Categories
SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย เปิดโครงการจัดการทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.45 น. ณ ห้องประชุมโรงเรียนปล้องวิทยาคม ตำบลปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และนายบุญตัน เสนคำ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเทิง เปิดโครงการพัฒนาศักยภาพสมาชิกเครือข่ายการเรียนรู้ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน จังหวัดเชียงราย โดยมีนายพลวัฒน์ ปริญญาเจริญกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนปล้องวิทยาคม กล่าวต้อนรับ
 
การจัดโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายและบูรณาการ
การดำเนินงานด้านจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีกลุ่มเป้าหมาย คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย ทุกแห่ง สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุก สังกัด พี่น้องอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน แบ่งจัดเป็น 4 รุ่น ๆ ละ
200 คน ได้รับการสนับสนุนวิทยากรจาก สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และสำนักวิชา วิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายหล่อเทียนพรรษา วัดปงสนุก อ.เทิง

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2566 เวลา 09.30 น. ณ วัดปงสนุก ตำบลปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานหล่อเทียนพรรษา ประจำปี 2566 โดยมีนายกเทศมนตรีตำบลบ้านปล้อง และองค์การบริหารส่วนตำบลปล้อง สมาชิกสภาฯ ชมรมกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน ประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

โดยพิธีหล่อเทียนพรรษา ประจำปี 2566 เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมจารีตประเพณี ภูมิปัญญาอันดีงามของท้องถิ่น และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชร ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ในการจัดกิจกรรมการอนุรักษ์ประเพณี ร่วมทั้งการสร้างความเข้มแข็งและความสามัคคีในชุมชน
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AUTOMOTIVE SOCIAL & LIFESTYLE

ครึ่งปีแรก ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ไทยเติบโต สูงกว่า 3 เท่า

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้ผลักดันและส่งเสริมการลงทุนอย่างจริงจัง ทำให้ใน 6 เดือนแรกของปี 2566  มีผู้สนใจเข้าลงทุนในประเทศเพิ่มต่อเนื่อง และ ได้มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันปี 2565 โดยอยู่ที่จำนวน 326 ราย รวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 48,927 ล้านบาท สร้างการจ้างงาน 3,222 คน
 
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นักลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ญี่ปุ่น 74 ราย เงินลงทุน 17,527 ล้านบาท 2) สหรัฐอเมริกา 59 ราย เงินลงทุน 2,913 ล้านบาท 3) สิงคโปร์ 53 ราย เงินลงทุน 6,916 ล้านบาท 4) จีน 24 ราย เงินลงทุน 11,505 ล้านบาท และ 5) สมาพันธรัฐสวิส 14 ราย เงินลงทุน 1,857 ล้านบาท สำหรับการลงทุนจากชาติอื่น ๆ มีจำนวน 102 ราย เงินลงทุน 8,209 ล้านบาท ทั้งนี้ ธุรกิจส่วนใหญ่สอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นโยบายการส่งเสริมการลงทุน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมแรงดันหลุมขุดเจาะปิโตรเลียม ขั้นตอนดำเนินการขุดสถานีใต้ดิน การออกแบบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการรถไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เป็นต้น
 
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมถึงความพยายามของรัฐบาลในการมุ่งส่งเสริมการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเทคโนโลยียานยนต์รูปแบบใหม่ อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ซึ่งปัจจุบันตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีแรก (เดือนมกราคม-มิถุนายน) ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมีมากถึง 31,738 คัน โดยมากกว่าถึง 3 เท่าของจำนวนทั้งหมดในปี 2565 และจากรายงานของ China Association of Automobile Manufacturers (CAAM) พบว่า ไทยถือเป็น 1 ใน 3 ประเทศ ผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมากที่สุด เนื่องจากผู้บริโภคมีความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีรูปแบบใหม่มากขึ้น ประกอบกับภาครัฐได้มีการออกมาตรการสนับสนุนให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับผู้บริโภค รวมถึงมีมาตรการจูงใจให้นักลงทุนสามารถขยายธุรกิจ และใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนในภูมิภาค
 
มากไปกว่านั้น เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการชิ้นส่วนอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่มีศักยภาพ เข้าร่วมการเจรจาธุรกิจกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่างบริษัท BYD ซึ่งมีแผนลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ของ BYD แห่งแรกในภูมิภาคอาเซียนที่ไทย นับเป็นการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างบริษัทผลิตรถยนต์โลกกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ผลิตในไทยได้มีส่วนร่วมอยู่ในซัพพลายเชนระดับโลก
 
“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยนับได้ว่ามีศักยภาพและความได้เปรียบที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้ง มีกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล มีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่เป็นประโยชน์กับการค้าการลงทุน ซึ่งเมื่อประกอบกับนโยบายของไทยที่เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี ตอบรับความท้าทายระดับโลก เช่น ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

สนค. จัดสัมมนาการแยกห่วงโซ่อุปทาน สหรัฐ-จีน และนัยต่อเศรษฐกิจไทย

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษา “โครงการศึกษาการแยกห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ของอุตสาหกรรมสำคัญระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน และนัยต่อเศรษฐกิจการค้าไทย” ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท โดยภายในงานมีผู้แทนภาคเอกชนจาก
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยในจีน และบริษัท
วิสอัพ จำกัด ร่วมในเวทีสัมมนา

 

            นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ เปิดเผยว่า สงครามการค้าของสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไปจีน และได้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ในโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  โดยเฉพาะไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเปิดกับการค้าการลงทุนของโลกอย่างต่อเนื่องยาวนาน จุดเปลี่ยนสำคัญของสงครามการค้าและทำให้เกิดการแยกห่วงโซ่อุปทาน คือ สหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมาย Chip and Science

 
Act 2022 เพื่อจูงใจให้เกิดการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ภายในสหรัฐฯ โดยการให้เงินอุดหนุนอย่างมหาศาล และผ่านกฎหมาย Inflation Reduction Act 2022 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นมาตรการในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การใช้นโยบายดังกล่าวของสหรัฐฯ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไปยังประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ต้องออกมาตรการในการดึงดูดการลงทุน รวมถึงป้องกันไม่ให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากประเทศตน โดยเฉพาะประเทศที่มีการผลิตชิป ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทวีความสำคัญในแทบทุกสินค้า ความพยายามแบ่งแยกอุปทานดังกล่าวจึงน่าจะส่งผลกระทบในวงกว้างกับโครงสร้างการผลิต การค้า และการลงทุนของโลก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไทยควรติดตาม ประเมิน และเตรียมแนวทางดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด  เรื่องดังกล่าวเป็นโจทย์ของโครงการศึกษาวิจัยนี้ 

 

            ผลการศึกษา พบว่า decoupling ที่เกิดขึ้น ทำให้สหรัฐฯ และจีน มีบทบาทในฐานะประเทศคู่ค้า
ต่อกันและกันลดลง  โดยเฉพาะส่วนแบ่งตลาดของจีนในตลาดสหรัฐฯ ลดลงอย่างชัดเจน เนื่องจากสหรัฐฯ
หันมานำเข้าสินค้าจากไทยและเวียดนามเพิ่มขึ้นแทนที่  สินค้าที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในช่วงปี
พ.ศ. 2561-2565 เช่น เครื่องปรับอากาศ กล้องบันทึกรูป ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์  ในขณะที่ไทยยังไม่สามารถเข้าตลาดจีนได้เพิ่มมากนัก โดยส่วนแบ่งตลาด
ของไทยในตลาดจีนทรงตัวที่ประมาณร้อยละ 2 ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งขยายตัวช้ากว่าประเทศอื่น ๆ อย่างเวียดนาม และมาเลเซีย

 

            อีกทั้งไทยยังได้รับอานิสงค์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่การลงทุนจากจีนในกลุ่มยานยนต์ในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์และยางรถยนต์ แต่มูลค่าการลงทุนในไทยน้อยว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนส่วนใหญ่

 

            บทวิเคราะห์แผนที่การลงทุนของบริษัทข้ามชาติ พบว่า บริษัทจำนวนมากชะลอการลงทุนในจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำที่เป็นเทคโนโลยีสำคัญท่ามกลางการแยกห่วงโซ่อุปทาน การลงทุนใหม่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในการผลิตชิป ไม่ใช่เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือสารเคมีพื้นฐาน  และการลงทุนที่ผ่านมาเป็นการลงทุนในประเทศกำลังพัฒนาเพียงไม่กี่ประเทศ

 

            ที่ผ่านมา Decoupling ยังไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในห่วงโซ่อุปทานในลักษณะที่ทำให้เกิดการหันเหแหล่งนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบจากจีน ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะบทบาทของจีนที่มีอยู่ก่อน การปรับเปลี่ยนต่าง ๆ อาจต้องใช้เวลา โดยเฉพาะชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ในทางกลับกันชิ้นส่วนอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์) ซัพพลายเออร์ในจีนพยายามเข้าสู่ตลาดอื่น ๆ เพื่อทดแทนตลาดสหรัฐฯ  

 

            ในอุตสาหกรรมยานยนต์ Decoupling ส่งผลดีต่อชิ้นส่วนรถยนต์ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยสามารถขยายตัวในตลาดชิ้นส่วนทดแทน (Aftermarket) ได้มากขึ้น แต่ไม่มีผลกระทบในส่วนรถยนต์ ทั้งนี้ เพราะรถยนต์ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายในมีการแบ่งเขตการขาย ไทยอยู่ในโซนอาเซียนและโอเชียเนีย
จึงไม่ได้อานิสงส์ในการเข้าตลาดสหรัฐฯ แต่อย่างใด  ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า การผลิตในประเทศยังอยู่ในระยะเริ่มต้นจึงยังไม่เห็นแนวโน้มที่ชัดเจน

 

            นายพูนพงษ์ กล่าวเสริมว่า ผลการศึกษานี้ ชี้ให้เห็นว่า ไทยต้องเตรียมการเพื่อเพิ่มศักยภาพทาง
ด้านการผลิตโดยเฉพาะประเด็นการเตรียมความพร้อมด้านแรงงานเพื่อตักตวงประโยชน์จาก decoupling
ที่เกิดขึ้น เรื่องดังกล่าวต้องทำอย่างเป็นระบบที่มีแผนระยะสั้นและระยะยาวที่สอดรับกัน  นอกจากนั้นไทยจำเป็นต้องเดินหน้ากระจายตลาดส่งออกเพื่อลดความเสี่ยงจากโครงสร้างตลาดส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มกระจุกตัวสูง รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลด
ความสลับซับซ้อนของกฎระเบียบ และมียุทธศาสตร์ใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่เพียงการให้สิทธิประโยชน์การลงทุน รวมไปถึงการดึงดูดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญให้เข้ามาทำงานในประเทศ  สุดท้ายหัวใจสำคัญที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งต้องมีเจ้าภาพที่ชัดเจนในการขับเคลื่อน มีอุตสาหกรรมเป็นศูนย์กลางของการออกแบบนโยบายที่ตั้งอยู่บนความสมเหตุสมผลสอดคล้องกับศักยภาพของประเทศ (เราทำอะไรได้ เราต้องระวังอะไร เราพร้อมอะไร) และดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการพัฒนาในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ธ.ก.ส. จัดประกวดออกแบบ Line Stickers Contest

 

ธ.ก.ส. เปิดพื้นที่ให้ผู้มีใจรักศิลปะและนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ ร่วมกิจกรรมและประกวดออกแบบ Line Stickers Contest หัวข้อ ธ.ก.ส.ใกล้คุณ ส่งผลงานเข้าประกวดในรูปแบบสติกเกอร์ภาพนิ่งผ่านทางอีเมล์ baacstickercontest@gmail.com ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 25 ส.ค.2566

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. เปิดพื้นที่ให้ผู้มีใจรักศิลปะและนักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ เข้าร่วมกิจกรรมและประกวดออกแบบ Line Stickers Contest ในหัวข้อ ธ.ก.ส. ใกล้คุณ พร้อมลุ้นรางวัลใหญ่มากมาย ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ ตั๋วเครื่องบินไป – กลับ ประเทศญี่ปุ่น 2 ที่นั่ง พร้อมได้ออกแบบผลงาน Line Sticker ของ Line Official Account BAAC Family ร่วมกับคุณมุนิน Creator ชื่อดัง จำนวน 1 ชุด รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท และรางวัล Popular vote สร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 1 สลึง นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังมีการสัญจรไปจัดกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจดังกล่าวให้กับน้อง ๆ นิสิตและนักศึกษามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้ง 4 ภาค ได้แก่ มหาวิทยาลัยศิลปากร (วังท่าพระ) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ตรัง) และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมรับฟังไอเดียดี ๆ ในการสร้างผลงานจาก Creator ชื่อดังอย่าง คิ้วต่ำ Sundae kids และมุนิน สมัครเข้าร่วมการประกวด โดยดาวน์โหลดแบบฟอร์มผ่านทาง Line Official BAAC Family : Line Sticker Contest และส่งผลงานเข้าประกวดในรูปแบบสติกเกอร์ภาพนิ่งผ่านทางอีเมล์  baacstickercontest@gmail.com ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 25 สิงหาคม 2566

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

กอ.รมน. เชียงราย ตรวจสอบ การบุกรุกป่า อ.เชียงแสน

 
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.00 น. โดย พ.อ.พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หน.กลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าวฯ พร้อมด้วยกำลังพล กอ.รมน.จังหวัด ช.ร. บูรณาการประสานงานร่วมกับ สำนักงานจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2,ปกครองอำเภอเชียงแสน,ขกท.กกล.ผาเมือง,กองร้อยทหารพรานที่ 3102,ชุดปฏิบัติการ ศูนย์ส่งเสริมการควบคุมไฟป่าที่ 2 และผู้แทนประธานป่าชุมชนตำบลเวียง อ.เชียงแสน โดยมีการประชุมเพื่อรับทราบข้อมูล ตามกรณีมีผู้ร้องเรียนว่าพื้นที่ป่าชุมชนบริเวณบ้านจอมกิตติ ม.6 และ บ้านชุมชน บ้านเวียงเหนือ ม.2 ต.เวียง อ.เชียงแสน ถูกบุกรุกแผ้วถางและเผาทำลาย ณ ห้องประชุม ศูนย์ส่งเสริมการควบคุมไฟป่าภาคเหนือที่ 2 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จว.เชียงราย ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 น. ได้ลงพื้นที่ร่วมกับส่วนราชการ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียนว่าถูกบุกรุกบริเวณป่าชุมชนบ้านจอมกิตติ หมู่ที่ 6 ต.เวียง อ.เชียงแสน จว.เชียงราย รายละเอียดการปฏิบัติเพิ่มเติม กลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าวฯ จะได้รายงานให้ทราบต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงราย สนับสนุนโครงการ “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” พื้นที่อำเภอเวียงแก่น

 
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 เวลา 11.00 น.นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ติดตามการดำเนินงานการน้อมนำแนวพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่ปฏิบัติการปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน และกิจกรรมพัฒนาชุมชนในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น ณ บ้านหล่ายงาว หมู่ที่ 1 ตำบลหล่ายงาว อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านในพื้นที่ตำบลหล่ายงาว และนายนรสิงห์ สวยไธสงค์ รักษาราชการแทนพัฒนาการอำเภอเวียงแก่น พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเวียงแก่น ให้การต้อนรับและรายงานผลการดำเนินงาน
 
ในการนี้ นายวิทยา ชุมภูคำ พัฒนาการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายสุเมท นิลสวิท นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย และทีมงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ร่วมติดตามสนับสนุนการดำเนินงานด้วย
นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และคณะ ได้ร่วมปลูกพืชผักสวนครัว ได้แก่ พริกขี้หนู มะเขือเจ้าพระยา มะเขือยาว สาระแหน่ ผักแพว ต้นหอม ในพื้นที่ซอย 14 หมู่บ้านหล่ายงาว ซึ่งเป็น “เส้นทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” ของหมู่บ้าน จากนั้นได้ไปยังครัวเรือนต้นแบบ การน้อมนำแนวพระราชดำริฯ ปลูกผักสวนครัวสร้างความมั่นคงทางอาหาร (ครัวเรือนนายปั๋น ยาละ) 
 
พื่อให้กำลังใจและเยี่ยมชมภายในบริเวณบ้านที่มีการปลูกผักสวนครัวอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนจะเดินทางไปยังศูนย์เรียนรู้เฮือนฮอมฮัก วัดดอยสันกู่ บ้านหล่ายงาว เพื่อร่วมปลูกไม้ผลสำหรับเป็นแหล่งอาหารให้กับชุมชน ประกอบด้วย ต้นอโวคาโด้ ต้นมะขามยักษ์ เงาะ และลิ้นจี่ป่า รวมทั้งเยี่ยมชมและให้กำลังใจแก่กลุ่มทอผ้าผู้สูงอายุบ้านหล่ายงาว กลุ่มปู่ยมูลใส้เดือนวัดดอยสันกู่ กลุ่มสบู่สมุนไพรวัดดอยสันกู่ และกลุ่มปักผ้าบ้านไทยเจริญ ที่ได้ดำเนินการภายในพื้นที่ศูนย์เรียนรู้ฯ และนำผลิตภัณฑ์มาร่วมกิจกรรม
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Cddchiangrai

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

วธ. ชวนเที่ยวตามรอยเช็คอินซีรีส์ King The Land

 

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรทั้งทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย สวยงามและทรงคุณค่าเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก รัฐบาลจึงมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมมือกับทุกหน่วยงาน องค์กรเครือข่ายต่างๆ ขับเคลื่อนและส่งเสริมงาน Soft Power ความเป็นไทยสู่ระดับชาติมาตลอดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่มีศักยภาพ 5F ได้แก่ F-Food อาหาร, F-Film ภาพยนตร์และวีดิทัศน์, F-Fashion การออกแบบแฟชั่นไทย, F-Fighting ศิลปะการป้องกันตัวแบบไทย และ F-Festival เทศกาลประเพณีไทย สู่ระดับโลกเพื่อช่วยสร้างรายได้และภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ ตลอดจนนโยบายขับเคลื่อนงานการใช้สื่อบันเทิงนำเสนอวัฒนธรรมของประเทศ ส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย อีกทั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศในประเทศไทย ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้แก่นักแสดงชาวต่างชาติที่ถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย เป็นระยะเวลา 5 ปี และมาตรการคืนเงินในการลงทุนที่มีเนื้อหาส่งเสริมภาพลักษณ์ ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย ผลปรากฏว่ามีผู้ประกอบการต่างประเทศสนใจและพร้อมเดินทางมาถ่ายทำในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก

นายอิทธิพล กล่าวว่า ซึ่งขณะนี้ เป็นที่น่ายินดีและน่าภูมิใจสำหรับคนไทย ที่ซีรีย์เกาหลีชื่อดังอย่าง King The Land ที่นำแสดงโดย อี จุนโฮ และอิม ยุนอา ในตอนที่ 10 เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2566 ได้เผยแพร่ความสวยงามของประเทศไทย ได้เผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยววัฒนธรรมของไทยจนได้กระแสตอบรับอย่างล้นหลาม ครบจบใน 1 ตอน เป็นเวลา 1 ชั่วโมงเต็มๆ โดยตลอดทั้งตอนนี้ตัวละครหลักและเพื่อนๆได้พาไปชมสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลต์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โชว์ภาพวิวสวยๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ รวมถึงกิจกรรมสนุกๆ สำหรับนักท่องเที่ยว การนั่งรถตุ๊กๆซึ่งเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างหนึ่งของประเทศไทยในการทัวร์รอบเมืองกรุงเทพ เผยแพร่ภาพสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถาน วัด แหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตของไทย สถานที่พัก ร้านอาหาร ตลอดจนสถานท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเหล่านักท่องเที่ยว อาทิ วัดอรุณราชวราราม, โลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร, วัดปากน้ำภาษีเจริญ, ลานแสดงน้ำพุ ไอคอนสยาม, สยามสแควร์, ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง, แม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืน, ถนนข้าวสาร, เสาชิงช้า และวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรวิหาร, เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ, ตลาดร่มหุบ, ร้านอาหารคุณแดงก๋วยจั๊บญวณ, โรงแรมสิริ ศาลา ไพรเวท วิลล่า, โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ, เอเชียทีค เป็นต้น นอกจากนี้ยังนำเสนออาหารไทย ทั้งแบบสตรีทฟู้ด ไปจนถึงอาหารสุดหรู ได้อย่างสวยงามและน่ารับประทาน

นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมขอชื่นชมซีรีย์เกาหลี เรื่อง King The Land ที่สามารถนำเอาวัฒนธรรม วิถีชีวิตของไทย เก็บรายละเอียดความเป็นไทยถ่ายทอดออกมาผ่านอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีย์ได้อย่างดี รวมถึงยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาให้มาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น จึงขอเชิญชวนเหล่าแฟนคลับที่ชมซีรีย์เรื่องนี้ ตลอดจนแฟนคลับของนักแสดงในเรื่องดังกล่าว มาท่องเที่ยวตามรอย ณ โบราณสถาน วัด แหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตของไทย ทำให้เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพิ่มรายได้ให้ประเทศ เกิดภาพลักษณ์ที่ดี พร้อมดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาท่องเที่ยวด้วยทุนทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของประเทศไทย

ทั้งนี้ นอกจากประเทศสาธารณเกาหลี (เกาหลีใต้) แล้ว ยังมีอีกหลายๆประเทศที่จะเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์หรือซีรีย์ต่างๆในประเทศไทย ซึ่งจากข้อมูลจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Cannes Film Festival 2023) ณ เมืองคานส์ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 16-27 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา มีผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมคูหาประเทศไทยจำนวนมากกว่า 600 ราย รวมถึงมีผู้ผลิตภาพยนตร์ที่สนใจและมีแผนจะเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในราชอาณาจักรไทย จำนวน 21 ราย จาก 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส กรีซ สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ อินเดียและออสเตรเลีย โดยมีแผนใช้เงินลงทุนรวมกว่า 3,800 ล้านบาท

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ซีรีย์ เรื่อง King the Land Ep.10 จาก Netflix 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

​เยาวชนเชื้อสายไทยคืนถิ่น เข้าพบนายกฯ-ครม. โชว์วัฒนธรรมไทย

 

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ร่วมชมกิจกรรมเผยแพร่ส่งเสริมภาพลักษณ์ ความเป็นไทย ในโครงการเยาวชนเชื้อสายไทยคืนถิ่น ประจำปี 2566 โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่  วิทยากร และเยาวชนเชื้อสายไทยคืนถิ่น ให้การต้อนรับ ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล 

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชมการแสดงความสามารถของเยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการเยาวชนเชื้อสายไทยคืนถิ่น ด้วยการสาธิตศิลปวัฒนธรรม Nora Thai Fit (โนรา ไทยฟิต) โดยเป็นการผสมผสานนาฏศิลป์ไทยโนราเข้ากับการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์ระหว่างศิลปะและวัฒนธรรมเข้ากับการปฏิบัติ เพื่อให้ศิลปวัฒนธรรมไทยเข้าใกล้กับวิถีคนในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งท่าไทยฟิตที่ออกแบบจาก “โนรา” เป็นศิลปะการแสดงทางภาคใต้ของประเทศไทย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ขององค์การยูเนสโก และได้พบปะพูดคุยกับเยาวชน รับฟังความประทับใจต่อโครงการฯ และความภาคภูมิใจที่เป็นเยาวชนเชื้อสายไทย จากตัวแทนเยาวชน พร้อมทั้งมอบหมายให้ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นำเยาวชนเชื้อสายไทยคืนถิ่นเข้าชมตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล 

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า วธ.มีนโยบายพัฒนาความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมกับต่างประเทศ ส่งเสริมบทบาททางวัฒนธรรมของไทยในเวทีโลก ตามแนวทางการทูตวัฒนธรรม (Cultural Diplomacy) โดยการแลกเปลี่ยน เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านศิลปวัฒนธรรม และเชื่อมโยงเครือข่ายทางวัฒนธรรมทั่วโลก ช่วยสร้างรายได้และภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ ก่อให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี วธ. จึงได้ดำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกับเครือข่ายวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ ในการจัดกิจกรรมเยาวชนเชื้อสายไทยคืนถิ่นร่วมกับเครือข่ายวัฒนธรรมไทย ซึ่งได้จัดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบัน เพื่อให้เยาวชนไทยในต่างประเทศได้มีโอกาสกลับมาเยือนแผ่นดินของบรรพบุรุษ ตระหนักถึงความเป็นไทย เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของไทยจากประสบการณ์ตรง สามารถเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยให้กับเครือข่าย และขยายความร่วมมือด้านเครือข่ายในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ เกิดภาพลักษณ์ ความเป็นไทย ที่ดีในหมู่ชาวต่างประเทศ ผ่านเยาวชนไทยที่เกิดหรือเติบโตและมีถิ่นพำนักในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนทูตวัฒนธรรมของประเทศไทย นำไปสู่การสื่อสารความรู้ความเข้าใจเรื่องศิลปวัฒนธรรมไทย ในระดับนานาชาติ

รมว.วธ. กล่าวด้วยว่า สำหรับโครงการเยาวชนเชื้อสายไทยคืนถิ่น ประจำปี 2566 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17 – 20 กรกฎาคม 2566 มีเยาวชนเชื้อสายไทยที่มีถิ่นพำนักในต่างประเทศ จำนวน 40 คน จาก 11 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ 
จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เมียนมาร์ เยอรมนี สวีเดน สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เข้าร่วมกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ  ประกอบด้วย กิจกรรมรับฟังคำบรรยาย ในหัวข้อ “เรียนรู้อย่างไทยในต่างแดน” 
กิจกรรมบรรยายพร้อมสาธิตและฝึกปฏิบัติการด้าน “ศิลปวัฒนธรรมไทย ภาพรวม-ดั้งเดิม-ร่วมสมัย-ไทยฟิต” 
การบรรยายและฝึกปฏิบัติการหัวข้อ “My Channel” รวมถึง วธ. ได้คัดสรรแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดราชบุรี ให้เยาวชนเชื้อสายไทยได้ลงพื้นที่สาธิตและฝึกปฏิบัติด้านศิลปวัฒนธรรมไทย รวมถึงเรียนรู้วิถีชีวิตภูมิปัญญาของชุมชน อาทิ วิสาหกิจชุมชนบ้านช่างสกุลบายศรี, ศูนย์การเรียนรู้เรื่องโอ่ง, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรีและวัดมหาธาตุวรวิหาร ศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำบ้านหัวเขาจีน รวมถึงมีกิจกรรมนันทนาการ และการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในลักษณะกิจกรรมกลุ่ม  

นายอิทธิพล กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรมเยาวชนเชื้อสายไทยคืนถิ่น นอกจากจะเป็นการฟื้นฟูจิตสำนึก
ความเป็นไทยและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนไทยในต่างแดนแล้ว ยังส่งผลให้ชุมชนไทยในต่างแดนเหล่านี้ 
เป็นภาคส่วนหนึ่งของสังคมไทย ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมที่มีสันติสุข และเป็นตัวแทนที่ดี
ของชาวไทยในต่างแดน ที่สามารถสื่อสารความรู้ด้านวัฒนธรรมไทยไปสู่ประชากรในดินแดนที่ตนตั้งถิ่นฐาน 
อีกทั้งยังเป็นการบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินงานในภารกิจของกระทรวงวัฒนธรรม ให้บรรลุผลสำเร็จ
ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนไทยและเครือข่ายวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศอีกด้วย

 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

“ก.เกษตรฯ – สสส. – ภาคีอาหาร” พลิกโฉมระบบอาหารที่ยั่งยืน

 

ภายใต้แผน UN “อิ่มและดี 2030” 5 ด้าน สู่ผลลัพธ์ทางสุขภาพก้าวกระโดด เตรียมเสนอต่อที่ประชุมระดับโลก ณ กรุงโรม 24 – 26 ก.ค. นี้

          นายเศรษฐเกียรติ มงกุฎวงษ์ รองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อชุมชนแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแสดงเจตจำนงที่จะพลิกโฉมระบบเกษตรและอาหารที่ยั่งยืน ในครั้งนี้ Thailand Food and Agriculture Systems Stocktaking “เส้นทางสู่การพลิกโฉมระบบพบกับความยั่งยืนของ ประเทศ”เผื่อว่านางสาวนวรัตน์ เฉลิมเผ่า ผู้ช่วยผู้สมัคร FAO ประจำประเทศไทย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เกษตรศาสตร์ (บุคคลทั่วไป) ผู้ช่วยประเมิน ชล บุนนาค หัวหน้าศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายที่มุ่งสู่ความยั่งยืน (SDG Move) คณะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ณ ภาพรวม 112 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

       รองกระทรวงกลาโหมเกษตรและคอยติดตามในการประชุมการประชุมผู้นำประเทศผู้นำระบบอาหารโลกปี 2564 (UN Food Systems Summit : UNFSS 2021) คอยติดตาม (UN) สนับสนุนประเทศสมาชิกขับเคลื่อนระบบอาหารโลกทั้งวิธีการผลิต คำถามที่ถามและขอให้ช่วยตอบคำถามกลุ่มเป้าหมาย หัวข้อที่จัดทำขึ้นภายใต้แนวคิดของหลักสูตร “อิ่มและดี 2030” ซึ่งอ่านจากฐานข้อมูลในรายงานของกระทรวงเกษตรและเรียกร้องให้รวบรวมเพื่อจัดระเบียบระบบเกษตรและความยั่งยืน โดยต้องการให้มาที่นี่/การทำความเข้าใจประเด็น “ ระบบเกษตรและอาหารที่ปลอดภัย” ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียซึ่งรวมถึงเกษตรและอาหาร บุคคลทั่วไปที่ภาคประชาสังคมได้รับเครือข่ายสถาบัน สมาคม องค์กร เรียกร้องอื่นๆ จนตามมาสร้างเครือข่าย “ความร่วมมือ” ตามมา ขับเคลื่อนโดย สส.ปฏิบัติตาม 1 ใน “ความร่วมมือ” เป็นไปได้ที่ร่วมขับเคลื่อนระบบ “ระบบเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืน” ต่อปี 2564 ต่อปี 2564 ตามลำดับที่หลายฝ่ายที่ร่วมขับเคลื่อนการวิจัยเคยมีการวิจัยมาก่อนมีโครงการวิจัยเชิงวิเคราะห์สำหรับคำถามสำหรับอาหาร ความช่วยเหลือ (Policy Research for Thailand’s Food Systems Development) โดยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร
 

        สำหรับผู้ที่ต้องการระบบเกษตรและความมั่นคงอย่างยั่งยืนใน 5 เรื่องภายใต้หัวข้อ “อิ่มและดี 2030” รวม 5 ด้านที่ตามมา 
1. “อิ่มดีสแกนหน้า” เข้าถึงอาหารปลอดภัยและอย่างปลอดภัยทางโภชนาการ 
2. “อิ่มดีมีสุข ” ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่เพื่อความยั่งยืน 
3. “อิ่มดีรักษ์โลก” ส่งเสริมระบบการผลิตที่แมทซ์และต่อสิ่งแวดล้อม 
4. “อิ่มดีทั่วถึง” ส่งเสริมคริสต์มาสที่เสมอภาคปราณี และ 
5. “อิ่มดีทุกคนเมื่อ ” สร้างระบบที่จะปรับตัวได้เมื่อเข้าสู่วิกฤต 
 

       “เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสจะได้รับบทเรียนทบทวนแล้วจะได้รับแชร์ประสบการณ์ซึ่งจะมีการประชุม Food and Agriculture Stockmaking Moment ระดับที่สามารถทำได้ในวันที่ 24–26 กรกฎาคม 2566 ณ ผู้นำกลุ่มเกษตรแห่งความต้องการ (Food and Agriculture Organization: FAO) กรุงโรมรายงานอิตาลีและองค์กรที่ยั่งยืนในระดับผู้นำที่มีเป้าหมายที่จะเกิดขึ้น (SDG Summit) ก.ย. 2566 ต่อไปก็ขอให้ทบทวนและติดตาม ลองทำครั้งแรกหลังจากการประชุมสุดยอดระบบอาหารปี 2564 และเป็นการทบทวนการประเมินคุณภาพที่ดีในการนำเส้นทางการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารมาแล้ว” รองบล็อกเกษตรฯ กล่าว

        ดร.นพ.ไพโรจน์ เหลาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อการพัฒนา ฟอนต์ มีพันธกิจในทุกวันนี้และสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพทุกกลุ่มวัยให้ได้ช่วยกันพลิกโฉมระบบอาหารที่ยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่แน่นอนตลอดไป ปี 2573 ภาษาไทย เร่งสานพลังภาคีเครือข่ายนโยบายยุทธศาสตร์ที่ไม่ต้องการอาหารเพื่อสุขภาวะ ตลอดการใช้งานอย่าลืมรบกวนหลักข้อที่ 3 ข้อ 
1. ขอให้ขอให้รอบรู้และขอความร่วมมือสนับสนุน เมื่อมีภาวะปกติและภาวะวิกฤต 
2. ส่งเสริมระบบตลาดอาหารปลอดภัยให้ทุกคนสร้างทางอาหารในครัวเรือน/ชุมชน 
3. การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ
 

        “แบบจำลองต้นแบบระบบอาหารชุมชนได้เน้นความสำคัญใน “การสร้างผลลัพธ์ทางสุขภาพอย่างก้าวกระโดด” ซึ่งรวมถึงตัวอย่างที่คนงานสร้างเสริมสุขภาพ 3 ระดับ ระดับระดับต้นน้ำ การพัฒนาต้นแบบแหล่งผลิตอาหารปลอดภัย/อินทรีย์ การพัฒนาไต่/ผลิตภัณฑ์ให้ข้อสรุป ความต้องการของผู้บริโภค กระตุ้นเศรษฐกิจอาหารชุมชนระดับกลางน้ำ ส่งเสริมระบบการขนส่ง/ เชื่อมโยง อย่าลืมที่จะประกอบการรำลึกชุมชน กระตุ้นให้เกิดการสร้างชุมชน (ตลาดเขียว/ ตลาดชุมชน/ ตลาดเชิงสถาบัน) และระดับ ปลายน้ำ รวบรวมความรอบรู้ซึ่งก็คืออาหารเพื่อสุขภาวะ ยกตัวอย่าง สำนึกสู่วิถีของอาหารเพื่อสุขภาวะ ลดหวาน มัน เค็ม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาวะลดเสี่ยงโรค ไม่ติดต่อ ผลลัพธ์สู่เป้าหมายของนโยบายสาธารณะ สร้างกระบวนการเรียนรู้และ สื่อสารที่มีแบนด์วิดท์และในระดับที่ยั่งยืนของพื้นที่ชายแดนและระดับสากล” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว
 

         นางสาวนวรัตน์ เฉลิมเผ่า ผู้ช่วยผู้แทน FAO ประจำประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ตัวเลขคนอดอยากทั่วโลกในปี 2022 อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านคน ซึ่งมากกว่าจำนวนคนอดอยากตั้งแต่มีการระบาดของโควิด19 ถึง 122 ล้านคน มีประชากรโลกมากกว่า 3 พันล้านคน ไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้ ประชากรโลกอีกเป็นจำนวนมาก กำลังประสบปัญหาโภชนาการจากการบริโภค เช่น บริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม เป็นโรคอ้วน น้ำหนักเกินกระทบต่อสุขภาพ และยังส่งผลต่อรายจ่ายด้านงบประมาณสาธารณสุขของประเทศ FAO สนับสนุนประเทศไทยในการส่งเสริมระบบอาหารทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สอดคล้องเป้าหมายหลักของกรอบยุทธศาสตร์ใหม่ ที่มุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและระบบอาหารสีเขียว โดยเฉพาะการลดการสูญเสียอาหารและของเสีย เสริมสร้างการจัดการดิน น้ำ ป่าไม้ และระบบนิเวศทางทะเลอย่างยั่งยืน ผ่านการเกษตรที่เป็นมิตรต่อความหลากหลายทางชีวภาพและการลดความเสี่ยงจากเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นำไปสู่การผลักดันนโยบายแก้ปัญหาการเกษตรระยะยาว
 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News