นที่สูงขึ้น และกระทบต่อคนท้องถิ่น

บทสรุป: เชียงราย เมืองแห่งโอกาสสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล

การจัดอันดับครั้งนี้เป็นการยืนยันว่า เชียงรายเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักเดินทางสายดิจิทัล โดยเฉพาะผู้หญิง เมืองนี้มีความปลอดภัยสูง ค่าครองชีพที่เหมาะสม และเป็นมิตรกับผู้มาเยือน หากสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการเพิ่มเติม เชียงรายอาจกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของ Digital Nomads ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

สัมผัสวิถีชีวิตช้างอย่างใกล้ชิดที่ Elephant Family Chiang Rai!

สำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมของ Elephant Family Chiang Rai สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 081 022 6807 โดยทางสถานที่มีโปรแกรมให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่:

  • โปรแกรมเต็มวัน (1 Day Trip): ราคา 2,500 บาท
  • โปรแกรมครึ่งวัน (Half Day Trip): ราคา 1,800 บาท

ทั้งสองโปรแกรมรวมบริการรถรับส่ง อาหารกลางวัน และไกด์คอยดูแลตลอดกิจกรรม ทำให้ผู้เข้าร่วมได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและเรียนรู้เกี่ยวกับช้างอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : timeout / Elephant Family Chiang Rai / The Northern Report

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News