Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ค้านสร้างโรงไฟฟ้าขยะ พื้นที่ ต.ป่าหุ่ง หวั่นมลพิษ

 
วานนี้ (13 ก.ย. 66) ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย ประชาชนชาว ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย เข้ายื่นหนังสือ เรื่อง ขอคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ ขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง เพื่อขอพิจารณาออกคำสั่งระงับโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ขนาดกำลังผลิต 9.9 เมกะวัตต์ งบประมาณก่อสร้างประมาณ 2,000 ล้านบาท คาดมีผลกระทบกว่า 11 หมู่บ้าน ซึ่งมีพี่น้องชาวอำเภอพานมารวมตัวกันกว่า 200 คน
 
นางสาวอรวรรณ บุญปั๋น แกนนำกลุ่มผู้คัดค้าน กล่าวว่า มีนายทุนมากว้านซื้อที่ดินของชาวบ้านไปกว่า 130 ไร่ โดยตอนแรกชาวบ้านไม่ทราบว่านายทุนจะนำไปก่อสร้างเป็นอะไร จนมาทราบในภายหลังว่ามีแผนจะก่อสร้างเป็นโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะ ซึ่งคนในอำเภอพานไม่ได้ทราบข้อมูลเรื่องโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านได้รับรู้อย่างทั่วถึง และพื้นที่ดำเนินการโครงการดังกล่าวอยู่ใกล้ชุมชน ใกล้วัดโบราณสถาน โรงเรียน แหล่งน้ำ พื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงหวั่นผลกระทบต่อวิถีชุมชน และกล่าวต่อไปว่าโรงไฟฟ้าขยะไม่ใช่สิ่งที่ชุมชนต้องการ ชุมชนรอบด้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องการจัดการขยะ ชาวบ้านสามารถจัดการกับขยะในชุมชนตนเองได้ ไม่ต้องการนำเข้าขยะจากภายนอกเข้ามาในชุมชน หากโรงไฟฟ้าขยะเกิดขึ้นมา ผลกระทบที่ตามมามากมายมหาศาลได้ จึงเข้ายื่นหนังสือคัดค้านดังกล่าว ฯ ให้จังหวัดเชียงรายได้รับทราบ และช่วยยุติโครงการ เพื่อพี่น้องประชาชนในอำเภอพาน
 
ในช่วงเวลาเดียวกันที่ห้องประชุมจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นางภัทราวดี สุทธิธนกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ นายอำเภอพาน นายก อบต.ป่าหุ่ง และตัวแทนชาวบ้าน จำนวน 5 คน เข้าร่วมให้ข้อมูลโครงการ ชี้แจงความเป็นมาของโครงการดังกล่าวฯ และข้อเรียกร้องของชาวบ้าน
 
หลังจากนั้นชาวบ้านลงมายื่นหนังสือร้องทุกข์ให้กับศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงรายที่ด้านหน้าศาลากลางฯ ตามลำดับ โดยมีนายนายลิขิต มีเสรี ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้รับมอบหนังสือดังกล่าวฯ ตามลำดับ
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ผบ.ฝูงบิน 416 ยัน “งานพ่อขุนปี 67” ไม่ได้จัดที่นี่! เผยเตรียมยกระดับ ‘สนามบินเก่า’

 

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2566 หลังมีภาพและข้อความเกี่ยวกับการยกเลิกสถานที่ให้จัดงานพ่อขุนเม็งรายมหาราช และงานกาชาดเชียงราย ประจำปี 2567 โดยใช้สนามบิน ฝูงบิน 416 เชียงรายเป็นสถานที่จัดงานนั้น

โดยทางฝูงบิน 416 เชียงราย ได้ชี้แจงประเด็นดังกล่าวว่าขณะนี้ สนามบินฯ อยู่ในช่วงของการดำเนินงานก่อสร้าง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณปัจจุบัน  2566 ไปจนถึงปีงบประมาณ 2569 ฝูงบิน 416 เชียงราย จึงไม่สามารถให้สถานที่ในการจัดงานหรือกิจกรรมอื่นได้อีกต่อไป

และได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.2566 ไปเรียบร้อยแล้ว ตามหนังสือ ฝูงบิน 416 เชียงราย ที่ กห 0624.14/15 เรื่อง แจ้งงดให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมงานพ่อขุนเม็งรายมหาราช และงานกาชาดประจำปี และกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่สนามบิน ฝูงบิน 416

ทางทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้โทรไปสอบถาม นาวาอากาศเอกสมชาติ บุญมาวงค์ ผู้บังคับฝูงบิน 416 เชียงราย ถึงกระแสดังกล่าวที่แชร์ไปในโลกออนไลน์ ได้ทราบข้อเท็จจริงถึงรายละเอียดในการดำเนินงานก่อสร้างจริง โดยมีการวางแผนงานไว้แล้วเพื่อพัฒนาให้สนามบินมีมาตรฐานการบิน ไอเคโอ (ICAO) คือ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศหรือ “International Civil Aviation Organization” 

 

โดยกองทัพอากาศเตรียมยกระดับสนามบินเชียงราย ฝูงบิน 416 เป็นศูนย์กลางช่วยเหลือประชาชนในภาคเหนือตอนบน ทำภารกิจดับไฟป่า แก้ปัญหาหมอกควันฝุ่นละออง มีโดรนไร้นักบิน และ ฮ.กู้ภัย EC-725 ค้นหาช่วยชีวิต และรับ-ส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งกองทัพอากาศมีความร่วมมือกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เอาไว้อีกด้วย

               ส่วนชาวเชียงรายและประชาชนทั่วไปทาง นาวาอากาศเอกสมชาติ บุญมาวงค์ แจ้งกับทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ว่ายังสามารถใช้สถานที่ในรันเวย์ของสนามบินเก่าออกกำลังกายได้ปกติจนถึงประมาณต้นปี 2568 และจะมีพื้นที่สำหรับออกกำลังกายอยู่บริเวณศูนย์พัฒนากีฬากอล์ฟฝูงบิน 416 ซึ่งจะมีแผนพัฒนาให้เป็นลู่วิ่งยาวถึง 3 กิโลเมตรโดยจะเริ่มเห็นประมาณปีหน้าจากงบประมาณที่ได้มาพัฒนา

               กำหนดการที่ทำตอนนี้คือการปรับพื้นที่ให้ปลอดภัยไม่ให้เป็นแหล่งมั่วสุม โดยในปี 2566 ได้งบประมาณกว่า 18 ล้าน มาทำรั้วโดยรอบ รวมถึงจะมีการทำตัวกั้นไม้กระดกปิดถนนเส้นโรงเรียนเทศบาล 4 สันป่าก่อและวัดดอยพระบาท ที่ทะลุหากัน รวมถึงถนนรอบสนาบินเก่า กว้าง 7 เมตรให้ประชาชนสัญจร

ส่วนแผนในปี 2567 แผนพัฒนาพื้นที่บริเวณสนามกอล์ฟ เป็นสวนสุขภาพมีลู่วิ่งระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร พื้นที่กว่า 77 ไร่ ให้ประชาชนชาวเชียงรายได้ออกกำลังกาย ซึ่งจะทดแทนพื้นที่ในส่วนของรันเวย์ของสนามบินเดิม

     และช่วงต้นปี 2568 ทางสนามบิน ฝูงบิน 416 เชียงราย หรือสนามบินเก่าจะต้องสร้างรั้วการบิน เป็นพื้นที่สนามบิน ให้เป็นไปตามมาตรฐานการบิน ไอเคโอ (ICAO) และปรับเป็นพื้นที่เพื่อการฝึก HADR ฝึกการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและบรรเทาสาธารณภัย และกองทัพอากาศมีความร่วมมือกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ที่ต้องทำ แต่ต้องย้ำว่าประชาชนทุกคนยังสามารถ ใช้พื้นที่ออกกำลังกายในบริเวณที่กองทัพอากาศทำไว้ให้ นาวาอากาศเอกสมชาติ บุญมาวงค์ กล่าวปิดท้าย

 

ซึ่งในวันเดียวกันสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ออกมาเตือนว่าเป็นข่าวปลอมจังหวัดเชียงรายไม่ได้ทำโปสเตอร์โปรโมทงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและกาชาดอ่านต่อ https://nakornchiangrainews.com/cr-event-announced/

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

งานพ่อขุนเชียงรายปี 67 จัดที่ไหนยังไม่เคาะ!

 

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2566 หลังมีภาพและข้อความเกี่ยวกับการยกเลิกสถานที่ให้จัดงานพ่อขุนเม็งรายมหาราช และงานกาชาดเชียงราย ประจำปี 2567 โดยใช้สนามบิน ฝูงบิน 416 เชียงรายเป็นสถานที่จัดงาน ซึ่งปรากฏข้อมูลในสื่อออนไลน์ในรูปแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์

     โดยมีทางสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ออกมาเตือนว่าเป็นข่าวปลอมจังหวัดเชียงรายไม่ได้ทำโปสเตอร์โปรโมทงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและกาชาด ได้โพสต์ผ่านช่องทางเฟสบุ๊คข้อความว่า ตามที่ปรากฏข้อมูลในสื่อออนไลน์ในรูปแบบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์การจัดงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด ประจำปี 2567 นั้น

 

จังหวัดเชียงราย ขอแจ้งว่าจังหวัดเชียงรายมิได้จัดทำโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ดังกล่าว ทั้งนี้ คณะกรรมการจัดการพ่อขุนฯ ยังมิได้มีการประชุมเพื่อกำหนดวัน เวลา และสถานที่ จัดงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาด ประจำปี 2567 แต่อย่างใด

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ผบ.ตร.​ พบ​ “เศรษฐา” รายงานเหตุ “ผกก.ทางหลวง”​ ยิงตัวเองดับคาบ้านพัก

 

11 กันยายน 2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์​ กิตติประภัสร์​ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวภายหลังการเข้ารายงานต่อนายเศรษฐา​ ทวีสิน​ นายก​รัฐมนตรี​ ความคืบหน้าคดีพ.ต.ต.ศิวกร​ สายบัว​ สว.กก. 2 บก.ทล ถูกยิงเสียชีวิตภายในงานเลี้ยงกำนันนก​ รวมถึงกรณีพ.ต.อ.วชิรา​ ยาวไทยสงค์​ ผู้กำกับ 2 บก.ทล. 1 ใน 25 นายตำรวจที่อยู่ภายในงานเลี้ยงยิงตัวตายภายในบ้านพักเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาว่า​ นายกรัฐมนตรี เรียกเข้ามาให้รายงานความคืบหน้าในคดีที่พ.ต.อ.วชิรา ปลิดชีพ​ตัวเองที่บ้าน

โดยกำชับให้ดูคดีนี้อย่างตรงไปตรงมาในทุกมิติ เช่นเดียวกับคดียิงตำรวจทางหลวง ซึ่งขณะนี้กองบังคับการปราบปรามกำลังดำเนินการอยู่ โดยได้มีการสอบสวนตำรวจทั้ง 25 นายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และออกหมายจับไปแล้ว 6 นาย โดยเป็นตำรวจในพื้นที่ 2 นายและเป็นตำรวจทางหลวงอีก 4 นาย รวมถึงมีคำสั่งให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับชั้น ออกจากราชการไว้ก่อน โดยได้มีการรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ซึ่งนายกรัฐมนตรียังคงเน้นย้ำให้ทำคดีทั้งสองเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาในทุกมิติ และให้ความเป็นธรรมใครผิดก็ว่าไปตามผิดใครถูกก็ว่าไปตามถูก

เมื่อถามถึงกรณีที่พ.ต.อ.วชิรา ปลิดชีพตัวเองหรือ​เป็นฆ่าการตัดตอนหรือไม่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์​ ระบุว่า​ ประเด็นดังกล่าวขอเวลาตรวจสอบก่อน โดยขณะนี้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้ลงพื้นที่ไปยังที่เกิดเหตุแล้ว​ จะมีการจัดเก็บพยานหลักฐานใดที่เกิดเหตุทั้งหมด และเชื่อว่าอีกไม่นานความจริงจะกระจ่าง​ ส่วนข้อมูลแวดล้อมเพียงพอหรือไม่ ขณะนี้อย่าเพิ่งด่วนสรุป​ เพราะขอให้ตรวจสอบ จากพยานแวดล้อม​ และนิติวิทยาศาสตร์​ รวมไปถึงเรื่องอาวุธปืนให้มีความชัดเจนก่อน​

เมื่อถามถึงพ.ต.อ.วชิรา ปลิวชีพตัวเองเกิดจากสาเหตุที่พา พ.ต.ต.ศิวกร ไปยังเกิดเหตุจนเสียชีวิตใช่หรือไม่​ ผบ.ตร.​ ระบุว่า​ ขณะนี้ยังไม่อยากฟันธง ขอให้ทุกอย่าง เกิดความชัดเจนจากพนักงานสอบสวน หรือผู้รวบรวมพยานในที่เกิดเหตุก่อน​

ส่วนแนวทางการป้องกันไม่ให้ตำรวจในที่เกิดเหตุอีก 24 รายที่เหลือก่อเหตุการณ์ซ้ำรอย พ.ต.อ.วชิรา ได้อย่างไร​ เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นการฆ่าตัดตอน​ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์​ กล่าวว่า​ ขออย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าเป็นการฆ่าตัดตอนหรือค่าตัวตายขอเวลาพิสูจน์อีกนิด

ส่วนกังวลหรือไม่อาจมีความสูญเสียมากกว่านี้ เนื่องจากมีการเชื่อมโยงไปยังนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์​ กล่าวว่า​ เรื่องนี้เป็นความคิดของแต่ละคนตนยังไม่อยากพูด และยังไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้น แต่ขอดูในวันนี้ก่อนว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอะไร อาทิ​ เครียดจนฆ่าตัวตายหรือฆ่าตัดตอน​ แต่ถึงอย่างไรยังไม่ขอฟันธง ขอเวลาตรวจสอบก่อน

เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.ต.อ.วชิรา ปลิดชีพตัวเองจะทำให้รูปคดีเสียหรือไม่ ผบ.ตร.​กล่าวว่า​ คงไม่กระทบอะไร​ แต่ขอเวลาตรวจสอบก่อน และเชื่อว่าภายในวันนี้อีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้ความชัดเจนมากขึ้น​ ส่วนการคุ้มครองพยานหลักฐานที่เหลือก็จะให้ผู้บังคับบัญชาในแต่ละระดับชั้นไปตรวจสอบว่าเขามีความต้องการหรือมีความเครียดหรือไม่

ส่วนกระแสข่าวก่อนที่พ.ต.อ.วชิรา จะปลิดชีพ ได้มีการเปรยในกลุ่มไลน์นักเรียนร่วมรุ่นนายร้อยตำรวจว่าจะฆ่าตัวตาย​ ผบ. ตร.​ กล่าวว่า​ เรื่องนี้ตนขอไปหาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กระทรวงยุติธรรม เร่งเยียวยาเหยื่อโกดังพลุระเบิด นราธิวาส เสียชีวิตจ่ายเต็มที่ รายละ 200,000 บาท

จากกรณี โกดังเก็บพลุ ประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บกว่าร้อยราย รวมทั้ง บ้านเรือนและทรัพย์สินได้รับความเสียหายจำนวนมาก นั้น
 
นายธีรยุทธ แก้วสิงห์  ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ ในฐานะโฆษกกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งผู้ประสบเหตุ ที่ได้รับความเสียหายในเหตุการณ์ครั้งนี้  ผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ได้เร่งให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายเป็นการเร่งด่วน โดยกรมฯได้ประสานงานกับนางอำไพ ชนะชัย ยุติธรรมจังหวัดนราธิวาสและเจ้าหน้าที่ยุติธรรมจังหวัด เพื่อประสานแนวทางการแจ้งสิทธิตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2559  ร่วมกับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจ สภ.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก และศูนย์ปฏิบัติการเยียวยาฯ อำเภอสุไหงโก-ลก รวมทั้งเครือข่ายศูนย์ยุติธรรมชุมชนในการให้คำปรึกษาเบื้องต้นและการให้ความช่วยเหลือด้านอื่นๆแก่ผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์พลุระเบิดครั้งนี้ด้วย

นายธีรยุทธฯ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดครั้งนี้ นับเป็นโศกนาฏกรรม ที่เกิดความสูญเสียอย่างมาก และเป็นเหตุสะเทือนใจของสังคม กรณีของผู้เสียหายที่เสียชีวิต มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาตามกฎหมายสูงสุด รายละ 200,000 บาท  ประกอบด้วย ค่าตอบแทนเสียชีวิต ไม่เกิน 100,000 บาท ค่าจัดการศพ ไม่เกิน 20,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู ไม่เกิน 40,000 บาท และค่าตอบแทนความเสียอื่น ไม่เกิน  40,000 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการฯจังหวัดนราธิวาส พิจารณาเป็นสำคัญ ส่วนกรณีผู้ที่ได้บาดเจ็บ มีสิทธิได้รับการเยียวยา ได้แก่ค่ารักษาพยาบาล จำนวนไม่เกิน 40,000 บาท ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ จำนวนไม่เกิน 20,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ เนื่องจากต้องพักรักษาตัว ตามค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดนราธิวาส (อัตราวันละ 328 บาท)ไม่เกิน 1 ปี และค่าตอบแทนความเสียอื่น ตามความรุนแรงของอาการบาดเจ็บ จำนวนไม่เกิน 50,000 บาท

 นายธีรยุทธ กล่าวย้ำว่า กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความผิดอาญาที่ชัดเจนจากการกระทำผิดของผู้อื่น โดยที่ผู้เสียหายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่า คณะอนุกรรมการจังหวัดนราธิวาส จะสามารถประชุมพิจารณาช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วภายในสัปดาห์หน้านี้ ส่วนกรณีที่ได้รับบาดเจ็บอาจต้องรอการรักษาพยาบาลและเอกสารประกอบการพิจารณา ซึ่งสำนักงานยุติธรรมจังหวัดจะได้ประสานงานกับผู้เสียหายและทายาทอย่างใกล้ชิดต่อไป   ทั้งนี้ ทายาทหรือผู้เสียหาย สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานยุติธรรมจังหวัดนราธิวาส หมายเลข 0-7353-1234 หรือ สายด่วนยุติธรรม โทร 1111 กด 77 (โทรฟรี ตลอด 24ชั่วโมง)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงยุติธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ปลัด มท. เผยพบทำผิดกฎหมาย 1 จังหวัด หลังสั่งตรวจสอบพลุไฟทั่วประเทศ

วันนี้ (1 ส.ค. 66) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสินค้าที่เกิดขึ้น ที่บริเวณบ้านมูโนะ หมู่ที่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยมีสาเหตุมาจากการลักลอบนำดอกไม้เพลิงมาเก็บไว้ในที่เกิดเหตุ ผลกระทบจากแรงระเบิดเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้มีหนังสือกำชับแนวทางการควบคุม ตรวจสอบผู้รับใบอนุญาตให้ทำ สั่ง นำเข้า หรือค้า ซึ่งดอกไม้เพลิงไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อเป็นมาตรการในการป้องกัน ควบคุม ตรวจสอบเกี่ยวกับการดำเนินการของผู้รับใบอนุญาตให้ทำ สั่ง นำเข้า หรือค้า ซึ่งดอกไม้เพลิง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตลอดจนให้การดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน เป็นไปด้วยความถูกต้อง โดยกรมการปกครองได้สั่งการให้อำเภอ 878 อำเภอ ในทุกจังหวัด เร่งตรวจสอบสถานที่ที่อาจเป็นโกดังเก็บดอกไม้เพลิงหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พร้อมรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดและกรมการปกครองทราบโดยเร่งด่วน เพื่อเป็นมาตรการในการป้องกัน ควบคุม ตรวจสอบเกี่ยวกับการดำเนินการเกี่ยวกับดอกไม้เพลิง ในทุกพื้นที่อย่างเคร่งครัด และอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยในชุมชนในช่วงวันหยุดยาวให้พี่น้องประชาชน
.
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้ กระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานจากการลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ที่อาจจะเป็นโกดังหรืออาคารลักลอบจัดเก็บพลุ พบแหล่งลักลอบเก็บดอกไม้เพลิงโดยไม่ได้รับอนุญาตในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยฝ่ายปกครองอำเภอเมืองกาญจนบุรี ได้เข้าตรวจค้นอาคารไม่มีบ้านเลขที่ อยู่ติดกับหลังบ้านเลขที่ 164/1 หมู่ที่ 11 ตำบลวังด้ง อำเภอเมืองกาญจนบุรี ซึ่งจากการตรวจค้นพบว่ามีร่องรอยการทำดอกไม้เพลิง (พลุ) และสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหา 1 ราย คือ นายประเสริฐ เซี่ยงว่อง อายุ 68 ปี ซึ่งรับเป็นเจ้าของสถานที่และให้การสารภาพว่าตนรับทำดอกไม้เพลิง (พลุ) ที่ใช้ในงานศพ จากการตรวจสอบพบว่าไม่มีใบอนุญาตทำดอกไม้เพลิงจากนายทะเบียนท้องที่ จึงได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมก่อนที่จะพบของกลางหลายรายการ คือ 
1) พลุ ขนาด 3 นิ้ว จำนวน 3 กระบอก 
2) พลุกล้วย ขนาดใหญ่ จำนวน 30 ลูก 
3) พลุกล้วย ขนาดกลาง จำนวน 4 ลูก 
4) พลุกล้วย ขนาดเล็ก จำนวน 10 ลูก 
5) ดินปืนสำหรับทำชนวน จำนวน 1 ถัง 
6) สายชนวนสีดำ จำนวน 2 เข่ง 
7) สายชนวนสีแดง จำนวน 3 ม้วน
 
  สายชนวนแบบตัดแต่งแล้ว จำนวน 1 ถุง ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมอำเภอเมืองกาญจนบุรี ได้แจ้งข้อกล่าวหา “ทำดอกไม้เพลิง (พลุ) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่” และได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.ลาดหญ้า เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ในทุกพื้นที่ได้ทำการตรวจสอบสถานที่เป้าหมายอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนว่าจะไม่มีเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก รวมทั้งเป็นการป้องปรามการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ในช่วงวันหยุดยาวด้วย โดยมีผลการดำเนินงาน อาทิ
 
1. จังหวัดลำปาง ฝ่ายปกครองจังหวัดลำปาง ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิงในพื้นที่ ประกอบด้วย อำเภอเมืองลำปาง จำนวน 2 แห่ง อำเภองาว 1 แห่ง อำเภอห้างฉัตร 3 แห่ง อำเภอแม่ทะ 1 แห่ง จากการเข้าตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด ในส่วนการตรวจสอบอีก 9 อำเภอที่เหลือ ไม่พบว่ามีโกดัง อาคาร ลักลอบเก็บพลุ ดอกไม้เพลิง
 
2. จังหวัดหนองคาย ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองหนองคาย ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน อำเภอเมืองหนองคาย เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่อำเภอเมืองหนองคาย โดยมีร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิง จำนวน 4 ร้าน ประกอบด้วย 1) ร้าน ต.โต้ด การค้า บริเวณร้านค้าตลาดแจ้งสว่าง 2) ร้านแสงรุ่งการเกษตร ต.มีชัย 3) ร้านสุระสถิตย์เซนต์เตอร์ ม.11 ต.พระธาตุบังพวน 4) ร้านจารุวรรณซูเปอร์สโตร์ ม.11 ต.พระธาตุบังพวน จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด
 
3. จังหวัดขอนแก่น ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองขอนแก่น ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน อำเภอเมืองขอนแก่น เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่อำเภอเมืองขอนแก่น โดยมีร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิง จำนวน 1 ร้าน คือ ร้านไทยประเสริฐ ตำบลในเมือง จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
4. จังหวัดราชบุรี ฝ่ายปกครองอำเภอปากท่อ ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอปากท่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากท่อ สภ.ทุ่งหลวง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่อำเภอปากท่อ โดยมีร้านค้าที่ขออนุญาตจำหน่ายดอกไม้เพลิง จำนวน 3 ร้าน ประกอบด้วย 1) ร้านนายศุภชัย จำปาโชติ ม.1 ต.ปากท่อ 2) ร้าน น.ส.สุรีย์ แซ่ลิ้ม ม.1 ต.ปากท่อ และ 3) ร้าน น.ส.เพ็ญศรี ศุภกุลศรีศักดิ์ ม.1 ต.ปากท่อ จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
5. จังหวัดตาก ฝ่ายปกครองอำเภอวังเจ้า ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอวังเจ้า ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบเก็บพลุและดอกไม้ไฟ บริเวณร้านค้า โกดัง ตลาดนาโบสถ์ เพื่อป้องปรามการกระทำความผิดและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
6. จังหวัดอุดรธานี ฝ่ายปกครองอำเภอโนนสะอาด ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอโนนสะอาด ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบเก็บพลุและดอกไม้ไฟในพื้นที่อำเภอโนนสะอาด จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
7. จังหวัดเพชรบูรณ์ ฝ่ายปกครองอำเภอศรีเทพ ร่วมกับสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอศรีเทพ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ศรีเทพ และ เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลตำบลสว่างวัฒนา ลงพื้นที่ตรวจสอบการลักลอบเก็บพลุและดอกไม้ไฟในพื้นที่อำเภอศรีเทพ จากผลการตรวจสอบ ไม่พบการกระทำผิด รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
8. จังหวัดบึงกาฬ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายประทัด ดอกไม้เพลิงในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ จากผลการตรวจสอบ ไม่มีสถานที่ผลิตในพื้นที่ ส่วนสถานที่เก็บและจำหน่ายนั้น ไม่พบการกระทำผิด ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่เป็นสถานที่จำหน่ายตามช่วงเทศกาลสำคัญ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้กำชับให้จัดเก็บอย่างปลอดภัยและให้ห่างไกลจากแหล่งเชื้อเพลิงที่เป็นอันตราย รวมถึงไม่พบโกดังหรืออาคารลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด
 
“ขอกำชับไปยังทุกจังหวัด อำเภอให้หมั่นออกตรวจตราเป็นประจำอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน พร้อมเน้นย้ำผู้ประกอบการ ร้านค้า สถานที่จำหน่าย จัดเก็บดอกไม้เพลิง ให้ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และให้ความระมัดระวัง ไม่ให้ประทัดหรือดอกไม้เพลิง อยู่ใกล้กับแหล่งกำเนิดไฟ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระเบิดขึ้นได้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามแนวทางการควบคุม วิธีปฏิบัติการจำหน่ายอย่างเคร่งครัด” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเน้นย้ำ
 
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยกันสอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และตรวจสอบจุดเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดภัยต่อพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะการดำเนินการ หรือประกอบการใดที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ชุมชน/หมู่บ้านทุกแห่ง รวมถึงการแจ้งประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ หากผู้ใดพบเบาะแสหรือสถานที่ต้องสงสัยที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเก็บพลุ ดอกไม้เพลิง หรือวัตถุอันตราย ที่อาจก่อให้เกิดระเบิด โดยอยู่ในพื้นที่ของชุมชน หรืออาจไม่มีใบอนุญาตประกอบการดังกล่าว ขอให้แจ้งมายังที่ทำการปกครองจังหวัด ที่ทำการปกครองอำเภอ นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ หรือโทรสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สั่งจับตาพายุโซนร้อน “ตาลิม” เตรียมรับมือร่องมรสุมกำลังแรง-ฝนตกหนัก

 

วันที่ 18 กรกฎาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง พายุโซน “ตาลิม” (TALIM) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ซึ่งขณะนี้ พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน “ตาลิม” (TALIM) แล้ว และกำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อยอย่างช้า ๆ คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลำและขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 18-21 ก.ค. 66 ร่องมรสุมกำลังแรงจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรง ส่งผลให้ในระยะนี้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง และมีน้ำป่าไหลหลาก ดังนี้ ภาคเหนือ บริเวณ จังหวัดเชียงใหม่ น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และจังหวัดเพชรบูรณ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณจังหวัดหนองคาย บังกาฬ สกลนคร เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี นครพนม มุกดาหาร ชัยภูมิ อุบลราชธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ ภาคกลาง บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดสระบุรี ภาคตะวันออก บริเวณจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด

นางสาวรัชดา กล่าวว่า จากการที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.)  ได้ประเมินวิเคราะห์สถานการณ์น้ำจากฝนคาดการณ์โดยกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พบว่า พายุโซนร้อน “ตาลิม” และร่องมรสุมกำลังแรง คาดการณ์จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศได้กว่า 1,426 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ในช่วงระหว่างวันที่ 17 – 22 ก.ค. 66 โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้อ่างฯ ขนาดใหญ่ที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำน้อย โดยอ่างฯ ขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าสูงสุด ได้แก่ เขื่อนสิรินธร 259 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนวชิราลงกรณ 217 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ 195 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนลำปาว 125 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนภูมิพล 117 ล้าน ลบ.ม. โดยเฉพาะเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนวชิราลงกรณในภาคตะวันตก ที่สามารถใช้สนับสนุนน้ำต้นทุนให้แก่พื้นภาคกลางเพื่อใช้สำหรับผลักดันน้ำเค็มและผลิตน้ำประปาได้ ถือเป็นผลดีในการช่วยเหลือพื้นที่ตอนกลางของประเทศที่คาดว่าจะมีฝนตกน้อยจากสภาวะเอลนีโญในปีนี้และเสี่ยงเกิดภัยแล้งมากที่สุด 

“พลเอก ประยุทธ์จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่เสี่ยง และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมรับมือร่องมรสุมกำลังแรงที่เกิดขึ้นและฝนตกหนัก ทั้งการเตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก รวมถึงเตรียมความพร้อมบุคลากร และเครื่องจักรเครื่องมือกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมวางแผนเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อเก็บกักไว้ใช้ช่วงฤดูแล้ง  และบูรณาการความพร้อมในด้านต่าง ๆ  รวมทั้งเฝ้าติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่องใกล้ชิด เพื่อปรับแผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่เป็นไปได้อย่างทันท่วงที” นางสาวรัชดา กล่าว

 

โดยนางสาวชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ลงนามในประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 10 (196/2566) เรื่อง พายุโซนร้อน “ตาลิม” (TALIM) ระบุว่า.. 

 

เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (17 ก.ค. 2566) พายุโซนร้อนกำลังแรง “ตาลิม” (TALIM) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 18.9 องศาเหนือ ลองจิจูด 113.4 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือค่อนทางตะวันตกเล็กน้อยด้วยความเร็วประมาณ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลำและขึ้นฝั่งป ระเทศเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 18-19 ก.ค. 66

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 17-20 ก.ค. 66 ร่องมรสุมกำลังแรงจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรง

ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้

จังหวัดที่คาดว่าจะมี “ฝนตกหนักถึงหนักมาก”บางแห่ง มีดังนี้ วันที่ 17 กรกฎาคม 2566

  • ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน น่าน ตาก และกำแพงเพชร
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดอุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
  • ภาคกลาง: จังหวัดอุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี ลพบุรี สระบุรี สมุทรสงคราม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
  • ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
  • ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่

ตรัง และสตูล

วันที่ 18 กรกฎาคม 2566

  • ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก และ กำแพงเพชร
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหารมหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
  • ภาคกลาง:จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี ราชบุรี ลพบุรี สระบุรี สมุทรสาคร รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
  • ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
  • ภาคใต้: จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา ภูเก็ต
  • กระบี่ ตรัง และสตูล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 10 (196/2566) เรื่อง พายุโซนร้อน “ตาลิม” (TALIM)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

แม่ทัพภาคที่ 3 ลงตรวจการฝึกผสม ไทย-สหรัฐ Balance Torch 23-4

 

เมื่อ วันที่ 11 พ.ค. 66 เวลา 14.00 น. พลโท สุริยะ เอี่ยมสุโร แม่ทัพภาคที่ 3 ตรวจเยี่ยมการฝึกผสม รหัส Balance Torch 23-4 ประจำปี 66 (ไทย-สหรัฐ) โดยแม่ทัพภาคที่ 3 ได้เข้ารับฟังการบรรยายสรุป และตรวจการฝึกปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลังพลด้วยเฮลิคอปเตอร์

 
กองทัพภาคที่ 3 ได้มอบหมายให้กองพลทหารราบที่ 4 เป็นหน่วยรับผิดชอบการจัดการฝึกฯ
โดยกองทัพบกสหรัฐอเมริกา จัดครูฝึกจากหน่วยรบพิเศษ ODA1313 และ ODA9222 จำนวน 2 ชุดปฏิบัติการ รวม 20 นาย และ กองทัพบกไทย จัดจาก กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 4 และ กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล กองพลทหารม้าที่ 1 จัดกำลังพล หน่วยละ 2 ชุดปฏิบัติการๆ ละ 12 นาย รวม48 นาย 


โดยทำการฝึกที่สนามยิงปืนทราบระยะ มณฑลทหารบกที่ 39 ค่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งการฝึกในครั้งนี้เป็นการฝึกเพื่อพัฒนาทักษะและเพิ่มพูนขีดความสามารถของกำลังพลอีกด้วย


เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ถนนคนข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

หญิงหน่อย ลาออก ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไทยสร้างไทย

 

เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 11 กรกฏรคม 2566 ที่ผ่านมา เพจ Facebook คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan ได้มีการโพสต์ข้อความ ประกาศสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคไทยสร้างไทยแล้วโดยระบุว่า

ขอเรียนให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบว่า ดิฉันได้แจ้งลาออกจากการเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคไทยสร้างไทยแล้ว ตามที่ได้ประกาศในวันที่เข้าสภาครั้งเเรก และจะเลื่อนลำดับผู้สมัครของพรรคท่านถัดๆ ไป ขึ้นมาแทนตามลำดับ เพื่อให้มีโอกาสทำงาน แก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน
.
การตัดสินใจในครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ที่ดิฉันที่ได้ประกาศไปตั้งแต่เมื่อก่อตั้งพรรคในวันแรกนั่นคือ ขอเป็น “เสาเข็ม” ลงหลักปักฐานตั้งพรรคให้สำเร็จ และเป็น “สะพาน” เชื่อมโยงคนทุกวัยเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง ทำให้พรรคไทยสร้างไทยเป็นสถาบันทางการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
.
#พรรคไทยสร้างไทย ยังเป็นพรรคน้องใหม่ และเรามีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะสร้างพรรคของประชาชน จึงมีงานอีกมากมาย ในการวางรากฐานพรรค ดิฉันจึงขออาสาไปทำงานร่วมกับพี่น้องประชาชน อย่างเต็มที่ เต็มกำลังเช่นเดิม เพื่อสร้างพรรคไทยสร้างไทยให้เข้มแข็ง และเป็นเครื่องมือในการทำงานที่ดีที่สุดให้กับประชาชน
.
ดิฉันเป็น ส.ส. สมัยแรกในปี 2535 จนถึงปัจจุบันรวม 6 สมัย ผ่านตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งในกระทรวงคมนาคม มหาดไทย สาธารณสุข และเกษตร จนถึงวันนี้ ทำงานการเมืองมามากกว่า 32 ปี เป็นมาแล้วหลายตำแหน่งสำคัญๆ
ความตั้งใจของดิฉันในวันนี้
คือการสร้างพรรคไทยสร้างไทยให้เป็นสถาบันการเมืองของประชาชน ซึ่งก็ปรากฏว่าเราได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชน ส่ง ส.ส. ของเราเข้าสู่สภาฯ 6 คน เป็นความซาบซึ้งในพระคุณของพี่น้อง ที่เราจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ให้พี่น้องผิดหวัง
.
ขอยืนยันถึงจุดยืนของ #พรรคไทยสร้างไทย ที่จะโหวตให้พรรคที่มีเสียงเป็นอันดับหนึ่ง ตามครรลองประชาธิปไตย #พิธา แคนดิเดตจากพรรคก้าวไกลเป็น #นายกคนที่30 และจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนให้สำเร็จ
.
พร้อมกันนี้ ยังขอเรียกร้องไปยัง ส.ว. ทั้ง 250 ท่าน ให้ยึดหลักการประชาธิปไตย ไม่ฝืนเจตจำนงของประชาชน ซึ่งมีแต่จะนำพาประเทศไปสู่หล่มความขัดแย้งครั้งใหม่
.
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศวางมือทางการเมือง พร้อมลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

 

เมื่อเวลา 16.15 น.วันที่ 11 กรกฏรคม 2566 ที่ผ่านมา เพจ Facebook พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีการโพสต์ข้อความ ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  โดยระบุว่า พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรัก และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกท่าน
.
ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนได้ให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติและผม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา จนทำให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้งของเรา ได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวน 23 คน และเรายังได้รับการสนับสนุนในการเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกถึง 4,766,408 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มาใช้สิทธิ 38,057,074 คน หรือร้อยละ 12.52 สูงเป็นอันดับสามของประเทศ ทำให้เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออีก 13 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่
.
การที่ผมตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เพราะผมต้องการร่วมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นหลักให้กับบ้านเมืองต่อไปในอนาคต
.
ช่วงเวลาที่ผมได้ร่วมเดินทางกับพรรคไปพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ผมได้รับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรคและประชาชนที่ให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม ผมสัมผัสได้ถึงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมั่นในตัวผมตลอดมา ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม
.
ผมเชื่อว่าทุกท่านทราบดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเก้าปีเศษ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนอันเป็นที่รักยิ่ง และสิ่งเหล่านี้กำลังผลิดอกออกผลให้กับประเทศชาติโดยส่วนรวม ผมได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน มีเสถียรภาพ มีความสงบ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนมีความสำเร็จก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านคมนาคม ขนส่ง การสื่อสาร เครือข่ายอินเตอร์เน็ต สาธารณูปโภค การเร่งรัดการลงทุนจากต่างประเทศในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ การสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ดินทำกิน การจัดระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้และบรรเทาการเกิดอุทกภัย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวัน และการรับบริการจากภาครัฐ การต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสโควิด๑๙ จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่ที่ดีที่สุดในโลก การแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาต่อการค้าการลงทุนมายาวนาน เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย การรักษามาตรฐานกิจการการบิน ตลอดจนการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบอย่างทั่วถึงด้วยความเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชาชนผู้เปราะบาง มีรายได้น้อย เด็ก คนชรา คนพิการ เป็นต้น ซึ่งผมได้บริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง มาโดยตลอด
เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทำให้กับประเทศชาติและประชาชนตลอดเก้าปีเศษที่ผ่านมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลต่อไปจะดำเนินการพัฒนาต่อไป
.
จากนี้ไป ผมขอประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และสมาชิกพรรคได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้องรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไปด้วย
.
ขอขอบพระคุณครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News