Categories
NEWS UPDATE

กรมศุลกากรสกัดจับน้ำมันดีเซลและเฮโรอีน ลักลอบนำเข้าและส่งออกนอกประเทศ

เมื่อวันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 เวลา 14.30 น. นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เป็นประธานในการแถลงข่าวกรณีกรมศุลกากรจับกุมน้ำมันดีเซลจำนวน 114,000 ลิตร มูลค่า 3,641,160 บาท ลักลอบนำเข้ามาราชอาณาจักร และยึดเฮโรอีนเตรียมส่งออกนอกราชอาณาจักรซุกซ่อนอยู่ภายในซองแผ่นประคบร้อน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 3.5 กิโลกรัม มูลค่า 10.5 ล้านบาท ณ บริเวณคลังของกลาง กรมศุลกากร

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษีในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ จึงมอบหมายให้นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด จนเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 21.00 น. เจ้าหน้าที่กองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) ได้ทำการตรวจค้นรถบรรทุกน้ำมันจำนวน 3 คัน ที่บริเวณริมถนนบางนา – ตราด ขาเข้า กม.37 ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เนื่องจากได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีรถบรรทุกน้ำมัน โดยภายในรถมีน้ำมันที่มีเมืองกำเนิดต่างประเทศและไม่มีเอกสารการผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้องจะขับผ่านมาบริเวณดังกล่าว

ผลการตรวจค้นพบน้ำมันดีเซล จำนวน 114,000 ลิตร มูลค่า 3,641,160 บาท เบื้องต้นไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ จึงยึดน้ำมันของกลางและยานพาหนะที่ใช้กระทำความผิด จำนวน 3 คัน ซึ่งยานพาหนะมีมูลค่าประมาณ 7,700,000 บาท รวมมูลค่าของกลางทั้งหมดประมาน 11,341,160 บาท นำส่งกรมศุลกากร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
              
กรณีดังกล่าวเป็นการนำของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร หรือช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่ามิได้ผ่านพิธีการศุลกากรอันเป็นกระทำความผิดตาม มาตรา 242  หรือ มาตรา 246 ประกอบ มาตรา 166 และ มาตรา 167 แห่ง พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560

สำหรับสถิติในการจับกุมการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิง (ดีเซล) เข้ามาในราชอาณาจักร ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 – ปัจจุบัน (กรกฎาคม 2566) มีจำนวน 642 รายปริมาณ 440,168 ลิตร มูลค่ากว่า 10,834,000 บาท ทั้งนี้ กรมศุลกากรจะให้ความสำคัญกับการปราบปรามการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิง(ดีเซล)เข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อเป็นการปกป้องสังคมและสร้างความมั่นคงให้เศรษฐกิจของประเทศต่อไป

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังได้ให้ความสำคัญในภารกิจปกป้องสังคม ให้ปราศจากการลักลอบนำเข้าสิ่งผิดกฎหมายและยาเสพติด จึงให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกรมศุลกากร เพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษในการป้องกัน สกัดกั้นยาเสพติดให้โทษ และบูรณาการกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ กรมศุลกากรพบกล่องพัสดุด่วนพิเศษระหว่างประเทศ ต้นทางจากเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ปลายทางเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 1 หีบห่อ มีความน่าสงสัยจึงให้เจ้าหน้าที่ภายใต้การกำกับดูแลของนายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม และนายจักกฤช อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับชุดปฏิบัติการ AITF (AIRPORT INTERDICTION TASK FORCE) ประกอบด้วย กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ร่วมกันวิเคราะห์ความเสี่ยงในการลักลอบส่งของต้องห้ามต้องกำกัดออกนอกราชอาณาจักร และทำการตรวจสอบพัสดุดังกล่าว ซึ่งสำแดงชนิดสินค้าเป็น PILL PATCH , COUGH PILLS , SNACK น้ำหนักรวม 10.790 กิโลกรัม จากการตรวจสอบสินค้า PILL PATCH จำนวน 12 ถุง (แผ่นประคบร้อน) พบร่องรอยการถูกปิดผนึกใหม่ด้วยความร้อน โดยภายในแต่ละถุงบรรจุซองย่อยอีก จำนวน 4 ซอง รวมทั้งสิ้น 48 ซอง มีร่องรอยการปิดผนึกใหม่เช่นกันทุกซอง จึงได้เปิดซองออกตรวจสอบพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เฮโรอีน (Heroine) ซุกซ่อนอยู่ภายใน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 3.5 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 10.5 ล้านบาท
        
โดยการกระทำดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดตามมาตรา 242,244 ประกอบมาตรา 252 ซึ่งเป็นของอันพึงต้องริบ ตามมาตรา 166 และ มาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 จึงส่งให้ผู้ที่เกี่ยวของดำเนินคดีต่อไป
        
สำหรับสถิติจับกุมยาเสพติดกรมศุลกากร ตั้งแต่ประจำปีงบประมาณ 2566  – ปัจจุบัน (ตุลาคม – กรกฎาคม 2566)  มีจำนวน 148 ราย มูลค่า 1,022,513,880 บาท

นอกจากประเด็นดังกล่าวข้างต้น โฆษกกรมศุลกากร ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การนำเงินตราไทยและเงินตราต่างประเทศ ออกไปนอก และเข้ามาในราชอาณาจักร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
All

ศุลกากรนิวซีแลนด์ลงนามโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ

ศุลกากรนิวซีแลนด์ลงนาม โครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566  นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร และ Ms. Christine Stevenson ตำแหน่ง Comptroller and Chief Executive ของศุลกากรนิวซีแลนด์ ได้ลงนามความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangement: MRA) สำหรับโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ (Authorized Economic Operators: AEO) ระหว่างกรมศุลกากรและศุลกากรนิวซีแลนด์ ในการประชุม WCO Asia Pacific Regional Head of Customs Administration Conference ครั้งที่ 24 ณ เมืองเพิร์ท เครือรัฐออสเตรเลีย

สำหรับผลจากการลงนามในครั้งนี้ จะทำให้ผู้ส่งของออกระดับมาตรฐานเออีโอของประเทศไทยได้รับการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติพิธีการศุลกากร เมื่อส่งของออกไปยังประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งความตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangement: MRA) ฉบับนี้  จัดเป็นความตกลงฯ ในระดับทวิภาคี ลำดับที่ 6 ที่ประเทศไทยได้ลงนามโดยสมบูรณ์ ร่วมกับหน่วยงานศุลกากรของประเทศต่าง ๆ ต่อจาก เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น

ในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศไทยและประเทศนิวซีแลนด์ มีความเข้มแข็งด้วยมูลค่าทางการค้ารวมทั้งสิ้น กว่า 4.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (รอบปีบัญชี มิถุนายน 2565) ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยและความมีประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานและการค้าระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศ กรมศุลกากรและศุลกากรนิวซีแลนด์จึงได้เริ่มการเจรจาการจัดทำความตกลงดังกล่าว ตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม ปี 2564 และได้ดำเนินการตรวจสถานประกอบการร่วมกัน (Joint Site Validation) ในปี 2565
         
ทั้งนี้ กรมศุลกากรได้ดำเนินโครงการผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอตามกรอบมาตรฐานความปลอดภัย SAFE Framework of Standards to Secure and Facilitate Global Trade (SAFE Framework) ขององค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีนโยบายขยายการจัดทำ MRA กับหน่วยงานศุลกากรของประเทศอื่น ๆ ต่อไป เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอของประเทศไทยต่อไป

AEO-MRA Signing Ceremony between the Customs Department of the Kingdom of Thailand and the New Zealand Customs Service

On 29 May 2023, Mr. Patchara Anuntasilpa, Director-General of the Thai Customs Department and Ms. Christine Stevenson, Comptroller and Chief Executive of the New Zealand Customs Service have officially signed the Mutual Recognition Arrangement (MRA) on Authorized Economic Operators (AEO) between the Customs Department of the Kingdom of Thailand and the New Zealand Customs Service at the 24th World Customs Organization regional heads meeting held in Perth, Australia. Upon the execution of this MRA, Thai AEOs would be able to enjoy the benefits of trade facilitation on customs procedures when exporting to New Zealand. This MRA will become the 6th fully executed MRA that Thailand has entered into, following the MRAs with other customs administrations; Hong Kong, South Korea, Singapore, Australia, and Japan.

Thailand and New Zealand has been having a well-established trading relationship, with two-way trade worth $4.4 billion for the year ended in June 2022. Accordingly, to enhance the cooperation between the customs administrations to strengthen the security and the efficiency of the supply chain, as well as the international trade, the Thai Customs Department and the New Zealand Customs started the negotiation on this MRA in May 2021, and both continued to conduct Joint-site Validation in 2022.

Thai Customs Department has been implementing the AEO program under the SAFE Framework of Standards to Secure and Facilitate Global Trade, governed by World Customs Organization, and will continue working toward establishing MRAs with other customs authorities to facilitate international trade for Thai AEOs.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร 

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

กรมศุลกากร อัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

กรมศุลกากร อัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เวลา 11.29 น. สมเด็จพระพุทธพจนวชิรมุนี เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีอัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประดิษฐานบนแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร่วมด้วยคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมพิธีฯ ณ กรมศุลกากร คลองเตย

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากร เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ พระองค์ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้รวมการภาษีขาเข้า 100 ชัก 3 กับการภาษีขาออกเบ็ดเสร็จ เข้าด้วยกัน และตั้งเป็นกรมศุลกากรเพื่อทำหน้าที่จัดเก็บภาษีขาเข้า – ขาออกเป็นรายได้ของแผ่นดิน กอปรกับตราสัญลักษณ์ของกรมศุลกากรได้ใช้รูปพระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎ เป็นตราสัญลักษณ์มาโดยตลอด นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้  ที่พระองค์ท่านทรงให้กำเนิดกรมศุลกากร ซึ่งนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศไทยจวบจนปัจจุบัน

กรมศุลกากร จึงก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นที่บริเวณด้านหน้าอาคาร 1 กรมศุลกากร เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นราชสักการะและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อระบบการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศไทยและกรมศุลกากร ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ปวงชนชาวไทยสืบจนปัจจุบันและเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในวาระครบ 168 ปีหรือ 14 รอบในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

สำหรับพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สร้างในพระอิริยาบถประทับเก้าอี้สูง 1.99 เมตร มีแท่นรองรับเป็นศิลาหินอ่อนสามชั้น สูงจากพื้นรวมทั้งหมดประมาณ 5.25 เมตร และกรมศุลกากรได้ทำหนังสือขออนุญาตในการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยกรมศุลกากรได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์แท่นประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2565 โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ บริเวณหน้าอาคาร 1 กรมศุลกากรและเมื่อวันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 มีพิธีเททองหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE