Categories
WORLD PULSE

ท่องเที่ยวไทยวิกฤต จีนเททริปหนีภัย ญี่ปุ่นแซงหน้า

นักท่องเที่ยวจีนยกเลิกเที่ยวบินไปไทย 94% หันไปญี่ปุ่นแทนช่วงตรุษจีน

จีนแห่เที่ยวญี่ปุ่น แทนไทย หลังข่าวลักพาตัวนักแสดงดัง

ประเทศจีน, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – ข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence เผยว่า ยอดการยกเลิกเที่ยวบินมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 94% ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเลือกเดินทางไปยังญี่ปุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะลานสกีและบ่อน้ำพุร้อนในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน

จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากความกังวลด้านความปลอดภัย หลังเกิดกรณีลักพาตัว ‘หวัง ซิง’ หรือ ‘ซิงซิง’ นักแสดงชาวจีนจากไทยไปยังเมียนมา แม้จะมีการช่วยเหลือกลับมาได้สำเร็จ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความหวาดกลัวจนทำให้นักท่องเที่ยวจีนพากันยกเลิกแผนเดินทางมายังประเทศไทย

นักวิเคราะห์เตือน ไทยอาจพลาดเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีน

Eric Zhu นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า ความกังวลเรื่องความปลอดภัยมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจีนมากกว่ามาตรการสร้างความมั่นใจของรัฐบาลไทย “การรับรู้ข่าวร้ายสูงเกินไปจนแนวทางยกระดับความปลอดภัยของไทยอาจไม่สามารถกู้คืนความเชื่อมั่นได้ในระยะสั้น”

ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นกลับกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม โดยยอดจองเที่ยวบินจากจีนไปญี่ปุ่นในไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจัยที่ส่งเสริม ได้แก่ ค่าเงินเยนอ่อน และราคาตั๋วเครื่องบินจากเซี่ยงไฮ้ไปโตเกียวที่ต่ำเพียง 150 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 5,000 บาท

ไทยต้องปรับกลยุทธ์แข่งขัน ดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมา

ประเทศไทยกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดการท่องเที่ยวจีนให้กับญี่ปุ่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งมีนโยบายฟรีวีซ่าดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า ข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เผยว่า ในเดือนมกราคม 2568 ญี่ปุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนกว่า 980,000 คน เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้า ขณะที่ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีน 711,000 คน ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์

เพื่อรับมือกับปัญหานี้ รัฐบาลไทยได้ดำเนินมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมีการตัดไฟและปิดกิจการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อช่วยเหลือเหยื่อแรงงานต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาดูว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนได้หรือไม่

สถิติการท่องเที่ยวไทยและผลกระทบทางเศรษฐกิจ

  • ภาคการท่องเที่ยวไทยมีสัดส่วน 12% ของ GDP ประเทศ
  • คาดการณ์รายได้จากการท่องเที่ยวปี 2568 อยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.85 ล้านล้านบาท)
  • เป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนของไทยในปีนี้อยู่ที่ 8.8-9 ล้านคน
  • หากไม่สามารถฟื้นความเชื่อมั่นได้ ไทยอาจดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนได้เพียง 7.5 ล้านคน

Subramania Bhatt ซีอีโอของ China Trading Desk ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม้ยอดจองตั๋วเครื่องบินจากจีนมาไทยในเดือนมีนาคมยังลดลง 10% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ดีมานด์การเดินทางในเดือนเมษายนและพฤษภาคมกลับเติบโตขึ้นกว่า 3% ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวก

อนาคตของการท่องเที่ยวไทยในสายตาผู้เชี่ยวชาญ

เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย ระบุว่า รัฐบาลไทยต้องขยายตลาดการท่องเที่ยวไปไกลกว่าสถานที่ยอดนิยมอย่างกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ หากต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนกลับมา “แม้แต่คนไทยเองยังนิยมไปเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่าภูเก็ต”

ไทยจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามและส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้เป็นที่สนใจ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ มิฉะนั้น การดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาสู่ประเทศไทยอาจต้องใช้เวลายาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Bloomberg Intelligence

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

PETA แฉ! ลิงไทยถูกทรมานเก็บมะพร้าว ผลิตกะทิ จี้บอยคอตสินค้าไทย

PETA ประท้วงหน้าสถานทูตไทยในลอนดอน เรียกร้องให้ยุติการใช้ลิงเก็บมะพร้าว

กรุงลอนดอน, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ PETA (People for the Ethical Treatment of Animals) จัดการประท้วงด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน เพื่อเรียกร้องให้ยุติการใช้ลิงในอุตสาหกรรมผลิตกะทิไทย โดยผู้ประท้วงได้ ราดน้ำกะทิ ใส่ตัวเองและใส่ชุดลายตารางขาวดำเหมือนนักโทษ พร้อมถือป้ายรูปทรงลูกมะพร้าวที่มีข้อความว่า ลิงถูกทรมานเพื่อผลิตกะทิไทย”

การเปิดโปงอุตสาหกรรมกะทิไทย

PETA เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กขององค์กรที่มีผู้ติดตามกว่า 5 ล้านคนว่า จากการสืบสวนในเอเชีย พบว่าลิงที่ถูกบังคับให้เก็บมะพร้าวในประเทศไทยต้องทนทุกข์ทรมาน โดยมีการ มัดลิงด้วยเชือกที่สั้นมากจนแทบขยับตัวไม่ได้ ถูกขังในกรงแคบ และถูกฝึกให้ทำงานตลอดชีวิต

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดโปงโรงเรียนฝึกลิง ซึ่งมีภาพลูกลิงถูกล่ามโซ่และขังอยู่ในกรงโดยไม่มีที่พักอาศัยที่เหมาะสม PETA ระบุว่าลิงเหล่านี้ ควรจะอยู่ในธรรมชาติ ไม่ใช่ถูกแยกออกจากครอบครัวและถูกบังคับให้ทำงานจนหมดแรง

การตอบโต้จากคนไทยและมุมมองที่แตกต่าง

เรื่องราวดังกล่าวกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมออนไลน์ โดยมีทั้งผู้ที่สนับสนุนและคัดค้านการประท้วง หลายคนตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศไทยจะผลิตกะทิได้เป็นล้านกล่องต่อวันโดยอาศัยลิง? ในขณะที่คนไทยบางส่วนมองว่าการใช้แรงงานลิงเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด พร้อมกล่าวว่า ถ้าชาวต่างชาติรู้ว่าคนไทยใช้กระต่ายขูดมะพร้าวจะคิดอย่างไร”

ผลกระทบและคำกล่าวอ้างจาก PETA

PETA Asia อ้างว่ารัฐบาลไทยอนุญาตให้มีการจับลิงตั้งแต่ยังเป็นทารกเพื่อฝึกให้เป็นเครื่องมือเก็บมะพร้าว ลูกลิงเหล่านี้ถูกแยกจากแม่และถูกล่ามโซ่ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้พวกมันต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทรมานและถูกใช้งานจนหมดแรง

ดร. Rally นักวิชาการด้านสัตวแพทย์จาก PETA Asia ได้ให้ความเห็นว่า ลิงที่ถูกขังในกรงเหล่านี้ต้องทนทุกข์จากความเครียด การขาดน้ำ อุณหภูมิที่ร้อนจัด และสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ” ซึ่งลิงบางตัวต้องถูกขังในกรงที่ไม่สามารถป้องกันตนเองจากแสงแดดและฝนได้

มาตรการของรัฐบาลไทยและแนวทางแก้ไข

รัฐบาลไทยได้ออกมาแถลงว่า อุตสาหกรรมกะทิของไทยไม่ได้พึ่งพาลิงในการผลิตเป็นหลัก และมีมาตรการเข้มงวดในการควบคุมการใช้แรงงานสัตว์ พร้อมทั้งแนะนำให้เกษตรกรใช้วิธีการเก็บเกี่ยวแบบเครื่องจักรหรือแรงงานมนุษย์แทน

ในขณะเดียวกัน สมาคมผู้ผลิตกะทิไทยได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของ PETA โดยยืนยันว่า ไม่มีการใช้ลิงในกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ และได้มีการตรวจสอบกระบวนการผลิตของผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองจากสากล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนผู้ติดตาม PETA บนเฟซบุ๊ก: มากกว่า 5 ล้านคน
  • มูลค่าการส่งออกกะทิไทยในปี 2567: มากกว่า 20,000 ล้านบาท
  • จำนวนบริษัทผลิตกะทิที่ได้รับมาตรฐานสากล: มากกว่า 50 แห่ง
  • อัตราการใช้แรงงานมนุษย์แทนลิงในอุตสาหกรรมกะทิไทย: มากกว่า 90%
  • จำนวนลิงที่ PETA ระบุว่าได้รับผลกระทบ: ประมาณ 1,000 ตัว ในภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็ก

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. PETA กล่าวหาว่าประเทศไทยใช้ลิงในอุตสาหกรรมกะทิจริงหรือไม่?
    PETA อ้างว่ามีหลักฐานจากการสืบสวนในเอเชียเกี่ยวกับการใช้ลิงเก็บมะพร้าวในบางพื้นที่ของไทย แต่รัฐบาลไทยและผู้ผลิตกะทิปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
  2. ประเทศไทยใช้ลิงเก็บมะพร้าวในอุตสาหกรรมกะทิจริงหรือไม่?
    ในอุตสาหกรรมกะทิเชิงพาณิชย์หลักของไทย ใช้เครื่องจักรและแรงงานมนุษย์เป็นหลัก แต่ในบางพื้นที่ยังมีการใช้ลิงในฟาร์มขนาดเล็ก
  3. ประเทศอื่นมีการใช้แรงงานสัตว์ในการเกษตรหรือไม่?
    มีหลายประเทศที่เคยใช้แรงงานสัตว์ในการเกษตร เช่น ช้างในการลากซุง ม้าในการไถนา แต่ส่วนใหญ่ได้ลดลงเนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
  4. การรณรงค์ของ PETA มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกะทิของไทยหรือไม่?
    มีผลกระทบในระดับหนึ่ง โดยบางแบรนด์ในยุโรปและอเมริกาได้นำกะทิไทยออกจากชั้นวางสินค้า แต่ตลาดในเอเชียและในประเทศยังคงแข็งแกร่ง
  5. คนไทยสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อตอบสนองต่อข้อกล่าวหานี้?
    สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการผลิตกะทิของไทย และสนับสนุนผู้ผลิตที่มีมาตรฐานสากลในการไม่ใช้แรงงานสัตว์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : peta

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

อีลอน มัสก์ พาลูกชาย ร่วมแถลงข่าวทรัมป์ สื่อทั่วโลกจับตา

ขโมยซีน! อีลอน มัสก์ พาลูกชาย X Æ A-Xii ร่วมแถลงข่าวทรัมป์ ดึงความสนใจจากสื่อ

วอชิงตัน, 12 กุมภาพันธ์ 2568independent รายงาน บรรยากาศที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกโซเชียล เมื่อ X Æ A-Xii ลูกชายวัย 4 ขวบของอีลอน มัสก์ ขโมยซีนระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายในห้องรูปไข่ เด็กชายตัวน้อยทำให้หลายคนอดยิ้มไม่ได้ ด้วยพฤติกรรมซุกซน เช่น การเลียนแบบพ่อของเขาขณะพูดถึงประชาธิปไตย และการแคะจมูกก่อนเช็ดลงบนโต๊ะ Resolute ซึ่งเป็นโต๊ะประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 140 ปี

มัสก์เข้าร่วมแถลงการณ์ ทรัมป์ลงนามคำสั่งบริหารลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ

อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ SpaceX และ Tesla ได้เข้าร่วมการแถลงข่าวครั้งนี้ในฐานะสักขีพยานในการลงนามคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีเป้าหมายให้หน่วยงานรัฐบาลกลางร่วมมือกับกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล เพื่อปรับลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ โดยขณะที่มัสก์กำลังตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ลูกชายของเขาก็ทำให้หลายคนหลุดหัวเราะออกมา ด้วยการกระโดดเกาะไหล่พ่อ และพูดกระซิบกับทรัมป์แบบเป็นกันเอง

X Æ A-Xii สร้างสีสัน ดึงความสนใจจากทั้งแฟนคลับและสื่อมวลชน

หลังจากคลิปพฤติกรรมของ X Æ A-Xii ถูกเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ซึ่งมัสก์ซื้อกิจการมาในปี 2022 ด้วยมูลค่า 44 พันล้านดอลลาร์ ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย ผู้สนับสนุนมัสก์และทรัมป์หลายคนมองว่าเป็นโมเมนต์ที่น่ารักและเป็นกันเอง แต่บางส่วนก็รู้สึกว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในทำเนียบขาว

ปฏิกิริยาของทรัมป์และความเห็นจากผู้ใช้โซเชียล

แม้ว่าจะถูกแย่งซีน แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไร และยังกล่าวชม X Æ A-Xii ว่าเป็น “เด็กที่มีไอคิวสูง” ขณะที่มัสก์ยังคงดำเนินการแถลงข่าวต่อไป นอกจากนี้ บริจิตต์ กาเบรียล นักวิจารณ์อนุรักษ์นิยม ยังกล่าวว่า “ลูกชายของมัสก์มีความน่ารักเกินพิกัด” อย่างไรก็ตาม บางความคิดเห็นก็ไม่เห็นด้วย โดยมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม X รายหนึ่งโพสต์ว่า “ฉันไม่ต้องการเห็นเด็กเช็ดขี้มูกบนโต๊ะ Resolute”

มัสก์ตอบโต้คำวิจารณ์ ย้ำเป้าหมายรัฐบาลใหม่คือการปฏิรูประบบราชการ

มัสก์ยังถูกถามเกี่ยวกับนโยบายต่อต้านภาครัฐที่เขาสนับสนุน ซึ่งบางฝ่ายมองว่าเป็นการพยายามควบคุมรัฐบาลกลาง เขาตอบว่า “ประชาชนโหวตให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ” โดยอ้างว่ารัฐบาลทรัมป์มีเป้าหมายในการฟื้นฟูประชาธิปไตย ด้วยการลดบทบาทของระบบราชการที่เขาอ้างว่าเป็น “องค์กรที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งซึ่งควบคุมการบริหารประเทศ”

สรุป

การแถลงข่าวของอีลอน มัสก์และโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ เนื่องจากพฤติกรรมซุกซนของ X Æ A-Xii ที่ทำให้บรรยากาศในห้องรูปไข่ดูผ่อนคลายกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ยังมีทั้งเสียงชื่นชมและเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความเหมาะสมของพฤติกรรมดังกล่าว ขณะที่มัสก์ยังคงย้ำจุดยืนในการสนับสนุนการลดขนาดภาครัฐ และการปฏิรูปการบริหารงานของรัฐบาล

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. เหตุใดลูกชายของอีลอน มัสก์จึงกลายเป็นจุดสนใจของงานแถลงข่าว?
    เนื่องจาก X Æ A-Xii แสดงพฤติกรรมขี้เล่น เช่น การเลียนแบบพ่อ และแคะจมูกในระหว่างที่ทรัมป์และมัสก์กำลังแถลงข่าว
  2. โต๊ะ Resolute คืออะไร?
    เป็นโต๊ะทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1880 โดยได้รับมอบจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
  3. อีลอน มัสก์กล่าวถึงการปฏิรูปภาครัฐอย่างไร?
    มัสก์กล่าวว่านโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การลดบทบาทของระบบราชการที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
  4. โซเชียลมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเหตุการณ์นี้?
    มีทั้งเสียงชื่นชมว่าลูกชายมัสก์น่ารัก และเสียงวิจารณ์ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับงานแถลงข่าวทางการ
  5.  ทำไมอีลอน มัสก์ถึงพาลูกชายมาร่วมงานแถลงข่าว?

มัสก์มักพาลูกชายเข้าร่วมงานใหญ่ทางการเมืองหลายครั้ง เช่น การเข้าร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์ในปี 2021

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : independent

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

โลกผลิตขยะพลาสติกปีละ 57 ล้านตัน ส่วนใหญ่เกิดจากประเทศกำลังพัฒนา

จากรายงานล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 โดยวารสาร “เนเจอร์” ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติกที่สร้างขึ้นทั่วโลกมากถึง 57 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับ 52 ล้านเมตริกตัน ต่อปี โดยกว่า 2 ใน 3 ของมลพิษนี้มาจากประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์

การศึกษานี้ได้รับการวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลีดส์ ในสหราชอาณาจักร โดยนักวิจัยได้ตรวจสอบการผลิตขยะพลาสติกในเมืองและเทศบาลมากกว่า 50,000 แห่งทั่วโลก พบว่าปริมาณขยะที่ถูกทิ้งลงในสภาพแวดล้อมที่เปิดโล่งนั้น สามารถเติมเต็มพื้นที่ของสวนสาธารณะ เซ็นทรัลพาร์ค ในนครนิวยอร์กด้วยขยะพลาสติกสูงเท่ากับตึกเอ็มไพร์สเตทได้เลยทีเดียว

 

มลพิษจากพลาสติกในประเทศกำลังพัฒนา

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดมลพิษพลาสติกจำนวนมากคือ การที่รัฐบาลในประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถรวบรวมและกำจัดขยะได้อย่างเหมาะสมสำหรับประชากรราว 15% ของโลก การศึกษาพบว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาใต้สะฮาราเป็นพื้นที่ที่มีการผลิตขยะพลาสติกมากที่สุด โดยเฉพาะในประเทศอินเดียที่มีประชากรจำนวนมากถึง 255 ล้านคนที่เผชิญกับปัญหานี้

ประเทศอินเดียเป็นผู้นำโลกในการผลิตมลพิษจากพลาสติก โดยสร้างมลพิษมากถึง 10.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งมากกว่าประเทศไนจีเรียและอินโดนีเซียถึงสองเท่า เมืองใหญ่ที่ปล่อยมลพิษมากที่สุดในโลก ได้แก่ ลากอส ประเทศไนจีเรีย ตามมาด้วย นิวเดลี ประเทศอินเดีย, ลูอันดา ประเทศแองโกลา, การาจี ประเทศปากีสถาน และ อัลกาฮิราห์ ประเทศอียิปต์

แม้ประเทศจีนมักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อมลพิษมากที่สุดในโลก แต่จากข้อมูลของการศึกษาครั้งนี้ จีนอยู่อันดับสี่ในการปล่อยมลพิษจากพลาสติก แต่จีนได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการลดปริมาณขยะพลาสติกในประเทศ

 

สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในด้านมลพิษจากพลาสติก

ประเทศสหรัฐฯ อยู่ในอันดับที่ 90 ของโลกในการปล่อยมลพิษจากพลาสติก โดยมีปริมาณขยะมากกว่า 52,500 ตันต่อปี ขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่อันดับที่ 135 โดยมีปริมาณขยะเกือบ 5,100 ตัน แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีระบบการจัดการขยะที่ดี แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหามลพิษจากพลาสติกได้

 

ข้อตกลงสากลเพื่อลดมลพิษพลาสติก

ในปี 2565 ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ตกลงที่จะทำ ข้อตกลงทางกฎหมาย เพื่อจัดการกับปัญหามลพิษจากพลาสติกอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงการกำจัดขยะพลาสติกในมหาสมุทร ข้อตกลงสุดท้ายคาดว่าจะถูกเจรจาในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ประเทศเกาหลีใต้ การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจนในการลดมลพิษและควบคุมการผลิตพลาสติกอย่างยั่งยืน

 

ผลกระทบของไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

จากข้อมูลการศึกษานี้ พบว่า 57% ของมลพิษจากพลาสติกทั่วโลก มาจากพลาสติกที่ถูกเผาอย่างไม่ถูกต้อง หรือถูกทิ้งลงในสิ่งแวดล้อมเปิดโล่ง สิ่งนี้ส่งผลให้เกิด ไมโครพลาสติก และ นาโนพลาสติก ซึ่งแพร่กระจายเข้าสู่ทุกมุมของโลก ตั้งแต่ยอดเขาเอเวอเรสต์ ไปจนถึงร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาในมหาสมุทรแปซิฟิก

ไมโครพลาสติกได้เข้าสู่ระบบนิเวศน์ รวมถึงเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านน้ำดื่ม อาหาร และอากาศที่เราหายใจ นักวิทยาศาสตร์ได้พบไมโครพลาสติกในเนื้อเยื่อต่างๆ ของมนุษย์ เช่น หัวใจ สมอง และอวัยวะอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องการเวลาในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเข้าใจผลกระทบที่แท้จริงของไมโครพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

 

โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตพลาสติก

องค์การสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่า การผลิตพลาสติกจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณ 440 ล้านตันต่อปี ไปจนถึงมากกว่า 1,200 ล้านตัน ในอนาคต ซึ่งหมายความว่า โลกของเรากำลังจมอยู่กับพลาสติก” ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AP

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News