Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

Soft Power เชียงราย แฟชั่นโชว์ผ้าไทย-ชาติพันธุ์ ดันผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่ตลาดโลก

เชียงรายจุดประกายซอฟต์พาวเวอร์ชายแดน “Fashion on the Road” ครั้งที่ 3 โชว์ผ้าไทย–ชาติพันธุ์กว่า 200 ชุด เชื่อมดีไซน์–การค้า–ท่องเที่ยว ดันผู้ประกอบการท้องถิ่นสู่ตลาดโลก รับยุทธศาสตร์ NEC

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 — ยามบ่ายปลายตุลาคม แสงแดดส่องทาบแนวสะพานพรมแดนไทย–เมียนมา อำเภอแม่สาย กลายเป็นรันเวย์กลางแจ้งที่ส่งเสียงของ “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย” ดังออกไปไกลกว่าขอบเขตจังหวัด เมื่อ จังหวัดเชียงราย จัดงาน “Fashion on the Road 3rd Chiang Rai Designer’s Competition” ครั้งที่ 3 อย่างคึกคัก โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมแรงสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐท้องถิ่นและเครือข่ายเอกชน ทั้ง เทศบาลตำบลแม่สาย และ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย ที่มาร่วมผลักดันผลงานผ้าไทย–ผ้าท้องถิ่นให้เดินหน้า “จากชุมชนสู่สากล” อย่างเป็นรูปธรรม

หัวใจของงานในปีนี้คือ การประกวดและแฟชั่นโชว์กว่า 200 ชุด ที่นำผืนผ้าล้านนา–ชาติพันธุ์มาถักทอเข้ากับการออกแบบร่วมสมัย โอบล้อมด้วยเสียงเชียร์จากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติที่แวะเวียนมาชมแนวคิดสร้างสรรค์ริมเส้นทางการค้าชายแดน ซึ่งนอกจากจะเป็นพื้นที่สื่อสารอัตลักษณ์แล้ว ยังทำหน้าที่เป็น “ตลาดทดลอง” ให้ดีไซเนอร์และผู้ประกอบการท้องถิ่นได้ทดสอบรสนิยมผู้บริโภคจริงในพื้นที่ที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดแห่งหนึ่งของภาคเหนือ

เมื่อ “รันเวย์” ผสาน “การค้า” บนพรมแดน

เวลา 16.00 น. วันที่ 31 ตุลาคม 2568 บริเวณหน้าด่านพรมแดนแม่สายเปลี่ยนโฉมเป็นเวทีสีสัน ผู้คนจากสองฟากชายแดนเบียดเสียดเข้ามาจับจองพื้นที่ชมแฟชั่นโชว์ที่ท้าทายความคิดเดิมเกี่ยวกับ “ผ้าไทย” และ “ผ้าท้องถิ่น” ชุดแล้วชุดเล่าถ่ายทอดความแยบยลของ เส้นฝ้าย–ไหม–กี่กระตุก ไปจนถึงผ้าลายชาติพันธุ์ที่ขับรายละเอียดด้วยการปัก การย้อม และการกรองริ้วผ้าสไตล์โมเดิร์น ดีไซเนอร์รุ่นใหม่สลับคิวกับนักออกแบบมืออาชีพทั้งไทยและต่างประเทศ ขณะที่เสียงบรรยายแนวคิดการออกแบบชี้ให้เห็นรากของภูมิปัญญาและเส้นทางต่อยอดเชิงพาณิชย์

ผู้จัดงานเน้นย้ำ “บริบทชายแดน” ให้เป็นมากกว่าฉากหลัง ด้วยการจัดพื้นที่ “Chiang Rai Premium Market : มหกรรมสินค้าคุณภาพเชียงรายสู่ตลาดโลก” แบบคู่ขนาน รวมร้านค้าและผู้ผลิตจากกลุ่ม GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์), Chiang Rai Brand และกลุ่ม Wellness กว่า 100 บูธ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสและเลือกซื้อสินค้าจริง ขยับบทบาทแฟชั่นโชว์จากการสื่อสารแบรนด์สู่การสร้างรายได้ตรงหน้า—เงื่อนงำหนึ่งของ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ที่จับต้องได้ทันที

ซอฟต์พาวเวอร์ที่มีฐานราก—จาก “ผืนผ้า” สู่ “โอกาส”

จังหวัดเชียงราย วางงานนี้ไว้ในเส้นทางยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค คือ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC: Northern Economic Corridor) ที่เน้นย้ำการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม–สร้างสรรค์ ให้สอดรับศักยภาพท่องเที่ยว–การค้าชายแดน ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมอีเวนต์ แต่เป็น เวทีประลองโมเดลธุรกิจสร้างสรรค์” ที่เชื่อม ดีไซน์–การผลิต–การจำหน่าย–การท่องเที่ยว เข้าไว้อย่างครบวงจร

ด้านนโยบายเชิงสัญลักษณ์ งานยัง น้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมการใช้ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน เพื่อยกระดับอาชีพช่างฝีมือและอนุรักษ์ภูมิปัญญาอย่างยั่งยืน แนวคิดนี้ถูกตีความผ่านผลงานที่ “ใส่ได้จริง ขายได้จริง” ตั้งแต่เสื้อผ้าแนวเอนกประสงค์สำหรับเดินทาง จนถึงชุดร่วมสมัยที่ออกแบบสำหรับโอกาสพิเศษ—ลดช่องว่างระหว่าง “งานศิลป์บนรันเวย์” กับ “สินค้าเชิงพาณิชย์บนราวแขวน”

เชื่อมโยงเศรษฐกิจท้องถิ่น 10+Wow Chiang Rai และบทบาท “พาณิชย์จังหวัด”

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย รับบท “พี่เลี้ยง” ในการเชื่อมโลกดีไซน์กับโลกธุรกิจ ผ่านแนวคิด “10+Wow Chiang Rai” ที่ยกจุดแข็งสิบประการของจังหวัด—ประเพณีล้านนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ้าชาติพันธุ์ กาแฟ–ชา งานหัตถศิลป์–คหกรรม—มาออกแบบเป็น ประสบการณ์ มากกว่าการขาย “สินค้าเดี่ยว” ในงานปีนี้ “Wow” ถูกพัฒนาต่อเป็น “แพ็กเกจเชื่อมประสบการณ์” เช่น ชุดแฟชั่นจากลายผ้าชาติพันธุ์จับคู่กับแอ็กเซสซอรีงานเงิน–หวายสาน พร้อมคูปองส่วนลดคาเฟ่กาแฟเขตเมืองเก่าและเส้นทางท่องเที่ยวชุมชน—โมเดลที่ทำให้เงิน “ไหลลึก” จากโชว์สู่ร้านค้า–ครัวเรือนในพื้นที่

บูธ GI และ Chiang Rai Brand ทำหน้าที่เป็น “ตราประทับคุณภาพ” ให้สินค้าในสายตานักท่องเที่ยวและผู้ซื้อจากต่างถิ่น ขณะเดียวกันยังเป็น เครื่องมือในการสร้างความเชื่อมั่น ให้ร้านค้าปลีกออนไลน์และตัวแทนจำหน่ายนอกจังหวัดเพื่อขยายตลาดหลังจบงาน นี่คือบทเรียนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์—มาตรฐานและการรับรอง คือภาษากลางที่ทำให้เรื่องเล่าท้องถิ่นแปลความเป็นมูลค่าในตลาดสมัยใหม่

แม่สาย พรมแดนที่เป็น “ตลาดทดสอบ” และเวที Soft Power ภาคเหนือ

การเลือกจัดงานที่ หน้าด่านพรมแดนแม่สาย ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างบรรยากาศ แต่เป็นกลยุทธ์เพื่อให้ ผลงานดีไซน์ ได้ “สอบผ่าน” กับฐานลูกค้าที่หลากหลายทั้งภาษา–วัฒนธรรม–ความต้องการ ตั้งแต่นักเดินทางวันเดียว นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไปจนถึงผู้ประกอบการจากเพื่อนบ้านและจีนตอนใต้ การขายจริง–ฟังจริง–ปรับจริง ที่หน้าด่านช่วยให้ดีไซเนอร์ จับสัญญาณตลาดแบบเรียลไทม์ ว่าดีเทล–แพตเทิร์น–โทนสีใด “ติดตลาด” และราคาใด “รับได้” ก่อนเข้าสู่การผลิตจำนวนมาก

ในทางเศรษฐกิจมหภาค ช่วงไฮซีซันท่องเที่ยวปลายปี—ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลประมาณการเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่าการบริโภคเอกชนขยายตัวและมาตรการภาครัฐช่วยหนุนกำลังซื้อ—ทำให้พื้นที่จัดงานมีโอกาสรับเม็ดเงินหมุนเวียนสูงขึ้นกว่าปกติ โดย แฟชั่น ทำหน้าที่เป็น “แม่เหล็ก” ดึงผู้คน ขณะที่ Premium Market เปลี่ยน “ความสนใจ” ให้กลายเป็น “การซื้อจริง” ได้ในจุดเดียว

บทสะท้อนจากเวที อัตลักษณ์–ร่วมสมัย–ความยั่งยืน

แฟชั่นโชว์ปีนี้วางกรอบ สามคำหลัก ชัดเจน—อัตลักษณ์, ร่วมสมัย, ความยั่งยืน ผลงานหลายชุดเลือก เส้นใยธรรมชาติ และเทคนิคย้อมสีจากพืชท้องถิ่น ลดการใช้สารเคมี ขณะที่บางคอลเล็กชันทดลอง รีดีไซน์” (upcycle) เศษผ้า–ผ้าคงคลังให้เป็นงานชิ้นใหม่ ชี้ให้เห็นแนวโน้มตลาดแฟชั่นที่ผู้บริโภคคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้าน อัตลักษณ์ นักออกแบบหยิบลายผ้า–เอกลักษณ์ชาติพันธุ์มาเล่าใหม่อย่างเคารพบริบทชุมชนผ่านการร่วมงานกับกลุ่มทอผ้าในพื้นที่ ช่วยให้รายได้กลับคืนสู่คนทำผ้าต้นน้ำ

มิติ ร่วมสมัย สะท้อนผ่านการวางแพตเทิร์นที่ “ใส่ได้จริงและทุกเพศ” (gender-inclusive) ตอบไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยว–คนทำงาน–นักเรียน–นักศึกษา และผู้สูงวัยที่ต้องการความคล่องตัว—แนวทางที่เปิดประตูสู่ตลาดกว้างขึ้นกว่าการเน้นความงามบนเวทีเพียงอย่างเดียว

การบริหารจัดการงาน บูรณาการท้องถิ่น–เอกชน–ดีไซเนอร์

ความสำเร็จของงานเกิดจากการบูรณาการ สามฟันเฟือง คือ

  1. ภาครัฐท้องถิ่น (จังหวัดเชียงราย–เทศบาลแม่สาย–พาณิชย์จังหวัด) ทำหน้าที่ “อำนวยความสะดวก–กำกับมาตรฐาน–ประชาสัมพันธ์ภาพรวม”
  2. เอกชน–ผู้ประกอบการ ตั้งแต่โรงทอและกลุ่มหัตถกรรมจนถึงผู้จำหน่ายปลายทาง ร่วมออกบูธ สาธิต และทดลองตลาด
  3. นักออกแบบ–สถาบันการศึกษา เติมองค์ความรู้ด้านดีไซน์–การตลาด–ดิจิทัลคอมเมิร์ซ สร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแฟชั่นท้องถิ่น

การจัดพื้นที่แบบ “โชว์–ขาย–เล่าเรื่อง” ในจุดเดียว ช่วยให้ผู้มาเยือนเข้าใจ ที่มา–วัตถุดิบ–แรงบันดาลใจ ของแต่ละชุด ลดช่องว่างระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้ และเปิดทางให้เกิด ออเดอร์แบบ B2B จากผู้ซื้อที่ต้องการคอลเล็กชันเฉพาะสำหรับรีสอร์ต–สปา–ร้านบูติก หรือกิจกรรมองค์กร

จาก “อีเวนต์” สู่ “ระบบนิเวศเศรษฐกิจสร้างสรรค์”

งานปีนี้ตั้งอยู่บนเป้าหมาย สามชั้น
ชั้นที่หนึ่ง สร้างรายได้ทันทีแก่ผู้ประกอบการผ่านการจำหน่ายหน้างานและออเดอร์ล่วงหน้า
ชั้นที่สอง วางเครือข่ายความร่วมมือระหว่างดีไซเนอร์–ช่างทอ–โรงงานตัดเย็บ–ผู้ค้า เพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์หลังงาน
ชั้นที่สาม สร้างการรับรู้ระดับนานาชาติ โดยอาศัยพื้นที่ชายแดนเป็น “หน้าต่าง” สื่อสารซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่ผู้เยือนหลากหลายสัญชาติ และปูทางการเข้าร่วมเวทีแฟชั่น–ไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาคในอนาคต

ในเชิงนโยบายท้องถิ่น ผลลัพธ์ที่ “ห่วงโซ่คุณค่า” ได้รับคือ ช่างทอ–กลุ่มแม่บ้าน–เยาวชน มีแรงจูงใจสืบสานและพัฒนาอาชีพงานผ้า ด้านผู้ประกอบการได้ ต้นแบบสินค้า ที่ผ่านการทดสอบตลาดจริง ขณะที่นักท่องเที่ยวได้รับ ประสบการณ์ที่เล่าเรื่องเมืองเชียงราย มากกว่าสินค้าชิ้นเดียว—องค์ประกอบทั้งหมดขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

มองอย่างเป็นกลาง โอกาส–ความท้าทาย และการบ้านหลังเวที

แม้งานสะท้อนทิศทางบวก แต่ก็มี โจทย์เชิงโครงสร้าง ที่ต้องจัดการอย่างต่อเนื่อง

  • มาตรฐานคุณภาพและไซส์: หากต้องการขยายสู่ต่างจังหวัด–ต่างประเทศ จำเป็นต้องมีมาตรฐานไซซิงและคุณภาพผ้า–ตัดเย็บที่สม่ำเสมอเพื่อรองรับออเดอร์จำนวนมาก
  • ทรัพย์สินทางปัญญา: ลายผ้า–ลวดลายชาติพันธุ์ต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิและจัดทำระบบอนุญาตใช้ลายอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ชุมชนเสียเปรียบ
  • การเงิน–โลจิสติกส์: ผู้ประกอบการรายย่อยควรเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน (เช่น สินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้น) และบริการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการส่งข้ามแดนที่ต้องอาศัยความเข้าใจข้อกำหนดประเทศเพื่อนบ้าน
  • การตลาดดิจิทัล: การต่อยอดยอดขายหลังงานต้องอาศัยช่องทางอีคอมเมิร์ซ–คอนเทนต์มัลติมีเดียและความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์เชิงวัฒนธรรมที่สื่อสารเรื่องราว “ทำไมต้องเชียงราย” ได้ชัดเจน

การบ้านที่ชัดเจนหลังเวที คือ การเก็บข้อมูลออเดอร์–ประเภทสินค้า–ช่วงราคาที่ขายได้ ตลอดจนฟีดแบ็กจากนักท่องเที่ยว เพื่อเป็นฐานในการออกแบบคอลเล็กชันฤดูกาลหน้า และเพื่อประสานกับโครงการ NEC ในการจัดทำ “Design to Market” ที่ครบวงจรยิ่งขึ้น

น้ำหนักความสำคัญในข่าว จังหวัดเชียงราย 50% | ภาคเหนือ 30% | ประเทศไทย 20%

บทวิเคราะห์นี้ให้สัดส่วนความสำคัญกับ เชียงราย เป็นหลัก ผ่านการเจาะกลไกการจัดงานที่หน้าด่านแม่สาย ผลต่อผู้ประกอบการท้องถิ่น และการบ้านหลังงาน ตามด้วยบริบท ภาคเหนือ ที่ตอกย้ำศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และปิดท้ายด้วยภาพ นโยบายส่วนกลาง ที่เป็นกรอบสนับสนุนให้เม็ดเงินหมุนเวียนลงสู่ฐานรากช่วงไฮซีซัน

เวทีชายแดนที่ “เชื่อมโลก” ด้วยผืนผ้า

“Fashion on the Road” ครั้งที่ 3 ไม่ได้เป็นเพียงแฟชั่นโชว์ริมพรมแดน หากแต่เป็น ห้องทดลองนโยบายสาธารณะ ที่เอาคำว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” ออกจากหน้ากระดาษแล้วแปลงเป็น รายได้–อาชีพ–ความภาคภูมิใจ ของผู้คนในชุมชน งานแสดงให้เห็นว่าผ้าไทย–ผ้าชาติพันธุ์สามารถยืนข้างแฟชั่นร่วมสมัยอย่างสง่างาม และเมื่อจับคู่กับตลาดชายแดนที่มีชีพจรทางการค้าสูง ก็กลายเป็น สะพานเศรษฐกิจ ที่พาผู้ประกอบการเชียงรายเดินจาก “ของดีบ้านเรา” ไปสู่ “สินค้าคุณภาพที่โลกต้องการ”

ความต่อเนื่องคือคำสำคัญ—หากจังหวัดและหน่วยงานคู่ขับเคลื่อนรักษาความสม่ำเสมอของงาน สร้างฐานข้อมูลตลาด และสนับสนุนมาตรฐาน–ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง เวทีริมพรมแดนแห่งนี้จะเติบโตจาก “งานอีเวนต์” เป็น แพลตฟอร์มถาวรของอุตสาหกรรมแฟชั่นสร้างสรรค์เชียงราย ที่ยืนได้ด้วยตัวเองบนเวทีภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เศรษฐกิจเชียงราย สองเครื่องยนต์ ‘ท่องเที่ยว-ชายแดน’ ผลักดัชนีเชื่อมั่นให้ยืนสูง

เชียงราย–ภาคเหนือ “เงยหน้ารับลมหนาวเศรษฐกิจ” ดัชนีเชื่อมั่นอนาคตภาคเหนือแตะ 73.5 แรงหนุน “คนละครึ่ง พลัส” จ่อดันกำลังซื้อ-ท่องเที่ยวไฮซีซัน ขณะภาพรวมไทยโต 2.4% ปี 2568 แต่ต้องจับตาความเสี่ยงปี 2569

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 — ลมหนาวเที่ยวแรกแตะขอบดอยนางนอนในหุบเขาเชียงราย พร้อมข่าวดีจากส่วนกลางที่ส่งแรงกระเพื่อมถึงปลายน้ำ: ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (RSI) เดือนตุลาคม 2568 ของภาคเหนืออยู่ที่ระดับ 73.5 สะท้อนมุมมอง 6 เดือนข้างหน้าที่ “ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” บนแรงหนุนสองขา—มาตรการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่กำลังเดินเครื่องในไตรมาสสุดท้าย และ ฤดูท่องเที่ยว ที่เข้าสู่ช่วงพีกของปี นัยนี้มีความหมายกับเชียงรายโดยตรง เพราะจังหวัดปลายสุดแดนเหนือกำลังยืนอยู่ “หน้าเคาน์เตอร์โอกาส” ทั้งจากการท่องเที่ยว ธุรกิจบริการ ร้านค้ารายย่อย ไปจนถึงซัพพลายเชนเกษตรและโลจิสติกส์ชายแดน

ในมุมมหภาค กระทรวงการคลังคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 โต 2.4% จากแรงกระตุ้นภาครัฐและการส่งออกที่คาดขยายตัว 10.0% ทว่า “ปีถัดไป” อาจไม่ราบรื่นเท่าเดิม เมื่อภาพรวมปี 2569 ถูกประเมินว่าจะ ชะลอมาที่ 2.0% สาเหตุหลักจากการเร่งส่งออกในปีนี้เพื่อหลบผลกระทบภาษีการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ชี้ว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2569 มีแนวโน้ม ‘ทรงตัว’ งบลงทุนรัฐลดลงและภาคเอกชนยังเปราะบาง—สัญญาณที่ผู้ประกอบการเชียงรายควรรู้ทันและปรับแผน

ภาพใหญ่ของประเทศ โตได้…แต่ไม่ง่าย

สัญญาณข้างหน้า: กระทรวงการคลังประเมินปี 2568 ไทยขยายตัว 2.4% โดยมี “โครงการคนละครึ่ง พลัส” กับมาตรการเพิ่มวงเงินสวัสดิการรัฐเป็นแรงขับการบริโภคเอกชน (คาดโต 3.0%) และการส่งออกมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 10.0% ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล 2.0 หมื่นล้านดอลลาร์ (คิดเป็น 3.5% ของ GDP) และเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี -0.2% โดยได้รับอานิสงส์ต้นทุนพลังงานที่ลดลง

จุดห่วงปี 2569: จีดีพีชะลอที่ 2.0% ส่งออกหดตัว -1.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกลับสู่แดนบวกแถว 0.5% นโยบาย “Quick Big Win” ของรัฐบาล—จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดหนี้ครัวเรือน หนุน SMEs เพิ่มออม และลงทุนเพื่ออนาคต—จึงถูกคาดหวังให้ยื้อแรงเฉื่อยเศรษฐกิจและสร้างฐานใหม่ระยะยาว

คำเตือนเชิงนโยบาย: การค้าโลกที่ผันผวน มาตรการภาษีสหรัฐฯ ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ และหนี้ครัวเรือนยังสูง คือชุดความเสี่ยงที่อาจสั่นความเชื่อมั่นธุรกิจ—หากลามสู่ต้นทุนการเงินและพฤติกรรมบริโภค

พื้นที่เศรษฐกิจภาคเหนือ ดัชนี 73.5 “โซนอ่อนไปทางดี” ท่องเที่ยว–อุตสาหกรรมเครื่องยนต์คู่

ตัวเลขชวนคิด RSI เดือน ต.ค. 2568

  • ภาคเหนือ 73.5: ได้แรงหนุนจาก บริการ–ท่องเที่ยว และ อุตสาหกรรม ในช่วงไฮซีซัน กอปรกับมาตรการรัฐ
  • ภาคตะวันออก 75.5 / EEC 78.7: สะท้อนบทเรียนว่าพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐาน–การลงทุนต่อเนื่อง มีความเชื่อมั่นสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ
  • กทม.–ปริมณฑล 63.8: ยังต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ชี้ว่าการฟื้นตัว “ไม่เสมอหน้า” และกิจกรรมบางส่วนยังรอผลลัพธ์มาตรการ

ความหมายต่อภาคเหนือ:

  1. การท่องเที่ยวกลับมาเป็น “เสาหลักรายได้กระจายตัวสูง” ตั้งแต่ที่พัก ร้านอาหาร คาเฟ่ งานเทศกาลท้องถิ่น ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรม—ห่วงโซ่คุณค่าไหลถึงชุมชนรวดเร็ว
  2. อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร–เครื่องดื่ม–ยางพารา–อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นส่วน มีแนวโน้มปรับกำลังผลิตตามคำสั่งซื้อช่วงปลายปีและต้นปีหน้า
  3. กำลังซื้อชาวบ้าน–แรงงานกลับบ้าน ช่วงเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน สนับสนุนเม็ดเงินหมุนเวียนท้องถิ่นอย่างเห็นรูปธรรม

แต่ก็ยังมีโจทย์ท้าทาย: ความแปรปรวนสภาพอากาศที่กระทบผลผลิตเกษตร ค่าครองชีพในเมืองท่องเที่ยว และการขนส่งข้ามแดนที่ต้องลุ้นกับกฎระเบียบประเทศเพื่อนบ้านเมื่อภูมิรัฐศาสตร์ “ไหลแรง”

โฟกัสเชียงราย เมืองชายแดน–เมืองท่องเที่ยว “สองเครื่องยนต์” ผลัก RSI ภาคเหนือให้ยืนสูง

เชียงรายกำลังอยู่ใน จุดสมดุลใหม่ ของบทบาทสองประการ—เมืองท่องเที่ยวธรรมชาติ–วัฒนธรรม และเมืองโลจิสติกส์ชายแดนฝั่งแม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ—ที่โอบรับฤดูกาลท่องเที่ยวและความต้องการบริโภคปลายปีพอดิบพอดี

1) ไฮซีซันท่องเที่ยว ฤดูขายประสบการณ์–ฤดูเก็บรายได้ฐานราก

  • ฤดูหนาว = ฤดูงาน: เทศกาลแสงสีริมโขง งานกาแฟ–ชา–เกษตร และทริปสายธรรมชาติ “กอดหมอก” ทำให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวที่พัก–อาหาร–เดินทางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • คนละครึ่ง พลัส = คูณแรงในเมืองท่องเที่ยว: มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในไตรมาส 4 ช่วย “ปิดช่องว่างกำลังซื้อ” ของครัวเรือนท้องถิ่นและนักเดินทาง—ร้านอาหารรายย่อยและผู้ค้าชุมชนมีโอกาสจับจ่ายเฉลี่ยต่อใบเสร็จสูงขึ้น
  • SMEs–OTOP–หัตถกรรมท้องถิ่น มีแนวโน้มได้ประโยชน์ทันที เมื่อดีมานด์ของที่ระลึก–ของฝากขยับตามจำนวนนักท่องเที่ยว การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลชำระเงินและการตลาดออนไลน์ช่วงแคมเปญ จะช่วยขยายวงเงินสะพัดได้ดีกว่าช่วงปกติ

ผลลัพธ์คาดหวัง รายได้ท่องเที่ยว “ไหลลึก” ลงสู่ชุมชน—ตั้งแต่ผู้ให้บริการที่พักระดับครอบครัว ร้านอาหารท้องถิ่น คนขับรถรับจ้าง ไปจนถึงเกษตรแปลงเล็กที่ขายผลผลิตเข้าสายโภชนาการ–คาเฟ่

2) เศรษฐกิจชายแดน แรงเสริมเมื่อค้าชายแดนฟื้นตัว

แม้ข้อมูลปริมาณการค้ารายด่านล่าสุดไม่ได้ระบุในชุดข้อมูลนี้ แต่แรงส่งทั่วประเทศจากการส่งออกปี 2568 ที่กระทรวงการคลังคาดว่าจะขยายตัวสูง 10.0% ย่อมเอื้อให้ โซ่โลจิสติกส์เชียงราย—ทั้งด่านแม่สาย ด่านเชียงของ และท่าเรือเชียงแสน—รับโอกาสต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบด้านเกษตรแปรรูป บรรจุภัณฑ์ และสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าสู่ตลาดเพื่อนบ้านและจีนตอนใต้

ประเด็นต้องกางแผน ความผันผวนกฎระเบียบข้ามแดนและต้นทุนขนส่งที่อยู่ในระดับสูงทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้อง “ล็อกต้นทุน” ผ่านสัญญาระยะกลาง–ยาว และประสานเครือข่ายโลจิสติกส์ให้ยืดหยุ่นต่อข้อจำกัดหน้าด่าน

3) ตลาดก่อสร้าง–อสังหาริมทรัพย์เชียงราย อ่านสัญญาณ “ทรงตัว” ก่อนวางเงินลงทุน

บทวิเคราะห์ของ SCB EIC ที่ประเมินว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างปี 2569 “ทรงตัว” ราว 1.41 ล้านล้านบาท และการลงทุนภาครัฐลดแรงจากงบปี 2569 ส่งสารสำคัญถึงผู้พัฒนาโครงการในเชียงราย

  • ภาครัฐยังเดินหน้ามหาโปรเจกต์ แต่ความเร็วการเบิกจ่าย–เปิดประมูลอาจไม่เร่งเท่าที่หวัง
  • เอกชนที่อยู่อาศัยชะลอ ตามภาพอสังหาฯ ประเทศและค่าแรงที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากแรงงานข้ามชาติหดตัว
  • มาตรฐานวัสดุ–งานโครงสร้างถูกยกระดับ หลังเหตุแผ่นดินไหวในหลายพื้นที่—เพิ่มต้นทุนและเวลาควบคุมคุณภาพ

คำแนะนำเชิงกลยุทธ์สำหรับท้องถิ่น

  1. บริหาร Backlog ให้ยืดหยุ่น ปรับสัดส่วนงานรัฐ–เอกชน ลดความเสี่ยงจาก “ลูกค้าก้อนเดียว”
  2. ทำสัญญาซื้อวัสดุล่วงหน้า กับคู่ค้าคุณภาพ เพื่อคุมต้นทุนและลดความผันผวนราคา
  3. จับมือพันธมิตรต่างชาติ/เทคโนโลยี ยกมาตรฐานความปลอดภัย–ผลิตภาพ และใช้เป็น “แต้มความเชื่อมั่น” ในตลาด
  4. ตั้งเป้าการลด Emission และใช้วัสดุเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม—สอดรับทั้งข้อกำหนดใหม่และความต้องการลูกค้ารุ่นใหม่

4) โอกาส–ความเสี่ยงเฉพาะจังหวัด ทำการบ้านเชิงรุก

  • โอกาสฝั่งท่องเที่ยว: เชื่อม “สุขภาพ–นิเวศ–วัฒนธรรม” ให้เป็นแพ็กเกจเดียว เช่น เส้นทางวิ่ง–ปั่น–เดินป่า ตลาดชุมชน–คาเฟ่กาแฟ–ชา พร้อมพื้นที่กิจกรรมครอบครัว ช่วยยืดเวลาพำนักและเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อทริป
  • โอกาสฝั่งชายแดน: ต่อยอดคลังสินค้าเย็น–เกษตรแปรรูปคุณภาพสูง รองรับคำสั่งซื้อปลายปี–ตรุษจีน พร้อมมาตรฐานตรวจสอบย้อนกลับ
  • ความเสี่ยงสำคัญ: สภาพอากาศสุดขั้วกระทบเกษตร, ราคาพลังงานและค่าขนส่ง, และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ–การค้าโลก
  • มาตรการกันชนที่ใช้ได้ทันที: ผู้ประกอบการรายย่อยใช้สิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” และโปรโมชันร่วมเอกชนเพื่อดึงทราฟฟิกหน้าร้าน, เชื่อมดีลผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล–อีเพย์เมนต์, ทำประกันภัยธุรกิจ–ทรัพย์สินที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติ และจับสัญญาณเตือนจากระบบต้นแบบ “ดัชนีหมอกควัน–PM2.5” เพื่อออกแบบกิจกรรมกลางแจ้งอย่างยืดหยุ่น

สะพานเชื่อม “นโยบาย–พื้นที่” ทำอย่างไรให้เม็ดเงินเข้าถึงชุมชนเชียงรายเร็วที่สุด

  • เร่ง “แปลงนโยบายเป็นแคมเปญพื้นที่”
    ภาคเอกชน–ชุมชน ควรจับมือกับหน่วยงานท้องถิ่น ออกแบบกิจกรรมใช้สิทธิคนละครึ่ง พลัสที่
  • ชัดเวลา–ชัดสถานที่–ชัดของดี เช่น ถนนคนเดินมิติใหม่ เมนูวัตถุดิบท้องถิ่น ซุ้มชิม–ช็อป–แชร์ ให้สิทธิประโยชน์ชัดเจนและตรวจง่าย
  • เชื่อม “โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว”
    พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ผูกกับจุดขนส่งชายแดน: นักเดินทางที่เข้า–ออกด่าน สามารถถูกดึงเข้ามาใช้ค่าใช้จ่ายเพิ่มในเมือง ผ่านแพ็กเกจคาเฟ่–มิวเซียม–ของฝาก และบริการสปา–สุขภาพ–แอดเวนเจอร์ระยะสั้น
  • ยกระดับอีโคซิสเต็มดิจิทัล
    สนับสนุนผู้ค้าใช้ QR พร้อมเพย์–บัญชีรับเงินธุรกิจ–เครื่องออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือ และทำให้ข้อมูลยอดขาย “สะท้อนจริง” ต่อการวางแผนสต็อกและขอสินเชื่อ

ตัวเลขชวนคิด” เพื่อการตัดสินใจของเชียงราย

  • 73.5 = RSI ภาคเหนือเดือนตุลาคม 2568 — โซนบวกชัดใน 6 เดือนข้างหน้า
  • 2.4% = จีดีพีไทยปี 2568 (คาดการณ์) — เปิดช่องทำรายได้ปลายปี-ต้นปี
  • 10.0% = การส่งออกทั้งปีกลับมาโตแรง — โอกาสต่อซัพพลายเชนชายแดน
  • -0.2% → 0.5% = เงินเฟ้อ 2568→2569 — ปีหน้าแรงกดดันค่าใช้จ่ายอาจยกหัว
  • 1.41 ล้านล้านบาท = มูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้าง 2569 (คาด “ทรงตัว”) — บอกให้วางแผนลงทุนแบบคุมความเสี่ยง

ภาคบริการ–ผู้ประกอบการรายย่อยจะ “เกียร์ออโต้” ได้อย่างไร

  1. ดีลราคาล่วงหน้า กับซัพพลายเออร์ (เนื้อ–ผัก–กาแฟ–เบเกอรี่–น้ำมันปรุงอาหาร) ในกรอบ 3–4 เดือน เพื่อคุมมาร์จินช่วงพีก
  2. แพ็กเกจประสบการณ์ มากกว่า “ลดราคา” เช่น เซ็ตอาหารท้องถิ่น + เวิร์กช็อป + มุมถ่ายรูป + ส่วนลดร้านคู่ค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าต่อบิล
  3. เวลาทำการยืดหยุ่น สอดรับเที่ยวบิน–รถทัวร์–ด่านชายแดน เปิดเช้าขึ้น/ปิดดึกขึ้นในช่วงสัปดาห์พีก
  4. ข้อมูลลูกค้า = ทองคำ: เก็บอีเมล/ไลน์ OA จากลูกค้าหน้าร้าน พร้อมคูปองคัมแบ็กไตรมาส 1/2569 เพื่อลดหลุมยอดขายหลังเทศกาล
  5. มาตรฐานสะอาด–ปลอดภัย–ยั่งยืน สื่อสารชัด (ขยะเปียกลดเหลือศูนย์/ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น/ลดพลาสติกใช้ครั้งเดียว) ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพ

หน้าต่างแห่งโอกาส” ของเชียงรายในอีก 6 เดือน

ดัชนี RSI ที่ 73.5 ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจจะพุ่งแรงในชั่วข้ามคืน แต่มันบอกเราว่า โอกาสมีมากกว่าความเสี่ยง ในช่วงครึ่งปีข้างหน้า หากเชียงราย แปลงมาตรการกระตุ้น ให้เป็นกิจกรรมพื้นที่ที่เข้าถึงผู้ค้า–ชุมชนจริง ใช้ฤดูท่องเที่ยวเป็น “เครื่องเร่งการไหลเวียน” ของเงิน และยกระดับมาตรฐานบริการให้สอดรับผู้บริโภคยุคใหม่ เม็ดเงินจะไหลลึกและยั่งยืนกว่าแค่ “ภาพคนแน่นงาน”

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้อง ไม่หลงลืมภาพปี 2569 ที่ท้าทายกว่า—จากการชะลอของจีดีพีและการหดตัวของส่งออกตามวัฏจักร—จึงควรเตรียมกันชนด้านเงินสด สัญญาวัสดุ–แรงงาน และผลิตภัณฑ์–ตลาดที่ยืดหยุ่นไว้แต่เนิ่น ๆ

สารที่ควรถูกตอกย้ำ ถ้าภาคเอกชน–ชุมชน–ท้องถิ่นจับมือกัน “ออกแบบเศรษฐกิจหน้าร้าน” ให้สอดรับมาตรการใหญ่ของรัฐ เชียงรายจะไม่เพียง “รับลมหนาวเศรษฐกิจ” แต่จะสามารถ ชี้ทางลม ให้ไหลผ่านชุมชนอย่างเป็นธรรม สร้างรายได้ กระจายโอกาส และวางฐานใหม่สำหรับปีหน้าที่ท้าทายกว่า

เค้าโครงข้อมูลสำคัญที่ใช้ประกอบการรายงาน

  • ประมาณการเศรษฐกิจไทย 2568–2569 (ต.ค. 2568/ต.ค. 2569f)
    • จีดีพี 2568 = 2.4%, 2569f = 2.0%
    • บริโภคเอกชน 2568 = 3.0%, 2569f = 2.4%
    • เงินเฟ้อทั่วไป 2568 = -0.2%, 2569f = 0.5%
    • ส่งออกสินค้าและบริการ (Real term) 2568 = 7.6%, 2569f = -1.7%
    • ดุลบัญชีเดินสะพัด 2568 = 20.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ, 2569f = 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
      (ตัวเลขตามเอกสารอินโฟกราฟิกของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่เผยแพร่ ณ ตุลาคม 2568/2569f)
  • ดัชนี RSI ต.ค. 2568
    • ภาคเหนือ 73.5 | ตะวันออก 75.5 | EEC 78.7 | อีสาน 73.9 | ตะวันตก 72.8 | ใต้ 72.7 | ภาคกลาง 68.5 | กทม.–ปริมณฑล 63.8
    • องค์ประกอบที่หนุนภาคเหนือ บริการ–ท่องเที่ยว และ อุตสาหกรรม บนแรงส่งไฮซีซันและมาตรการรัฐ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง (สศค.)
  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

1,406 กม. ข้ามจังหวัด เจ้าของฟาร์มสเตย์ระนอง พาทีม 50 คนเที่ยวเชียงราย กระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรอง

จากระนองสู่เชียงราย เมื่อเจ้าของฟาร์มสเตย์พาทีม 50 คนเดินทาง 1,406 กม. สร้างปรากฏการณ์ท่องเที่ยวเมืองรอง

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 – ในยุคที่การท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น การตัดสินใจของผู้ประกอบการธุรกิจที่พักแห่งหนึ่งจากจังหวัดระนอง ที่เลือกนำพนักงานทั้ง 50 คนเดินทาง ระยะทางเหมือนข้ามประเทศ จากจังหวัดทางใต้สู่ล้านนาภาคเหนือ กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่ไม่เพียงสร้างรายได้ให้กับจังหวัดปลายทาง แต่ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ศักยภาพการท่องเที่ยวของเมืองรองอย่างเชียงรายไปยังกลุ่มผู้ท่องเที่ยว ที่มีฐานผู้ติดตามโซเชียลกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศและทั่วโลกในครั้งนี้

จากป่ารกร้างสู่ฟาร์มสเตย์ดัง พลังของการสื่อสารดิจิทัล

วิโรจน์ ฉิมมี หรือที่คนรู้จักในนาม “เบส” เจ้าของ “บ้านไร่ ไออรุณ” ฟาร์มสเตย์ในอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง เล่าถึงที่มาของการเดินทางครั้งนี้ว่า เริ่มจากความตั้งใจที่จะให้รางวัลกับพนักงานทุกคน หลังจากที่ทุกคนร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจที่เคยเป็นเพียงป่ารกร้าง ให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย

“ผมหยอดกระปุกสะสมเงินมาได้ 1 ล้านบาท เพื่อจะพาพนักงานไปเติมพลัง ไปมีความสุขด้วยกันอีกครั้ง” วิโรจน์โพสต์ในช่องทาง บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun  “อยากพาทุกคนไปไกลสุดในประเทศนี้ เท่าที่จะทำได้ ปีนี้เราจะไปอุดหนุนชาวจังหวัดเชียงรายกัน”

การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงานเพียง 50 คน โดยต้องปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 28-31 ตุลาคม 2568 และกลับมาเปิดบริการอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งหมายถึงการสูญเสียรายได้ช่วงปลายเดือนที่เป็นช่วงท่องเที่ยว

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

1,406 กิโลเมตร ข้ามน้ำข้ามทะเล จากใต้ริมทะเลสู่เหนือสุดทะเลหมอก

การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากสนามบินระนอง ที่อยู่ห่างจากบ้านไร่เพียง 28 กิโลเมตร คณะเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย โดยใช้งบประมาณค่าตั๋วเครื่องบินทั้งหมด 4 แสนบาท เดินทางไปต่อเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เชียงราย ระยะทางเกือบ 1,500 กิโลเมตร

“ครั้งแรกในชีวิตที่ทุกคนได้เดินทางมาที่จังหวัดนี้” วิโรจน์เล่า “หลายคนในทีมเป็นชาวบ้านที่เพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก ได้เห็นท้องฟ้า ท้องทะเล จากภาคใต้มาถึงเมืองเหนือ”

สิ่งที่น่าสนใจคือ สนามบินระนองในปัจจุบันมีเที่ยวบินให้บริการถึง 2 ไฟลต์ต่อวัน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางออกจากพื้นที่ได้มากขึ้น สะท้อนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองรองด้วยกัน

เส้นทางท่องเที่ยว สัมผัสเชียงรายในทุกมิติ

โปรแกรมการเดินทาง 4 วัน 3 คืน ที่วิโรจน์วางแผนไว้ ครอบคลุมจุดท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย เริ่มจากมื้อแรกที่ร้านข้าวซอยวิจิตตรา ร้านอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อ พร้อมเมนูข้าวซอยและน้ำเงี้ยวที่ทุกคนประทับใจ

คืนแรกพักกลางทุ่งดอกไฮเดรนเยียบนยอดดอย ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย พร้อมหมูกระทะที่จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนที่จะออกเดินทางสำรวจจุดท่องเที่ยวต่างๆ อาทิ ผาฮี้-ผาหมี, ไร่สิงห์ปาร์ค, อาข่า ฟาร์มวิว, สวนดอกไฮเดรนเยีย ดอยช้าง, ไร่ชาฉุยฟง และดอยตุง แต่ละจุดล้วนมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ความงามของธรรมชาติ ไร่กาแฟบนภูเขาสูง ฟาร์มแกะที่มีนักท่องเที่ยวต่อคิวซื้อบัตรเข้าชม ไปจนถึงดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์

คืนที่สองเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย พักที่โรงแรม The Riverie by Katathani ริมแม่น้ำกก ซึ่งทีมงานของโรงแรมได้ต้อนรับด้วยพวงมาลัยและการ์ดที่เขียนวางไว้บนเตียงทุกห้อง แม้จะไม่ได้แจ้งความเป็นพิเศษล่วงหน้า แต่การบริการที่เป็นเลิศทำให้ทุกคนประทับใจ

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น มากกว่าตัวเลข

การเดินทางของคณะ 50 คนจากระนองสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับเชียงรายในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ค่าเช่ารถ ไปจนถึงการซื้อของฝากจากชุมชนต่างๆ

หากประมาณการอย่างหยาบจากงบประมาณ 1 ล้านบาท หักค่าตั๋วเครื่องบิน 4 แสนบาท คงเหลืองบประมาณ 6 แสนบาท ที่ใช้จ่ายในพื้นที่เชียงราย เฉลี่ยคนละประมาณ 12,000 บาท ซึ่งครอบคลุมค่าที่พัก 2 คืน ค่าอาหาร 4 วัน ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือมูลค่าทางการตลาดที่เกิดขึ้น เมื่อเจ้าของธุรกิจที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย โพสต์ภาพและเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวเชียงราย กลายเป็นการประชาสัมพันธ์ที่มีพลังมหาศาลโดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากภาครัฐแต่อย่างใด

“การลงทุนของจังหวัดเชียงราย แค่การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ยิ้มแย้ม ก็เป็นการสร้างกำไรในระยะยาว” วิโรจน์กล่าว “แม้จะมีบางคนมองว่า ทางร้านก็จะได้การลดหย่อนภาษี 1.5 เท่า แต่เราก็ต้องดูว่าทำไมต้องเลือกเดินทางมาไกลจากระนองถึงเชียงรายมากกว่า 1,406 กม.”

เชื่อมโยงกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “เที่ยวดี มีคืน”

การเดินทางของคณะบ้านไร่ ไออรุณ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลเพิ่งเปิดตัวมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว “เที่ยวดี มีคืน” ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ประชาชนผู้เสียภาษีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลได้รับสิทธิประโยชน์จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ

สำหรับมาตรการสำหรับบุคคลธรรมดา ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2568 สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาทสำหรับการท่องเที่ยวในเมืองรอง (1.5 เท่าของค่าใช้จ่าย) และ 20,000 บาทสำหรับเมืองหลัก (1 เท่าของค่าใช้จ่าย) ครอบคลุมทั้งค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหารที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ มาตรการสำหรับบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่สามารถหักค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมหรือสัมมนาให้กับพนักงานได้ถึง 2 เท่าสำหรับเมืองรอง และ 1.5 เท่าสำหรับเมืองหลัก ซึ่งตรงกับกรณีของบ้านไร่ ไออรุณที่นำพนักงานเดินทางไปเพื่อเติมพลังและเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

การเรียนรู้ที่คุ้มค่ากว่าเงิน

วิโรจน์เปิดเผยว่า ธุรกิจของเขาเป็นเพียงกิจการเล็กๆ ที่ผลประกอบการไม่ได้มีกำไรเหลือเงินเยอะ แต่เขาเลือกที่จะลงทุนกับคน ด้วยความเชื่อว่าการพาพนักงานออกไปสัมผัสประสบการณ์ภายนอก จะช่วยพัฒนาทักษะและทัศนคติในการทำงาน โดยเฉพาะธุรกิจบริการอย่างฟาร์มสเตย์

“เราเลือกใช้วิธีนี้ในการพัฒนาคนมาหลายปีแล้ว ปีละ 1 ครั้ง” เขากล่าว “อยากพาทุกคนออกเดินทางมาพัก มาชาร์จพลัง มาเป็นผู้ใช้บริการ มาเห็นว่าที่อื่นเค้าทำอะไรกัน ในสถานที่ที่เราไม่เคยไป”

ประสบการณ์ที่พนักงานได้รับนั้นครอบคลุมทุกมิติของการท่องเที่ยว ตั้งแต่การได้นั่งเครื่องบิน ได้เห็นการบริการของแอร์โฮสเตส ได้นั่งรถขึ้นดอยที่มีคนขับคอยเล่าประวัติสถานที่ ได้เห็นโฮมสเตย์ที่ตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ได้สัมผัสการบริการที่ยอดเยี่ยมจากที่พักต่างๆ ทั้งหมดนี้คือการเรียนรู้ที่จะนำมาต่อยอดในการพัฒนา “บ้านไร่ ไออรุณ” ของตัวเองให้ดีขึ้น

“ประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้ จะเป็นพลังบวกให้เราทุกคนกลับไปพัฒนาบ้านไร่ เพื่อกลับไปเป็นผู้ให้บริการที่ดีขึ้น” วิโรจน์กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ภาคเหนือยุคใหม่ พร้อมรับนักท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ประกาศเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างเป็นทางการ ภายใต้แคมเปญ “Season of North 2026 : สุขทันที…ฤดูนี้ฤดูเหนือ” พร้อมเผยกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นการเติบโตของการท่องเที่ยว

นายขจรเดช อภิชาติตรากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ ททท. เปิดเผยว่า แม้ตัวเลข 9 เดือนแรกของปี 2568 จะทรงตัว แต่คาดการณ์ว่า 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้การท่องเที่ยวจะเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศคลี่คลายและมีกิจกรรมปลายปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าหมายว่าภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งปี 2568 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2569 ททท. ตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 178 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อนหน้า

กลยุทธ์ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเมืองรอง

ททท. ได้วางกลยุทธ์สำคัญ 3 ประการเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวภาคเหนือ ประการแรกคือการใช้พลังของรีวิวและโซเชียลมีเดีย การตลาดแบบ “ตามรอยรีวิว” และการบอกต่อจากอินฟลูเอนเซอร์ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งกรณีของบ้านไร่ ไออรุณที่มีผู้ติดตาม 1 ล้านคนนั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังทางการตลาดแบบนี้

ประการที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบิน ผู้ประกอบการและสายการบินมีแผนเพิ่มเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเมืองรองอย่างเชียงรายที่เริ่มมีสายการบินตรงจากต่างประเทศเข้าสู่พื้นที่ ทำให้การเข้าถึงง่ายขึ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ประการสุดท้ายคือการกระจายนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง ซึ่งพบว่ามีการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองมากขึ้น เช่น เชียงราย แพร่ น่าน ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ซึ่งช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนต่างๆ อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ททท. ยังเน้นการขยายตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และญี่ปุ่น เพื่อชดเชยความผันผวนของตลาดหลักและสร้างความหลากหลายของนักท่องเที่ยว

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

เทศกาลและกิจกรรมตลอดทั้งปี

แคมเปญ Season of North 2026 มุ่งเน้นให้ภาคเหนือเป็นจุดหมายที่ “เที่ยวได้ทุกฤดู” ผ่าน 3 มุมความสุขหลัก คือ ฤดูแห่งการให้รางวัลแก่ชีวิต (พักผ่อน/สุขภาพ) ฤดูแห่งการเฉลิมฉลอง (ความสุข/ฮีลใจ) และฤดูแห่งการแบ่งปัน (บอกเล่าเรื่องราวความเป็นเหนือ)

ในช่วงฤดูกาลนี้ ภาคเหนือมีกิจกรรมหลากหลายตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลทุเรียนอุตรดิตถ์ งานสีสันดอยตุงและเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม งานแพร่คราฟต์ และเทศกาลใหญ่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน อาทิ ยี่เป็งเชียงใหม่ โคมแสนดวงที่เมืองลำพูน ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟสุโขทัย ลอยกระทงสายตาก และนมัสการพระธาตุดอยกองมู แม่ฮ่องสอน

บทเรียนและแรงบันดาลใจ

กรณีของบ้านไร่ ไออรุณ สะท้อนให้เห็นหลายมิติของการท่องเที่ยวยุคใหม่ ทั้งในด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลผ่านประสบการณ์จริง การใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเชื่อมโยงระหว่างเมืองรองด้วยกัน และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแบบกระจายรายได้สู่ชุมชน

วิโรจน์เล่าถึงที่มาของความฝันในการสร้างบ้านไร่ที่บ้านเกิดว่า “ผมคุยกับพ่อตลอดถึงสิ่งที่อยากทำ แต่กับแม่ผมต้องอ้างไปก่อนว่าจะกลับมาทำงานเป็นสถาปนิกในตัวเมืองระนอง เพราะแม่เป็นแม่ค้าในตลาด ถ้าเพื่อนที่เป็นแม่ค้าด้วยกันรู้เข้า ทุกคนจะแห่ถามแม่ว่า ลูกไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ แล้วกลับมาทำอะไรที่บ้าน ผมไม่อยากให้แม่ต้องกังวลกับคำถามเหล่านี้ ก็เลยบอกแม่ไปแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วผมตั้งใจกลับมาสร้างบ้าน”

ความตั้งใจนั้นประสบผลสำเร็จ จากป่ารกร้างกลายเป็นฟาร์มสเตย์ที่ผสมผสานที่พัก คาเฟ่ ร้านอาหาร และขายของฝากงานแฮนด์เมด กลางสวนผักและผลไม้ เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8.00-20.00 น. และที่สำคัญคือการสร้างทีมงานที่เข้มแข็ง มีพนักงาน 50 คนที่เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจ

“ผลลัพธ์ที่ได้มัน คือความสุขทางใจ ไม่ใช่แค่พนักงานนะ นายจ้างอย่างผมใจมันก็ฟูไปด้วย” วิโรจน์กล่าวถึงการพาพนักงานเดินทาง “เดินคนเดียวไปได้ไว แต่เดินได้ไกล ก็ต้องไปด้วยกัน”

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

มาตรการเสริมอื่นๆ ที่หนุนการท่องเที่ยว

นอกจากมาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” สำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลแล้ว รัฐบาลยังมีมาตรการเสริมอื่นๆ อีก 3 มาตรการ ได้แก่ การเร่งรัดเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายภาครัฐด้านการฝึกอบรม (Front Load) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 – 31 มกราคม 2569 โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาดำเนินการในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองเป็นลำดับแรก และกำหนดให้เร่งรัดการเบิกค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 60% ของวงเงิน

มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก ระหว่าง 29 ตุลาคม 2568 – 31 มีนาคม 2569 ให้หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายจริง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่พักมีแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพที่พัก

และมาตรการลดอัตราภาษีกิจกรรมบันเทิง ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2569 สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ อาทิ ไนต์คลับ ดิสโกเทค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ จาก 10% เป็น 5% ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกลางคืนและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ความท้าทายและโอกาสข้างหน้า

แม้ว่าการท่องเที่ยวภาคเหนือจะมีศักยภาพสูง แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการแข่งขันกับจุดหมายปลายทางอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ ความผันผวนของสภาพอากาศ โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 ในช่วงฤดูแล้ง และการพัฒนาคุณภาพการบริการให้ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม โอกาสก็มีมากมาย ทั้งการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวจีนและเอเชียตะวันออกที่กำลังฟื้นตัว แนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ที่ดี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม และความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

การมีอินฟลูเอนเซอร์และผู้ประกอบการอย่างวิโรจน์ ที่มีฐานผู้ติดตามจำนวนมากและเลือกมาท่องเที่ยวเชียงราย ถือเป็นโอกาสทองในการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะเป็นการสื่อสารแบบ organic ที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

เชียงราย แบบจำลองของการท่องเที่ยวเมืองรองที่ประสบความสำเร็จ

เชียงรายถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรอง จากจังหวัดที่เคยถูกมองว่าเล็กที่สุดในภาคเหนือ กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ด้วยจุดเด่นหลายประการ

ประการแรกคือความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ทั้งธรรมชาติอันงดงามบนพื้นที่ภูเขาสูง วัดวาอารามที่มีสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์ ไร่กาแฟและไร่ชาบนดอยสูง ฟาร์มแกะและสวนดอกไม้นานาพันธุ์ และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ประการที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งสนามบินที่เริ่มมีเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ถนนและการคมนาคมที่สะดวกขึ้น และที่พักหลากหลายรูปแบบตั้งแต่โรงแรมระดับหรูจนถึงโฮมสเตย์ชุมชน

ประการที่สามคือคุณภาพการบริการที่ดี ดังที่วิโรจน์ให้ความเห็นว่า “พี่ๆพนักงานที่โรงแรม น่ารักมากดูแลพวกเราเป็นอย่างดี มีพวงมาลัยรอต้อนรับ มีการ์ดเขียนวางไว้บนที่นอนทุกห้อง ทุกคนประทับใจในงานบริการมากครับ” การบริการที่เป็นเลิศนี้คือสิ่งที่สร้างความประทับใจและทำให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาอีก

บทส่งท้าย เมื่อการท่องเที่ยวกลายเป็นการลงทุนในคน

เรื่องราวของวิโรจน์และทีมงาน 50 คนจากบ้านไร่ ไออรุณ สะท้อนให้เห็นมิติใหม่ของการท่องเที่ยว ที่ไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการลงทุนในการพัฒนาคน การเรียนรู้ และการสร้างแรงบันดาลใจ

การเดินทาง 1,406 กิโลเมตร ข้ามจากจังหวัดเล็กที่สุดในภาคใต้มาสู่เมืองรองของภาคเหนือ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขระยะทาง แต่เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายการท่องเที่ยวระหว่างเมืองรองด้วยกัน การสร้างความเข้าใจและแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจที่พักในพื้นที่ต่างๆ และที่สำคัญคือการประชาสัมพันธ์ที่มีพลังผ่านโซเชียลมีเดีย

จากผู้ติดตาม 1 ล้านคน ที่ได้เห็นภาพความสวยงามของเชียงราย ความอบอุ่นของการต้อนรับ และรอยยิ้มของทีมงานที่มีความสุขกับการเดินทาง กลายเป็นแรงจูงใจให้คนอื่นๆ อยากมาสัมผัสประสบการณ์เดียวกัน นี่คือพลังของการท่องเที่ยวแบบ storytelling ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการโฆษณาแบบเดิมๆ

ด้วยการสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐอย่าง “เที่ยวดี มีคืน” ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดถึง 1.5 เท่าสำหรับเมืองรอง และแคมเปญ “Season of North 2026” ที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ย่อมเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะทำให้เกิดกรณีศึกษาแบบนี้มากขึ้นในอนาคต

สำหรับวิโรจน์และทีมงาน พวกเขาได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 พร้อมจัดดอกไม้และตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเยือน บ้านไร่ ไออรุณ ในจังหวัดระนอง ด้วยการบริการที่ดียิ่งขึ้น จากประสบการณ์และแรงบันดาลใจที่ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้

“โคตรภูมิใจ” คำพูดสั้นๆ ที่วิโรจน์ใช้สรุปทริปนี้ สะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ประกอบการรายเล็กที่กล้าตัดสินใจลงทุนในคน และได้เห็นรอยยิ้มความสุขของพนักงานทุกคนที่ได้ออกไปสัมผัสโลกกว้าง ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่มีวันลืม บนยอดดอยแห่งเชียงราย จังหวัดเมืองรองเหนือสุดของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

โรงไฟฟ้าขยะพาน-ป่าหุ่ง เดินหน้า WTE 1.9 พันล้าน! ท้าพิสูจน์ระบบปิดต่อหน้าความกังวลชุมชน

โรงไฟฟ้าขยะ “พาน–ป่าหุ่ง” ศึกใหญ่ระหว่าง “วาระแห่งชาติ” กับ “สิทธิชุมชน” เมื่อเทคโนโลยีระบบปิดต้องพิสูจน์ความไว้ใจต่อหน้าแหล่งน้ำ–โบราณสถาน

เชียงราย, 31 ตุลาคม 2568 — ความพยายามแก้ปัญหาขยะเชิงโครงสร้างด้วย “โครงการบริหารและจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงานไฟฟ้า ระบบปิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” (Waste-to-Energy: WTE) ขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าหุ่ง กำลังเดินทางสู่จุดตัดสินเชิงนโยบายครั้งสำคัญ หลังเวที “รับฟัง–ทำความเข้าใจ” เมื่อ 24 กรกฎาคม 2568 เปิดข้อเท็จจริงและตัวเลขที่ตรงไปตรงมาว่า แม้ “เสียงเห็นด้วย” จะเป็นข้างมาก แต่ “ความวิตก” ต่อผลกระทบด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และพื้นที่อ่อนไหว กลับยังสูงและยังต้องการคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้จากรัฐและผู้ลงทุน (เวทีจัดที่โรงเรียนบ้านร่องคตสันปูเลย อ.พาน จ.เชียงราย เวลา 08.30–12.00 น.)

สาระสำคัญเชิงนโยบาย

  1. อย่าข้ามขั้นตอนกฎหมาย: พิสูจน์พื้นที่ “ไม่ขัด CoP–กกพ.–สธ.–มติ ครม.” ด้วยแผนที่/เอกสารโต๊ะเดียวกัน
  2. ทำให้ความโปร่งใส “จับต้องได้”: CEMs เปิดสาธารณะ–Trigger Alarm–Protocol หยุดเครื่อง–เผยแพร่ผลไดออกซิน/โลหะหนัก
  3. คืนประโยชน์ชุมชนอย่างยุติธรรม: กองทุนสิ่งแวดล้อม–ตรวจสุขภาพ–สิทธิการร่วมกำกับ–มาตรการคุ้มครองจุดเปราะบาง

จาก “จุดตั้งเดิม” ติดโบราณสถาน สู่การ “ย้ายพื้นที่” ริมทางหลวงหมายเลข 1

โครงการ WTE ของ อบต.ป่าหุ่งถูกผลักดันในฐานะกลไกหลักของ “คลัสเตอร์ 3” เพื่อรองรับขยะรวม 428.63 ตัน/วัน จาก อปท.ร่วมเครือข่าย 51 แห่ง และเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าขนาด 9.9 เมกะวัตต์ (ขายเข้าระบบได้ 8 เมกะวัตต์) โดยใช้ขยะอย่างน้อย 500 ตัน/วัน โครงการออกแบบให้ก่อสร้างบนที่ดินเอกชนไม่น้อยกว่า 45 ไร่ และมีกรอบลงทุน ไม่ต่ำกว่า 1,900 ล้านบาท ระยะสัญญา 25 ปี ภายใต้นโยบายรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทน (VSPP ≤10 MW)

เดิม สถานที่ดำเนินการได้รับความเห็นชอบที่ หมู่ 12 บ้านห้วยประสิทธิ์ ต.ป่าหุ่ง แต่ถูก “เบรก” หลังสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ยืนยันการมีอยู่ของ โบราณสถานสันกู่ และ กู่หัวแมน ในรัศมีที่กฎหมายและระเบียบห้ามตั้งโรงไฟฟ้า ส่งผลให้ อบต.ป่าหุ่งต้อง “ย้ายพื้นที่” ไปยังตัวเลือกใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ ม.4 บ้านท่าหล่ม ต.ทานตะวัน, ม.6 บ้านสันไม้ฮาม และ ม.9 บ้านสุขสันติ ต.แม่เย็น ซึ่งทั้งหมดอยู่ใกล้ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 และจุดเชื่อมโยงไฟฟ้าไปสถานีไฟฟ้าพานวงจร PAN01/PAN02 ได้ภายในรัศมีขยายเขตไม่เกิน 5 กม.

กติกาก่อนเดินหน้า เพดานกฎหมาย “CoP–กกพ.–สธ.” กำหนดเส้นที่ห้ามข้าม

การพิจารณาพื้นที่ใหม่ถูกออกแบบให้ สอดคล้องประมวลหลักปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) ปี 2565 สำหรับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงเผาไหม้กำลังติดตั้งต่ำกว่า 10 MW ซึ่งกำหนดชัดว่า “สถานที่ตั้งต้องไม่ขัดกฎหมายผังเมือง สิ่งแวดล้อม โบราณสถาน และมติ ครม.” และ ต้องไม่ตั้งอยู่ “ใน” หรือ “ใกล้” เขตอ่อนไหวในระยะ 1 กิโลเมตร เช่น อุทยาน/เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า/โบราณสถาน เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น “แบบรับรองตนเองที่ตั้งโครงการ” ของ กกพ. ยังระบุว่า ห้ามตั้งในพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม. และ ลุ่มน้ำชั้น 1–2 ซึ่งเชื่อมโยงกับข้อกังวลเรื่อง “หนองฮ่าง” พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญของชุมชนในอำเภอพานโดยตรง (แม้โครงการประกาศ “ระบบปิด–Zero Discharge” แต่เพียงคำประกาศยังไม่เพียงพอต่อการตัดความเสี่ยงเชิงพื้นที่ ต้องพิสูจน์ด้วยผังและมาตรการบริหารจัดการน้ำเสียเชิงประจักษ์)

 

ด้าน หลักเกณฑ์สาธารณสุขเรื่องการฝังกลบกากเถ้าจากการเผา ยังย้ำ “ห้าม” ใช้พื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ/นานาชาติ ลุ่มน้ำชั้น 1–2 เขตอนุรักษ์ หรือพื้นที่เสี่ยง และต้องคำนึงถึงสภาพธรณีที่มั่นคง (ในทางปฏิบัติ เท่ากับบังคับให้ผู้ออกแบบกำหนด “ปลายทางเถ้าหนัก–เถ้าลอย” ที่ปลอดภัย นอกเหนือจากการว่าจ้างผู้รับกำจัดที่ได้รับใบอนุญาต)

เวที “รับฟัง–ทำความเข้าใจ” เสียงส่วนใหญ่ “ยินดี” แต่ “ความกังวล” ยังไม่ตกเกณฑ์ปลอดภัยทางสังคม

เวทีรับฟัง–ทำความเข้าใจ เมื่อ 24 ก.ค. 2568 มีผู้เข้าร่วมจาก 3 ตำบลในรัศมี 3 กม. 1,552 คน (ไม่นับรวมหัวหน้าส่วนราชการ 34 คน) และส่งคืนแบบประเมิน 1,446 ฉบับ ตัวเลข “เห็นควร” ให้จัดการขยะเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 57.26% และ 56.85% “ยินดีให้ดำเนินโครงการ” ขณะที่ 23.17% ไม่ยินดี ทั้งนี้ เมื่อถาม “ความวิตกกังวลภาพรวม” มี 42.95% วิตกเล็กน้อย และ 20.54% วิตกมาก (ตัวเลขนี้สะท้อนโจทย์ด้าน “สังคมยอมรับ” โดยตรง: แม้เสียงสนับสนุนเป็นข้างมาก แต่ความไว้วางใจยังไม่ “ล็อกอิน”) ที่มา: รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจฯ ของ อบต.ป่าหุ่ง (ภาคผลการประชุมและแบบประเมิน)

ประเด็นกังวลหลัก จากห้องประชุมคือ

  • มลพิษอากาศ โดยเฉพาะ ไดออกซิน/ฟิวแรน, ก๊าซกรด (HCl/SOx/NOx) และ ฝุ่น PM2.5
  • น้ำชะขยะ ต่อ หนองฮ่าง (พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญตามมติ ครม.)
  • ความเสี่ยงฉุกเฉิน หากเกิดเหตุ emergency breakdown ในรัศมีที่มีโรงพยาบาล–อนามัย–ศูนย์เด็กเล็ก

คำถามจาก นพ.ตรีวัตน์ วงศ์ขุนสุวรรณ ตัวแทนชุมชน ตอกย้ำโจทย์ กรณีเลวร้ายสุด” (worst case) ว่า รัศมีประเมินผลกระทบและมาตรการฉุกเฉิน เผื่อ” พอสอดคล้องกับความจริงของภูมิประเทศและชุมชนรอบข้างแล้วหรือไม่ (บันทึกคำถาม: ส่วน Q&A เวที 24 ก.ค. 2568 ในรายงานฯ)

คำตอบจากฝั่งโครงการ “ระบบปิด + เตาเผาตะกรับ + CEMs + Zero Discharge” คือกลไกคุมเสี่ยง

ฝั่ง อบต.ป่าหุ่ง และทีมที่ปรึกษาอธิบาย “เทคโนโลยีระบบปิด” โดยใช้ เตาเผาแบบตะกรับเคลื่อนที่ (Moving Grate) ควบคุมอุณหภูมิในเตา 800–1,200°C โดยถือหลัก >850°C นาน ≥2 วินาที เพื่อทำลาย ไดออกซิน/ฟิวแรน ก่อนส่งก๊าซไอเสียผ่าน หม้อไอน้ำ–กำจัดมลพิษ หลายชั้น (ถ่านกัมมันต์–bag filter ฯลฯ) และติดตั้ง ระบบติดตามมลพิษปล่องแบบต่อเนื่อง (CEMs) รวมถึงการออกแบบอาคารรับขยะให้เป็น ความดันต่ำ เพื่อกันกลิ่น/ฝุ่นฟุ้งกระจาย

 

ส่วน น้ำเสีย–น้ำชะขยะ โครงการยืนยันแนวทาง “Zero Discharge” คือรวบรวม–บำบัด (ชีวภาพ/RO) แล้ว หมุนเวียนใช้ภายในโครงการทั้งหมด เช่น ล้างล้อรถ/รดน้ำพื้นที่สีเขียว ไม่ปล่อยสู่แหล่งน้ำสาธารณะ” (อย่างไรก็ดี สำหรับชุมชน คีย์เวิร์ดคือ “หลักฐานเชิงพื้นที่–เส้นทางน้ำ–ความหนาแน่นการกันน้ำ” ไม่ใช่คำประกาศเพียงอย่างเดียว)

กากเถ้า จะแยกเป็น เถ้าหนัก (~15%) และ เถ้าลอย (~3%) จัดส่งบริษัทกำจัดกากที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ประเด็นนี้ผูกกับกฎกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง “ที่ตั้งแหล่งฝังกลบ” ซึ่งห้ามพื้นที่ชุ่มน้ำ/ลุ่มน้ำชั้น 1–2 ฯลฯ ดังอ้างข้างต้น)

เส้นบาง ๆ” ระหว่าง โครงการสาธารณะจำเป็น กับ ความชอบธรรมทางสังคม

ในเชิงนโยบาย โครงการ WTE ของคลัสเตอร์ 3 ถูกออกแบบเพื่อแก้ปัญหา “ขยะล้น/เผากลางแจ้ง–control dump” ที่กดทับคุณภาพอากาศ–น้ำ–ดินมานาน และเพื่อบูรณาการขยะใหม่ 428.63 ตัน/วัน รวมถึง ขยะสะสม 168,265 ตัน ให้เข้าสู่ระบบกำจัดที่ถูกต้อง และสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นไฟฟ้า 9.9 MW ขายเข้าระบบ 8 MW ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายจังหวัดเดินหน้าอยู่ (ข้อเท็จจริงนี้สะท้อน “เหตุผลและความจำเป็น” ตามเอกสารรายงาน)

แต่อีกด้าน เส้น “ความชอบธรรมทางสังคม” ถูก กฎหมาย–ระเบียบ กำหนดไว้ชัด ทั้ง CoP 2565, ประกาศ กกพ. 2564, และ กติกาสาธารณสุข ว่าห้ามตั้งในเขตอ่อนไหว และต้องพิสูจน์ ไม่กระทบพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม.” ข้อนี้ทำให้ ผังระบบน้ำ–แนวกันน้ำ–ความสูงท่อปล่อง–ผลแบบจำลองแพร่กระจายมลพิษ กลายเป็น “หลักฐาน” ที่ชุมชนต้องได้เห็น ก่อน ตัดสินใจยินยอมร่วมกัน (free, prior and informed consent ในทางสิทธิชุมชน)

วิเคราะห์ “ความเสี่ยงสาระสำคัญ” ที่ยังต้องตอบให้จบ

  1. ความเสี่ยงเชิงพื้นที่ (Sensitive Receptors)
    พื้นที่เป้าหมายรายล้อมด้วยชุมชน–วัด–โรงเรียน–พื้นที่เกษตรและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การประเมินผลกระทบต้อง “ทำแผนที่ความเสี่ยง” (risk mapping) แสดงบ้านเรือน/โรงเรียน/ศาสนสถาน/ศูนย์เด็ก/สถานพยาบาล และเส้นทางลม–ทางน้ำ ตลอดจนระยะเผื่อกรณีฉุกเฉิน (ข้อกำหนด กกพ.เรื่องระยะห่างสาธารณสถาน 100 เมตร และข้อยกเว้น/ผ่อนผัน หากมี)
  2. คุณภาพอากาศ–ปล่อง–CEMs
    แม้เทคโนโลยีตะกรับ + ถ่านกัมมันต์ + bag filter + CEMs จะเป็นมาตรฐานโลก แต่ความเชื่อมั่นเกิดจาก ข้อมูลเปิดเผยแบบเรียลไทม์ (near-real time) ให้ชุมชนเข้าถึงค่ามลพิษปล่องอย่างต่อเนื่อง พร้อม Trigger Alarm ที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (pre-alarm/critical alarm) รวมถึง protocol หยุดเดินเครื่อง อัตโนมัติเมื่อค่าเกินเกณฑ์ (ข้อเท็จจริง: รายงานโครงการระบุถัง–อุปกรณ์ควบคุมหลายชั้นและ CEMs ที่ปากปล่อง)
  3. น้ำชะขยะ–Zero Discharge
    คำว่า “ศูนย์การระบาย” ต้องลงรายละเอียด เส้นทางท่อ–ขีดความสามารถบำบัด–การสำรองไฟ–การสำรองบ่อ–การบริหารกรณีฝนสุดขั้ว ตลอดจน การทดสอบเชิงสภาวะเลวร้ายสุด (stress test) ที่รับประกันว่า “น้ำเสียไม่หลุด” สู่หนองฮ่างและคลองชลประทาน (สัมพันธ์กับข้อจำกัดพื้นที่ชุ่มน้ำตามกฎหมาย)
  4. กากเถ้า–ปลายทาง
    ต้องประกาศ คู่สัญญากำจัดกาก ที่ได้รับอนุญาต, เส้นทางขนส่ง, ใบกำกับ/Manifest, จุดฝังกลบ ที่ไม่ขัดประกาศสาธารณสุข (ห้ามลุ่มน้ำ 1–2, ห้ามพื้นที่ชุ่มน้ำ ฯลฯ) และ ผลทดสอบคุณลักษณะกาก (TCLP) เป็นระยะ เพื่อปิดความเสี่ยงการรั่วไหลในห่วงโซ่
  5. การมีส่วนร่วม–ความเป็นธรรม 절차 (Procedural Justice)
    จากบทเรียนย้ายจุดตั้งเดิมเพราะโบราณสถาน การสื่อสารครั้งใหม่ต้อง “เขย่าความไว้ใจ” ด้วย การเชิญทุกครัวเรือนในรัศมี 3 กม. ให้เข้าถึงข้อมูล ทางเลือกหลายฉากทัศน์ (ทำ/ไม่ทำ/ทำแต่ออกแบบเสริม) พร้อม มาตรการชดเชย–กองทุนสิ่งแวดล้อม–สวัสดิการสุขภาพ ที่คำนวณจาก ปริมาณขยะจริง–โหลดมลพิษจริง ไม่ใช่ตัวเลขประมาณการลอย ๆ (รายงานเวที 24 ก.ค. 2568 ระบุขอบเขตกลุ่มเป้าหมาย–ขั้นตอนประชาสัมพันธ์–กำหนดการประชุมไว้อย่างเป็นทางการ)

ข้อเสนอเชิงนโยบาย “สามชั้นป้องกัน” เพื่อคลี่คลายความเสี่ยงและสร้างฉันทามติ

ชั้นที่ 1: พิสูจน์ความสอดคล้องกฎหมาย–ผังพื้นที่ (Compliance by Design)

  • เผยแพร่ แผนที่ข้อจำกัดกฎหมาย: เส้น 1 กม. จากโบราณสถาน/ศาสนสถาน/สาธารณสถาน, แนวเขตพื้นที่ชุ่มน้ำตามมติ ครม., ลุ่มน้ำชั้น 1–2, เขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม—ซ้อนทับกับผังโครงการให้ประชาชนตรวจสอบได้เอง (สอดคล้อง CoP/กกพ./สธ.)
  • ทำ Micro-Siting Study เปรียบเทียบตัวเลือก 3 พื้นที่ (ท่าหล่ม/สันไม้ฮาม/สุขสันติ) ด้วยดัชนีความเสี่ยงต่ออากาศ–น้ำ–เสียง–การจราจร–สังคม–โบราณสถาน–พื้นที่ชุ่มน้ำ แล้วเปิดผลเปรียบเทียบทางเลือก (รวม “ทางเลือกศูนย์” คือไม่ดำเนินการ)

ชั้นที่ 2: คุมมลพิษแบบโปร่งใส (Performance with Transparency)

  • ติดตั้ง CEMs + ป้ายจอหน้าประตูโรงไฟฟ้า แสดงค่ามลพิษปล่องแบบเรียลไทม์และย้อนหลัง พร้อม แดชบอร์ดออนไลน์ ให้ชุมชนเข้าถึงได้ 24 ชม. และ ระบบเตือนภัยชุมชน เมื่อค่าเข้าโซนเฝ้าระวัง
  • เปิด ผลตรวจไดออกซิน/โลหะหนัก รายไตรมาสจากห้องปฏิบัติการอิสระ พร้อม Protocol หยุดเดินเครื่อง หากค่าพุ่ง และ มาตรการทางปกครอง–สัญญา กรณีฝ่าฝืน
  • ทำ Stress Test น้ำเสีย เผยแพร่ผลทดสอบระบบกัก/บำบัด–สำรองไฟ–สำรองบ่อ รองรับเหตุฝนสุดขั้ว (AR5/AR6) และแผนซ้อมฉุกเฉินกับ รพ.–อนามัย–รพ.สต.–ศูนย์เด็กเล็ก

ชั้นที่ 3: ประโยชน์คืนชุมชน (Benefit-Sharing & Health Safeguard)

  • จัดตั้ง กองทุนสิ่งแวดล้อม–สุขภาพชุมชน บริหารร่วม โดยคิดจาก ตันขยะจริง–ชั่วโมงเดินเครื่องจริง ใช้ตรวจสุขภาพกลุ่มเสี่ยง/ติดตามมลพิษสิ่งแวดล้อม/พัฒนาพื้นที่สีเขียว
  • ทำ Community Monitoring สร้าง “อาสาสมัครเฝ้าระวัง” ที่ผ่านการอบรม เข้าถึงพื้นที่–ข้อมูล–ห้องควบคุม–จุดตรวจมลพิษได้ตามสิทธิ
  • กำหนด มาตรการชดเชย เฉพาะพื้นที่เปราะบาง (โรงเรียน/ศูนย์เด็ก/สถานพยาบาล/แหล่งน้ำชุมชน) เช่น ติดตั้งฟอกอากาศ, ระบบน้ำสะอาดสำรอง, เขตกันชนเขียว

ภาพใหญ่เศรษฐกิจ–สิ่งแวดล้อม “ขยะ” เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส — แต่ “ความไว้วางใจ” คือใบอนุญาตตัวจริง

ข้อเท็จจริงจากรายงานชี้ว่า เป้าหมายของโครงการไม่ใช่เพียง “ผลิตไฟฟ้า” แต่เพื่อ หยุดวงจรเผากลางแจ้ง/เทกอง ที่ก่อมลพิษเรื้อรัง พร้อมยกระดับการจัดการขยะของทั้ง อำเภอพาน–พื้นที่รอบข้าง สู่มาตรฐานสากล (Waste-to-Energy แบบระบบปิด) และเพิ่มความมั่นคงพลังงานท้องถิ่น แต่ในโลกความจริง ใบอนุญาตทางสังคม (Social License) คือสิ่งที่ “ซื้อไม่ได้” ต้องใช้ความโปร่งใส–การมีส่วนร่วม–ข้อมูลเชิงประจักษ์แลกมาเท่านั้น

เกมยาวที่ต้อง “ชนะด้วยหลักฐาน”

ตัวเลขบนเวที 24 ก.ค. 2568 ทำให้เห็นว่า “สังคมพร้อมคุย” แต่ ยังไม่พร้อมเชื่อ โครงการ WTE พาน–ป่าหุ่งจึงต้อง ขยับจาก “คำอธิบาย” ไปสู่ “หลักฐาน”—ผังพื้นที่ชัดเจน, แบบจำลองแพร่กระจายมลพิษ, แผน Zero Discharge ที่ทดสอบได้, แผนฉุกเฉิน worst-case ที่ฝึกซ้อมจริง, และระบบ CEMs ที่เปิดเผยต่อสาธารณะ พ่วง “สัญญาสังคม” เรื่องกองทุนสิ่งแวดล้อมและสิทธิการกำกับดูแลโดยชุมชน

เพราะในท้ายที่สุด นอกเหนือจากการพิสูจน์ “สอดคล้องกฎหมาย” (CoP–กกพ.–สธ.) คือการพิสูจน์ว่า โครงการพร้อม อยู่ร่วมกับหนองฮ่าง–ชุมชน–โบราณสถาน อย่างเคารพและรับผิดชอบได้จริง หากทำได้ การจัดการขยะตามวาระแห่งชาติจะไม่ใช่ “ภาระ” แต่คือ ภูมิคุ้มกันสิ่งแวดล้อม ของเชียงรายรุ่นถัดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย โครงการบริหารและจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงานไฟฟ้า
  • องค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง 
  • สถาบันที่ปรึกษาด้านพลังงาน/วิศวกรรมของโครงการ
  • คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และประมวลหลักปฏิบัติ (CoP 2565)  
  • กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

หนองน้ำพุ 82 ไร่ พร้อมใช้งาน! อบต.โป่งผา รับมอบพื้นที่-เดินหน้า “เฟส 2” เชื่อมถ้ำหลวง

หนองน้ำพุ” แลนด์มาร์กใหม่ชายแดนแม่สาย 180 ล้านบาทจากโยธาธิการฯ สู่มือ อบต.โป่งผา ปักธงเมืองสุขภาพ–ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ บนโจทย์ยั่งยืนระยะยาว

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 — พื้นที่ชุ่มน้ำขนาดสำคัญของตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย ที่ชาวบ้านคุ้นชื่อว่า “หนองน้ำพุ” กำลังเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์จากแหล่งพักผ่อนของชุมชน สู่ สวนสาธารณะเชิงนิเวศและศูนย์สุขภาพกลางแจ้ง ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมรองรับกิจกรรมสาธารณะระดับอำเภอและจังหวัด หลัง กรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) กระทรวงมหาดไทย ส่งมอบผลงานก่อสร้างตาม งบประมาณ 180 ล้านบาท ให้ องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา) เป็นผู้ดูแลบำรุงรักษา และวางธงเดินหน้า “เฟส 2” เพื่อยกระดับฟังก์ชันการใช้งานให้ครบวงจรด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง

ท้องถิ่นร่วมพัฒนาและเห็นผลเป็นรูปธรรม วันนี้เราส่งมอบพื้นที่ที่ประชาชนใช้งานจริง และพร้อมสนับสนุนต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด”นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง

 “ทุนกายภาพ–ทุนสังคม–ทุนนโยบาย” พร้อม แต่ความยั่งยืนต้องมี “แผนดูแลหลังส่งมอบ” ที่จับต้องได้

การส่งมอบโครงการมูลค่า 180 ล้านบาทในวันนี้สะท้อน 3 ปัจจัยบวกที่มาบรรจบกันอย่างน่าสนใจ

  1. ทุนกายภาพ (Physical Capital): สวนสาธารณะกว่า 82 ไร่ โครงสร้างพื้นฐานพร้อมใช้ มีลู่วิ่ง–ลานกิจกรรม–พื้นที่สีเขียวเชื่อมโยงทัศนียภาพ ดอยนางนอน และ “หนองน้ำพุ” ที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานช่วยลดอุปสรรคด้านการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะคุณภาพ (public open space) ให้กับประชาชนทุกกลุ่มวัย
  2. ทุนสังคม (Social Capital): ตัวเลขผู้มาใช้บริการออกกำลังกายและทำกิจกรรมแล้ว กว่า 20,000 คน เป็น “หลักฐานเชิงพฤติกรรม” ว่าพื้นที่ตอบโจทย์จริง สร้างความผูกพันระหว่างพื้นที่–คน–กิจกรรม และกลายเป็นเวทีชุมชนที่เข้มแข็งได้
  3. ทุนเชิงนโยบาย (Policy Capital): การผลักดันของ ยผ. ภายใต้มติและทิศทาง “พัฒนาเมืองปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และบำบัดทุกข์ บำรุงสุข” บวกกับวิสัยทัศน์ของ อบต.โป่งผา ที่ชัดเรื่อง “ศูนย์สุขภาพกลางแจ้ง–ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ” ทำให้แนวทางเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะเป็นเครื่องมือสุขภาวะ (Health in All Policies) เดินได้จริง

อย่างไรก็ดี โจทย์ยากหลังพิธีส่งมอบ คือ “แผนดูแล–บำรุงรักษา (O&M)” ระยะยาวให้คงคุณภาพ ทั้งเรื่องงบประมาณประจำปี, ระบบสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ/ผู้พิการ (universal design), การจัดการขยะ–น้ำเสียในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว, การบริหารความปลอดภัย–การจราจร, ตลอดจน แผนพัฒนาเฟส 2 ที่ต้องชัดเจนว่าลงทุนอะไร–เพื่อใคร–ชุมชนได้ประโยชน์อย่างไร และสอดคล้องกับธรรมชาติของพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างไร นี่คือ “บททดสอบความยั่งยืน” ที่ท้องถิ่นต้องตอบให้ได้ตั้งแต่วันนี้

ส่งมอบความสำเร็จ โครงงาน 3 ปี งบ 180 ล้านบาท สวนสาธารณะ–แลนด์มาร์ก 82 ไร่ ใช้งานจริงแล้วหมื่นราย

พิธีส่งมอบจากกรมโยธาธิการและผังเมืองสู่ อบต.โป่งผา ครอบคลุมผลงานก่อสร้างในกรอบ พัฒนาพื้นที่รอบอุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ)” โดยมีสาระสำคัญดังนี้

  • กรอบงบประมาณ: 180 ล้านบาท
  • กรอบเวลา: พ.ศ. 2566–2568 (รวม 3 ปี)
  • ขนาดพื้นที่พัฒนา: สวนสาธารณะและแลนด์มาร์กแห่งใหม่ กว่า 82 ไร่
  • ผลใช้งาน: มีผู้มาใช้บริการเพื่อออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่า 20,000 คน (นับถึงก่อนวันส่งมอบอย่างเป็นทางการ)
  • ฐานคิดการออกแบบ: เชื่อมโยงคุณค่าธรรมชาติ–ภูมิทัศน์ของ “หนองน้ำพุ” และ ดอยนางนอน ให้เป็นฉาก (backdrop) เพื่อกิจกรรมสำหรับทุกช่วงวัย ตั้งแต่เดิน–วิ่ง–ปั่นจักรยาน–ออกกำลังผู้สูงวัย–กิจกรรมครอบครัว–ตลาดชุมชน–กิจกรรมวัฒนธรรม

เราขอขอบคุณ ยผ. ที่สนับสนุนงบประมาณและขับเคลื่อนจนสำเร็จ วันนี้ชุมชนโป่งผามีพื้นที่สาธารณะคุณภาพ และเราพร้อมทำเฟส 2 ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในมิติสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชน”ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา

ด้วยทำเลที่ตั้ง หมู่ 1 ต.โป่งผา อ.แม่สาย ซึ่งเป็น ด่านหน้าชายแดนไทย–เมียนมา ด้านเหนือสุดของไทย พื้นที่ดังกล่าวจึงมีศักยภาพต่อยอดเป็น “เกตเวย์ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและสุขภาพ” เชื่อม อุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน, ตัวเมืองแม่สาย, แหล่งเรียนรู้วัฒนธรรม, ตลาดชายแดน และจุดชมวิวธรรมชาติ กลายเป็น “จุดพัก–จุดรวมพล–จุดกิจกรรม” ที่กระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการท้องถิ่น

อัตลักษณ์ “หนองน้ำพุ” ธรรมชาติ–ตำนาน–ความทรงจำร่วม ของคนทั้งอำเภอ

เอกลักษณ์ของ “หนองน้ำพุ” ไม่ได้มีเพียงทัศนียภาพรายล้อมภูเขา หากยังมี ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ชาวบ้านเล่าขานว่า เมื่อเกิดเสียงดัง เช่น เคาะไม้–เคาะปี๊บ จะมีฟองน้ำพุผุดขึ้นเองจากผิวน้ำ สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนและกลายเป็นเรื่องเล่า (narrative) ของพื้นที่ นอกจากนี้ “หนองน้ำพุ” ยังเชื่อมโยง ความทรงจำร่วมระดับชาติ จากเหตุการณ์ช่วยเหลือทีมฟุตบอลเยาวชนใน ถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน เมื่อหลายปีก่อน ทำให้ชื่อของพื้นที่นี้ปรากฏในเส้นทางท่องเที่ยวและสื่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง

ในเชิงระบบนิเวศ “หนองน้ำพุ” ทำหน้าที่ราว ฟองน้ำธรรมชาติ (natural sponge) ที่ช่วยเก็บกักน้ำหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรในฤดูแล้ง และบรรเทาน้ำหลากในฤดูฝน เมื่อถูกพัฒนาให้เป็นสวนสาธารณะเชิงนิเวศ จึงมีบทบาทเสริมสร้าง ภูมิคุ้มกันพื้นที่ (area resilience) ทั้งด้านน้ำ อากาศ และความร้อนในเมือง (urban heat) โดยธรรมชาติของพื้นที่สีเขียว–สายน้ำ จะช่วยลดอุณหภูมิ สร้างร่มเงา และพื้นที่พักฟื้นสำหรับสัตว์นานาชนิด

หนองน้ำพุไม่ใช่เพียงสวนสาธารณะ แต่เป็นห้องเรียนธรรมชาติของคนแม่สาย ที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่ได้เติบโตพร้อมความหวงแหนสิ่งแวดล้อม”ตัวแทนชุมชนผู้ใช้งานกิจกรรมออกกำลังกาย (สะท้อนความเห็นในเวทีกิจกรรมชุมชน)

เมืองสุขภาพชายแดน สวนสาธารณะคุณภาพที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

แนวทาง “ศูนย์สุขภาพกลางแจ้ง” (Outdoor Health Hub) ที่ อบต.โป่งผาและภาคีท้องถิ่นร่วมกันขับเคลื่อน สอดคล้องกับแนวโน้มสังคมสูงวัยและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (wellness) ที่เติบโตในจังหวัดเชียงราย โครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่งส่งมอบช่วยให้เกิด “ต้นทุนสาธารณะ” ที่ผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถเชื่อมต่อกิจกรรมได้หลายมิติ เช่น

  • กิจกรรมกีฬา–มินิมาราธอน–ปั่นจักรยานชุมชน: สร้างการรับรู้และดึงนักท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม
  • ตลาดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น–สุขภาพ: ผักปลอดภัย, ชา–กาแฟ, สมุนไพร, อาหารเหนือเพื่อสุขภาพ เชื่อม “เส้นทางกาแฟ–ชาเชียงราย”
  • กิจกรรมครอบครัว–เทศกาลวัฒนธรรม: เวทีศิลปวัฒนธรรมล้านนา, ดนตรีในสวน, กิจกรรมเรียนรู้สิ่งแวดล้อม
  • คลินิกสุขภาพชุมชนในพื้นที่เปิด: ลานกายภาพ–โยคะ–ไทชิ–ตรวจสุขภาพเบื้องต้น ร่วมกับโรงพยาบาล–รพ.สต.

ประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น กระจายตัว ไปยังผู้ค้าชุมชน ผู้ให้บริการท่องเที่ยวรายย่อย และเกษตรกรที่เชื่อมโยงโซ่อุปทานอาหาร–เครื่องดื่มสุขภาพ ขณะเดียวกัน คุณภาพชีวิต ของประชาชนดีขึ้นผ่านการเข้าถึงพื้นที่ออกกำลังกายใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว และเพิ่มโอกาสการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

เฟส 2 ต้องชัด จาก “สวนสาธารณะ” สู่ “ห้องเครื่องยั่งยืน” ของชุมชน

แม้พิธีส่งมอบในวันนี้ยืนยันความพร้อมใช้งาน แต่ ความยั่งยืน จะเกิดจริงต่อเมื่อมี “พิมพ์เขียวเฟส 2” ที่ระบุชัดว่า

  1. O&M ระยะยาว: แผนงบประมาณบำรุงรักษา–ตัดหญ้า–ดูแลต้นไม้–ซ่อมพื้นผิวทาง–ไฟส่องสว่าง–ระบบระบายน้ำ–จุดนั่งพัก–ห้องน้ำ–ความสะอาด–ความปลอดภัย ต้องระบุวงเงินต่อปี แหล่งงบ และตัวชี้วัดคุณภาพ (service level)
  2. Universal Design เต็มรูปแบบ: ทางลาด–ราวจับ–ห้องน้ำผู้ใช้วีลแชร์–พื้นผิวต่างสัมผัส–ป้ายอักษรเบรลล์–จุดนั่งพักทุก 100–150 เมตร ให้ผู้สูงอายุ/ผู้พิการเข้าถึงได้เท่าเทียม
  3. Environmental Management: แผนจัดการขยะ (คัดแยก–ถังรีไซเคิล–จุดรองรับขยะกิจกรรม), น้ำเสีย (บ่อดักไขมัน–ระบบบำบัดจุดให้บริการอาหารชุมชน), ความหลากหลายทางชีวภาพ (ปลูก–ดูแลพันธุ์ไม้ท้องถิ่น/พื้นที่ชุ่มน้ำ), การป้องกันการชะล้างพังทลายตลิ่ง, ระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำหนองน้ำพุรายไตรมาส
  4. Safety & Mobility: แผนจราจรในช่วงกิจกรรมใหญ่, จุดรับ–ส่ง, ที่จอดรถ–จักรยาน, ระบบไฟส่องสว่าง, กล้องวงจรปิด, สายด่วนอาสาสมัครสวนสาธารณะ, ซ้อมแผนฉุกเฉินทางการแพทย์เบื้องต้นร่วมกับ รพ.สต./อปพร.
  5. Governance & Participation: คณะกรรมการบริหารพื้นที่ที่มีตัวแทนชุมชน–ผู้สูงอายุ–เยาวชน–ผู้ประกอบการ ร่วมวางแผนตารางกิจกรรม–กำกับดูแลงบประมาณ–ติดตามประสิทธิภาพ โดยเปิดแดชบอร์ดสาธารณะให้ประชาชนตรวจสอบได้
  6. เศรษฐกิจชุมชน–แบรนด์ปลายทาง: ยกระดับ “หนองน้ำพุ” เป็น แบรนด์จุดหมาย (destination brand) ของชายแดนแม่สาย สื่อสารเรื่องเล่าธรรมชาติ–วัฒนธรรม–สุขภาพ ผ่านป้ายความรู้หลายภาษา (ไทย–อังกฤษ–จีน) และกิจกรรมสม่ำเสมอทั้งปี

การพัฒนาจะสมบูรณ์เมื่อคนในชุมชนเป็นเจ้าของร่วม และมีเครื่องมือกำกับดูแลคุณภาพพื้นที่ได้ด้วยตนเอง”ข้อเสนอเชิงนโยบายของผู้สื่อข่าวต่อ อบต. และภาคี

ตัวเลขที่ชวนคิด: ผู้ใช้บริการ 20,000 คน—สัญญาณคำตอบของ “ดีมานด์” จริง

  • 20,000 คนขึ้นไป ที่เข้ามาใช้งานก่อนวันส่งมอบ เป็นดัชนีชี้ว่าพื้นที่ใหม่ ลดต้นทุนการเดินทาง ของคนในชุมชนที่ต้องการออกกำลังกาย–ทำกิจกรรมครอบครัว
  • 82 ไร่ ของพื้นที่สีเขียว เพิ่ม “พื้นผิวเย็น” ลดปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island) มีผลดีต่อสุขภาวะผู้สูงอายุ–เด็กเล็ก
  • ทำเลชายแดนแม่สาย เปิดโอกาสเชื่อม ท่องเที่ยวข้ามแดน (cross-border) สู่เมียนมา ในวันที่การเดินทางข้ามแดนคล่องตัวขึ้นในอนาคต
  • กิจกรรมประจำสัปดาห์–เทศกาลประจำปี สามารถสร้าง เม็ดเงินหมุนเวียนแบบกระจายตัว สู่พ่อค้า–แม่ค้า–เกษตรกร–ผู้ให้บริการท้องถิ่น หากมีระบบอนุญาตใช้พื้นที่ที่ชัดเจนและเป็นธรรม

หมายเหตุเชิงข้อมูล ฝ่ายสื่อสารท้องถิ่นบางแหล่งระบุ “หนองน้ำพุ” มีพื้นที่ผืนน้ำราว 6 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 3,750 ไร่) ซึ่ง ใหญ่กว่าขนาดพัฒนา 82 ไร่ มาก ผู้สื่อข่าวจึงเสนอให้หน่วยงานท้องถิ่น สื่อสารความหมายให้ชัดเจน ว่า “82 ไร่” คือ ขอบเขตสวนสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่ขนาดผืนน้ำทั้งหมด เพื่อป้องกันความสับสนของสาธารณะ และให้สอดคล้องกับแผนที่รูปธรรม

เส้นทางสู่ “เมืองสุขภาวะชายแดน” การบ้านที่ต้องทำให้ครบ

  1. วาระสุขภาพตลอดชีวิต: จัด “เมนูพื้นที่” สำหรับแต่ละช่วงวัย—ลานเด็กเล็ก, ลานเยาวชน, ลานผู้สูงอายุ, เส้นทางเดินเท้าปลอดภัย, สถานีออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างเหมาะสม
  2. เครือข่ายโรงเรียน–รพ.สต.: สร้างกิจกรรมพละ–สุขศึกษา–ค่ายเยาวชน, จุดตรวจสุขภาพเบื้องต้น, มุมความรู้โภชนาการ
  3. ระบบสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment): เซ็นเซอร์คุณภาพอากาศ–น้ำ ฝังจุดวัดภาคประชาชน เปิดข้อมูลสาธารณะบนจอในสวนและออนไลน์
  4. การสื่อสาร 3 ภาษา: ไทย–อังกฤษ–จีน รับนักท่องเที่ยวชายแดน, ป้ายสื่อความหมายธรรมชาติ–ประวัติศาสตร์–ความปลอดภัย
  5. ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส: กีฬา–วัฒนธรรม–อาหาร–วิถีชุมชน ให้ “หนองน้ำพุ” ไม่ใช่เพียงสถานที่ แต่เป็น “ประสบการณ์” ที่เกิดซ้ำได้

เสียงจากผู้เกี่ยวข้อง ย้ำความพร้อม–ขอความร่วมมือร่วมดูแล

อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง ย้ำว่า โครงการที่สำเร็จลุล่วงเป็นเพียง “จุดเริ่มต้นของการใช้ประโยชน์” ต้องอาศัยการบริหารท้องถิ่น–ชุมชนร่วมมือกันให้พื้นที่มีชีวิตตลอดทั้งปี พร้อมยืนยัน ความพร้อมสนับสนุนเฟส 2 ตามกรอบภารกิจของกระทรวงมหาดไทย

ด้าน ดร.ณัชชา กันทะดง นายก อบต.โป่งผา ระบุว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ “พร้อมรับไม้ต่อ” ทั้งเรื่องการดูแลรักษาและการต่อยอดกิจกรรม โดยจะเร่งทำแผนปฏิบัติการ O&M, จัดตั้งคณะกรรมการบริหารพื้นที่แบบมีส่วนร่วม และออกแบบกิจกรรมสุขภาพ–ท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มวัย พร้อม ขอบคุณ ยผ. ที่สนับสนุนงบประมาณและผลักดันโครงการจนเสร็จสิ้น

หนองน้ำพุคือของทุกคน ยิ่งใช้ยิ่งดี ยิ่งดูแลยิ่งยั่งยืน”ถ้อยคำสรุปจากเวทีชุมชนหลังพิธีส่งมอบ

จาก “งบลงทุน” สู่ “สินทรัพย์สาธารณะ” ที่งอกเงยได้

การลงทุน 180 ล้านบาทก่อให้เกิด สินทรัพย์สาธารณะ ที่จับต้องได้—พื้นที่สีเขียวคุณภาพ, โครงสร้างพื้นฐานกิจกรรม, จุดหมายท่องเที่ยวเชิงนิเวศ–สุขภาพ และความภูมิใจร่วมของคนแม่สาย–เชียงราย ความสำเร็จแท้จริงจากนี้จึงวัดที่ ความต่อเนื่อง ของการดูแล–ใช้งาน–ต่อยอด ให้พื้นที่ไม่เสื่อมคุณภาพเมื่อเวลาเดิน และสามารถสร้าง มูลค่าใหม่ ทั้งสุขภาพชุมชน–เศรษฐกิจท้องถิ่น–สิ่งแวดล้อม

“หนองน้ำพุ” ที่โป่งผา จึงไม่ใช่เพียงแลนด์มาร์กถ่ายรูป แต่คือ ห้องเครื่องเมืองสุขภาวะชายแดน ที่จะหมุนเครื่องได้ยาวนาน ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนร่วมเป็นเจ้าของ ร่วมคิด–ร่วมทำ–ร่วมรับผิดชอบ ตั้งแต่วันนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (ยผ.) กระทรวงมหาดไทย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งผา (อบต.โป่งผา)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

กมธ.ฯ ลุยเชียงราย แม่น้ำกก “น้ำใสแต่ท้องน้ำป่วย” พบสารหนูเกินเกณฑ์ในตะกอนดิน 9 จุด

กมธ.ทรัพยากรน้ำฯ ติดตามมลพิษ “กก–สาย–รวก” น้ำผิวดินกกดีขึ้นแต่ตะกอนยังวิกฤต—เศรษฐกิจเสี่ยงสูญเกือบ 3.8 พันล้าน/ปี ท่ามกลางแรงกดดันเหมืองรัฐฉานเดินหน้าขยาย

เชียงราย, 31 ต.ค. 2568 — รายงานตรวจวัดรอบปลายกันยายนชี้น้ำผิวดินแม่น้ำกก “ผ่านเกณฑ์” แต่ตะกอนดินยังพบสารหนูเกินระดับเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน 9 จุด ขณะที่แม่น้ำสายยัง “อาการหนัก” ทั้งน้ำและตะกอน ส่วนแม่น้ำรวก–โขง น้ำผ่านเกณฑ์แต่ตะกอนยังน่าห่วง นักวิชาการเตือน “มลพิษในตะกอน” คือระเบิดเวลาที่อาจย้อนปนเปื้อนน้ำอีกระลอก ภาคเกษตร–ประมง–ท่องเที่ยวเสี่ยงเสียหายรวมปีละราว 3,786 ล้านบาท ขณะหน่วยงานสาธารณสุขเร่งเฝ้าระวัง 4 มาตรการ และ กมธ.ฯ สั่งทำแผนแก้ไขระยะสั้น–กลาง–ยาว ด้านมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่เผยภาพดาวเทียมชี้ เหมืองแรร์เอิร์ธ–ทอง ริมกกในรัฐฉานยังขยายตัวต่อเนื่อง ก่อนการประชุม MRC เดือนพฤศจิกายนนี้ที่เชียงราย

 “น้ำเริ่มใส แต่ท้องน้ำยังป่วย”

การประชุมคณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร วันที่ 31 ตุลาคม 2568 เปิดเวทีให้หน่วยงานส่วนกลาง–ภูมิภาค–จังหวัด ร่วมอัปเดตสถานการณ์คุณภาพน้ำใน แม่น้ำกก–แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก และลำน้ำสาขา ภายหลังตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาพื้นที่ชายแดนเชียงราย–เชียงใหม่เผชิญวิกฤตน้ำขุ่นผิดปกติและผลตรวจสารโลหะหนัก “เกินเกณฑ์” หลายจุด กระทบตั้งแต่การอุปโภคบริโภคจนถึงการเพาะปลูกริมน้ำ

รายงานล่าสุดของ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ซึ่งเก็บตัวอย่างวันที่ 22–26 กันยายน 2568 ระบุว่า

  • แม่น้ำกก: น้ำผิวดิน “เป็นไปตามมาตรฐาน” ทุกจุด แต่ ตะกอนดิน ยังพบสารหนูเกินระดับเพื่อปกป้องสัตว์หน้าดิน 9 จุด
  • แม่น้ำสาย: ยังน่ากังวล พบสารหนูในน้ำผิวดิน เกินมาตรฐานทุกจุด ที่ช่วง 0.015–0.017 มก./ล. และตะกอนดินเกินระดับปลอดภัยต่อสัตว์หน้าดิน
  • แม่น้ำรวก–แม่น้ำโขง: น้ำผิวดิน “ผ่านเกณฑ์” แต่ผลตรวจตะกอนดิน ทุกจุด ในแม่น้ำรวก และ 3 จุด ในแม่น้ำโขงยังเกินระดับปลอดภัย (แม่น้ำโขงพบช่วง 32–60 มก./กก.)

ข้อสังเกตสำคัญ จากการติดตามหลายรอบคือ “ตัวน้ำบนผิว” อาจฟื้นตัวเร็วเมื่อปริมาณฝน–การเจือจาง–การไหลเวียนดีขึ้น แต่มลพิษใน ตะกอนดิน คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ “ฝังลึก” และสามารถ resuspend หรือ เคลื่อนย้ายย้อนกลับขึ้นมาในคอลัมน์น้ำ เมื่อเกิดกระแสน้ำแรงหรือกิจกรรมรบกวนก้นแม่น้ำ (เช่น การขุดลอก–น้ำหลาก) ทำให้ความเสี่ยงต่อ สัตว์หน้าดิน–ห่วงโซ่อาหาร–การสะสมในสิ่งมีชีวิต ยังไม่สิ้นสุด

เศรษฐกิจชายแดนใต้แรงกดดัน เกือบ 3.8 พันล้าน/ปี เสี่ยงหายไปกับน้ำ

ตัวเลขคาดการณ์ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เผยแพร่โดย Rocket Media Lab และฐานข้อมูลหน่วยงานภาครัฐด้านเกษตร สะท้อนผลกระทบ เป็นรูปธรรม ดังนี้

  • ลุ่มน้ำกก: พื้นที่การเกษตรที่เสี่ยงได้รับผลกระทบ 340,358.73 ไร่ ประเมินความเสียหายปีละราว 3,239,061,808.4 บาท หรือ 13% ของจีดีพีเฉพาะภาคเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • ลุ่มน้ำสาย–รวก: พื้นที่เกษตร 63,023.89 ไร่ ความเสียหายปีละประมาณ 547,100,952.5 บาท หรือ 2.19% ของจีดีพีเกษตรจังหวัด

เมื่อรวม สามลุ่มน้ำ ตัวเลขความเสียหายอาจแตะ 3,786,162,760.9 บาท/ปี โดย ข้าว คือพืชเศรษฐกิจที่เสี่ยงที่สุด (คิดเป็น 66.54% ของมูลค่าความเสียหายริมสาย–รวก) เพราะ พื้นที่นาข้าวส่วนใหญ่ติดแม่น้ำ และใช้น้ำแม่น้ำโดยตรงในการทำนาปรัง ยังไม่นับผลต่อ ประมง–เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งจังหวัดเชียงรายมีการจับสัตว์น้ำจืดปี 2567 ราว 1,417 ตัน มูลค่า 92.76 ล้านบาท และมี พื้นที่เพาะเลี้ยง 689.17 ไร่ รวม 284 ฟาร์ม ใน 5 ตำบลตามแนวสาย–รวก

นอกเหนือจากภาคเกษตร กิจกรรม ท่องเที่ยวริมน้ำ–ชุมชนตลาดชายแดน (เช่น อ.แม่สาย/ท่าตอน) ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล–ไฮซีซันที่น้ำคือ “ทรัพยากรภูมิทัศน์” และ “บริการสาธารณะธรรมชาติ” ของพื้นที่

สาธารณสุขเดิน 4 มาตรการ ตรวจ–คัดกรอง–สื่อสาร–บูรณาการ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.) รายงานการดำเนินการเฝ้าระวังสุขภาพ 4 มาตรการ ได้แก่

  1. อนามัยสิ่งแวดล้อม: เก็บตัวอย่าง น้ำผิวดิน, น้ำประปา, พืชผัก, ปลา ตรวจวิเคราะห์ สารหนู–ตะกั่ว ทุกเดือน
  2. สุขภาพประชาชน: เฝ้าระวังอาการในชุมชน, คัดกรองเชิงรุก, สุ่ม ตรวจปัสสาวะ กลุ่มเสี่ยง
  3. การสื่อสารความเสี่ยง: แจ้งเตือนให้หลีกเลี่ยงใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรง และเฝ้าระวังอาการผิดปกติ
  4. บูรณาการภาคี: เชื่อมปฏิบัติการกับหน่วยงานน้ำ–เกษตร–ท้องถิ่น–ประมง

ผลตรวจเดือนเมษายน–ตุลาคม 2568 จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงรายต่อ น้ำอุปโภคบริโภค–น้ำดื่ม–ปลา–พืชผัก ระบุว่า “ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน” อย่างไรก็ดี พื้นที่ยังมีเสียงเรียกร้องให้ สื่อสารข้อมูลสุขภาพอย่างโปร่งใส และ เข้าใจง่าย โดยเฉพาะกรณีที่เคยมีการกล่าวถึง ปัสสาวะประชาชน 7 ราย เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งควรอธิบายบริบท–ระยะเวลา–การติดตามผลซ้ำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกหรือชะล่าใจ

โต๊ะนโยบายขยับ กมธ.ฯ สั่งทำแผน 3 ระยะ—หน่วยงานน้ำ–สิ่งแวดล้อม–ท้องถิ่น รายงานผลถี่ขึ้น

ในการประชุมคณะกรรมาธิการฯ มีมติให้ทุกหน่วยงานจัดทำ สรุปปัญหา–อุปสรรค–ข้อเสนอ–แผนปฏิบัติ ระยะสั้น–กลาง–ยาว เสนอรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ด้าน สคพ.1 (เชียงใหม่) นำเสนอ 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ ภาพรวมคุณภาพน้ำ–มาตรฐานน้ำผิวดิน–ความร่วมมือการตรวจวัด–มาตรการแก้ไขตามกฎหมาย–อุปสรรคและข้อเสนอแนะ ขณะที่ กรมทรัพยากรน้ำ ตรวจประปาหมู่บ้านรอบลุ่มกก 45 แห่ง พบ 3 แห่ง คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน และเร่งจัดหาน้ำผิวดินใหม่ พร้อมเดินหน้า ระบบสูบ–กระจายน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ 5 โครงการ

ส่วน การประปาส่วนภูมิภาค เฝ้าระวังคุณภาพน้ำสาขาหลัก (เชียงราย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ) เพิ่มความถี่การเก็บตัวอย่างต่อเดือน ขณะที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สสจ.–เกษตรจังหวัด–ประมงจังหวัด ตรวจน้ำประปาชุมชน–พืชผัก–ปลา อย่างต่อเนื่อง

ต้นน้ำรัฐฉาน เหมืองแรร์เอิร์ธ–ทอง “ขยายตัวต่อเนื่อง”

รายงานจาก มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation) เมื่อ 28–30 ตุลาคม 2568 อ้างอิง ภาพดาวเทียมล่าสุด (14 ต.ค. 2568) ยืนยันการขยายตัวของ เหมืองแรร์เอิร์ธ 2 แห่ง และ เหมืองทอง ริมแม่น้ำกกในเมืองยอน รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ห่าง อ.ท่าตอน จ.เชียงใหม่ เพียง 30 กม. โดยเฉพาะ วิธีชะละลาย (in-situ leaching) ที่ใช้สารเคมีจำนวนมากฉีดเข้าเชิงเขา เสี่ยงต่อการ รั่วไหลลงแหล่งน้ำ และยากต่อการควบคุม

ภาพถ่ายเปรียบเทียบ พฤษภาคม vs ตุลาคม 2568 ชี้ชัดว่า บ่อแต่งแร่ ฝั่งตะวันตกของกกสร้างเสร็จและมีหลังคาคลุม ขณะฝั่งตะวันออกมี อาคารใหม่หลายหลัง และเห็น ของเหลวสีฟ้า ในบ่อแต่งต่อเนื่อง สอดคล้องกับการประเมินว่า “กิจกรรมแต่งแร่เพิ่มขึ้นอย่างมาก” พร้อมกันนี้ ภาคประชาชนลุ่มน้ำกกไทยได้สื่อสารกรณี สารหนู–แคดเมียม–ตะกั่ว ปนเปื้อน และย้ำผ่านถ้อยคำของภาคีว่า “แม่น้ำเพื่อชีวิต ไม่ใช่แม่น้ำเพื่อความตาย” เพื่อสะท้อนข้อเรียกร้องเชิงจริยธรรมและสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชนปลายน้ำ

เวที MRC เดือนพฤศจิกายน โอกาสยกระดับ “การทูตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน”

การประชุม MRC ที่จะจัดขึ้นที่เชียงรายในปลายพฤศจิกายน ถูกคาดหวังให้เป็น เวทีนโยบายระดับอนุภูมิภาค ที่ไทยควรใช้เพื่อ

  • เสนอ กลไกแจ้งเตือนและแบ่งปันข้อมูลคุณภาพน้ำข้ามพรมแดนแบบใกล้เวลาจริง
  • ผลักดัน มาตรฐานกิจกรรมเหมืองในลุ่มน้ำสาขาโขง และ ห่วงโซ่ตรวจสอบสารเคมี
  • ตั้ง คณะทำงานร่วมไทย–เมียนมา–จีน บูรณาการ ภาพถ่ายดาวเทียม–ข้อมูลตรวจวัด–การสืบสวนเชิงต้นน้ำ พร้อม แผนลดความเสี่ยงเชิงภูมิศาสตร์ (เช่น พื้นที่กักเก็บ/บ่อพักตะกอน–การกันชนพื้นที่เสี่ยง)

การเยือนพื้นที่ของ สมาชิกพรรคกรีน เยอรมนี ในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนมิติความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการยกระดับ มาตรฐานการทำเหมืองอย่างรับผิดชอบ และ กรอบสินค้าสะอาด (clean supply chains) ในตลาดโลก

ข้อเสนอเชิงระบบ จาก “ตามแก้” สู่ “ป้องกันก่อนเกิด”

บนฐานข้อมูลและสถานการณ์ปัจจุบัน ข่าวนี้เสนอ “แพ็กมาตรการ” 5 ข้อเพื่อคลายปมระยะสั้น–ยาว

  1. แดชบอร์ดสาธารณะ: เปิดข้อมูล น้ำผิวดิน–ตะกอนดิน–โลหะหนัก รายจุด/รายสัปดาห์ พร้อม metadata วิธีเก็บ–ห้องแล็บ–ความเชื่อมั่น เพื่อให้ภาคประชาชน–เกษตร–ท้องถิ่นติดตามได้
  2. แผนจัดการตะกอนดิน: ศึกษาความเป็นไปได้ของ การกักเก็บ–การห่อหุ้ม (capping)–การขุดลอกแบบเลือกสรร โดยมี EIA/สุขภาพชุมชน กำกับ เพื่อไม่ให้ “การแก้ไข” กลายเป็น “การกวนตะกอน”
  3. โพรโทคอลสุขภาพชุมชน: เพิ่ม biomonitoring กลุ่มเสี่ยง (ตัวอย่างปัสสาวะ/เลือด) แบบสุ่มตัวอย่างซ้ำ พร้อม คัดกรองเชิงรุก และ เจ้าภาพสื่อสารเดียว ลดความกำกวมของคำว่า “ไม่เกินมาตรฐาน” โดยแนบค่าจริง–ช่วงเชื่อมั่น
  4. การทูตสิ่งแวดล้อม: ใช้เวที MRC และความร่วมมือทวิภาคี ผลักดัน มาตรการควบคุมสารเคมีเหมือง และ การตรวจสอบย้อนกลับ ร่วมกับผู้ซื้อแรร์เอิร์ธ–ทองในห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก
  5. มาตรการทางการค้าเชิงเป้าหมาย: พิจารณาแนวทางจำกัดการนำเข้าวัตถุดิบ/สินค้าที่โยงกับกิจกรรมทำลายลุ่มน้ำ (ตามแนวคิดยุติการนำเข้า “CTM” ที่ถูกเสนอ) ควบคู่ แรงจูงใจ สำหรับซัพพลายเออร์ที่ผ่านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

เสียงจากพื้นที่และการบริหารท้องถิ่น

ตลอดหลายเดือนของการเฝ้าระวัง จังหวัดเชียงรายร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เพิ่มความถี่เก็บตัวอย่าง น้ำผิวดินเดือนละ 2 ครั้ง หลายสาขา และร่วม สำรวจความเสียหาย–ค่าใช้จ่ายเฝ้าระวัง เพื่อวางงบประมาณปีถัดไป สะท้อนความตั้งใจ “เดินงานเชิงรุก” โดยไม่รอเฉพาะระดับส่วนกลาง ในเวทีหารือระดับจังหวัด ผู้แทนหน่วยงานน้ำ–สิ่งแวดล้อม–เกษตร–ประมง ยังรายงานอุปสรรค เช่น งบประมาณ–บุคลากร–การเข้าถึงพื้นที่ต้นน้ำข้ามแดน ซึ่งต้องอาศัย “กลไกกลาง” เชื่อมการทำงานต่อเนื่อง

ในขณะที่ภาคประชาชน–ภาคีลุ่มน้ำสื่อสารเสียงเดียวกันว่า “ต้องการข้อมูลที่เข้าใจง่าย–สม่ำเสมอ และตอบข้อกังวลเฉพาะหน้า” เช่น คำถามว่าพื้นที่ใดควรหลีกเลี่ยงใช้น้ำโดยตรง, พื้นที่ใดควรระวังการบริโภคปลา, คำแนะนำเฉพาะกลุ่มเปราะบาง (เด็ก–หญิงตั้งครรภ์–ผู้สูงอายุ) เพื่อให้ครัวเรือนตัดสินใจได้บนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้

เส้นบาง ๆ ระหว่าง “ฟ้าใส” กับ “ท้องน้ำป่วย”

ภาพรวม ณ ปลายตุลาคม 2568 คือ สัญญาณคลี่คลายบางส่วนของน้ำผิวดิน โดยเฉพาะแม่น้ำกกที่ “เข้าเกณฑ์” หลายจุด แต่ ท้องน้ำยังป่วย เพราะตะกอนดินที่สะสมโลหะหนัก เกินระดับปกป้องสัตว์หน้าดิน หลายจุดใน กก–สาย–รวก–โขง ความเสี่ยงนี้ไม่เพียงกระทบต่อ ระบบนิเวศ แต่ยังทบซ้อนสู่ เศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะ ข้าว–ประมง–ท่องเที่ยว ในจังหวัดชายแดน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้ แรงกดดันจากต้นน้ำรัฐฉาน ที่ยังเห็นสัญญาณ “เหมืองขยาย” ชัดเจน

คำตอบเชิงนโยบายจึงไม่อาจหยุดที่ “ตรวจ–แจ้ง–แนะนำ” แต่ต้องยกระดับสู่ ระบบข้อมูลสาธารณะ–แผนจัดการตะกอน–การคุ้มครองสุขภาพ–การทูตสิ่งแวดล้อม–มาตรการการค้า ที่เสริมกันเป็นแพ็กเดียว และใช้เวที MRC ที่เชียงราย เป็นจุดเริ่มต่อรองเชิงหลักการเพื่อคุ้มครองลุ่มน้ำร่วมกันอย่างยั่งยืน

“แม่น้ำเพื่อชีวิต ไม่ใช่แม่น้ำเพื่อความตาย” — ประโยคจากเครือข่ายภาคประชาชนลุ่มน้ำกก อาจเป็นเข็มทิศเชิงคุณค่าที่เตือนให้ทุกฝ่าย “วัดความสำเร็จ” ไม่ใช่แค่จากค่าตัวเลขในห้องแล็บ แต่จาก ความปลอดภัยและศักดิ์ศรีของผู้คนที่อยู่กับน้ำทุกวัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะกรรมาธิการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สภาผู้แทนราษฎร
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย / ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาค (สาขาเชียงราย–แม่สาย–เชียงแสน–เชียงของ)
  • สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย / กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมประมง
  • Rocket Media Lab
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเดินหน้าจัด ‘มหกรรมไม้ดอก 2025’ ปรับรูปแบบ ลดมหรสพ เน้นนิทรรศการน้อมรำลึก

จุดสมดุลเศรษฐกิจ-ความรู้สึก เชียงรายชวนนักท่องเที่ยวแต่ง ‘โทนสุภาพ’ ร่วมงานไม้ดอก

เชียงราย,28 ตุลาคม 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมรับอรุณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย การประชุมราชการ (Morning Brief) ครั้งที่ 8/2568 มีวาระพิเศษที่ไม่ใช่แค่การติดตามผลการทำงานประจำเดือนเหมือนเช่นเคยอีกต่อไป หากแต่เป็นการประชุมเพื่อกำหนดทิศทางเชิงภาพรวมของจังหวัดในห้วงเวลาที่ทั่วประเทศกำลังอยู่ในความโศกเศร้าหลังจากสำนักพระราชวังประกาศข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งทั่วทั้งแผ่นดินต่างแสดงความอาลัยอย่างสุดหัวใจ

การประชุมครั้งนี้นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร อาทิ นางทรงศรี คมขำ รองนายก อบจ.เชียงราย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย และนางอัญญลักษณ์ กายาไชย เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด เพื่อหารือภารกิจที่ต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง

หัวข้อสำคัญที่สุดของการประชุมครั้งนี้ คือทิศทางการจัดงาน “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025”

เดินหน้าตามกำหนดการเดิม แต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิมอีกต่อไป

หลังการประชุม นางอทิตาธรยืนยันอย่างชัดเจนว่า อบจ.เชียงรายจะยังคงจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ตามกำหนดการที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ นั่นคือ

  • พื้นที่หลัก “สวนไม้งามริมน้ำกก” อำเภอเมืองเชียงราย ระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569
  • พื้นที่ขยายในอำเภอ ได้แก่ สวนสาธารณะหนองหลวง อำเภอเวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค อำเภอแม่สาย ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569

หมายความว่า จังหวัดยังคงมุ่งหวังให้ช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปีใหม่เป็นระยะเวลาที่เชียงรายจะดึงดูดการท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยวภายในประเทศที่นิยมเดินทางขึ้นเหนือในฤดูหนาว และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมล้านนา ธรรมชาติ และอากาศเย็น

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “จะจัดหรือไม่จัด” แต่อยู่ที่ “จะจัดอย่างไร”

นางอทิตาธรระบุชัดว่า การจัดงานปีนี้ “จะต้องมีการปรับให้เหมาะสม” เพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความอาลัยจากการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง โดยย้ำว่าการจัดงานต้องดำเนินไป “ภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรีและแนวทางกลางของรัฐบาล” ที่ระบุให้ส่วนราชการและหน่วยงานท้องถิ่นระมัดระวังกิจกรรมที่อาจถูกมองว่าไม่เหมาะสมหรือเกินความกาลเทศะ

เธอกล่าวในที่ประชุมว่า การดำเนินงานในครั้งนี้ต้องสะท้อนทั้ง “ความจงรักภักดี” และ “ความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้” ของพสกนิกรชาวเชียงรายและประชาชนชาวไทย

เมื่อแปลออกมาในเชิงปฏิบัติ รูปแบบของงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จะถูกปรับใน 3 มิติใหญ่ คือ

  1. ลดกิจกรรมรื่นเริง
    กิจกรรมที่มีลักษณะเป็นความบันเทิง เช่น การแสดงมหรสพคึกคัก การแสดงคอนเสิร์ตเชิงบันเทิง หรือกิจกรรมที่เน้นความสนุกสนานเป็นหลัก จะถูกลดระดับหรือปรับโทน ไม่ใช่เพียงเพราะความเหมาะสมทางสังคม แต่เพื่อส่งสัญญาณถึงความเคารพและความอาลัยในระดับจังหวัด ซึ่งเป็นการแสดงจิตวิญญาณร่วมกับประชาชนทั้งประเทศ
  2. เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และจารีตท้องถิ่น
    อบจ.เชียงรายกำหนดให้งานในปีนี้เน้นการจัดแสดงไม้ดอกไม้ประดับที่สะท้อนความอ่อนช้อย งดงาม และอัตลักษณ์ของเชียงราย เช่น ไม้ดอกฤดูหนาว ไม้ประดับหายาก การจัดสวนนิทรรศการเชิงศิลป์ และการออกแบบภูมิทัศน์ที่ใช้ดอกไม้เป็น “ภาษาทางความรู้สึก” มากกว่าจะเป็นเพียงฉากสำหรับท่องเที่ยวเช็คอิน
    กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดอกไม้ในปีนี้จะไม่ใช่เพียง “สีสันของงาน” แต่น่าจะถูกตีความให้เป็น “สัญลักษณ์ของการรำลึกถึง” และ “การถวายความเคารพ”
  3. จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและน้อมรำลึก
    จะมีการจัดนิทรรศการเพื่อน้อมรำลึกและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมุ่งสะท้อนพระราชจริยวัตร พระราชกรณียกิจด้านศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมพื้นถิ่น ตลอดจนพระราชดำริในการส่งเสริมอาชีพและคุณภาพชีวิตของราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ

ประเด็นนี้มีนัยสำคัญในทางสัญลักษณ์อย่างยิ่ง เพราะสมเด็จพระพันปีหลวงทรงได้รับการยกย่องมาโดยตลอดในฐานะ “แม่ของแผ่นดิน” ผู้ทรงมีบทบาทโดดเด่นในการผลักดันงานหัตถศิลป์ ผ้าไทย งานจักสาน งานทอมือ และงานอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย — ซึ่งล้วนเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ภาคเหนือรวมถึงเชียงราย การนำแนวทาง “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” มาเป็นแกนของงานมหกรรมไม้ดอกในครั้งนี้ จึงไม่ใช่การแสดงความอาลัยเชิงพิธีเท่านั้น แต่เป็นการวางบทบาทของเชียงรายในฐานะเมืองที่เข้าใจคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม และพร้อมถ่ายทอดต่อสาธารณะ

เชียงรายต้องขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เชียงรายก็ต้องเป็นจังหวัดที่ “รู้กาลเทศะ”

อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดอย่างชัดเจนในการประชาสัมพันธ์ของ อบจ.เชียงราย คือการ “ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว” โดยเชิญชวนให้ผู้มาเยือนร่วมแต่งกายด้วยโทนสีไว้ทุกข์หรือสีสุภาพตลอดช่วงการจัดงาน

คำขอนี้สะท้อนความพยายามของจังหวัดในการสร้างบรรยากาศร่วมไว้อาลัยในพื้นที่สาธารณะ ไม่ใช่เพียงผ่านพิธีการหรือคำกล่าวเปิดงาน แต่ผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นการยกระดับงานท่องเที่ยวให้เป็นพื้นที่แสดงความเคารพร่วมกันในฐานะ “สาธารณะทางความรู้สึก”

การขอความร่วมมือด้านการแต่งกายแบบนี้ มักจะปรากฏในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญเหตุการณ์สำคัญระดับสถาบัน ซึ่งสะท้อนว่านโยบายของจังหวัดในครั้งนี้ไม่ได้มองงานไม้ดอกเป็นเพียงอีเวนต์เชิงเศรษฐกิจ แต่ยกระดับไปสู่พื้นที่เชิงสังคมและจิตใจร่วม

ในอีกด้านหนึ่ง การเดินหน้าจัดงานตามกำหนดการเดิมในช่วงวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569 ก็มีความหมายเชิงเศรษฐกิจที่ไม่อาจปฏิเสธได้

เดือนธันวาคมถึงต้นมกราคมเป็นช่วงที่เชียงรายมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นที่สุดของปี อากาศเย็นเป็นแม่เหล็กตามธรรมชาติ ขณะที่สีสันทางวัฒนธรรม เช่น ประเพณีล้านนา อาหารพื้นถิ่น และภูมิทัศน์ริมน้ำกก ล้วนเป็นจุดขายของจังหวัดมาอย่างยาวนาน งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนในอดีตมักถูกใช้เป็น “เวทีหลัก” ในการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น ทั้งผู้ประกอบการที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านงานหัตถกรรม ตลอดจนเครือข่ายเกษตรกรไม้ดอกไม้ประดับ

กล่าวอีกมุมหนึ่ง งานนี้ไม่ใช่เพียงงานที่จัดเพื่อความสวยงาม แต่เป็น “จุดกระจายเม็ดเงินปลายปี” ของจังหวัดเชียงราย

การตัดสินใจ “เดินหน้าจัด – แต่ลดความรื่นเริง และเพิ่มความสงบสำรวม” จึงเป็นจุดสมดุลที่สะท้อนแนวทางของฝ่ายบริหารท้องถิ่น จังหวัดยังต้องขยับเศรษฐกิจและดูแลความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยบรรยากาศแห่งความโศกอาลัยระดับชาติ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรยังย้ำประเด็นเรื่อง “การบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” พร้อมมอบหมายให้ทุกภาคส่วนบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งด้านการจัดสถานที่ การรักษาความปลอดภัย การดูแลสภาพแวดล้อมจราจร และการบริการนักท่องเที่ยวในพื้นที่จัดงานทั้งสามจุดคือ ริมน้ำกก หนองหลวง เวียงชัย และวัดถ้ำเสาหินพญานาค แม่สาย ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวชายแดนสำคัญ

ถ้อยคำลักษณะนี้ชวนให้สังเกตว่า งานมหกรรมไม้ดอกฯ ไม่ใช่การจัดโดยหน่วยงานเดียว แต่เป็นงานที่ต้องใช้พลังของทั้งจังหวัด ทั้งหน่วยงานวัฒนธรรม เกษตรและสหกรณ์ การท่องเที่ยวและกีฬา หน่วยความมั่นคง ตำรวจ ท้องถิ่นอำเภอ รวมถึงชุมชนเจ้าของพื้นที่ร่วมกันดูแลภาพลักษณ์ของจังหวัดต่อสายตาคนทั้งประเทศ

มิติเชิงวัฒนธรรม ดอกไม้ในปีแห่งการอาลัย

หากมองเชิงสัญลักษณ์ การจัดงานดอกไม้ภายใต้บรรยากาศความอาลัย ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย ดอกไม้ถูกใช้เสมอในวัฒนธรรมไทยเพื่อแสดงความเคารพ ความระลึก และพระเกียรติคุณ โดยเฉพาะดอกไม้สีขาว สีอ่อนโทนสุภาพ หรือไม้ดอกที่จัดเป็นลวดลายเชิงสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์

เมื่อ อบจ.เชียงรายประกาศว่าจะ “เพิ่มเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม ศิลปะ และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ” นั่นหมายความว่างานปีนี้อาจไม่ใช่เพียงการประกวดความสวยงามของไม้ดอก หากแต่อาจเป็นพื้นที่เล่าเรื่องความผูกพันระหว่างเชียงรายกับสถาบันฯ ผ่านการตีความด้วยสื่อที่อ่อนโยน เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้สำหรับทุกเพศทุกวัย

ทิศทางเช่นนี้ยังสอดคล้องกับบทบาทของสมเด็จพระพันปีหลวงในประวัติศาสตร์สังคมไทย ทรงมีพระราชกรณียกิจด้านศิลปหัตถกรรมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ ทั้งงานผ้า การทอ การปัก การอนุรักษ์วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนบนพื้นที่สูง ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับจังหวัดในพื้นที่ล้านนา รวมทั้งเชียงรายด้วย การจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติภายในงานจึงอาจเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นบทบาทเหล่านี้ชัดเจนขึ้น

กล่าวในเชิงเนื้อหา งานไม้ดอกฯ ปีนี้อาจกลายเป็นพื้นที่สาธารณะให้คนรุ่นพ่อแม่และรุ่นลูกมายืนอยู่ในภาพเดียวกัน—ภาพที่ไม่ได้มีแค่ดอกไม้สวย ๆ ให้ถ่ายรูปลงโซเชียล แต่เป็นภาพของการเรียนรู้ร่วมกันว่า ความผูกพันของ “ชาติ-สถาบัน-ท้องถิ่น” มีมิติที่ลึกกว่าในเชิงอารมณ์

การบริหารจังหวัดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการที่ผู้บริหาร อบจ.เชียงราย พูดถึง “ความโปร่งใส” และ “การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ” ในการประชุม Morning Brief ครั้งที่ 8/2568 จุดนี้สะท้อนมุมมองการทำงานเชิงรุกด้านธรรมาภิบาลท้องถิ่น เพราะโดยปกติ งานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมปลายปีมักถูกจับตาในสองเรื่องเสมอ คือค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมพื้นที่ (ตกแต่งภูมิทัศน์ ระบบแสง-เสียง การบริหารเวทีกิจกรรม โครงสร้างชั่วคราว) และความคุ้มค่าต่อประชาชนในพื้นที่

การย้ำเรื่อง “งบประมาณต้องโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน” จึงเป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าว่า อบจ.จะวางตัวเองในฐานะองค์กรที่พร้อมถูกตรวจสอบในสายตาสังคม โดยเฉพาะในโครงการสาธารณะที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูงและอยู่ในความสนใจของสื่อและประชาชนทั้งในจังหวัดและนอกจังหวัด

การวางน้ำเสียงเช่นนี้ยังสะท้อนการทำงานเชิงป้องกันความเสี่ยงทางสังคมเช่นกัน เพราะในยุคปัจจุบัน โครงการของหน่วยงานท้องถิ่นสามารถถูกตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ผ่านโซเชียลมีเดีย หากกระบวนการใช้งบประมาณไม่ชัดเจน ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดการตั้งคำถามเชิงศรัทธาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น

งานดอกไม้ที่ไม่ใช่แค่งานดอกไม้

“มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” จึงไม่ใช่แค่งานท่องเที่ยวประจำฤดูหนาวของจังหวัดเชียงรายอีกต่อไป หากแต่มันกำลังถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เชิงสาธารณะของความทรงจำร่วมและความอาลัย ขณะเดียวกันก็เป็นกลไกทางเศรษฐกิจในปลายปีที่ถูกคาดหวังว่าจะกระจายรายได้สู่คนในจังหวัด

ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งประเทศกำลังแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การจัดงานในบรรยากาศที่สำรวมขึ้น ลดความเป็น “มหรสพ” เพิ่มความเป็น “นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและศิลปวัฒนธรรม” อาจเป็นแบบจำลองใหม่ของการจัดงานสาธารณะในระดับจังหวัด ว่าจะสามารถผสานเศรษฐกิจ-วัฒนธรรม-ความรู้สึกร่วมของสังคมได้อย่างไรในเวลาเดียวกัน

ในทางปฏิบัติ การเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้แต่งกายโทนไว้ทุกข์ คือการส่งสารเชิงสังคมว่า ทุกคนที่มาเยือนเชียงรายในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ได้เป็นเพียง “นักท่องเที่ยว” แต่เป็น “ผู้ร่วมยืนในช่วงเวลาเดียวกันของประวัติศาสตร์ร่วมชาติ”

และในทางการบริหาร นี่คือบททดสอบสำคัญของ อบจ.เชียงราย ว่าจะสามารถเดินเชือกเส้นบาง ๆ ระหว่าง “การรักษาความรู้สึกของคนทั้งประเทศ” กับ “การรักษาความยืนยาวของเศรษฐกิจท้องถิ่น” ไปจนจบงานได้อย่างไร

เพราะเมื่อม่านดอกไม้ปิดลงในวันที่ 7 มกราคม 2569 สิ่งที่จังหวัดเชียงรายจะเหลืออยู่ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายสวนดอกไม้ยามรุ่งสางริมแม่น้ำกก แต่คือคำตอบว่า เชียงรายสามารถเป็นต้นแบบการจัดงานท้องถิ่นในยามที่ทั้งประเทศกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ร่วมได้หรือไม่ และคำตอบนั้น ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับเชียงรายเท่านั้น แต่อาจกลายเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ของไทยในอนาคตด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จากถุงยางถึงตัวเลขผลงาน สปสช. ชี้แจงปมงบประมาณ ย้ำ NGO คือแขนขาเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง HIV

สปสช. แจงปม “ถุงยางอนามัย-ตัวเลขผลงาน” หลังถูกตั้งคำถามเรื่องงบประมาณและความโปร่งใส ย้ำจัดซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม ราคาต่อชิ้นถูกลง เน้นเข้าถึงกลุ่มเสี่ยงเอชไอวีเชิงรุกในชุมชน

เชียงราย,29 ตุลาคม 2568 – เรื่องเริ่มจากข้อความที่เผยแพร่โดย นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ซึ่งตั้งคำถามต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่ามี “บัญชีเงินสวัสดิการ” หรือบัญชีงบประมาณที่ใช้จ่ายจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยางอนามัยหรือไม่ พร้อมระบุถึงความเป็นไปได้ของ “ถุงยางอนามัยเหลือในคลัง” จากการจัดซื้อในปริมาณสูงต่อเนื่องทุกปี ขณะที่ยอดแจกจริงต่ำกว่าจำนวนเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อสงสัยของ นพ.เอกภพ มีหลายชั้น โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

  1. ปริมาณจัดซื้อ – เท่าเดิมทุกปีจริงหรือไม่
    นพ.เอกภพระบุว่า สปสช. ตั้งเป้าจัดซื้อถุงยางอนามัยจำนวน 94,566,600 ชิ้น ขณะที่รายงานประจำปีของ สปสช. ระบุว่ามีการแจกจ่ายไปจริง 42,814,800 ชิ้น หรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเป้าหมาย เขาตั้งคำถามว่า หากจัดซื้อในปริมาณสูงทุกปีและแจกได้เพียงบางส่วน แสดงว่ามีถุงยางเหลือสะสมในคลังกลางทุกปีหรือไม่ และถ้ามีเหลือ สปสช.ยังจัดซื้อซ้ำด้วยปริมาณเดิมไปเพื่ออะไร
  2. ราคาและต้นทุน
    นพ.เอกภพอ้างอิงข้อมูลราคาจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) ว่าโรงพยาบาลบางแห่งจัดซื้อถุงยางอนามัยได้ในราคาประมาณ 2 บาทต่อชิ้น แต่ไม่พบข้อมูลราคาการจัดซื้อของ สปสช. ที่จัดซื้อในภาพรวมระดับประเทศผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) อย่างชัดเจน จึงตั้งคำถามว่า ถ้าคิดเฉพาะจำนวนที่แจก 42,814,800 ชิ้น และใช้ราคา 2 บาทต่อชิ้น จะเท่ากับงบประมาณอย่างน้อยราว 85,629,600 บาท ยังไม่รวม “ค่าแจกถุงยาง” “ค่าให้คำปรึกษา” “ค่าคัดกรอง” หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  3. การกระจายงบประมาณ
    นพ.เอกภพยังตั้งข้อสงสัยว่า เงินประมาณ 60% ในระบบให้คำปรึกษาและคัดกรองความเสี่ยงด้านเอชไอวีถูกจ่ายให้แก่องค์กรที่ไม่ใช่หน่วยบริการสุขภาพของรัฐ เช่น เอ็นจีโอ มูลนิธิ หรือกลุ่มบุคคล เขาตั้งประเด็นต่อว่า การจ่ายเงินให้หน่วยงานนอกระบบบริการปกติเช่นนี้ ตรวจสอบได้มากน้อยเพียงใด มีการประเมินผลที่น่าเชื่อถือหรือไม่ และสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลักประกันสุขภาพหรือไม่

ประเด็นสุดท้ายที่จุดกระแสความสนใจอย่างหนัก คือ “ตัวเลขผลงานที่เปลี่ยนไป” โดย นพ.เอกภพระบุว่า รายงานผลการดำเนินงานฉบับหนึ่งของ สปสช. ระบุปริมาณการให้คำปรึกษาเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์ไว้ที่ 48,672 ครั้ง แต่ในรายงานฉบับภายหลัง (อ้างอิงข้อมูลจากวันที่เดียวกัน แหล่งเดียวกัน) ตัวเลขกลับเพิ่มเป็น 169,610 ครั้ง เขาตั้งคำถามว่า ตัวเลขใดถูกใช้เป็นฐานเบิกงบ? ตัวเลขใดถูกใช้รายงานต่อสาธารณะ? และหากตัวเลขเปลี่ยนหลังถูกวิจารณ์ แสดงว่ามีการปรับข้อมูลย้อนหลังหรือไม่

คำถามทั้งหมดทำให้ สปสช. ต้องออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ

สปสช. โต้ทุกประเด็น “ข้อมูลคลาดเคลื่อน” – ยืนยันจัดซื้อตามความต้องการจริง ไม่ได้ซื้อทับซ้อน และปี 2567 ไม่ได้จัดซื้อเพิ่ม

ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการและโฆษก สปสช. ชี้แจงว่า ข้อมูลที่ถูกนำไปเผยแพร่มีความคลาดเคลื่อนหลายส่วน โดยเฉพาะความเข้าใจว่าการจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช. ทำในปริมาณ “เท่าเดิมทุกปีโดยอัตโนมัติ” ซึ่งโฆษก สปสช. ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

ตามคำชี้แจง กระบวนการจัดซื้อเป็นดังนี้

  1. สปสช. ไม่ได้จัดซื้อเองโดยตรงในเชิงปฏิบัติ แต่ “มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อรวมในระดับประเทศ”
    การจัดซื้อรวมลักษณะนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศในราคาที่เหมาะสม และลดความซ้ำซ้อนการจัดซื้อรายหน่วยบริการ นอกจากนี้ อภ. จะจัดซื้อถุงยางอนามัยทั้ง 4 ขนาด คือ 49, 52, 54 และ 56 มิลลิเมตร เพื่อรองรับการใช้งานจริงของประชากรหลากหลายกลุ่ม
  2. “ปริมาณจัดซื้อทุกปีไม่ได้ตั้งต้นที่ตัวเลขเดิม”
    โฆษก สปสช. ระบุว่า สปสช. จะประเมินความต้องการก่อนการจัดซื้อทุกครั้ง โดยใช้ 3 ปัจจัยหลัก
  • การคาดการณ์ความต้องการใช้ถุงยางตามข้อมูลผู้เชี่ยวชาญทางระบาดวิทยาและนโยบายสุขภาพเชิงป้องกันของปีนั้น
  • ข้อมูลผลงานบริการจริงในปีที่ผ่านมา เช่น อัตราการแจกจ่ายและอัตราการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง
  • ปริมาณคงเหลือใน “คลังกลาง” (สต็อก) ซึ่งจะถูกนำมาหักออกจากความต้องการ เพื่อป้องกันการจัดซื้อเกินจำเป็น

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากมีของคงเหลือมาก สปสช. จะจัดซื้อให้น้อยลงหรืออาจไม่จัดซื้อเพิ่มเติมในปีถัดไป

  1. ราคาต่อหน่วยต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาด
    สปสช. ชี้แจงว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยในปีงบประมาณ 2565 และ 2566 มีจำนวนรวม 126.4 ล้านชิ้น ด้วยราคากลางเฉลี่ยประมาณ 1.2 บาทต่อชิ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมควบคุมโรคเคยจัดหาในอดีต
    การซื้อรวมผ่าน อภ. ช่วยต่อรองราคาให้ต่ำลง ซึ่ง สปสช. ระบุว่านี่คือการใช้เงินของประชาชน “อย่างคุ้มค่า”
  2. ปี 2567 ไม่ได้จัดซื้อใหม่
    โฆษก สปสช. ย้ำชัดว่า “ปีงบประมาณ 2567 ไม่มีการจัดหาถุงยางอนามัยเพิ่มเติม” เนื่องจากมีจำนวนคงเหลือเพียงพอจากรอบก่อนหน้า
    คำชี้แจงข้อนี้ตอบโจทย์ข้อสงสัยสำคัญของสังคม หากมีของเหลือในคลังกลางเพียงพอ ทำไมรัฐยังต้องใช้เงินซื้อเพิ่มทับซ้อนในปีถัดไป ซึ่ง สปสช. ระบุว่าไม่ได้ซื้อเพิ่มในปี 2567
  3. ทำไมบางปีรัฐต้องจัดซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก
    ประเด็นนี้ สปสช. ให้เหตุผลเชิงโครงสร้างมากกว่าการตอบเชิงบัญชีตัวเลข โดยอธิบายว่า การจัดซื้อในปี 2565 มีความจำเป็นต้องขยายปริมาณ เพราะหน่วยงานอื่นที่เคยเป็นผู้จัดหาและกระจายถุงยางอนามัยให้ประชาชนหยุดบทบาทลง ทั้งกรมควบคุมโรค (ที่เคยจัดซื้อราว 12 ล้านชิ้น), สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร (ประมาณ 4 ล้านชิ้น) และกองทุนโลก (Global Fund) อีกราว 10 ล้านชิ้น

เมื่อ “ผู้เล่นเดิม” หยุดจ่าย สปสช. จึงต้องรับบทบาทแทน เพื่อไม่ให้ช่องว่างการเข้าถึงการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเสี่ยงเกิดขึ้น

ตัวเลขสากลยังถูกนำมาอ้างอิงในเชิงยุทธศาสตร์สาธารณสุข โฆษก สปสช. ระบุว่า UNAIDS (โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ) ประเมินว่าประเทศไทยควรมีการจัดหาถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อ HIV ราว 200 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งสะท้อนมาตรฐานเชิงสาธารณสุขเชิงป้องกัน ไม่ใช่แค่ตัวเลขงบประมาณ

ในจุดนี้ สปสช. พยายามสื่อสารว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยไม่ใช่เรื่อง “ซื้อเยอะ-แจกไม่หมด” อย่างที่ถูกตั้งคำถามเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่อง “ปิดช่องโหว่ของระบบป้องกันโรค” เมื่อหน่วยงานเดิมหยุดสนับสนุน

โฆษก สปสช. กล่าวย้ำว่า “การจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช. ไม่ได้ทำจำนวนเท่าเดิมทุกปี แต่มีการประเมินยอดคงเหลือก่อนทุกครั้ง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน”

NGOs กับงานเชิงรุก ช่องทางป้องกัน HIV ที่ สปสช. บอกว่าระบบปกติทำแทบไม่ได้

อีกจุดที่ นพ.เอกภพ หยิบขึ้นมาวิจารณ์อย่างหนัก คือการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการให้แก่องค์กรภาคประชาชนหรือ NGO ในการทำงานลงพื้นที่เชิงรุก เช่น การให้คำปรึกษา การคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี การจ่ายถุงยางอนามัย การให้ยาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ HIV (PrEP) หรือหลังสัมผัสเชื้อ HIV (PEP)

เขาตั้งข้อสงสัยว่า การจ่ายเงินลักษณะนี้ “เป็นการจ่ายออกไปนอกหน่วยบริการปกติ” ซึ่งอาจไม่โปร่งใส และตรวจสอบยากกว่าการจ่ายตรงให้โรงพยาบาลและ รพ.สต. (สถานีอนามัย/หน่วยบริการสุขภาพระดับตำบล)

สปสช. ตอบกลับในเชิงยุทธศาสตร์สาธารณสุขว่า บริการเชิงรุกเหล่านี้คือหัวใจสำคัญของการ “ค้นหาและเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง” ที่มักไม่เข้ามาหาที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง เช่น กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนทางเพศ กลุ่มแรงงานบริการบางประเภท หรือกลุ่มที่กังวลเรื่องการตีตราทางสังคม

โฆษก สปสช. ระบุข้อมูลดังนี้

  • งบประมาณรวมด้านบริการสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์อยู่ที่กว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี
  • ในจำนวนนี้ ราว 3,000 ล้านบาท (ประมาณร้อยละ 83) เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาโดยตรง เช่น ค่ายาและค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  • อีกประมาณ 600 ล้านบาท (ร้อยละ 16.3) เป็นงบเชิงป้องกัน เพื่อควบคุมการติดเชื้อรายใหม่

เงินกลุ่มที่สองนี่เองที่ถูกใช้สนับสนุนรูปแบบบริการเชิงรุก ซึ่งรวมถึงการทำงานขององค์กรภาคประชาชน

สปสช. ให้เหตุผลว่า

  1. องค์กรภาคประชาชนที่ได้รับการชดเชยต้องผ่านการอบรมและได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไม่ใช่องค์กรลอยตัว
  2. บริการเชิงรุกนอกสถานบริการทำให้เข้าถึงกลุ่มเสี่ยงได้ถึงร้อยละ 84 ของประชากรเป้าหมายทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าการรอรับที่โรงพยาบาล
  3. งบดำเนินการของกลไกเชิงรุกนี้คิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 5.9 ของงบภาพรวม

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สปสช. มองบทบาท NGO ไม่ใช่ “คู่สัญญารับงบ” แต่เป็น “แขนขาเชิงพื้นที่ของระบบสาธารณสุข” ในกลุ่มที่ระบบปกติเอื้อมไม่ถึง และเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 – 2573 ซึ่งระบุถึงความจำเป็นในการลดการติดเชื้อรายใหม่ และป้องกันการแพร่เชื้อในชุมชนที่เข้าถึงยาก

ประเด็นนี้จึงสะท้อนความต่างเชิงมุมมองอย่างชัดเจน

  • ฝั่งผู้ตั้งคำถาม มองเรื่อง “ความถูกต้องตามกรอบกฎหมายหลักประกันสุขภาพ / ความโปร่งใสในการจ่ายเงิน”
  • ฝั่ง สปสช. มองเรื่อง “ประสิทธิภาพเชิงสาธารณสุขในการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง” และอ้างกรอบยุทธศาสตร์ชาติด้านเอดส์มารองรับ

อย่างไรก็ดี นพ.เอกภพยังตั้งข้อสังเกตในมิติความโปร่งใส ว่าในบางกรณีองค์กรที่ได้รับงบประมาณจำนวนหลายสิบล้านบาทต่อปี เช่น การทำสายด่วนเลิกบุหรี่ กลับไม่มีเว็บไซต์ ไม่มีช่องทางสื่อสารสาธารณะชัดเจน และไม่มีรายงานประจำปีที่เผยแพร่อย่างกว้างขวาง เขาย้ำว่าประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะ “ตัวเลขผลงาน” ของบริการเหล่านี้ถูกนำไปใช้เป็นฐานเบิกงบประมาณจาก สปสช.

นี่คืออีกปมหนึ่งที่ยังไม่ได้คลี่คลายในการชี้แจงปัจจุบัน และยังเป็นคำถามสาธารณะต่อไป

ปมกฎหมาย อำนาจ สปสช. ในการจ่ายเงินให้องค์กรนอกหน่วยบริการปกติ

นอกจากตัวเลขและความคุ้มค่าทางงบประมาณแล้ว นพ.เอกภพยังได้เชื่อมประเด็นเข้าสู่กรอบกฎหมาย โดยระบุว่า การจ่ายเงินให้องค์กรชุมชนหรือมูลนิธิ “อาจไม่สามารถทำได้” หากยึดตามถ้อยคำในพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เนื่องจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อให้ สปสช. จัดสรรงบประมาณแก่ “หน่วยบริการ” ที่ขึ้นทะเบียนในระบบ (เช่น โรงพยาบาล คลินิก หน่วยบริการสาธารณสุข) ไม่ใช่องค์กรชุมชนทั่วไป

เขาระบุว่า เหตุผลที่ สปสช. สามารถอนุมัติการจ่ายงบให้องค์กรภาคประชาชนได้ มาจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 37/2559 ซึ่งเป็นคำสั่งในยุค คสช. ที่ขยายขอบเขตการใช้งบประมาณในลักษณะนี้ รวมถึงคำสั่งที่ 41/2560 ที่ให้อำนาจ สปสช. จัดซื้อยาได้โดยตรง

ในมุมของ นพ.เอกภพ คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “จ่ายเงินถูกหรือผิด” แต่คือ “เราจะยังควรใช้คำสั่ง คสช. เป็นฐานอำนาจทางงบประมาณด้านสุขภาพต่อไปอีกหรือไม่” เพราะหากยกเลิกคำสั่งเหล่านี้ งบประมาณที่ปัจจุบันจ่ายให้องค์กรภาคประชาชนและโครงการจัดซื้อยาบางส่วน อาจถูกส่งตรงสู่โรงพยาบาลภาครัฐเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเขาประเมินรวมกันว่าอาจสูงถึง 30,000 ล้านบาท

จุดนี้สะท้อนการปะทะกันของสองภาพใหญ่ ภาพแรก: ระบบสุขภาพที่พยายาม “ยืดแขน” ไปถึงชุมชน ผ่านการใช้เครือข่ายภาคประชาชน ภาพที่สอง: ระบบงบประมาณภาครัฐที่ต้องตอบคำถามต่อสังคมในภาษา “ความถูกต้องตามกฎหมาย-การตรวจสอบได้-ความโปร่งใส” และนี่คือจุดที่ความขัดแย้งเชิงข้อมูลอาจลุกลามไปสู่ความขัดแย้งเชิงนโยบายในระดับประเทศ

ไม่ใช่แค่ถุงยาง แต่เป็นคำถามถึงทิศทางระบบหลักประกันสุขภาพ

จากข้อมูลทั้งสองฝ่าย มีประเด็นหลักที่สังคมควรจับตาต่อไปอย่างใกล้ชิด ความโปร่งใสของข้อมูล ตัวเลขการจัดซื้อถุงยางอนามัย ตัวเลขการแจกจ่ายจริง ตัวเลขบริการเชิงรุก ตัวเลขการให้คำปรึกษาเลิกบุหรี่ และตัวเลขการคัดกรองเอชไอวี ล้วนเป็นตัวเลขที่ถูกใช้ยืนยัน “ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณ” และในบางกรณีถูกใช้เป็นฐานเบิกจ่ายโดยตรงต่อรัฐ การที่ตัวเลขเดียวกันปรากฏในสองรูปแบบต่างกัน (เช่น 48,672 ครั้ง เทียบกับ 169,610 ครั้ง) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สังคมจะเรียกร้องคำอธิบายแบบตรวจสอบย้อนกลับได้

ต้นทุน-ประโยชน์ของการใช้ NGO เป็นกลไกบริการ

สปสช. ระบุว่า NGO สามารถเข้าถึงกลุ่มเสี่ยงเอชไอวีได้ถึง 84% ในขณะที่ใช้งบประมาณเชิงรุกเพียง 5.9% ของงบด้านเอชไอวี/เอดส์ทั้งหมด ซึ่งถ้ามองเชิงนโยบาย นี่คือความคุ้มค่า แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายวิจารณ์ตั้งคำถามว่า กลไกตรวจสอบคุณภาพงานและปริมาณผลงานขององค์กรเหล่านี้เข้มข้นพอหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อองค์กรบางแห่งไม่มีการสื่อสารสาธารณะให้ตรวจสอบได้ง่ายเหมือนโรงพยาบาลรัฐ

ฐานกฎหมายและความยั่งยืน

โครงการจำนวนมากที่ สปสช. ใช้ในการทำงานเชิงรุก อาศัยคำสั่งหัวหน้า คสช. เป็นกรอบอำนาจ หากประเทศเดินหน้าเข้าสู่โหมดการบริหารปกติเต็มรูปแบบ คำถามคือ ควรปรับ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพฯ เพื่อยืนยันบทบาทงานชุมชนและการป้องกันโรคเชิงรุกให้ถาวร หรือควรดึงงบทั้งหมดกลับเข้าโรงพยาบาลหลักเพื่อให้การตรวจสอบเป็นเส้นตรงมากขึ้น นี่ไม่ใช่ประเด็นเทคนิคทางกฎหมายอย่างเดียว แต่เป็นการกำหนด “หน้าตาของระบบบัตรทอง” ในอีกทศวรรษข้างหน้า

ความเชื่อมั่นของสาธารณชน

ในท้ายที่สุด ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทำงานได้บนความร่วมมือของประชาชนและหน่วยบริการ ถ้าประชาชนเชื่อว่า “ขอถุงยางได้ฟรีจากรัฐ” หรือ “ตรวจเอชไอวีได้โดยไม่ถูกตีตรา” เขาจะกล้าเข้ารับบริการ ถ้าประชาชนเชื่อว่า “งบประมาณถูกใช้โดยสุจริตและตรวจสอบได้” เขาจะยอมปกป้องระบบบัตรทองเมื่อต้องเผชิญแรงกดดันทางการเมือง

โฆษก สปสช. ทิ้งท้ายด้วยสารที่ตั้งใจสื่อถึงประชาชน ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองหรือคนทำงานนโยบายว่า “บริการสนับสนุนถุงยางอนามัย เป็นบริการเพื่อคนไทยทุกคน เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และคุมกำเนิดในกรณีที่ยังไม่พร้อมมีบุตร ประชาชนสามารถขอรับถุงยางอนามัยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลของรัฐ ร้านยา คลินิกเวชกรรม และคลินิกพยาบาลทุกแห่งที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”

ประโยคนี้สะท้อนภาพคู่ขนานชัดเจน

ด้านหนึ่งคือสิทธิด้านสุขภาพเชิงป้องกันที่เป็นรูปธรรมมาก เช่น ถุงยางอนามัย PrEP/PEP การคัดกรองเอชไอวี
อีกด้านหนึ่งคือคำถามที่ยังไม่จบลงง่าย ๆ เกี่ยวกับตัวเลขรายงาน ผลการดำเนินงาน งบประมาณ และความถูกต้องตามกรอบกฎหมาย

กล่าวโดยสรุป ประเด็นที่เริ่มต้นจาก “ถุงยางอนามัย” ได้ขยายไปสู่การตรวจสอบเชิงโครงสร้างของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงสร้างเดียวกันกับที่คนไทยจำนวนมากพึ่งพาในยามเจ็บป่วย ตั้งแต่การคลอดลูกจนถึงการรักษาเอชไอวีระยะยาว และนั่นทำให้คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
  • นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สมการแรงงานชายแดน ทำไมธุรกิจเชียงรายหาคนทำงานไม่ได้ แม้งานว่างนับพันอัตรา?

เมื่อเชียงรายกำลังหาคนทำงาน – แต่ทั้งจังหวัดกลับส่งคนหนุ่มสาวไปทำงานต่างประเทศ ขณะที่รัฐกลางกำลังเผชิญปัญหา “ขาดคนดูแลประชาชน” โดยเฉพาะในระบบสาธารณสุข

เชียงราย,29 ตุลาคม 2568 – นี่คือภาพสะท้อนของตลาดแรงงานไทยในปี 2568 ที่ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่คือสัญญาณเตือนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพการให้บริการประชาชน ในระดับจังหวัด ในระดับภูมิภาค และในระดับประเทศ

บทความนี้รวบรวมข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.), หนังสือกำลังพลภาครัฐ ปีงบประมาณ 2567, รายงานสถานการณ์แรงงานจังหวัดเชียงราย ไตรมาส 4 ปี 2567 ของสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย ตลอดจนถ้อยแถลงล่าสุดจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน (อัปเดตวันที่ 26-27 ตุลาคม 2568) เพื่อฉายภาพ “สมการแรงงานไทย” ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในห้วงเวลาไม่ถึง 5 ปีที่ผ่านมา

ชายแดนเชียงราย — เมืองที่ยังต้องใช้แรงงาน แต่แรงงานท้องถิ่นกำลังหายไป

เชียงรายในปี 2567-2568 ไม่ใช่เพียงจังหวัดท่องเที่ยวหรือเมืองหน้าด่านด้านวัฒนธรรม หากแต่เป็น “ประตูเศรษฐกิจชายแดน” ของภาคเหนือที่เชื่อมไทยกับเมียนมาผ่านอำเภอแม่สายและแม่จัน และเชื่อมไทยกับ สปป.ลาว ผ่านอำเภอเชียงของ ตลอดจนเป็นจุดหมุนเวียนสินค้าของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบนและเส้นทางโลจิสติกส์สู่จีนตอนใต้

เศรษฐกิจนี้สร้างความต้องการแรงงานปฏิบัติการจำนวนมาก ทั้งแรงงานก่อสร้าง แรงงานโลจิสติกส์ คนขับรถบรรทุกหัวลาก ทักษะซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ ตลอดจนแรงงานบริการแนวหน้าที่ต้องติดต่อกับนักท่องเที่ยวและลูกค้าข้ามชาติ โดยเฉพาะในเขตเมืองเชียงราย แม่จัน แม่สาย และเชียงของซึ่งเป็นพื้นที่พาณิชยกรรมสำคัญของจังหวัด

แต่ปัญหาที่เชียงรายเผชิญอยู่ในวันนี้ไม่ใช่ “ไม่มีงานให้ทำ” ตรงกันข้าม สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายระบุว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 จังหวัดมีตำแหน่งงานว่างรวม 1,482 อัตรา (ก่อนหน้านั้นทั้งปีพบตำแหน่งว่างรวมหลักหมื่นอัตรา) แต่มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานในระบบเพียง 1,368 คนในไตรมาสดังกล่าว ตัวเลขนี้สะท้อนช่องว่างอย่างชัดเจนระหว่าง “อุปสงค์แรงงาน” กับ “แรงงานไทยที่ยอมเข้าสู่ระบบจ้างงานทางการ” ซึ่งยังคงต่ำกว่าความต้องการของนายจ้างอย่างมีนัยสำคัญ

ในเวลาเดียวกัน รายงานฉบับเดียวกันยังชี้ว่าแรงงานจำนวนมากในเชียงรายไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงานที่เป็นทางการ แต่ทำงานในฐานะแรงงานนอกระบบสูงถึง 507,372 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 86.25 ของประชากรที่มีงานทำทั้งหมดของจังหวัด และส่วนใหญ่ยังคงผูกพันอยู่กับภาคเกษตรกรรมดั้งเดิม โดยมีแรงงานภาคเกษตรมากกว่า 374,000 คนจากผู้มีงานทำทั้งหมดราว 588,000 คน

กล่าวอีกแบบ หนึ่งจังหวัดมีคนทำงานจำนวนมาก แต่คนจำนวนมหาศาลเหล่านั้นไม่เข้าสู่ตลาดแรงงานทางการ ไม่สมัครทำงานในภาคบริการสมัยใหม่ ไม่เข้าศูนย์บริการรถยนต์ ไม่เข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์ ไม่เข้าสู่ภาคค้าปลีกสมัยใหม่ ทั้งที่ตำแหน่งงานยังว่างอยู่

คำถามเชิงนโยบายจึงไม่ใช่เพียง “ทำไมคนตกงาน” แต่กลับกลายเป็น “ทำไมธุรกิจในเชียงรายหาคนทำงานไม่ได้ แม้อัตราว่างงานทางการของจังหวัดจะอยู่เพียงร้อยละ 0.40 เท่านั้น” (2,368 คน ณ ไตรมาส 3 ปี 2567)

คนเชียงรายจำนวนหนึ่งไม่ตกงาน – แต่ “ย้ายออก”

เมื่อมองลึกลงไปในข้อมูล สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ในไตรมาสเดียวกัน มีแรงงานไทยจากเชียงราย 1,160 คนยื่นคำขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศ และเมื่อดูทั้งปี 2567 ตัวเลขการย้ายออกเพื่อไปทำงานนอกประเทศสูงกว่าสองพันคน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานกึ่งทักษะหรือไร้ทักษะ เช่น งานก่อสร้างและงานรับใช้ในครัวเรือนในต่างประเทศ ซึ่งมีค่าจ้างสูงกว่าในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

นี่คือ “การอพยพทางรายได้” (income migration) คนทำงานไม่ได้ออกจากกำลังแรงงาน แต่ย้ายกำลังแรงงานของตัวเองออกนอกจังหวัดหรือนอกประเทศเพื่อแลกกับรายได้ที่สูงกว่า ในขณะที่ธุรกิจในพื้นที่ยังคงต้องเดินต่อ และจึงหันไปพึ่งแรงงานจากภายนอกมากขึ้น

นั่นทำให้แรงงานต่างด้าวกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจเชียงรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อมูลจากสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมายจำนวน 36,568 คนในไตรมาส 4 ปี 2567 คิดเป็นร้อยละ 6.21 ของแรงงานทั้งหมด โดยแรงงานเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในภาคก่อสร้าง ภาคบริการขั้นพื้นฐาน และงานใช้แรงกายจำนวนมากซึ่งแรงงานท้องถิ่นบางส่วนไม่ต้องการทำ

ยิ่งไปกว่านั้น แรงงานต่างด้าวในเชียงรายจำนวนมากไม่ได้มีสถานะเดียวกันทั้งหมด แต่กระจายอยู่ในหลายฐานะตามกฎหมาย เช่น กลุ่มชนกลุ่มน้อยและผู้ไม่มีสัญชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 63/1 มากถึง 16,999 คน และกลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรี (มาตรา 63/2) รวม 17,349 คน ซึ่งสะท้อนว่ากลไกเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนพึ่งพา “แรงงานข้ามชาติภายใต้มาตรการผ่อนผัน” มากกว่าที่มักเข้าใจกันในภาพรวม

กล่าวโดยสรุป เชียงรายเป็นพื้นที่ที่ “ต้องมีแรงงานข้ามชาติ” เพื่อให้ภาคบริการ ภาคก่อสร้าง และภาคโลจิสติกส์เดินต่อ ในขณะที่แรงงานท้องถิ่นบางส่วนเดินทางไปทำงานข้ามพรมแดนในทิศทางกลับด้านเพื่อหารายได้ที่สูงกว่า

ส่วนกลางเองก็เริ่ม “ไม่มีคน” — โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐ

หากมองออกจากระดับจังหวัดไปยังระดับประเทศ จะพบปรากฏการณ์คู่ขนานที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือรัฐบาลไทยเองกำลังเผชิญโจทย์เรื่อง “กำลังคนภาครัฐ” ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับคุณภาพของบริการสาธารณะ โดยเฉพาะสาธารณสุข การศึกษา การปกครองท้องถิ่น และความปลอดภัยสาธารณะ

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และหนังสือ “กำลังพลภาครัฐ 2567” ระบุว่า ประเทศไทยมี “กำลังคนภาครัฐ” รวมประมาณ 3,004,485 คน ในปีงบประมาณ 2567 หรือราว 3 ล้านคน คิดเป็นประมาณร้อยละ 4.6 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราว 40.5 ล้านคนจากประชากรทั้งประเทศประมาณ 65.95 ล้านคน.

ในจำนวนนี้ “ข้าราชการ” ตามความหมายทางกฎหมายมีอยู่ 1,756,606 คน โดยกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือครูและบุคลากรทางการศึกษา 444,168 คน รองลงมาคือข้าราชการพลเรือนสามัญ 414,088 คน ข้าราชการทหาร 368,711 คน และข้าราชการตำรวจ 213,086 คน. ตัวเลขสะท้อนชัดว่าระบบการศึกษาและระบบความมั่นคงยังคงเป็นเจ้าของกำลังคนจำนวนมากในระบบราชการไทย.

ส่วนอีกกว่า 1.24 ล้านคนคือแรงงานภาครัฐประเภทอื่น เช่น ลูกจ้างชั่วคราว 271,917 คน พนักงานจ้างท้องถิ่น 223,528 คน พนักงานรัฐวิสาหกิจ 214,860 คน และพนักงานราชการ 179,567 คน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ถือเป็น “เครื่องยนต์ปฏิบัติการ” ของภาครัฐในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในบริการสาธารณสุขและบริการเชิงพื้นที่ระดับจังหวัดและอำเภอ.

ตัวเลขดังกล่าวบอกอะไรเรา?
มันบอกว่ารัฐไทยยังเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศ และบุคลากรของรัฐคือคนที่เราพบในชีวิตประจำวัน – ครูในโรงเรียนลูกเรา พยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน ที่ว่าการอำเภอ คนเก็บภาษีท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในด่านชายแดนที่เชียงรายกำลังรับภาระประชากรข้ามแดน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ข้อมูลเชิงโครงสร้างกลับเตือนถึงความเปราะบางที่กำลังขยายตัว

สาธารณสุข” ทั้งบรรจุสูงสุด ทั้งว่างตำแหน่งสูงสุด ทั้งลาออกสูงสุด

ในสายตาของนักนโยบายแรงงาน ตัวเลขที่น่ากังวลที่สุดอยู่ในกลุ่มสาธารณสุข

ตำแหน่งที่ภาครัฐต้องบรรจุมากที่สุด 10 อันดับแรกในปีงบประมาณ 2567 ส่วนใหญ่เป็นวิชาชีพทางการแพทย์ โดยอันดับหนึ่งคือ “พยาบาลวิชาชีพ” 4,372 ตำแหน่ง ตามด้วย “นายแพทย์” 2,194 ตำแหน่ง และ “นักวิชาการสาธารณสุข” 1,025 ตำแหน่ง ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่าระบบสุขภาพสาธารณะยังต้องการคน ทั้งในโรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลอำเภอ รวมถึงโรงพยาบาลชายแดนที่มีภาระการดูแลทั้งคนท้องถิ่นและแรงงานข้ามชาติ.

แต่เมื่อมองไปข้างหน้า กลับพบว่าตำแหน่งว่างที่คาดการณ์ว่าจะยังไม่มีคนทำในอนาคตอันใกล้ก็อยู่ในสายงานเดียวกัน ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพที่คาดว่าจะมีตำแหน่งว่าง 3,439 ตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุข 2,751 ตำแหน่ง และนายแพทย์ 1,882 ตำแหน่ง ขณะที่ในกลุ่มสายปฏิบัติการทั่วไป อันดับหนึ่งของตำแหน่งที่ยังว่างคือ “เจ้าพนักงานธุรการ” 2,011 ตำแหน่ง และ “เจ้าพนักงานสาธารณสุข” 1,753 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนการทำงานแนวหน้าในโรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพ.

ยิ่งกว่านั้น เมื่อดูสถิติ “การสูญเสียบุคลากร” ของข้าราชการพลเรือนสามัญในปีงบประมาณ 2566 พบว่ามีการสูญเสียรวม 19,006 คน แบ่งเป็นการลาออก (47.93%) การเกษียณอายุ (48.66%) การเสียชีวิต (2.38%) และการออกด้วยเหตุผิดวินัย (1.04%).

กระทรวงสาธารณสุขกลายเป็นกระทรวงที่มีตัวเลขโดดเด่นที่สุดในแทบทุกหมวดพร้อมกัน

  • เกษียณอายุ: 4,237 คน มากที่สุดในบรรดากระทรวงทั้งหมด
  • ลาออก: 4,674 คน มากที่สุดเช่นกัน
  • เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่หรือสภาพงาน: 169 คน สูงที่สุดในบรรดาหน่วยงานรัฐ (เทียบกับกระทรวงอื่นที่ตัวเลขหลักสิบหรือต่ำกว่านั้นมาก)
    กระทรวงมหาดไทยตามมาเป็นอันดับสองในหลายตัวเลข แต่ก็ยังต่ำกว่ากระทรวงสาธารณสุขอย่างชัดเจน.

คำอธิบายหนึ่งที่มักถูกพูดในแวดวงบุคลากรสาธารณสุขก็คือ ภาระงานหน้าด่าน สูง ความเสี่ยงสูง คุณภาพชีวิตการทำงานผูกติดกับภารกิจที่ไม่มีวันหยุด ทั้งในเขตเมืองและโดยเฉพาะชายแดน เช่น เชียงราย ที่ต้องรองรับทั้งคนไทย คนต่างด้าวถูกกฎหมาย และผู้ที่ยังไม่มีสถานะทางทะเบียน

หากมองภาพระยะยาว ก.พ. คาดการณ์ว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า “พยาบาลวิชาชีพ” จะเป็นตำแหน่งที่มีการเกษียณอายุมากที่สุดของประเทศ มากถึง 23,725 อัตรา ขณะที่ตำแหน่งด้านธุรการแนวหน้าของหน่วยบริการสาธารณะอย่าง “เจ้าพนักงานธุรการ” ก็จะเกษียณมากกว่า 3,800 อัตรา ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงสำหรับงานสนับสนุนเชิงระบบ.

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนโจทย์เชิงโครงสร้าง
ระบบสุขภาพไทยกำลังจะขาดคนในรุ่นต่อไป ในขณะที่คนรุ่นปัจจุบันกำลังลาออกก่อนเกษียณ

โครงสร้างกำลังคนรัฐ คนเยอะจริงหรือ? หรือแค่กระจุกผิดที่?

อีกหนึ่งคำถามที่สังคมมักตั้งคือ “เรามีข้าราชการเยอะเกินไปหรือไม่”

หากมองในเชิงสัดส่วน จะพบว่ากำลังพลภาครัฐคิดเป็นประมาณร้อยละ 4.6 ของกำลังแรงงานทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับหลายรัฐสวัสดิการขนาดกลางในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการกระจายคนภาครัฐในประเทศไทยไม่ได้สม่ำเสมอ กระจุกตัวอยู่ในบางภารกิจและบางภูมิภาค

ข้อมูลปีงบประมาณ 2567 ชี้ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีข้าราชการฝ่ายพลเรือนมากที่สุดประมาณ 417,445 คน หรือร้อยละ 30.08 ของข้าราชการพลเรือนทั้งหมด ขณะที่ภาคกลางและภาคเหนืออยู่ที่ราวร้อยละ 19.57 และ 17.68 ตามลำดับ ส่วนกรุงเทพมหานครมีข้าราชการฝ่ายพลเรือนราว 177,897 คน หรือ 12.82% ของทั้งหมด.

ตัวเลขนี้ชวนคิดในสองมิติ
มิติแรก — ภาคอีสานและภาคเหนือ (รวมเชียงราย) เป็นพื้นที่ที่รัฐยังต้องปล่อย “คนของรัฐ” ลงไปให้บริการโดยตรง ทั้งการศึกษา ปกครองท้องที่ เกษตร สาธารณสุขขั้นปฐมภูมิ
มิติที่สอง — เมื่อบุคลากรสาธารณสุขและบุคลากรท้องถิ่นในพื้นที่เหล่านี้ลาออกหรือย้ายออก ระบบบริการพื้นฐานของรัฐย่อมสั่นคลอนทันที โดยเฉพาะบริการที่ “แทนกันไม่ได้ง่าย” อย่างพยาบาลฉุกเฉินในโรงพยาบาลชายแดน หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคติดต่อตามช่องทางเข้าเมืองตามแนวชายแดนเชียงราย

นั่นหมายความว่า “การขาดคนในระบบราชการ” ไม่ใช่แค่ปัญหาของส่วนกลางในเชิงงบประมาณบุคลากร แต่เป็นปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนชายขอบ ซึ่งรวมถึงชุมชนจังหวัดชายแดนภาคเหนือ

ย้อนกลับมาที่ชายแดนอีกครั้ง ทำไมเชียงรายจึงกลายเป็นแนวหน้าของนโยบายแรงงานระดับชาติ

เมื่อแรงงานท้องถิ่นจำนวนหนึ่งเลือกออกไปทำงานต่างประเทศ ชั่วโมงเดียวกันเชียงรายกลับต้องพึ่งแรงงานข้ามชาติที่ถูกกฎหมายและกึ่งถูกกฎหมายจำนวนมาก เพื่อคงกิจกรรมทางเศรษฐกิจไว้ แต่โครงสร้างดังกล่าวก็กำลังสร้างแรงเสียดทานทางสังคมอย่างชัดเจน

ในช่วงวันที่ 26-27 ตุลาคม 2568 นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน ระบุว่ากรมฯ ได้สั่งการเชิงรุกให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบแรงงานต่างชาติทั่วประเทศ จากกรณีที่มีการร้องเรียนว่ามีชาวต่างชาติประกอบธุรกิจในลักษณะ “นอมินี” ใช้ชื่อคนไทยบังหน้า และเข้ามาทำอาชีพแข่งขันกับคนไทยอย่างไม่ถูกต้องกฎหมาย เช่น ธุรกิจเช่ารถ ธุรกิจบริการนำเที่ยว และร้านตัดผม โดยระบุพื้นที่ตรวจเข้มพิเศษทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ เกาะสมุย เมืองพัทยา ตลอดจนพื้นที่เศรษฐกิจชายแดน

อธิบดีกรมการจัดหางานย้ำว่า เป้าหมายของการปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่การ “กวาดล้างคนต่างด้าว” แบบไร้เงื่อนไข แต่เพื่อป้องกันไม่ให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในอาชีพที่กฎหมายไทยสงวนไว้ให้คนไทยเท่านั้น และเพื่อไม่ให้การจ้างงานที่ผิดกฎหมายกดค่าแรงหรือเบียดโอกาสการประกอบอาชีพของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดชายแดน

สิ่งที่น่าสนใจคือ “ความเข้มงวดทางกฎหมาย” ที่ประกาศใช้ควบคู่กัน

  • คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานเกินสิทธิที่กฎหมายอนุญาต มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท ต่อคน พร้อมทั้งถูกส่งกลับประเทศต้นทาง และถูกห้ามขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี
  • นายจ้างที่รับแรงงานไม่มีใบอนุญาต หรือปล่อยให้แรงงานต่างด้าวทำงานในอาชีพต้องห้าม ต้องเผชิญโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และหากทำผิดซ้ำ อาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท พร้อมมาตรการห้ามจ้างแรงงานต่างด้าวเป็นเวลา 3 ปี

ประกาศกระทรวงแรงงานยังคงระบุ “40 อาชีพต้องห้ามคนต่างด้าวทำ” ซึ่งครอบคลุมอาชีพระดับฐานรากหลายประเภท เช่น งานขายปลีกย่อยในตลาด งานตัดผมชาย-หญิง งานมัคคุเทศก์ท้องถิ่น หรืองานธุรกิจให้เช่าในพื้นที่ท่องเที่ยวบางรูปแบบ เพื่อคุ้มครองอาชีพของคนไทยโดยตรง

หากมองจากเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนและมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานกว่า 36,000 คน การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงทั้งต่อผู้ประกอบการท้องถิ่น ร้านเช่ารถนำเที่ยว ร้านบริการตัดผม-เสริมสวยในพื้นที่ท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจนำเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและทัวร์ชายแดนที่พึ่งพาบุคลากรที่สื่อสารได้หลายภาษา

คำถามเชิงโครงสร้างจึงตามมาทันที
ถ้ารัฐ “กวาด” อาชีพต้องห้ามออกจากมือแรงงานต่างด้าว แล้วใครจะเข้ามาทำงานแทน?
คำตอบหนึ่งที่รัฐเสนอ คือการจูงใจแรงงานไทยให้กลับเข้าสู่ระบบงานในพื้นที่ ผ่านทั้งการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน การอำนวยความสะดวกให้แรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบที่ถูกกฎหมายภายใต้มติคณะรัฐมนตรี (เช่น มติ ครม. เดือนสิงหาคม 2568 ที่เปิดทางให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานที่ไม่มีสถานะถูกกฎหมาย เพื่อออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี) และการยกระดับทักษะในสาขาขาดแคลน เช่น โลจิสติกส์และบริการด้านพยาบาลผู้ช่วย

กล่าวให้ชัด นี่ไม่ใช่แค่มาตรการ “ไล่จับคนผิดกฎหมาย” แต่คือความพยายามใช้กฎหมายเป็นคันโยกเพื่อรีเซ็ตสมดุลแรงงานชายแดน

ประเทศไทยกำลังอยู่ในสมการซับซ้อน 3 ชั้น

  1. ชั้นประเทศ – รัฐต้องการคนทำงานในระบบราชการ โดยเฉพาะสาธารณสุขและการบริการประชาชนระดับพื้นที่ แต่บุคลากรที่มีอยู่เริ่มลาออกเร็วกว่าที่ระบบจะผลิตคนใหม่เข้ามาทดแทน ขณะที่ตำแหน่งสำคัญอย่างพยาบาลวิชาชีพและนักวิชาการสาธารณสุขกำลังจะขาดแคลนในระดับโครงสร้างภายใน 5-10 ปีข้างหน้า.
  2. ชั้นจังหวัดชายแดน – จังหวัดอย่างเชียงรายยังต้องพึ่งแรงงานต่างด้าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแรงงานในพื้นที่จำนวนหนึ่งไม่เข้าสู่ระบบจ้างงานทางการ และอีกจำนวนหนึ่งเลือกเดินทางไปทำงานต่างประเทศเพื่อรายได้ที่สูงกว่า ขณะที่เศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว การก่อสร้าง และบริการหน้าด่าน ยังเดินอยู่ทุกวัน
  3. ชั้นผู้ประกอบการท้องถิ่น – ผู้ประกอบการในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษชายแดนจำเป็นต้องรักษาต้นทุนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ในตลาดภูมิภาค ซึ่งกดดันให้พึ่งแรงงานต้นทุนต่ำและยืดหยุ่นสูง บางส่วนจึงหันไปใช้แรงงานต่างด้าวในอาชีพบางประเภท แม้จะเสี่ยงต่อการถูกตีความว่า “แย่งงานคนไทย” และถูกจัดอยู่ในอาชีพสงวนตามกฎหมาย

ความขัดแย้งที่ดูเหมือนเป็นการเมืองเรื่องอาชีพในพื้นที่ชายแดน จึงแท้จริงแล้วเป็นผลสะสมจากโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย อัตราการเกิดต่ำลง แรงงานรุ่นใหม่ไม่ยึดติดกับงานประเภทใช้แรงกายซ้ำซาก แรงงานรุ่นกลางอายุจำนวนหนึ่งต้องการค่าตอบแทนสูงขึ้นหรือการปรับทักษะใหม่ (re-skill / up-skill) ขณะที่แรงงานต่างด้าวจำนวนมากยินดีทำงานหนักด้วยค่าแรงที่แข่งขันได้เพราะยังมองเห็นโอกาสในฝั่งไทยมากกว่าที่บ้านเกิด

3 ล้านคนที่ต้องดูแลประเทศทั้งประเทศ

ข้อมูลล่าสุดจากฐานข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) และหนังสือกำลังพลภาครัฐ ปีงบประมาณ 2567 ระบุว่า ประเทศไทยมี “กำลังคนภาครัฐ” รวมทั้งสิ้น 3,004,485 คน หรือประมาณ 3.00 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 4.60 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศ

หากเทียบกับโครงสร้างประชากร ประเทศไทยมีประชากร 65.95 ล้านคนในปี 2567 (และประมาณ 71.6 ล้านคนในปี 2568 ตามฐานข้อมูลคาดการณ์ที่นำมาอ้างอิง) โดยในจำนวนประชากรทั้งหมด มีผู้ที่อยู่ในวัยแรงงาน 40.54 ล้านคน หรือร้อยละ 61.47 ของประชากรทั้งประเทศ นั่นหมายความว่า ในแรงงานทุก ๆ 100 คน มีเพียงประมาณ 4-5 คนเท่านั้นที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ “แรงงานภาครัฐ” ซึ่งครอบคลุมทั้งครู หมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่การคลัง วิศวกร โยธา เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ธุรการในหน่วยงานย่อยระดับอำเภอและตำบล

ตัวเลข 3 ล้านคนนี้ ไม่ใช่เพียงข้าราชการในความหมายปกติแบบ “คนใส่เครื่องแบบสีกากี” เท่านั้น แต่ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  1. กลุ่มข้าราชการ รวม 1,756,606 คน
    กลุ่มนี้คือโครงสร้างดั้งเดิมของภาครัฐ ประกอบด้วย
    • ครูและบุคลากรทางการศึกษา 444,168 คน
    • ข้าราชการพลเรือนสามัญ 414,088 คน
    • ทหาร 368,711 คน
    • ตำรวจ 213,086 คน
    • พนักงานส่วนตำบล 83,137 คน
    • พนักงานเทศบาล 70,367 คน
    • ครูส่วนท้องถิ่น 53,574 คน
    • บุคลากรกรุงเทพมหานคร 35,126 คน
    • ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด 27,833 คน
    • บุคลากรในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เช่น หน่วยงานด้านตุลาการ อัยการ องค์กรตรวจสอบ 26,364 คน
    • พลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา 9,408 คน
    • ตุลาการ 5,297 คน
    • อัยการ 4,257 คน
    • รัฐสภาสามัญ 3,164 คน
  2. กลุ่มประเภทอื่น (ไม่ได้อยู่ในสถานะ “ข้าราชการ” ตามพ.ร.บ.ข้าราชการ) รวม 1,247,879 คน
    นี่คือแรงงานที่สังคมมักมองข้าม แต่แบกรับงานหน้างานจำนวนมาก เช่น
    • ลูกจ้างชั่วคราว 271,917 คน
    • พนักงานจ้าง 223,528 คน
    • พนักงานรัฐวิสาหกิจ 214,860 คน
    • พนักงานราชการ 179,567 คน
    • พนักงานมหาวิทยาลัย 136,859 คน
    • พนักงานกระทรวงสาธารณสุข 121,285 คน
    • ลูกจ้างประจำ 82,111 คน
    • พนักงานองค์การมหาชน 13,598 คน

หากมองเชิงนโยบาย กลุ่มที่ไม่ใช่ข้าราชการเหล่านี้คือแรงงาน “ยืดหยุ่น” ของรัฐ เป็นกำลังที่ถูกจ้างเพิ่มเพื่ออุดช่องว่างของโครงสร้างข้าราชการประจำ โดยเฉพาะในภารกิจบริการสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล สาธารณสุขชุมชน งานพัฒนาสังคม และงานปฏิบัติการเชิงพื้นที่ ซึ่งสะท้อนความจริงอย่างหนึ่งว่า ระบบราชการไทยยุคใหม่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย “ข้าราชการประจำเท่านั้น” อีกต่อไป

ครูมากที่สุด แต่สาธารณสุขคือด่านหน้า

ในจำนวนข้าราชการทั้งหมด กลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือ “ครูและบุคลากรทางการศึกษา” 444,168 คน ตามมาด้วยพลเรือนสามัญ 414,088 คน และทหาร 368,711 คน

การที่ครูอยู่ในกลุ่มใหญ่ที่สุด ชี้ให้เห็นว่ารัฐไทยยังคงวางน้ำหนักเชิงโครงสร้างไว้ที่ระบบการศึกษาในฐานะบริการสาธารณะพื้นฐานระดับชาติ โรงเรียนยังต้องมีครูประจำการในทุกตำบล เด็กยังต้องเข้าถึงครูประจำชั้นและชั้นเรียนสาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

แต่เมื่อลงรายละเอียดเชิง “ทักษะวิชาชีพเฉพาะทาง” กลับพบภาพอีกแบบหนึ่ง — ภาครัฐกำลังพึ่งพาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างเข้มข้น ทั้งในมิติของการ “บรรจุ” (คือการรับคนเข้าใหม่) และในมิติของ “ตำแหน่งว่างที่ยังหาไม่ได้”

ข้อมูลการบรรจุอัตรากำลังระบุว่า 10 อันดับตำแหน่งงานที่มีการบรรจุมากที่สุดประเภทวิชาการในปีงบประมาณ 2567 ได้แก่

  1. พยาบาลวิชาชีพ 4,372 คน
  2. นายแพทย์ 2,194 คน
  3. นักวิชาการสาธารณสุข 1,025 คน
  4. นิติกร 531 คน
  5. นักวิชาการพัฒนาชุมชน 484 คน
  6. นักจัดการงานทั่วไป 474 คน
  7. ทันตแพทย์ 437 คน
  8. นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 436 คน
  9. นักวิชาการเงินและบัญชี 428 คน
  10. นักทรัพยากรบุคคล 277 คน

หากพิจารณาเฉพาะ 3 อันดับแรก จะเห็นว่าทั้งหมดเป็นตำแหน่งด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ซึ่งหมายความว่า “ถ้ารัฐต้องรับคนเข้าระบบวันนี้ รัฐกำลังเลือกบรรจุคนเพื่อรักษาชีวิตประชาชนก่อนเรื่องอื่น”

ในฝั่งตำแหน่งประเภททั่วไป (ไม่ใช่วิชาชีพเฉพาะ) 10 อันดับแรกที่มีการบรรจุมากที่สุด ได้แก่

  1. เจ้าพนักงานธุรการ 958 คน
  2. เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ 683 คน
  3. เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี 517 คน
  4. นายช่างโยธา 406 คน
  5. เจ้าพนักงานสรรพากร 388 คน
  6. นายช่างรังวัด 345 คน
  7. เจ้าพนักงานเภสัชกรรม 205 คน
  8. เจ้าพนักงานพัสดุ 134 คน
  9. เจ้าพนักงานสรรพสามิต 132 คน
  10. เจ้าพนักงานขนส่ง 104 คน และนายช่างไฟฟ้า 104 คน

จะเห็นว่าหน่วยงานบริการสาธารณะ “เชิงพื้นที่และเชิงโครงสร้าง” ทั้งเรือนจำ การเงินการคลังท้องถิ่น โยธา โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ และภาษีท้องถิ่น ยังคงต้องการคนจำนวนมากเช่นกัน

แต่ตำแหน่งว่างก็ยังเป็นกลุ่มเดิม — สาธารณสุขนำโด่ง

เมื่อดู “ตำแหน่งที่ยังว่างและต้องการบรรจุ” หรือพูดง่าย ๆ ว่า งานที่มีคนรออยู่แต่ยังไม่มีคนไปทำ พบว่าเป็นภาพที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน

ประเภทวิชาการที่มีตำแหน่งว่างสูงสุด 10 อันดับ ได้แก่

  1. พยาบาลวิชาชีพ 3,439 ตำแหน่ง
  2. นักวิชาการสาธารณสุข 2,751 ตำแหน่ง
  3. นายแพทย์ 1,882 ตำแหน่ง
  4. เจ้าพนักงานปกครอง 1,272 ตำแหน่ง
  5. นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 1,005 ตำแหน่ง
  6. ทันตแพทย์ 825 ตำแหน่ง
  7. นิติกร 823 ตำแหน่ง
  8. นักจัดการงานทั่วไป 682 ตำแหน่ง
  9. นักวิชาการเงินและบัญชี 740 ตำแหน่ง
  10. นักตรวจสอบภาษี 590 ตำแหน่ง

ส่วนประเภททั่วไป ได้แก่

  1. เจ้าพนักงานธุรการ 2,011 ตำแหน่ง
  2. เจ้าพนักงานสาธารณสุข 1,753 ตำแหน่ง
  3. เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี 1,101 ตำแหน่ง
  4. เจ้าพนักงานสรรพากร 522 ตำแหน่ง
  5. เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข 483 ตำแหน่ง
  6. นายช่างโยธา 470 ตำแหน่ง
  7. เจ้าพนักงานพัสดุ 377 ตำแหน่ง
  8. นายช่างสำรวจ 295 ตำแหน่ง
  9. นายช่างไฟฟ้า 289 ตำแหน่ง
  10. นายช่างเครื่องกล 280 ตำแหน่ง

คำถามที่ตามมาคือ ถ้าพยาบาลจำเป็นต่อชีวิตประชาชน ทำไมตำแหน่งว่างของพยาบาลจึงยังสูงขนาดนี้?

สำนักงาน ก.พ. ยังประเมินแนวโน้มในอีก 10 ปีข้างหน้า พบว่า “พยาบาลวิชาชีพ” เป็นตำแหน่งที่จะเกษียณอายุสูงที่สุด คาดว่ามีมากถึง 23,725 คน ตามด้วย “นักวิชาการสาธารณสุข” 5,589 คน และ “นายแพทย์” 2,368 คน นั่นหมายความว่า ไม่ใช่แค่ปัจจุบันที่ขาดคน แต่ในอนาคตอันใกล้ เราอาจยิ่งขาดหนักกว่าเดิม

ความเป็นจริงนี้ตีคู่กับแรงกดดันภาคสนามที่สะท้อนออกมาชัดที่สุดใน “กระทรวงสาธารณสุข” ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่สูญเสียกำลังคนสูงสุด ทั้งจากการเกษียณ การลาออก และแม้กระทั่งการเสียชีวิต

แรงกดดันในกระทรวงสาธารณสุข คนออกมากกว่าคนเกษียณ

ข้อมูลปีงบประมาณ 2566 ระบุว่าการสูญเสียกำลังคนของข้าราชการพลเรือนสามัญอยู่ที่ 19,006 คน แบ่งเป็น

  • ลาออก 47.93%
  • เกษียณอายุ 48.66%
  • เสียชีวิต 2.38%
  • ออกด้วยเหตุผิดวินัย 1.04%

เมื่อแยกรายกระทรวง พบความแตกต่างที่น่าจับตา

กระทรวงสาธารณสุขมีข้าราชการเกษียณอายุ 4,237 คน ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาทุกกระทรวง และยังมีข้าราชการ “ลาออก” สูงถึง 4,674 คน มากกว่าตัวเลขเกษียณเสียอีก ในขณะที่กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกระทรวงหลักด้านการบริหารพื้นที่ มีข้าราชการเกษียณอายุ 1,094 คน ลาออก 988 คน แต่สะดุดตาตรงตัวเลข “ออกด้วยเหตุผิดวินัย” ที่สูงสุด 49 คน

การที่บุคลากรสาธารณสุขลาออกมากเกษียณ เป็นสัญญาณถึงภาระงาน ความเหนื่อยล้า และปัจจัยความอยู่รอดทางอาชีพในระยะยาว เช่น ความก้าวหน้าในตำแหน่ง ความมั่นคงรายได้ และความสมดุลชีวิต-งาน

นี่ไม่ใช่ตัวเลขเชิงโครงสร้างเฉพาะกรุงเทพฯ แต่กระจายไปถึงจังหวัดชายแดนเช่นเชียงราย ซึ่งต้องรองรับทั้งคนไทย นักท่องเที่ยว และแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ ซึ่งหลายคนไม่มีหลักประกันสุขภาพตามระบบปกติ โรงพยาบาลชายแดนบางแห่งจึงต้องรับภาระต้นทุนการรักษาที่เรียกเก็บไม่ได้ในระดับหลายพันล้านบาทต่อปีในภาพรวม

กล่าวอีกแบบ เราอาศัยระบบสาธารณสุขเป็นด่านหน้า ทั้งด้านสาธารณสุขชุมชน ด้านความมั่นคงชายแดน และด้านมนุษยธรรม แต่คนที่อยู่ด่านหน้ากำลังไหลออกจากระบบ

ข้าราชการกระจุกตัวที่ไหน? ใครดูแลใคร?

เมื่อดูเชิงพื้นที่ สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า ข้าราชการฝ่ายพลเรือนของไทยกระจุกตัวมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 417,445 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 30.08 ของข้าราชการพลเรือนทั้งหมด รองลงมาคือ ภาคกลาง 271,603 คน (19.57%) ภาคเหนือ 245,392 คน (17.68%) ภาคใต้ 216,093 คน (15.57%) กรุงเทพมหานคร 177,897 คน (12.82%) และน้อยที่สุดคือภาคตะวันออก 58,518 คน (4.22%)

ตัวเลขนี้สะท้อนสองมิติพร้อมกัน

หนึ่ง ภาครัฐยังวางน้ำหนักด้านกำลังคนไว้กับจังหวัดนอกเมืองหลวงอย่างจริงจัง โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งรวมถึงจังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย นั่นหมายถึง รัฐรู้ว่าการให้บริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน—โรงเรียน อนามัย โรงพยาบาลชุมชน ที่ว่าการอำเภอ—ต้องเข้าถึงได้แม้ในพื้นที่ห่างไกล

สอง จำนวนบุคลากรไม่ได้แปลว่า “มีพอ” เสมอไป เพราะลักษณะพื้นที่ชายแดนมีความซับซ้อนกว่าเชิงจำนวน เช่น เชียงรายอาจไม่ได้มีขนาดประชากรเท่ากรุงเทพฯ แต่มีแรงงานเคลื่อนย้ายข้ามแดนทุกวัน ทั้งแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย แรงงานผ่อนผันสถานะตามนโยบายรัฐ และแรงงานที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ทำให้ความต้องการบริการรัฐ (ตั้งแต่สาธารณสุขถึงงานทะเบียนราษฎร) สูงกว่าที่ตัวเลขประชากรทางการสะท้อน

ข้อมูลแรงงานจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่าจังหวัดมีประชากรรวมประมาณ 1,297,483 คน และมีกำลังแรงงานจำนวนมากถึง 507,372 คนที่จัดอยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบ คิดเป็นถึงร้อยละ 86.25 ของผู้มีงานทำทั้งหมด กล่าวคือ ประชากรทำงานส่วนใหญ่ของเชียงรายไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมปกติ ไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงานที่มีสัญญาชัดเจน ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขสวัสดิการตามกฎหมายแรงงาน

ในเวลาเดียวกัน เชียงรายยังพึ่งพาแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานตามกฎหมายมากถึง 36,568 คน (ปี 2567) โดยแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เป็นกำลังหลักในภาคการผลิต การก่อสร้าง การค้าชายแดน และบริการพื้นฐาน เช่น ร้านอาหาร โรงแรม งานยกของ งานขนส่ง

คำถามเชิงนโยบายจึงเกิดขึ้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า “ใครคือคนที่ระบบราชการต้องดูแลจริง ๆ”
คือเฉพาะคนสัญชาติไทยเท่านั้นหรือ?
หรือรวมแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานเลี้ยงเศรษฐกิจจังหวัดชายแดน?
หรือรวมครอบครัวของแรงงานที่พาลูกหลานเข้ามาด้วยแต่ไม่มีสิทธิในระบบสวัสดิการสาธารณะ?

ทุกคำถามนี้ สุดท้ายตกไปที่กลุ่มวิชาชีพสาธารณสุขหน้าเส้นชายแดน

เชียงราย เขตเศรษฐกิจพิเศษแรงงาน แต่แรงงานไทยย้ายออกไปทำงานต่างประเทศ

ในภาพรวมโครงสร้างตลาดแรงงานเชียงราย ปี 2567-2568 พบความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างรุนแรง (structural imbalance) กล่าวคือ ความต้องการแรงงาน (ตำแหน่งงานว่างที่ประกาศอย่างเป็นทางการ) มีมากถึง 12,254 อัตราในรอบปี แต่มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานตลอดทั้งปีเพียง 1,197 คนเท่านั้น ช่องว่างมากกว่า 10 เท่าเช่นนี้บ่งชี้ว่า ปัญหาไม่ใช่ “ไม่มีงานให้ทำ” แต่คือ “ไม่มีคนไทยยอมเข้าไปทำงานในเงื่อนไขที่เสนอ”

จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาคธุรกิจในเชียงราย ทั้งโลจิสติกส์ การค้าชายแดน การบริการยานยนต์ การพาณิชย์ปลีก ไปจนถึงบริการสินเชื่อและการเร่งรัดหนี้สิน ต้องอาศัยแรงงานข้ามชาติเข้ามาเติมเต็มตำแหน่งในระดับปฏิบัติการ ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพชายแดน—ทั้งของรัฐและเอกชน—ก็รับสมัครบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อพบว่า ในปี 2567 มีแรงงานไทยในเชียงรายไม่น้อยกว่า 2,085 คน ยื่นคำขอไปทำงานต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นงานไร้ทักษะหรือทักษะกึ่งฝีมือ เช่น งานก่อสร้างและงานในครัวเรือนในต่างประเทศ ปรากฏการณ์นี้อธิบายได้ด้วยคำว่า “การอพยพทางรายได้” (income migration) เมื่อค่าจ้างในพื้นที่ชายแดนไม่สามารถแข่งขันกับค่าจ้างในต่างประเทศ คนวัยทำงานในพื้นที่จึงเลือกเดินออก

ผลลัพธ์คืออะไร?

  1. ธุรกิจท้องถิ่นขาดแรงงานไทย
  2. ต้องหันไปจ้างแรงงานข้ามชาติ
  3. ความรู้สึกของชุมชนบางส่วนคือ “ต่างด้าวมาแย่งงาน”
  4. ภาครัฐถูกกดดันให้เข้มงวดการตรวจคนต่างด้าวและอาชีพต้องห้าม
  5. แต่ในอีกมุมหนึ่ง รัฐก็ผ่อนผันให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเดินต่อ

นี่คือความย้อนแย้งเชิงนโยบายที่เชียงรายกำลังเผชิญอยู่ทุกวัน

ความกดดันนโยบาย ควบคุม หรือผ่อนผัน?

ในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ดำเนินการสองทางพร้อมกันในช่วงปีงบประมาณล่าสุด

ด้านหนึ่ง กระทรวงแรงงานและหน่วยงานความมั่นคงชายแดนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว โดยย้ำการบังคับใช้ 40 อาชีพต้องห้ามของคนต่างด้าว และเตือนโทษทั้งจำทั้งปรับสำหรับทั้งแรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตและนายจ้างที่รับเข้าทำงานโดยฝ่าฝืน เพื่อปกป้องอาชีพที่สงวนไว้ให้คนไทยและลดความตึงเครียดทางสังคม

แต่อีกด้านหนึ่ง คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เปิดทางให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ที่ยังไม่มีเอกสารถูกต้อง เพื่อให้แรงงานเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสุขภาพ เก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (ไบโอเมตริกซ์) และรับใบอนุญาตทำงานชั่วคราว 1 ปีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

กล่าวอีกมุม มตินี้สะท้อนการปรับท่าทีของรัฐจาก “การจัดการความมั่นคงสังคมด้วยการกวาดล้าง” ไปสู่ “การจัดการความมั่นคงเศรษฐกิจด้วยการทำให้แรงงานอยู่บนโต๊ะกฎหมาย”

นี่คือสัญญาณเชิงนโยบายที่สำคัญ เพราะยอมรับกลาย ๆ ว่า เศรษฐกิจชายแดนไทย โดยเฉพาะจังหวัดอย่างเชียงราย ไม่สามารถเดินต่อได้โดยไม่มีแรงงานข้ามชาติ

แล้วทั้งหมดนี้เชื่อมกับโครงสร้างข้าราชการอย่างไร?

คำตอบอยู่ที่ “ความสามารถของภาครัฐในการรองรับความเปลี่ยนแปลงเชิงประชากร”

หนึ่ง ภาครัฐกำลังจะเสียบุคลากรสำคัญจำนวนมากภายใน 10 ปี โดยเฉพาะในระบบสาธารณสุข ขณะเดียวกันความต้องการใช้บริการสาธารณสุข โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน กลับไม่ลดลง ตรงกันข้าม มีแต่จะเพิ่มขึ้นจากการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติและการสูงวัยของคนไทยเอง

สอง แรงงานในระบบราชการใหม่ อายุแรกบรรจุไม่ได้เริ่ม “หนุ่มสาวเสมอไป” เพราะข้อมูลระบุว่า อายุแรกบรรจุเฉลี่ยของข้าราชการในหลายกระทรวงอยู่ช่วงประมาณ 28-35 ปี เช่น กระทรวงการต่างประเทศเฉลี่ย 28 ปี กระทรวงสาธารณสุขเฉลี่ย 28 ปี กระทรวงยุติธรรมเฉลี่ย 35 ปี และมีกรณีแรกบรรจุที่อายุมากสุดถึง 59 ปีในบางหน่วยงาน นี่แปลว่า ภาครัฐกำลังดึงทั้งคนรุ่นใหม่และคนวัยกลางคนเข้าสู่ระบบ พร้อมกัน เพื่ออุดช่องว่างที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

สาม ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปถึงร้อยละ 60.52 และระดับปริญญาโทอีก 21.75% แต่แรงงานที่จะรองรับเศรษฐกิจชายแดนระดับปฏิบัติการจำนวนมากในเชียงรายกลับเป็นแรงงานนอกระบบและแรงงานข้ามชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งไม่มีหลักฐานการศึกษาในระบบไทย ทำให้ “ทักษะ” และ “วุฒิการศึกษา” ที่รัฐพยายามพัฒนา อาจยังไม่เชื่อมกับความต้องการแรงงานเชิงพื้นที่

นี่คือโจทย์เชิงยุทธศาสตร์ จะทำอย่างไรให้โครงสร้างกำลังคนภาครัฐขนาด 3 ล้านคน (ส่วนใหญ่ถือปริญญาตรีขึ้นไป) ช่วยยกระดับระบบเศรษฐกิจที่พึ่งแรงงานระดับปฏิบัติการซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบและต่างด้าว โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และไม่สร้างความตึงเครียดในชุมชน?

ทางไปข้างหน้า โครงสร้างกำลังคนภาครัฐต้องปรับอย่างไร

จากข้อมูลเชิงโครงสร้างทั้งหมด หน่วยงานด้านแรงงานและภาครัฐในพื้นที่เสนอแนวทางหลัก 3 ด้านซึ่งสะท้อนแนวโน้มเชิงนโยบายในระดับจังหวัดและระดับประเทศ คือ

  1. เร่งพัฒนาทักษะที่การันตีการจ้างงานทันที
    โมเดลฝึกอบรมเชิงรุก เช่น หลักสูตรขับรถลากจูง (โดยเฉพาะการขนส่งวัตถุอันตราย) หรือหลักสูตรควบคุมรถยกสินค้าขนาดไม่เกิน 10 ตัน ของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติเชียงแสน พบว่าสามารถจัดหางานให้ผู้ผ่านการอบรมได้เต็ม 100% ทันทีหลังจบหลักสูตร สะท้อนว่าหากรัฐ-เอกชนร่วมกันออกแบบทักษะให้ตรงกับซัพพลายเชนชายแดนจริง ๆ ไม่ใช่แค่คำว่า “ยกระดับฝีมือแรงงาน” บนกระดาษ โอกาสการจ้างงานในพื้นที่ยังมีอยู่มาก
  2. พัฒนาทักษะภาษา-บริการ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์
    ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในเชียงราย โดยเฉพาะกลุ่มโฮมสเตย์ ไร่กาแฟ ไร่ชา และท่องเที่ยวชุมชนในอำเภอแม่จัน แม่สาย แม่สรวย ระบุว่าปัญหาไม่ใช่ “ไม่มีนักท่องเที่ยว” แต่คือ “สื่อสารกับนักท่องเที่ยวไม่ได้” ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการขายเรื่องราว วัฒนธรรม วิถีเกษตรคุณภาพสูง และสินค้าแปรรูป มหาวิทยาลัยในพื้นที่จึงเริ่มจัดคอร์สภาษาอังกฤษเชิงปฏิบัติ (functional English) แบบเข้มข้นเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน เช่น อธิบายวิธีชงชา วิธีคั่วกาแฟ ความหมายของพันธุ์กาแฟท้องถิ่น ฯลฯ นี่ไม่ใช่แค่การสอนภาษา แต่คือการยกระดับอำนาจต่อรองรายได้ของชุมชน
  3. จัดการแรงงานข้ามชาติด้วยหลักความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก
    เส้นแบ่งระหว่าง “แรงงานต่างด้าวที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจ” กับ “แรงงานต่างด้าวที่ถูกมองว่าแย่งอาชีพคนไทย” กำลังบางลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน รัฐจึงเริ่มขยับจากการมองแรงงานข้ามชาติเป็นเพียง “ปัญหาความมั่นคง” มาสู่การมองว่าเป็น “ทุนมนุษย์ชั่วคราวที่ควรอยู่ในระบบภาษีและระบบสวัสดิการขั้นต่ำ” เพื่อควบคุม ติดตาม และวางแผนร่วมกันในระยะยาว การผ่อนผันให้ขึ้นทะเบียนแรงงานไม่มีสถานะถูกกฎหมายจึงต้องถูกมองว่าเป็นการวางโครงสร้างกำกับ ไม่ใช่การปล่อยเสรี

โครงสร้างกำลังคนภาครัฐไทยในปัจจุบันคือโครงสร้างที่กำลังถูกท้าทายจากหลายทิศทางพร้อมกัน

  • ระบบการศึกษายังต้องใช้ “ครู” จำนวนมากที่สุดในประเทศ เพื่อประคองสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กทุกคน
  • ระบบสาธารณสุขกำลังเป็นเสาหลักทั้งด้านการแพทย์ การสาธารณสุขชุมชน และความมั่นคงชายแดน แต่กลับเป็นวิชาชีพที่ทั้งถูกบรรจุมากที่สุด ขาดแคลนมากที่สุด และกำลังจะเกษียณมากที่สุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
  • จังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย ซึ่งเป็นด่านหน้าทั้งเศรษฐกิจชายแดน การท่องเที่ยว และการเคลื่อนย้ายแรงงาน กำลังเผชิญช่องว่างเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน ตำแหน่งงานว่างนับหมื่น แต่คนไทยสมัครเพียงหลักพัน ขณะที่แรงงานต่างด้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ภายใต้สายตาจับตามองของชุมชนท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐ
  • ในอีกฟากหนึ่ง ข้าราชการและบุคลากรของรัฐเองก็เผชิญภาระงานหนักขึ้น โดยเฉพาะในสาธารณสุขและงานบริการเชิงพื้นฐาน และบางส่วนเลือก “ลาออกก่อนเกษียณ” ซึ่งสะท้อนความเหนื่อยล้าและปัญหาเชิงแรงจูงใจในอาชีพ

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนกระดาษ แต่เป็นคำถามเชิงอนาคตของประเทศว่า “เราจะมีใครยืนอยู่ด่านหน้าดูแลสังคมไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า” โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งเป็นแนวหน้าในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนอย่างเชียงราย

โจทย์ของรัฐจึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนคนในระบบ แต่คือการบริหาร “คุณภาพงาน-คุณภาพชีวิต-คุณภาพบริการ” ไปพร้อมกัน เพื่อให้กำลังคนภาครัฐ 3 ล้านคนที่เหลืออยู่ สามารถแบกภารกิจของประเทศต่อไปได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าวไทยพับลิก้า
  • สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย / กระทรวงแรงงาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

หลักฐานจากแม่น้ำ! “เอี่ยนหู” โผล่เชียงของหลังหาย 20 ปี ตอกย้ำวิกฤตเขื่อน-การบริหารน้ำโขง

เชียงราย “เอี่ยนหู” กลับมาหลังหายไป 20 ปี – ปลาตูหนาหนัก 2.2 กิโลกรัมโผล่เชียงของ จุดประกายคำถามใหญ่ต่ออนาคตแม่น้ำโขง และแรงกดดันเขื่อนพลังน้ำ

เชียงราย, 26 ตุลาคม 2568 – ปลาที่ไม่มีใครคิดว่าจะเห็นอีก การจับปลาตูหนา (Anguilla bicolor) หรือ “เอี่ยนหู” ได้จากแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องแปลกประหลาดของชาวประมงพื้นบ้าน แต่กำลังกลายเป็นหลักฐานเชิงนิเวศที่ตั้งคำถามกลับไปยังระบบบริหารจัดการแม่น้ำโขงทั้งสาย ว่าการสร้างเขื่อน การควบคุมระดับน้ำ และการใช้ประโยชน์ทางการค้าในปลายน้ำ กำลังผลักสัตว์น้ำอพยพระยะไกลให้ “สูญพันธุ์เชิงหน้าที่” ในตอนบนของลุ่มน้ำโขงหรือไม่ ขณะที่เชียงรายกำลังจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงปลายพฤศจิกายนนี้ ชาวบ้านตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ต่างรุมดู “ปลาแปลก” ที่ชาวประมงพื้นบ้านจับได้บริเวณหาดแฮ่ จุดหาปลาริมชายแดนไทย–ลาว ปลาตัวนั้นไม่ใช่ปลาบึก ไม่ใช่ปลากระเบนยักษ์ แต่เป็นปลาไหลรูปร่างอวบป้อม ผิวสีน้ำตาลอ่อน ครีบออกสีคล้ำ ท้องสีขาว น้ำหนักกว่า 2.2 กิโลกรัม “เอี่ยนหู” คนเฒ่าเรียกแบบนั้น

 

ชื่อในภาษาวิชาการคือ “ปลาตูหนา” หรือ Anguilla bicolor ปลาสองน้ำที่ขึ้นชื่อว่าหายากที่สุดชนิดหนึ่งของแม่น้ำโขงตอนบน และแทบไม่มีใครในพื้นที่ได้เห็นของจริงมานานเกือบสองทศวรรษ

“ในรอบ 20 ปี ไม่มีใครเจอของจริงแถวนี้แล้ว” หนึ่งในคนหาปลาท้องถิ่นเล่ายืนยันพร้อมน้ำเสียงครึ่งตื่นเต้นครึ่งเกรงใจธรรมชาติ เพราะในความเชื่อท้องถิ่น ปลาตูหนาเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพญานาค บางคนไม่กล้ากิน ไม่กล้าเก็บ และมีธรรมเนียม “ต้องปล่อย” ด้วยซ้ำ ด้านหนึ่ง นี่คือเรื่องเล่าในชุมชนริมโขงอีกด้านหนึ่ง นักอนุรักษ์และนักวิจัยสิ่งแวดล้อมบอกว่า “นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังที่สุดในรอบหลายปี”

ปลาตูหนา สัตว์ดัชนีของแม่น้ำที่ยังเชื่อมถึงทะเล

ปลาตูหนาไม่ใช่ปลาธรรมดาในเชิงนิเวศ เพราะมันเป็น “ปลาสองน้ำ” (catadromous / diadromous) ที่มีวงจรชีวิตซับซ้อนกว่าปลาแม่น้ำทั่วไป

  • วางไข่ในทะเลหรือน้ำเค็ม
  • เมื่อตัวอ่อนฟัก (ระยะ glass eel) จะอพยพทวนน้ำขึ้นแม่น้ำจืด ใช้ชีวิตเติบโตหลายปีในแหล่งน้ำลึก วังน้ำ พื้นก้นแม่น้ำ
  • เมื่อถึงวัยสืบพันธุ์ (yellow eel / silver eel) จึงจะอพยพกลับลงสู่ทะเลอีกครั้ง เพื่อผสมพันธุ์และวางไข่

กล่าวง่าย ๆ ปลาตูหนาต้องการ “แม่น้ำที่ไม่ถูกตัดขาดจากทะเล” จึงจะมีชีวิตครบวงจรได้ เพราะฉะนั้น การที่ยังพบปลาตูหนาขนาดกว่า 2 กิโลกรัมในเชียงของ ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่ใกล้ทะเลหลายพันกิโลเมตร แปลความได้สองทางที่ขัดแย้งกันเองอย่างน่าคิด ระบบนิเวศแม่น้ำโขงยังไม่ตายสนิท ยังเหลือช่องทางการอพยพให้สัตว์น้ำระยะไกลเล็ดรอดขึ้นมาได้ หากนี่เป็นเพียงตัวที่รอดขึ้นมาจากระบบที่กำลังแตกสลาย นี่อาจเป็น “รุ่นสุดท้าย” มากกว่าจะเป็นการฟื้นตัวจริง

 

ข้อมูลจากบัญชีแดงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List, สถานะล่าสุดเมื่อปี 2019) ระบุให้ Anguilla bicolor อยู่ในกลุ่ม “ใกล้ถูกคุกคาม” (Near Threatened) ระดับโลก หมายถึงยังไม่ใช่สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในเชิงสถิติทั่วโลก แต่เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายภูมิภาค

 

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยชุมชนเตือนว่า การมองเฉพาะสถานะระดับโลกอาจทำให้เข้าใจผิด เพราะในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะแม่น้ำโขงตอนบนบริเวณเชียงราย สถานการณ์อาจอยู่ในระดับ “เกือบสูญพันธุ์ในพื้นที่” ไปแล้ว หรืออย่างน้อยก็ “สูญพันธุ์เชิงหน้าที่” กล่าวคือ ถึงแม้สายพันธุ์ยังมีอยู่บนโลก แต่ระบบนิเวศท้องถิ่นนั้นไม่ทำหน้าที่รองรับสายพันธุ์นั้นได้อีกต่อไป

 

“ปลาตูหนาคือบททดสอบว่าแม่น้ำโขงยังเป็นแม่น้ำเดียวกันหรือไม่” นักอนุรักษ์ท้องถิ่นจากเครือข่ายลุ่มน้ำโขงตอนบนให้ความเห็น

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ จาก 4 ตัวสุดท้าย (2546–2547) ถึงการหายสาบสูญ

ข้อมูลภาคสนามเชิงระบบครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายในพื้นที่เชียงของ–เวียงแก่น เกิดขึ้นเมื่อราว 20 ปีก่อน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2546 ถึงมิถุนายน 2547 เป็นงานวิจัยไทบ้านซึ่งอาศัยการเฝ้าสังเกตของชาวประมงพื้นบ้านร่วมกับภาคประชาสังคม ที่ต่อมาถูกนำเสนอโดยกลุ่มและเครือข่ายอย่างสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต

ตัวเลขที่ได้ในเวลานั้นคือ “4 ตัว” — จำนวนปลาตูหนาที่ถูกจับหรือพบเห็นตลอดช่วงหลายเดือนการสำรวจ

  • 2 ตัว ถูกบันทึกในพื้นที่คอนผีหลง
  • 2 ตัว ถูกบันทึกในบริเวณแจ๋มผาดินแดงและหาดฮ่อน

พื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่จุดจับปลาแบบสุ่ม แต่เป็น “วังน้ำลึก / ครก” คือหลุมลึกตามร่องน้ำที่ชาวบ้านรู้จักกันมานานในฐานะแหล่งหลบภัยของปลาใหญ่ในฤดูน้ำน้อย วังน้ำลึกยังเป็นแหล่งของสัตว์หน้าดินหรือสัตว์พื้นน้ำ (benthic fauna) เช่น ไส้เดือนน้ำ หนอนแดง ตัวอ่อนแมลง ซึ่งเป็นอาหารหลักของปลาตูหนาวัยโต

หลังปี 2547 เป็นต้นมา การพบปลาตูหนาในเชียงของแทบไม่มีรายงานอย่างเป็นระบบอีก จนคนส่วนหนึ่งในพื้นที่เริ่มพูดกันตรง ๆ ว่า “มันหายไปแล้ว” และตีความว่าแม่น้ำโขงตอนบน “ถูกตัดขาด” ตั้งแต่นั้น

ดังนั้น การปรากฏตัวของปลาน้ำหนัก 2.2 กิโลกรัมจากหาดแฮ่ในปลายเดือนตุลาคม 2568 จึงเชื่อมเส้นเวลาตรงกลับไปยังข้อมูลปี 2546–2547 และตั้งคำถามว่า ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อะไรเกิดขึ้นกับแม่น้ำโขง

สายโซ่ของปัญหา เขื่อน การไหลผิดธรรมชาติ และการค้าลูกปลาไหล

นักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมากอธิบายปัจจัยเชิงโครงสร้างไว้สอดคล้องกัน ว่าการลดลงของปลาตูหนาในแม่น้ำโขงตอนบนไม่ได้มาจากสาเหตุเดียว แต่เกิดจากแรงกดดันหลายชั้นที่ซ้อนทับกัน

เขื่อนและโครงสร้างกีดขวางการอพยพ

เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะเขื่อนในแม่น้ำโขงสายหลัก เช่น เขื่อนไซยะบุรี ซึ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์หลังปี 2558 ถูกมองว่าเป็น “กำแพง” ของปลาสองน้ำอย่างปลาตูหนา

ปลาตูหนาที่อยู่ระยะโตเต็มวัยต้องการอพยพขึ้นน้ำจืดตอนบนเพื่อเจริญเติบโต แต่โครงสร้างของเขื่อนระดับสูงทำให้การผ่านขึ้นตามธรรมชาติแทบเป็นไปไม่ได้ ในทางกลับกัน เมื่อต้องอพยพกลับลงสู่ทะเลในฐานะปลาไหลวัยสืบพันธุ์ (silver eel) หรือเมื่อตัวอ่อน (glass eel) เคลื่อนลงตามกระแสน้ำ ปลาวัยอ่อนเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการตายจากกังหันผลิตไฟฟ้าในเขื่อน

กล่าวอีกแบบ เขื่อนหนึ่งแห่งสามารถตัดทั้งเส้นทางขึ้น (ไปเติบโต) และเส้นทางลง (ไปสืบพันธุ์) ในคราวเดียว

รูปแบบการไหลของน้ำที่ผิดธรรมชาติ

ระบบการบริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อน โดยเฉพาะจากเขื่อนตอนบนในแม่น้ำโขงสายหลักและสาขา ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงขึ้น–ลงแบบรวดเร็วฉับพลัน ไม่เป็นไปตามฤดูกาลธรรมชาติ เหตุการณ์น้ำขึ้นเร็วหรือลดฮวบในเวลาไม่ถึงวัน ส่งผลให้ตลิ่งพัง วังน้ำลึกถูกกัดเซาะ ทรายและตะกอนเปลี่ยนรูปหน้าก้นแม่น้ำ

สำหรับปลาตูหนาที่อาศัยพื้นน้ำลึกเป็นแหล่งหากินและหลบภัย การสูญเสีย “ครก” หรือ “วัง” ไม่ได้หมายถึงแค่เสียบ้าน แต่คือการสูญเสียพื้นที่หลบภัยจากกระแสน้ำเชี่ยว และเสียแหล่งอาหารเชิงระบบ

การใช้ประโยชน์ลูกปลาไหลเชิงพาณิชย์
ปลากลุ่ม Anguillid eel รวมถึงปลาตูหนา มีมูลค่าสูงในตลาดเพาะเลี้ยง โดยเฉพาะระยะลูกปลาใส ๆ ที่เรียกว่า glass eel ซึ่งถูกจับในปริมาณมากในปลายน้ำ (โดยเฉพาะบริเวณปากแม่น้ำโขงและพื้นที่ชายฝั่งในภูมิภาค) เพื่อเข้าสู่ระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

การจับหนักในช่วงต้นวงจรชีวิต หมายถึงจำนวนน้อยลงของปลาไหลวัยอ่อนที่จะสามารถอพยพขึ้นไปถึงตอนบน เช่น เชียงของ ผลลัพธ์คือ แม้พื้นที่ตอนบนจะยังมีบางหลุมธรรมชาติที่ดีพอสำหรับปลาโต แต่ประชากรใหม่กลับไม่ถูกเติมเข้าไปอีกแล้ว

ช่องว่างในการคุ้มครองเชิงนโยบาย

ในทางนโยบาย ปลาตูหนาไม่ใช่ “ดารา” ของแม่น้ำโขง สายตาสาธารณะและโครงการอนุรักษ์หลายโครงการมักมุ่งไปที่ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง เช่น ปลาบึก หรือปลากระเบนแม่น้ำโขง เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่เล่าเรื่องได้ง่าย

ปลาตูหนาในทางกลับกันเป็นปลาที่ออกหากินยามค่ำ อยู่ก้นแม่น้ำ ไม่ค่อยถูกพบเห็นโดยคนทั่วไป ไม่ได้มีตลาดบริโภคใหญ่ในท้องถิ่น (คนจำนวนมากไม่นิยมกิน และบางพื้นที่ยังมีความเชื่อเชิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ผลคือ สปีชีส์นี้แทบไม่ถูกผลักขึ้นสู่วาระเชิงนโยบาย

ช่องว่างนี้สะท้อนชัดในมาตรการบรรเทาผลกระทบของเขื่อนหลายแห่ง ที่มักออกแบบ “ทางปลาผ่าน” (fish passage) โดยเน้นปลาบางชนิดที่ว่ายทวนน้ำแรง แต่ยังไม่ตอบคำถามสำคัญว่า “ลูกปลาไหลขนาดเล็กจะลงทะเลได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ถูกกังหันบดหรือไม่” คำตอบจนถึงวันนี้ ยังไม่ชัด

เส้นบางระหว่าง “หวังได้” กับ “สายเกินไป”

สิ่งที่ทำให้ปลาตูหนาตัวเดียวถูกจับตามองอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงความหายาก แต่คือจังหวะเวลา

เชียงรายกำลังจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission – MRC) ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นเวทีที่รัฐสมาชิกและหุ้นส่วนการพัฒนาจะหารือเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน ท่ามกลางประเด็นอ่อนไหวอย่างการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ การจัดสรรระดับน้ำ และผลกระทบต่อชุมชนริมน้ำ นักอนุรักษ์ในพื้นที่มองว่า ปรากฏการณ์ปลาตูหนาครั้งนี้คือ “สัญญาณให้มนุษย์หยุดและฟังแม่น้ำก่อนจะสายไปกว่านี้”

อีกด้านหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเตือนว่าห้ามโรแมนติไซส์ความหวังจนเกินจริง หากมองในเชิงประชากร การเจอปลาน้ำหนักกว่า 2 กิโลกรัมเพียงตัวเดียว ไม่สามารถตีความว่า “ประชากรปลากำลังฟื้น” ได้โดยอัตโนมัติ ตรงกันข้าม มันอาจสะท้อนว่าแม่น้ำโขงตอนบนกำลังเหลือเพียง “ตัวสุดท้ายของรุ่นสุดท้าย” ที่ยังไม่กลับลงทะเลไปสืบพันธุ์ และถ้าปัจจัยคุกคามยังเหมือนเดิม ประชากรใหม่ก็แทบไม่มีโอกาสเดินทางขึ้นมาเติมอีก

อีกความเสี่ยงหนึ่งคือ การทำให้เหตุการณ์นี้ถูกใช้เชิงการสื่อสารว่า “เห็นไหม แม่น้ำยังดีอยู่ ยังมีปลาอยู่” ซึ่งอาจถูกนำไปเป็นข้ออ้างว่าการพัฒนาโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนบนลำน้ำโขงสายหลักและสาขา ไม่ได้ทำลายระบบนิเวศจริงจังเท่าที่ภาคประชาชนอ้าง

นักวิชาการด้านนิเวศน้ำจืดบางรายจึงใช้คำแรงว่า ปลาตูหนาคือ “หลักฐานของการยื้อชีวิตครั้งสุดท้าย มากกว่าหลักฐานการฟื้นตัว” และเสนอว่า นี่ควรเป็นจุดตั้งต้นของการปรับนโยบาย ไม่ใช่จุดจบของการสนทนา

ทางออกเชิงระบบ จากวังน้ำลึกสู่โต๊ะนโยบาย

ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ถูกหยิบยกต่อเนื่องในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบน มีอย่างน้อย 4 แนวทางที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

ออกแบบมาตรการ “ทางผ่านลงสู่ปลายน้ำ” ให้จริงจัง

นโยบายการจัดการเขื่อนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต้องยกระดับจากการพูดถึง “ทางปลาขึ้น” ไปสู่ “ทางปลาลง” อย่างจริงจัง ปัจจุบันโครงสร้างทางปลาผ่านจำนวนมากยังไม่ได้ออกแบบเพื่อช่วยลูกปลาไหลวัยอ่อนให้กลับลงสู่ทะเลโดยปลอดภัย ยังคงมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกกังหันผลิตไฟฟ้าทำให้ตายหรือบาดเจ็บสาหัส

ในมุมนี้ นักวิจัยเสนอว่า ควรนิยามความสำเร็จของทางปลาผ่านในเขื่อนสายหลัก เช่น เขื่อนไซยะบุรี ไม่ใช่แค่ “ปลาอะไรขึ้นมาได้กี่ตัว” แต่ต้องรวมถึง “ปลาไหลวัยอ่อนสามารถลงได้กี่เปอร์เซ็นต์ โดยไม่ถูกทำลาย”

ติดตามปลาสองน้ำเป็นตัวชี้วัดบังคับ

มีข้อเสนอให้กำหนด “ปลาตูหนา (Anguilla bicolor)” เป็นสัตว์ตัวชี้วัด (indicator species) ในการประเมินประสิทธิภาพของการบริหารจัดการเขื่อนและทางปลาผ่าน ไม่ใช่ประเมินเพียงปลาชนิดที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง หรือเป็นสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมเท่านั้น

การติดตามประชากรปลาตูหนาทั้งระยะตัวอ่อน (glass eel) และตัวเต็มวัย ควรถูกทำเป็นเงื่อนไขทางวิชาการร่วมในระดับลุ่มน้ำโขงตอนล่าง แทนที่จะเป็นเพียงการเฝ้าดูโดยชุมชนท้องถิ่นที่ขาดทรัพยากร

รักษาแหล่งอาศัยที่ยังเหลืออยู่ – วังน้ำลึก, คอนผีหลง, แจ๋มผาดินแดง

ชุมชนท้องถิ่นในเชียงของและเวียงแก่นได้ผลักดันพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ปลา (Fish Conservation Zones: FCZs) เช่น พื้นที่คอนผีหลง ให้เป็นเสมือน “เขตพักฟื้น” ของปลา วังน้ำลึกเหล่านี้เป็นโครงสร้างธรรมชาติที่ระบบนิเวศสร้างขึ้นเองมาหลายชั่วคน และเป็นที่หลบภัยของสัตว์น้ำที่ไม่สามารถอยู่ในน้ำตื้นที่ถูกกระแสน้ำปรับขึ้นลงฉับพลันได้

แม้มาตรการแบบ FCZ จะยังไม่สามารถ “ดึง” ปลาตูหนากลับมาจำนวนมากได้ หากเส้นทางอพยพทั้งระบบยังถูกตัดขาด แต่มันถือเป็นการรักษาพื้นที่รองรับในอนาคต หากการเจรจานโยบายในระดับลุ่มน้ำสามารถปรับปรุงเส้นทางการเชื่อมต่อของแม่น้ำได้จริง

จำกัดการดูดทรัพยากรตั้งแต่ปลายทาง

ความร่วมมือระดับภูมิภาคจำเป็นต่อการควบคุมการจับลูกปลาไหลสีแก้วจากธรรมชาติในปริมาณสูงเพื่อป้อนการเพาะเลี้ยงในเชิงอุตสาหกรรม การลดการตัดทอนประชากรตั้งแต่ระยะเริ่มต้นนี้ จะช่วยให้มีปลาไหลวัยอ่อนมากพอจะอพยพขึ้นมาสู่ตอนบนในอนาคต ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของการฟื้นตัว

จากเรื่องเล่าชาวบ้านสู่เวทีการเมืองน้ำโขง

ในเชิงสัญลักษณ์ เหตุการณ์ปลาตูหนาที่เชียงของเกิดขึ้นในจังหวะที่ลุ่มน้ำโขงกำลังจะถูกจับตามองในระดับนานาชาติอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยในฐานะประธานคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง กำลังเตรียมต้อนรับคณะรัฐมนตรีน้ำของประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนการพัฒนาในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่จังหวัดเชียงราย

สำหรับชุมชนริมน้ำ นี่คือโอกาสที่จะส่งเสียงไปยังโต๊ะเจรจาระดับรัฐ ว่า “ปลาไหลตัวเดียวของเรา” อาจกำลังบอกอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ตัวมันเองรู้ สำหรับหน่วยงานรัฐและผู้กำหนดนโยบาย นี่คือบททดสอบความจริงใจ ว่าจะมองแม่น้ำโขงเป็นเพียงแหล่งผลิตไฟฟ้าและการควบคุมน้ำเชิงวิศวกรรม หรือจะมองในความหมายที่ลึกกว่านั้น คือความมั่นคงทางอาหาร วัฒนธรรม วิถีชีวิต และสิทธิในการดำรงชีพของผู้คนริมฝั่ง และสำหรับนักวิชาการ บทเรียนจากปลาตูหนายังคงเหมือนเดิม ถ้าแม่น้ำไม่เชื่อมต่อ เมืองก็ไม่ยั่งยืน

 

ปลาตูหนาหนักกว่า 2.2 กิโลกรัมที่ถูกจับได้ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียง “ปลาแปลกในรอบ 20 ปี” แต่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าระบบนิเวศของแม่น้ำโขงตอนบนยังไม่ตายสนิท ทว่ากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต

ข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์จากงานวิจัยไทบ้านปี 2546–2547 ระบุการพบปลาตูหนาเพียง 4 ตัวในพื้นที่คอนผีหลงและแจ๋มผาดินแดง ขณะที่ช่วงยาวกว่า 20 ปีหลังจากนั้นแทบไม่มีการพบอีกเลย จนกระทั่งเหตุการณ์ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2568 สิ่งนี้สะท้อนทั้งความอึดของธรรมชาติ และความเปราะบางของระบบ

ปัจจัยกดดันหลัก ได้แก่ การตัดขาดเส้นทางอพยพตามแนวยาวของแม่น้ำจากเขื่อนพลังน้ำ การขึ้นลงของน้ำผิดฤดูกาลที่ทำลายวังน้ำลึก แรงกดดันเชิงการค้าต่อปลาวัยอ่อน และช่องว่างของนโยบายที่มองข้ามชนิดพันธุ์ที่ไม่ดังทางการสื่อสาร คำถามในตอนนี้จึงไม่ใช่แค่ว่า “แม่น้ำโขงยังมีปลาหายากอยู่ไหม” แต่คือ “เราจะยอมให้ปลาตัวนี้เป็นรุ่นสุดท้ายหรือไม่”

ปลาตูหนาไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่มันกำลังบอกเราว่า หากไม่มีการจัดการเชิงระบบที่มองเห็นทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และทะเล แม่น้ำโขงอาจเดินข้ามจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้แล้ว การประชุมคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในจังหวัดเชียงรายปลายพฤศจิกายน 2568 จึงไม่ได้เป็นเพียงเวทีทางการทูตด้านน้ำ หากแต่เป็นบทพิสูจน์ว่าเสียงจากวังน้ำลึก คอนผีหลง หาดแฮ่ และชุมชนริมโขง จะถูกฟังจริงหรือไม่

16 เมษายน 2563 พรานเบ็ดแห่งแม่น้ำโขง ชาวเขมราฐ จับปลาตูหนา (รูปร่างคล้าย ปลาไหล) ซึ่งเป็นปลาแม่น้ำโขง ที่หายาก หนัก 7.7 ก.ก. ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในเขต เขมราฐ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ฮักนะเขมราฐ.com
  • ทรายโขง ณผาถ่าน
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News