Categories
ECONOMY

ททท. เร่งเครื่องดึงจีนเที่ยวไทย โรดโชว์ 3 เมืองใหญ่

ททท.เร่งกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวจีนหลังสัญญาณฟื้นตัว เร่งโรดโชว์ 3 เมืองใหญ่ ผนึกภาคเอกชนสร้างความมั่นใจ ดึงกรุ๊ปทัวร์กลับไทย

กรุงเทพฯ, 21 มีนาคม 2568 – การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ขณะนี้ ททท.กำลังเดินหน้ากระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีนอย่างเข้มข้น หลังจากสัญญาณของตลาดเริ่มนิ่งและมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะการจองการเดินทางล่วงหน้าเข้าสู่ประเทศไทยที่เริ่มขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นพฤษภาคม 2568 ซึ่งตรงกับวันหยุดแรงงานของจีน

ทั้งนี้ ททท.ได้เตรียมจัดโรดโชว์ใน 3 เมืองใหญ่ของจีน ได้แก่ เซี่ยเหมิน อู่ฮั่น และเฉิงตู ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางกลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์และต่อเนื่องถึงช่วงวันแรงงาน

สาเหตุการชะลอตัวของตลาดจีนและแผนฟื้นฟู

นางสาวฐาปนีย์ ระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 จากหลายปัจจัย เช่น การลดลงของเที่ยวบินเช่าเหมาลำกว่า 20% การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกระแสข่าวด้านความปลอดภัยที่กระทบต่อความมั่นใจของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เคยเดินทางมาไทยมาก่อน

เพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์ ททท.จึงประสานงานกับสำนักงาน 5 แห่งในจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู และกว่างโจว ให้เร่งดำเนินการตลาดเชิงรุกในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับ KOL และอินฟลูเอนเซอร์ในจีน การประชาสัมพันธ์กิจกรรมสงกรานต์ และการทำคาราวานรถยนต์จากเมืองคุณหมิงเข้าสู่เชียงใหม่

ดึงภาคเอกชนร่วมโรดโชว์และส่งเสริมกรุ๊ปทัวร์

ททท.ยังได้ร่วมมือกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (แอตต้า) ในการจัดโรดโชว์ต่อเนื่องช่วงเดือนพฤษภาคม เพื่อส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวจีนในช่วงวันหยุดฤดูร้อนและช่วงวันชาติของจีนในเดือนตุลาคม โดยเฉพาะกลุ่มกรุ๊ปทัวร์ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่สร้างวอลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

พร้อมกันนี้ ททท.ได้เชิญตัวแทนบริษัทนำเที่ยวจากจีนกว่า 500 ราย มาสำรวจเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นโดยตรง และเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปใหญ่ในอนาคตอันใกล้

โปรโมชั่นพิเศษผ่าน “แกรนด์สงกรานต์” และพันธมิตรดิจิทัล

สำหรับการดึงดูดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวจีน ททท.ร่วมมือกับแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลชั้นนำของจีน เช่น Alipay โดยเสนอส่วนลดพิเศษ หากนักท่องเที่ยวใช้จ่ายผ่านแอปดังกล่าว และยังร่วมกับแพลตฟอร์ม OTA อย่าง Ctrip จัดโปรโมชั่นตั๋วโดยสารราคาพิเศษเพื่อแข่งขันกับประเทศปลายทางคู่แข่ง เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ททท. ยังเตรียมจัดกิจกรรม “แกรนด์สงกรานต์ แกรนด์พริวิเลจ” เพื่อสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวเหนือระดับ โดยมีสิทธิประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวจีน เช่น ส่วนลดร้านค้า สปา ร้านของที่ระลึก และลุ้นรับของที่ระลึก ณ สนามบินหลัก เช่น สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ และภูเก็ต

จังหวัดเชียงรายเตรียมความพร้อมรับเทศกาลสงกรานต์

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนประจำจังหวัดเชียงราย เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 โดยกำหนดมาตรการหลักคือ การตั้งด่านตรวจหลักในจุดเสี่ยง ช่วงเวลาต่างกันเพื่อลดอุบัติเหตุ และให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้กำหนดแผนรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่

  1. ช่วงประชาสัมพันธ์: 1 มี.ค. – 3 เม.ย. 2568
  2. ช่วงก่อนเข้มข้น: 4 – 10 เม.ย. 2568
  3. ช่วงเข้มข้น: 11 – 17 เม.ย. 2568
  4. ช่วงหลังเข้มข้น: 18 – 24 เม.ย. 2568

โดยคาดว่าจังหวัดเชียงรายจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมในช่วงเทศกาลดังกล่าว เนื่องจากมีการเตรียมมาตรการด้านความปลอดภัยและกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างครอบคลุม

เป้าหมายและทิศทางตลาดจีนปี 2568

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ กล่าวว่า ททท.ตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปี 2568 ไว้ที่ 8-9 ล้านคน โดยมั่นใจว่าหากไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเติม สถานการณ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น โดยเฉพาะจากยอดจองที่เพิ่มขึ้นชัดเจนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยปี 2566: ประมาณ 3.5 ล้านคน
  • เป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนปี 2568: 8-9 ล้านคน
  • สำนักงาน ททท.ในจีน: 5 แห่ง (ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู กว่างโจว)
  • บริษัททัวร์จีนที่เข้าร่วมกิจกรรมในไทย: 500 ราย (เบื้องต้น)
  • เมืองเป้าหมายโรดโชว์: เซี่ยเหมิน อู่ฮั่น เฉิงตู

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

  • ประชาชาติธุรกิจ

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

นักท่องเที่ยวจ่ายง่าย TAGTHAi Easy Pay สแกน QR ไทย

ททท. หนุน TAGTHAi – กสิกรไทย เปิดบริการ Tourist E-Wallet ยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวไทย

ประเทศไทย, 17 มีนาคม 2568 – การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย และบริษัท ไทย ดิจิทัล แพลตฟอร์ม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เปิดตัว TAGTHAi Easy Pay ระบบอีวอลเล็ตสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ใช้งานควบคู่กับ บัตร Prepaid PAY&TOUR ของธนาคารกสิกรไทย เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้จ่ายภายในประเทศไทย ลดความยุ่งยากในการแลกเปลี่ยนเงินตรา และช่วยลดภาระการพกเงินสดจำนวนมาก นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้สอดรับกับพฤติกรรมนักเดินทางยุคดิจิทัล

ระบบชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัย สู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า TAGTHAi Easy Pay เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” ที่ ททท. ขับเคลื่อนตลอดทั้งปี เพื่อกระตุ้นการเดินทาง ส่งเสริมกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวและกีฬาระดับนานาชาติ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้ถึงเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาทในปี 2568

นายกลินท์ สารสิน ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แอปพลิเคชัน TAGTHAi มีจำนวนนักท่องเที่ยวดาวน์โหลดแล้วกว่า 2 ล้านรายในปี 2567 เติบโตขึ้นถึง 105% และมียอดขายเพิ่มขึ้น 183% สะท้อนถึงพฤติกรรมของนักเดินทางยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ แพลตฟอร์มดิจิทัล ในการสืบค้นข้อมูล ซื้อสินค้า และชำระเงิน

การเปิดตัว TAGTHAi Easy Pay จึงเป็น กลไกสำคัญที่ช่วยกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในทุกพื้นที่ ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง เพิ่มโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าในภาคการท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวได้โดยตรง

แนวทางของธนาคารกสิกรไทย มุ่งสู่ระบบการเงินไร้เงินสดเต็มรูปแบบ

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าในปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น 5.6% จากปีที่ผ่านมา ธนาคารจึงมุ่งพัฒนา ระบบชำระเงินไร้รอยต่อ (Seamless Payment) เพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยว

บัตร Prepaid PAY&TOUR ของธนาคารกสิกรไทย เป็น บัตรเติมเงินที่เชื่อมต่อกับอีวอลเล็ต TAGTHAi Easy Pay ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถ สแกนจ่ายผ่าน Thai QR Payment ได้ทั่วประเทศ โดยเริ่มทดลองให้บริการตั้งแต่ปี 2567 ผ่าน บูธแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเตรียมขยายจุดให้บริการไปยัง สาขาธนาคารกว่า 100 แห่งทั่วประเทศในปี 2568

ข้อดีของ TAGTHAi Easy Pay และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

ข้อดีของระบบ

  • สะดวกและปลอดภัย: ลดปัญหาการพกเงินสดจำนวนมาก ลดความเสี่ยงจากอาชญากรรม
  • รองรับการใช้งานทั่วประเทศ: ใช้จ่ายได้กับทุกธุรกิจที่รองรับ Thai QR Payment
  • ช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น: พ่อค้าแม่ค้าและผู้ประกอบการท่องเที่ยวขนาดเล็กสามารถรับชำระเงินได้ง่ายขึ้น

เสียงสะท้อนจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายที่สนับสนุน

  • นักท่องเที่ยวต่างชาติมองว่าระบบนี้ช่วยลดความยุ่งยากในการแลกเปลี่ยนเงินตรา และทำให้การใช้จ่ายในไทยสะดวกขึ้น
  • ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองรองมองว่าการใช้จ่ายผ่านดิจิทัลช่วยให้เข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้ง่ายขึ้น และลดปัญหาการใช้เงินสด

ฝ่ายที่มีข้อกังวล

  • บางภาคส่วนมองว่าระบบการชำระเงินดิจิทัลอาจยังไม่สามารถเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่อินเทอร์เน็ตยังไม่ครอบคลุม
  • ผู้ประกอบการบางรายกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมผ่าน QR Payment ซึ่งอาจเป็นภาระเพิ่มเติม

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนดาวน์โหลดแอป TAGTHAi: 2 ล้านครั้ง (ข้อมูลจาก TAGTHAi ปี 2567)
  • อัตราการเติบโตของแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว: 105% (ข้อมูลจากบริษัท ไทย ดิจิทัล แพลตฟอร์ม ปี 2567)
  • ยอดขายผ่าน TAGTHAi: เพิ่มขึ้น 183% (ข้อมูลจาก TAGTHAi ปี 2567)
  • คาดการณ์นักท่องเที่ยวปี 2568: เพิ่มขึ้น 5.6% (ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปี 2568)
  • เป้าหมายรายได้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยปี 2568: 3 ล้านล้านบาท (ข้อมูลจาก ททท. ปี 2568)

สรุป

TAGTHAi Easy Pay เป็นก้าวสำคัญของ การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถ สแกนจ่ายได้ง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้น และสามารถใช้จ่ายเหมือนคนไทย ซึ่งช่วยกระจายรายได้ไปยังธุรกิจในทุกระดับ

อย่างไรก็ตาม แม้ระบบจะได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ ความสามารถในการเข้าถึงของธุรกิจขนาดเล็กในพื้นที่ชนบท และค่าธรรมเนียมของระบบชำระเงิน ซึ่งอาจต้องมีการพิจารณานโยบายเพิ่มเติมเพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างทั่วถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / ธนาคารกสิกรไทย / บริษัท ไทย ดิจิทัล แพลตฟอร์ม วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด / ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘เชียงราย’ ปี 67 เที่ยวสุดคุ้ม “ชาวต่างชาติ” พักนานเฉลี่ย 5.74 คืน

เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทย สร้างรายได้ท่องเที่ยวกว่า 38,493 ล้านบาทในปี 2567

เชียงราย, 9 มีนาคม 2568 – รายงานข้อมูลจาก TAT Intelligence Center และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศมาเลเซีย ฝรั่งเศส สเปน สหรัฐอเมริกา และอิตาลี ซึ่งเลือกพักในเชียงรายโดยเฉลี่ย 5.74 คืน ส่งผลให้จังหวัดมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 38,493 ล้านบาท ในปี 2567

เชียงราย: จุดหมายปลายทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เชียงรายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจาก มาเลเซีย (12.67%) ฝรั่งเศส (11.69%) สเปน (8.93%) สหรัฐอเมริกา (6.65%) และอิตาลี (5.62%) ที่เลือกเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งในด้านของธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และความเงียบสงบที่เป็นเอกลักษณ์

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงรายมีระยะเวลาเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 5.74 คืน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ (5.56 คืน) และ ลำปาง (4.32 คืน)

 

พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567

โครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567 ได้ศึกษาค่าเฉลี่ยจำนวนคืนที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนพำนักในจังหวัดต่างๆ โดยมีข้อมูลจาก TAT Intelligence Center พบว่า กรุงเทพมหานคร มีค่าเฉลี่ยพัก 5.52 คืน โดยตลาดนักท่องเที่ยวหลักมาจาก จีน (23.29%) อินเดีย (6.33%) เกาหลีใต้ (6.04%) มาเลเซีย (4.99%) และเวียดนาม (4.26%)

ในขณะที่ จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ มีค่าเฉลี่ยการพำนักดังนี้:

  1. ชลบุรี – ค่าเฉลี่ย 6.34 คืน (จีน 26.13%, อินเดีย 13.58%, รัสเซีย 13.38%, เกาหลีใต้ 5.65%, เวียดนาม 4.34%)
  2. ภูเก็ต – ค่าเฉลี่ย 5.72 คืน (จีน 22.59%, อินเดีย 9.08%, รัสเซีย 5.86%, สหราชอาณาจักร 4.71%, สหรัฐฯ 4.62%)
  3. กระบี่ – ค่าเฉลี่ย 3.11 คืน (จีน 13.59%, อินเดีย 10.16%, มาเลเซีย 7.79%, สหราชอาณาจักร 7.1%, ฝรั่งเศส 5.99%)
  4. สงขลา – ค่าเฉลี่ย 5.05 คืน (มาเลเซีย 94.34%, สิงคโปร์ 2.33%, อินโดนีเซีย 1.38%, จีน 0.5%, ลาว 0.14%)
  5. เชียงใหม่ – ค่าเฉลี่ย 5.56 คืน (จีน 13.59%, สหราชอาณาจักร 8.02%, สหรัฐฯ 8.00%, ฝรั่งเศส 6.88%, มาเลเซีย 6.62%)
  6. สุราษฎร์ธานี – ค่าเฉลี่ย 7.14 คืน (เยอรมนี 14.31%, สหราชอาณาจักร 11.35%, ฝรั่งเศส 8.8%, อิสราเอล 6.79%, ออสเตรเลีย 5.1%)
  7. พังงา – ค่าเฉลี่ย 2.70 คืน (จีน 13.19%, มาเลเซีย 10.6%, เยอรมนี 9.33%, ฝรั่งเศส 6.93%, เกาหลีใต้ 5.43%)
  8. เชียงราย – ค่าเฉลี่ย 5.74 คืน (มาเลเซีย 12.67%, ฝรั่งเศส 11.69%, สเปน 8.93%, สหรัฐฯ 6.65%, อิตาลี 5.62%)
  9. ประจวบคีรีขันธ์ – ค่าเฉลี่ย 6.11 คืน (สหราชอาณาจักร 9.2%, รัสเซีย 7.63%, ไต้หวัน 6.76%, จีน 6.15%, เยอรมนี 5.8%)

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายเป็นที่นิยม

  1. ธรรมชาติและวัฒนธรรม
    • เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศสวยงาม โดดเด่นด้วยภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม เช่น วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น และพระตำหนักดอยตุง ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
  2. การเดินทางสะดวกขึ้น
    • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีเที่ยวบินตรงจากหลายประเทศ เช่น จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น
  3. แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเชิงอนุรักษ์
    • มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ อาทิ สปา ธรรมชาติบำบัด และโยคะ รวมถึงแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

สถิติท่องเที่ยวประเทศไทย ปี 2567

รายงานจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.27% จากปี 2566 สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.67 ล้านล้านบาท

10 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุดในปี 2567

  1. จีน 6,733,162 คน
  2. มาเลเซีย 4,952,078 คน
  3. อินเดีย 2,129,149 คน
  4. เกาหลีใต้ 1,868,945 คน
  5. รัสเซีย 1,745,327 คน
  6. ลาว 1,124,202 คน
  7. ไต้หวัน 1,089,910 คน
  8. ญี่ปุ่น 1,050,904 คน
  9. สหรัฐอเมริกา 1,030,733 คน
  10. สิงคโปร์ 1,009,640 คน

ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวม 198.69 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7.02% จากปีก่อน สร้างรายได้ 950,000 ล้านบาท

เชียงราย: หนึ่งในจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด

เชียงรายเป็น หนึ่งใน 5 จังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยสูงสุด โดยอยู่ในอันดับที่ 5 ด้วยรายได้ 38,493 ล้านบาท รองจาก กรุงเทพฯ (173,181 ล้านบาท) ชลบุรี (103,987 ล้านบาท) เชียงใหม่ (60,783 ล้านบาท) และประจวบคีรีขันธ์ (43,066 ล้านบาท)

ในส่วนของตลาดนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวม 198.69 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7.02% เทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ 950,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.03%

5 อันดับจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปมากที่สุด:

  1. กรุงเทพมหานคร – 30.80 ล้านคน
  2. ชลบุรี – 15.51 ล้านคน
  3. กาญจนบุรี – 14.70 ล้านคน
  4. ประจวบคีรีขันธ์ – 10.83 ล้านคน
  5. เพชรบุรี – 10.72 ล้านคน

ข้อคิดเห็นและมุมมองที่แตกต่าง

จากข้อมูลที่ได้รวบรวมมา มีข้อคิดเห็นจากสองมุมมองที่เกี่ยวกับสถานการณ์การท่องเที่ยวในเชียงราย ได้แก่:

  1. มุมมองเชิงบวก:
  • เชียงรายกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ
  • การเดินทางที่สะดวกขึ้นช่วยเพิ่มศักยภาพของจังหวัดให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ
  • รายได้จากการท่องเที่ยวสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และสร้างอาชีพให้กับประชาชน
  1. มุมมองเชิงกังวล:
  • การเติบโตของนักท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากไม่มีมาตรการจัดการที่ดี
  • เชียงรายยังคงเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศจากไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดในสายตานักท่องเที่ยว
  • จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าครองชีพในพื้นที่สูงขึ้น

ภาพรวของเชียงราย

เชียงรายยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรปและเอเชียที่เลือกเข้าพักเฉลี่ย 5.74 คืน ซึ่งสูงกว่าหลายจังหวัดในภาคเหนือ ข้อมูลจากปี 2567 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ก็ต้องมีการพัฒนามาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวในระยะยาว

สรุปภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

เมื่อรวมรายได้จากทั้งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวในประเทศ ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2.62 ล้านล้านบาท ในปี 2567 แม้ว่าจะยังต่ำกว่าเป้าหมายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ตั้งไว้ 3 ล้านล้านบาท แต่ถือเป็นแนวโน้มเชิงบวกที่แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19

ในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนและการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองจะเป็นกุญแจสำคัญ ในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / TAT Intelligence Center / โครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เที่ยวบินปฐมฤกษ์ Air Asia กัวลาลัมเปอร์-เชียงราย เริ่มแล้ว

ททท. ต้อนรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ Air Asia กัวลาลัมเปอร์-เชียงราย เพิ่มศักยภาพท่องเที่ยว High Season

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 เวลา 14.00 น. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย ให้การต้อนรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของสายการบิน Air Asia เที่ยวบิน AK 871 ที่บินตรงจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มายังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย โดยมีนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และผู้บริหาร ททท. และหน่วยงานท้องถิ่น ร่วมแสดงความยินดีในโอกาสนี้

คณะผู้โดยสาร นักบิน และลูกเรือของเที่ยวบินปฐมฤกษ์ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ โดยมีการมอบพวงมาลัยดอกไม้และของที่ระลึกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดประตูการท่องเที่ยวสู่เชียงรายอย่างเป็นทางการ

เชียงรายเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวต้อนรับ High Season หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่

จังหวัดเชียงรายผนึกกำลังกับทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังจากประสบกับวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ผ่านมา การเปิดรับเที่ยวบินตรงจากกัวลาลัมเปอร์ในครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วง High Season ซึ่งเชียงรายได้เตรียมกิจกรรมและงานเทศกาลท่องเที่ยวมากมาย เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เช่น งานประเพณีลอยกระทงยี่เป็งนครเชียงราย กิจกรรม Mae Salong Trail งานมหกรรมดอกไม้อาเซียน งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม และงานเคาท์ดาวน์เชียงราย 2025

หลากหลายกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น

เชียงรายได้จัดเตรียมกิจกรรมท่องเที่ยวที่ผสมผสานทั้งกีฬา วิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์ชุมชนอย่างหลากหลาย เพื่อสร้างสีสันให้กับฤดูท่องเที่ยว นับตั้งแต่ประเพณีการลอยกระทงที่งดงามในวิถีล้านนาไปจนถึงการจัดแสดงดอกไม้นานาพันธุ์ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในงานมหกรรมดอกไม้อาเซียนและเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม ที่คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติและวัฒนธรรมเชียงราย และช่วยกระจายรายได้หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่น

การเปิดเที่ยวบินตรงจากกัวลาลัมเปอร์มายังเชียงรายในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางการท่องเที่ยว แต่ยังแสดงถึงความพร้อมของเชียงรายในการเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ ทั้งในด้านวัฒนธรรมและธรรมชาติที่น่าหลงใหล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport – CEI

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ททท. เปิดตัวแคมเปญแอ่วเหนือคนละครึ่ง กระตุ้นการท่องเที่ยว

ททท. ผนึกกำลังพันธมิตรจัดงาน “เหนือพร้อม…เที่ยว” พร้อม Kick Off แคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง” กระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนือ

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้จัดงาน “เหนือพร้อม…เที่ยว” ที่อุทยานไร่แม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อประกาศศักยภาพความพร้อมของภาคเหนือในด้านการท่องเที่ยว พร้อมมอบความช่วยเหลือและฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อีกทั้งเปิดตัวแคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง” ซึ่งจะเริ่มต้นให้บริการนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เพื่อต้อนรับฤดูท่องเที่ยวปลายปี 2567 หวังเพิ่มรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าสู่ภาคเหนือ

ฟื้นฟูการท่องเที่ยวภาคเหนือหลังน้ำท่วม เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยว

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า อุทกภัยที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเดินทางเข้าพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวที่เสียหาย แต่ปัจจุบันสถานการณ์กลับสู่ปกติแล้ว ทั้งแหล่งท่องเที่ยวและสถานประกอบการท่องเที่ยวใน 17 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วง High Season นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ภาคเหนือมีอากาศหนาวเย็นและทัศนียภาพสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสความงามของธรรมชาติและวัฒนธรรมล้านนา

งาน “เหนือพร้อม…เที่ยว” รวมผู้ประกอบการและสื่อมวลชนทั่วประเทศ

ในวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2567 ททท. ได้เชิญผู้ประกอบการและสื่อมวลชนจากทั่วประเทศมากกว่า 200 คน มาร่วมอัปเดตสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวภาคเหนือ โดยมีการจัดเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคเหนือและผู้ที่สนใจ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น พิธีสืบชะตาหลวงล้านนาเพื่อความเป็นสิริมงคล และกิจกรรม CSR ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของภาคเหนือในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว

แคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง” สนับสนุนการท่องเที่ยวและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น

แคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง” จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 โดย ททท. ได้ร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภาคเหนือ 17 จังหวัด มอบส่วนลด 50% ของการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการในโรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และกิจกรรมอื่น ๆ รวมถึงร้านของที่ระลึก โดยจะจำกัดส่วนลดไม่เกิน 400 บาทต่อคนต่อสิทธิ์ และมีทั้งหมด 10,000 สิทธิ์

นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถลงทะเบียนผ่าน QR code ที่โรงแรมหรือสถานประกอบการที่เข้าร่วม โดยเมื่อสมัครรับสิทธิ์แล้ว จะได้รับ SMS ยืนยันการเข้าร่วมแคมเปญ และสามารถใช้สิทธิ์ได้ภายใน 3 วัน นักท่องเที่ยวสามารถใช้สิทธิ์โดยสแกน QR code ที่สถานประกอบการที่เข้าร่วม ซึ่งสังเกตได้จากป้ายโลโก้แคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง”

เทศกาลและกิจกรรมสุดพิเศษที่รอคอยนักท่องเที่ยวปลายปีนี้

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงความพร้อมของจังหวัดเชียงรายในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยมีการเตรียมหลากหลายกิจกรรมและเทศกาลที่น่าสนใจ เช่น งานประเพณีลอยกระทงยี่เป็งนครเชียงราย กิจกรรม Mae Salong Trail งานมหกรรมดอกไม้อาเซียน งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม และงานเคาท์ดาวน์เชียงราย 2025 เพื่อสร้างสีสันให้กับฤดูท่องเที่ยวของภาคเหนือและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในจังหวัด

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง”

นักท่องเที่ยวสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ผ่าน QR code ที่โรงแรมและสถานประกอบการที่เข้าร่วมในภาคเหนือ และใช้สิทธิ์ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หรือเมื่อครบจำนวนสิทธิ์ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญและสถานประกอบการที่ร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.แอ่วเหนือคนละครึ่ง.com หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center โทร. 1672

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : www.แอ่วเหนือคนละครึ่ง.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

“สกสว. บพข. ททท. และ ATTA ผนึกกำลังวิจัย Market Foresight และ Thailand Tourism Carrying Capacity มุ่งสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก”

 

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม  2567 เวลา 09.00 – 12.00 น.  ที่ โรงแรม เอส 31 สุขุมวิทกรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA)  จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)  “การพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ด้วยงานวิจัยการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์” ทั้ง 4 หน่วยงานในเป้าหมายสำคัญที่จะร่วมมือกันสนับสนุนการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การตลาดภาคการท่องเที่ยวและบริการ ด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อย่างยั่งยืนบนฐานทรัพยากรของประเทศ และสอดคล้องตามแผนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2566-2570 (ววน.) ในด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตามแนวทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ในด้านการท่องเที่ยวให้เป็นระบบเศรษฐกิจมูลค่าสูง มีความยั่งยืนและเพิ่มรายได้ของประเทศ ผ่านการทำงานและขับเคลื่อนร่วมกันตามบทบาทภารกิจของแต่ละหน่วยงาน โดยใช้กลไกการสนับสนุนงบประมาณวิจัยที่มีโจทย์ความต้องการของภาคเอกชน เพื่อให้เกิดผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลกระทบในวงกว้าง  โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธี ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 5 โรงแรม เอส 31 สุขุมวิท กรุงเทพมหานคร 30 พฤษภาคม 2567

 

ในโอกาสนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สกสว.ได้มอบหมายให้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว.เป็นผู้แทนเข้าร่วม พร้อมกันนี้ ด้านของ บพข. รองศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์  ผู้อำนวยการ บพข. ได้มอบหมายให้ รองศาสตราจารย์ ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รองผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์วิจัย บพข.เป็นผู้แทน สำหรับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีนายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ในฐานะผู้แทนผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ ATTA มี นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือภายใต้โครงการวิจัยของแผนงานการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ งบประมาณจากกองทุนส่งเสริม วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานในพิธี กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท มุ่งเน้นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว (Tourism Hub) พร้อมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวร่วมกับภาคเอกชน สมาคมแอตต้า รวมทั้งสมาคมอื่นๆ ซึ่งถือเป็นหัวจักรสำคัญของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทย           โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานในสังกัด พร้อมสนับสนุนเต็มกำลัง นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้แทนสมาคมต่างๆ เสนอประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทย      ทั้งการเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง การเพิ่มเที่ยวบิน การพิจารณาเรื่องวีซ่า การแต่งตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย รวมทั้ง การส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Tourism for All) รองรับสังคมผู้สูงอายุเพื่อคุณภาพชีวิต การเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยวกลุ่มฟื้นฟูสุขภาพ กลุ่มครอบครัว กลุ่มผู้พิการ ซึ่งถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ซึ่งการพัฒนานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยองค์ความรู้จากฐานงานวิจัยและพัฒนา เพื่อนำไปสู่การเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มศักยภาพสูงนี้ให้ได้รับความสะดวกสบายและปลอดภัยในระดับมาตรฐานสากลตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยในปัจจุบันกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ดำเนินการพัฒนาอารยสถาปัตย์ (universal design) เตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวสำหรับคนทุกคนในสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน

 

ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. ในฐานะผู้แทนผู้อำนวยการ สกสว. เผยว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระหว่างปี พ.ศ. 2559-2562 สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละประมาณ 2.1 ถึง 2.7 ล้านล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 18 ของ GDP และรัฐบาลมีนโยบายเชื่อมโยงระหว่างการท่องเที่ยวกับซอฟต์พาเวอร์ ผ่านเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ เสน่ห์ไทย นำจุดแข็งของมรดกทางวัฒนธรรมมาเป็นจุดขายที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสผ่านประสบการณ์ตรง อาทิ ศิลปะการต่อสู้มวยไทย วัฒนธรรมอาหารไทย ผ้าไทย เทศกาลและโชว์ไทย เป็นต้น ความร่วมมือ (MOU) นี้จึงมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการวิจัย      การยกระดับและขับเคลื่อนการท่องเที่ยวโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นที่ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) ด้าน Demand : ภาพอนาคตการตลาด (Market Foresight) เพื่อปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยใช้ข้อมูลจาก Social Listening และ Foresight การทำงานในด้านนี้จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การเพิ่มรายได้และความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว 2) ด้าน Supply : ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว (Carrying Capacity) เพื่อลดปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมืองหลักในกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย เชียงใหม่ และชลบุรี ด้วยการกระจายนักท่องเที่ยวไปยังเมืองน่าเที่ยวอื่นๆ โดยนำเสนอข้อมูลผ่าน Dashboard เพื่อให้ภาคเอกชนมีเครื่องมือในการประเมินพื้นที่รองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต การกระจายนักท่องเที่ยวจะช่วยลดความแออัดในเมืองหลัก เพิ่มความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่อื่น ๆ

 

สำหรับ รศ.ดร.ชาลีดา บรมพิชัยชาติกุล รองผู้อำนวยการด้านกลยุทธ์วิจัย (บพข.) กล่าวว่า บพข.ในฐานะหน่วยบริหารและจัดการทุนที่ดูแลงานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ มองว่าในระยะยาว ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับความร่วมมือสำคัญในครั้งนี้ คือ 1)ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว : การท่องเที่ยวของประเทศไทยจะมีความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ 2)การเติบโตของเศรษฐกิจท้องถิ่น : เมืองและชุมชนที่ได้รับการกระจายนักท่องเที่ยวจะมีโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น และ 3)การเพิ่มความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว : นักท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นจากการท่องเที่ยวในประเทศไทย นำไปสู่การเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยวที่กลับมาเที่ยวอีกครั้ง

 

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยวผู้แทน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  เผยว่า สำหรับการท่องเที่ยวแห่งประเทศ หรือ ททท.ในฐานะภาครัฐที่เป็นผู้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทยในการสร้างประสบการณ์ที่ทรงคุณค่าและมุ่งสู่ความยั่งยืน ความร่วมมือในนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์การท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับนโยบาย IGNITE Thailand ของภาครัฐที่มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาค

 

ด้าน นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวว่า ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะกลาง คือ ประการแรก การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งความร่วมมือของ 4 หน่วยงานสำคัญในครั้งนี้ จะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทยมีความสามารถในการปรับตัวและแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านการตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของนักท่องเที่ยว ประการที่สอง การกระจายนักท่องเที่ยว : ลดความแออัดในเมืองหลักและเพิ่มโอกาสในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ทั่วประเทศ ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ และประการสุดท้ายคือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ : ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวมากขึ้น นำไปสู่การเพิ่มรายได้และการสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างยิ่ง

 

ซึ่งการลงนามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง ระหว่างภาครัฐ ทั้ง สกสว. บพข. และ ททท. และ ATTA ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี ที่ว่า “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” เพราะภาคเอกชนผู้ที่มีเครื่องมือและข้อมูลที่สามารถช่วยในการวางแผนและปรับกลยุทธ์จะทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ดียิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเติบโต ทั้งนี้สมาคมท่องเที่ยวอื่นๆ ก็จะสามารถได้รับข้อมูลและแนวทางปฏิบัติที่ดีจากความร่วมมือนี้ สามารถนำไปปรับใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของสมาคมและสมาชิกให้มีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวและพัฒนาการท่องเที่ยวในอนาคต สามารถผลักดันการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ททท. เผยพร้อมปรับแผนหนุนท่องเที่ยวภาคเหนือสู้วิกฤติฝุ่น PM2.5

 
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2567 จังหวัดพะเยา ว่า ครม.อนุมัติตั้งสำนักงาน ททท. จ.พะเยา ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ เพื่อยกระดับจังหวัดพะเยาจากเมืองรองสู่เมืองหลัก
 
 

พื้นที่ภาคเหนือของไทยถือว่าเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเดินทางไปเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางไปกลุ่มจังหวัดในภูมิภาคภาคเหนือกว่า 39.48 ล้านคน โดยแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 34.87 ล้านคนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ 4.61 ล้านคน ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2567 การท่องเที่ยวในภาคเหนือจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนรวมทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 45 ล้านคน อย่างไรก็ตามในช่วงปลายเดือน ก.พ. – เม.ย.ในทุกๆปีภาคเหนือประสบปัญหาเรื่องฝุ่นพิษ PM2.5 จนทำให้กระทบการท่องเที่ยวในพื้นที่ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องมีการแก้ไข

 

นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสมาพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ในช่วงเดือนมี.ค.ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ได้รับผลกระทบจาก PM2.5 ยอดนักท่องเที่ยวปรับตัวลงอย่างมากและจะลดลงต่อเนื่องไปถึงเม.ย.จากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่มีความรุนแรง ซึ่งปกติในช่วงนี้ต้องมียอดจองห้องพัก 70-80%ของจำนวนห้องพักในจังหวัดที่มี 18,000 ห้องจากโรงแรมประมาณ 600 แห่ง แต่กลับพบว่าลดลงประมาณ 37.5% เหลือยอดการจองห้องพักเพียง 50% จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้กระทบกับภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่

 

 

น.ส.สมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้เปลี่ยนกลยุทธ์ในการส่งเสริมตลาดในประเทศใหม่ เพื่อช่วยกลุ่มจังหวัดในภาคเหนือประสบปัญหาสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 จนนักท่องเที่ยวชะลอการเดินทาง

 

โดย ททท.มีแผนนำงบประมาณประจำปี 2567 ที่เริ่มใช้ได้ในเดือนพ.ค.มาทำการตลาดในรูปแบบของโปรโมชั่นร่วมกับสายการบินในประเทศ จะช่วยให้ราคาค่าโดยสารถูกลง และเพื่อให้เกิดไฮซีซั่นในฤดูฝน ช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการเที่ยววันธรรมดาเพิ่มขึ้น โดยร่วมกับอโกด้าจัดราคาที่พักมีส่วนลดพิเศษ เริ่มในเดือนพ.ค.นี้เช่นกันและทำให้ปี 2567 เป็นปีที่เดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี นอกจากนั้นที่ประชุม ครม.สัญจร จ.พะเยา เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมฯให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวในจ.พะเยาและในพื้นที่เป็นอย่างมากด้วยความมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการพัฒนาการท่องเที่ยว  

 

 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จังหวัดพะเยา ภายในไตรมาส 4 ปี 2567 ตลอดจนให้มีการศึกษาเพื่อประกาศให้จังหวัดพะเยาเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวให้เข้าสู่จังหวัดพะเยามากขึ้น และสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ ตลอดจนพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายให้มีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

นอกจากนั้นในการอนุมัติโครงการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจำนวน 9 โครงการรวมวงเงิน 155 ล้านบาทและโครงการภาคเอกชนอีกจำนวน 4 โครงการ วงเงินรวม 145 ล้านบาท รวม 300 ล้านบาท ตามที่ กรอ.กลุ่มจังหวัดเสนอ โดยเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวหลายโครงการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ด่านแม่สาย Fashion on the Road ดีไซเนอร์อาชีวศึกษาเชียงราย

 
ค่ำวันที่ (2 ก.ย. 66) ที่บริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย-เมียนมา จุดผ่านแดนถาวร อ.แม่สาย จ.เชียงราย น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานในการเปิดการงาน เชียงรายแฟนชั่นสู่การออกแบบระดับโลกครั้งที่ 1 หรือ “Chiang Rai Fashion to The World 1st Designers Competition” โดยการจัดเดินแฟนชั่นบนถนนหน้าด่านพรมแดนหรือ Fashion on the Road โดยมี นายศรัณยู มีทองคำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สมาคมสมาพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดงานหลายภาคส่วน กิจกรรมมีการจัดให้นักออกแบบ หรือดีไซเนอร์ จากทั่วประเทศไทย จำนวน 73 ดีไซเนอร์ นำผลงานและนางแบบร่วมเดินแบบแสดงด้วยเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ถูกกำหนดให้ใช้ลวดลายผ้าจากกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และภาคเหนือ ซึ่งพบว่าดีไซเนอร์สามารถออกแบบเพื่อการประกวดและจัดแสดงครั้งนี้กว่า 92 ชุด เริ่มต้นด้วยการเดินแฟนชั่นโชว์จาก 10 กลุ่มชาติพันธุ์ คือ อาข่า ม้ง กะเหรี่ยง อิ้วเมี่ยน ไตหย่า ไทใหญ่ ยูนนาน ไทลื้อ ลั้วะ และลาหู่ ด้วยนางแบบจำนวน 20 นางแบบ จาก by YOURS Thailand จากนั้นนางแบบทั้ง 92 คน ได้ออกเดินบนถนนหน้าด่านแม่สาย ท่ามกลางความสนใจของนักท่องเที่ยวและประชาชนทั้งชาวไทยและเมียนมา ที่ต่างพากันไปชมความงดงามของชุดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ออกแบบและปรับให้มีลวดลายผ้าปักกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้อย่างงดงามและลงตัวเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เสร็จสิ้นการเดินแบบแล้วผู้คนยังขอถ่ายภาพร่วมกับนางแบบกันอย่างเนืองแน่นด้วย
 
สำหรับการประกวดชุดแฟชั่นทั้ง 92 คน พบว่าชุดราตรีชื่อ “โบตั๋น” จากการออกแบบของ น.ส.วิสา แสนสุขยิ่งนัก วิชาคหกรรม สาขาวิชาแฟชั่นและสิ่งทอ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 โดยเป็นชุดกระโปรงยาวลักษณะคล้ายชุดกี่เพ้าของจีนแต่มีลวดลายผ้าลายปักของกลุ่มชาติพันธุ์อิ้วเมี่ยนบนชุดราตรีอย่างลงตัว รางวัลที่ 2 ดีไซเนอร์มาจากกรุงเทพฯ โดยเป็นชุดราตรีธรรมชาติและภูมิปัญญา ฯลฯ ภายในบริเวณงานยังจัดให้มีร้านค้าเกี่ยวกับเสื้อผ้าแฟชั่นผ้าต่างๆ กว่า 100 ร้านค้า ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวหน้าด่านพรมแดน อำเภอแม่สาย คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
 
น.ส.ฐาปนีย์ กล่าวว่า ปัจจุบันทุกประเทศต่างพยายามส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อช่วงชิงการนำหลังวิกฤติไวรัสโควิด-19 สำหรับประเทศไทยก็พยายามหาจุดแข็งเพื่อเป็นจุดขายดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและทั่วโลกด้วยเช่นกัน ซึ่งก็พบว่าจุดแข็งหนึ่งคือซอฟเพาเวอร์เรื่องอาหาร แฟชั่น กิจกรรม faith (ศรัทธา) ฯลฯ ซึ่งภาคเหนือถือว่าส่วนหนึ่งคือมีลวดลายผ้าปักจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง ดังนั้นทาง ททท.จึงได้สนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ขึ้นเพื่อให้เกิดการต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวตลอดทั้งปี หรือ All year รวมทั้งยังส่งเสริมให้เกิดรายได้ไปสู่ชุมชนได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
 
ทางด้าน นางนงเยาว์ เนตรประสิทธ์ นายกสมาคมสมาพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย กล่าวว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรวมกันกว่า 35 ชาติพันธุ์ ได้มีการออกแบบลวดลายผ้าปักด้วยเทคนิค ลวดลายและสีสันแตกต่างกันซึ่งล้วนมีความวิจิตรงดงาม ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการจัด “Fashion on the Road” เป็นครั้งแรก และคาดหวังจะให้การออกแบบชุดแต่งกายพร้อมลวดลายพัฒนาไปสู่ระดับประเทศและระดับนานาชาติ ซึ่งนอกจากด้านการท่องเที่ยวแล้วยังจะสร้างรายได้ให้คนทุกระดับตั้งแต่กลุ่มชาติพันธุ์ที่ออกแบบลวดลายผ้าปัก ผู้เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และผู้จัดจำหน่ายในแต่ละขั้น หรือตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อีกด้วย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นายกฯ ยินดีนักท่องเที่ยวจีน มาไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง

นายกฯ ยินดีนักท่องเที่ยวจีน มาไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง

Facebook
Twitter
Email
Print

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยินดียอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากถึง 1,003,893 คน (1 มกราคม – 18 พฤษภาคม 2566) และมียอดเที่ยวบินเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 98 สะท้อนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีต่อประเทศไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัย พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เดินหน้าจัดกิจกรรม Trusted Thailand, You Taiguo Yue Wan Yue Kaixin หรือ เที่ยวเมืองไทยยิ่งไปยิ่งสนุก โดยเชิญชาวจีนผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิด (Key Opinion Leaders: KOLs) จำนวน 60 คน สื่อมวลชน สายการบิน และพันธมิตร เข้าร่วม เพื่อนำเสนอข้อมูลการบริการ การอำนวยความสะดวก ตลอดจนมาตรการในการดูแลรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวผ่านรูปแบบรถโมบายล์ ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 1155 และแอปพลิเคชัน Police I lert u ซึ่งรองรับหลายภาษา เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถขอความช่วยเหลือจากตำรวจได้ ทั้งนี้ ททท. คาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยปี 2566 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5 ล้านคน และสร้างรายได้ 446,000 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากรายงานของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ระบุว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – เมษายน 2566 มีเที่ยวบินระหว่างไทย – จีน รวมทั้งหมด 12,805 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ร้อยละ 98 ซึ่งจากการที่ทางการจีนมีนโยบายเปิดประเทศตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 ทำให้สายการบินจากจีนต้องการเปิดทำการบินและเพิ่มความถี่ในการบินมากขึ้น โดย บวท. คาดการณ์ว่า ในปีงบประมาณ 2566 (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – กันยายน 2566) จะมีเที่ยวบินจากจีนรวมกว่า 46,175 เที่ยวบิน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการบิน และส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ 

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จจากการร่วมมือกันทุกภาคส่วนที่ทำให้ ไทยคงได้รับความเชื่อมั่นและเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมทั้งขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่บูรณาการการทำงานร่วมกันตามแนวนโยบายของรัฐบาล สนับสนุนการฟื้นตัวอย่างสมดุลของภาคการท่องเที่ยว และภาคส่วนที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทำให้อยากกลับมาท่องเที่ยวยังประเทศไทยอีก ในครั้งต่อไป” นายอนุชาฯ กล่าว

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE