Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

ส่อง “เวียงแก่นโมเดล” เพาะเห็ดฟางจากซังข้าวโพด นวัตกรรมลดเผา-ลดหมอกควันข้ามแดนที่ยั่งยืน

เปลี่ยนเศษวัสดุเป็นรายได้ “เวียงแก่นโมเดล” เพาะเห็ดฟางจากซังข้าวโพด ทางรอดใหม่ลดเผา–ลดหมอกควันข้ามแดน

เชียงราย, 25 ธันวาคม 2568 – ทุกฤดูแล้งของภาคเหนือ ภาพควันไฟที่ลอยคลุ้งเหนือภูเขาและไร่นาในหลายจังหวัดมักหวนกลับมาเป็นวาระแห่งชาติอยู่เสมอ การเผาฟางข้าว เปลือกข้าวโพด และซังข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยว แม้จะเป็นวิธีจัดการเศษวัสดุที่คุ้นชินของเกษตรกร แต่กลับกลายเป็นต้นทางสำคัญของปัญหาฝุ่น PM 2.5 และหมอกควันข้ามแดนที่กระทบต่อทั้งสุขภาพประชาชนและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

ท่ามกลางโจทย์ใหญ่ที่ยืดเยื้อมานาน อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและชายแดนที่ต้องเผชิญกับปัญหาหมอกควันอย่างต่อเนื่อง กำลังทดลอง “คำตอบใหม่” ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากห้องประชุม แต่เริ่มต้นจาก “กองซังข้าวโพด” ที่เคยถูกเผาทิ้ง

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ภายใต้โครงการ “พัฒนาความร่วมมือเมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา เพื่อขับเคลื่อนการจัดการและลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน” ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ร่วมกับทีมพัฒนาชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอเวียงแก่น จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ “การเพาะเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองจากเปลือกข้าวโพดและซังข้าวโพด เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ชุมชนลดการเผา”

เป้าหมายไม่ใช่เพียงให้เกษตรกร “เรียนรู้วิธีเพาะเห็ด” แต่คือการสร้างโมเดลจัดการวัสดุเหลือใช้ที่เป็นรูปธรรม เห็นรายได้จริง จนกลายเป็นแรงจูงใจให้ชุมชน “เลิกเผาอย่างสมัครใจ”

จากเวียงแก่นสู่บ้านป่าจั่น เรียนรู้จากชุมชนต้นแบบที่เปลี่ยนซังข้าวโพดเป็นเห็ดเศรษฐกิจ

การอบรมครั้งนี้นำผู้นำชุมชน เกษตรกร เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอำเภอเวียงแก่น จำนวน 30 คน เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ บ้านป่าจั่น หมู่ 7 ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ชุมชนต้นแบบที่พิสูจน์แล้วว่า “เปลือกและซังข้าวโพด” สามารถกลายเป็นฐานรายได้ใหม่ได้จริง

กิจกรรมจัดขึ้นในรูปแบบ “เรียนรู้จากของจริง” โดยมี

  • คุณวิลาวรรณ น้อยภา หัวหน้าโครงการฯ มอบหมายให้
  • คุณศุภาพิชญ์ สงคำ ผู้ประสานงานโครงการ พร้อมด้วยคณะวิจัย ร่วมออกแบบกระบวนการเรียนรู้
    และได้รับเกียรติจาก
  • คุณวรากร วังฐาน รองนายกเทศบาลตำบลเวียงกาหลง ให้การต้อนรับ
  • คุณสันต์ณรงค์ วีระชาติ ผู้ใหญ่บ้านป่าจั่น เป็นวิทยากรถ่ายทอดประสบการณ์การเพาะเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองจากเปลือกและซังข้าวโพดที่ปฏิบัติจริงในชุมชน

บ้านป่าจั่นเคยเผชิญโจทย์ไม่ต่างจากเวียงแก่น คือมีเศษวัสดุทางการเกษตรจำนวนมาก โดยเฉพาะฟางข้าว เปลือกข้าวโพด และซังข้าวโพดที่ถูกเผาทิ้งเป็นประจำทุกปี การเปลี่ยนวิธีคิดจาก “ของเหลือทิ้ง” ให้เป็น “วัตถุดิบเพาะเห็ด” จึงไม่ใช่เพียงการทดลองเชิงเทคนิค แต่เป็นการทดลอง “เปลี่ยนวิถี” ของทั้งชุมชน

จากการถ่ายทอดของผู้ใหญ่บ้านป่าจั่น เกษตรกรในพื้นที่ใช้เปลือกและซังข้าวโพดมาผ่านกระบวนการหมักและปรับสภาพให้เป็นวัสดุเพาะเห็ด ทั้งเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญอง เมื่อเก็บผลผลิตแล้ว วัสดุที่เหลือหรือ “กากเห็ด” ยังสามารถนำไปเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือวัสดุปรับปรุงดินในแปลงเกษตร ช่วยลดต้นทุนปุ๋ยเคมีและปิดวงจรการใช้ทรัพยากรอย่างครบถ้วน

ผลลัพธ์ที่จับต้องได้คือ เกษตรกรมีรายได้เสริมหมุนเวียนจากการขายเห็ด ขณะเดียวกัน พื้นที่เผาในที่โล่งก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือ “รูปธรรม” ที่เวียงแก่นตั้งใจจะนำกลับไปขยายผลในพื้นที่ของตนเอง

ฟางข้าว–ซังข้าวโพด จากต้นเหตุหมอกควัน สู่วัตถุดิบสร้างมูลค่า

ข้อมูลจากการดำเนินโครงการระบุว่า ฟางข้าว เปลือกข้าวโพด และซังข้าวโพด เป็นเศษวัสดุที่มีปริมาณมหาศาลในอำเภอเวียงแก่น และ “ขาดรูปแบบการจัดการที่เหมาะสม” มายาวนาน เกษตรกรจำนวนมากจึงเลือกใช้วิธีเผาทิ้งในช่วงเตรียมแปลงเพาะปลูก สร้างทั้งจุดความร้อน (Hotspot) และฝุ่น PM 2.5 ที่ลอยสะสมในบรรยากาศ

โครงการของ TEI เลือกมองวัสดุเหล่านี้ผ่านมุมมองใหม่ โดยเน้นแนวคิด 3 มิติหลัก

  1. หมุนวนทรัพยากร (Circular Resource Use)
    แทนที่จะปล่อยให้ฟางและซังข้าวโพดกลายเป็นภาระของสิ่งแวดล้อม โครงการชี้ให้เห็นว่าทุกกองซังข้าวโพดสามารถแปลงร่างเป็นโรงเรือนเพาะเห็ดได้ หากมีการจัดการที่เหมาะสม เกษตรกรจะได้วัตถุดิบเพาะเห็ดที่หาได้ในพื้นที่ตนเองโดยไม่ต้องซื้อจากภายนอก
  2. สร้างรายได้เสริมอย่างเป็นรูปธรรม
    เห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองเป็นสินค้าที่ตลาดต้องการสม่ำเสมอ ราคาจำหน่ายต่อกิโลกรัมสูงกว่าเมล็ดข้าวโพดหรือฟางแห้งหลายเท่า และมีรอบการเก็บเกี่ยวสั้น เมื่อเกษตรกรเห็นตัวเลขกำไรที่เกิดขึ้นจริงจากการเพาะเห็ด ก็มีแรงจูงใจชัดเจนที่จะหันหลังให้การเผา
  3. คืนอินทรียวัตถุสู่ผืนดิน
    หลังเก็บเห็ดแล้ว กากเห็ดที่เหลือไม่ได้ถูกทิ้งเป็นขยะ หากแต่นำกลับไปใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือวัสดุปรับปรุงดินในไร่นา ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดินและลดต้นทุนปุ๋ยเคมีในระยะยาว

คุณศุภาพิชญ์ สงคำ ผู้ประสานงานโครงการ ระบุในเวทีอบรมว่า การสร้างรูปธรรมที่ “เห็นกำไรจริง” เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนพฤติกรรมการเผา หากเกษตรกรสามารถเปลี่ยนกองซังข้าวโพดให้กลายเป็นรายได้ในครัวเรือน เขาย่อมมีเหตุผลเพียงพอที่จะหยุดจุดไฟด้วยตัวเอง

เมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา เชื่อมโมเดลเวียงแก่นสู่การแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน

กิจกรรมในเวียงแก่นไม่ใช่โครงการเดี่ยว หากเป็นส่วนหนึ่งของกรอบความร่วมมือ “เมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา” ที่มุ่งหวังลดมลพิษหมอกควันข้ามแดนอย่างเป็นระบบ ภายใต้การสนับสนุนด้านวิชาการและงบประมาณจาก สวก. และ วช.

โจทย์สำคัญของกรอบความร่วมมือนี้คือ การหาวิธีจัดการเชื้อเพลิงทางการเกษตรที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีทั้งไร่ข้าวโพดขนาดใหญ่ พื้นที่สูง และชุมชนชาติพันธุ์หลากหลาย การออกแบบโมเดลที่ใช้วัสดุในชุมชน สร้างรายได้จริง และสามารถถ่ายทอดได้โดยไม่ซับซ้อน จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญ หากต้องการให้ประเทศเพื่อนบ้านนำไปปรับใช้ร่วมกันในระยะยาว

เวียงแก่นซึ่งมีพรมแดนติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จึงถูกมองว่าเป็น “พื้นที่ทดลองเชิงยุทธศาสตร์” เพราะหากโมเดลเพาะเห็ดจากซังข้าวโพดประสบความสำเร็จและขยายครอบคลุมทั้งอำเภอภายในปี 2569 ตามเป้าหมายที่ผู้นำชุมชนตั้งไว้ ก็จะสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนฝั่งลาวและเมียนมาที่เผชิญปัญหาคล้ายกันได้โดยตรง

 

ประโยชน์รอบด้านของ “เห็ดเวียงแก่นโมเดล”

จากการสังเคราะห์ข้อมูลของโครงการ สามารถสรุปประโยชน์ของโมเดลเพาะเห็ดจากซังข้าวโพดใน 4 มิติหลัก ดังนี้

  1. มิติสิ่งแวดล้อม
    การนำฟางข้าวและซังข้าวโพดมาใช้เพาะเห็ดแทนการเผา ช่วยลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) และปริมาณฝุ่น PM 2.5 จากการเผาในที่โล่ง ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาหมอกควันในลุ่มน้ำโขงตอนบน แม้จะยังไม่มีตัวเลขเชิงสถิติหลังดำเนินการเต็มรูปแบบ แต่แนวโน้มการลดพื้นที่เผาจะชัดเจนขึ้นเมื่อชุมชนหันมาใช้วัสดุเหล่านี้ในโรงเรือนเพาะเห็ดอย่างแพร่หลาย
  2. มิติเศรษฐกิจครัวเรือน
    การเพาะเห็ดฟางและเห็ดแชมปิญองเปิดโอกาสให้เกษตรกรมีรายได้เสริมที่หมุนเวียนรวดเร็ว ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรเพียงชนิดเดียว ขณะเดียวกัน ครัวเรือนยังลดค่าใช้จ่ายด้านอาหาร เพราะสามารถบริโภคเห็ดที่เพาะเองได้โดยไม่ต้องซื้อจากตลาด
  3. มิติการเกษตรและคุณภาพดิน
    กากเห็ดหลังการเพาะถือเป็นอินทรียวัตถุคุณภาพดี เมื่อนำกลับไปปรับปรุงดินในแปลงเกษตร จะช่วยเพิ่มธาตุอาหารและโครงสร้างดินให้ร่วนซุยขึ้น เกษตรกรสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารปรับปรุงดินจากภายนอก ซึ่งไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังลดความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการสัมผัสสารเคมีโดยตรง
  4. มิติสังคมและการพัฒนาศักยภาพผู้นำ
    การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้เน้นการสร้าง “ผู้นำชุมชนที่มีความรู้” หรือ Smart Leader ให้มีทักษะทั้งด้านเทคนิคการเพาะเห็ดและความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม ผู้นำเหล่านี้จะกลับไปเป็นฟันเฟืองสำคัญในการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชนของตนเอง ผ่านกิจกรรมฝึกอบรมย่อยหรือโครงการนำร่องในแต่ละหมู่บ้าน

ก้าวต่อไปของเวียงแก่น เป้าหมาย “เกษตรปลอดการเผา” ภายในปี 2569

หลังการศึกษาดูงานที่บ้านป่าจั่น ผู้นำชุมชน ตัวแทนท้องถิ่น และผู้บริหารโครงการมีความเห็นร่วมกันว่า เวียงแก่นจำเป็นต้อง “ยกระดับ” การเรียนรู้ครั้งนี้ให้เข้าสู่กระบวนการวางแผนพัฒนาท้องถิ่นอย่างเป็นทางการ

ทิศทางต่อไปของเวียงแก่นจึงประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก

  1. บรรจุโมเดลเพาะเห็ดลงในแผนงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
    องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลในพื้นที่จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโรงเรือนต้นแบบ อุปกรณ์เพาะเห็ด และการอบรมต่อเนื่อง เพื่อให้ครัวเรือนสนใจสามารถเข้าร่วมได้จริง ไม่เป็นเพียง “ความรู้บนกระดาษ”
  2. ขยายผลให้ครอบคลุมทุกตำบลในอำเภอเวียงแก่น
    จากกลุ่มนำร่อง 30 คนในครั้งแรก แผนงานระยะกลางมุ่งหวังให้มีครัวเรือนเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนครอบคลุมทุกตำบลภายในปี 2569 ซึ่งจะทำให้เวียงแก่นเข้าใกล้เป้าหมาย “อำเภอเกษตรปลอดการเผา” อย่างเป็นรูปธรรม
  3. เชื่อมโยงเครือข่ายกับชุมชนรอบนอกและประเทศเพื่อนบ้าน
    เมื่อเวียงแก่นมีตัวอย่างความสำเร็จมากพอ โครงการเมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา สามารถใช้เวียงแก่นเป็น “ฐานเรียนรู้” ให้ชุมชนจากฝั่งลาวและเมียนมาเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อลดการเผาในระดับลุ่มน้ำและภูมิภาคต่อไป

เห็ดฟางหนึ่งดอก… จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ

กรณีศึกษา “เพาะเห็ดฟางจากซังข้าวโพดที่เวียงแก่น” ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าที่หยั่งรากลึกในโครงสร้างเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน ไม่อาจแก้ได้ด้วยคำขอร้องหรือมาตรการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว

เมื่อเกษตรกรถูกขอให้ “หยุดเผา” แต่ยังไม่มีทางเลือกอื่นในการจัดการเศษวัสดุและสร้างรายได้ การเผาย่อมกลับมาในทุกฤดู แต่เมื่อการเผาถูกแทนที่ด้วยกิจกรรมที่สร้างรายได้จริง เพิ่มคุณภาพดิน และลดต้นทุนในระยะยาว เช่น การเพาะเห็ดจากซังข้าวโพด พฤติกรรมการเผาก็เริ่มมี “คู่แข่งที่น่าสนใจกว่า” ขึ้นมาทันที

โมเดลเวียงแก่นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ทิศทางที่เห็นชัดคือ การแก้ปัญหาหมอกควันต้องเดินคู่กันทั้ง มิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ครัวเรือน และการเสริมพลังผู้นำชุมชน หากทุกภาคส่วนยังคงจับมือกันแน่นเช่นที่เกิดขึ้นในเวทีวันที่ 23 ธันวาคม 2568 วันหนึ่งในอนาคต “กองซังข้าวโพดที่ลุกเป็นไฟ” อาจถูกจดจำในฐานะภาพอดีต ขณะที่ “โรงเรือนเห็ดฟางในเวียงแก่น” กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรปลอดการเผาที่จับต้องได้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)
  • โครงการพัฒนาความร่วมมือเมืองคู่ขนาน ไทย–ลาว–เมียนมา เพื่อขับเคลื่อนการจัดการและลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน
  • สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) – สวก.
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • เทศบาลตำบลเวียงกาหลง และชุมชนบ้านป่าจั่น ตำบลเวียงกาหลง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
  • ทีมพัฒนาชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นวัตกรรม NbS และพลังศิลปะ ทางรอดใหม่ของเชียงรายท่ามกลางปัญหาน้ำท่วมและ PM2.5 ปี 2568

ส่องความร่วมมือ IKI-RECOFTC ปั้นเชียงรายต้นแบบเมืองยืดหยุ่นด้วยธรรมชาติและงานศิลป์

เชียงราย, 20 ธันวาคม 2568 –เดือนธันวาคมที่ลมหนาวพัดผ่านตัวเมืองเชียงราย เสียงฝีเท้าผู้คนหลั่งไหลเข้าสู่ Central Art Gallery ชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ไม่ใช่เพียงเพื่อชมงานศิลปะทั่วไป แต่คือการมองหาคำตอบว่า “เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้จะอยู่รอดอย่างไรท่ามกลางภัยโลกรวน” ในนิทรรศการที่มีชื่อยาวแต่คมชัดว่า
“Urban Resilience Art Exhibition ธรรมชาติ นิเวศ วิถี ผู้คน เมืองเชียงราย”

นิทรรศการศิลปะเชิงสังคมครั้งนี้จัดแสดงระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม 2568 ถึง 6 มกราคม 2569 เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี และถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าพื้นที่จัดแสดงภาพวาดหรือผลงานศิลป์ หากแต่เป็น “ห้องทดลองทางความคิด” ของทั้งศิลปิน นักวิชาการ ภาคประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่น ที่ต้องการหาทางออกให้เมืองเชียงรายท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและถี่ขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ศิลปะในห้างสรรพสินค้า ด่านหน้าใหม่ของการสื่อสารเรื่องภัยสภาพภูมิอากาศ

นิทรรศการ Urban Resilience Art Exhibition เกิดจากความร่วมมือของ รีคอฟ ประเทศไทย (RECOFTC Thailand) ภายใต้โครงการ Urban Resilience Building and Nature (URBAN) ร่วมกับกลุ่มศิลปินขัวศิลปะ เครือข่ายศิลปินเชียงราย และองค์กรภาคีในจังหวัด โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก แผนงานป้องกันสภาพภูมิอากาศระดับสากล (International Climate Initiative: IKI) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

ท่ามกลางโถงกว้างของห้างสรรพสินค้า ผลงานศิลปะกว่า 50 ชิ้น จากศิลปินเชียงรายมากกว่า 30 คน รวมถึงผลงานของศิลปินแห่งชาติ ถูกจัดวางอย่างประณีต ทั้งภาพวาด จิตรกรรม ประติมากรรม และงานศิลปะจัดวาง (installation) ที่เล่าเรื่องเดียวกันในหลากหลายมุมมอง – เรื่องของสายน้ำ ป่าเขา ความหลากหลายทางชีวภาพ และชีวิตผู้คนที่พึ่งพาธรรมชาติ

ศิลปะแต่ละชิ้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงความงามของภูมิทัศน์เมืองเหนือ หากยังสะท้อน “รอยแผล” จากน้ำท่วมใหญ่ ไฟป่า หมอกควัน PM2.5 และเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เชียงรายเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพของถนนสายหลักที่กลายเป็นทางน้ำ ภาพโครงสร้างพื้นฐานที่เบียดบังพื้นที่ชุ่มน้ำ และเงาร่างของคนตัวเล็ก ๆ ที่ต้องรับภาระจากการพัฒนาที่ละเลยต้นทุนทางธรรมชาติ ถูกเล่าออกมาด้วยภาษาศิลปะที่ตรงไปตรงมาแต่ทรงพลัง

นิทรรศการจึงทำหน้าที่เป็น “สื่อกลาง” ระหว่างวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมกับความรู้สึกของผู้คน – ทำให้คำที่ดูไกลตัวอย่าง “การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (adaptation)” หรือ “แนวทางแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solutions: NbS)” กลายเป็นสิ่งที่มองเห็นและเข้าใจได้ผ่านภาพ สี และเรื่องเล่า

URBAN ใช้ต้นทุนธรรมชาติกู้เมืองเชียงราย

เบื้องหลังนิทรรศการนี้ คือโครงการ เสริมสร้างขีดความสามารถเมืองและธรรมชาติในการตั้งรับปรับตัวต่อผลกระทบจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ” หรือ URBAN ที่ดำเนินงานในตัวเมืองเชียงรายตั้งแต่ปี 2567 โดยร่วมกับภาคีหลายฝ่ายศึกษาข้อมูลพื้นที่สีเขียว พื้นที่ชุ่มน้ำ แม่น้ำ และพื้นที่สาธารณะที่ยังเหลืออยู่ในเมือง

ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ URBAN รวบรวม – ตั้งแต่แนวลำน้ำสาขาของแม่น้ำกก แหล่งน้ำประจำชุมชน พื้นที่ชุ่มน้ำขนาดเล็ก ไปจนถึงสวนสาธารณะและเกาะกลางถนน – ถูกใช้เป็นฐานในการออกแบบ แนวทาง NbS เพื่อทำให้เมืองมี “ความยืดหยุ่น” (resilience) ต่อภัยพิบัติ เช่น การใช้แนวต้นไม้ริมลำน้ำช่วยชะลอน้ำหลาก การอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแก้มลิงธรรมชาติ หรือการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชนเพื่อลดอุณหภูมิในเมือง

นิทรรศการจึงไม่ใช่เพียงการประชาสัมพันธ์โครงการ แต่เป็นการชวนชุมชนเมืองเชียงรายมามีส่วนร่วม “ตีความเมืองของตนเองใหม่” เห็นคุณค่าของต้นทุนทางธรรมชาติที่ยังเหลืออยู่ และคิดร่วมกันว่าจะใช้มันอย่างไรให้เมืองอยู่รอดในยุคโลกร้อน

ในวันเปิดนิทรรศการ ยังมีวงเสวนา เมืองในธรรมชาติ ธรรมชาติในเมือง” ที่นำโดยตัวแทนจากชุมชนดอยพระบาท นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศอย่าง IUCN ตัวแทนจากมูลนิธิมดชนะภัย รวมถึงผู้แทนเทศบาลนครเชียงราย มาร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติด้วย NbS โดยมีรีคอฟ ประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินรายการ

หนึ่งในสารสำคัญจากวงเสวนา คือการย้ำว่าการสร้างเมืองที่ทนทานต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ไม่สามารถทำได้ด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องผสาน วิทยาศาสตร์–สังคมวัฒนธรรม–การพัฒนาเมือง–และการสื่อสาร เข้าด้วยกัน และเปิดพื้นที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วมตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการลงมือทำ

เสียงจากศิลปินและผู้นำท้องถิ่น เมื่อศิลปะไม่ใช่แค่ “ภาพสวย” แต่คือคำประกาศเจตจำนงของเมือง

บรรยากาศในห้องแสดงงานเงียบสงบแต่เต็มไปด้วยการสนทนา หลายคนยืนนิ่งอยู่หน้าภาพวาดหมู่บ้านริมแม่น้ำที่กำลังเผชิญน้ำท่วม บ้างหยุดดูประติมากรรมที่ใช้เศษวัสดุจากเมืองมาจัดวางให้กลายเป็นภูเขาที่ถูกตัดหัว ทั้งหมดนี้สะท้อนมุมมองของศิลปินต่อเมืองที่ตนรัก

นายสุวิทย์ ใจป้อม ที่ปรึกษาสมาคมขัวศิลปะและหนึ่งในศิลปินที่ร่วมจัดแสดงผลงาน อธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาที่เชียงรายเผชิญไม่ใช่เพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม

“มันเกี่ยวข้องกับปากท้อง สุขภาพ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคงของชุมชนทั้งหมด นิทรรศการนี้จึงไม่ใช่แค่การโชว์ศิลปะ แต่คือการประกาศเจตจำนงร่วมกันของศิลปินเชียงรายว่า เราจะลุกขึ้นมาพูด ลุกขึ้นมาทำ และชวนชุมชนให้ลุกขึ้นมาร่วมกัน เพราะเชียงรายคือบ้านของเรา และธรรมชาติไม่ใช่ของที่มีไว้ใช้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่เราต้องดูแลและส่งต่อให้ดีกว่าเดิม”

คำกล่าวของเขาชี้ให้เห็นว่าศิลปินไม่ได้มองตนเองเป็นเพียงผู้สร้างผลงาน แต่เป็น “ผู้ส่งสัญญาณเตือนภัย” ต่อสังคม ผ่านภาษาที่เข้าถึงอารมณ์ของผู้ชมโดยตรง

ด้าน นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย มองบทบาทของศิลปะในมิติของการสร้างการมีส่วนร่วมและผู้นำรุ่นใหม่

“ผมมั่นใจว่าศิลปะจากพี่น้องศิลปินเชียงรายจะช่วยจูงใจคน ทำให้เกิดปราชญ์ชาวบ้านและเยาวชนรุ่นใหม่ที่รักธรรมชาติ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และคิดวางแผนจัดการปัญหาได้สอดคล้องกับตัวตนของเชียงราย เมืองของเราจำเป็นต้องปรับตัวให้เป็นเมืองน่าอยู่ในสภาวะโลกที่กำลังเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว”

มุมมองดังกล่าวสะท้อนว่าท้องถิ่นไม่ได้มองศิลปะเป็นเพียงงานวัฒนธรรมที่อยู่ปลายทาง หากแต่เป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารจัดการเมืองและสร้าง “จิตสำนึกสาธารณะ” ให้กับคนในชุมชน

เมืองเปลี่ยน ธรรมชาติเปลี่ยน แต่โอกาสในการปรับตัวก็เปลี่ยนเช่นกัน

ตัวแทนจากโครงการ URBAN อย่าง ภัคเกษม ธงชัย เจ้าหน้าที่แผนงานด้านน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำ (ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเวทีเสวนา) ชี้ให้เห็นความคาดหวังระยะยาวว่า แม้โครงการจะมีกำหนดสิ้นสุดในปี 2571 แต่สิ่งที่หวังคือ “ต้นทุนทางความรู้และต้นทุนทางสังคม” ที่จะถูกส่งต่อให้เมืองขับเคลื่อนได้เอง

สารที่ถูกย้ำในเวที คือ

  • วิทยาศาสตร์สามารถช่วยให้เรารู้ว่าเมืองกำลังเผชิญอะไร และมีความเสี่ยงอย่างไร
  • ศิลปะและการสื่อสารหลากรูปแบบช่วยให้ผู้คน “รู้สึก” กับปัญหา และพร้อมลุกขึ้นมาร่วมมือ
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเทศบาลนครเชียงราย มีบทบาทสำคัญในการประสานการทำงานของทุกภาคส่วน ให้เห็นเป้าหมายเดียวกันเรื่องการลดความเสี่ยงภัยพิบัติและอนุรักษ์ธรรมชาติในเมือง

เมื่อผนวกกับการสนับสนุนจากองค์กรภายนอก ทั้ง IUCN, ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง, ศูนย์เตรียมความพร้อมภัยพิบัติแห่งเอเชีย, สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, กรมทรัพยากรน้ำ และหน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติระดับจังหวัด ภาพของ “ห้องทดลองเชียงราย” จึงเริ่มชัดขึ้นว่า เมืองนี้กำลังใช้ทั้ง องค์ความรู้–ศิลปะ–และพลังชุมชน เพื่อออกแบบเส้นทางสู่ความยั่งยืนของตนเอง

นิทรรศการที่ไม่จบลงแค่วันที่ปิดงาน

แม้นิทรรศการ Urban Resilience Art Exhibition จะมีกำหนดปิดในวันที่ 6 มกราคม 2569 แต่โจทย์สำคัญที่งานพยายามตั้งคำถามต่อผู้เข้าชม คือ “หลังจากเดินออกจากห้องจัดแสดงแล้ว เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อลดความเปราะบางของเมืองและเพิ่มความยืดหยุ่นให้เชียงราย”

การเลือกจัดงานในศูนย์การค้าใจกลางเมือง ทำให้กลุ่มเป้าหมายไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะคนรักศิลปะหรือผู้สนใจสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่เปิดกว้างถึงครอบครัว คนทำงาน และเยาวชนที่มาเดินห้างในวันหยุด เมื่อนิทรรศการตั้งอยู่ในเส้นทางการสัญจรประจำวัน ภาพของสายน้ำ ป่าเขา และเมืองที่กำลังเปลี่ยนไปจึงแทรกซึมสู่สายตาผู้คนโดยไม่ต้อง “ตั้งใจมาหา”

ในมุมเศรษฐกิจ นิทรรศการอาจไม่ได้สร้างเม็ดเงินโดยตรงมากเท่ากับงานเทศกาลขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่า คือการสร้าง “ทุนทางสังคมและทุนทางความคิด” ให้คนเชียงรายมองเห็นว่า เมืองที่น่าอยู่ในยุคโลกรวนต้องเริ่มต้นจากการเคารพต้นทุนทางธรรมชาติที่มีอยู่ และพร้อมร่วมมือกันดูแลให้ยั่งยืน

ในระดับนโยบาย ผลของการศึกษาและบทเรียนจากโครงการ URBAN ที่ผนวกเข้ากับการรับฟังเสียงชุมชนผ่านกระบวนการศิลปะ อาจกลายเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการวางผังเมือง การจัดการพื้นที่สีเขียว การอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ และการเตรียมความพร้อมด้านภัยพิบัติของเชียงรายในอนาคต

นิทรรศการจึงไม่ใช่จุดจบของโครงการ หากแต่เป็น “จุดเชื่อมต่อ” ระหว่างงานวิจัยเชิงเทคนิคกับชีวิตจริงของผู้คน และเป็นเวทีประกาศว่า เมืองเชียงรายพร้อมจะก้าวสู่การเป็นเมืองที่ “ธรรมชาติอยู่ได้ เมืองอยู่รอด คนอยู่ดี” ด้วยพลังของทั้งศิลปะและความรู้ทางวิทยาศาสตร์

ศิลปะกู้เมืองในยุคโลกรวน

เมื่อโลกเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เมืองต่าง ๆ ทั่วโลกต่างเร่งเตรียมความพร้อมด้วยเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และแผนบริหารจัดการความเสี่ยง แต่กรณีของเชียงรายแสดงให้เห็นว่า “ศิลปะและวัฒนธรรม” ก็สามารถเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของความยืดหยุ่นเมืองได้เช่นกัน

Urban Resilience Art Exhibition ไม่ได้ให้คำตอบสำเร็จรูปว่าเชียงรายควรเดินไปทางไหน หากแต่ตั้งคำถามชัดเจนว่า หากเราไม่เริ่มลงมือวันนี้ เมืองที่เรารักอาจกลายเป็นพื้นที่เปราะบางยิ่งขึ้นในอนาคต การรวมพลังของศิลปิน ภาคีเครือข่าย นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน ผ่านนิทรรศการในห้างใจกลางเมือง จึงเป็นสัญญาณว่าเชียงรายเลือก “หันหน้าเข้าหากัน” เพื่อออกแบบอนาคตร่วมกัน มากกว่าจะยอมปล่อยให้ภัยพิบัติและการพัฒนาที่ไม่คำนึงถึงธรรมชาติเป็นผู้กำหนดทิศทาง

สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยเดินเข้าไปใน Central Art Gallery ชั้น G เซ็นทรัล เชียงราย นิทรรศการที่เปิดให้ชมฟรีจนถึงวันที่ 6 มกราคม 2569 อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในการตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราจะมีส่วนอย่างไรในการทำให้เมืองและธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน” และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งกว่าผลงานศิลปะชิ้นใดในห้องจัดแสดงก็เป็นได้

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN), กรมทรัพยากรน้ำ, ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง, ศูนย์เตรียมความพร้อมภัยพิบัติแห่งเอเชีย, สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย, สมาคมขัวศิลปะ, พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย, กลุ่มศิลปินสายน้ำกก และมูลนิธิมดชนะภัย
  • Central Art Gallery ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สรุป 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วงปี 2569 เทรนด์ดิจิทัลและ ESG มาแรง พร้อมโมเดลยั่งยืนที่เชียงราย

ส่องธุรกิจ “ดาวรุ่ง” และ “ดาวร่วง” ประจำปี 2569 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยระบุว่า เทรนด์ธุรกิจที่มาแรงจะสอดคล้องกับพฤติกรรมดิจิทัล การดูแลสุขภาพ และความรับผิดชอบต่อโลก

เชียงราย, 19 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากวิกฤตภูมิอากาศ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่รุนแรงมากขึ้น ภาคธุรกิจไทยกำลังก้าวเข้าสู่ปี 2569 พร้อมโจทย์ใหญ่ข้อเดียวกันคือ “จะเติบโตบนเส้นทางที่ยั่งยืนได้อย่างไร” คำตอบของโจทย์นี้ไม่เพียงสะท้อนผ่านรายชื่อ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง–ดาวร่วง จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเท่านั้น หากยังเชื่อมโยงไปถึงกรอบความยั่งยืนระดับโลกอย่าง SDGs และ ESG ตลอดจนการเคลื่อนไหวเชิงนโยบายใหม่ ๆ ในพื้นที่นำร่องอย่างจังหวัดเชียงราย ภายใต้โครงการ SDG Localisation Phase II ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรปและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)

บทความข่าวเชิงลึกชิ้นนี้จึงชวนผู้อ่านมอง “ภาพรวมใหญ่ของโลก” ควบคู่กับ “ภาพย่อยในพื้นที่เชียงราย” เพื่อทำความเข้าใจว่า เหตุใดแนวคิดด้านความยั่งยืนจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปสำหรับผู้ประกอบการคนตัวเล็ก ผู้กำหนดนโยบาย และประชาชนทั่วไป

ดาวรุ่ง–ดาวร่วงปี 2569 สัญญาณเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว–ดิจิทัล

ผลสำรวจของสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุชัดว่า เทรนด์ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในปี 2569 ล้วนโยงกับสามคำสำคัญคือ Digital – Health – ESG โดยการจัดอันดับ 10 ธุรกิจดาวรุ่งและดาวร่วงใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ตั้งแต่ผลสำรวจผู้ประกอบการรายสาขา สถานการณ์เศรษฐกิจไทย–ต่างประเทศ ไปจนถึงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมและข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ

กลุ่มธุรกิจดาวรุ่ง 5 อันดับแรก สะท้อนค่านิยมของสังคมไทยยุคใหม่อย่างชัดเจน

  1. เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล – บริการ Cloud Service แพลตฟอร์ม Social Media และ Online Entertainment ที่รองรับทั้งเศรษฐกิจคอนเทนต์และเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม
  2. อาชีพดิจิทัลและนายหน้าออนไลน์ – Content Creator ยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสาร และนายหน้าออนไลน์ขายสินค้า สะท้อนอิทธิพลของเศรษฐกิจฐานผู้ติดตาม (Follower Economy)
  3. E-commerce และธุรกิจความเชื่อ – ร้านค้าออนไลน์ควบคู่กับบริการสายมู หมอดู และฮวงจุ้ย ที่ใช้ช่องทางดิจิทัลสร้างมูลค่าเพิ่มจากความเชื่อส่วนบุคคล
  4. การแพทย์ ความงาม และเทคโนโลยีการเงินเร่งด่วน – ธุรกิจการแพทย์และความงาม ธุรกิจ AI รวมถึงโรงรับจำนำและเงินด่วน ที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพร่างกายและความต้องการสภาพคล่องทางการเงิน
  5. โลจิสติกส์และไลฟ์สไตล์รายวัน – ธุรกิจ Delivery คลังสินค้า Street Food และธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ซึ่งเติบโตตามพฤติกรรมผู้บริโภคเมืองและครอบครัวเดี่ยว

ในลำดับถัดมา ยังมีธุรกิจพลังงานทดแทน อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ สถานีชาร์จรถไฟฟ้า Fintech ธุรกิจประกันภัย ไปจนถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และกีฬา ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับแนวโน้มการใช้พลังงานสะอาด ความปลอดภัยทางการเงิน และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

ในทางกลับกัน 10 ธุรกิจดาวร่วง ที่ถูกระบุ ได้แก่ ร้านอินเทอร์เน็ต ร้านขายหนังสือและสื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่มีแพลตฟอร์มออนไลน์ ร้านโชห่วยดั้งเดิม ธุรกิจถ่ายเอกสาร ธุรกิจของเล่นเด็กแบบเดิม ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ดั้งเดิม ร้านถ่ายรูป–ล้างอัดภาพ และรถยนต์มือสอง เป็นต้น ภาพรวมสะท้อนว่า ธุรกิจที่ยึดติดกับรูปแบบบริการยุคก่อนไม่สามารถตามทันพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่โลกดิจิทัลและโลกสีเขียวได้ทันเวลา

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “ธุรกิจใดจะรุ่งหรือร่วง” แต่คือ “ผู้ประกอบการจะปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจยั่งยืนได้อย่างไร” และคำตอบหนึ่งที่กำลังเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ คือกรอบแนวคิด SDGs และ ESG

SDGs–ESG จากกรอบโลกสู่เข็มทิศธุรกิจไทย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มักมีคำถามว่าแนวคิด SDGs (Sustainable Development Goals) และ ESG (Environment, Social, Governance) มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร และเหตุใดองค์กรธุรกิจจึงต้องให้ความสำคัญกับทั้งสองกรอบนี้ควบคู่กัน

ฝ่ายวางแผนนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของไทยอธิบายว่า

  • SDGs เป็น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก” ที่สหประชาชาติกำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2558 รวม 17 เป้าหมาย 169 เป้าประสงค์ ครอบคลุมสามเสาหลักของความยั่งยืนคือ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงมิติด้านสันติภาพและหุ้นส่วนการพัฒนา แต่ละเป้าประสงค์มีตัวชี้วัดที่สามารถหยิบไปใช้ติดตามความก้าวหน้าได้จริงในระดับประเทศและระดับพื้นที่
  • ESG เป็น กรอบการประเมินความยั่งยืนระดับองค์กรธุรกิจ” ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุน โดยพิจารณาความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (Environment) การดูแลสังคม (Social) และระบบกำกับดูแลกิจการที่โปร่งใส (Governance)

กล่าวอีกนัยหนึ่ง SDGs คือภาพใหญ่ของโลกที่รัฐบาลแต่ละประเทศต้องเดินไปให้ถึง ขณะที่ ESG คือเกณฑ์วัดผลย่อยลงมาในระดับองค์กร ว่าบริษัทหนึ่ง ๆ ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนมากน้อยเพียงใด

ปัจจุบันสถาบันการเงินระหว่างประเทศหลายแห่งจัดทำ ดัชนีความยั่งยืน (Sustainability Index) เช่น Dow Jones Sustainability Indices (DJSI), MSCI ESG Index หรือเกณฑ์หุ้นยั่งยืน THSI ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดประกอบการตัดสินใจลงทุน นักลงทุนจำนวนมากจึงมองหาบริษัทที่ “ทำกำไรได้” ควบคู่กับ “รับผิดชอบต่อโลกและสังคม”

การแข่งขันในโลกธุรกิจยุคใหม่จึงไม่ใช่แค่การขยายสาขาหรือเพิ่มยอดขาย แต่คือการพิสูจน์ว่าองค์กรนั้นสามารถเติบโตโดยไม่ทิ้งภาระให้กับคนรุ่นหลัง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะกลุ่ม MSME และวิสาหกิจชุมชน ต้องเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า โมเดลธุรกิจในปัจจุบันพร้อมรองรับเกณฑ์ ESG หรือยัง

จากนโยบายสู่ภูมิภาค เชียงรายกับบทบาทเมืองนำร่อง SDGs

หาก SDGs เป็นกรอบเป้าหมายระดับโลก คำถามต่อมาคือ “จะทำให้เกิดผลจริงในพื้นที่ได้อย่างไร” คำตอบส่วนหนึ่งสะท้อนผ่านโครงการ SDG Localisation Phase II (SDG-L 2.0) ที่ UNDP และสหภาพยุโรปกำลังดำเนินการใน 8 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก นราธิวาส ระยอง หนองคาย สระแก้ว และกรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยและ UNDP Thailand ได้เดินทางมายังจังหวัดเชียงราย พบหารือกับ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมพวงแสด ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับพื้นที่

บรรยากาศการหารือสะท้อน “ความหวังและความกังวล” ในเวลาเดียวกัน ด้านหนึ่ง UNDP แสดงความชื่นชมต่อบทบาทความเป็นผู้นำของจังหวัดเชียงรายในการบูรณาการการทำงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อีกด้านหนึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายชี้ให้เห็นว่า จังหวัดต้องเผชิญความท้าทายจากทั้งภัยพิบัติและความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ไฟป่า หมอกควัน PM2.5 อุทกภัย วาตภัย ภัยหนาว ไปจนถึงปัญหาสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำและพื้นที่เกษตร

นายชูชีพระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีโครงสร้างประชากรที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ และตั้งอยู่บนภูมิประเทศภูเขาสลับซับซ้อน การขับเคลื่อน SDGs ทั้ง 17 ข้อจึงต้องทำควบคู่กัน ทั้งด้านการขจัดความยากจน การยกระดับคุณภาพชีวิต และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ เขาย้ำว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืนคือการพัฒนาเพื่ออนาคตของลูกหลานในจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย และประชาคมโลก” จึงจำเป็นต้องมีการร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยภาครัฐทำหน้าที่สนับสนุน ภาคเอกชนเป็นกลไกขับเคลื่อน และภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

ในช่วงการลงพื้นที่ คณะของ UNDP และสหภาพยุโรปได้สำรวจลุ่มน้ำกก ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ชลประทานเชียงราย สาธารณสุขจังหวัด ประมงจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาปัญหามลพิษข้ามพรมแดน การบริหารจัดการลุ่มน้ำ และวิถีชีวิตของชุมชนริมแม่น้ำ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกใช้ประกอบการออกแบบโครงการในระยะต่อไป รวมถึงการเยี่ยมพื้นที่ด่านแม่สายและจุดเสี่ยงอุทกภัย เพื่อถอดบทเรียนการจัดการภัยพิบัติในเชิงพื้นที่จริง

กล่าวได้ว่า เชียงรายกำลังกลายเป็น “ห้องทดลองนโยบายความยั่งยืน” ที่เชื่อมโยงทั้งมิติสิ่งแวดล้อมชายแดน ความมั่นคงทางสังคม และการพัฒนาพหุวัฒนธรรมให้เดินไปในทิศทางเดียวกับ SDGs และ ESG

BCG และเศรษฐกิจหมุนเวียน อาวุธใหม่ของผู้ประกอบการ MSME

ขณะที่ระดับพื้นที่กำลังขับเคลื่อน SDGs ผ่านโครงการนำร่อง ระดับนโยบายกลางของไทยก็เดินหน้า “ติดอาวุธ” ให้ผู้ประกอบการรายย่อยด้วยแนวคิด เศรษฐกิจ BCG (Bio–Circular–Green Economy) ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพ (Bio) การออกแบบระบบหมุนเวียน (Circular) และการเติบโตแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green)

สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้จัดตั้ง CE Innovation Policy Forum ให้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนและออกแบบนโยบายด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในภาคส่วนต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการผลักดันโครงการอบรม Circular Design ผ่านหลักสูตร CIRCO จากประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยเรียนรู้วิธีออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการแบบหมุนเวียนตั้งแต่ต้นทาง

ในเชิงปฏิบัติ สอวช. ยังร่วมมือกับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ภายใต้โครงการ “ขับเคลื่อนระบบการส่งเสริมธุรกิจ MSME ด้วย BCG” จัดอบรมหลักสูตร “BIO-CIRCULAR-GREEN เศรษฐกิจใหม่ ใกล้ตัว” ให้ผู้ประกอบการจากทั้ง 5 ภูมิภาค โดยมีเป้าหมายให้ MSME เข้าใจว่าการ “รักษ์โลกอย่างยั่งยืน” ไม่ใช่เพียงการลดขยะหรือปลูกต้นไม้เพิ่ม แต่คือการออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ตั้งแต่กระบวนการผลิต บรรจุภัณฑ์ การขนส่ง ไปจนถึงการจัดการหลังการใช้งาน

สำหรับผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงราย แนวทางดังกล่าวยิ่งมีความสำคัญ เพราะพื้นที่นี้พึ่งพาเศรษฐกิจเกษตร การท่องเที่ยว และพาณิชย์ชายแดนเป็นหลัก การนำแนวคิด BCG ไปผสานกับ SDGs–ESG จะช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้า เช่น กาแฟ ชา พืชสมุนไพร หรือสินค้าเกษตรแปรรูป พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

จากเชียงรายสู่ผู้ประกอบการไทยบนเส้นทางความยั่งยืน

เมื่อเชื่อมโยงทุกชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน – ผลสำรวจ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง–ดาวร่วงปี 2569 ที่สะท้อนการเคลื่อนไหวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสุขภาพ กรอบ SDGs และ ESG ที่เป็นเข็มทิศให้ทั้งประเทศและภาคธุรกิจเลือกเส้นทางการเติบโตอย่างรับผิดชอบ การขับเคลื่อน SDG Localisation Phase II ในจังหวัดเชียงรายที่มุ่งเปลี่ยนเป้าหมายระดับโลกให้เป็นการพัฒนาเชิงพื้นที่จริง และความพยายามผลักดัน เศรษฐกิจหมุนเวียน–BCG ในกลุ่ม MSME ล้วนส่งสารเดียวกันคือ

“ธุรกิจที่อยู่รอดในระยะยาวไม่ใช่เพียงธุรกิจที่ทำกำไรได้เร็วที่สุด แต่คือธุรกิจที่เข้าใจโลก เข้าใจสังคม และพร้อมปรับตัวไปกับกติกาใหม่ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

สำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือ การปรับโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับ BCG–ESG ตั้งแต่วันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการตามเทรนด์ แต่คือการลงทุนเพื่อความมั่นคงของธุรกิจในระยะยาว และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นให้กับชุมชน ลูกหลาน และโลกใบเดียวกันใบนี้

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)
  • โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP Thailand)
  • ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
  • บ้านเจ้ากอกล้วย ณ.ห้วยปลากั้ง.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ ชูชีพ-นายก นก นำทัพ! เชียงรายระดมพลัง “ฮัก หาดใหญ่” 4 ตัน ถึงมือควนลัง ผ่านโลจิสติกส์ไม่เพิ่มภาระ

เชียงรายระดมพลัง “ฮัก หาดใหญ่” ส่งกองหนุน 4 ตันช่วยอุทกภัยสงขลา เดินเกม “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” ผ่านโลจิสติกส์–เชื่อต่อท้องถิ่นผู้ประสบภัย

เชียงราย, 2 ธันวาคม 2568 – บรรยากาศโถงชั้นหนึ่ง อบจ.เชียงราย จุดเริ่มต้นของธารน้ำใจจากเหนือสุดแดนสยาม  สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แน่นขนัดไปด้วยผู้แทนจากภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในภารกิจสำคัญ “เหนือช่วยใต้” ภายใต้ชื่อโครงการ ฮัก หาดใหญ่” ควบคู่กับความร่วมมือ ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”

ข้างหน้าคือเวทีเรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมาย ด้านหลังคือกองสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะถูกขนขึ้นรถบรรทุกหกล้อของไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย น้ำหนักรวมกว่า 4 ตัน เพื่อเดินทางไกลจากดินแดนเหนือสุดของประเทศลงสู่ เทศบาลเมืองควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคใต้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568

นี่ไม่ใช่เพียงภาพของ “การบริจาค” แต่คือภาพของ การออกแบบความช่วยเหลือ ที่คิดครบทั้ง “ต้นทาง–ปลายทาง” อย่างรอบด้าน

คำกล่าว “นายก นก” เปิดภารกิจเหนือช่วยใต้ 293 ชีวิตในศูนย์ฯ – 50,000 คนในเมืองขยายที่ต้องไม่ถูกลืม

นายก นก – อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดการส่งมอบสิ่งของว่า ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นมา อบจ.เชียงรายได้เปิดจุดรับบริจาค ณ โถงชั้นหนึ่งของสำนักงานฯ เพื่อระดมสิ่งของจากประชาชนและภาคีเครือข่ายในจังหวัด

“จากวันที่ 24 พฤศจิกายนเป็นต้นมา จังหวัดเชียงรายและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้จับมือไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย และภาคีเครือข่ายในจังหวัด เดินหน้าภารกิจเหนือช่วยใต้ วันนี้เราพร้อมจัดส่ง ‘ธารน้ำใจล็อตแรก’ น้ำหนักรวม 4 ตัน ด้วยรถบรรทุกหกล้อของไปรษณีย์ไทย จากข้อมูลสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้ประสานงานกับสำนักข่าวสงขลาโฟกัส เครื่อข่ายท้องถิ่น จะนำไปยังเทศบาลเมืองควนลัง ซึ่งเป็นศูนย์อพยพให้ที่พักพิงแก่ผู้ประสบภัยจำนวน 293 คน และเป็นจุดช่วยเหลือประชาชนเกือบ 50,000 คนในพื้นที่เมืองขยายที่ต้องรับมือกับภัยพิบัติในทุกมิติ”

นายก อบจ.เชียงราย ยังอธิบายโครงสร้างและความท้าทายในพื้นที่ปลายทางอย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็น 3 มิติสำคัญที่กลายเป็น “เหตุผลหลัก” ว่าทำไมต้องให้ความสำคัญกับเทศบาลเมืองควนลังเป็นพิเศษ

มิติที่ 1 การดูแลผู้อพยพในศูนย์ฯ

ศูนย์อพยพ ณ อาคารเทศบาลเมืองควนลัง ชั้น 5 มีผู้อพยพรวม 293 คน ซึ่งทั้งหมดได้รับการดูแลภายใต้มาตรฐานด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางจำนวน 25 คน ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

นายก อบจ.เชียงรายกล่าวว่า

“ในศูนย์อพยพ กลุ่มเสี่ยงพิเศษ 25 คน ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เด็ก หรือผู้ป่วย ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่เราต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ประสบภัยทุกคน ศูนย์มีโรงครัวที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการอาหารร้อนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ให้อิ่ม แต่ให้เขารู้สึกว่ามีคนดูแลอยู่ใกล้ ๆ”

มิติที่ 2 ความท้าทายเชิงพื้นที่ของ ‘เมืองขยาย’

แม้ตัวเลข 293 คนในศูนย์ฯ จะเป็นภาพที่จับต้องได้ แต่เมื่อมองทั้งพื้นที่ จะพบว่าประชากรในเขตเทศบาลเมืองควนลังมีเกือบ 50,000 คน และนี่คือ “ความจริงอีกด้าน” ที่ทำให้ภารกิจการจัดการภัยพิบัติใหญ่กว่าที่เห็น

“ตัวเลข 293 คนในศูนย์ฯ เป็นเพียงส่วนน้อยของผู้เดือดร้อนจริง เมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดเกือบ 50,000 คนในเทศบาลเมืองควนลัง ซึ่งเป็นเขตเมืองขยาย มีอัตราการเติบโตของประชากรสูงกว่า 20% ใน 10 ปี ความเสี่ยงและความเสียหายจากน้ำท่วมจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ภารกิจของเราจึงไม่ใช่แค่ดูแลคนในศูนย์ฯ แต่ต้องคิดถึงการเยียวยาและฟื้นฟูทั้งเมือง”

มิติที่ 3 การจัดการและการสื่อสารในฐานะศูนย์บัญชาการ

อาคารเทศบาลเมืองควนลังไม่ได้เป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราว แต่ทำหน้าที่เป็น ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ที่ประเมินความเสียหาย วางแผนเยียวยา และจัดการการสื่อสารกับประชาชน

“ศูนย์กลางที่เทศบาลไม่ใช่แค่สถานที่รองรับผู้อพยพ แต่เป็นจุดศูนย์กลางในการประเมินความเสียหายและเตรียมแผนการเยียวยาและฟื้นฟูสำหรับประชากรเกือบ 50,000 คน ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ที่อพยพมาอยู่ในศูนย์ฯ เท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราต้องโฟกัสไปที่ควนลังอย่างจริงจัง”

ในช่วงท้ายของคำกล่าว นายก อบจ.เชียงรายได้เชิญชวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายขึ้นรับมอบสิ่งของบริจาคและกล่าวขอบคุณภาคีเครือข่าย ถือเป็นการเชื่อมต่อ “ระดับนโยบายจังหวัด” เข้ากับ “การปฏิบัติการจริง” ในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ผู้ว่าฯ ชูชีพ จากบทเรียนเชียงรายสู่การยืนเคียงข้างภาคใต้

เมื่อถึงเวลาอันสมควร พิธีกรได้เรียนเชิญ นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ขึ้นกล่าวในนามตัวแทนชาวเชียงราย เพื่อมอบกำลังใจไปยังผู้ประสบภัยในภาคใต้

แม้จะเริ่มต้นด้วยการขอให้ผู้ร่วมงานขยับเข้าร่มเพื่อลดความร้อนจากแดดกลางลาน แต่บรรยากาศไม่เป็นทางการเล็กน้อยนี้กลับทำให้เห็น “ความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ” ที่สะท้อนบุคลิกของผู้ว่าฯ ซึ่งต้องการให้ทุกคนที่มาร่วมงานรู้สึกสบายพอจะยืนร่วมกันจนจบพิธี

จากนั้น ผู้ว่าฯ ชูชีพได้กล่าวชื่นชมบทบาทของ อบจ.เชียงราย และภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ “ฮัก หาดใหญ่” และ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” โดยเน้นย้ำว่า การโฟกัสไปยังเทศบาลเมืองควนลัง คือการทำงานแบบ “เจาะจุด” ที่สอดคล้องกับแนวคิดการจัดการภัยพิบัติยุคใหม่

เขายังอ้างอิงข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ว่า ในรอบวิกฤตครั้งนี้ มีประชาชนใน 9 จังหวัดภาคใต้ ได้รับผลกระทบรวมกันเกือบ 3 ล้านคน หลายแสนครัวเรือนต้องเผชิญกับน้ำท่วมและการฟื้นตัวที่ต้องใช้เวลา อีกทั้งจุดสำคัญอย่างเทศบาลนครหาดใหญ่ก็ต้องรับมือกับปริมาณน้ำฝนมากกว่า 600 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่า “หนักที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี”

“เมื่อเช้า ผมได้ฟังสรุปจาก ปภ. เราเห็นชัดว่ามี 9 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ หลายแสนครัวเรือน เกือบ 3 ล้านคนที่ต้องเผชิญกับผลจากอุทกภัย โดยเฉพาะเทศบาลนครหาดใหญ่ที่เผชิญปริมาณน้ำฝนระดับที่เรียกได้ว่าหนักที่สุดในรอบหลายปี การที่เชียงรายเลือกโฟกัสไปยังควนลัง ซึ่งเป็นพื้นที่เมืองขยายที่ต้องดูแลทั้ง 293 คนในศูนย์ฯ และเกือบ 50,000 คนทั้งเมือง จึงถือเป็นการทำงานที่เข้าตรงเป้าหมาย”

ผู้ว่าฯ ยังเชื่อมโยงไปถึงประสบการณ์ของเชียงรายในฐานะจังหวัดที่เคยประสบภัยพิบัติมาแล้วหลายครั้ง ทั้งเหตุแผ่นดินไหวและน้ำท่วม พร้อมย้ำว่า เมื่อครั้งเชียงรายลำบาก ก็มีคนไทยจากทั่วประเทศส่งแรงใจและสิ่งของมาช่วยเหลือ วันนี้จึงเป็น “เวลาของเชียงราย” ที่จะตอบแทนสังคม

“เราเคยได้รับน้ำใจจากคนทั้งประเทศ ตอนเชียงรายประสบภัย วันนี้เรากำลังคืนกลับไปในฐานะพี่น้องชาติเดียวกัน สิ่งที่ อบจ.เชียงราย ไปรษณีย์ไทย ภาคเอกชน สื่อมวลชน และสถาบันการศึกษาทำร่วมกัน ไม่ใช่แค่การส่งของ แต่เป็นการส่งต่อความผูกพัน ความเป็นมิตรภาพระหว่างเหนือสุดแดนสยามและปลายด้ามขวาน”

เขายังกล่าวถึงการระดมสรรพกำลังอื่น ๆ ของจังหวัด ทั้งกำลังคนจากอาสาสมัคร เครื่องจักรกลหนัก และการสนับสนุนผ่านช่องทางของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย เพื่อช่วยเสริมภารกิจในพื้นที่ภาคใต้ควบคู่กันไป

ท้ายที่สุด ผู้ว่าฯ ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ซีพี ออลล์ เซ็นทรัลเชียงราย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ไปรษณีย์ไทย และสื่อมวลชน ที่ร่วมกันทำให้ “น้ำใจจากเชียงราย” เดินทางออกจากโถงชั้นหนึ่งของ อบจ. ไปสู่มือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ในภาคใต้

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัด

ฮัก หาดใหญ่–ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล” พันธมิตร 6 หน่วย + 1 มหาวิทยาลัย ขับเคลื่อนภารกิจ

ภายใต้ภารกิจครั้งนี้ มีอย่างน้อย 6 หน่วยงานหลักในจังหวัดเชียงราย และ 1 สถาบันการศึกษา ทำหน้าที่เป็นแกนกลางความร่วมมือ ได้แก่

  1. จังหวัดเชียงราย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
    • แกนกลางด้านนโยบาย การประสานงาน และการรวบรวมสิ่งของบริจาค
    • นำโดย นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายก นก – อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร อบจ.
  2. ไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย
    • ทำหน้าที่เป็น “ขนส่งธารน้ำใจ” ด้วยระบบโลจิสติกส์ทางบก
    • มี นายวุฒิพงษ์ เดชมนต์ ไปรษณีย์จังหวัดเชียงราย เป็นแกนนำด้านการขนส่ง
  3. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยพิสันต์ จันทร์ศิลป์
    • สนับสนุนการสื่อสารและเชื่อมโยงกับชุมชน วัด กลุ่มวัฒนธรรม และเครือข่ายภาคประชาชน
    • มีบุคลากรด้านวัฒนธรรมและชุมชนเป็นผู้ประสานงานหลัก
  4. สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และสำนักข่าวสงขลาโฟกัส
    • ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมข้อมูลระหว่าง “ผู้ให้” ในเชียงราย และ “ผู้รับ” ในสงขลา
    • สงขลาโฟกัสทำหน้าที่รับมอบและกระจายความช่วยเหลือร่วมกับเทศบาลเมืองควนลัง
  5. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
    • สนับสนุนพื้นที่และทรัพยากรในเครือข่ายธุรกิจค้าปลีก 7-Eleven ในการเป็นจุดประชาสัมพันธ์และส่งต่อข้อมูล
    • นำโดยทีมผู้บริหารในพื้นที่ เช่น คุณสงกรานต์ จำปาคำ และคณะ
  6. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
    • ภายใต้การบริหารของ คุณสายัณห์ นักบุญ General Manager ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
    • ทำหน้าที่เป็นจุดรับบริจาคสำคัญในเขตเมือง ภายใต้โครงการ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”
  7. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย (มทร.ล้านนาเชียงราย)
    • ทำหน้าที่เป็นจุดรับบริจาคหลักในเครือข่ายสถาบันการศึกษา
    • เปิดโอกาสให้เยาวชน นักศึกษา และบุคลากร ได้เข้ามามีส่วนร่วมในภารกิจบรรเทาทุกข์ระดับชาติ

เมื่อพิจารณาภาพรวม ความร่วมมือครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียง “งานของรัฐ” แต่เป็น การบูรณาการภาครัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา–สื่อ–ประชาชน ที่รวมกันเป็นพลังเดียวกันเพื่อช่วยเหลือภาคใต้

ฮัก” ที่มากกว่าความรัก อ้อมกอดจากภาคเหนือในวันที่ภาคใต้ลำบาก

ชื่อโครงการ ฮัก หาดใหญ่” ได้รับการออกแบบอย่างมีความหมาย คำว่า “ฮัก” ในภาษาเหนือหมายถึง “รัก” แต่ในเชิงสัญลักษณ์ยังเชื่อมโยงกับคำว่า “Hug” ในภาษาอังกฤษที่หมายถึง “การกอด”

ความช่วยเหลือที่ถูกส่งลงไปภาคใต้จึงไม่ใช่เพียง “สิ่งของ” แต่ถูกออกแบบให้เป็น “อ้อมกอดทางใจ” จากชาวเชียงรายที่ต้องการบอกพี่น้องหาดใหญ่และสงขลาว่า “คุณไม่ได้อยู่ลำพัง”

การใช้ภาษาถิ่นผสมกับความหมายสากลในชื่อโครงการ ช่วยสร้างมิติทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้รับรู้สึกว่า สิ่งของแต่ละชิ้นบรรจุด้วยความห่วงใย ไม่ใช่เพียงการทำตามหน้าที่เชิงพิธีการของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

ยุทธศาสตร์ “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” โลจิสติกส์มนุษยธรรมที่คิดจากปลายทาง

สิ่งที่ทำให้โครงการนี้โดดเด่น คือแนวคิดด้านการจัดการโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้น “คุณภาพของกระบวนการ” ไม่ใช่แค่ “ปริมาณของสิ่งของ”

ในภาวะวิกฤต หน่วยงานราชการในพื้นที่ประสบภัยต้องทำงานหนักในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ซ่อมแซมถนน ระบบสาธารณูปโภค และดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง หากยังต้องแบกรับภาระงานด้านการรับมอบ คัดแยก และจัดกระจายสิ่งของจากพื้นที่อื่นอีก ก็ยิ่งเพิ่ม “ต้นทุนทางธุรการ” จนอาจกระทบต่อภารกิจหลัก

โครงการ “ฮัก หาดใหญ่” จึงเลือกใช้ยุทธศาสตร์ ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” คือ

  • ใช้ไปรษณีย์ไทยเป็นกลไกหลักด้านขนส่ง ด้วยระบบที่ติดตามได้
  • ประสานงานให้สิ่งของไปถึง “มือของสื่อท้องถิ่นและเทศบาลในพื้นที่” อย่างสงขลาโฟกัสและเทศบาลเมืองควนลัง ที่มีเครือข่ายในชุมชน และสามารถประเมินได้ว่าพื้นที่ใดต้องการอะไร

แนวทางนี้ช่วยให้ความช่วยเหลือถูกนำไปใช้ได้เร็ว ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน ลดการคัดแยกซ้ำ และลดภาระงานเอกสารของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่กำลังทำงานแข่งกับเวลา

ในเชิงนโยบาย นี่คือรูปธรรมของ การลดภาระทางธุรการ (Administrative Burden Reduction)” ในบริบทของการจัดการภัยพิบัติสมัยใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและผลกระทบจริงต่อผู้รับ มากกว่าการเน้นพิธีการและภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียว

กองหนุน” ที่ส่งในเวลาที่ใช่ เมื่อการช่วยเหลือไม่จบแค่ตอนน้ำท่วมสูงสุด

จุดยืนสำคัญของโครงการนี้ คือการนิยามความช่วยเหลือจากเชียงรายว่าเป็น กองหนุน” ไม่ใช่ “กองหลัก”

ความหมายของคำว่า “กองหนุน” ในที่นี้ คือการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งของที่ส่งไปอาจไม่มากพอจะทำให้ผู้ประสบภัย “ตั้งตัวได้ทันที” แต่มีความสำคัญในฐานะ “แรงเสริม” ที่ถูกส่งไปใน ช่วงเวลาที่เหมาะสม

ในขณะที่ช่วงแรกของภัยพิบัติมักมีความช่วยเหลือหลั่งไหลเข้าไปจำนวนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจจากสาธารณะเริ่มลดลง ขณะที่ผู้ประสบภัยยังคงต้องฟื้นฟูชีวิตและสภาพแวดล้อมต่อไปอีกยาวนาน การส่ง “กองหนุน” ในช่วงหลังจึงเป็นสัญญาณว่า “เรายังไม่ลืม”

คำพูดอย่างเรียบง่ายว่า เราเข้าใจความยากลำบาก เราเจอมาก่อน” จากตัวแทนผู้ประสานงานโครงการ และจากสื่อท้องถิ่นในสงขลา จึงไม่ได้เป็นแค่ถ้อยคำปลอบใจ แต่เป็นการยืนยันว่า ความช่วยเหลือนี้ตั้งอยู่บนฐานของ “ประสบการณ์จริง” ที่เชียงรายเคยเผชิญมาแล้ว

บทเรียนและข้อคิด จาก “ฮัก หาดใหญ่” สู่การออกแบบการช่วยเหลือในอนาคต

จากกรณีศึกษาของโครงการ “ฮัก หาดใหญ่” สามารถสรุปบทเรียนสำคัญที่มีคุณค่าต่อการออกแบบระบบช่วยเหลือในภัยพิบัติได้หลายข้อ อาทิ

  1. คิดถึงต้นทุนทางธุรการของพื้นที่ปลายทาง
    • ความช่วยเหลือที่ดีต้องไม่ทำให้พื้นที่ที่กำลังลำบากต้องรับภาระเพิ่มขึ้นจากงานเอกสารหรือการจัดการสิ่งของที่ซับซ้อนเกินไป
  2. เลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการส่งกองหนุน
    • ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องรีบส่งทันทีในวันแรกของภัยพิบัติ บางครั้งการส่งในช่วง “ฟื้นฟู” อาจตอบโจทย์ความต้องการมากกว่า
  3. ใช้เครือข่ายท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์
    • สื่อท้องถิ่น เทศบาล องค์กรชุมชน และเครือข่ายภาคประชาชน มักรู้ดีที่สุดว่าชุมชนต้องการอะไร และควรส่งไปที่ไหนก่อน
  4. สร้างพันธมิตรข้ามภาคส่วนอย่างจริงจัง
    • การบูรณาการภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และสื่อ ทำให้ระบบช่วยเหลือมีประสิทธิภาพ ทนทาน และต่อเนื่องกว่าการทำงานแบบโดดเดี่ยว
  5. ให้ความสำคัญกับภาษาความรู้สึก ไม่ใช่แค่ภาษาทางการ
    • ชื่อโครงการ การสื่อสาร และถ้อยคำที่ใช้ ล้วนมีผลต่อการสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้และผู้รับ

ในยุคที่ภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนมีแนวโน้มเกิดถี่และรุนแรงขึ้น การเรียนรู้จากกรณีความร่วมมือระหว่างเชียงรายและสงขลาในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ข่าวหนึ่งวัน” หากแต่เป็นกรอบคิดที่สามารถนำไปต่อยอดสู่การจัดการภัยพิบัติในระดับพื้นที่และระดับประเทศได้ในอนาคต

โครงการ “ฮัก หาดใหญ่” เป็นตัวอย่างของการช่วยเหลือในภัยพิบัติที่ออกแบบมาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงทั้งความต้องการของผู้รับและข้อจำกัดของผู้ให้ การใช้แนวทาง “กองหนุน” ที่ส่งไปในเวลาที่เหมาะสม การเลือกช่องทางการส่งมอบที่ “ถึงมือ ไม่เพิ่มภาระ” และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรข้ามภาคส่วน ล้วนสะท้อนถึงความเข้าใจในการบริหารจัดการภัยพิบัติที่ลึกซึ้ง

การที่จังหวัดเชียงรายซึ่งเคยประสบภัยพิบัติมาแล้วหลายครั้ง เลือกที่จะส่งต่อทั้งความช่วยเหลือและบทเรียนไปยังพี่น้องภาคใต้ที่กำลังเผชิญวิกฤต นั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็น “พี่น้อง” ที่แท้จริง ที่ไม่เพียงแต่ส่งของ แต่ส่ง “ใจ” และ “ความเข้าใจ” ไปด้วย

โครงการนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการช่วยเหลือในภัยพิบัติ แต่เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการสร้างสังคมที่เข้มแข็ง มีความเอื้ออาทร และพร้อมยืนเคียงข้างกันในยามที่ใครสักคนต้องเผชิญความลำบาก

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพโดย : กีรติ ชุติชัย
  • จังหวัดเชียงราย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด – ไปรษณีย์ไทย จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และสำนักข่าวสงขลาโฟกัส
  • บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และเครือข่ายร้าน 7-Eleven ในจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ภายใต้โครงการ “ไทยรวมใจที่เซ็นทรัล”
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย (มทร.ล้านนาเชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ครู 10 ปีต้องบรรจุ! สหพันธ์ครูเชียงรายผนึกกำลัง ดันปฏิรูปสถานะบุคลากร ศธ.

บริบทเชียงราย จากตัวเลขเชิงโครงสร้างสู่เสียงสะท้อนหน้าชั้นเรียน

เชียงราย, 30 พฤศจิกายน 2568 – เบื้องหลังห้องเรียนจังหวัดเชียงรายในวันนี้ ไม่ได้มีเพียงภาพครูยืนสอนและนักเรียนนั่งเรียนอย่างเป็นระเบียบ แต่ยังซ่อน “โครงสร้างกำลังคน” ที่กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนัก ว่ามั่นคงเพียงพอหรือไม่ต่อการรองรับอนาคตการศึกษาไทยในระยะยาว

รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์อัตรากำลังบุคลากรภาครัฐที่ไม่ใช่ข้าราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จังหวัดเชียงราย ช่วงปี พ.ศ. 2566–2568 ระบุชัดว่า จังหวัดต้องพึ่งพาบุคลากร “ไม่บรรจุ” ในระดับสูง โดยเฉพาะในภาคอาชีวศึกษา ซึ่งมีสัดส่วนบุคลากรที่ไม่ใช่ข้าราชการสูงถึงประมาณ ร้อยละ 60 ของกำลังคนทั้งหมดในสถาบันหนึ่ง ก่อให้เกิดทั้ง “ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง” และ “ความไม่มั่นคงในอาชีพ” ของครูและบุคลากรจำนวนมาก

ในบริบทดังกล่าว วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 สหพันธ์ครูเชียงรายจึงออกแถลงการณ์ต่อสาธารณชน ย้ำจุดยืน “ครูต้องได้ความเป็นธรรม” พร้อมเรียกร้องให้รัฐเร่งปฏิรูประบบบุคลากรทางการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติของสถานะการจ้างงาน ความมั่นคงทางรายได้ และระบบวิทยฐานะครูที่สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน

ตัวเลข 60% ที่ซ่อนความเปราะบาง ภาพสะท้อนจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย

หัวใจสำคัญของปัญหา เริ่มต้นจาก “ข้อมูลจริง” ในระดับสถานศึกษา กรณีศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2565 ระบุว่า

  • บุคลากรทั้งหมดมี 165 คน
  • ในจำนวนนี้เป็น ข้าราชการ 66 คน (ผู้บริหาร 5 คน และข้าราชการครู 61 คน)
  • ส่วนที่เหลือคือ พนักงานราชการและลูกจ้างชั่วคราว รวม 96 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนราว ร้อยละ 58–60 ของกำลังคนทั้งหมด

เมื่อมองเฉพาะ “ครูผู้สอน” ภายในวิทยาลัย พบว่ามีครูที่ทำหน้าที่สอนรวม 110 คน ประกอบด้วย

  • ข้าราชการครู 61 คน
  • พนักงานราชการสอน 6 คน
  • ครูอัตราจ้าง/ลูกจ้างชั่วคราวที่ทำหน้าที่สอน 43 คน

ตัวเลขนี้สะท้อนว่า ครูอัตราจ้างคิดเป็นประมาณร้อยละ 39.1 ของครูผู้สอนทั้งหมด หมายความว่า เกือบ 4 ใน 10 คนของครูผู้สอนอยู่ในสถานะสัญญาจ้าง ไม่ใช่ตำแหน่งข้าราชการถาวรที่มั่นคง

แต่สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่เพียง “จำนวนคน” หากเป็น “ที่มาของงบประมาณในการจ้างงาน” ด้วย รายงานระบุว่า ในกลุ่มลูกจ้างชั่วคราวและครูอัตราจ้าง 89 คน มีถึง 45 คน หรือร้อยละ 50.56 ที่ถูกจ้างด้วย “เงินรายได้ของสถานศึกษา (บกศ.)” แทนที่จะใช้งบประมาณบุคลากรจากส่วนกลางอย่างมั่นคง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ครูจำนวนไม่น้อยในเชียงรายกำลังสอนหนังสือเด็กด้วยสถานะสัญญาจ้างที่ขึ้นอยู่กับ “รายได้ของโรงเรียน” มากกว่าความมั่นคงจากระบบงบประมาณของรัฐ

ปัญหากระจายศูนย์ข้อมูล เมื่อ “ภาพรวมทั้งจังหวัด” มองไม่ชัด

แม้แต่ระดับ “ตัวเลขรวมทั้งจังหวัด” ก็ยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน รายงานเชิงวิเคราะห์ชี้ว่า ปัจจุบัน ยังไม่มีฐานข้อมูลรวมศูนย์ ที่สามารถระบุจำนวนพนักงานราชการและครูอัตราจ้างในทุกส่วนงานของ ศธ. จังหวัดเชียงรายได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น

  • สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1–4 (สพป.)
  • สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย (สพม.)
  • สถาบันอาชีวศึกษาในจังหวัด

ข้อมูลอัตรากำลังส่วนใหญ่ถูกจัดเก็บและรายงานแยกกันในแต่ละเขตพื้นที่ ระบบสารสนเทศอย่าง School MIS และรายงาน “สรุปความขาด–เกิน รายสาระวิชาเอก” ถูกใช้จริงในระดับเขตพื้นที่ แต่ยังไม่มีการรวบรวมให้เห็น “ภาพรวมจังหวัด” ในลักษณะสินค้าคงคลัง (Inventory Data) ของบุคลากรทั้งหมด

ผลลัพธ์คือ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย (ศธจ.เชียงราย) ขาดเครื่องมือสำคัญ ในการคำนวณภาระผูกพันทางการเงินรวมของบุคลากรชั่วคราว และไม่สามารถใช้ “ตัวเลขจริงทั้งจังหวัด” ไปเจรจาต่อรองกับส่วนกลาง เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หรือคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) เพื่อขอตำแหน่งพนักงานราชการหรือกรอบงบประมาณที่มั่นคงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

จุดบอดเชิงนโยบายนี้ ทำให้การแก้ปัญหาหลายมิติ ต้องอาศัย “การคาดการณ์” มากกว่าการตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ครบถ้วน

เสียงจากครูเชียงราย “ครูที่มีคุณภาพเกิดจากระบบที่เป็นธรรม”

บนฉากหลังของโครงสร้างที่เปราะบางนี้ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 สหพันธ์ครูเชียงราย นำโดย ดร.อนวัช อุ่นกอง ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ย้ำจุดยืนว่า การยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หาก “คนต้นทางของระบบ” ยังอยู่ในสภาพอาชีพที่ไม่มั่นคง

ดร.อนวัช ระบุว่า ปัจจุบันบุคลากรทางการศึกษาจำนวนมากต้องเผชิญกับ

  • ความเหลื่อมล้ำด้านสถานะการจ้างงาน
  • ความไม่มั่นคงในอาชีพ
  • ระบบบริหารบุคคลที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อขวัญกำลังใจของครูและบุคลากร และสะท้อนต่อคุณภาพการศึกษาในภาพรวมของจังหวัดเชียงรายและของประเทศ

แถลงการณ์ได้เสนอข้อเรียกร้องหลักในสามมิติสำคัญ ได้แก่

  1. ยกระดับสถานะพนักงานราชการและครูอัตราจ้าง
    • ผลักดันให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแนวทาง “บรรจุ” พนักงานราชการและครูอัตราจ้างที่มีประสบการณ์ 10 ปีขึ้นไป ให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการครู ผ่านระบบประเมินผลงาน
    • เหตุผลสำคัญคือ ครูกลุ่มนี้ได้ทุ่มเทปฏิบัติงานต่อเนื่องยาวนาน มีความชำนาญ และควรได้รับความมั่นคงในอาชีพอย่างเป็นธรรม
  2. เพิ่มตำแหน่งพนักงานราชการในสายงานสนับสนุน
    • เสนอให้จัดสรรตำแหน่งพนักงานราชการในสายงานครูธุรการ และนักการโภชนาการอย่างเหมาะสม
    • เพราะบุคลากรกลุ่มนี้เป็น “ฟันเฟืองสำคัญ” ที่ทำให้ครูผู้สอนสามารถทุ่มเทเวลาให้การเรียนการสอนได้เต็มที่ หากสถานะของพวกเขายังไม่มั่นคง ระบบการทำงานโดยรวมย่อมสั่นคลอน
  3. ปฏิรูประบบวิทยฐานะครู
    • เรียกร้องให้ปรับเกณฑ์และช่องทางขอมี–เลื่อนวิทยฐานะให้หลากหลาย สอดคล้องกับความถนัดของครูแต่ละคน
    • เน้น “ผลลัพธ์ต่อผู้เรียน” เป็นหัวใจสำคัญ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ครูพัฒนานวัตกรรมการสอน และไม่ถูกจำกัดด้วยรูปแบบเอกสารหรือผลงานวิชาการเพียงมิติเดียว

ดร.อนวัช ย้ำอุดมการณ์ในแถลงการณ์ว่า

“ครูที่มีคุณภาพเกิดจากระบบที่เป็นธรรม”

พร้อมทิ้งท้ายว่า ข้อเรียกร้องครั้งนี้ “ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของครู” แต่เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่มั่นคง เข้มแข็ง และยั่งยืน เพื่อให้เด็กไทยทุกคนได้รับการศึกษาที่ดีจากครูที่มีความมั่นคงในอาชีพและมีแรงบันดาลใจในการทำงาน
พร้อมเน้นย้ำว่า

“ครูที่ได้รับความเป็นธรรม คือกำลังสำคัญในการสร้างอนาคตของชาติ”

ภาพรวมทั้งระบบ เมื่อครูไม่บรรจุกลายเป็น “แนวหน้าถาวร”

รายงานการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างชี้ว่า ปัญหาที่เชียงรายเผชิญไม่ได้จำกัดอยู่ในสถาบันอาชีวศึกษา หากสะท้อนรูปแบบการจัดการอัตรากำลังในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยรวม

ในระดับ สพฐ. กลไกการจัดสรรพนักงานราชการ (PCE) ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างอัตรากำลังข้าราชการ แต่ในทางปฏิบัติ จำนวนตำแหน่งพนักงานราชการที่จัดสรรให้พื้นที่หนึ่ง ๆ ไม่เพียงพอ ต่อภาระงานจริง จึงทำให้สถานศึกษาต้องพึ่งพา “ครูอัตราจ้าง” ที่จ้างด้วยเงินรายได้และเงินอุดหนุนเป็นหลัก

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อจำกัดเชิงนโยบายจากคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ยังทำให้การขยายระยะเวลาสัญญาจ้างครูอัตราจ้างจาก 1 ปี เป็น 3–5 ปี ต้องผ่านการอนุมัติในระดับคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สูงและใช้เวลา ส่งผลให้รูปแบบสัญญาจ้างระยะสั้นยังคงอยู่ และ “ความไม่แน่นอน” ฝังตัวอยู่ในชีวิตการทำงานของครูกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง

เมื่อความมั่นคงในอาชีพถูกแขวนอยู่กับการต่อสัญญาปีต่อปี ทั้งในสภาพที่รายได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของโรงเรียนในการหารายได้เอง ครูจำนวนไม่น้อยจึงต้องเผชิญกับคำถามในใจว่า “จะอยู่ในระบบต่อไปดีหรือไม่”

ความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียน เมื่องบรายได้กลายเป็นตัวกำหนดครู

อีกหนึ่งประเด็นที่รายงานฉายภาพอย่างชัดเจน คือ ผลกระทบจากการใช้ “เงินรายได้สถานศึกษา” ในการจ้างครูอัตราจ้างและบุคลากรสนับสนุนสัดส่วนสูง

โรงเรียนหรือวิทยาลัยที่อยู่ในเขตเมือง มีผู้เรียนจำนวนมาก หรือสามารถสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการอื่น ๆ ได้มาก ย่อมมีศักยภาพในการจ้างครูอัตราจ้างที่มีคุณภาพ และรักษาบุคลากรให้อยู่กับโรงเรียนได้ยาวนานกว่า

ในทางกลับกัน โรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนในชนบทหรือพื้นที่ห่างไกล ที่มีนักเรียนน้อยและรายได้จำกัด จะเผชิญกับข้อจำกัดในการจ้างงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้เกิด

  • การหมุนเวียนครูอัตราจ้างบ่อยครั้ง
  • ความต่อเนื่องของการจัดการเรียนการสอนลดลง
  • โอกาสเข้าถึงครูเฉพาะทางและครูคุณภาพดีของนักเรียนในพื้นที่ชนบทลดลง

เมื่อโครงสร้างการจ้างงานผูกติดกับ “ฐานะการเงินของสถานศึกษา” มากกว่าหลักประกันจากภาครัฐ ความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนจึงมีแนวโน้มถูก “ตอกย้ำ” มากกว่าจะถูกลดทอน

ความท้าทายด้านครูเฉพาะทาง สะท้อนผ่านวิชาเอกฟิสิกส์และ STEM

นอกจากปัญหาความมั่นคงแล้ว จังหวัดเชียงรายยังต้องเผชิญความท้าทายด้าน “การสรรหาครูเฉพาะทาง” โดยเฉพาะในกลุ่มวิชา STEM

ในปี 2568 เอกสารของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงรายระบุว่า มีการประกาศตำแหน่งว่างเพื่อรับย้ายข้าราชการครู วิชาเอกฟิสิกส์ จำนวน 2 อัตรา ณ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย ซึ่งเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำของภูมิภาค สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะเป็นสถาบันที่มีความต้องการสูงและมีบทบาทสร้างเด็กเก่งด้านวิทยาศาสตร์ ระบบก็ยังไม่สามารถเติมเต็มอัตรากำลังครูเฉพาะทางได้ง่าย

ควบคู่กันนั้น ในระดับเขตพื้นที่ประถมศึกษาอย่าง สพป.เชียงราย เขต 2 มีการเตรียมการสอบแข่งขันครูผู้ช่วยในวิชาเอกหลัก เพื่อรองรับทั้งตำแหน่งว่างจากการเกษียณอายุและความต้องการอัตรากำลังเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การเปลี่ยนครูอัตราจ้างที่มีคุณภาพให้ได้มีโอกาสเข้าสู่ตำแหน่งบรรจุถาวร

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากภาคสนามยังสะท้อนว่า แม้มีกลไกสอบบรรจุและการย้าย (TRS) ถูกใช้ต่อเนื่อง แต่ “ช่องว่างเชิงโครงสร้าง” ระหว่างจำนวนครูบรรจุกับจำนวนครูที่จำเป็นต่อการจัดการเรียนการสอนตามอัตราส่วนครูต่อนักเรียน ยังคงทำให้ต้องพึ่งพาพนักงานราชการและครูอัตราจ้างจำนวนมากในหลายพื้นที่

ทางออกเชิงระบบ จาก HR Dashboard สู่การยกระดับความมั่นคงครู

รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์อัตรากำลังครู พ.ศ. 2566–2568 เสนอแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับข้อเรียกร้องของสหพันธ์ครูเชียงรายอย่างมีนัยสำคัญ โดยแบ่งเป็นสามทิศทางหลัก

  1. บูรณาการข้อมูลและสร้าง HR Dashboard ระดับจังหวัด
    • ให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงรายเป็น “แม่ข่ายข้อมูล” บังคับใช้การรายงานตัวเลขข้าราชการครู พนักงานราชการ และครูอัตราจ้าง จากทุกเขตพื้นที่ (สพป.1–4, สพม., อาชีวศึกษา) อย่างสม่ำเสมอ
    • สร้าง “บัญชีสินค้าคงคลังบุคลากรครู” ที่ระบุทั้งตำแหน่งการสอน (รายวิชาเอก) แหล่งเงินทุนที่ใช้จ้าง และระดับความขาดแคลนในแต่ละพื้นที่
    • ข้อมูลชุดนี้จะเป็นฐานสำคัญในการยื่นเรื่องต่อ สพฐ. และ คปร. เพื่อขอกรอบอัตรากำลังและงบประมาณที่สอดคล้องกับสภาพจริงในเชียงราย
  2. จัดทำแผนความมั่นคงทางการจ้างงานระยะกลาง (3–5 ปี)
    • ผลักดันให้มีงบประมาณอุดหนุนเฉพาะกิจจากส่วนกลาง เพื่อทดแทนการใช้เงินรายได้สถานศึกษาในการจ้าง “ครูอัตราจ้างที่ทำหน้าที่สอนหลัก”
    • ลดความผันผวนของกำลังคน และลดความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนที่มีรายได้ต่างกัน
    • ยื่นเรื่องต่อ คปร. เพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาสัญญาจ้างของบุคลากรกลุ่มนี้จาก 1 ปี ให้ยาวขึ้นในกรอบ 3–5 ปี เพื่อสร้างเสถียรภาพและขวัญกำลังใจ
  3. ทบทวนเกณฑ์จัดสรรตำแหน่งพนักงานราชการ (PCE) ให้สอดคล้องภาระงานจริง
    • พิจารณาโควตา PCE บนฐาน “ความขาดแคลนจริง” ระหว่างจำนวนข้าราชการครูที่มีอยู่ กับอัตราส่วนนักเรียนต่อครูที่ต้องการในแต่ละระดับ
    • ให้ความสำคัญกับสถานศึกษาที่ต้องจ้างครูจากเงินรายได้ในสัดส่วนสูง เพื่อค่อย ๆ เปลี่ยนภาระทางการเงินจากระดับโรงเรียนไปสู่โครงสร้างงบประมาณกลางของรัฐ

แนวทางเหล่านี้ หากดำเนินการควบคู่ไปกับการปฏิรูประบบวิทยฐานะ และการสร้างแรงจูงใจในสาขาขาดแคลนอย่าง STEM จะทำให้การพึ่งพากำลังคน “ไม่บรรจุ” ในระดับวิกฤตสามารถคลี่คลายลงได้อย่างเป็นขั้นตอน

จุดตัดสำคัญของอนาคตครูและอนาคตเด็กเชียงราย

ภาพรวมในช่วงปี พ.ศ. 2566–2568 ชี้ชัดว่า จังหวัดเชียงรายกำลังยืนอยู่บน “จุดตัดสำคัญ” ระหว่าง

  • ระบบการศึกษาที่ขับเคลื่อนด้วยครูในสถานะไม่มั่นคง จำนวนมากกว่าครูบรรจุในบางสถาบัน
    กับ
  • โอกาสในการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ผ่านการบูรณาการข้อมูลและการปรับระบบงบประมาณและอัตรากำลังให้สอดคล้องกับความเป็นจริง

แถลงการณ์ของสหพันธ์ครูเชียงรายในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 จึงไม่ใช่เพียง “เสียงสะท้อนความเดือดร้อนของครู” แต่ยังเป็น “สัญญาณเตือนเชิงระบบ” ว่า หากการกำหนดนโยบายยังไม่ขยับตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในตัวเลขและภาคสนาม เด็กเชียงรายจำนวนมากอาจต้องเติบโตขึ้นในระบบที่ครูผู้สอนของพวกเขายังไม่แน่ใจว่า “ปีหน้า จะยังมีงานอยู่ที่เดิมหรือไม่”

ท่ามกลางความคาดหวังของสังคมที่ต้องการเห็นการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย การทำให้ “คนต้นทางของการเรียนรู้” ได้รับความเป็นธรรมและความมั่นคงในอาชีพ จึงไม่ใช่เพียงประเด็นสวัสดิการของครู แต่คือคำถามใหญ่ของอนาคตจังหวัดเชียงราย และอนาคตของเด็กไทยทั้งประเทศ

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สภาผู้บริโภครับลูกชาวบ้าน ทวงถามความรับผิดชอบปม “ขยะฝังดินล่องหน” ทต.แม่ยาว

สังคมเงียบงันทต.แม่ยาวยังไร้คำตอบ ปม “ขยะฝังดินล่องหน” หลังสภาองค์กรของผู้บริโภค รับลูกชาวบ้าน ยื่นหนังสือจี้ความรับผิดชอบและความโปร่งใส

เชียงราย, 22 พฤศจิกายน 2568 — เสียงเรียกร้อง “ขอคำตอบที่ตรงไปตรงมา” จากชาวตำบลแม่ยาว จังหวัดเชียงราย กำลังก้องอยู่ท่ามกลางความเงียบของหน่วยงานท้องถิ่น เมื่อกรณี “ขยะฝังดินล่องหน” ที่ถูกกล่าวหาว่าเทศบาลตำบลแม่ยาว (ทต.แม่ยาว) นำไปฝังกลบโดยมิชอบ ยังไม่มีคำชี้แจงที่ชัดเจนต่อสาธารณะ ทั้งๆ ที่ สภาองค์กรของผู้บริโภคจังหวัดเชียงราย ได้รับเรื่องร้องเรียนและประกาศจะส่งหนังสือสอบถามอย่างเป็นทางการแล้ว

“หลังชาวบ้านมาร้องเรียน เราจะทำหนังสือถึงเทศบาลตำบลแม่ยาว ขอคำชี้แจงและติดตามคำตอบเพื่อนำไปสู่ขั้นตอนต่อไปตามลำดับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภค” — ธนชัย ฟูเฟื่อง หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดเชียงราย สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวย้ำต่อทีมข่าว

แม้ทต.แม่ยาวจะมีแนวทางแก้ไขระยะยาว เช่น การเตรียมทำบันทึกข้อตกลง (MOU) เรื่องการขนและปลายทางของขยะกับหน่วยงานอื่น แต่สำหรับชาวบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ บ้านห้วยทรายขาว หมู่ 4 คำถามเร่งด่วนกลับอยู่ที่ “ต้นสายปลายเหตุ” ใครเป็นผู้สั่งการให้ฝังกลบ, ขยะที่ฝังกลบนั้นคืออะไร, และ มาตรการตรวจสอบความปลอดภัยได้ทำจริงหรือไม่ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำตอบสาธารณะจากผู้มีอำนาจในเทศบาล

ฉากหลังของความเงียบ เมื่อ “การจัดการระยะยาว” เดินหน้า แต่ “คำอธิบายอดีต” ยังไม่มี

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อชาวบ้านในพื้นที่พบการนำขยะมาพักและฝังกลบในบริเวณใกล้ชุมชนและแหล่งน้ำ โดยอ้างว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหลังการย้ายเขตการปกครองของชุมชนบางแห่ง อย่างไรก็ดี การดำเนินการลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดคำถามด้าน ความชอบด้วยกฎหมาย, ความปลอดภัยด้านสาธารณสุข, และ ความรับผิดชอบทางปกครอง ในหลายมิติ

“สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่คำถามว่า ‘ต่อจากนี้ขยะจะไปไหน’ แต่คือคำถามว่า ‘ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ใครรับผิดชอบ’” ตัวแทนชาวบ้านสะท้อนประเด็นหลัก หลังทราบข่าวการทำ MOU จัดการขยะในอนาคต แต่ยังไม่เห็นการชี้แจงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่

ในหนังสือร้องเรียนของชาวบ้านที่ส่งถึงนายกเทศบาลตำบลแม่ยาวและคณะผู้บริหาร มี 3 คำถามสำคัญ ที่ต้องการคำตอบเป็นลำดับแรก ได้แก่

  1. ขยะที่ถูกฝังกลบไปแล้วและถูกขุดขึ้นมา มีสิ่งของอันตรายหรือไม่   หากมี ต้องเปิดเผยรายการและผลตรวจอย่างโปร่งใส
  2. ขยะที่ยังเหลืออยู่ ได้ตรวจสอบแล้วหรือยังว่าเป็นขยะอันตรายหรือไม่   ต้องมีเอกสารและหน่วยตรวจสอบที่เชื่อถือได้
  3. ขอรายละเอียดวัน เวลา สถานที่ และวิธีการขนทิ้ง   เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมสังเกตการณ์หรือรับรู้ข้อมูลได้โดยตรง ลดความกังวลและข้อสงสัย

ขณะที่ฝ่ายชุมชนเห็นว่า “การทำ MOU เรื่องปลายทางของขยะ” เป็นเพียงวิธีแก้ปัญหา ปลายเหตุ การฟื้นฟูความเชื่อมั่นจำเป็นต้องเริ่มที่ การอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และ การแสดงความรับผิดชอบของผู้มีอำนาจ ในฐานะผู้ดูแลพื้นที่สาธารณะ

บทบาทของสภาองค์กรของผู้บริโภค  กดปุ่มตรวจสอบ “สิทธิผู้บริโภคด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ”

การที่ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาฯ) เข้ามารับเรื่องถือเป็น “กลไกภายนอก” ที่ช่วยตรวจสอบความโปร่งใสของกระบวนการในระดับท้องถิ่น โดยมีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครอง สิทธิผู้บริโภคในการได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา เมื่อปัญหาอาจกระทบต่อคุณภาพน้ำ อากาศ สิ่งแวดล้อม และสุขภาวะของประชาชน

ธนชัย ฟูเฟื่อง ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า สภาฯ จังหวัดเชียงรายจะดำเนินการทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึงทต.แม่ยาว เพื่อขอคำชี้แจงในประเด็นที่ประชาชนร้องเรียน พร้อมติดตามคำตอบและ เปิดเผยความคืบหน้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้หน่วยงานรัฐ อธิบายเหตุผล-ข้อเท็จจริง และ ระบุผู้รับผิดชอบ ต่อการตัดสินใจในอดีตให้ชัดเจน

ในหนังสือร้องเรียนเดียวกัน ชุมชนยังระบุรายชื่อผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่นายกเทศบาล ปลัดเทศบาล ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมเรียกร้อง “การแสดงความจริงใจ” ในการแก้ไขปัญหา โดยให้ ชี้แจงต่อประชาชนในที่ประชุมอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่การสื่อสารผ่านช่องทางไม่เป็นทางการเพียงอย่างเดียว

ทำไม “คำอธิบายต้นเหตุ” จึงสำคัญกว่าการประกาศแนวทางใหม่

1) ความเชื่อมั่นของสาธารณะ

ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับขยะมูลฝอยและแหล่งน้ำ ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นทุนทางสังคมที่สำคัญที่สุด การสื่อสารแต่ “มาตรการในอนาคต” โดยไม่ทบทวน “บทเรียนที่ผ่านมา” จะไม่สามารถกู้ความเชื่อมั่นได้เต็มที่ เพราะประชาชนยังไม่ทราบว่า ความเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นได้ถูกประเมินและแก้ไขอย่างไร และ ใครรับผิดชอบทางนโยบาย-ปฏิบัติ

2) การป้องกันซ้ำรอยเชิงระบบ

การอธิบายต้นเหตุอย่างโปร่งใสทำให้สังคมเห็น ช่องโหว่อำนาจ-ขั้นตอน-ความรู้ ที่ต้องอุด เพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดซ้ำ อาทิ ช่องว่างการสื่อสารระหว่างหน่วยงาน การอนุญาตการใช้พื้นที่ผิดประเภท การขาดระบบตรวจสอบภายใน หรือการประเมินความเสี่ยงต่อแหล่งน้ำที่ไม่เพียงพอ

3) ฐานข้อมูลเพื่อการเยียวยา

หากมีผู้ประกอบการหรือประชาชนได้รับผลกระทบ (เช่น ยอดสั่งซื้อสินค้าที่ลดลง หรือค่าใช้จ่ายในการจัดหาน้ำสะอาด) การมี “คำอธิบายต้นเหตุ” และ “ข้อมูลตรวจสอบขยะ” ที่เป็นลายลักษณ์อักษร จะช่วยให้การเยียวยาเป็นไป บนหลักฐาน ไม่ใช่ความรู้สึก

ภาพใหญ่ว่าด้วย “ขยะกับแหล่งน้ำ”  ความเสี่ยงที่ชาวบ้านกังวล

แม้ปริมาณขยะที่ถูกฝังกลบ และชนิดของขยะในกรณีนี้ยังรอผลตรวจที่เป็นทางการ แต่ความกังวลของชุมชนสะท้อนความรู้พื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง การฝังกลบโดยไม่มีมาตรการทางวิศวกรรม (เช่น พื้นรองกันรั่วซึม ระบบรวบรวมน้ำชะขยะ และระบบบำบัด) อาจก่อให้เกิด น้ำชะขยะ (leachate) ไหลปะปนลงสู่ดินและแหล่งน้ำผิวดิน/ใต้ดิน จนส่งผลต่อคุณภาพน้ำในครัวเรือน การเกษตร และสุขภาพสาธารณะ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่แหล่งน้ำอยู่ใกล้ชุมชน

ความเสี่ยงอีกด้านคือ การสับสนของข้อมูล   หากหน่วยงานไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าขยะที่ฝังเป็น “ขยะทั่วไป” หรือ “ขยะอันตราย” และไม่ได้มีผลตรวจจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ ความหวาดระแวงของประชาชนจะสูงขึ้น และกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชุมชนในระยะยาว

องค์ประกอบของคำชี้แจงที่สังคมคาดหวัง (และตรวจสอบได้)

เพื่อให้ข้อเท็จจริงเดินหน้าและความเชื่อมั่นกลับคืน การชี้แจงของทต.แม่ยาวควรมีองค์ประกอบ ครบ-ชัด-ตรวจสอบได้ อย่างน้อย 7 ข้อ ดังนี้

  1. ไทม์ไลน์เหตุการณ์ — วันที่ เวลา สถานที่ การตัดสินใจ และผู้สั่งการในแต่ละช่วง
  2. ชนิดและปริมาณขยะ — เอกสารกำกับการขนถ่าย (ถ้ามี) พร้อมผลตรวจวิเคราะห์จากหน่วยงาน/ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง
  3. ผลตรวจพื้นที่ฝังกลบ/พื้นที่โดยรอบ — คุณภาพน้ำดิบ ดิน และกลิ่น ในระยะก่อน-ระหว่าง-หลังการขุดคืน พร้อมแผนติดตาม
  4. มาตรการควบคุมความเสี่ยงทันที (containment) — วิธีการเก็บกู้ออกจากพื้นที่ การป้องกันน้ำฝนชะล้าง การจัดพื้นที่พักวัสดุชั่วคราวอย่างถูกวิธี
  5. ปลายทางของขยะที่ขุดคืน — โรงงาน/สถานที่ปลายทางที่ได้รับอนุญาต รอบเวลา/เส้นทางขนส่ง และหลักฐานการรับมอบ
  6. การมีส่วนร่วมของประชาชน — ช่องทางสังเกตการณ์ รายงานผล และการรับข้อร้องเรียนพร้อมกำหนดเวลาตอบสนอง (SLA)
  7. ผู้รับผิดชอบและบทเรียน — ระบุบทเรียนเชิงกระบวนการ/บุคลากร และแผนป้องกันซ้ำ

หากสาระสำคัญทั้ง 7 ข้อนี้ปรากฏอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร กอปรกับการพบปะชี้แจงสาธารณะ จะช่วย “ปลดล็อก” วิกฤตความเชื่อมั่นที่กำลังเกิดขึ้นได้มาก

จากประเด็นท้องถิ่น สู่บรรทัดฐานธรรมาภิบาล

กรณีแม่ยาวมิได้เป็นเพียงเรื่อง “ขยะกองหนึ่ง” แต่สะท้อนโจทย์ใหญ่ของการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะในระดับท้องถิ่น กฎหมายและมาตรฐานมีอยู่แล้ว แต่การสื่อสารและการบังคับใช้ต้องปรากฏจริง การนำขยะไปฝังกลบในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะใกล้แหล่งน้ำหรือชุมชน เป็นเรื่องที่ทุกหน่วยงานทราบดีว่ามีความเสี่ยงสูง การตัดสินใจดังกล่าวจึงต้องมี หลักฐานทางวิชาการ และ กระบวนการมีส่วนร่วม รองรับอย่างเคร่งครัด

ในทางปกครอง หลักธรรมาภิบาลกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อเกิดเหตุที่กระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะในชุมชน หน่วยงานรัฐต้อง ชี้แจง-รับฟัง-แก้ไข-ติดตาม อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันชุมชนเองก็มีหน้าที่ ตั้งคำถามบนข้อเท็จจริง และร่วมตรวจสอบอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งบทบาทของสภาองค์กรของผู้บริโภคในครั้งนี้จึงถือเป็น “สะพาน” เชื่อมข้อเรียกร้องของประชาชนกับกระบวนการราชการให้เดินหน้า

ทางออกเชิงระบบ  ไม่ใช่แค่ “ย้ายที่ทิ้ง” แต่ต้อง “ยกระดับทั้งห่วงโซ่”

แม้การทำ MOU กับหน่วยงานปลายทางจะช่วยลดแรงกดดันเฉพาะหน้า แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนควรมองทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ แหล่งกำเนิด-การคัดแยก-การขนส่ง-สถานที่พักชั่วคราว-ปลายทางกำจัด รวมถึงการบริหารความเสี่ยงในสถานการณ์ฉุกเฉิน แนวทางที่จับต้องได้ อาทิ

  • ระบบคัดแยกต้นทางระดับชุมชน พร้อมการเก็บแยกประเภทและรอบเวลาที่แน่นอน ลดภาระฝังกลบ
  • สถานที่พักขยะชั่วคราวมาตรฐาน มีหลังคา พื้นรองกันรั่วซึม รางรวบรวมน้ำชะขยะ และบ่อบำบัด
  • แผนขนส่งโปร่งใส ระบุเส้นทาง-เวลาขนย้าย พร้อมบันทึก/หลักฐานการรับมอบปลายทาง
  • แดชบอร์ดข้อมูลสาธารณะ รายงานตัวชี้วัด (จำนวน/ชนิดขยะ ผลตรวจคุณภาพน้ำ/กลิ่น/เสียง ข้อร้องเรียน และการแก้ไข)
  • เวทีพบปะชุมชนรายไตรมาส เพื่อติดตามผล ข้อเสนอแนะ และสรุป “แก้แล้ว-กำลังดำเนินการ-เสร็จเมื่อไร”

การยกระดับเช่นนี้ทำให้ “ความเสี่ยง” ถูกจัดการเป็นระบบ ไม่ขึ้นกับดุลยพินิจรายบุคคล และที่สำคัญคือ ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย

จากความเงียบ สู่ความจริง

ความเงียบของหน่วยงานรัฐในประเด็นที่กระทบต่อ น้ำที่ดื่ม-อากาศที่หายใจ-ผืนดินที่เพาะปลูก ไม่ใช่ทางออกในปี 2568 ที่ข้อมูลเดินทางเร็วกว่าเดิม สังคมคาดหวังคำชี้แจงอย่างเป็นทางการที่มี ข้อมูลรองรับ และ แผนแก้ไขที่ตรวจสอบได้ ยิ่งสภาองค์กรของผู้บริโภคเข้าสู่กระบวนการแล้ว ยิ่งเป็นโอกาสของทต.แม่ยาวที่จะ เปิดข้อมูล-รับฟัง-ลงมือ เพื่อพาเรื่องนี้ไปสู่ จุดคลี่คลาย อย่างมีศักดิ์ศรีทุกฝ่าย

ในระยะสั้น สังคมต้องการคำตอบ 3 ข้อของชาวบ้านอย่างเร่งด่วน ในระยะกลาง ต้องการเห็นไทม์ไลน์รับผิดชอบ-แก้ไข-ติดตาม ในระยะยาว ต้องการเห็นระบบจัดการขยะที่ไม่นำพาความเสี่ยงกลับมาวนซ้ำ

เมื่อคำตอบเกิดขึ้นบนข้อมูลและความโปร่งใส ความสงสัยจะกลายเป็นความร่วมมือ และแม่ยาวจะได้ทั้ง “สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย” และ “การบริหารที่น่าเชื่อถือ” ควบคู่กัน

Fact Box ประเด็นที่ต้องจับตา 

  • หนังสือสอบถามของสภาองค์กรของผู้บริโภค ถึงทต.แม่ยาว ออกเมื่อใด เนื้อหาขอข้อมูลอะไร และกำหนดเวลาตอบภายในกี่วัน
  • ผลตรวจชนิดขยะและพื้นที่ ใครเป็นผู้ตรวจ ห้องปฏิบัติการใด มาตรฐานอะไร และเผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อใด
  • ปลายทางขยะที่ขุดคืน ชื่อสถานที่/โรงงานที่ได้รับอนุญาต รอบเวลาขนย้าย หลักฐานการรับมอบ
  • การสื่อสารสาธารณะ มีเวทีชี้แจง/ระบบรับข้อร้องเรียน/แดชบอร์ดข้อมูลแบบเปิดหรือไม่
  • บทเรียนและผู้รับผิดชอบ มีการระบุ/ทบทวนกระบวนการตัดสินใจเดิม และมาตรการป้องกันซ้ำรอยหรือไม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • หน่วยงานประจำจังหวัดเชียงราย สภาองค์กรของผู้บริโภค
  • หนังสือร้องเรียนของชาวบ้านบ้านห้วยทรายขาว หมู่ 4 ถึงนายกเทศบาลตำบลแม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

กำนันแม่ยาวตั้ง 7 คำถามจี้ “นายกพงษ์” เคลียร์ปม “บ่อขยะเถื่อน” ใกล้โรงน้ำดื่ม

วิกฤตศรัทธาในแม่ยาว กำนันตั้ง 7 คำถามจี้ “นายกพงษ์” เคลียร์ปม “บ่อขยะเถื่อน” ใกล้โรงน้ำดื่ม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ใครรับผิดชอบ?

เชียงราย, 20 พ.ย. 2568 – ความขัดแย้งเรื่องการจัดการขยะในตำบลแม่ยาวปะทุสู่ “วิกฤตศรัทธา” หลังมีข้อกล่าวหาว่าเทศบาลตำบลแม่ยาวนำขยะไป “พัก/ฝังกลบ” ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มชุมชน ตั้งแต่ 11 พ.ย. 2568 จนประชาชนขาดความเชื่อมั่น กำนันตำบลแม่ยาว “ปรัตถกร การเร็ว” ทำหนังสือถึงเทศบาล ยื่น 7 คำถามเร่งด่วน ตั้งหลักธรรมาภิบาลและการเยียวยาผู้เสียหาย ขณะที่กรอบกฎหมายไทยชี้ชัด หากการกระทำเข้าข่ายละเมิดหรือทุจริต หน่วยงานรัฐต้องชดใช้–แก้ไข และอาจเรียกคืนความเสียหายจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้

กลิ่นขยะที่ลอยมากับคำถามเรื่องความรับผิดชอบ

บทเรียนเรื่อง “ขยะ” มักเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่คนพยายามมองข้าม แต่ผลสะสมกลับใหญ่เกินปล่อยผ่าน เมื่อชุมชนบ้านดอยถูก “ย้ายเขตการปกครอง” จากเทศบาลนครเชียงรายไปสังกัดเทศบาลตำบลแม่ยาว การเปลี่ยนมือ “ผู้รับผิดชอบ” กลายเป็นรอยต่อที่สะดุด จนขยะไม่ถูกเก็บตามรอบ เกิดการกองสุม ส่งกลิ่น และนำไปสู่ข้อกล่าวหาว่ามีการ “นำขยะมาพักหรือฝังกลบ” ในพื้นที่เทศบาลแม่ยาวใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มของชุมชน

นับจากวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 กระแสวิตกในพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือ “ศรัทธา” ต่อกลไกท้องถิ่นที่ควรปกป้องสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจน้ำดื่มชุมชน วิสาหกิจชุมชนน้ำดื่มปกครองตำบลแม่ยาว ถูกลูกค้ายกเลิกออเดอร์จากความกังวลเรื่องคุณภาพน้ำ คำถามจึงไม่ใช่เพียง “ทิ้งที่ไหน” แต่คือ “ใครสั่ง ใครทำ และใครรับผิดชอบ”

ไทม์ไลน์ จาก “ย้ายเขต” สู่ “บ่อขยะเถื่อน” และหนังสือ 7 คำถาม

  • ก่อน ต.ค.–พ.ย. 2568 ชุมชนบ้านดอยเดิมอยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลนครเชียงราย มีการเก็บขยะถี่เป็นประจำ
  • ช่วงย้ายเขตการปกครอง บ้านดอยถูกจัดให้อยู่ในหมู่ 17 ตำบลแม่ยาว การเก็บขยะปรับเป็นทุก 7–10 วัน ส่งผลให้ขยะตกค้างริมทางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • 11 พ.ย. 2568 เกิดเหตุที่ชาวบ้านและฝ่ายปกครองชี้ว่ามีการ “นำขยะมาพักหรือฝังกลบ” ในเขตเทศบาลตำบลแม่ยาว บริเวณใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มชุมชน
  • 12 พ.ย. 2568 ความกังวลสาธารณะพุ่งสูง วิสาหกิจชุมนุมน้ำดื่มได้รับผลกระทบจากการยกเลิกออเดอร์จำนวนมาก สะท้อน “ความเชื่อมั่นที่หายไป”
  • ถัดมา กำนันตำบลแม่ยาว “ปรัตถกร การเร็ว” โพสต์และเตรียมทำหนังสือถึงเทศบาล ยื่น 7 คำถามหลัก เพื่อขอคำชี้แจง–มาตรการ–เยียวยา และเร่งวาระ MOU ด้านการจัดการขยะกับเทศบาลนครเชียงราย

ไทม์ไลน์นี้ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง การเปลี่ยนผ่าน “ผู้รับผิดชอบ” โดยไม่มีระบบรองรับที่รัดกุมเพียงพอ และการตัดสินใจเชิงปฏิบัติการที่ขาดหลักวิชาการ จนพาไปสู่วิกฤตศรัทธาที่จับต้องได้

จุดแตกหัก ความเสียหายที่มองเห็นและความกลัวที่มองไม่เห็น

ความเสียหายเชิงเศรษฐกิจ เกิดขึ้นทันทีและชัดเจน โรงน้ำดื่มชุมชนซึ่งเป็นแหล่งน้ำบริโภคสำคัญของชาวบ้านต้องเผชิญการยกเลิกออเดอร์ “จากความกังวล” ไม่ว่าผลตรวจจะออกมาว่าอย่างไรในภายหลัง “ความกลัว” ได้ทำงานก่อนแล้ว

ความเสียหายเชิงสังคม คือความเสื่อมถอยของความไว้วางใจต่อรัฐท้องถิ่น ประชาชนตั้งคำถามว่า “เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ก่อปัญหาเสียเอง” แล้วกลไกไหนจะปกป้องพวกเขา

ความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แม้ยังรอการยืนยันจากผลตรวจผู้เชี่ยวชาญภายนอก แต่บทเรียนทั่วประเทศชี้ให้เห็นแนวโน้มเดียวกัน การพัก/ฝังขยะโดยไม่ผ่านระบบมาตรฐาน มักนำไปสู่ น้ำชะขยะ (Leachate) ปนเปื้อนลงดินและน้ำ รุกล้ำห่วงโซ่อาหารและสุขภาวะในระยะยาว

7 คำถามของกำนัน แผนที่ทางออกด้วย “ธรรมาภิบาล”

กำนันปรัตถกร การเร็ว ยื่น 7 คำถาม ถึงเทศบาลตำบลแม่ยาว เป็นหมุดหมายสำคัญของการทวงคืนความเชื่อมั่น

  1. จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร ต่อการจัดการขยะที่ผิดพลาด ทั้งระดับนโยบายและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ
  2. มีผู้เชี่ยวชาญภายนอกตรวจคุณภาพน้ำ–อากาศ–กลิ่น แล้วหรือยัง และผลจะสื่อสารสาธารณะอย่างโปร่งใสเมื่อใด
  3. มีหนังสือชี้แจงผู้บริโภคน้ำดื่ม ของโรงน้ำดื่มแม่ยาวแล้วหรือยัง เพื่อคลี่คลายความวิตก
  4. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว ให้กับผู้บริโภคน้ำดื่มคืออะไร จะจัดระบบสุ่มตรวจ/ประกาศผลถี่เพียงใด
  5. การเยียวยาผู้ประกอบการโรงน้ำดื่ม ที่ถูกยกเลิกออเดอร์จำนวนมาก จะประเมิน–จ่าย–ติดตามอย่างไร
  6. แผนจัดการขยะระยะยาวของบ้านดอย หลังย้ายเขต จะใช้วิธีใด ที่ไหน ใครกำกับ และมีการรับฟังชุมชนหรือไม่
  7. ความคืบหน้า MOU ระหว่างเทศบาลตำบลแม่ยาว–เทศบาลนครเชียงราย จะลงนามเมื่อใด และมีข้อกำหนดบริการ/ความถี่/งบประมาณที่ชัดเจนเพียงใด

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการ “ทวงคำตอบ” แต่คือ มาตรวัดธรรมาภิบาล ความโปร่งใส (Transparency) ความรับผิดรับชอบ (Accountability) และการมีส่วนร่วม (Participation) ที่จะพาชุมชนกลับสู่สภาวะไว้วางใจ

กฎหมายว่าอย่างไร เมื่อ “ทิ้งถูก” แต่ “ที่ทิ้งไม่ถูก”

จากข้อมูลเชิงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมักถูกอ้างถึงในคดีลักษณะเดียวกันทั่วประเทศ แนวทางตีความความรับผิดมี 3 มิติ ซ้อนทับกัน

1) อาญา ฐานละเว้น/ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

หากพบว่ามีการ สั่งการ/ยินยอม/รู้เห็น ให้พักหรือฝังกลบขยะในที่ที่ไม่เหมาะสมหรือใกล้แหล่งน้ำ อาจเข้าข่าย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (ปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือโดยทุจริต) และกรณีที่มีพยานหลักฐานเรื่อง ทุจริต ในการจัดซื้อจัดจ้างหรือใช้ดุลยพินิจโดยทุจริต อาจเข้าข่ายกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 172 ได้

2) วินัย ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง

เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลหรือปรากฏข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ การลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงสามารถดำเนินการได้ แม้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งแล้ว (ภายใต้กรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด)

3) ปกครอง/ละเมิด ชดใช้ความเสียหายให้ประชาชน

ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หากการกระทำของเจ้าหน้าที่ก่อความเสียหายแก่ประชาชน หน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบชดใช้ก่อน จากนั้น หากเกิดจากเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานรัฐมีสิทธิ “เรียกคืน” จากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้บางส่วน นี่คือ กลไกยับยั้งเชิงการเงิน ที่ทำให้ผู้มีอำนาจต้องระวังต่อการตัดสินใจผิดหลักวิชาการ

บทเรียนจากคดีตัวอย่าง (ตามข้อมูลที่ผู้ให้ข่าวอ้างถึง)

  • คดีบ่อขยะเกาะสมุย (ศาลปกครอง นศ. คดีแดง ส.1/2566) ศาลสั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำจัดขยะคงค้าง–บำบัดน้ำเสียให้เสร็จภายใน 120 วัน เน้นย้ำหน้าที่รัฐต้องแก้ไขเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน
  • คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด อส.2/2564 วินิจฉัยให้ อปท. ชดใช้ค่าสินไหม จากกรณีก่อให้เกิดน้ำเสียไหลลงพื้นที่เกษตรของประชาชน ถือเป็น “ละเมิด” จากการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความระมัดระวังตามหลักวิชาการ

สองกรณีข้างต้น ตามที่ถูกยกเป็นกรอบอ้างอิงในข้อมูล สะท้อนหลักกว้างๆ ว่า หากการกระทำของรัฐ/เจ้าหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายจริง ศาลสามารถบังคับให้แก้ไข–ชดใช้–และปรับปรุงระบบ เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ

บ่อขยะเถื่อนใกล้แหล่งน้ำ” ทำไมถึงเสี่ยง? วิทยาศาสตร์ของน้ำชะขยะ

การพัก/ฝังกลบขยะโดยไม่ผ่านระบบป้องกันมาตรฐาน (เช่น แผ่นรองกันซึม, ระบบเก็บน้ำชะขยะ, บ่อบำบัด, แนวกันน้ำท่วม) มีความเสี่ยงอย่างน้อย 3 ชั้น

  1. น้ำชะขยะ (Leachate) ละลายสารอินทรีย์–โลหะหนัก ไหลซึมลงดิน เข้าสู่แหล่งน้ำตื้น
  2. การกระจายกลิ่น–เชื้อโรค–แมลง สร้างภาวะรบกวนและเสี่ยงต่อสุขภาพชุมชน
  3. ความเสียหายต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ธุรกิจที่พึ่งพา “ความสะอาด–ความเชื่อมั่น” อย่างน้ำดื่ม–อาหาร–ท่องเที่ยว จะถูกกระทบทันทีแม้ยังไม่ยืนยันผลตรวจ

ด้วยเหตุนี้ มาตรฐานสากลและกฎหมายไทยจึงเข้มงวดต่อที่ตั้งบ่อฝังกลบ ห้ามใกล้แหล่งน้ำ และต้องออกแบบรองรับตั้งแต่วันแรก

ทางออกที่จับต้องได้ 5 ชุดมาตรการ “หยุดเลือด–เยียวยา–ป้องกันซ้ำ”

เพื่อคลี่คลายวิกฤตศรัทธาและกู้ระบบให้เดินต่ออย่างยั่งยืน บทความนี้สรุปทางเลือกเชิงปฏิบัติการจากประสบการณ์พื้นที่อื่นและกรอบกฎหมายที่มีอยู่ ดังนี้

1) มาตรการฉุกเฉิน (ภายใน 7–14 วัน)

  • หยุดทันที ต่อการพัก/ฝังกลบขยะในพื้นที่เสี่ยงใกล้แหล่งน้ำ พร้อมปิดกั้นทางน้ำผิวดิน–ผิวใต้ดินชั่วคราว
  • ดึงผู้เชี่ยวชาญภายนอกตรวจคุณภาพน้ำ–อากาศ–กลิ่น ตามจุดเสี่ยง และประกาศผลแบบเปิดเผยเป็นระยะ (เช่น รายสัปดาห์ใน 1–2 เดือนแรก)
  • หนังสือชี้แจงต่อผู้บริโภคน้ำดื่ม อธิบายมาตรการ–ผลตรวจ–แนวทางป้องกันซ้ำ พร้อมตั้ง ศูนย์สื่อสารความเสี่ยง กลางชุมชน

2) การเยียวยาเศรษฐกิจท้องถิ่น

  • สำรวจความเสียหายเชิงธุรกิจ ของวิสาหกิจน้ำดื่ม (ออเดอร์ที่ถูกยกเลิก–ต้นทุนตรวจเพิ่ม–ค่าใช้จ่ายฟื้นความเชื่อมั่น) และกำหนดเกณฑ์เยียวยาที่ชัดเจน
  • กองทุนชั่วคราว ร่วมภาครัฐ–ท้องถิ่น เพื่อบรรเทาผลกระทบเฉียบพลัน พร้อมแผน กู้ภาพลักษณ์ ด้วยตรารับรองคุณภาพน้ำ (ผ่านแล็บกลาง) 3–6 เดือนติดต่อกัน

3) สัญญาประชาคม–MOU จัดการขยะ

  • ลงนาม MOU ระหว่างเทศบาลตำบลแม่ยาว–เทศบาลนครเชียงราย ระบุความถี่เก็บขยะ, เส้นทาง, จุดทิ้งปลายทางที่ได้มาตรฐาน, งบประมาณ, กลไกตรวจสอบ และ ผู้รับผิดชอบชัดเจน
  • ตั้ง แดชบอร์ดสาธารณะ แสดงตารางเก็บ–ปริมาณขยะ–ผลตรวจ–ข้อร้องเรียน–สถานะการแก้ไข ให้ชาวบ้านติดตามแบบเรียลไทม์

4) ปรับโครงสร้างระยะยาว

  • ยึดหลักวิชาการ ในการเลือกจุดพัก/ฝังกลบ–สถานีคัดแยก–ศูนย์รวบรวม รีไซเคิล และสัญญากำจัดปลายทาง
  • ตั้งคณะทำงานร่วมภาคประชาชน มีสิทธิร่วมตรวจสถานที่–สัญญา–รายงานผลการตรวจวัดสิ่งแวดล้อม
  • สร้างวินัยต้นทาง ผ่านอบรม/แรงจูงใจคัดแยกครัวเรือน–ผู้ประกอบการ ลดปริมาณขยะเป้าหมายรายไตรมาส

5) ธรรมาภิบาลและความรับผิด

  • หากผลสอบชี้ว่ามีการสั่งการ/รู้เห็นที่มิชอบ ให้ ดำเนินการตามกฎหมาย ครบทุกมิติ อาญา, วินัย, ละเมิด และพิจารณา เรียกคืนความเสียหาย จากผู้เกี่ยวข้อง
  • ตั้ง คณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริง มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม–สาธารณสุข–ผังเมือง–ตัวแทนชุมชน พร้อมกำหนดกรอบเวลา–เผยแพร่รายงานต่อสาธารณะ

เสียงจากพื้นที่ “ปัญหาอาจจบ แต่ความรู้สึกยังอยู่”

สารจากกำนันปรัตถกรสะท้อนความจริงเชิงสังคมที่สำคัญ ความเชื่อใจสร้างยากและพังง่าย แม้การจัดการเชิงเทคนิคจะกลับเข้ารูปเร็วเพียงใด แต่หากไม่มี “สำนึกความรับผิดและการสื่อสารที่โปร่งใส” วิกฤตศรัทธาจะค้างคาและกลายเป็น ต้นทุนความร่วมมือ ที่แพงยิ่งกว่าค่าจัดการขยะเสียอีก

วิกฤตครั้งนี้คือ “โอกาสทบทวนระบบ”

เหตุการณ์ในแม่ยาวไม่ได้ถามเพียงว่า “ขยะอยู่ไหน” แต่ถามลึกไปถึง ระบบรับผิดชอบร่วม ของรัฐท้องถิ่น ตั้งแต่การวางแผน การสื่อสาร การตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัด ไปจนถึงการยอมรับความผิดพลาดและการเยียวยา

ทางออกที่ยั่งยืนจึงต้องทำพร้อมกัน 3 ชั้น

  1. หยุดความเสี่ยงทันที (Stop the bleeding) ด้วยการห้ามพัก/ฝังกลบในพื้นที่เสี่ยง ตรวจ–ประกาศผล–สื่อสารความเสี่ยง
  2. เยียวยาความเสียหายจริง (Make it right) ชดเชยเศรษฐกิจชุมชน กู้ความเชื่อมั่นด้วยผลตรวจต่อเนื่องและตรารับรอง
  3. ป้องกันซ้ำด้วยระบบ (Fix the system) ผ่าน MOU ที่มีเขี้ยวเล็บ, แดชบอร์ดโปร่งใส, การมีส่วนร่วมของประชาชน และกลไกความรับผิดตามกฎหมาย

สุดท้าย “เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ใครรับผิดชอบ” คำตอบในกรอบกฎหมายไทยชัดเจน หน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบต่อสาธารณะก่อน และหากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานมีสิทธิ เรียกคืนจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ได้ นี่คือหลักความเป็นธรรมที่ต้องเดินคู่กับหลักวิชาการและหัวใจของชุมชน

วิกฤตศรัทธาในแม่ยาว จึงอาจกลายเป็น จุดพลิกระบบ หากทุกฝ่ายยืนอยู่บนความจริง กล้ารับผิด แก้ไขอย่างโปร่งใส และให้ชุมชนเป็นเจ้าของข้อมูลและอนาคตร่วมกัน

ภาคผนวก 7 คำถามของกำนันตำบลแม่ยาว (สรุปสาระ)

  1. รูปธรรมการแสดงความรับผิดชอบของเทศบาลต่อเหตุผิดพลาดครั้งนี้
  2. ผลตรวจคุณภาพน้ำ–อากาศ–กลิ่น โดยผู้เชี่ยวชาญภายนอก และการสื่อสารต่อสาธารณะ
  3. หนังสือชี้แจงผู้บริโภคน้ำดื่มของโรงน้ำดื่มแม่ยาว
  4. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว (เช่น แผนตรวจถี่/ประกาศผล/ตรารับรอง)
  5. รูปแบบ–เกณฑ์การเยียวยาผู้ประกอบการน้ำดื่มที่ถูกยกเลิกออเดอร์จำนวนมาก
  6. แผนจัดการขยะระยะยาวของบ้านดอยหลังย้ายเขต (วิธี–สถานที่–ผู้รับผิดชอบ–การมีส่วนร่วม)
  7. โรดแมป MOU กับเทศบาลนครเชียงราย (วันลงนาม–ข้อกำหนดบริการ–ความถี่–งบประมาณ–กลไกตรวจสอบ)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คำถาม 7 ข้อของ นายปรัตถกร การเร็ว กำนันตำบลแม่ยาว
  • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (ปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ)
  • พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 172 (การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต)
  • พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (หลักการชดใช้และสิทธิเรียกคืนจากเจ้าหน้าที่เมื่อมีเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง)
  • คดีบ่อขยะเกาะสมุย ศาลปกครองนครศรีธรรมราช คดีหมายเลขแดงที่ ส.1/2566 (คำสั่งให้ อปท. กำจัดขยะ–บำบัดน้ำเสียภายใน 120 วัน)
  • คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด อส.2/2564 (ยืนยันความรับผิดทางละเมิดของ อปท. จากน้ำเสียไหลกระทบพื้นที่เกษตร)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้าน-สท. ร้องนายกฯ เทศบาล ปม “ลับ-ลวง-พราง” การจัดการขยะที่ไม่โปร่งใส

วิกฤตขยะแม่ยาว “ลับ–ลวง–พราง” ชาวบ้านร่าร้อง “นายก–ปลัด” ชี้แจง ปม “บ่อขยะเถื่อน” ติดแม่น้ำกก–โรงน้ำดื่ม เสี่ยงปนเปื้อนแหล่งน้ำ ชี้หัวใจคือ “ความจริงใจ–ความปลอดภัยสาธารณะ”

เชียงราย, 14 พฤศจิกายน 2568 – กลางความเงียบของคืนฝนพรำ รถแบคโฮคันหนึ่งเลาะร่องทางเข้าสำนักงานเทศบาลตำบลแม่ยาว มุ่งสู่แนวพงหญ้าหลังอาคาร ก่อนฟันดินเปิดโพรงขนาดใหญ่ “กองกลบ” ที่กำลังรอคอย—คือขยะเปียก–ขยะแห้ง–ถุงดำ–เศษอาหาร—ทั้งหมดถูกทยอยเทลงไปในความมืด ชาวบ้านเล่าว่า การขุด–ทิ้ง–กลบ เกิดขึ้นซ้ำยามค่ำ/วันหยุดราชการคล้ายการทำงานของ “เงามืด” มากกว่างานราชการ

เช้าวันถัดมา กลิ่นคลุ้งตีเข้าหน้า—ชี้นำสายตาไปยัง โรงผลิตน้ำดื่มชุมชนแม่ยาว ที่อยู่ใกล้กัน และ แนวแม่น้ำกก ห่างไม่ถึงร้อยเมตรตามที่ชุมชนระบุ พนักงานโรงน้ำดื่มตัดสินใจ หยุดผลิตชั่วคราว เพื่อส่งน้ำเข้าห้องปฏิบัติการตรวจสอบ “เราอยากให้ลูกค้ามั่นใจ เราไม่เคยทำให้ใครเสีย” ผู้จัดการโรงน้ำดื่มกล่าว บอกถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทันทีจากเหตุการ์ณ “ชั่วคราวเพื่อดับกลิ่น” ของภาครัฐ

ภาพที่เกิดขึ้นไม่ใช่จุดเริ่มต้น หากคือ ผลลัพธ์ปลายทาง ของการจัดการขยะที่สะดุดยาวนานนับเดือนนับแต่ ชุมชนบ้านดอย–หมู่บ้านลลิตา 5 ถูก “ย้ายเขตการปกครอง” จากเทศบาลนครเชียงรายเข้าสู่เขตเทศบาลตำบลแม่ยาว โดยปราศจากการชี้แจงชัดเจน ทำให้เกิดภาวะ “ไร้เจ้าภาพแน่ชัด” ในการเก็บขน ขยะจึงล้นซอย ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2568 ชาวชุมชนร้องเรียน ศูนย์ดำรงธรรม และเข้าหารือหลายครั้ง แต่ “รถเก็บขยะที่รอคอย” ยังมาไม่ทัน กลิ่นเหม็น–ควันเผา–หนู–แมลงวัน–สัตว์จรจัด จึงกลายเป็นภาพคุ้นชินใหม่ของชีวิตรายวัน

ปฏิบัติการกลางคืนหลักฐานกลางวัน “ความผิดสำเร็จแล้วตั้งแต่ฝัง”

การลงพื้นที่ของ สมาชิกสภาเทศบาล (สท.) เขต 1–2 และชาวบ้าน นำไปสู่การค้นพบ “หลุมฝังกลบ” ในเขตปฏิบัติการเทศบาลเอง พร้อมหลักฐาน ขยะที่ฝังไปแล้วบางส่วน และ ขยะค้างปากหลุม ที่กำลังรอคิว เมื่อถูกชี้ถาม “ใครสั่ง?” คำตอบจากเจ้าหน้าที่ชั้นต้นคือ “ไม่ทราบ” ขณะที่นายกเทศมนตรีแจ้งกับชาวบ้านว่า “ติดภารกิจที่ลำปาง” และได้รับรายงานจากทีมบริหารว่าจะเร่งแก้ไขร่วมกัน

ณัฐธยาน์ ตันติอัศวเวชกุล สมาชิกสภาเทศบาล เขต 1 เทศบาลตำบลแม่ยาว ตั้งข้อกล่าวหาอย่างตรงไปตรงมา

  • สองมาตรฐาน ในการจัดเก็บ—ทำไม “บ้านดอย” ได้รับการดูแลพิเศษ ขณะที่ “สายบนดอย” ที่ขยะล้นใกล้แม่น้ำกกกลับไร้การจัดเก็บที่ทันกาล
  • ความโปร่งใส ในการใช้งบ–อนุมัติ รถแบคโฮ “ทำไมกรณีช่วยเหลือชาวบ้านอนุมัติไม่ไวเท่านี้?”

ข้อเท็จจริงที่ตรวจนับได้ หลังถูกจับได้ คืนพุธ มีการขุด–ขนออก 2 เที่ยวรถ วันถัดมาขนออก 12 เที่ยวรถ 6 ล้อ แล้วยัง “เหลือค้าง” สะท้อนปริมาณขยะที่มากเกินกว่าจะเรียกว่า “ซ่อนชั่วคราวเพื่อลดกลิ่น” อย่างไร้แผนรองรับ

เสียงชุมชน–เสียงโรงน้ำดื่ม “ความหวังดี” ที่สวนทาง “ความปลอดภัย”

“ทำไมต้องเลือกทิ้งที่นี่? …ทั้งที่ ติดโรงน้ำดื่ม–ติดแม่น้ำกก” ชาวบ้านตั้งคำถาม ขณะที่ ผู้จัดการโรงน้ำดื่ม ยืนยันว่าโรงงาน หยุดผลิตชั่วคราว และจะ ส่งน้ำตรวจแล็บ ก่อนกลับมาดำเนินงาน เพื่อไม่ให้คำว่า “สะอาด” กลายเป็นคำที่ไร้ความหมาย

“เรามีออร์เดอร์ แต่ต้องหยุดไว้ก่อน …กลิ่นมันแรง ลูกค้าจะมองเราไม่ดี” —ประโยคสั้นๆ แต่สะท้อน “ต้นทุนความเชื่อมั่น” ที่ธุรกิจชุมชนต้องจ่ายแทนรัฐ

คำชี้แจงเทศบาลแม่ยาว “ฝังชั่วคราว–ดับกลิ่น–รอผู้รับเหมา”

ทวิช ยะปะนันท์. ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลแม่ยาว ชี้แจงกับสื่อและชุมชนว่า เทศบาล แบ่งการแก้ปัญหาเป็น 3 ระยะ

  1. เฉพาะหน้า จ้างเอกชนเก็บขยะตกค้างในชุมชน (บ้านดอย–ทวีรักษ์–โรงเรียน) โดยขอความร่วมมือเทศบาลนครเชียงราย
  2. ยาวขึ้น ทำ MOU ร่วมกับเทศบาลนครเชียงราย กำหนดกรอบการจัดการขยะร่วมกัน
  3. สื่อสาร–ลดขยะต้นทาง ลงพื้นที่ให้ความรู้ คัดแยกขยะ กับชุมชน

ส่วน การขุดหลุม–ฝัง ผอ.ชี้แจงว่าเป็น เพื่อลดกลิ่นชั่วคราว ระหว่างรอผู้รับเหมา พร้อม ฉีดพ่นดับกลิ่น ฆ่าเชื้อ และยืนยันว่า ไม่ได้จะทิ้งถาวร”

คำชี้แจงดังกล่าว แม้บอกเจตนาดี แต่กลับ สวนทางหลักสุขาภิบาล อย่างชัดเจนในสายตาชุมชน เพราะ ทำเล ที่เลือกคือ ข้างโรงน้ำดื่ม–ชิดแม่น้ำ และการทำโดย ไม่แจ้ง ไม่ประชาคม จึงกลายเป็นบาดแผลความเชื่อมั่นที่ลึกยิ่งกว่ากลิ่นขยะ

กฎหมาย–มาตรฐาน เมื่อ “ความเร่งด่วน” ต้องไม่ข้าม “ความปลอดภัย”

การตั้ง/ฝังกลบมูลฝอยให้ถูกหลักสุขาภิบาล ต้องผ่าน การอนุญาตออกแบบวิศวกรรม มี ระบบบ่อรับน้ำชะขยะ–บ่อบำบัด–บ่อติดตามคุณภาพน้ำใต้ดิน และ ตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน/ใต้ดินอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเดียวคือ กันน้ำชะขยะไม่ให้ไหลสู่แหล่งน้ำกิน–ใช้ของประชาชน และต้อง ไม่ตั้งในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม หรือใกล้แหล่งน้ำดื่มบาดาลในระยะต้องห้าม/ต้องมีมาตรการป้องกันเข้มงวด

เหนือกว่านั้น โครงการรัฐที่กระทบสุขภาพ–สิ่งแวดล้อม ต้องมีการเผยแพร่ข้อมูล–เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง (เช่น ชาวบ้าน–ผู้ประกอบการโรงน้ำดื่ม) ก่อนเริ่มดำเนินการ การ “แอบทำ” ในยามวิกาล จึงมิใช่เพียงความผิดพลาดทางเทคนิค แต่คือ ความไม่ชอบด้วยกฎหมายทางขั้นตอน และอาจพัฒนาไปสู่ความรับผิดทั้ง ทางวินัย–ทางอาญา–ทางปกครอง หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ–ละเลยมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด

มุมมองทางกฎหมาย การละเมิดที่ร้ายแรง ความผิดสำเร็จแล้ว ตั้งแต่มีการฝังกลบขยะโดยปราศจาก การอนุญาต–ประชาคม และละเมิดหลักสุขาภิบาล (กรณีห้ามตั้ง/ฝังกลบใกล้แหล่งน้ำดื่ม–บาดาลในระยะที่กำหนด)

จากการศึกษาเอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พบว่าการดำเนินการฝังกลบขยะในกรณีนี้มีประเด็นที่น่ากังวลหลายประการ

ประการแรก ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2560 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกสถานที่ตั้งสำหรับฝังกลบมูลฝอยอย่างชัดเจน โดยสถานที่ฝังกลบต้องมีความลึกของก้นบ่อสูงกว่าระดับน้ำใต้ดินสูงสุดไม่ต่ำกว่า 1 เมตร และต้องไม่เป็นพื้นที่ที่น้ำท่วมถึง เว้นแต่จะมีระบบหรือมาตรการป้องกันที่เหมาะสม การฝังกลบขยะใกล้แหล่งน้ำโดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอจึงเป็นการละเมิดข้อกำหนดดังกล่าว

ประการที่สอง สถานที่ฝังกลบที่ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลจะต้องมีระบบบำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐาน และมีบ่อติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำใต้ดินอย่างน้อย 3 บ่อ พร้อมการตรวจสอบอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี การฝังกลบอย่างลับๆ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางเทคนิคเหล่านี้ได้

ประการที่สาม กฎหมายกำหนดให้โครงการของรัฐที่มีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย หรือชุมชนท้องถิ่น ต้องจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนเริ่มดำเนินการ การ “แอบ” ดำเนินการโดยปราศจากกระบวนการดังกล่าวถือเป็นการละเลยขั้นตอนสำคัญตามที่กฎหมายกำหนด

บทเรียนจาก “สงครามขยะ” เมืองเชียงราย วิกฤตเชิงโครงสร้างไม่ควรแก้ด้วย “ทางลัด”

กรณีพิพาทขยะในพื้นที่อื่นของเชียงรายในอดีต—อย่าง เทศบาลตำบลบ้านดู่ ที่เคยถูกสั่งปิดบ่อขยะในเขตป่าสงวน จนนำรถขยะไปหน้าศาลากลางร้องผู้ว่าฯ และเสนอทำ โรงขยะชีวมวล ทว่ายึดติดกับปัญหาผังเมือง—ชี้ให้เห็นว่า การจัดการขยะคือโจทย์โครงสร้าง ต้องการ พื้นที่–เทคโนโลยี–งบประมาณ–การยอมรับของชุมชน “ทางลัด” อย่างการฝังกลบฉุกเฉินใกล้แหล่งน้ำ เพียงย้ายปัญหา จากกลิ่น–ทัศนียภาพ ไปสู่ ความเสี่ยงสารพิษในน้ำ ที่อาจแพงกว่ามากในการเยียวยา

คำถามที่ผู้บริหารต้องตอบ (เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่น)

  1. ใครสั่งการ? มีคำสั่ง/บันทึกอนุมัติใช้งบ–ว่าจ้างรถแบคโฮหรือไม่? ใครรับผิดชอบหน้างาน?
  2. ทำไมเลือกทำเลข้างโรงน้ำดื่ม–ใกล้แม่น้ำกก? ได้ประเมินความเสี่ยงการปนเปื้อนหรือยัง?
  3. ได้แจ้ง–ทำประชาคมหรือไม่? หากไม่ เหตุใดจึงละเลยกระบวนการที่กฎหมายกำหนด?
  4. ผู้รับเหมาเก็บขยะคือใคร? TOR/สัญญา/กำหนดส่งมอบ–ค่าปรับ–แผนสำรองอยู่ที่ใด?
  5. ปริมาณขยะที่ฝัง–ขนย้ายทั้งหมดเท่าใด? หลักฐานการชั่ง–บันทึกเที่ยวรถ–ปลายทางกำจัดอยู่ไหน?
  6. ผลกระทบต่อแหล่งน้ำ–โรงน้ำดื่ม ประเมินอย่างไร? ใครเป็นผู้ตรวจ? จะเปิดผลแล็บเมื่อไร?
  7. มาตรการเยียวยา ต่อธุรกิจชุมชน–ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ (รายได้–สุขภาพ–ทรัพย์สิน) คืออะไร?
  8. แผนถาวร จัดการขยะบ้านดอย–ลลิตา 5 และทั้งตำบลคืออะไร? ใครเป็นเจ้าภาพ–กรอบเวลา–งบประมาณ?

ทางออก “ตรงกลาง” ที่ปลอดภัย แผน 72 ชั่วโมง–โปร่งใส–ตรวจได้

เพื่อหยุดยั้งความเสี่ยงและฟื้นไว้วางใจในระยะสั้น ควรมี คณะกรรมการร่วมแบบ Incident Command นำโดย นายอำเภอ–ผู้ว่าราชการจังหวัด ประสาน เทศบาลแม่ยาว–เทศบาลนคร–สท.–ตัวแทนชุมชน–โรงน้ำดื่ม–สาธารณสุข–หน่วยงานกำกับ ปฏิบัติการ ภายใน 72 ชั่วโมง ดังนี้
(1) ความปลอดภัยแหล่งน้ำ กั้นเขต–ป้องกันน้ำผิวดินไหลผ่าน, เก็บตัวอย่าง น้ำผิวดิน–น้ำใต้ดิน–น้ำประปา ตรวจแล็บโดยหน่วยอิสระ/มหาวิทยาลัยท้องถิ่น และประกาศผล รายวัน ใน 14 วันแรก
(2) ขนย้าย–ฟื้นฟูพื้นที่ บันทึกพิกัด–ปริมาณ–เที่ยวรถ, ย้ายไปสถานที่กำจัดที่ได้รับอนุญาต, เกลี่ย–อัด–ปิดผิว–ปลูกหญ้า, วาง บ่อติดตามน้ำใต้ดิน ชั่วคราวอย่างน้อย 2 จุดท้ายน้ำ
(3) เอกสาร–สัญญา–งบ เปิด TOR/สัญญา/ไทม์ไลน์/ผู้รับเหมา ต่อสาธารณะ, ระบุบทลงโทษกรณีผิดนัด, ตั้ง เบอร์ฮอตไลน์/ช่องทางร้องเรียนออนไลน์
(4) เยียวยา–สื่อสาร กองทุนเยียวยาธุรกิจชุมชน/โรงน้ำดื่มตามหลักฐานเสียหาย, แถลงข่าว ทุก 24 ชม. ในสัปดาห์แรก, ทำ Q&A ตอบข้อสงสัยสาธารณะ
(5) แผนถาวร เลือก สถานที่กำจัดขยะ ตามหลักสุขาภิบาล–เว้นระยะจากแหล่งน้ำ, ประเมิน เทคโนโลยี (คัดแยก–หมัก–เชื้อเพลิงขยะ–ศูนย์ถ่ายลำเลียง), ทำ ประชาคม รอบด้าน, วาง กรอบเวลา–งบประมาณ–ตัวชี้วัด, และตั้ง บอร์ดอิสระ ติดตามรายไตรมาส

มุมมองเชิงระบบ “ไม่ให้เกิดอีก” ต้องเริ่มที่ “ความไว้วางใจ”

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ชัดว่า ความเร่งด่วน ของกลิ่น–กองขยะ ไม่อาจเป็นเหตุผลให้ข้าม ความปลอดภัย–ความโปร่งใส การ “แอบทำ” คืนหนึ่งอาจดูง่าย แต่ค่าเสียหายระยะยาว—ทั้งต่อ สุขภาพ–สิ่งแวดล้อม–ธุรกิจชุมชน–ความเชื่อมั่นภาครัฐ—แพงกว่ามาก

หากเทศบาลแม่ยาวสามารถ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส” ด้วยการ ยอมรับ–เปิดข้อมูล–แก้ไขเชิงระบบ กับเทศบาลนครเชียงรายและชุมชนคู่ขนานกัน เมืองจะได้ แบบอย่างใหม่ ของการจัดการขยะที่ ตรงกลาง–ปลอดภัย–ตรวจสอบได้ และยุติวัฏจักร “ลับ–ลวง–พราง” ไม่ให้ย้อนกลับมาอีก

กล่องสรุป (สำหรับประชาชน–ผู้ประกอบการ)

  • เหตุเกิดจาก ช่องว่างการเก็บขยะ หลังย้ายเขตการปกครอง ชุมชนร้องเรียนตั้งแต่ ต้น ต.ค. 2568
  • พบการ ขุด–ทิ้ง–ฝังกลบ กลางคืน/วันหยุด ในที่ตั้งเทศบาล ติดโรงน้ำดื่ม–ใกล้แม่น้ำกก
  • หลังถูกจับได้ ขุดย้ายออก ≥12 เที่ยวรถ 6 ล้อ แต่ ยังเหลือค้าง
  • โรงน้ำดื่ม หยุดผลิตชั่วคราว–ส่งน้ำตรวจแล็บ เพื่อคงความเชื่อมั่น
  • เทศบาลอ้าง ฝังชั่วคราว–ดับกลิ่น–รอผู้รับเหมา พร้อมแผน 3 ระยะ
  • ชุมชน–สท. เรียกร้อง ชี้แจง–เปิดเอกสาร–ตั้งคณะกรรมการร่วม–ตรวจน้ำอิสระ
  • ข้อเสนอเร่งด่ว แผน 72 ชั่วโมง ปกป้องแหล่งน้ำ–ขนย้าย–ฟื้นฟู–เปิดข้อมูล–เยียวยา

สังคมท้องถิ่นไม่เคยปฏิเสธความหวังดีของรัฐท้องถิ่น แต่ ความหวังดีที่ไม่ยอมกอดคอ “กฎหมาย–วิชาการ–ประชาชน” ย่อมเดินไม่ไกล การยอมรับว่า “ทำผิด” และ แก้ให้ถูก ซ่อมให้โปร่งใส” คือเงื่อนไขแรกของการกลับมาเจอกัน “ตรงกลาง” ที่ปลอดภัย—เพื่อให้แม่น้ำกกยังไหลใส และน้ำดื่มชุมชนยังคงชื่อว่า “สะอาดจริง” ไม่ใช่เพียงฉลาก

ทางแยกระหว่างความไว้วางใจกับความสงสัย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเทศบาลตำบลแม่ยาว จังหวัดเชียงราย เป็นบททดสอบที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยท้องถิ่น เป็นการทดสอบว่าระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลยภาพในระดับท้องถิ่นจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด การที่สมาชิกสภาเทศบาลกล้าออกมาตั้งคำถามและตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร และการที่ชาวบ้านกล้าลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเอง แสดงให้เห็นว่าระบบประชาธิปไตยท้องถิ่นยังมีชีวิตและพลัง

ขณะเดียวกัน การตอบสนองของฝ่ายบริหารต่อข้อกังวลเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชนจะถูกสร้างขึ้นหรือทำลายลง การเลือกที่จะเปิดเผยความจริง รับผิดชอบต่อความผิดพลาด และดำเนินการแก้ไขอย่างโปร่งใส จะเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ดังที่นายสีเมือง ธำมา รองประธานชุมชนห้วยปลากั้ง เคยกล่าวไว้ในบริบทของการเรียกร้องเรื่องการแบ่งเขตการปกครอง “คนที่มารวมตัวในวันนี้ ทุกคนมาด้วยใจ ไม่มีใครบังคับให้มา ทุกคนมาเพื่อแสดงเจตนารมณ์”

ชาวบ้านตำบลแม่ยาวไม่ได้ต้องการอะไรมากนัก พวกเขาต้องการเพียงแค่ความปลอดภัยในการดำรงชีวิต น้ำสะอาดที่ไม่ปนเปื้อน และความมั่นใจว่าผู้บริหารท้องถิ่นของตนจะทำงานเพื่อประโยชน์ของพวกเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ทำงานโดยลับๆ ในเวลากลางคืน คำถามสุดท้ายที่ยังค้างคาใจคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ชาวบ้าน ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการปกครองท้องถิ่น และป้องกันไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต สำหรับตอนนี้ ชาวบ้านตำบลแม่ยาวยังคงรอคำตอบ รอความชัดเจน และรอการดำเนินการที่แสดงถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ในขณะที่แม่น้ำกกยังคงไหลผ่าน พาเอาความหวังและความกังวลของชุมชนไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • ที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงราย
  • ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มฟล. เชียงราย จัดพิธี “จุดเทียนถวายอาลัย” น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระพันปีหลวง”

น้อมรำลึกสุดอาลัย! มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงนำพสกนิกรเชียงราย ร่วมพิธีถวายความเคารพ

เชียงราย, 25 ตุลาคม 2568 – แสงเทียนหลายสิบเล่มค่อย ๆ สว่างขึ้นท่ามกลางความมืดของลานเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย พร้อมเสียงสวดถวายความอาลัยที่ดังขึ้นอย่างนอบน้อม นี่ไม่ใช่เพียงพิธีเชิงสัญลักษณ์ แต่คือภาพสะท้อนของสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สั่งสมมาหลายทศวรรษต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนไทยทั้งแผ่นดิน

พิธี “จุดเทียนน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 เวลา 18.00 น. หลังจากสำนักพระราชวังประกาศการสวรรคตอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระพันปีหลวง ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้าของทั้งประเทศ ภายในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทำหน้าที่นำคณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา และประชาชนชาวเชียงรายกว่า 100 คน ร่วมถวายอาลัยแด่ “พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย” ด้วยความอ่อนน้อมและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทรงมีต่อชาติบ้านเมือง

พิธีดังกล่าวมีความหมายทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงสถาบัน เพราะมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมิได้เป็นเพียงสถาบันอุดมศึกษาในภาคเหนือ หากยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้พระราชปณิธานด้านการพัฒนาคนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (สมเด็จย่า) ผู้ทรงเป็น “แม่ฟ้าหลวง” อันเป็นที่มาของพระนามมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มักยืนอยู่แนวหน้าในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในวาระสำคัญของแผ่นดิน

ความอาลัยที่มากกว่าพิธีการ “พระองค์ทรงอยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน”

ในพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร กล่าวถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาติด้วยถ้อยคำที่สะท้อนความรู้สึกของคนไทยจำนวนมากในช่วงเวลานี้ว่า

“พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศต่างโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติและประชาชน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงได้จัดพิธีจุดเทียนขึ้น เพื่อถวายความเคารพและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้”

ข้อความดังกล่าวมิได้เป็นเพียงคำปราศรัยในโอกาสพิเศษ แต่คือการย้ำเตือนว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีบทบาทอันยิ่งใหญ่ต่อการพัฒนาสังคมไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นศิลปวัฒนธรรม วิถีชุมชนชายแดน การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และต้นน้ำ การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การดูแลประชาชนในพื้นที่ทุรกันดาร รวมถึงการทรงงานด้านสาธารณสุขและสวัสดิการสังคม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สำหรับจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือ พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวงถูกจดจำอย่างลึกซึ้งในมิติการพัฒนาอาชีพและเศรษฐกิจชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริมงานหัตถกรรมผ้า การพัฒนาคุณภาพชีวิตของสตรี และการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างคนกับป่า ซึ่งทั้งหมดนี้ได้วางรากฐานให้หลายชุมชนในภาคเหนือสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีในระยะยาว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สำหรับคนในพื้นที่เชียงราย พระองค์ไม่ใช่เพียง “สมเด็จพระราชินี” ในเชิงสถานะทางราชสำนัก แต่เป็น “แม่” ในความหมายจริงของคำว่า ผู้หล่อเลี้ยง ดูแล ปกป้อง และยืนเคียงข้างประชาชนในยามยากลำบาก

ดังนั้น พิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงไม่ใช่เหตุการณ์เชิงพิธีกรรมเพียงชั่วโมงเดียว หากเป็นการแสดงออกถึงความต่อเนื่องของสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในท้องถิ่นกับสถาบันฯ ที่ยังคงชัดเจนและมีความหมายในสังคมไทยร่วมสมัย

มฟล. กับบทบาท “พื้นที่กลางของความอาลัย” ของชาวเชียงราย

พิธีดังกล่าวได้รับการออกแบบให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ ไม่จำกัดเพียงบุคลากรในมหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนบทบาทที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงตั้งใจจะทำในฐานะ “พื้นที่กลางของสังคมเชียงราย” ไม่ใช่ “พื้นที่เฉพาะของคนในรั้วมหาวิทยาลัย” เท่านั้น

ในแง่นี้ มฟล. ทำหน้าที่คล้ายศูนย์รวมใจของจังหวัดเชียงรายในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องการสถานที่เพื่อแสดงความอาลัยร่วมกันอย่างสงบและมีเกียรติ พื้นที่ลานเฉลิมพระเกียรติจึงทำหน้าที่ไม่ต่างจาก “ลานหลวงของจังหวัด” ในค่ำคืนนี้ ผู้เข้าร่วมหลายคนสวมเสื้อผ้าสีสุภาพ สีดำ สีเทา และสีขาว บางคนถือดอกไม้ บางคนถือภาพความทรงจำ บางคนเพียงต้องการยืนร่วมแถวแสงเทียนและพนมมือเงียบ ๆ

สำหรับนักศึกษาหลายคน นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารับรู้ว่าภาษาอย่าง “พระมหากรุณาธิคุณ” หรือ “พระราชกรณียกิจ” ที่เคยได้ยินในตำรานั้น แท้จริงแล้วมีผลอย่างไรต่อการศึกษา สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และโอกาสของคนในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง

กล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยไม่ได้เพียง “จัดพิธี” แต่กำลัง “จัดความหมายร่วมของจังหวัด”

มติ ครม. และจังหวะที่ทั้งประเทศยืนไว้อาลัยพร้อมกัน

พิธีที่เชียงรายเกิดขึ้นควบคู่กับมาตรการแสดงความอาลัยระดับชาติ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับหน่วยงานของรัฐและสังคม ดังนี้

  • ลดธงครึ่งเสา
    ให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่งลดธงครึ่งเสาเป็นเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
  • การไว้ทุกข์ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
    ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สะท้อนถึงความเคารพอย่างสูงสุดที่รัฐบาลและหน่วยงานรัฐมีต่อพระราชสถานะและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวง
  • การร่วมไว้อาลัยของประชาชนทั่วไป
    ขอความร่วมมือให้ประชาชนร่วมกันแสดงความอาลัยเป็นเวลา 90 วัน โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลและบริบทของแต่ละพื้นที่

แนวทางดังกล่าวทำให้บรรยากาศในประเทศในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เพียงการแสดงความรู้สึกส่วนบุคคลหรือของท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง แต่เป็นการเคลื่อนไหวของสังคมไทยทั้งระบบ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคประชาชน และภาคชุมชนวัฒนธรรมร่วมกัน

ในมิติทางสังคม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความจงรักภักดีและความอาลัยยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมการเมืองและวัฒนธรรมสาธารณะของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ประชาชนจำนวนมากมองว่าทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงในพื้นที่ห่างไกล

ความหมายของ “การไว้ทุกข์ร่วมกัน” ในระดับชุมชน

เมื่อมติ ครม. ประกาศออกมาพร้อม ๆ กับพิธีจุดเทียนของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ค่ำคืนนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงความสูญเสีย แต่เป็นการประกาศเจตจำนงร่วมของจังหวัดเชียงรายว่า จะยืนอยู่ในกรอบแห่งความอาลัยเดียวกันกับทั้งประเทศ

จุดนี้มีความสำคัญในเชิงสังคมการเมือง เพราะในยุคปัจจุบันที่ความหลากหลายทางความคิดทางสังคมและการเมืองมีมากขึ้น พิธีสาธารณะในลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่ร่วม” ที่ผู้คนสามารถเข้ามายืนเคียงข้างกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีภูมิหลังเดียวกัน หรือความคิดเห็นทางการเมืองตรงกันทุกประการ หากแต่มีพื้นที่ร่วมทางอารมณ์และความทรงจำประวัติศาสตร์ร่วมกัน

กล่าวอย่างเรียบง่าย ความอาลัยทำให้สังคมกลับมายืนอยู่ข้างกันอีกครั้ง แม้เพียงชั่วคราวก็ตาม

เชียงราย จังหวัดชายแดนที่เติบโตจากพระราชกรณียกิจ

อีกประเด็นที่ควรพิจารณาคือ ความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดเชียงรายกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง มีทั้งกลุ่มไทลื้อ ไทเขิน อาข่า ม้ง ลาหู่ รวมถึงชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานตามแนวชายแดนติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสหภาพเมียนมา พื้นที่เหล่านี้ในอดีตเผชิญทั้งความยากจนเชิงโครงสร้าง การขาดโอกาสทางการศึกษา ปัญหาการเข้าถึงบริการสาธารณสุข และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยืดเยื้อ

หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญของสมเด็จพระพันปีหลวงคือการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพของสตรีและชุมชนบนพื้นที่สูง รวมถึงการส่งเสริมการทอผ้าและหัตถกรรมพื้นถิ่นในฐานะอาชีพเสริมและอาชีพหลัก ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างรายได้ แต่ยังช่วยฟื้นฟูศักดิ์ศรีของคนท้องถิ่นในพื้นที่ชนบทห่างไกล โดยเฉพาะกลุ่มสตรี ที่เดิมอาจไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “เสาหลักทางเศรษฐกิจของครอบครัว”

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีบทบาทสำคัญด้านการอนุรักษ์ป่าและการจัดระเบียบพื้นที่ทำกิน เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติได้โดยไม่ทำลายฐานการดำรงชีพในระยะยาว แนวคิดเรื่อง “คนอยู่กับป่าได้โดยไม่ทำลายป่า” ซึ่งปรากฏในหลายโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ กลายเป็นแนวนโยบายด้านการจัดการทรัพยากรที่ได้รับการสืบสานในระดับหน่วยงานรัฐมาจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น สำหรับชาวเชียงราย ความอาลัยในครั้งนี้จึงไม่ใช่อารมณ์ลอย ๆ แต่ผูกพันกับวิถีชีวิตจริง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคงของถิ่นฐาน

มหาวิทยาลัยในฐานะผู้สืบสานอุดมการณ์ “การพัฒนาคน”

สิ่งที่สะท้อนเด่นชัดในพิธี คือการที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงย้ำบทบาทของตนเองว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ผลิตบัณฑิตอย่างเดียว แต่ยังมีพันธกิจในการสืบสานแนวทางการพัฒนาคนตามรอยพระราชปณิธานของพระบรมวงศานุวงศ์

การจัดพิธีจุดเทียนถวายอาลัยจึงเป็นการส่งสัญญาณทางสถาบันในสามมิติหลัก

  1. มิติศักดิ์ศรีและอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
    มฟล. ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น “มหาวิทยาลัยของภาคเหนือตอนบน” ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาค การจัดพิธีถวายอาลัยต่อสมเด็จพระพันปีหลวง ซึ่งทรงมีบทบาทในการดูแลคุณภาพชีวิตคนชายขอบและคนบนพื้นที่สูง จึงเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมโยงโดยตรงของอุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยกับพระราชปณิธานของพระองค์
  2. มิติของการให้การศึกษาเชิงคุณค่า (Value-based Education)
    นักศึกษาที่เข้าร่วมพิธีมิได้เพียง “ทำกิจกรรม” แต่กำลังซึมซับกรอบความคิดแบบไทยร่วมสมัยที่ผสานทั้งอัตลักษณ์ชาติ วัฒนธรรมพลเมือง ความจงรักภักดี และจิตสำนึกเพื่อสาธารณะ นี่คือการสร้างทุนทางสังคม (social capital) ให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่าการเป็นบัณฑิตไม่ใช่เพียงเรื่องวุฒิการศึกษา แต่คือการเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมรอบตัวด้วย
  3. มิติของความต่อเนื่องทางสังคม
    ในช่วงที่สังคมไทยเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว พิธีลักษณะนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรุ่นสู่รุ่น ทำให้คนรุ่นก่อนสามารถถ่ายทอดความหมายของความจงรักภักดี ความกตัญญู และความระลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สู่คนรุ่นใหม่ผ่านประสบการณ์ร่วม ไม่ใช่แค่ผ่านตำราเรียน

กล่าวโดยสรุป การจุดเทียนในค่ำคืนนี้จึงเป็นทั้งการไว้อาลัย การประกาศคุณค่า และการส่งไม้ต่อ

ความสงบ งดงาม และความต่อเนื่องของความทรงจำ

ท่ามกลางความเงียบในช่วงท้ายของพิธี หลายคนหลับตาลงพร้อมกับประคองเปลวเทียนในมือ บางคนยกเทียนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อแสดงความเคารพครั้งสุดท้าย บางคนปิดหน้าไว้กับฝ่ามือ ราวกับพยายามเก็บภาพเหตุการณ์นี้ไว้ในความทรงจำส่วนตัว นั่นคือภาพของความอาลัยที่มิใช่เพียงเรื่องของรัฐ แต่เป็นเรื่องในหัวใจประชาชน

และเมื่อมองในระดับจังหวัด เหตุการณ์ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจัดขึ้นในค่ำคืนนี้ คือการประกาศว่า จังหวัดเชียงราย ในฐานะจังหวัดชายแดนซึ่งมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวทั้งเชิงชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และสังคม ยังคงยึดโยงอยู่กับสถาบันหลักของชาติ และยังคงมุ่งหมายจะสืบสานคุณค่านั้นต่อไป

บทสรุปเชิงนโยบายและสังคม

  1. พิธีของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงไม่ใช่เพียงการจัดตามธรรมเนียม แต่เป็นการแสดงบทบาทเชิงสถาบันของมหาวิทยาลัยในฐานะ “พื้นที่กลางทางสังคม” ที่ให้ทั้งบุคลากร นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อย่างสงบและมีศักดิ์ศรี
  2. มติคณะรัฐมนตรีและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการลดธงครึ่งเสา 30 วัน การไว้ทุกข์ของข้าราชการเป็นเวลา 1 ปี และขอความร่วมมือประชาชนร่วมอาลัย 90 วัน ชี้ให้เห็นถึงน้ำหนักเชิงสถาบันของพระราชสถานะของสมเด็จพระพันปีหลวง และยังตอกย้ำว่าพระองค์ทรงถูกนับเป็นหนึ่งในเสาหลักทางจิตวิญญาณของชาติ
  3. สำหรับจังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในครั้งนี้ยังย้ำให้เห็นรากทางสังคม-วัฒนธรรมที่ลึก ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในมิติการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่สูง
  4. ในระยะยาว พิธีอาลัยครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดกิจกรรมเชิงรำลึกและเชิงวิชาการ เพื่อศึกษาสืบสานแนวคิดการพัฒนาชุมชน ทรัพยากร และคุณภาพชีวิตตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระพันปีหลวง ผ่านบทบาททางวิชาการและทางสังคมของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ท้ายที่สุด ค่ำคืนที่แสงเทียนสว่างขึ้นเหนือพื้นลานมหาวิทยาลัย ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาแห่งความเศร้า แต่เป็นการให้คำมั่นร่วมกันว่า “พระมหากรุณาธิคุณจะไม่เลือนหาย” และพันธกิจเพื่อประชาชน โดยเฉพาะผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาส จะยังเดินหน้าต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

Likhai Nature Walk ปี 3 ยกระดับ ‘ลิไข่’ สู่จุดหมายปลายทาง การท่องเที่ยวคุณภาพของเชียงราย

เปิดประสบการณ์ “อาบป่า” ที่ลิไข่! อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ชุมชน

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ยามเช้าที่หมอกบางๆ คลุมทิวเขา แสงแรกของวันค่อยๆ ไล้ตามแนวสันนาขั้นบันไดสีเขียวมรกต บ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เริ่มตื่นก่อนเมือง นักท่องเที่ยวบางส่วนกำลังยืดแขนรับอากาศเย็น ขณะชาวบ้านชงกาแฟคั่วสดในกระบอกไม้ไผ่ กลิ่นหอมของดินเปียก น้ำค้าง ใบหญ้า และควันอ่อนจากเตาถ่าน ประสานกันจนไม่แน่ชัดว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว หรืออยู่ในพิธีกรรมบำบัดใจ

นี่คือบรรยากาศของกิจกรรม “Likhai Nature Walk – เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ บ้านลิไข่” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกำลังถูกยกระดับให้เป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและสุขภาพของจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ภายใต้นโยบาย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่มุ่งหมายให้การท่องเที่ยวไม่กระจุกอยู่เพียงจุดดัง แต่กระจายสู่ทุกพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง

ในปีนี้ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม ณ บ้านลิไข่ โดยมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายท้องถิ่นและภาคเอกชน ได้แก่ นายวิทยา เหล่าธีรศิริ ประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC หอการค้าจังหวัดเชียงราย) ซึ่งรายงานภาพรวมความร่วมมือ และนายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับในฐานะตัวแทนพื้นที่

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรมนี้อาจเป็นเพียง “การเดินชมวิว” ของนักท่องเที่ยว แต่สำหรับคนเชียงราย โดยเฉพาะผู้ทำงานในพื้นที่มานาน กิจกรรม “Likhai Nature Walk” เป็นมากกว่านั้น มันคือพื้นที่ทดลองนโยบายสาธารณะในระดับพื้นที่จริง เป็นการจัดการสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน และการออกแบบรูปแบบ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” แทนที่จะเป็นการท่องเที่ยวที่เน้นตัวเลขปริมาณผู้มาเยือน

นาขั้นบันไดลิไข่” จากภูมิทัศน์ชาวบ้าน สู่แหล่งฮีลใจระดับประเทศ

นาขั้นบันไดบ้านลิไข่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นชื่อที่เริ่มถูกพูดถึงในหมู่นักเดินทางที่ต้องการ “พักใจแท้ๆ” โดยไม่ต้องเดินทางไกลถึงชายแดนหรือยอดดอยสูง นาขั้นบันไดที่นี่ไม่ได้มีเพียงความสวยงามของผืนนาเรียงชั้นตามไหล่เขา แต่มีบริบทของคน ชุมชน และธรรมชาติที่ยังเชื่อมถึงกันอย่างใกล้ชิด

ภาพที่เห็นคือผืนนาข้าวโค้งเรียวรับไปตามสันคันนา มองได้ไกลสุดสายตาแบบไม่มีเสาไฟฟ้าแรงสูง ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีร้านค้าสำเร็จรูปขนาดใหญ่ และไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่ตัดกับภูมิประเทศดั้งเดิม ความงดงามจึงไม่ใช่เพียง “ทิวทัศน์” แต่คือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผืนดิน

กิจกรรม Likhai Nature Walk จึงไม่ใช่เพียงการพาคนนอกเข้ามาถ่ายภาพ แต่คือการนำผู้เข้าร่วม “เดินเข้าไปในระบบนิเวศของชุมชน” อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยยึดหลักการที่ผู้จัดเรียกว่า “อาบป่า” หรือ Shinrin-Yoku ซึ่งเป็นแนวคิดการบำบัดด้วยธรรมชาติที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ

ในพื้นที่ลิไข่ การ “อาบป่า” ไม่ได้จำกัดอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ หากแต่เกิดขึ้นในนาขั้นบันได ป่าชุมชน ลำธารเล็กๆ ทางเดินเก่าใต้ร่มไผ่ และพื้นที่เกษตรผสมผสาน — กล่าวคือ เป็นการยอมรับว่าภูมิทัศน์ทางการเกษตรแบบดั้งเดิมเองก็มีมิติการเยียวยาที่แท้จริง ไม่ต่างไปจากป่าดิบ

ผู้ร่วมกิจกรรมได้สัมผัสด้วยประสาทสัมผัสทั้งสี่

  • เสียง: เสียงลมพัดผ่านยอดข้าว เสียงน้ำไหลเบาๆ จากร่องน้ำและลำธาร เสียงจั๊กจั่นในร่องป่าชื้น
  • กลิ่น: กลิ่นหญ้าเปียก กลิ่นข้าวอ่อน กลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่นที่ชาวบ้านปลูกริมคันนา
  • ภาพ: ภาพพื้นที่สีเขียวไล่ระดับแบบไม่มีเส้นตึกตัดสายตา พร้อมหมอกลงสลับเงาเขา
  • สัมผัสและรส: การเดินเท้าเปล่าแตะบนดินเย็น แช่ปลายเท้าลงในลำธารธรรมชาติ จิบกาแฟร้อนที่คั่วโดยคนในพื้นที่ ยามอุณหภูมิยังต่ำกว่ายี่สิบนิดๆ

แนวคิดตรงนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนการมาเยือนจาก “การบริโภคสถานที่” ไปสู่ “การอยู่กับสถานที่” ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ นักท่องเที่ยวไม่ได้ถูกปฏิบัติในฐานะลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่ในฐานะแขกที่ได้รับเชิญให้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับภูมิทัศน์อย่างเคารพ

ไม่ใช่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติธรรมดา แต่คือเศรษฐกิจฐานรากแบบมีสติ

การผลักดัน Likhai Nature Walk ในปีนี้มีความหมายทางนโยบายในระดับจังหวัดอย่างชัดเจน นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย ระบุถึงทิศทางดังกล่าวว่า การผลักดันกิจกรรมลักษณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนในทุกอำเภออย่างทั่วถึง พร้อมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับเชียงรายให้เป็น “เมืองแห่งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน”

หากมองในเชิงโครงสร้าง จะเห็นว่ามีความพยายามผลักเชียงรายให้ก้าวข้ามการเป็น “จังหวัดท่องเที่ยวเชิงฤดูกาล” (เมืองหนาวปลายปี ดอยดัง คาเฟ่ดัง) ไปสู่การเป็น “พื้นที่การท่องเที่ยวคุณภาพที่เที่ยวได้ทั้งปี” โดยใช้ความหลากหลายของภูมิประเทศ ชาติพันธุ์ วิถีชุมชน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นเสาหลักของการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยว

นโยบายดังกล่าวถูกสรุปในคำขวัญเชิงปฏิบัติการของ อบจ.เชียงราย คือ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” (นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ในชุดนโยบาย 7 เรือธงของ อบจ.) ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึง

  1. ลดการกระจุกของรายได้ท่องเที่ยว
    รายได้จากการท่องเที่ยวไม่ควรตกอยู่เฉพาะในอำเภอที่เป็นแม่เหล็กทางการตลาด เช่น เมืองเชียงราย แม่สาย แม่จัน หรือจุดแลนด์มาร์กที่ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียมาก่อนหน้านี้ แต่ควรไหลลงสู่พื้นที่ชนบท พื้นที่เกษตรดั้งเดิม และพื้นที่ชุมชนที่ยังพึ่งพาการผลิตภาคเกษตรเป็นหลัก
    บ้านลิไข่ ตำบลนางแล คือหนึ่งในพื้นที่เช่นนั้น
  2. เสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
    การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่ออกแบบอย่างระมัดระวัง เช่น “อาบป่า” ไม่ได้ดึงดูดเฉพาะนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและกลุ่มวัยทำงานที่มองหาความสงบ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับครัวเรือนในชุมชนผ่านการขายกาแฟพื้นถิ่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรแปรรูปเล็กๆ ของครัวเรือน อาหารเช้าแบบพื้นบ้าน ของฝากทำมือ รวมถึงบริการนำทางท้องถิ่น (local guide) ที่พึ่งพาความรู้ของคนในพื้นที่จริง ไม่ใช่บริษัททัวร์จากภายนอก
  3. ยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชียงรายสู่มาตรฐานเชิงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
    กิจกรรมแนวธรรมชาติบำบัด (nature therapy) แบบนี้ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์เชิงลึกมากกว่าการเช็กอิน
    แนวโน้มดังกล่าวมีนัยทางเศรษฐกิจสำคัญ เพราะเป็นฐานนักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาพักนานขึ้น มีการใช้จ่ายสูงขึ้น และให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ

หรือกล่าวอีกแบบ การท่องเที่ยวในแนวทางนี้ไม่ได้ขาย “วิว” อย่างเดียว แต่ขาย “คุณภาพชีวิต” ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับ — และรายได้ที่ชาวบ้านจะได้กลับคืน

การทำงานร่วมกัน ภาครัฐ – เอกชน – ชุมชน

หนึ่งในจุดเด่นของ Likhai Nature Walk คือการเป็นตัวอย่างของ “การขับเคลื่อนร่วม” ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ โดยไม่ได้ให้หน่วยงานภาครัฐทำงานแบบสั่งการฝ่ายเดียว แต่ทำในรูปแบบเครือข่าย

  • อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่สนับสนุนเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงจังหวัด เชื่อมปรัชญาการท่องเที่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในระยะยาว
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ (เทศบาลตำบลนางแล) ซึ่งในครั้งนี้มีตัวแทนคือ นายพิษณุ เขื่อนเพชร รองนายกเทศมนตรีตำบลนางแล ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่รองรับ” จัดระเบียบพื้นที่ ดูแลความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้น และเป็นจุดประสานกับชุมชน
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ซึ่งมี นางยุรีพรรณ แสนใจยา เป็นผู้อำนวยการ ทำหน้าที่เชื่อมการสื่อสารสู่สาธารณะและนักท่องเที่ยวในเชิงภาพลักษณ์การท่องเที่ยวคุณภาพ
  • หอการค้าจังหวัดเชียงรายและเครือข่ายนักธุรกิจรุ่นใหม่ (YEC) โดยมีนายวิทยา เหล่าธีรศิริ เป็นหนึ่งในกลไกผลักดัน เพื่อมองโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างสมดุลกับการรักษาพื้นที่ เช่น การสร้างแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเชื่อมโยงระหว่างที่พัก ร้านอาหารพื้นถิ่น และประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม

โครงสร้างนี้สะท้อนความพยายามของเชียงรายในการทำให้ “การท่องเที่ยวโดยชุมชน” ไม่ใช่การผลักให้ชุมชนไปรับผิดชอบเองโดยลำพัง แต่เป็นการวางชุมชนให้อยู่กลางวง แล้วให้หน่วยงานรัฐและเอกชนทำหน้าที่สนับสนุน ช่วยการตลาด สร้างระบบความพร้อม และคุ้มครองความสมดุลเชิงนิเวศ

กล่าวอีกมุม นี่คือแบบจำลองของ “การพัฒนาที่ไม่บังคับชุมชนให้เป็นรีสอร์ต” แต่ให้ชุมชนเป็นชุมชน และทำมาหากินจากสิ่งที่เป็นตัวเอง

จากกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ สู่เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์จังหวัด

กิจกรรม Likhai Nature Walk ไม่ใช่งานครั้งแรก แต่จัดต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปี และผู้จัดระบุว่า จำนวนผู้มาเยือนนาขั้นบันไดลิไข่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยววัยทำงาน กลุ่มคนเมืองที่ต้องการพัก-ฟื้น และครอบครัวรุ่นใหม่ที่เริ่มมองหากิจกรรมแนว “พาเด็กสัมผัสดินน้ำลมไฟ” มากกว่าพาไปศูนย์การค้า

ปรากฏการณ์ “คนกลับมาหาธรรมชาติ” ซึ่งเกิดขึ้นหลังช่วงวิกฤตสุขภาพโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา กำลังสร้างตลาดใหม่ที่จังหวัดเชียงรายมองเห็นอย่างจริงจัง — ตลาดของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สุขภาวะ และสมดุลชีวิต (wellbeing tourism)

สิ่งนี้กำลังสะท้อนชัดว่า จ.เชียงราย ไม่ต้องการยืนอยู่บนคำว่า “หน้าหนาวค่อยมา” อีกต่อไป แต่ต้องการยืนอยู่บนฐาน “เชียงราย = เมืองคุณภาพชีวิต” ที่เที่ยวได้ทั้งปี และแต่ละอำเภอมีสินค้าการท่องเที่ยวที่เป็นของตัวเอง

นโยบายเรือธงข้อที่ 5 ซึ่งย้ำว่า “เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” จึงไม่ใช่คำขวัญเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่คือกรอบยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเชิงโครงสร้าง ดังนี้

  1. ทำให้การท่องเที่ยวกลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองได้ในระดับอำเภอ
  2. ทำให้ชุมชนในพื้นที่เกษตร-พื้นที่ภูเขา ได้รับรายได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจนสูญเสียตัวตน
  3. ลดแรงกดดันเชิงสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม (overtourism) ด้วยการกระจายความนิยมไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ
  4. ปรับภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายสู่ “เมืองสุขภาวะ” (wellbeing destination) ซึ่งเชื่อมโยงได้ทั้งการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ อาหารพื้นถิ่น การทำสมาธิ การบำบัดด้วยป่า การเรียนรู้วิถีชุมชน

กล่าวในเชิงนโยบายสาธารณะ นี่คือการสร้างทางเลือกในระดับจังหวัด เพื่อเตรียมรับอนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวที่แข่งขันสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของประเทศ เช่น สัดส่วนประชากรวัยทำงานที่เผชิญความเครียดเรื้อรัง และกลุ่มผู้สูงวัยที่มีความต้องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น

เชียงรายจึงไม่ได้ขายแค่ภาพสวยของภูเขาอีกต่อไป แต่ขาย “การฟื้นตัวของตัวเราเอง” ในพื้นที่ที่ยังคงหายใจได้

เมืองท่องเที่ยว กับ เมืองน่าอยู่ ต้องเป็นเมืองเดียวกัน

ประเด็นที่ผู้บริหารท้องถิ่นในเชียงรายย้ำหลายครั้งในกิจกรรมนี้ คือการผลักดันการท่องเที่ยว ต้องไม่ผลักภาระให้คนในพื้นที่ต้องรับความเปลี่ยนแปลงจนชีวิตปกติถูกรบกวน

การท่องเที่ยวในรูปแบบ “เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติ – อาบป่า” จึงถูกออกแบบต่างจากทัวร์เชิงปริมาณในหลายประเด็นสำคัญ เช่น

  • กลุ่มนักท่องเที่ยวถูกจำกัดขนาด ไม่ใช่การระดมคนจำนวนมากในคราวเดียว
  • กิจกรรมเน้นการเดินเท้า ไม่ใช่การขับยานพาหนะเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูก
  • เวลาการจัดกิจกรรมสอดประสานกับวิถีเกษตรในพื้นที่ (เช้า–สาย) เพื่อลดการรบกวนการทำงานจริงของชาวบ้าน
  • รายได้เชื่อมตรงกับคนในพื้นที่ เช่น ร้านกาแฟชุมชน ผู้จัดกิจกรรมชุมชน วิสาหกิจท้องถิ่น มากกว่าการปล่อยให้เงินไหลออกนอกพื้นที่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อนักท่องเที่ยวค่อยๆ สูดลมหายใจในป่าบ้านลิไข่ คนในพื้นที่เอง ก็ยังสามารถหายใจในบ้านเกิดของตนได้เช่นกัน

จากนาขั้นบันได สู่แบบจำลองการท่องเที่ยวเพื่อคุณภาพชีวิต

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านลิไข่ ตำบลนางแล ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการเดินป่า หรือการจิบกาแฟกลางหมอก หากแต่เป็นการวางหมุดหมายด้านการพัฒนาในระดับจังหวัด โดยมี “สุขภาวะของคน” เป็นแกนกลาง

นี่คือการประกาศว่า เชียงรายจะไม่วัดความสำเร็จด้วยตัวเลขนักท่องเที่ยวอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะวัดด้วยคำถามว่า

  • คนในพื้นที่อยู่ได้ดีขึ้นหรือไม่
  • พื้นที่ยังคงความสมดุลทางธรรมชาติหรือไม่
  • นักท่องเที่ยวกลับไปพร้อมหัวใจที่เบาลงไหม
  • และในระยะยาว พื้นที่แบบลิไข่ จะยังคงเป็น “บ้าน” ของคนลิไข่ได้จริงหรือไม่

การผลักดันกิจกรรม Likhai Nature Walk ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และการเข้ามาหนุนอย่างชัดเจนของ อบจ.เชียงราย ททท.เชียงราย เทศบาลตำบลนางแล ภาคธุรกิจท้องถิ่น และชุมชน จึงสะท้อนว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ต้องแลกธรรมชาติกับเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอไป หากแต่สามารถเป็น “ระบบนิเวศของการอยู่ร่วมกัน” ที่ทุกฝ่ายมองเห็นคุณค่าของกันและกัน

และเมื่อคำขวัญ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ถูกนำลงสู่พื้นที่จริงผ่านกิจกรรมที่จับต้องได้แบบนี้ เชียงรายก็กำลังส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เมืองท่องเที่ยวที่ดีในศตวรรษนี้ ต้องเป็นเมืองที่คนอยู่ได้ดีเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • YEC Chiang Rai – กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เชียงราย
  • อบจ.เชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • ตำบลนางแล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News