
ตำรวจ ปอท. จับกุมตัวการสำคัญฟอกเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 70 เครือข่าย หลอกคนไทยวันละ 30 ล้านบาท
ปฏิบัติการทลายเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติบนดอยแม่สลอง
เชียงราย – วันที่ 8 มีนาคม 2568 ตำรวจ ปอท. เข้าจับกุม นายบุรพล อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินให้เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ โดยสามารถจับกุมได้ที่บ้านพักใน หมู่ 6 ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1842/2567 ลงวันที่ 25 เมษายน 2567 ในข้อหา “มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและโดยทุจริตหรือหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ข้อมูลอันเป็นเท็จที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
การจับกุมครั้งนี้เป็นผลมาจากปฏิบัติการ “Lockdown the Cat” ซึ่งดำเนินการโดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อกวาดล้างเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ที่มีการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ตำรวจสามารถจับกุม บัญชีม้า คนจัดหาบัญชีม้า พนักงานคอลเซ็นเตอร์ และล่ามแปลภาษาของหัวหน้าเครือข่ายชาวจีน ก่อนขยายผลไปถึงนายบุรพล ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการฟอกเงินให้แก๊งดังกล่าว
เผยพฤติกรรมการฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
จากการสอบสวน นายบุรพล ให้การรับสารภาพว่า ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศฟอกเงินในปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยมีเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ หลอกลวงคนไทยกว่า 70 เครือข่าย ใช้บริการฟอกเงินของตนเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางการเงิน โดยมีบอสชาวจีนเป็นผู้ควบคุมระบบ
เงินที่ถูกหลอกจากเหยื่อวันละ 30 ล้านบาท จะถูกโอนผ่านบัญชีม้า ก่อนเข้าสู่กระบวนการฟอกเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเทรดเงินดิจิทัล และโอนผ่านบัญชีต่างประเทศ โดยนายบุรพลจะได้รับส่วนแบ่ง 8-12% ของเงินที่ฟอกได้ คิดเป็นรายได้ต่อเดือนจำนวนมหาศาล
ปฏิบัติการจับกุมและผลกระทบต่ออาชญากรรมทางการเงิน
ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็น ความก้าวหน้าสำคัญในการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยตำรวจ ปอท. ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วกว่า 500 ราย และสามารถยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินได้มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท
พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผู้บัญชาการตำรวจ ปอท. เปิดเผยว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนอย่างมาก การจับกุมครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปฏิบัติการต่อเนื่องในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ” พร้อมย้ำว่า ตำรวจยังคงเดินหน้าตรวจสอบและติดตามเส้นทางการเงินของเครือข่ายเหล่านี้อย่างเข้มข้น
สถิติเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์และแนวทางป้องกัน
จากข้อมูลของ ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ (CCIB) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า:
- มูลค่าความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปี 2567 สูงถึง 10,000 ล้านบาท
- กว่า 85% ของเหยื่อเป็นผู้สูงอายุและคนวัยเกษียณ ที่ตกเป็นเป้าหมายของการหลอกลวง
- ช่องทางหลักที่ใช้ในการหลอกลวงคือการโทรศัพท์ผ่าน VoIP และการส่ง SMS ปลอม
- บัญชีม้าในประเทศไทยมีมากกว่า 50,000 บัญชี ที่ถูกใช้ในการโอนเงินผิดกฎหมาย
ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ฝ่ายสนับสนุนมาตรการปราบปรามมองว่า “การที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวการฟอกเงินครั้งนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์” นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การใช้เทคโนโลยีและปฏิบัติการเชิงรุกจะช่วยลดจำนวนเหยื่อที่ตกเป็นเป้าหมายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่มีมุมมองแตกต่างระบุว่า “ถึงแม้การจับกุมครั้งนี้เป็นเรื่องดี แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้” เนื่องจากเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายประเทศในการสืบสวนและปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย
บทสรุป: ก้าวต่อไปในการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์
การจับกุม นายบุรพล และการขยายผลสู่เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญของ ตำรวจ ปอท. ในการสกัดกั้นเส้นทางการเงินของอาชญากรรมไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม การป้องกันปัญหานี้ยังต้องอาศัย ความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการเฝ้าระวัง และแจ้งเบาะแส เพื่อให้สามารถดำเนินคดีและยับยั้งการกระทำผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประชาชนควรเพิ่มความระมัดระวัง ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ต้องสงสัย และตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน หากพบเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน ปอท. โทร 1441 หรือ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์แห่งชาติ โทร 1599
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)