Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

Crypto Cobra Chiangrai สร้างประวัติศาสตร์รองแชมป์ BTL 2025 ปีแรกในลีก

CRYPTO COBRA CHIANGRAI รองแชมป์ BTL 2025 ปีแรกในลีก แพ้ฉิวเฉียด HI-TECH 82–85 เกมตัดสิน วางรากฐานสู่ “แฟรนไชส์เหนือสุดแห่งสยาม” ที่ขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ข้อมูลและพลังชุมชน

เชียงราย, 2 กันยายน 2568 — เสียงนกหวีดสุดท้ายที่อาคารกีฬานิมิบุตรดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันเสี้ยววินาที ก่อนระเบิดเป็นเสียงโห่ร้อง—Crypto Cobra Chiangrai (CCC) ทีมหน้าใหม่ “ส่งตรงจากเชียงราย” พ่าย Hi-Tech อย่างหวุดหวิด 82–85 ใน Game 3 ของรอบชิงชนะเลิศ Basketball Thai League 2025 (BTL) ปิดฉากซีรีส์ด้วยผลรวม 2–1 เกม พร้อมคว้าตำแหน่ง รองแชมป์ (2nd Place) และเงินรางวัลตามระเบียบของลีก (ทีมระบุว่าอยู่ที่ 800,000 บาท ในช่องทางทางการของสโมสร) — จุดเริ่มต้นอันทรงพลังสำหรับทีมที่เพิ่งลงแข่งขันฤดูกาลแรก ทว่าก้าวสู่การเป็น “ผู้ท้าชิงแชมป์” อย่างเต็มภาคภูมิ

แม้ถ้วยแชมป์จะหลุดลอยเพียงแต้มสามในคืนชี้ชะตา แต่ CCC ได้สร้าง “ชัยชนะในความหมายที่กว้างกว่า” ตั้งแต่การบุกฝ่าฤดูกาลปกติจนถึงการล้มเต็งรองในรอบรองชนะเลิศ ก่อนยื้อแชมป์เก่าไปจนถึงเกมตัดสิน—ภาพจำที่สะท้อนว่าความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากกระแสฉาบฉวย หากเป็นผลจาก การบริหารจัดการทีมที่เป็นระบบ, การสร้างสมดุลระหว่างผู้เล่นต่างชาติและดาวดังไทย, การวางแทคติกที่เจาะจุดอ่อนคู่แข่ง, และเหนือสิ่งอื่นใด พลังเชียร์จากแฟนกีฬาเชียงราย ที่เริ่มก่อตัวเป็นฐานแฟนคลับเหนียวแน่นของแฟรนไชส์หน้าใหม่รายนี้

เส้นทางสู่เวทีชิงจาก “ทีมหน้าใหม่” สู่ “ผู้ท้าชิงที่เล่นเพื่อแชมป์”

เมื่อเปิดฤดูกาล BTL 2025 อย่างเป็นทางการ ลีกประกาศรายชื่อ 10 สโมสร เข้าร่วม พร้อมเงินรางวัลรวม 4 ล้านบาท สร้างมาตรฐานการแข่งขันอาชีพที่เข้มข้นขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา (เอกสารเปิดตัวอย่างเป็นทางการ) สำหรับ CCC—ที่เลือกวางอัตลักษณ์ เชียงราย” ไว้ในชื่อทีมอย่างเด่นชัด—นี่ไม่ใช่แค่การใส่โลโก้บนเสื้อแข่ง แต่คือ ยุทธศาสตร์ฐานราก เพื่อผูกพันกับผู้ชมและธุรกิจท้องถิ่นในจังหวัดเหนือสุดแดนสยาม ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์และอุตสาหกรรมกีฬาของเมือง

  • ฤดูกาลปกติ: CCC ปั้นผลงาน Top 4 พร้อมคุณภาพเกมที่นิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่ช่วงโค้งท้าย (ตามการสรุปผลการแข่งขันรายสัปดาห์/ไฮไลท์ของลีก)
  • เพลย์ออฟ: โมเมนตัมพุ่งสูงจาก เกมน็อกเอาต์ ที่ “คมกว่าตอนเปิดซีซัน” โดยเฉพาะเกมบุกที่เริ่มเคลื่อนตัวลื่นไหลตามแผน สองเสาหลักต่างชาติ + ตัวสร้างสรรค์เกมไทย จนก้าวสู่เวที รอบชิงชนะเลิศ (ตามตารางถ่ายทอดสดและสรุปของผู้จัด)

ไฮไลต์ชิ้นสำคัญที่หลายคนพูดถึงคือเกมที่ CCC ชนะ Banvas Slammers 91–79 ด้วยประสิทธิภาพการยิงที่เหนือกว่า—ภาพตัดต่อและคลิปรีแคปถูกแชร์จำนวนมากในชุมชนบาสฯ ไทย ตอกย้ำว่า ทีมหน้าใหม่แตะเพดานศักยภาพได้เร็ว” (อ้างอิงคลิปและรีแคปอย่างเป็นทางการของลีก)

คืนตัดสิน Game 3 ทำทุกเม็ดสกอร์ให้มีความหมาย—แต่ “สามแต้ม” สุดท้ายของคู่แข่งชี้ผล

ตั๋วเข้าชมที่ นิมิบุตร ถูกจับจองตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ กระแส เกม 3 ตัดสินแชมป์” ถูกปลุกโดยช่องถ่ายทอดสดกีฬาและเพจทางการของลีกตั้งแต่วันก่อนแข่ง: “FINALS GAME 3 อังคารที่ 2 ก.ย. 68 เวลา 18.00 น.” (ประกาศของลีกและผู้ถ่ายทอด) โครงสร้างการสื่อสารกลางของลีก—ผ่าน BTL Official และพันธมิตรถ่ายทอดสดอย่าง T Sports 7—ทำให้แบรนด์ของทีมหน้าใหม่อย่าง CCC ถูกดันสู่สปอตไลต์อย่างรวดเร็ว (ตารางถ่ายทอดสด/คอนเทนต์ไฮไลต์)

ในสนามจริง เกมเดินหน้าแบบ ชิงพื้นที่–สลับนำ ต่อเนื่อง การจับคู่ป้องกันใต้แป้นต่อสู้กับวงในของ Hi-Tech เป็นหมากสำคัญ ขณะที่ เพลย์เซ็ตดึงสกรีนสองชั้น เพื่อเปิดช็อต Pull-up/Spot-up ให้มือยิงของ CCC พาเกมไล่มาเรื่อย ๆ ถึงควอเตอร์สุดท้าย—สามนาทีสุดท้าย สกอร์เบียดแต้มต่อแต้ม ก่อนที่ Hi-Tech จะได้ “ลูกตัดใจ” ระยะกลางยาว และ ลูกโทษปิดเกม ทิ้งช่วง สามแต้ม พอดีเมื่อเสียงนกหวีดสิ้นสุด: Hi-Tech 85, CCC 82 (ถ่ายทอดสดทางการของรอบชิง)

ตัวเลขที่ขับอารมณ์

• เกมชิง 3 นัด—แพ้/ชนะห่างกัน เฉลี่ยไม่ถึง 10 แต้ม ต่อเกม สะท้อน “ความใกล้เคียงของคุณภาพทีม” มากกว่าชื่อชั้นในอดีต (วิดีโอรีแคปและถ่ายทอดสดของลีก)
เพลย์ออฟ CCC มี “ช่วงเวลา +Momentum” ยาวขึ้นชัดเจนจากกลางควอเตอร์ 2 ถึงกลางควอเตอร์ 3 เมื่อทีมสามารถรักษา Turnover ต่ำ + รีบาวด์สองฝั่งเสถียร (ชุดวิดีโอไฮไลต์อย่างเป็นทางการ)

รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม 5 ตำแหน่ง (All-Star Five) & ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) Basketball Thai League 2025 (BTL) Point Guard: ณัฐกานต์ เมืองบุญ (Hi-Tech Basketball Club) **Shooting Guard: Shaheed Davis (Crypto Cobra Chiangrai) Small Forward: Accheaus D'juan Fields (Shoot It Dragons) Power Forward: อิบราฮิม ดาบี (TGE Basketball Club) Center: อิมานุเอล ชิเนดุ เอเจสุ (Hi-Tech Basketball Club) Mฮญ: อิมานุเอล ชิเนดุ เอเจสุ (Hi-Tech Basketball Club)

เหตุผลเชิงโครงสร้างของความสำเร็จ CCC ไม่ใช่ “ม้ามืด” แต่คือ “แผนระยะยาว”

  1. วิสัยทัศน์หัวหน้าผู้ฝึกสอน (“โค้ชนิก”)
    โค้ชวางระบบที่ชัดเจน—ขับเคลื่อนด้วยเกมรับที่มีวินัย เพื่อต่อยอดเป็นทรานซิชันเกมรุกเร็ว และเมื่อเข้าสถานการณ์ครึ่งสนามจะดึง Two-man game ให้ผู้เล่นต่างชาติเสาหลักเป็น “แกนตัดสินใจ” ก่อนสลับสปีดด้วย Shot-creator สัญชาติไทย ในเพลย์ที่ 2–3 ของคอนเซ็ปต์เดียวกัน ทำให้ทีม “อ่านเกมคู่แข่งแล้วเอาไปใช้ได้จริง” ไม่ใช่เพียงแผนบนกระดาน
  2. สเก๊าท์–สรรหาผู้เล่นที่ “ชัดในบทบาท”
    โครงสร้างโรสเตอร์ของ CCC เน้น ต่างชาติ 2 แกน ที่สร้างอิมแพ็กทั้งสองฝั่งของคอร์ท ผนวก มือทำเพลย์ชาวไทย ที่พลิกสปีดเกม/สร้างความแตกต่างภายใต้แรงกดดันสูง—ภาพที่สะท้อนชัดในช่วงเพลย์ออฟเมื่อทีมต้องการ “บาสเกตบอลแบบเล่นเพื่อชนะในครึ่งสนาม”
  3. ข้อมูล–คอนเทนต์–คอมมูนิตี้ (3C) ที่เดินไปด้วยกัน
    แม้เพจโซเชียลของสโมสรจะเพิ่งตั้งต้น แต่การที่ลีกและพันธมิตรสื่อสร้าง “ทางด่วน” ให้ทีมหน้าใหม่เข้าโฟกัสของผู้ชมทั่วประเทศ—ตั้งแต่กราฟิกก่อนแข่ง, การนับถอยหลัง, ไปจนคัทยาวไฮไลต์หลังเกม—ทำให้ CCC สร้างฐานแฟนได้ทันที (คอนเทนต์ทางการของลีก/ผู้ถ่ายทอด) ด้านท้องถิ่น เชียงรายก็เริ่มเห็นผลทางเศรษฐกิจจากอีเวนต์กีฬา—ตั้งแต่ร้านค้าเมอร์ชไปจนเศรษฐกิจท่องเที่ยววันแข่ง

มองผ่านกรอบ “เมือง–ลีก–ตลาด” ทำไม “เชียงราย” สำคัญต่อบาสอาชีพไทย

การมีสโมสรระดับอาชีพที่ส่งเสียงจากหัวเมืองใหญ่ภาคเหนือไม่ใช่เรื่องภาพลักษณ์เท่านั้น แต่คือการ กระจายโอกาส ให้ชุมชนกีฬาในพื้นที่เกิด “แรงดูด” ให้เยาวชนเลือกเส้นทางอาชีพ, โค้ชท้องถิ่นมีเวทีแสดงฝีมือ, ผู้ประกอบการสร้างอีโคซิสเต็มธุรกิจกีฬา—ทุกอย่างเชื่อมเป็นวงจรเดียวกัน

  • เชิงลีก: BTL 2025 ถูกถ่ายทอดแบบแฟนลี่–เฟรนด์ลี่ เนื้อหาสม่ำเสมอ (BTL OFFICIAL / T Sports 7) ทำให้ “การเล่าเรื่องของทีมหน้าใหม่” เดินทางถึงผู้ชมได้จริง ไม่ถูกกลบด้วยชื่อเก่าหรือกลุ่มทุนใหญ่ (เพจ/ช่องทางทางการ)
  • เชิงเมือง: แฟนจากเชียงรายเริ่มมี “เดสติเนชันกีฬา” ใหม่—จากคอนเทนต์ออนไลน์สู่ทริปดูเกมใหญ่ในกรุงเทพฯ และในอนาคตเมื่อทีมจัดแมตช์เหย้ารูปแบบแฟนเดย์ จะยิ่งต่อยอด Sports Tourism ของจังหวัดได้อีกชั้น
  • เชิงตลาด: ฐานธุรกิจสปอนเซอร์ท้องถิ่น + ผู้เล่นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเชียงราย (กาแฟ, งานดีไซน์, งานหัตถกรรม) สามารถ “บันเดิล” กับกิจกรรมของสโมสร—เป็นรายได้เสริมที่ไม่ขึ้นกับผลการแข่งขันโดยตรง

บทเรียนจาก Game Film จุดแข็ง–จุดปรับ

จุดแข็งหลัก

  • Game Plan & Execution: CCC ใช้แผน 1–2 เคาน์เตอร์เพลย์ ที่ชัดเจนและทำซ้ำได้ภายใต้แรงกดดัน—สะท้อนจากคุณภาพช็อตที่ได้ช่วงควอเตอร์ 2–3
  • Rebound Mentality: แม้ส่วนสูงบางตำแหน่งเป็นรอง แต่ “การบล็อกเอาต์แอคทีฟ” ทำให้ทีมได้โอกาส Second Chance มากพอสร้างสกอร์

จุดที่ควรปรับ

  • Close-out Game: โมเมนตัมช่วงท้ายเกมยัง Swing ตามรูปเกมฝ่ายตรงข้าม—โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งบีบให้เล่น Isolation มากกว่าระบบ
  • Bench Production: เกมซีรีส์ยาวต้องการสกอร์จากม้านั่งให้สม่ำเสมอขึ้น เพื่อถนอมโหลดผู้เล่นแกนหลักในควอเตอร์ท้าย

จาก “รองแชมป์ปีแรก” สู่ “แผน 2–3 ปี” ที่ไล่ล่าบัลลังก์

ในบริบทของลีกอาชีพ การไปถึงรอบชิงปีแรกคือ บันทึกหน้าแรกของโครงการระยะยาว—ไม่ใช่แค่ “ฤดูกาลแห่งความประหลาดใจ” และหายไป การสร้างทีมที่ยั่งยืนของ CCC ควรยึดแกน 3 ประการ:

  1. เสถียรภาพโค้ชและคอร์ผู้เล่น – ล็อกสัญญาแกนหลัก, เติมชิ้นส่วน 3-and-D & Secondary Creator ที่เข้ากับระบบ
  2. พัฒนาการใช้ข้อมูล (Analytics) – วัดคุณภาพช็อต (eFG%), โอกาสสองจังหวะ, Lineup Combination ที่มี Net Rating บวก เพื่อใช้จริงในเพลย์ออฟ
  3. ต่อยอดฐานแฟนเชียงราย – สร้าง Match-day Experience และกิจกรรมร่วมกับสถาบันการศึกษา/ธุรกิจท้องถิ่น เพื่อแปลง “ผู้ชมครั้งคราว” เป็น “สมาชิกถาวร”

หากทำได้ Crypto Cobra Chiangrai จะไม่ใช่ “ทีมที่เคยเข้าชิง” แต่เป็น ผู้ท้าชิงตัวจริง ที่พร้อมทวงบัลลังก์ในวัฏจักรถัดไป

CCC แพ้ด้วยระยะ 3 แต้ม แต่ชนะหัวใจแฟนทั่วประเทศด้วย วิธีการเล่นที่มีวินัยและมีสไตล์—และที่สำคัญชนะ “โจทย์ของแฟรนไชส์กีฬาอาชีพ” ตั้งแต่ปีแรก: รู้ว่าตัวเองเป็นใคร, จะชนะอย่างไร, และจะเติบโตไปพร้อมเมืองของตัวเองอย่างไร ฤดูกาลหน้า ซีรีส์ชิงอาจยังมี Hi-Tech หรือใครก็ตามยืนขวาง แต่ “งูเห่าแห่งเชียงราย” ได้ปล่อยคำเตือนไปแล้ว—นี่ไม่ใช่ไฟแฟลช แต่นี่คือยุคสมัยที่กำลังก่อตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Basketball Thai League
  • T Sports 7
  • Daily News Online
  • Crypto Cobra Chiangrai
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“ลงสายลงดิน”: เชียงรายเร่งยกระดับภูมิทัศน์เมือง สู่ Smart City อย่างยั่งยืน

เชียงรายเร่ง “ลงสายลงดิน” ยกเครื่องภูมิทัศน์เมืองสู่ Smart City เป้าหมาย เม.ย. 2569—แต่เส้นทางสู่ความทันสมัยยังติดขัดด้วย “สายเก่า” และความล่าช้าเชิงโครงสร้าง

เชียงราย, 1 กันยายน 2568 — เมืองเชียงรายตื่นอีกครั้งกับคำถามซ้ำเดิมของคนเมือง: เมื่อไรเสาไฟฟ้าและพะเนินพะย่อของสายสื่อสารจะหายไปจากท้องฟ้าเมืองเก่าแก่แห่งนี้เสียที คำตอบเริ่มมีรูปธรรม เมื่อจังหวัดเดินหน้าติดตามความคืบหน้า “โครงการนำสายไฟฟ้า–สายสื่อสารลงใต้ดิน” และวางหมุดเวลาแล้วเสร็จไว้ที่ กลางเดือนเมษายน 2569 เพื่อให้ทันรับฤดูกาลท่องเที่ยวและยกระดับภาพลักษณ์เมืองให้ “สะอาด สวยงาม และอัจฉริยะ” อย่างที่วางวิสัยทัศน์ร่วมกันไว้

การประชุมความคืบหน้าเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 มี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และผู้แทนหน่วยงานหลักทั้ง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ./PEA) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โดยย้ำเป้าหมายผูกกับวาระใหญ่ระดับชาติ ทั้งการพลิกโฉมเชียงรายสู่ Smart City และการหนุนบทบาท “เชียงราย–แม่สาย” ใน ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC) ที่รัฐบาลมุ่งผลักดันให้เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของประเทศ

ฉากปฏิบัติการเร่งเก็บเสา–ย้ายสาย รับไฮซีซันท่องเที่ยว

ความคืบหน้าที่จับต้องได้เริ่มเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน—บริเวณ ห้าแยกพ่อขุนเม็งรายมหาราช และพื้นที่โดยรอบดำเนินการลงสายใต้ดินแล้ว ขณะที่แนวถนนยุทธศาสตร์ในเขตเมือง เช่น ถนนธนาลัย–กำแพงเมือง และช่วง จากแยก สภ.เมืองเชียงราย ถึงสถานีขนส่งแห่งที่ 1 กำลังทยอยนำสายลงท่อและรื้อถอนเสาไฟฟ้า เพื่อคลี่คลายภาพจำ “เมืองสายระโยงระยาง” ให้หมดไปตามกรอบเวลาที่วางไว้

“เมื่อโครงการแล้วเสร็จ เมืองจะโล่งตา สะอาด และเป็นระเบียบมากขึ้น” คือสารที่ทีมบริหารท้องถิ่นส่งถึงประชาชนควบคู่กับแผนย่อย ปรับไฟส่องสว่าง–ทำถนน–ทำฟุตปาธใหม่ และตั้ง ศูนย์จัดการอัจฉริยะ เพื่อดูแลระบบเมืองหลังงานโยธาจบครบวงจร เป้าหมายไม่ใช่เพียง “ความสวยงาม” แต่คือการยกระดับ ความปลอดภัย–คุณภาพชีวิต–ศักยภาพเศรษฐกิจเมือง ในแพ็กเกจเดียว

โครงสร้างโครงการ 2 เส้นเรื่อง 2 พื้นที่ งบรวมแตะเกือบ 800 ล้านบาท

ภาพใหญ่ของเชียงรายไม่ได้มีเพียงงานในเขตเทศบาลนคร หากยังมีโครงการคู่ขนานที่ อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นด่านการค้า–ท่องเที่ยวสำคัญติดชายแดนเมียนมา ทั้งสองโครงการมีรูปแบบลงทุนและไทม์ไลน์ต่างกัน แต่ประสงค์ปลายทางเดียวกันคือ “ท้องฟ้าสะอาด เมืองทันสมัย ระบบสื่อสารเสถียร”

  • โครงการเขตเทศบาลนครเชียงราย — งบประมาณภาพรวมที่สื่อท้องถิ่นและเอกสารทางการระบุอยู่ราว 488.76–500 ล้านบาท โดยเป็นความร่วมมือร่วมลงทุน PEA ~55% : เทศบาล ~45% ครอบคลุมเส้นทางนำร่อง 5 เส้น ระยะทางรวมประมาณ 4.65 กม. (เช่น ถ.รัตนาเขต ถ.บรรพปราการ ถ.ธนาลัย ถ.ประสพสุข และแนวเชื่อมโบราณสถาน–จุดสัญลักษณ์เมือง) ก่อนขยายผลสู่โซนเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวอื่นต่อเนื่อง
  • โครงการเขตอำเภอแม่สาย — รูปแบบร่วมทุน PEA ~60% : เทศบาลตำบลแม่สาย ~40% ครอบคลุมแนวถนนสายหลักราว 2.8–3 กม. จากด่านพรมแดนสู่โซนพาณิชยกรรม โดยเทศบาลแม่สายยืนยันการเดินเครื่องร่วมกับ PEA และหน่วยงานรัฐตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมา

ตัวเลขงบประมาณสะท้อน “ขนาดงาน” และความคาดหวัง: โครงสร้างพื้นฐานใต้ดินราคาแพงกว่าระบบอากาศหลายเท่า แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนคือ ความปลอดภัย–ความทนทานต่อพายุ–และความพร้อมด้านสื่อสาร สำหรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลและการท่องเที่ยวคุณภาพ

ความล่าช้าเชิงโครงสร้าง และ “มรดกสายเก่า” บนเสาเดียว

แม้เป้าหมายชัด แต่เส้นทางสู่เส้นชัยไม่ได้ราบรื่น โครงการในพื้นที่เมืองเคยสะดุดจนต้อง “คืนงบ” ย้อนไปเมื่อ 2–3 ปีก่อน จากนั้นจึงเริ่มตั้งหลักใหม่ ลงนาม MOU และสัญญาจ้างจริงในช่วงกลางปี 2565 ทำให้ดีเลย์จากแผนเดิมไปกว่า 2 ปี ส่วนแม่สาย แม้เริ่มขุดเจาะตั้งแต่ปลายปี 2563 แต่สถานะล่าสุดคาดหมายแล้วเสร็จยืดไปถึง เมษายน 2569 หรือช้ากว่าแผนเดิม 4–5 ปี ปัจจัยหลักไม่ใช่ความตั้งใจ หากเป็น “ปมโครงสร้าง” ที่ซ้อนกันหลายชั้น ทั้งการประสานหลายหน่วยงาน งบประมาณ และข้อจำกัดเชิงเทคนิค—โดยเฉพาะ ปัญหาสายสื่อสารค้างเก่า จากผู้ประกอบการหลายค่ายที่ไม่ได้ใช้งาน แต่ยังพาดคาราวะบนเสาร่วมกับสายใช้งานจริงจนจัดระเบียบลำบาก หน่วยงานกำกับและท้องถิ่นต่างยอมรับว่า “สายที่รกรุงรังจำนวนมาก” เป็นอุปสรรคสำคัญในการย้ายลงดินและรื้อเสาในเฟสสุดท้ายของงาน

ภาพ “สายจำนวนมากบนเสาต้นเดียว” ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะเชียงราย กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ก็เผชิญสถานการณ์คล้ายกัน จนเกิดการทบทวน มาตรการจัดระเบียบสายสื่อสาร และแบบแผนการรื้อสายที่เลิกใช้อย่างจริงจังในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา—ทั้งผ่านบทบาทของ กสทช., รัฐบาลท้องถิ่น และความร่วมมือกับผู้ประกอบการเอกชน

นโยบาย–แรงหนุนระดับชาติ “ลงดิน” ไม่ใช่แค่สวย แต่คือยุทธศาสตร์

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ส่งสัญญาณเชิงนโยบายชัด หลายครั้งรัฐมนตรีดีอีเอสลงพื้นที่เชียงรายและแม่สายด้วยตนเอง เพื่อเร่งรัด “จัดระเบียบสาย–นำลงท่อร่วม” ในจุดยุทธศาสตร์ของ NEC–Creative Lanna ผลลัพธ์ที่รัฐมองหาไม่ใช่เพียงวิวเมืองสะอาด หากรวมไปถึง ระบบสื่อสารที่เสถียร รองรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การค้า–การลงทุนชายแดน และท่องเที่ยวระดับสากล โดยโมเดลรายได้ในอนาคตยังสามารถเปิดให้เช่า “ท่อร้อยสาย” ใต้ดินแก่ผู้ให้บริการรายอื่นเพื่อกระจายต้นทุนและสร้างความคุ้มในการลงทุนระยะยาวด้วย

บนเส้นนโยบายเดียวกัน ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ถูกออกแบบให้บูรณาการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลกับวัฒนธรรม–การท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ เพื่อยกระดับศักยภาพจังหวัดหัวเมืองเหนืออย่างเชียงรายให้เป็น “แพลตฟอร์ม” เชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และชายแดน สัญญาณเหล่านี้ทำให้ “ลงสายลงดิน” ไม่ใช่งานโยธาโดด ๆ แต่คือ ฐานราก Smart City ที่ต้องรีบปักหมุดให้ทันเวลา

ผลกระทบวันนี้–ประโยชน์วันหน้า ตัวเลข–ความรู้สึก–และความคุ้มค่า

วันนี้ งานลงดินหลีกเลี่ยงผลกระทบด้วยการทำงานกลางคืน ปิด–เปิดการจราจรเป็นช่วง ๆ และติดตั้งป้ายเตือนเพื่อความปลอดภัย แต่ไม่ว่าจัดการดีเพียงใด ผลกระทบชั่วคราวต่อผู้ค้าริมทางและการสัญจรย่อมเกิดขึ้น พรุ่งนี้ เมื่อรื้อเสาออกหมด เมืองจะได้ 3 ผลลัพธ์หลัก:

  1. ทัศนียภาพ — “ฟ้าโล่ง–เมืองโล่ง” เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว ถ่ายรูปได้แบบไม่ต้องหลบสาย
  2. ความปลอดภัยและความทนทาน — ลดความเสี่ยงเสาล้ม สายขาด วาตภัย และไฟไหม้จากการลักลอบเกี่ยวสาย
  3. ความพร้อมดิจิทัล — สัญญาณสื่อสารเสถียร รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ร้านค้า–บริการ–อีคอมเมิร์ซ และงานอีเวนต์ไมซ์

กรอบคิด “คุ้ม–ไม่คุ้ม” จึงต้องมองฐานะ “สินทรัพย์สาธารณะระยะยาว” ไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่าย ณ ปีงบประมาณเดียว—โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจหลัก ด่านพรมแดน และย่านท่องเที่ยวที่ค่าประโยชน์แฝง (externalities) สูงกว่าค่าใช้จ่ายงานโยธา

ทำอย่างไรให้ “เม.ย. 69” ไม่ใช่แค่นัดหมายบนกระดาษ

ปลดล็อก “สายเก่า” ให้จริง—ต้องมี มาตรการบังคับใช้ ชัดเจนให้ผู้ประกอบการร่วมรื้อถอนสายเลิกใช้งานในจุดที่จะลงดิน มิฉะนั้นงานจะค้างอยู่ที่เสาและหน้าตู้สื่อสารปลายทางไม่จบสิ้น กรอบร่วมมือรูปแบบ “ท่อร้อยสายร่วม” และอัตราค่าใช้ท่อที่เป็นธรรม จะช่วยให้เอกชนเต็มใจย้ายเร็วขึ้น การสื่อสารสาธารณะให้โปร่งใส—เผย แผนที่เส้นทาง–สถานะก่อสร้าง–กำหนดรื้อเสา แบบรายถนน และแจ้งผลกระทบล่วงหน้า ช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างก่อสร้างและเพิ่มความร่วมมือจากภาคธุรกิจท้องถิ่น ซึ่งมีการวาง มาตรการคุมงานขุดในอนาคต—เมื่อมีท่อใต้ดินมากขึ้น เมืองต้องมีกติกา “ขุดอย่างไรไม่ทำเคเบิลเสียหาย” และศูนย์ข้อมูลสาธารณูปโภคร่วม (one map) สำหรับผู้รับเหมาภาครัฐ–เอกชน เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุเสียหายและงานซ้ำซ้อน และให้ความสำคัญกับ “ย่านเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว” ก่อน—จัดลำดับความสำคัญ (phasing)ถนนที่ให้ผลกระทบเชิงบวกระดับเมืองสูงสุด แล้วค่อยไล่ขยายไปสายรอง เพื่อสร้าง “ชัยชนะระยะสั้น” (quick wins) และความเชื่อมั่นของสาธารณะ

เสียงสะท้อนจาก “สนามจริง” บทเรียนที่ต้องจำ

บทเรียนจากหลายเมืองชี้ชัดว่าปัญหาสายสื่อสารที่รกรุงรังเกิดจาก การติดตั้งใหม่โดยไม่รื้อของเก่า และ ความเป็นเจ้าของสายกระจัดกระจาย กสทช. และหน่วยงานท้องถิ่นจึงร่วมกันจัดทำแนวทางและปฏิบัติการ “จัดระเบียบสาย” ในหลายจังหวัด พร้อมผลักดันการย้ายลงท่อร่วมตามความพร้อมของถนนและงบประมาณ ยิ่งในเชียงรายที่มีความหมายเชิง เศรษฐกิจชายแดน + ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การแก้ปมนี้ให้เด็ดขาดคือ เงื่อนไขความสำเร็จ ที่ต้องทำคู่ขนานกับงานโยธาใต้ดิน

จาก “ฟ้าโล่ง” สู่ “เมืองอัจฉริยะ” ถาวร

เชียงรายกำลังเดินจาก “ภาพจำเสา–สาย” ไปสู่ “ภาพจริงเมืองสะอาด–ปลอดภัย–เชื่อมต่อฉลาด” หากทำได้ตามเป้าหมาย เมษายน 2569 เมืองจะได้ทั้ง ภูมิทัศน์ใหม่, โครงสร้างสื่อสารพร้อมใช้, และ ความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว–นักลงทุน ในฐานะจุดหมายระดับภูมิภาคที่พึ่งพาได้ แต่ความสำเร็จนั้นไม่ได้วัดด้วยความเร็วในการขุดเพียงอย่างเดียว—มันวัดด้วย คุณภาพการประสานงาน ความเข้มแข็งของ กติกาเชิงกำกับ ต่อ “สายเก่า” และ ความโปร่งใสในการสื่อสารกับประชาชน ตลอดทาง

เมื่อ “สายบนฟ้า” ลงดิน—สิ่งที่ลอยขึ้นแทนคือ ความหวังของเมือง ที่จะก้าวสู่ Smart City บนฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของ NEC อย่างเต็มภาคภูมิ

แผนที่ข้อมูล (สำหรับผู้นำไปใช้ตัดสินใจ–ปฏิบัติการ)

  • ขอบเขตโครงการเมืองเชียงราย: นำร่อง 5 เส้นทาง ระยะรวม ~4.65 กม. สัดส่วนลงทุน PEA ~55% : เทศบาล ~45%—ขยายผลตามย่านเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวสำคัญ (ข้อมูลภาพรวมจากการลงพื้นที่ติดตามและถ้อยคำของ รมว.ดีอีเอส ต่อพื้นที่เชียงราย/แม่สาย)
  • แม่สาย: แนวถนนสายหลักราว 2.8–3 กม. เริ่มกระบวนการร่วมกับ PEA ตั้งแต่ปลายปี 2563—เร่งรัดย้ายสาย–จัดระเบียบ คาดเสร็จ เม.ย. 2569 (ยืนยันจากเทศบาลแม่สายและรายงานสื่อเศรษฐกิจ)
  • นโยบาย–ยุทธศาสตร์: ดีอีเอสผลักดันย้ายสายลงดินในจุดยุทธศาสตร์ NEC–Creative Lanna เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว–การลงทุน และใช้ “ท่อร้อยสายร่วม” เป็นกลไกคุ้มทุนระยะยาว
  • ข้อจำกัดที่ต้องจัดการ: สายสื่อสารค้างเก่าจำนวนมาก—ต้องเร่งมาตรการร่วมรื้อถอน–ย้ายลงท่อ และคุมมาตรฐานเดินงานขุดในอนาคต (แนวทางกสทช., ภาครัฐท้องถิ่น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล/ดีอีเอส–สื่อเศรษฐกิจ” ฐานเศรษฐกิจ (มองโครงการในกรอบ NEC–Creative Lanna และบทบาท NT/ผู้ให้บริการสื่อสาร)
  • สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3/กรมประชาสัมพันธ์
  • ThaiPBS / ป.ป.ช.
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” คว้า 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ Creative Cultural District ของไทย

ชัยชนะแห่งวัฒนธรรม “ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” ติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ Creative Cultural District ของประเทศไทย จุดประกายผ้าทอไทลื้อสู่ Soft Power และย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 — เช้าวันปลายฝน ณ อำเภอเชียงของ เรื่องเล่าเก่าของเส้นด้าย ลวดลาย และกี่ทอของชุมชนไทลื้อบ้านศรีดอนชัย ถูกขึงตึงเป็น “โครงบนหูกใหม่” ของการพัฒนาย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อโครงการ ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์ (Creative Sri Don Chai)” ได้รับการคัดเลือก ติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ ของประเทศไทย ภายใต้โครงการ Creative Cultural District ที่ขับเคลื่อนโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) หลังผ่านเวิร์กช็อปเข้มข้น 3 วันเต็ม (22–24 ส.ค. 2568) ที่กรุงเทพฯ ร่วมกับอีก 11 ทีมจากทั่วประเทศ

ผลการคัดเลือกซึ่งประกาศในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงธงหมุดหมายบนแผนที่การพัฒนา แต่คือ “สัญญาณเปลี่ยนเกลียวด้าย” จากผ้าทอในฐานะสินค้าหัตถกรรม ไปสู่ “งานออกแบบ–นวัตกรรมทางวัฒนธรรม” ที่มีตลาดและมูลค่าเพิ่มรองรับทั้งระบบ โดยมี ทุนสนับสนุนสูงสุด 1,000,000 บาท/พื้นที่ต้นแบบ พร้อมเครือข่ายที่ปรึกษาข้ามสาขาเพื่อพัฒนาต้นแบบพื้นที่ให้เกิดขึ้นจริงในช่วง 12 เดือนถัดไป

จากเวิร์กช็อปสู่สนามจริง ผสานภูมิปัญญากับนวัตกรรมอย่างมีระบบ

ตลอด 3 วันของ Creative Cultural District Workshop ทีมพื้นที่จาก ศรีดอนชัย ได้รับคำแนะนำเชิงลึกทั้งด้านนโยบาย ออกแบบ และย่านสร้างสรรค์ จากคณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ผศ.ดร.ปูรณ์ ขวัญสุวรรณ (นโยบาย Thailand as Brand), ผศ.ดร.ฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร (การพัฒนาย่านนวัตกรรมและพื้นที่สร้างสรรค์), ผศ.ดร.สักรินทร์ แซ่ภู่ (ออกแบบสภาพแวดล้อมชุมชนเมือง) และ คุณสุวิทย์ วงศ์รุจิราวาณิชย์ (การสร้างอัตลักษณ์–แบรนด์ชุมชน) ตลอดจนที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมและการสื่อสารอีกหลายราย

แกนเนื้อหาของเวิร์กช็อปมี 3 ขั้นตอนที่ชัดเจน

  1. Mapping — ทำแผนที่ทุนวัฒนธรรมในพื้นที่ ทั้งกลุ่มช่างทอ ลวดลาย วัสดุ เครื่องมือ โรงทอ จุดเรียนรู้ และเส้นทางการท่องเที่ยว
  2. Mock-up/Prototype — ออกแบบต้นแบบย่าน/ผลิตภัณฑ์/ประสบการณ์ ตั้งแต่งานคราฟต์ร่วมสมัย ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่มีมาตรฐานคุณภาพ ไปจนถึงเทศกาลย่อยในหมู่บ้านที่เล่าเรื่องผ้า
  3. Implementation Plan — แผนปฏิบัติงาน 6–12 เดือน ครอบคลุมการบริหารจัดการพื้นที่ การตลาด การยกระดับมาตรฐาน และการติดตามประเมินผล

ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” โดดเด่นด้วยการ แปลงผ้าเป็นระบบนิเวศ: จาก “สินค้าสวย” เป็น “ชุดความรู้–กระบวนการ–ประสบการณ์” ที่เชื่อม คนทอ–คนออกแบบ–ตลาด เข้าด้วยกัน ตั้งแต่ต้นน้ำ (ปลูกฝ้าย/คัดเส้นใย/ย้อมสีธรรมชาติ) กลางน้ำ (ทอลาย ตัดเย็บ มาตรฐานคุณภาพ) จนถึงปลายน้ำ (ค้าปลีก–ค้าส่ง–ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์) ทั้งหมดวางอยู่บน เป้าหมายร่วม คือ ยกระดับรายได้และศักดิ์ศรีช่างทอ ควบคู่กับ การสืบสานอัตลักษณ์ลายไทลื้อ อย่างมีชีวิต

ผ้าทอไทลื้อ จาก “สินค้าราคาถูก” ข้ามแดน สู่ Soft Power ที่มีเรื่องเล่าและมาตรฐาน

กว่า 40 ปี ที่ชุมชนและเครือข่ายนักวิชาการ–ผู้ประกอบการพยายาม “เติมคุณค่าและอุดมการณ์” ให้ผ้าทอไทลื้อและผ้าพื้นถิ่นประเภทอื่นๆ จนกลายเป็น คลื่น Soft Power ที่ส่งพลังต่อยอดไปสู่ ภาพยนตร์ แฟชั่น ศิลปะ การท่องเที่ยว และอาหาร โครงการ ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” เลือก “จับแก่น” ของความพยายามนั้น แล้วต่อยอดด้วย หลักคิดแบบนักออกแบบ (Design Thinking) เพื่อแก้โจทย์สำคัญ 3 ประการ

  • มูลค่า: ตีความลาย–วิธีทอ ให้เป็นผลงานออกแบบร่วมสมัย บนมาตรฐานคุณภาพ–ความทนทาน–การใช้สีธรรมชาติ และการติดตามย้อนกลับได้ (traceability)
  • ตลาด: สร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ (ใส่ได้ ใช้ได้ ดูแลรักษาง่าย) พร้อมช่องทางออนไลน์–ออฟไลน์ และการจับคู่กับดีไซเนอร์/แบรนด์
  • ประสบการณ์: พัฒนาเส้นทางเรียนรู้–เวิร์กช็อป–เทศกาลย่อย ให้ผู้มาเยือนสัมผัส “เรื่องเล่าหลังลายผ้า” ตั้งแต่การย้อมสีจนถึงการสวมใส่

เมื่อ “คุณค่า” (Value) มาก่อน “ราคา” (Price) ผ้าทอจึงไม่ต้องแข่งขันด้วยต้นทุนต่ำ หากแข่งขันด้วย เรื่องเล่า–มาตรฐาน–ความยั่งยืน ที่แปรเป็น มูลค่าเพิ่ม ซึ่งชุมชนได้ส่วนแบ่งอย่างเป็นธรรม

5 พื้นที่ต้นแบบ ภูมิศาสตร์ของความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลาย

นอกจากเชียงรายแล้ว โครงการยังคัดเลือกพื้นที่ต้นแบบที่สะท้อน ความหลากหลายของทุนวัฒนธรรมไทย ได้แก่

  • ข่วงเมืองลำพูน (ลำพูน) — ย่านประวัติศาสตร์ที่มีมรดกหัตถกรรม–ศรัทธาเป็นแกนกลาง
  • สิงห์ท่า เธียเตอร์ (ยโสธร) — สร้างพื้นที่ศิลปะการแสดงร่วมสมัยเคียงคู่วัฒนธรรมอีสาน
  • ช่างเรือรุ่นใหม่ – เรียน รู้ สาน (พระนครศรีอยุธยา) — สืบสานงานต่อเรือและภูมิปัญญาแม่น้ำให้คนรุ่นใหม่
  • เขาหลักเซิร์ฟทาวน์ (พังงา) — เมืองชายฝั่งที่เปลี่ยน “คลื่นทะเล” เป็นอัตลักษณ์ไลฟ์สไตล์–กีฬา–ท่องเที่ยว

การเลือกที่ ต่างทุน ต่างทรัพยากร แต่มี หลักคิดร่วม เรื่องการออกแบบและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำให้เครือข่ายพื้นที่ต้นแบบสามารถเรียนรู้ข้ามวิชา–ข้ามภูมิภาคได้จริง เชียงรายจึงไม่ได้เดินลำพัง แต่เดินไปกับเพื่อนบ้านที่กำลังสร้างย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยกัน

เชื่อมเป้าหมายระดับประเทศ จาก “Thailand as Brand” สู่ “Creative Cities Network”

ในภาพใหญ่ โครงการ Creative Cultural District ทำงานสอดรับนโยบายระดับชาติที่เน้น อุตสาหกรรมสร้างสรรค์–Soft Power–เศรษฐกิจฐานวัฒนธรรม โดยใช้การออกแบบเป็นเครื่องมือเชื่อม อัตลักษณ์ท้องถิ่น กับ มาตรฐานสากล ทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับกรอบ UNESCO Creative Cities Network (UCCN) ที่ส่งเสริมให้เมืองใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ประเทศไทยมีเมืองในเครือข่าย UCCN หลายสาขา อาทิ กรุงเทพฯ (Design), เชียงใหม่ (Crafts & Folk Art), ภูเก็ต (Gastronomy), สุโขทัย (Crafts & Folk Art) และ เพชรบุรี (Gastronomy)—แต่ละเมืองล้วนพิสูจน์ว่า หากเมือง ลงทุนกับ “คน–พื้นที่–เรื่องเล่า” อย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถต่อยอดเป็น เศรษฐกิจชุมชนที่ยืนได้ และ ภาพลักษณ์เมืองที่ยั่งยืน เชียงรายในฐานะ “ผู้เล่นใหม่” จึงกำลังวางฐานสู่ UCCN สาขาการออกแบบ ด้วยกลยุทธ์ “คนรุ่นใหม่ทำงานกับช่างทอจริง ในพื้นที่จริง เพื่อชิ้นงานจริง”

แผนเดินเกม 12 เดือน ย่านเริ่มได้จาก 3 จุดเล็ก—ของ สถานที่ ประสบการณ์

เพื่อให้ “ธงพื้นที่ต้นแบบ” ไม่หยุดอยู่บนเวทีประกาศผล ทีมศรีดอนชัยวาง Roadmap 12 เดือน ที่ทำได้จริงและวัดผลได้

  1. Product Track (ของ) — พัฒนาคอลเลกชันตัวอย่าง 3–5 กลุ่มสินค้า (สวมใส่/ของใช้/ของแต่งบ้าน) ด้วยลายไทลื้อ ติดตามย้อนกลับได้ ย้อมสีธรรมชาติบางส่วน และตั้งมาตรฐานคุณภาพ–บำรุงรักษา
  2. Place Track (สถานที่) — ย่านนำร่องที่มีป้าย–ทางเดิน–จุดเล่าเรื่องแบบ wayfinding ซึ่งสื่อสารเรื่องลายผ้า กระบวนการย้อม การทอ และเชื่อมโฮมสเตย์/พิพิธภัณฑ์ชุมชน
  3. Program Track (ประสบการณ์) — เวิร์กช็อปถอดลาย/ย้อมคราม/ทอลอง พร้อม “ตลาดนัดคราฟต์รายเดือน” ในหมู่บ้าน และกิจกรรมทดลองกับโรงเรียนในพื้นที่

ตัวชี้วัด (KPIs) จะไม่หยุดที่ “จำนวนคนร่วมงาน” แต่ลงลึกถึง รายได้ใหม่ของช่างทอ–การจ้างงานเยาวชน–จำนวนชิ้นงานเข้าสู่การผลิตจริง–อัตราการกลับมาเยือนซ้ำของผู้มาเที่ยว ทุกไตรมาสมีการทบทวนและปรับแผนอย่างโปร่งใส โดยเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะผ่านช่องทางชุมชน/องค์กรท้องถิ่น

เศรษฐกิจ–สังคม–สิ่งแวดล้อม เส้นด้ายสามเกลียวของการเปลี่ยนผ่าน

เศรษฐกิจ — เมื่อผ้าทอถูก “ยกระดับมาตรฐานและเรื่องเล่า” มูลค่าเพิ่มจะเกิดขึ้นในหลายจุด: ค่าฝีมือที่เป็นธรรม, ช่องทางจำหน่ายที่ดีขึ้น, ผลิตภัณฑ์ต่อยอด (collab กับดีไซเนอร์/แบรนด์), และบริการท่องเที่ยว–เวิร์กช็อปที่มีราคาต่อหัวสูงขึ้นกว่าทัวร์ทั่วไป

สังคม — การ “ฝึกงานกับช่างจริง” ทำให้เยาวชนเห็นอาชีพสร้างสรรค์ในบ้านเกิด ไม่ต้องย้ายถิ่นเสมอไป ขณะเดียวกัน ผู้สูงวัยผู้เป็น “ธนาคารความรู้” ได้ถ่ายทอดทักษะและเกียรติภูมิให้คนรุ่นถัดไป เกิดการเรียนรู้ข้ามรุ่นที่จับต้องได้

สิ่งแวดล้อม — แผนย้อมสีธรรมชาติ การใช้เส้นใยท้องถิ่น และการจัดการเศษวัสดุ ให้ความหมายกับ “แฟชั่นที่รับผิดชอบ” ลดการใช้เคมี และสร้างการรับรู้เรื่องการดูแลธรรมชาติในรายละเอียดของงานผ้า

เสียงจากเวทีข้อคิดที่น่าจดจากผู้เชี่ยวชาญ

แม้เวทีจะไม่ใช่งานประกาศนโยบายครั้งใหญ่ แต่สารที่ผู้เชี่ยวชาญฝากไว้ตรงกันคือ

  • ย่านสร้างสรรค์ต้องแก้ปัญหาจริง: เริ่มจากปัญหาเล็กๆ ที่ชุมชนอยากแก้ (รายได้ช่าง การตลาด การเดินทางในหมู่บ้าน) แล้วออกแบบทางออกที่ “ทำได้” ไม่ใช่ “พูดได้”
  • น้อยแต่ชัด: เลือก pilot ที่เห็นผลเร็ว สื่อสารง่าย ขยายต่อได้ เช่น ตลาดคราฟต์รายเดือนที่ช่างเป็นเจ้าของร่วมกับนักเรียน
  • การออกแบบคือการจัดกระบวนการ: ไม่ใช่แค่ทำของสวย แต่จัดคน–เวลา–สถานที่–ทรัพยากร ให้ชุมชน “เป็นเจ้าของ” จริง

หลักคิดเหล่านี้สอดคล้องกับแผนของศรีดอนชัยที่เน้น ownership และ ผลลัพธ์ที่ใช้ได้จริง มากกว่ารูปถ่ายสวยๆ เพียงชั่วครั้ง

เชียงรายกับเส้นทางสู่ “เมืองออกแบบ” เดินด้วยคน ไม่ใช่โครงการ

ความสำเร็จของ “ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” เกิดขึ้นท่ามกลางความเคลื่อนไหวของเชียงรายที่กำลัง ยกระดับสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโกด้านการออกแบบ ทั้งจากบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัย เครือข่ายศิลปิน–นักออกแบบ และชุมชนชาติพันธุ์ การติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบครั้งนี้จึงเป็น ฟันเฟืองสำคัญ ที่จะทำให้ “เส้นด้ายเมืองสร้างสรรค์” ถักทอแน่นขึ้น

ในภาพที่กว้างกว่า ศรีดอนชัยกำลังก้าวออกจากการเป็น “แหล่งผลิตผ้าทอ” ไปสู่การเป็น “สนามเรียนรู้–พื้นที่ทดสอบนวัตกรรมทางวัฒนธรรม” ที่ผู้มาเยือนสามารถเห็นวงจรเต็มรูป (ปลูก–ทอ–ใช้–เล่าเรื่อง) และสัมผัสคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังทุกลายผ้าได้อย่างเป็นรูปธรรม

จากลายบนผืนผ้า สู่ลายทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัด

ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่ปลายทาง แต่คือจุดเริ่มของ การทำงานจริง ที่ต้องอาศัยวินัย ความต่อเนื่อง และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย — ช่างทอ เยาวชน โรงเรียน หน่วยงานท้องถิ่น มหาวิทยาลัย และเอกชนผู้พร้อมหนุนตลาด หากเดินตามแผน 12 เดือนด้วยการวัดผลโปร่งใส ศรีดอนชัยย่อมเป็น ต้นแบบย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่พิสูจน์ได้ว่าการออกแบบสามารถ ยกระดับรายได้ รักษาอัตลักษณ์ และเสริมความภูมิใจ ให้ชุมชนได้พร้อมกัน

และเมื่อถึงวันนั้น “ผ้าทอไทลื้อ” จะไม่ใช่เพียงที่ระลึกของผู้ผ่านทางอีกต่อไป หากเป็น Soft Power ที่เล่าเรื่องเชียงรายในภาษาสากล—ชัดเจน อ่อนน้อม และทรงพลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA
  • UNESCO Creative Cities Network (UCCN)
  • THACCA-Thailand Creative Culture Agency
  • Creative Cultural District
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News