Categories
CULTURE

ไทยผงาด! มรดกวัฒนธรรมอันดับ 1 เอเชีย: โอกาสของซอฟต์พาวเวอร์ในเชียงราย

ซอฟต์พาวเวอร์พลิกโฉม! ไทยมรดกวัฒนธรรมอันดับ 1 โลก ยกระดับชีวิตคนเชียงราย

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมร่ำรวยที่สุดในเอเชีย จากรายงานของ U.S. News & World Report ประจำปี 2024 การประกาศนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของชาวเชียงรายและชุมชนใกล้เคียงให้ดีขึ้นได้อย่างไร? ในขณะที่โลกกำลังมองหา “ซอฟต์พาวเวอร์” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่อย่างเชียงรายที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรมชนเผ่า วัดวาอารามโบราณ และธรรมชาติอันงดงาม กำลังยืนอยู่บนเวทีที่พร้อมจะผงาดขึ้น แต่คำถามที่ชวนสงสัยคือ โอกาสนี้จะนำพาประโยชน์อะไรมาสู่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะคนในพื้นที่ภาคเหนือที่กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจจากความผันผวนของการท่องเที่ยวและการเกษตร

การจัดอันดับและนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

ก่อนอื่น เรามาดูข้อเท็จจริงที่เป็นพื้นฐานของเรื่องนี้กัน รายงาน Best Countries Rankings ประจำปี 2024 จาก U.S. News & World Report ซึ่งเป็นองค์กรสื่อชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ได้จัดอันดับประเทศไทยเป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมร่ำรวยที่สุดอันดับ 1 ในเอเชีย และอันดับ 8 ของโลก จากทั้งหมด 89 ประเทศที่ได้รับการประเมิน การจัดอันดับนี้มาจากการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 17,000 คนทั่วโลก โดยใช้เกณฑ์ 5 ประการที่ถ่วงน้ำหนักเท่ากัน ได้แก่ การเข้าถึงวัฒนธรรม (culturally accessible), ประวัติศาสตร์อันรุ่งเรือง (has a rich history), อาหารยอดเยี่ยม (has great food), สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย (many cultural attractions) และความน่าดึงดูดทางภูมิศาสตร์ (many geographic attractions)

จากรายงาน ประเทศไทยทำคะแนนโดดเด่นในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงวัดวาอาราม โบราณสถาน และเทศกาลประเพณีที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น การนวดแผนไทย อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับระดับโลก และหาดทรายขาวกับภูเขาที่งดงาม ทำให้ไทยแซงหน้าประเทศอย่างอินเดีย (อันดับ 2 ในเอเชีย), ญี่ปุ่น (อันดับ 3), จีน (อันดับ 4), อินโดนีเซีย (อันดับ 5), เวียดนาม (อันดับ 6), มาเลเซีย (อันดับ 7), เกาหลีใต้ (อันดับ 8), สิงคโปร์ (อันดับ 9) และฟิลิปปินส์ (อันดับ 10) ในภูมิภาคเอเชีย

รายงานยังระบุว่า แม้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวของไทยจะคิดเป็นเพียง 7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2024 แต่ไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนมากที่สุดในโลก โดยในปี 2024 มีนักท่องเที่ยวกว่า 35 ล้านคน เพิ่มขึ้น 43.8% จากปีก่อนหน้า และสร้างรายได้กว่า 42.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) ตามข้อมูลจาก World Travel & Tourism Council (WTTC) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมไทยไม่เพียงแต่เป็นมรดก แต่ยังเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิด-19

ยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ THACCA

ในส่วนของนโยบายภาครัฐ รัฐบาลไทยได้ตอบสนองต่อการจัดอันดับนี้อย่างรวดเร็ว โดยผ่านหน่วยงานหลักอย่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Thailand Creative Culture Agency หรือ THACCA) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2023 เพื่อขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ THACCA ทำงานร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. ต้นน้ำ: การพัฒนาทักษะคนไทย – นโยบาย “หนึ่งครอบครัว หนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS)” มุ่งสกิล (up-skill) และรีสกิล (re-skill) คนไทย โดยใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การอบรมช่างฝีมือท้องถิ่นในเชียงรายให้ใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งขายผลิตภัณฑ์หัตถกรรมออนไลน์ ในปี 2024 มีการจัดอบรมกว่า 100,000 คนทั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คนในปี 2025
  2. กลางน้ำ: การพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ – รัฐบาลมุ่งแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและออกกฎหมายใหม่เพื่อสนับสนุน 14 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อาหาร ภาพยนตร์ ดนตรี มวยไทย และการท่องเที่ยว โดย THACCA ได้จัดงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2024 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งรวบรวมผู้ประกอบการจาก 11 อุตสาหกรรม เพื่อแสดงศักยภาพวัฒนธรรมไทย และวางแผนขยายไปยังงานใหญ่ในปี 2025 ที่จะจัดระหว่าง 8-11 กรกฎาคม
  3. ปลายน้ำ: การผลักดันสู่เวทีโลก – ใช้ “การทูตทางวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Cultural Diplomacy)” เพื่อสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ เช่น การส่งออกภาพยนตร์ไทย ซีรีส์ และอาหารไปยังตลาดเอเชียและยุโรป ในปี 2024 THACCA ได้ลงทุนกว่า 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 240 ล้านบาท) ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน เพื่อส่งเสริมการส่งออก

นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าหมายให้ซอฟต์พาวเวอร์ช่วยเพิ่ม GDP จากภาคสร้างสรรค์ให้ถึง 15% ภายในปี 2030 จากปัจจุบันที่อยู่ราว 7-8% ตามข้อมูลจาก Brand Finance’s Global Soft Power Index 2024 ซึ่งจัดอันดับไทยเป็นอันดับ 1 ในเอเชียด้านวัฒนธรรมเช่นกัน

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชน โดยเฉพาะในเชียงราย

นโยบายซอฟต์พาวเวอร์จะส่งผลกระทบอย่างไร โดยเน้นผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะชาวเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงที่อาศัยพึ่งพาการเกษตร การท่องเที่ยว และหัตถกรรมการครองอันดับ 1 ในเอเชียด้านมรดกวัฒนธรรมอาจกระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คำถามชวนคิดคือ หากนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 20-30% ในปี 2025 ตามที่ WTTC คาดการณ์ ชุมชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์อย่างไร? จากสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในปี 2024 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 5 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 50,000 ล้านบาท โดย 40% มาจากการท่องเที่ยววัฒนธรรม เช่น การเยี่ยมชมวัดร่องขุ่น ดอยตุง และหมู่บ้านชนเผ่า การผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ผ่าน THACCA อาจทำให้รายได้จากภาคนี้เพิ่มขึ้น 15-20% ต่อปี โดยเฉพาะหากรัฐบาลขยายโครงการ OFOS มาสู่พื้นที่ภาคเหนือ ที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและช่างฝีมือ สามารถขายผลิตภัณฑ์อย่างผ้าทอหรือชาโออิ้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ สร้างรายได้เสริมเฉลี่ย 5,000-10,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยง หากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการจัดการที่ดี อาจนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การบุกรุกพื้นที่ป่าดอยในเชียงราย หรือการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดหัตถกรรม จากข้อมูลของ ISEAS-Yusof Ishak Institute ในปี 2025 ชี้ว่า นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่เน้น (bureaucratic) อาจจำกัดความคิดสร้างสรรค์ระดับ grassroots ในพื้นที่อย่างเชียงใหม่และเชียงราย ดังนั้น รัฐบาลควรให้ชุมชนมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อให้ประโยชน์ตกถึงประชาชนจริงๆ ไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่

ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นเครื่องมือยกไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลาง

ประการที่สอง ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาค จากรายงานของ World Bank ปี 2024 เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5% โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกและการท่องเที่ยว หากซอฟต์พาวเวอร์ช่วยเพิ่มมูลค่าส่งออกวัฒนธรรม เช่น อาหารและภาพยนตร์ ให้ถึง 10% ของ GDP ภายใน 5 ปี ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์จากงานใหม่ๆ กว่า 1 ล้านตำแหน่ง ตามที่นายกรัฐมนตรีสฤษฎ์ฐา ทวีสินเคยให้สัมภาษณ์ในงาน THACCA SPLASH 2024 ว่า “ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็นเครื่องมือยกไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลาง” โดยเฉพาะในเชียงราย ซึ่งมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวชุมชน (community-based tourism) ที่คิดเป็น 8% ของรายได้การท่องเที่ยวไทย ตามรายงาน Tourism Analytics 2024 การพัฒนานี้จะช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มั่นคงขึ้น ลดการย้ายถิ่นฐานไปเมืองใหญ่ และเสริมสร้างชุมชนที่ยั่งยืน

แต่ในมุมวิเคราะห์เชิงลึก เราต้องถามว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่ หากไม่มีการกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม? จากตัวเลขของ Bank of Thailand การท่องเที่ยวสร้างรายได้หลักให้กับ 11% ของ GDP ในปี 2019 แต่หลังโควิด ช่องว่างระหว่างเมืองใหญ่กับชนบทเพิ่มขึ้น 20% ดังนั้น THACCA ควรเน้นโครงการที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมล้านนาในเชียงรายเข้ากับตลาดโลก เช่น การส่งเสริมเทศกาลสงกรานต์หรือประเพณียี่เป็งให้เป็นแบรนด์ระดับสากล ซึ่งอาจเพิ่มรายได้ชุมชน 30% ตามแบบจำลองของ WTTC

ต้องระวังการแข่งขันจากจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมีซอฟต์พาวเวอร์แข็งแกร่ง

ประการสุดท้าย การผลักดันสู่เวทีโลกผ่านการทูตวัฒนธรรมอาจเสริมอิทธิพลของไทยในเอเชีย แต่ต้องระวังการแข่งขันจากจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมีซอฟต์พาวเวอร์แข็งแกร่ง จากข้อมูล Global Soft Power Index 2024 ไทยอยู่อันดับ 1 เอเชียด้านวัฒนธรรม แต่จีนนำด้านเศรษฐกิจ หากรัฐบาลใช้โอกาสนี้ดี ประชาชนในเชียงรายจะได้รับประโยชน์จากนักลงทุนต่างชาติที่สนใจวัฒนธรรมชนเผ่า สร้างงานในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น การผลิตเนื้อหาดิจิทัลเกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่น

โดยสรุป การวิเคราะห์ชี้ว่า ซอฟต์พาวเวอร์ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจ แต่เป็นโอกาสสร้างเศรษฐกิจยั่งยืน หากรัฐบาลและชุมชนร่วมมือกัน ประชาชนอายุ 30-55 ปีในเชียงรายจะสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจ เช่น การเข้าร่วมโครงการ OFOS เพื่อพัฒนาทักษะ หรือการลงทุนในธุรกิจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งจะนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นและชุมชนที่เข้มแข็ง

จากมรดกสู่โอกาสที่ยั่งยืน

เรื่องราวของซอฟต์พาวเวอร์ไทยเริ่มจากความภาคภูมิใจในมรดกวัฒนธรรม และคลี่คลายสู่โอกาสทางเศรษฐกิจที่มหาศาล โดยเฉพาะสำหรับชาวเชียงรายที่สามารถใช้ประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้ในการยกระดับชีวิต หากทุกฝ่ายร่วมมือ โอกาสนี้จะไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงจริงที่สัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • U.S. News & World Report, Best Countries Rankings 2024 (เครดิต: U.S. News & World Report)
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (THACCA), รายงานยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ 2024-2025 (เครดิต: THACCA และรัฐบาลไทย)
  • World Travel & Tourism Council (WTTC), Economic Impact Research 2024 (เครดิต: WTTC)
  • ISEAS-Yusof Ishak Institute, Perspective 2025/44 (เครดิต: ISEAS)
  • Brand Finance, Global Soft Power Index 2024 (เครดิต: Brand Finance)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

THACCA จัดใหญ่ 12 จังหวัดซ้อม Pitch แผนพัฒนาเมืองสู่เวทีโลก

 “อวดเมือง Pitching” เวทีปลุกพลัง 12 จังหวัดสร้างสรรค์เทศกาลระดับชาติ เตรียมชิงเจ้าภาพแลนด์มาร์คเทศกาลในงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025

กรุงเทพฯ, 19 มิถุนายน 2568 –  ในยุคที่ Soft Power กลายเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมืองทั่วประเทศต่างตื่นตัวกับโอกาสใหม่ผ่านการต่อยอดทุนวัฒนธรรม สู่เทศกาลที่โดดเด่นและมีอัตลักษณ์ของตนเอง ล่าสุดกรุงเทพฯ เปิดบ้านต้อนรับ 12 จังหวัดเข้าร่วมโครงการ “อวดเมือง Pitching” เพื่อเฟ้นหาจังหวัดเจ้าภาพแลนด์มาร์คเทศกาลท่องเที่ยวไทยปี 2569 ที่จะเป็นต้นแบบของเมืองน่าลงทุน น่าอยู่ และน่าเที่ยว บนเวที THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025

จุดเริ่มต้นและเป้าหมาย

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) จัดกิจกรรม Mentoring Workshop ภายใต้โครงการ “อวดเมือง Pitching” โดยคัดเลือก 12 จังหวัดต้นแบบจากนักจัดเทศกาลทั่วประเทศ ผ่านกระบวนการนำเสนอแนวคิดและไอเดียเทศกาลท้องถิ่นที่ทรงพลัง

งานนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อยกระดับเทศกาลท้องถิ่นให้กลายเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเมือง โดยผลักดันให้แต่ละจังหวัดสร้างจุดขายใหม่บนฐานทุนทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของท้องถิ่น พร้อมรองรับการเป็นเจ้าภาพเทศกาลใหญ่ระดับประเทศในอนาคต

 “Chiang Rai BREW Festival” พลิกวิถีล้านนา สู่ Soft Power

การเลือก Chiang Rai BREW Festival เป็นแลนด์มาร์คเทศกาลนำร่อง เกิดจากแนวคิดที่ผสานอัตลักษณ์ท้องถิ่นเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเทศกาลนี้หยิบ “ชา” และ “กาแฟ” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของเชียงรายมาเป็นหัวใจหลัก สะท้อนรากเหง้าทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ริเริ่มส่งเสริมการปลูกกาแฟบนพื้นที่สูง ทดแทนพืชเสพติด เมื่อครั้งพระราชทานต้นกาแฟให้ชนเผ่าบนดอยช้าง และสืบสานสู่ชาอัสสัมพันธุ์ล้านนาของดอยแม่สลอง

เทศกาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงงานเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นเวทีบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ สถาบันการศึกษา ภาครัฐ เอกชน และชุมชนชาติพันธุ์ เชื่อมโยงให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สร้างรายได้จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิมสู่สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม

เวิร์กช็อปเข้มข้น เสริมแกร่งทุกมิติ

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และรองประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “จากรากวัฒนธรรมสู่พลังสร้างชาติ : การขับเคลื่อน Soft Power ไทยผ่านเทศกาลท้องถิ่น” สะท้อนบทบาทของงานเทศกาลในฐานะสะพานเชื่อมทุนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจยุคใหม่

นอกจากเวทีความรู้ ยังมี 7 MENTORS ตัวจริงระดับประเทศจากอุตสาหกรรม MICE และเทศกาล มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ติดอาวุธไอเดีย และให้คำแนะนำเจาะลึกในทุกมิติ ตั้งแต่การบริหารจัดการเทศกาลให้ยั่งยืน กลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่ม การตลาดสร้างแบรนด์เมือง ไปจนถึงการพัฒนา Content ที่สามารถตอบโจทย์นักลงทุน นักท่องเที่ยว และผู้อยู่อาศัยอย่างครบถ้วน

สู่รอบ Final City Pitching เวที Soft Power แห่งชาติ

ผลจากกิจกรรม Mentoring Workshop ครั้งนี้ จะถูกนำไปใช้ต่อยอดในเวที Final City Pitching รอบสุดท้าย ภายใต้ธีม “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ในงาน THACCA SPLASH – Soft Power Forum 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8–11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 1–4 ชั้น G โดยแต่ละจังหวัดจะได้อวดแลนด์มาร์ค “ชวนเมือง Dream Box” ที่บูธเมืองพาวิลเลียน พร้อมนำเสนอแนวคิดและศักยภาพในฐานะเจ้าภาพเทศกาลปี 2569

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์และเทศกาลในประเทศไทย เมื่อจังหวัดต่าง ๆ ได้รับโอกาสในการแสดงศักยภาพ สร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญ และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจสู่เวทีนานาชาติ

วิเคราะห์และบทสรุป

โครงการ “อวดเมือง Pitching” ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันนำเสนอแผนพัฒนาเมืองเท่านั้น หากแต่เป็นเวทีบ่มเพาะผู้นำเทศกาลท้องถิ่นรุ่นใหม่ เสริมพลังท้องถิ่นด้วยทุนวัฒนธรรม และผลักดัน Soft Power ไทยให้ขยายสู่ระดับโลกอย่างยั่งยืน ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน ตอกย้ำภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเทศกาลสร้างสรรค์ของภูมิภาคอาเซียน

การเดินหน้าปั้นแลนด์มาร์คเทศกาลทั่วประเทศในปีนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญที่เชื่อมโยงชุมชน ท้องถิ่น และความคิดสร้างสรรค์ ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแท้จริง

Soft Power – จุดแข็ง จุดท้าทาย ของเชียงราย

Chiang Rai BREW Festival สะท้อนความกล้าในการต่อยอด Soft Power ไทยให้ก้าวพ้นกรอบศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิม สู่การใช้ “พืชเศรษฐกิจ” อย่างชากาแฟเป็นเครื่องมือสร้างภาพจำใหม่ และพลิกบริบทการท่องเที่ยวสู่สายประสบการณ์ การเชื่อมโยงเทศกาลนี้กับพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 และแนวคิดพัฒนาที่ยั่งยืนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้ง

อย่างไรก็ตาม การดันชากาแฟเป็นซอฟต์พาวเวอร์หลักของเชียงรายอาจเผชิญข้อท้าทายในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่ยังยึดติดภาพจำเดิมของ Soft Power ไทย แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเชียงรายสามารถผสานเรื่องเล่าและประสบการณ์เข้ากับการท่องเที่ยว อาจเป็นโมเดลใหม่ของเทศกาลสร้างสรรค์ไทยในเวทีโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • Thailand Creative Culture Agency (THACCA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

30 หน่วยงาน คลอด 12 แนวทาง ชวนแต่งผ้าไทย-ชุดท้องถิ่นลอยกระทง

 

30 หน่วยงานร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทงปี 2566 ยิ่งใหญ่ คลอด 12 แนวทาง ขอความร่วมมืออนุรักษ์คุณค่าวัฒนธรรมอันดีงาม เน้นปลอดภัย ไม่ดื่ม ชวนแต่งผ้าไทย-ชุดท้องถิ่นลอยกระทง เผยแพร่ความรู้ ดึงชาวต่างชาติเที่ยวไทย สร้างรายได้เข้าประเทศหนุนนโยบาย THACCA  เตรียมเสนอยูเนสโกขึ้นทะเบียน “ประเพณีลอยกระทง”มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติปี 67

 

                นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการการบูรณาการการกำหนดแนวทางการจัดงานประเพณีลอยกระทง พุทธศักราช 2566 ครั้งที่ 1/2566 เป็นที่น่ายินดีว่า ปีนี้มีผู้แทนหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทง 30 หน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์  โดยที่ประชุมได้รับทราบนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในการขับเคลื่อนงานประเพณีที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล(Thailand Creative Content Agency -THACCA) ในการสร้างการรับรู้งานเฟสติวัลของไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ  และนโยบายของ วธ. ในการส่งเสริมคุณค่าเทศกาลประเพณีของชาติและเทศกาลอื่นๆด้านวัฒนธรรมให้เป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ปีนี้ขอความร่วมมือทุกหน่วยงานทั่วประเทศร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี สร้างความประทับใจ อำนวยความสะดวก ความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ให้เกิดความประทับใจกลับมาท่องเที่ยวไทยอีก

 

นายเสริมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับปีนี้มีสถานที่จัดงานทั้งในกรุงเทพฯ เช่น วัดอรุณราชวราราม คลองผดุงกรุงเกษม คลองโอ่งอ่างและต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่ สุโขทัย เชียงราย พระนครศรีอยุธยา ร้อยเอ็ด นครศรีธรรมราช สมุทรสงคราม เป็นต้น ที่ประชุมเห็นด้วยในการขอความร่วมมือไม่เล่นพลุ ดอกไม้ไฟ ประทัดยักษ์  รณรงค์ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่จัดงานประเพณีลอยกระทงและขณะขับขี่ยานพาหนะ การควบคุมป้องกันโรคติดต่อ  การประดิษฐ์กระทงด้วยวัสดุในท้องถิ่นหรือวัสดุที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เชิญชวนคนไทยแต่งไทยหรือชุดท้องถิ่นมาร่วมงานประเพณีลอยกระทงและการประชาสัมพันธ์งานทั้งในกรุงเทพฯและจังหวัดต่างๆ 

 

นายเสริมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า  ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมประเพณีลอยกระทง   ในปี 2566 ครอบคลุมในประเด็นคุณค่าสาระของวัฒนธรรมประเพณี วิถีอัตลักษณ์ท้องถิ่น การท่องเที่ยวและสุขภาพ ตลอดจนความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ดังนี้ 1. จัดกิจกรรมเน้นคุณค่าและสาระของวัฒนธรรม ประเพณี การท่องเที่ยวและสุขภาพ โดยคำนึงถึงความเหมาะสม ความหลากหลายของแต่ละท้องถิ่น  2. ส่งเสริมให้จังหวัดต่างๆ ร่วมจัดกิจกรรมทางศาสนา ความเชื่อ ในประเพณีลอยกระทงอย่างเหมาะสม 3. รณรงค์ให้ประชาชนสืบสานคุณค่าสาระและสิ่งที่ควรทำของประเพณีลอยกระทง รักษาความสะอาดแม่น้ำ ลำคลอง ประดิษฐ์กระทงด้วยวัสดุในท้องถิ่นหรือวัสดุที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาหรือความเชื่อที่นับถือ 4. สนับสนุนศิลปินพื้นบ้านในการจัดกิจกรรมการละเล่น และการแสดงทางวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น และการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น 5. ผู้เข้าร่วมงาน ควรคำนึงถึงหลักสิทธิ มนุษยชน เช่น การไม่คุกคามทางเพศ การไม่เล่นประทัด พลุ ดอกไม้ไฟในที่สาธารณะ และการไม่สร้าง ความวุ่นวายหรือความเดือดร้อนต่อผู้อื่นในที่สาธารณะ เป็นต้น 6. ขับขี่ยานพาหนะและใช้ถนนหนทางให้ปฏิบัติตาม กฎหมาย กฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมถึงช่วยสอดส่อง หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ในกรณีพบเห็นผู้ที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม 7. การดำเนินการจัดงานตามคำแนะนำในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด โรคติดเชื้อของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และการรักษาความปลอดภัยในด้านอื่น ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 8. ส่งเสริมภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเพณีลอยกระทงทั้งในระดับท้องถิ่น ประเทศ และระหว่างประเทศ 9. ส่งเสริมภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ในการเผยแพร่คุณค่าสาระของประเพณีลอยกระทงที่แท้จริงของต่อชาวต่างชาติ 10.ส่งเสริมในการสร้างความตระหนักรู้ ต่อประชาชนเกี่ยวกับประเพณีลอยกระทงในประเทศไทยในฐานะที่เป็นมรดกภูมิปัญญาของชาติ สร้างความภาคภูมิใจและหวงแหนในประเพณีลอยกระทงต่อประชาชน 11. รณรงค์ให้ประชาชนสร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทยในการเข้าร่วมกิจกรรม ประเพณีลอยกระทง เช่น แต่งกายด้วยชุดสุภาพผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น หรือชุดไทยที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละ ท้องถิ่น เป็นต้น 12. ส่งเสริมกิจกรรมที่มีความสร้างสรรค์ที่สามารถพัฒนาต่อยอดคุณค่าสาระลอยกระทง เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจของชุมชนและของประเทศ โดยใช้ทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในชุมชน และยังคงอัตลักษณ์ของความเป็นท้องถิ่น

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ วธ. จะมีการเก็บข้อมูลเทศกาลประเพณีลอยกระทงในประเทศไทยเตรียมเสนอขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ  (ยูเนสโก)  ในปี 2567 ด้วย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News