Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“น้องกอดอุ่น” มาสคอตใหม่เชียงราย สื่อสาร Soft Power “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เชียงรายเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” ทูตการท่องเที่ยวใหม่ คราฟต์แบรนด์เมืองด้วยอารมณ์ “โอบกอด” ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานราก

เชียงราย,28 กันยายน 2568 – เวลา 15.30 น. บรรยากาศลาน Grand Hall ชั้น G ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เชียงราย คึกคักเป็นพิเศษ เมื่อ นายรุจติศักดิ์ รังสี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม “Gord-Aun Meet & Greet พบปะน้องกอดอุ่น” เปิดตัว น้องกอดอุ่น (Gord-Aun)” มาสคอตทูตการท่องเที่ยวตัวแทน “ภูเขาและเมฆหมอกที่โอบล้อมเชียงราย” เชื้อเชิญนักเดินทาง “มากอดเชียงราย” ผ่านพลัง Soft Power ที่สื่อสารด้วยอ้อมกอดและความอบอุ่นของผู้คนเมืองเหนือ

พิธีเปิดได้รับเกียรติจากผู้แทนภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายวิโรจน์ ชายา ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ดร.เอกภพ ช่างแก้ว รองประธานฯ และ นายโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย สะท้อน “ฉันทามติ” ของทุกภาคส่วนในการยกระดับแบรนด์จังหวัดอย่างเป็นระบบ

จุดเปลี่ยนจาก “ขายสถานที่” สู่ “ขายความรู้สึก” ด้วยทูตการท่องเที่ยว

สารหลักของ “น้องกอดอุ่น” คือการชวนผู้มาเยือน “รับอ้อมกอดจากธรรมชาติ”  ภาพจำของเชียงรายในฐานะ ดินแดนขุนเขาและสายหมอก ถูกถ่ายทอดเป็นบุคลิกของมาสคอตที่เข้าถึงง่าย เชื่อมโยงความทรงจำระหว่างการเดินทางกับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย การวางตำแหน่งในลักษณะนี้ถือเป็นการปรับยุทธศาสตร์จาก Place-centric สู่ Emotion-centric เปลี่ยนการสื่อสารจาก “มาเที่ยวที่ไหน” เป็น “มาเที่ยวแล้วรู้สึกอย่างไร” เพื่อให้แบรนด์เชียงราย “อยู่ในใจ” ยาวนานกว่าอยู่ในภาพถ่าย

ด้านนโยบายการสื่อสารสาธารณะ กิจกรรมครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อนำสื่อสร้างสรรค์มาขับเคลื่อนเป้าหมายสาธารณะในระดับพื้นที่ ทั้งการสร้างการรับรู้แบรนด์จังหวัด การกระจายกิจกรรมลงชุมชน และการเสริมรายได้แก่ประชาชนสอดรับพันธกิจของกองทุนที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายเพื่อ “รณรงค์ ส่งเสริม และสนับสนุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” อย่างเป็นระบบ

นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ ในนามฝ่ายจัดกิจกรรมอธิบาย “โจทย์” ของงานชัดเจนว่า ต้องการ เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว ให้เชียงรายผ่านการประชาสัมพันธ์เชิงบูรณาการ พร้อมกระจายผลประโยชน์ลงสู่ฐานราก จุดยืนนี้ได้รับการเสริมแรงด้วยแนวคิดการตลาดเชิงประสบการณ์ (experiential marketing) ที่วางไลน์-อัปกิจกรรมให้ผู้ร่วมงาน “ได้ลงมือ” และ “ได้ของกลับบ้าน” จาก Workshop ของ Gord-Aun Art Studio ไปจนถึง ของที่ระลึก “ตุ๊กตาน้องกอดอุ่น” ซึ่งต่อยอดให้เกิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์รายย่อยควบคู่กัน

เวทีที่ออกแบบมาเพื่อเศรษฐกิจชุมชน กาแฟเชียงรายเป็นพระเอก

หนึ่งในภาพจำที่ชัดเจนของงานวันนี้ คือ โซนกาแฟเชียงราย ที่รวบรวมเครือข่าย Chiangrai Coffee Lovers (CCL) มากกว่า 40 ร้าน ล้อมวงเล่าเรื่องเส้นทางเมล็ดกาแฟจากผู้ปลูกสู่ถ้วย พร้อมเมนูซิกเนเจอร์เฉพาะกิจ ซึ่งไม่เพียงสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์รสชาติ” ให้แบรนด์จังหวัดทิ้งรสชาติติดปากผู้มาเยือนในเชิงสัญลักษณ์กาแฟดี = การต้อนรับดี = อ้อมกอดที่จริงใจของเชียงราย เครือข่าย CCL เองมีฐานกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่และสื่อสังคม ทำให้การระดมพลังครั้งนี้มีแรงส่งไปไกลกว่างานวันเดียว

วงดนตรีและการแสดงร่วมสมัยสลับกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา เติมความสนุกและความหมายให้พื้นที่สาธารณะ ขณะเดียวกัน มินิคอนเสิร์ตจาก “ทิกเกอร์ อชิระ” ทำหน้าที่เป็น “แม่เหล็ก” ช่วยเพิ่มทราฟฟิกคนเมืองและนักท่องเที่ยวเข้าโซนกิจกรรมผลักให้ยอดขายรายย่อยของผู้ประกอบการในงาน “ขยับขึ้น” ควบคู่การรับรู้แบรนด์

พลังเครือข่าย รัฐ เอกชน สื่อคนละมือ แต่เป้าหมายเดียวกัน

การเปิดตัว “น้องกอดอุ่น” มี “สมการสามเหลี่ยม” ที่เดินไปด้วยกันอย่างลงตัว
มุมแรก คือ รัฐและท้องถิ่น นำโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด ทำหน้าที่ “รับรองนโยบาย” และเป็น “เจ้าภาพความน่าเชื่อถือ” ให้แบรนด์ใหม่เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
มุมที่สอง คือ เครือข่ายผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย และ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ที่ทำงานระยะยาวกับผู้ให้บริการท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร บริษัททัวร์ ซึ่งมีทุนทางสังคมและช่องทางตลาดของตนเอง
มุมสุดท้าย คือ สื่อและครีเอเตอร์ท้องถิ่น ตั้งแต่นักข่าว ช่างภาพ เพจเมือง ไปจนถึงสตูดิโอศิลปะที่ช่วยตัดต่อ เติมคอนเทนต์ให้ “น้องกอดอุ่น” กลายเป็นเรื่องเล่าที่ผู้คนอยากแชร์

นายรุจติศักดิ์ รังสี ระบุในเวทีกล่าวเปิดว่า นี่ไม่ใช่แค่งานเปิดตัวมาสคอต แต่เป็น “แพลตฟอร์ม” ที่จะยึดโยงกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงชุมชนเข้ากับแบรนด์จังหวัดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปีซึ่งเชียงรายมีจุดแข็งด้านภูมิอากาศและภูมิประเทศ

กอด” ให้เป็นระบบ จากกิจกรรมวันเดียว สู่กรอบทำงานตลอดปี

เพื่อไม่ให้พลังของเวทีนี้จบลงที่ภาพถ่าย กรอบทำงานหลังงานเปิดตัวจึงสำคัญไม่แพ้กัน ทีมภาคีร่วมงานได้สรุป “แนวทางต่อยอด” เบื้องต้นไว้ 4 แกน ได้แก่

  1. ปฏิทินกิจกรรมรายไตรมาส จับมือกับศูนย์การค้า/แลนด์มาร์กหลัก ผลัก “Gord-Aun Pop-up” แทรกในเทศกาลเมือง เช่น สวนดอกไม้ บูชาพญานาค ปั่นชมชุมชน สร้างการพบปะมาสคอตอย่างสม่ำเสมอ
  2. Loyalty & Collectibles ขยายไลน์ของที่ระลึก “น้องกอดอุ่น” ร่วมกับแบรนด์ท้องถิ่น ตั้งกติกาสะสมตราปั๊ม/สติ๊กเกอร์จากร้านภาคี เพื่อแลกของพิเศษ กระตุ้น repeat visit
  3. Gord-Aun for Good ให้มาสคอตเป็น “ทูตงานสังคม” เช่น แคมเปญ ท่องเที่ยวปลอดภัย–สื่อปลอดภัย รณรงค์การท่องเที่ยวเคารพชุมชนและสิ่งแวดล้อม สอดคล้องพันธกิจของกองทุนสื่อ
  4. Route การท่องเที่ยวรสกาแฟ พัฒนาเส้นทาง “Chiang Rai Coffee Journey by CCL” แบบทำจริงจัง ร้อยจุดชิม–ชมโรงคั่ว–พบชุมชนปลูกกาแฟ สร้างแพ็กเกจร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว

ทำไม “เซ็นทรัล เชียงราย” คือเวทีที่ใช่

การเลือก เซ็นทรัล เชียงราย เป็นสถานที่เปิดตัว ไม่ได้สะท้อนแค่ความสะดวกด้านโลจิสติกส์และระบบเสียง-แสง แต่คือการตั้ง “จุดรับรู้” กลางเมืองให้คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวพบมาสคอตได้จริง ศูนย์การค้าดังกล่าวมีพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่และที่จอดรถรองรับการจัดกิจกรรมต่อเนื่อง ซึ่งเหมาะกับการพัฒนา “มุมถ่ายรูปถาวร” ของน้องกอดอุ่น ตลอดจนการหมุนเวียนกิจกรรมสร้างสรรค์รายเดือน

เล่าเชียงรายให้ “นุ่ม-แน่น” ผ่านตัวเลขที่ชวนคิด

แม้ข่าววันนี้จะเป็น “ก้าวแรก” ของน้องกอดอุ่น แต่ “โจทย์ใหญ่” ที่จังหวัดต้องการตอบคือ ทำอย่างไรให้แบรนด์จังหวัดไปไกลกว่าวิวสวย กาแฟเชียงรายเป็นตัวอย่างของ “สินค้าเชิงคุณค่า” ที่เพิ่มอำนาจต่อรองราคาให้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย หากมาสคอตสามารถเชื่อม เส้นเรื่องกาแฟ–งานศิลป์–ชุมชน เข้าด้วยกันได้อย่างสม่ำเสมอ ผลที่ได้จะกว้างกว่า “ความน่ารัก” และเข้าใกล้คำว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่จับต้องได้

ในทางกลับกัน การรักษามาตรฐาน “ประสบการณ์ผู้มาเยือน” คือจุดคานงัดของแบรนด์ หากผู้มาเยือนได้เจอทั้ง การต้อนรับที่จริงใจ ร้านกาแฟดี ระบบขนส่งท้องถิ่นที่เป็นมิตร และปฏิทินกิจกรรมที่ไม่สะดุด พวกเขาจะแชร์ “อ้อมกอดเชียงราย” ต่อไปโดยสมัครใจนั่นคือ สื่อ Earned Media ต้นทุนต่ำแต่ทรงพลังที่สุด

เสียงจากภาคี คำมั่นสัญญาสู่ฤดูท่องเที่ยว

  • เครือข่าย CCL ยืนยันเดินหน้าจัด กิจกรรมกาแฟรายไตรมาส เชื่อมโยงแหล่งปลูกกับเมือง เพื่อเล่าเรื่องชุมชนและต้นทางเมล็ดเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณค่าให้ “แก้วกาแฟเชียงราย” ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มแต่คือเรื่องเล่ากับผู้คนจริง ๆ
  • ภาคเอกชนท่องเที่ยว ผ่านสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด เชื่อมผู้ประกอบการที่พัก–ทัวร์–ร้านอาหาร เป็น “พันธมิตรแบรนด์” เพื่อจัด แพ็กเกจ “กอดเชียงราย” เจาะครอบครัว คู่รัก และกลุ่มทำงานไฮบริดที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศซึ่งเป็นแม่เหล็กช่วงไฮซีซันปลายปี
  • หน่วยงานรัฐและกองทุนสื่อ จะคงบทบาทกำกับทิศทางการสื่อสารสาธารณะและความปลอดภัยของสื่อในกิจกรรมต่อเนื่อง ให้ทุกชิ้นงาน “สร้างสรรค์-รับผิดชอบ-เข้าถึงได้” เพื่อให้แบรนด์จังหวัดเติบโตคู่ความไว้วางใจ

ทำอย่างไรให้น้องกอดอุ่น “อยู่ยาว” ไม่ใช่กระแส

บทเรียนจากหลายจังหวัดชี้ว่า มาสคอตจะ “อยู่ยาว” ได้ต้องประกอบด้วย 3 เงื่อนไข
หนึ่ง มี เจ้าภาพชัดเจน ทั้งเชิงทรัพย์สินทางปัญญาและกำกับใช้แบรนด์
สอง มี โรดแมปกิจกรรม ที่ต่อยอดได้จริงพิพิธภัณฑ์ชุมชนขนาดย่อม จุดถ่ายรูปถาวร เส้นทางวิ่ง–ปั่น–เดิน ที่หยิบมาสคอตไปวางเรื่องเล่า
สาม มี ตัวชี้วัด ที่มากกว่า “ยอดไลก์” เช่น รายได้ผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าร่วม กิจกรรมชุมชนที่เกิดใหม่ หรือจำนวน “แพ็กเกจท่องเที่ยว” ภายใต้แบรนด์

เชียงรายมี “ทุน” สำหรับทั้งสามข้อแล้วตั้งแต่ เครือข่ายผู้ประกอบการ ที่ขยับงานจริง ศูนย์การค้าหลัก ที่พร้อมเป็นเวที คอมมูนิตี้กาแฟ ที่มีพลัง และ เครื่องมือสื่อสาธารณะ จากกองทุนสื่อหากทุกมือยังประสานกันต่อเนื่อง “กอดเชียงราย” จะไม่ใช่แค่คำขวัญ แต่เป็น ประสบการณ์ร่วม ที่วัดผลได้

ฉากสุดท้ายของวันนี้และฉากเปิดของฤดูกาลใหม่

เมื่อเพลงสุดท้ายของมินิคอนเสิร์ตจบ สปอตไลต์ที่ลาน Grand Hall ค่อย ๆ ดับลง แต่แสงแฟลชจากโทรศัพท์ของครอบครัวหนึ่งยังไม่หยุด พวกเขาถ่ายภาพกับ “น้องกอดอุ่น” ก่อนที่ลูกชายตัวเล็กจะยื่นมือออกไป “กอด” มาสคอตอีกครั้ง ภาพง่าย ๆ นี้อธิบายสารของทั้งงานได้ครบ เชียงรายอยากให้คุณมากอด และพร้อมกอดตอบ ตั้งแต่ผู้คน สภาพแวดล้อม ไปจนถึงเศรษฐกิจชุมชน

ฤดูหนาวกำลังจะมาถึง หากจังหวัดและภาคีผลักปฏิทินกิจกรรมต่อจากวันนี้ให้ออกสตาร์ทได้ทัน น้องกอดอุ่น จะกลายเป็นหน้าแรกของฤดูกาลท่องเที่ยวเชียงรายปีนี้ ไม่ใช่แค่ “ไอคอน” บนโปสเตอร์ แต่เป็น ตัวละครเอก ในเรื่องเล่าที่ทุกคนมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สมาคมสัมพันธ์นักท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (Thai Media Fund)
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (CCL)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ฟักกลิ้ง ฮีโร่ มอบภาพ ถวัลย์ ดัชนี บนเวทีจีน จุดประกายมิตรภาพ 50 ปีไทย-จีน

กัญฐกะก้องโกญจนาท” ข้ามพรมแดนสู่กว่างโจว ฟักกลิ้ง ฮีโร่ มอบผลงานอาจารย์ถวัลย์ ดัชนีบนเวที Very Thai Dian Feng 2025 จุดประกาย 50 ปีมิตรภาพไทย–จีน และซอฟต์พาวเวอร์ท่องเที่ยว

กว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน, 16 กันยายน 2568 – แสงไฟจากเวทีกลางงาน Very Thai Dian Feng Music Festival 2025 ค่อย ๆ สว่างขึ้นท่ามกลางผู้ชมชาวจีนจำนวนมาก ขณะเสียงปรบมือดังยาว เมื่อ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ศิลปินฮิปฮอปชื่อดังของไทย ขึ้นเวทีพร้อมภาพผลงาน กัญฐกะก้องโกญจนาท” ของ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย เพื่อส่งมอบแด่ SKAI ISYOURGOD (หลานเหล่า) ศิลปินจีนที่กำลังมาแรงในแวดวงดนตรีร่วมสมัย ภาพชิ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงของขวัญ หากเป็น “สัญลักษณ์” ของมิตรภาพไทย–จีนในวาระ ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต ที่ทั้งสองประเทศร่วมเฉลิมฉลองผ่านเสียงเพลง ศิลปะ และวัฒนธรรมร่วมสมัย

จุดหมายเดียวกันของศิลปะ ดนตรี และการท่องเที่ยว

เทศกาลดนตรี Very Thai Dian Feng จัดขึ้นต่อเนื่องปีที่ 3 ระหว่างวันที่ 13–14 กันยายน 2568นครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้ความร่วมมือของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ TCP Group ผู้ผลิตแบรนด์ เรดบูล (Red Bull) แนวคิดงานปีนี้ชูคอนเซปต์ “5 Must Do in Thailand” เพื่อชวนผู้ชมชาวจีน “ลิ้มลองประสบการณ์ไทย” ตั้งแต่อาหาร วัฒนธรรม ไปจนถึงกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ก่อนขยายผลสู่การเดินทางจริงในประเทศไทย

รูปแบบงานเน้นการสื่อสารแบบ “สนุก เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้” ผ่าน 2 เวทีดนตรีหลัก ที่รวบรวม 19 ศิลปินไทย–จีน จากหลากหลายแนวทาง พร้อม โซนสร้างสรรค์ ครบวงจร ทั้งโซนวัฒนธรรม โซนอาหาร โซนจัดแสดงสินค้า และ โดรนโชว์ ปิดท้าย โดยผู้จัดคาดการณ์ผู้เข้าร่วมงาน ราว 60,000 คน ตลอดสองวัน นับเป็นเวทีขนาดใหญ่ที่เปิดทางให้ “ซอฟต์พาวเวอร์” ของไทยส่งสัญญาณชัดเจนสู่แดนมังกร

พญาม้ากัณฐกะ ภาพแทนคำอวยพร “เดินหน้าอย่างกล้าหาญ”

ผลงาน กัญฐกะก้องโกญจนาท” ของถวัลย์ ดัชนี คือภาพ พญาม้ากัณฐกะ ที่ถูกยกให้เป็น “เจ้าแห่งม้าทั้งปวง” สัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญ ความสำเร็จ และความอุดมสมบูรณ์ ในพิธีส่งมอบบนเวที ฟักกลิ้ง ฮีโร่ระบุว่า ได้รับภาพนี้จาก “ดอยธิเบศร์ ดัชนี” ทายาทผู้สืบงานศิลป์ของถวัลย์ เพื่อส่งต่อให้กับศิลปินจีนอย่างสมเกียรติ เป็นดั่งคำอวยพรที่ศิลปินไทยมอบให้ศิลปินจีน พร้อมถ้อยคำที่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกันว่า 中泰一家亲” หรือ “ไทย–จีนคือครอบครัวเดียวกัน”

ในโพสต์ทางการ ฟักกลิ้ง ฮีโร่กล่าวขอบคุณ พี่เอก” ประธานเจ้าหน้าที่ครีเอทีฟ (CCO) แห่ง TCP Group ตลอดจนทีมผู้จัด และททท. ที่ไว้วางใจให้ทำหน้าที่ ตัวแทนประเทศไทย” บนเวทีสากลครั้งนี้ ย้ำว่าศิลปะไม่เพียงเชื่อมใจ หากยังเชื่อม “โอกาส” ระหว่างผู้คน ธุรกิจ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

เวทีจีนกับ “เสน่ห์ไทย” ที่จับต้องได้

นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. ระบุว่า ททท. มุ่งเดินหน้าตลาดระยะใกล้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ตลาดจีน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวไทย “การปรับภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่น ควบคู่การนำเสนอ ประสบการณ์ที่มีความหมาย คือหัวใจของยุทธศาสตร์” งาน Very Thai Dian Feng จึงออกแบบให้ผู้ร่วมงานได้ “ทำจริง” ตั้งแต่เวิร์กชอป ไปจนถึงกิจกรรมเรียนรู้วัฒนธรรม เพื่อให้ เสน่ห์ไทย” ถูกจดจำในฐานะประสบการณ์ ไม่ใช่แค่ภาพในโซเชียล

ภายในงานยังมีกิจกรรมต่อยอด เช่น เวิร์กชอปทำกระเป๋ารีไซเคิล และ ทำยาดมคล้องคอ ที่หยิบจับ “ของดีไทย” มาขยายความหมายใหม่ให้สอดรับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ ช่วยย้ำ แบรนด์ Amazing Thailand ในสายตาผู้ชมชาวจีนว่าทั้ง “มีสไตล์” และ “มีคุณค่า”

เมื่อพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยน ไทยต้อง “เล่าเรื่อง” ใหม่

ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวจีนมิได้พอใจเพียง “เช็กอิน–ถ่ายรูป” อีกต่อไป หากหันสู่การแสวงหา ประสบการณ์ลึกซึ้ง เช่น สายลุย, City Walk, หรือกิจกรรมวัฒนธรรมและกีฬา นี่คือ “การบ้าน” ที่ไทยจำเป็นต้องตอบ โดยปีที่ผ่านมา ททท. ได้ทดลองหลายกิจกรรมในจีน เช่น Amazing Thai Fest ที่กรุงปักกิ่ง และ Red Bull Challenge ณ ทะเลทรายเหิงเก๋อหลี่ มองโกเลียใน เพื่อเชื่อมกีฬา ไลฟ์สไตล์ และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์คือ “บทเรียน” สำหรับการออกแบบคอนเทนต์และกิจกรรมที่โดนใจคนรุ่นใหม่ของจีนมากขึ้น

Very Thai Dian Feng จึงไม่ใช่แค่งานคอนเสิร์ต แต่เป็น แพลตฟอร์ม” ที่ให้ไทยได้ทดสอบการเล่าเรื่องใหม่ ๆ ในพื้นที่จริง ต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก พร้อมกวาดข้อมูลเชิงพฤติกรรมกลับมาต่อยอดแคมเปญในไทยช่วงฤดูท่องเที่ยวปลายปี

จากแคนวาสของถวัลย์ สู่แคนวาสของมิตรภาพ

“กัญฐกะก้องโกญจนาท” ถูกอธิบายว่าเป็นภาพที่ ให้กำลังใจให้ก้าวต่อ” การที่ผลงานชิ้นสำคัญจากเชียงราย—บ้านเกิดของถวัลย์—ได้ข้ามพรมแดนสู่กว่างโจวในจังหวะที่ไทย–จีนฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ ยิ่งเพิ่มน้ำหนักทางสัญลักษณ์ งานของถวัลย์ขึ้นชื่อว่าหนักแน่นในเส้นสายและพลังอารมณ์ ภาพม้าผงาดจึงเท่ากับ การส่งสารถึงอนาคต ว่าศิลปะคือภาษากลางที่คนต่างวัฒนธรรมเข้าใจร่วมกันได้

ช่วงเวลาส่งมอบบนเวที กลายเป็นฉากเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องใหญ่—ศิลปะคือทูตวัฒนธรรม” และ ศิลปินคือผู้พาเรื่องเล่าของชาติ” ไปปรากฏต่อสายตาโลก การที่ SKAI ISYOURGOD รับมอบต่อหน้าผู้ชมหลายหมื่นคน คือภาพของการยอมรับนับถือกันอย่างเสมอภาค ต่างส่งต่อคำอวยพรให้กันและกันในภาษาที่เหนือคำพูด

เศรษฐกิจสร้างสรรค์กับการท่องเที่ยว วงจรที่หนุนกัน

โมเดลที่ ททท. และ TCP Group ใช้ คือการผสมผสาน ดนตรี–ศิลปะ–ท่องเที่ยว” ให้เป็น “แพ็กเกจเดียว” เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเดินทาง ความคาดหวังผู้ร่วมงาน ประมาณ 60,000 คน หากต่อยอดสู่การเดินทางจริงเพียงส่วนหนึ่ง ก็สามารถสร้างเม็ดเงินท่องเที่ยวเข้าประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งหากเชื่อมกับยุทธศาสตร์ “5 Must Do in Thailand” ที่ชัดเจนในจุดขาย ทั้งอาหาร มู่วิถี วัฒนธรรมลึกซึ้ง ธรรมชาติ และกิจกรรมเชิงประสบการณ์ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ ค่าใช้จ่ายต่อหัว และ ระยะเวลาพำนัก สูงขึ้น

ด้านแบรนด์เอกชนอย่าง เรดบูล การสนับสนุนเทศกาลที่จับต้องได้ในต่างแดน ช่วยขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมและเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ของจีน เป็น ความร่วมมือรัฐ–เอกชน ที่ได้ทั้งภาพลักษณ์และฤทธิ์ทางเศรษฐกิจ

เสียงสะท้อนจากเวที คำพูดที่ทำให้ “เรื่อง” เดินต่อ

ฟักกลิ้ง ฮีโร่ เขียนไว้ชัดว่า การได้เป็นตัวแทนส่งต่อผลงานของถวัลย์ คือ “เกียรติ” ที่ได้รับจาก ดอยธิเบศร์ ดัชนี พร้อมขอบคุณผู้สนับสนุนในทุกภาคส่วน เขาเปรียบภาพพญาม้าเช่น คำอวยพร ที่ศิลปินไทยมอบให้ศิลปินจีน ขณะเดียวกัน นายนิธี สีแพร ย้ำ “การนำเสนอเสน่ห์ไทยผ่านประสบการณ์จริง” คือจุดชี้วัดความสำเร็จของตลาดจีนยุคใหม่

ถ้อยคำ 中泰一家亲” ที่ถูกเอ่ยหลายครั้งในงาน ไม่ใช่สโลแกนสวย ๆ หากเป็น กรอบคิด สำหรับสร้างกิจกรรมร่วมมือด้านศิลปวัฒนธรรม การศึกษา กีฬา และธุรกิจท่องเที่ยวในระยะยาว

เล่าเป็นฉาก นาทีที่ผู้ชม “ยืนขึ้น”

คืนที่สอง เวทีหลักเล่นเอ็นดิ้งด้วยเพลย์ลิสต์ฮิต ศิลปินไทย–จีนสลับขึ้นร่วมแจม เสียงเชียร์ดังขึ้นเมื่อทีมงานเชิญฟักกลิ้ง ฮีโร่ ขึ้นถือกรอบภาพพญาม้า แสงไฟสปอตไลต์จับลงบนลายเส้นเข้มของถวัลย์ เสี้ยววินาทีที่ภาพถูกส่งต่อ SKAI ก้มศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนชูภาพให้คนดูด้านหลังเห็นชัด ผู้ชมบางส่วน “ยืนขึ้น” พร้อมชูโทรศัพท์ขึ้นบันทึกภาพ เสียงปรบมือกลายเป็นจังหวะร่วมที่ไม่ต้องซ้อม มิตรภาพจึงไม่ได้เป็นเพียงคำพูด แต่เกิดขึ้นจริงตรงหน้า

สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เสี้ยววินาทีแบบนี้ ขายความทรงจำ” ได้ดีที่สุด เพราะผู้ชมพกกลับไปได้มากกว่าคลิป—พวกเขาพก เรื่องเล่า ที่พร้อมจะต่อยอดเป็นการเดินทางครั้งใหม่

หมายเหตุเชิงนโยบาย จะยกระดับให้ “ยั่งยืน” ต้องทำอย่างไร

  1. เก็บข้อมูลเชิงลึกหน้างาน – พฤติกรรมผู้ชม แฮชแท็กที่ใช้ เวลาที่อยู่ในแต่ละโซน เพื่อนำไปออกแบบคอนเทนต์และแพ็กเกจท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม
  2. ทำแคมเปญต่อเนื่อง (Always-on) – เชื่อมกิจกรรมในจีนกับกิจกรรมในไทย เช่น คูปองส่วนลดพิพิธภัณฑ์/โชว์ดนตรีในเชียงราย เชียงใหม่ กรุงเทพฯ เพื่อให้ “ความตั้งใจเดินทาง” ไม่หายไป
  3. เล่าเรื่อง “เมืองรอง–ชุมชน” – ใช้ศิลปะและดนตรีเป็นประตูพาไปพบวัฒนธรรมท้องถิ่น สร้างรายได้กระจายสู่ฐานราก
  4. สร้างเครือข่ายศิลปิน–ครีเอเตอร์ไทย–จีน – เวิร์กชอปร่วม, ศิลปินพำนัก (Artist Residency), โปรเจกต์ดนตรีข้ามชาติ เพื่อให้ความร่วมมือไม่จบแค่เวทีเดียว

ม้ากัณฐกะวิ่งต่อ และเรื่องเล่าก็วิ่งตาม

การมอบภาพ กัญฐกะก้องโกญจนาท” บนเวที Very Thai Dian Feng 2025 คือฉากสำคัญที่จับต้องได้ของซอฟต์พาวเวอร์ไทยในปีที่ไทย–จีนฉลอง 50 ปีมิตรภาพ เหตุการณ์นี้ผสานพลัง ศิลปะ–ดนตรี–การท่องเที่ยว เข้าด้วยกันในจังหวะที่พฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนเปลี่ยนสู่ “ประสบการณ์มีความหมาย” อย่างชัดเจน หากไทยเดินหน้าสื่อสารที่เชื่อม ใจ–สถานที่–กิจกรรม ได้ต่อเนื่อง ทั้งภาครัฐ เอกชน ศิลปิน และชุมชนย่อมเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ได้ยั่งยืน

ท้ายที่สุด ม้ากัณฐกะในงานของถวัลย์ไม่ได้วิ่งอยู่บนผืนผ้าใบเท่านั้น แต่กำลัง วิ่งนำ เรื่องเล่าของไทยให้ข้ามพรมแดนอย่างสง่างาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • TCP Group
  • ดอยธิเบศร์ ดัชนี
  • Very Thai Dian Feng Music Festival 2025
  • ฟักกลิ้ง ฮีโร่ 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายพลิกเกม! ปั้นประเพณีโล้ชิงช้าสู่ Soft Power ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายเดินหน้า “โล้ชิงช้า” สู่ Soft Power ชนเผ่า ฟื้นพลังชุมชน–ยกระดับท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – ท้องฟ้าแม่จันยามบ่ายคล้อยโปรยฝนบางเบา ลานวัฒนธรรมบ้านแสนสุข ตำบลศรีค้ำค่อยๆ แน่นขนัดด้วยผู้คนในชุดพื้นเมืองหลากสีสัน ชายหญิงอาข่าประดับหมวกเงิน กลิ่นอาหารพื้นถิ่นลอยคลุ้ง เสียงกลองไม้ดังประสานกับเสียงหัวเราะ – บรรยากาศทั้งหมดพาให้พิธีเปิดงานประเพณีโล้ชิงช้า “บ่อง ฉ่อง ตุ๊” ปี 2568 กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมสัญญาณที่ชัดเจนว่าจังหวัดเชียงรายกำลังเปลี่ยน “ทุนทางวัฒนธรรม” ให้เป็น Soft Power ชนเผ่า อย่างมีทิศทาง

งานครั้งนี้จัดโดย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีค้ำ โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี และสนับสนุนงบประมาณ 100,000 บาท เพื่อฟื้นฟูประเพณีสำคัญของชาวอาข่าให้กลับมาโดดเด่นในปฏิทินท่องเที่ยวชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม เป้าหมายไม่ใช่เพียงจัดงานปีละครั้ง แต่ต้องการต่อยอดให้กลายเป็น จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวมาได้ “ทั้งปี” ภายใต้สโลแกนที่ผู้บริหาร อบจ. ย้ำชัด “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ

จากพิธีบูชาฝนสู่เวที Soft Power เรื่องเล่าที่จับใจและจับต้องได้

โล้ชิงช้า หรือที่ชาวอาข่าเรียกว่า “บ่อง ฉ่อง ตุ๊” เป็นประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนบนพื้นที่สูง จัดในช่วงฤดูฝนเพื่อขอพรให้ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชผลอุดมสมบูรณ์ และเป็นวาระที่ชาวอาข่าซึ่งกระจายอยู่หลายหมู่บ้านจะ กลับมาพบปะสังสรรค์ ซ่อมแซมความสัมพันธ์ข้ามรุ่น ระหว่างผู้อาวุโสกับเยาวชน ประเพณีจึงทำหน้าที่มากกว่านิทรรศการกลางแจ้ง – มันเป็น โครงสร้างทางสังคม ที่ทำให้ชุมชนแข็งแรง

ปีนี้เวทีถูกออกแบบให้เห็น “กระดูกสันหลัง” ของพิธีอย่างครบถ้วน ตั้งแต่การตั้งเสาชิงช้าแบบอาข่า การแต่งกายตามจารีต การละเล่นและการเต้นประกอบจังหวะที่สืบทอดกันมา ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้ผู้มาเยือนเรียนรู้ความหมายภายในของพิธีโดยไม่ล่วงล้ำ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ของชุมชน – แนวทางที่สะท้อนวุฒิภาวะด้านการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (cultural tourism) ที่เคารพเจ้าของมรดกโดยตรง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวว่า “งบประมาณ 100,000 บาทเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เราย้ำเสมอว่าเป้าหมายไม่ใช่ ‘จัดงานให้มีคนมา’ เพียงครั้งเดียว แต่เป็นการ คืนความภาคภูมิใจ ให้ชุมชน และทำให้ประเพณีอยู่ได้ด้วยตนเองในระยะยาว เชียงรายต้องเติบโตบนรากของเราเอง”

ทำไม “โล้ชิงช้า” ตอบโจทย์เชียงรายเวลานี้

  1. ตรงกับแนวโน้มการท่องเที่ยวโลก – ผู้เดินทางหลังโควิด-19 มองหาประสบการณ์ จริงแท้ (authentic) และ เรียนรู้ (learning-based) มากขึ้น ประเพณีโล้ชิงช้าตอบโจทย์ทั้งสองข้อ เพราะเปิดให้สัมผัสวิถีชนเผ่าที่มีบริบท–พิธีกรรม–อาหาร–งานช่างฝีมือครบวงจร
  2. กระจายผลประโยชน์ได้กว้าง – ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่ชุมชนโดยตรง ตั้งแต่โฮมสเตย์ มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ร้านอาหารพื้นถิ่น ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมโบราณ–ร่วมสมัย เศรษฐกิจฐานรากหมุนเวียนเพิ่มทวีคูณ
  3. ต่อยอด Soft Power เชียงราย – จังหวัดนี้มีแบรนด์วัฒนธรรมเข้มแข็งอยู่แล้ว (ศิลปะร่วมสมัย วัดร่องขุ่น ขัวศิลปะ กาแฟบนดอย) เมื่อเชื่อมกับ ประเพณีชนเผ่า จะยิ่งสร้างภาพจำที่แตกต่างจากจังหวัดท่องเที่ยวอื่นในภาคเหนือ
  4. เกื้อกูลความมั่นคงทางสังคม – งานประเพณีทำให้เยาวชนรู้สึก “ภูมิใจในรากเหง้า” ลดแรงดึงดูดของพฤติกรรมเสี่ยง และสร้างบทสนทนาใหม่ระหว่างคนเมืองกับคนดอยบนฐานของความเข้าใจ ไม่ใช่ความเหมารวม

จาก “งานวัฒนธรรม” สู่ “ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว” 6 ยุทธศาสตร์ให้ถึงฝั่งยั่งยืน

ผู้สื่อข่าวสรุปประเด็นจากเวทีและการพูดคุยรอบงาน กลั่นเป็น 6 ยุทธศาสตร์ ที่ทำให้โล้ชิงช้าเดินหน้าอย่างมีคุณภาพและเคารพเจ้าของวัฒนธรรม

1) พิทักษ์แก่นพิธี ก่อนโปรโมต

หัวใจคือ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และลำดับพิธี ต้องกำหนด เขตถ่ายภาพ–เขตห้ามเข้า คู่ไปกับการบอกเล่าความหมายที่ถูกต้อง ชุมชนเป็นผู้กำกับ (community-led) เพื่อไม่ให้พิธีถูก “ทำให้ดูง่าย” จนหลุดจากบริบทเดิม

2) ยกระดับประสบการณ์ผู้มาเยือน

จุดบริการนักท่องเที่ยวควรมี ป้ายสองภาษา (ไทย–อังกฤษ เพิ่มภาษาจีน/เกาหลีตามตลาดเป้าหมาย) QR Code สำหรับอ่านเรื่องราว–เส้นทางเรียนรู้, เจ้าบ้านอาสา คอยต้อนรับ, และ แพ็กเกจครึ่งวัน/เต็มวัน เชื่อมกิจกรรมเรียนรู้อื่น (ผ้าปักอาข่า, ครัวชนเผ่า, เดินป่าศึกษาพืชวัฒนธรรม)

3) ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม

ตั้งระบบ ความปลอดภัยชิงช้า (ตรวจเสา–เชือก–โครงสร้างตามรอบ), ทำ แผนฝนฟ้า–ไฟฟ้า–การแพทย์ฉุกเฉิน, ใช้ แนวคิดงานสีเขียว (Green Event) ลดพลาสติกครั้งเดียวทิ้ง ตั้งจุดคัดแยกขยะ และจัดการน้ำเสียจากครัวชุมชน

4) ประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

กำหนด อัตราค่าบริการมาตรฐาน สำหรับไกด์ท้องถิ่น–โชว์วัฒนธรรม–โฮมสเตย์ พร้อม ระบบแบ่งปันรายได้ ที่โปร่งใสระหว่างกลุ่มอาชีพ/กองทุนชุมชน เพื่อให้คนในหมู่บ้าน “รู้สึกได้” ว่าการท่องเที่ยวคุ้มค่าและควรร่วมดูแลต่อ

5) การตลาดบนเรื่องเล่าจริง (Story-driven Marketing)

สร้าง สตอรี่ไลน์ เช่น “กลับบ้านหน้าโล้ชิงช้า”, “เมล็ดกาแฟ–เมล็ดข้าว–เมล็ดรอยยิ้ม” ผลิตคอนเทนต์สั้นที่เล่าผ่านผู้เฒ่า–เยาวชน–แม่ค้า–ช่างฝีมือ แล้วเชื่อมกับ ปฏิทินเที่ยวทั้งปีของเชียงราย ให้ผู้มาเยือนวางแผน “เที่ยวทั้งอำเภอ” ไม่ใช่แค่แวะถ่ายรูป

6) ข้อมูลและการประเมินผล

หลังจบงาน ควรมี ชุดตัวชี้วัด ที่ชุมชนและท้องถิ่นร่วมกันเก็บ เช่น จำนวนผู้มาเยือน ระยะเวลาพำนัก รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน ความพึงพอใจของเจ้าบ้าน–ผู้มาเยือน และตัวชี้วัดพิทักษ์วัฒนธรรม (เช่น จำนวนเยาวชนที่เข้าร่วมพิธี) เพื่อปรับปรุงในปีถัดไป

บทบาทร่วมของรัฐ–ชุมชน–เอกชน

แม้ในพิธีเปิดจะเน้นบทบาทของ อบจ. แต่เบื้องหลังคือ ทีมสามประสาน ที่เดินหน้าไปด้วยกัน

  • ท้องถิ่น (อบต.ศรีค้ำ) ทำหน้าที่ประสานงานชุมชน จัดการจราจร จุดบริการ–จุดปฐมพยาบาล และดูแลความเรียบร้อยโดยเคารพขนบธรรมเนียม
  • ชุมชนอาข่า เป็นเจ้าภาพพิธี ตัดสินใจเรื่องเขตศักดิ์สิทธิ์ ลำดับพิธี และคัดเลือกตัวแทนเล่าเรื่อง (culture docents) เพื่อให้เสียงของชุมชนเป็นศูนย์กลาง
  • เอกชนท่องเที่ยว–วิสาหกิจชุมชน ร่วมออกแบบแพ็กเกจ รับ–ส่งนักท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม สนับสนุนอุปกรณ์เสียง–แสงอย่างพอดีไม่รบกวนพิธี

โมเดลนี้ทำให้งานครั้งนี้ ไม่ใช่งาน “ของใครคนหนึ่ง” แต่เป็นสินทรัพย์ร่วมของเมือง – เมื่อทุกฝ่ายมีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นธรรม ความร่วมมือก็พร้อมเดินระยะยาว

เชื่อมโยงเครือข่าย จากแม่จันสู่เส้นทางชนเผ่าทั้งจังหวัด

เชียงรายมีเครือข่ายหมู่บ้านชนเผ่าหลากหลาย ทั้งอาข่า ลาหู่ เมี่ยน ไทลื้อ กะเหรี่ยง ฯลฯ กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานวิชาการเคยชี้ชวนให้พัฒนา เส้นทางวัฒนธรรมชนเผ่า” (Ethnic Culture Route) ที่ไม่ใช่การจัดแสดงแบบจำลอง แต่คือการพาผู้มาเยือน เข้าไปเรียนรู้ในพื้นที่จริง ด้วยกติกาที่ชุมชนกำหนดเอง โล้ชิงช้าแม่จันจึงสามารถเป็น จุดตั้งต้น ของเส้นทางดังกล่าว เชื่อมต่อไปยังบ้านสันติคีรี (แม่สลอง) บ้านจะแล บ้านเทอดไทย หรือพื้นที่กาแฟ–ชา–ผ้าปักที่ผู้มาเยือนอยากสัมผัส

หากบูรณาการร่วมกับ เทศกาลศิลปะร่วมสมัยของเชียงราย ที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว เมืองจะมี จังหวะท่องเที่ยว” ที่ไหลลื่นตลอดปี – หน้าฝนเที่ยวโล้ชิงช้า หน้าหนาวชมศิลปะ–กาแฟ หน้าร้อนท่องวัฒนธรรมริมโขง – ทำให้สโลแกน “เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” มีความหมายมากกว่าแคมเปญประชาสัมพันธ์

ประเด็นที่ต้องระวังความนิยมต้องไม่กลบคุณค่า

เมื่อ Soft Power เริ่มทำงาน ความนิยม (popularization) ย่อมไหลตามมา ความเสี่ยงสำคัญมี 3 ประการที่จังหวัดและชุมชนต้องรับมืออย่างรอบคอบ

  1. การฉวยใช้สัญลักษณ์ – การผลิตสินค้าที่ “เลียนแบบ” ลวดลายอาข่าโดยไม่ขออนุญาตหรือไม่แบ่งปันประโยชน์ อาจสร้างบาดแผลทางวัฒนธรรม จำเป็นต้องมีแนวทาง สิทธิในทรัพย์สินทางวัฒนธรรม ของชุมชนอย่างชัดเจน
  2. ความแออัดและแรงกดดันต่อทรัพยากร – หากจำนวนผู้มาเยือนพุ่งสูงโดยไม่มีระบบจัดการ อาจกระทบทั้งพิธีและวิถีชีวิต ต้องกำหนด เพดานผู้เข้าชม ในบางช่วง และชี้ทางไปยังกิจกรรม–หมู่บ้านอื่นเพื่อกระจายตัว
  3. ภาพจำที่ทำให้ตายตัว (stereotype) – การนำเสนอชนเผ่าควรสะท้อน ชีวิตจริงที่มีหลายมิติ ไม่ใช่โรแมนติไซส์เฉพาะชุดพื้นเมืองหรือการเต้น ต้องเปิดพื้นที่ให้เยาวชนเล่าเรื่องชีวิตร่วมสมัยของตนเองควบคู่กับพิธีกรรม

การรับมือความท้าทายเหล่านี้จะทำให้ Soft Power ของเชียงรายแข็งแรง – เป็นพลังที่ ยกชุมชนทั้งยวง ไม่ใช่พลังที่ผลักให้บางคนยืนหน้าเวทีและบางคนถอยไปเป็นเพียงฉากหลัง

เส้นชัยที่ชื่อว่า “ยั่งยืน” สิ่งที่เชียงรายพิสูจน์ให้เห็น

ภาพรวมของงานปี 2568 สะท้อน 3 หลักคิดที่ชัดเจน

  • เคารพรากเหง้า – ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ
  • ทำให้เข้าถึงง่าย – ใช้ภาษา/สื่อ/แพ็กเกจที่ผู้มาเยือนเข้าใจได้โดยไม่ทำลายพิธี
  • เชื่อมเศรษฐกิจฐานราก – รายได้กระจายถึงครัวเรือนและกองทุนชุมชนอย่างเป็นธรรม

ทั้งหมดคือองค์ประกอบของ ความยั่งยืน ที่ไม่ใช่คำสวยหรู หากแต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริงในลานโล้ชิงช้าแม่จัน เชียงรายจึงไม่ได้เพียง “จัดงาน” แต่กำลัง ออกแบบระบบนิเวศการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่คนในและคนนอกเดินไปด้วยกันได้

เมื่อชิงช้าแกว่ง – เศรษฐกิจชุมชนและหัวใจเมืองก็แกว่งตาม

เสาชิงช้าสูงตระหง่านกลางลานคือสัญลักษณ์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทุกครั้งที่มันแกว่ง คนดูยิ้ม เด็กหัวเราะ ผู้อาวุโสยืนมองอย่างปลื้มใจ นี่คือภาพของ ความหวัง ที่เคลื่อนไหวได้ – ความหวังว่าประเพณีบรรพชนจะไม่เลือนหาย ความหวังว่าลูกหลานจะภูมิใจในรากของตนเอง ความหวังว่าผู้มาเยือนจะพกเรื่องเล่าดีๆ กลับบ้าน และแน่นอน ความหวังว่ารายได้จะหมุนเวียนในหมู่บ้านอย่างเป็นธรรม

เชียงรายกำลังบอกประเทศทั้งประเทศว่า Soft Power ไม่ได้อยู่แค่บนเวทีใหญ่หรือจอใหญ่ แต่อยู่ในลานดินกลางหมู่บ้าน อยู่ในมือของผู้เฒ่าที่ส่งไม้ต่อให้เด็ก อยู่ในรอยยิ้มของนักท่องเที่ยวที่ได้เรียนรู้บางอย่างใหม่ๆ เกี่ยวกับเพื่อนร่วมแผ่นดิน เมื่อ วัฒนธรรมได้รับความเคารพ—เศรษฐกิจจะเติบโต และเมื่อ เศรษฐกิจเติบโต—ชุมชนจะเข้มแข็ง โล้ชิงช้าแม่จันจึงไม่ใช่เพียงประเพณี หากเป็น โมเดลการพัฒนา ที่แกว่งไปข้างหน้าอย่างสมดุล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลศรีค้ำ อำเภอแม่จัน
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (กระทรวงวัฒนธรรม)
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” คว้า 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ Creative Cultural District ของไทย

ชัยชนะแห่งวัฒนธรรม “ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” ติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ Creative Cultural District ของประเทศไทย จุดประกายผ้าทอไทลื้อสู่ Soft Power และย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 — เช้าวันปลายฝน ณ อำเภอเชียงของ เรื่องเล่าเก่าของเส้นด้าย ลวดลาย และกี่ทอของชุมชนไทลื้อบ้านศรีดอนชัย ถูกขึงตึงเป็น “โครงบนหูกใหม่” ของการพัฒนาย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อโครงการ ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์ (Creative Sri Don Chai)” ได้รับการคัดเลือก ติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ ของประเทศไทย ภายใต้โครงการ Creative Cultural District ที่ขับเคลื่อนโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) หลังผ่านเวิร์กช็อปเข้มข้น 3 วันเต็ม (22–24 ส.ค. 2568) ที่กรุงเทพฯ ร่วมกับอีก 11 ทีมจากทั่วประเทศ

ผลการคัดเลือกซึ่งประกาศในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงธงหมุดหมายบนแผนที่การพัฒนา แต่คือ “สัญญาณเปลี่ยนเกลียวด้าย” จากผ้าทอในฐานะสินค้าหัตถกรรม ไปสู่ “งานออกแบบ–นวัตกรรมทางวัฒนธรรม” ที่มีตลาดและมูลค่าเพิ่มรองรับทั้งระบบ โดยมี ทุนสนับสนุนสูงสุด 1,000,000 บาท/พื้นที่ต้นแบบ พร้อมเครือข่ายที่ปรึกษาข้ามสาขาเพื่อพัฒนาต้นแบบพื้นที่ให้เกิดขึ้นจริงในช่วง 12 เดือนถัดไป

จากเวิร์กช็อปสู่สนามจริง ผสานภูมิปัญญากับนวัตกรรมอย่างมีระบบ

ตลอด 3 วันของ Creative Cultural District Workshop ทีมพื้นที่จาก ศรีดอนชัย ได้รับคำแนะนำเชิงลึกทั้งด้านนโยบาย ออกแบบ และย่านสร้างสรรค์ จากคณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ผศ.ดร.ปูรณ์ ขวัญสุวรรณ (นโยบาย Thailand as Brand), ผศ.ดร.ฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร (การพัฒนาย่านนวัตกรรมและพื้นที่สร้างสรรค์), ผศ.ดร.สักรินทร์ แซ่ภู่ (ออกแบบสภาพแวดล้อมชุมชนเมือง) และ คุณสุวิทย์ วงศ์รุจิราวาณิชย์ (การสร้างอัตลักษณ์–แบรนด์ชุมชน) ตลอดจนที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมและการสื่อสารอีกหลายราย

แกนเนื้อหาของเวิร์กช็อปมี 3 ขั้นตอนที่ชัดเจน

  1. Mapping — ทำแผนที่ทุนวัฒนธรรมในพื้นที่ ทั้งกลุ่มช่างทอ ลวดลาย วัสดุ เครื่องมือ โรงทอ จุดเรียนรู้ และเส้นทางการท่องเที่ยว
  2. Mock-up/Prototype — ออกแบบต้นแบบย่าน/ผลิตภัณฑ์/ประสบการณ์ ตั้งแต่งานคราฟต์ร่วมสมัย ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่มีมาตรฐานคุณภาพ ไปจนถึงเทศกาลย่อยในหมู่บ้านที่เล่าเรื่องผ้า
  3. Implementation Plan — แผนปฏิบัติงาน 6–12 เดือน ครอบคลุมการบริหารจัดการพื้นที่ การตลาด การยกระดับมาตรฐาน และการติดตามประเมินผล

ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” โดดเด่นด้วยการ แปลงผ้าเป็นระบบนิเวศ: จาก “สินค้าสวย” เป็น “ชุดความรู้–กระบวนการ–ประสบการณ์” ที่เชื่อม คนทอ–คนออกแบบ–ตลาด เข้าด้วยกัน ตั้งแต่ต้นน้ำ (ปลูกฝ้าย/คัดเส้นใย/ย้อมสีธรรมชาติ) กลางน้ำ (ทอลาย ตัดเย็บ มาตรฐานคุณภาพ) จนถึงปลายน้ำ (ค้าปลีก–ค้าส่ง–ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์) ทั้งหมดวางอยู่บน เป้าหมายร่วม คือ ยกระดับรายได้และศักดิ์ศรีช่างทอ ควบคู่กับ การสืบสานอัตลักษณ์ลายไทลื้อ อย่างมีชีวิต

ผ้าทอไทลื้อ จาก “สินค้าราคาถูก” ข้ามแดน สู่ Soft Power ที่มีเรื่องเล่าและมาตรฐาน

กว่า 40 ปี ที่ชุมชนและเครือข่ายนักวิชาการ–ผู้ประกอบการพยายาม “เติมคุณค่าและอุดมการณ์” ให้ผ้าทอไทลื้อและผ้าพื้นถิ่นประเภทอื่นๆ จนกลายเป็น คลื่น Soft Power ที่ส่งพลังต่อยอดไปสู่ ภาพยนตร์ แฟชั่น ศิลปะ การท่องเที่ยว และอาหาร โครงการ ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” เลือก “จับแก่น” ของความพยายามนั้น แล้วต่อยอดด้วย หลักคิดแบบนักออกแบบ (Design Thinking) เพื่อแก้โจทย์สำคัญ 3 ประการ

  • มูลค่า: ตีความลาย–วิธีทอ ให้เป็นผลงานออกแบบร่วมสมัย บนมาตรฐานคุณภาพ–ความทนทาน–การใช้สีธรรมชาติ และการติดตามย้อนกลับได้ (traceability)
  • ตลาด: สร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ (ใส่ได้ ใช้ได้ ดูแลรักษาง่าย) พร้อมช่องทางออนไลน์–ออฟไลน์ และการจับคู่กับดีไซเนอร์/แบรนด์
  • ประสบการณ์: พัฒนาเส้นทางเรียนรู้–เวิร์กช็อป–เทศกาลย่อย ให้ผู้มาเยือนสัมผัส “เรื่องเล่าหลังลายผ้า” ตั้งแต่การย้อมสีจนถึงการสวมใส่

เมื่อ “คุณค่า” (Value) มาก่อน “ราคา” (Price) ผ้าทอจึงไม่ต้องแข่งขันด้วยต้นทุนต่ำ หากแข่งขันด้วย เรื่องเล่า–มาตรฐาน–ความยั่งยืน ที่แปรเป็น มูลค่าเพิ่ม ซึ่งชุมชนได้ส่วนแบ่งอย่างเป็นธรรม

5 พื้นที่ต้นแบบ ภูมิศาสตร์ของความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลาย

นอกจากเชียงรายแล้ว โครงการยังคัดเลือกพื้นที่ต้นแบบที่สะท้อน ความหลากหลายของทุนวัฒนธรรมไทย ได้แก่

  • ข่วงเมืองลำพูน (ลำพูน) — ย่านประวัติศาสตร์ที่มีมรดกหัตถกรรม–ศรัทธาเป็นแกนกลาง
  • สิงห์ท่า เธียเตอร์ (ยโสธร) — สร้างพื้นที่ศิลปะการแสดงร่วมสมัยเคียงคู่วัฒนธรรมอีสาน
  • ช่างเรือรุ่นใหม่ – เรียน รู้ สาน (พระนครศรีอยุธยา) — สืบสานงานต่อเรือและภูมิปัญญาแม่น้ำให้คนรุ่นใหม่
  • เขาหลักเซิร์ฟทาวน์ (พังงา) — เมืองชายฝั่งที่เปลี่ยน “คลื่นทะเล” เป็นอัตลักษณ์ไลฟ์สไตล์–กีฬา–ท่องเที่ยว

การเลือกที่ ต่างทุน ต่างทรัพยากร แต่มี หลักคิดร่วม เรื่องการออกแบบและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำให้เครือข่ายพื้นที่ต้นแบบสามารถเรียนรู้ข้ามวิชา–ข้ามภูมิภาคได้จริง เชียงรายจึงไม่ได้เดินลำพัง แต่เดินไปกับเพื่อนบ้านที่กำลังสร้างย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยกัน

เชื่อมเป้าหมายระดับประเทศ จาก “Thailand as Brand” สู่ “Creative Cities Network”

ในภาพใหญ่ โครงการ Creative Cultural District ทำงานสอดรับนโยบายระดับชาติที่เน้น อุตสาหกรรมสร้างสรรค์–Soft Power–เศรษฐกิจฐานวัฒนธรรม โดยใช้การออกแบบเป็นเครื่องมือเชื่อม อัตลักษณ์ท้องถิ่น กับ มาตรฐานสากล ทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับกรอบ UNESCO Creative Cities Network (UCCN) ที่ส่งเสริมให้เมืองใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ประเทศไทยมีเมืองในเครือข่าย UCCN หลายสาขา อาทิ กรุงเทพฯ (Design), เชียงใหม่ (Crafts & Folk Art), ภูเก็ต (Gastronomy), สุโขทัย (Crafts & Folk Art) และ เพชรบุรี (Gastronomy)—แต่ละเมืองล้วนพิสูจน์ว่า หากเมือง ลงทุนกับ “คน–พื้นที่–เรื่องเล่า” อย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถต่อยอดเป็น เศรษฐกิจชุมชนที่ยืนได้ และ ภาพลักษณ์เมืองที่ยั่งยืน เชียงรายในฐานะ “ผู้เล่นใหม่” จึงกำลังวางฐานสู่ UCCN สาขาการออกแบบ ด้วยกลยุทธ์ “คนรุ่นใหม่ทำงานกับช่างทอจริง ในพื้นที่จริง เพื่อชิ้นงานจริง”

แผนเดินเกม 12 เดือน ย่านเริ่มได้จาก 3 จุดเล็ก—ของ สถานที่ ประสบการณ์

เพื่อให้ “ธงพื้นที่ต้นแบบ” ไม่หยุดอยู่บนเวทีประกาศผล ทีมศรีดอนชัยวาง Roadmap 12 เดือน ที่ทำได้จริงและวัดผลได้

  1. Product Track (ของ) — พัฒนาคอลเลกชันตัวอย่าง 3–5 กลุ่มสินค้า (สวมใส่/ของใช้/ของแต่งบ้าน) ด้วยลายไทลื้อ ติดตามย้อนกลับได้ ย้อมสีธรรมชาติบางส่วน และตั้งมาตรฐานคุณภาพ–บำรุงรักษา
  2. Place Track (สถานที่) — ย่านนำร่องที่มีป้าย–ทางเดิน–จุดเล่าเรื่องแบบ wayfinding ซึ่งสื่อสารเรื่องลายผ้า กระบวนการย้อม การทอ และเชื่อมโฮมสเตย์/พิพิธภัณฑ์ชุมชน
  3. Program Track (ประสบการณ์) — เวิร์กช็อปถอดลาย/ย้อมคราม/ทอลอง พร้อม “ตลาดนัดคราฟต์รายเดือน” ในหมู่บ้าน และกิจกรรมทดลองกับโรงเรียนในพื้นที่

ตัวชี้วัด (KPIs) จะไม่หยุดที่ “จำนวนคนร่วมงาน” แต่ลงลึกถึง รายได้ใหม่ของช่างทอ–การจ้างงานเยาวชน–จำนวนชิ้นงานเข้าสู่การผลิตจริง–อัตราการกลับมาเยือนซ้ำของผู้มาเที่ยว ทุกไตรมาสมีการทบทวนและปรับแผนอย่างโปร่งใส โดยเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะผ่านช่องทางชุมชน/องค์กรท้องถิ่น

เศรษฐกิจ–สังคม–สิ่งแวดล้อม เส้นด้ายสามเกลียวของการเปลี่ยนผ่าน

เศรษฐกิจ — เมื่อผ้าทอถูก “ยกระดับมาตรฐานและเรื่องเล่า” มูลค่าเพิ่มจะเกิดขึ้นในหลายจุด: ค่าฝีมือที่เป็นธรรม, ช่องทางจำหน่ายที่ดีขึ้น, ผลิตภัณฑ์ต่อยอด (collab กับดีไซเนอร์/แบรนด์), และบริการท่องเที่ยว–เวิร์กช็อปที่มีราคาต่อหัวสูงขึ้นกว่าทัวร์ทั่วไป

สังคม — การ “ฝึกงานกับช่างจริง” ทำให้เยาวชนเห็นอาชีพสร้างสรรค์ในบ้านเกิด ไม่ต้องย้ายถิ่นเสมอไป ขณะเดียวกัน ผู้สูงวัยผู้เป็น “ธนาคารความรู้” ได้ถ่ายทอดทักษะและเกียรติภูมิให้คนรุ่นถัดไป เกิดการเรียนรู้ข้ามรุ่นที่จับต้องได้

สิ่งแวดล้อม — แผนย้อมสีธรรมชาติ การใช้เส้นใยท้องถิ่น และการจัดการเศษวัสดุ ให้ความหมายกับ “แฟชั่นที่รับผิดชอบ” ลดการใช้เคมี และสร้างการรับรู้เรื่องการดูแลธรรมชาติในรายละเอียดของงานผ้า

เสียงจากเวทีข้อคิดที่น่าจดจากผู้เชี่ยวชาญ

แม้เวทีจะไม่ใช่งานประกาศนโยบายครั้งใหญ่ แต่สารที่ผู้เชี่ยวชาญฝากไว้ตรงกันคือ

  • ย่านสร้างสรรค์ต้องแก้ปัญหาจริง: เริ่มจากปัญหาเล็กๆ ที่ชุมชนอยากแก้ (รายได้ช่าง การตลาด การเดินทางในหมู่บ้าน) แล้วออกแบบทางออกที่ “ทำได้” ไม่ใช่ “พูดได้”
  • น้อยแต่ชัด: เลือก pilot ที่เห็นผลเร็ว สื่อสารง่าย ขยายต่อได้ เช่น ตลาดคราฟต์รายเดือนที่ช่างเป็นเจ้าของร่วมกับนักเรียน
  • การออกแบบคือการจัดกระบวนการ: ไม่ใช่แค่ทำของสวย แต่จัดคน–เวลา–สถานที่–ทรัพยากร ให้ชุมชน “เป็นเจ้าของ” จริง

หลักคิดเหล่านี้สอดคล้องกับแผนของศรีดอนชัยที่เน้น ownership และ ผลลัพธ์ที่ใช้ได้จริง มากกว่ารูปถ่ายสวยๆ เพียงชั่วครั้ง

เชียงรายกับเส้นทางสู่ “เมืองออกแบบ” เดินด้วยคน ไม่ใช่โครงการ

ความสำเร็จของ “ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” เกิดขึ้นท่ามกลางความเคลื่อนไหวของเชียงรายที่กำลัง ยกระดับสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโกด้านการออกแบบ ทั้งจากบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัย เครือข่ายศิลปิน–นักออกแบบ และชุมชนชาติพันธุ์ การติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบครั้งนี้จึงเป็น ฟันเฟืองสำคัญ ที่จะทำให้ “เส้นด้ายเมืองสร้างสรรค์” ถักทอแน่นขึ้น

ในภาพที่กว้างกว่า ศรีดอนชัยกำลังก้าวออกจากการเป็น “แหล่งผลิตผ้าทอ” ไปสู่การเป็น “สนามเรียนรู้–พื้นที่ทดสอบนวัตกรรมทางวัฒนธรรม” ที่ผู้มาเยือนสามารถเห็นวงจรเต็มรูป (ปลูก–ทอ–ใช้–เล่าเรื่อง) และสัมผัสคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังทุกลายผ้าได้อย่างเป็นรูปธรรม

จากลายบนผืนผ้า สู่ลายทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัด

ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่ปลายทาง แต่คือจุดเริ่มของ การทำงานจริง ที่ต้องอาศัยวินัย ความต่อเนื่อง และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย — ช่างทอ เยาวชน โรงเรียน หน่วยงานท้องถิ่น มหาวิทยาลัย และเอกชนผู้พร้อมหนุนตลาด หากเดินตามแผน 12 เดือนด้วยการวัดผลโปร่งใส ศรีดอนชัยย่อมเป็น ต้นแบบย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่พิสูจน์ได้ว่าการออกแบบสามารถ ยกระดับรายได้ รักษาอัตลักษณ์ และเสริมความภูมิใจ ให้ชุมชนได้พร้อมกัน

และเมื่อถึงวันนั้น “ผ้าทอไทลื้อ” จะไม่ใช่เพียงที่ระลึกของผู้ผ่านทางอีกต่อไป หากเป็น Soft Power ที่เล่าเรื่องเชียงรายในภาษาสากล—ชัดเจน อ่อนน้อม และทรงพลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA
  • UNESCO Creative Cities Network (UCCN)
  • THACCA-Thailand Creative Culture Agency
  • Creative Cultural District
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ผ้าไทยสู่เวทีโลก! 2 นักออกแบบเชียงรายผ่านเข้ารอบสุดท้าย “ใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2568”

เชียงรายสู่เวทีแฟชั่นผ้าไทย 2 นักออกแบบดาวรุ่งจ่อขึ้นชิงชัยระดับภูมิภาค ภายใต้โครงการ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุกรุ่นใหม่ 2568”  เมื่อ Soft Power เชื่อมภูมิปัญญากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย / ประเทศไทย, 23 สิงหาคม 2568 — บนเส้นด้ายที่ทอดยาวระหว่าง “ราก” และ “โลก” ชื่อของเชียงรายถูกขีดเส้นใต้ขึ้นมาอีกครั้งในแผนที่แฟชั่นไทย เมื่อสองนักออกแบบรุ่นใหม่ของจังหวัด—กนกพร ธรรมวงค์ และ สมชัย ธงชัยสว่าง—เตรียมขึ้นเวทีรอบระดับภูมิภาคในโครงการ นักออกแบบผ้าไทย ใสให้สนุกรุ่นใหม่ 2568 (Young Designer 2025)” หลังฝ่าด่านการแข่งขันที่มีผู้ส่งผลงานจากทั่วประเทศจำนวนมาก สะท้อนพลังความคิดสร้างสรรค์ที่กำลังกระเพื่อมจากท้องถิ่นสู่เวทีใหญ่

ขณะที่สตูดิโอเล็ก ๆ ของนักออกแบบในตัวเมืองเชียงรายยังมีเสียงจักรเย็บผ้าและแสงไฟดวงเล็กโชยอุ่น—เรื่องเล่าของผืนผ้า “ลายจกสามดอก” ที่ถูกตีความใหม่ และแนวคิดความงามแบบ Wabi Sabi ที่เคยคว้ารางวัลระดับชาติ—กำลังจะถูกจับขึ้นกรอบเวทีอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อความงาม หากคือบทพิสูจน์ว่า ผ้าไทย สามารถ “ใส่แล้วสนุก” และ “ขายได้จริง” ในโลกปัจจุบัน

ประกวดใหญ่ขับเคลื่อนด้วยพระราชดำริ จาก “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” สู่ห้องทดลอง Soft Power

หัวใจของโครงการปีนี้ยังยึดโยงกับ พระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงผลักดันแนวคิด ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ให้ผ้าไทยกลับมาเป็นแฟชั่นร่วมสมัย ใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน และขยายผลสู่เศรษฐกิจฐานราก ผ่านคณะทำงานเชิงปฏิบัติการที่เปรียบประดุจ วิชชาลัยผ้าเคลื่อนที่/คาราวานนักออกแบบ” ลงพื้นที่ให้คำปรึกษาชุมชน จนเกิดองค์ความรู้ต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรม เช่น หนังสือแนวโน้ม Thai Textiles Trend Book และเวทีแข่งขันของนักออกแบบรุ่นใหม่ที่เชื่อมชุมชนกับตลาดสมัยใหม่เข้าด้วยกันอย่างมีกลยุทธ์

ในเชิงสถาบัน โครงการได้รับการขับเคลื่อนโดย กระทรวงมหาดไทย ผ่าน กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) ซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ ทำให้การคัดสรรและสนับสนุนผลงานจากชุมชนสู่เวทีชาติเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง อีกทั้งยังมีการร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ลงนามบันทึกข้อตกลงสนับสนุนบางกิจกรรม สะท้อนโมเดลความร่วมมือ รัฐ–เอกชน–ชุมชน เพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศผ้าไทยในระยะยาว.

ภาพรวมการแข่งขันปี 2568 ตัวเลขสะท้อนแรงกระเพื่อม

เวทีปีนี้เริ่มต้นด้วยความคึกคัก—มีผู้ส่งผลงานรวม 735 ราย เข้าสู่รอบคัดเลือกที่จัดแถลงข่าวเปิดตัว ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ก่อนจะคัดเหลือ ตัวแทนแข่งขันระดับภูมิภาค 4 ภาค รวม 80 ราย (ภาคละ 20) เพื่อชิงสิทธิ์เข้าสู่รอบประเทศ, ปักหมุดสำคัญไว้ที่ รอบชิงชนะเลิศ 28 ตุลาคม 2568 ณ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม

สำหรับ ภาคเหนือ—เวทีของตัวแทนเชียงราย—การประกวดกำหนดจัด วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมมีเลีย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นด่านชี้ชะตาเพื่อคัดเข้าสู่รอบระดับประเทศต่อไป

หมายเหตุ: สื่อบางแห่งรายงานว่ามีผู้ผ่านเข้าสู่รอบถัดไป 94 ราย (นับจากการคัดกรองชุดแรก) ก่อนจะจัดสรรลงสู่เวทีภาค แต่ เอกสารทางการของรัฐบาลระบุกรอบแข่งขันระดับภูมิภาค 80 ราย (ภาคละ 20) จึงอาจเกิดความแตกต่างเชิงเทคนิคจากขั้นตอนคัดกรองและการสรุปตัวเลขในแต่ละช่วงเวลา

ในฝั่งรางวัล กรอบรางวัลตามเอกสารประชาสัมพันธ์ทางการ ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ 200,000 บาท, รองชนะเลิศ 100,000 บาท, รองชนะเลิศอันดับสอง 75,000 บาท และ รางวัลชมเชย 5 รางวัล ๆ ละ 40,000 บาท ซึ่งเมื่อรวมกันสะท้อน แรงจูงใจเชิงคุณค่าทั้งตัวเงินและเวทีพัฒนาอาชีพ ที่ชัดเจน พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านองค์ความรู้และโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์หลังเวทีแข่งขัน

เชียงรายส่งสัญญาณจาก “ราก” สองดีไซเนอร์–สองตัวตน–หนึ่งเป้าหมาย

แม้แต่ละภูมิภาคจะส่งตัวแทนขึ้นเวทีจำนวนจำกัด แต่เรื่องเล่าจากเชียงรายปีนี้โดดเด่นในเชิง “อัตลักษณ์ + ความร่วมสมัย” อย่างน่าจับตา

  • กนกพร ธรรมวงค์ (รหัสผลงาน N67 ตามข้อมูลที่วงการแฟชั่นท้องถิ่นเผยแพร่) เลือกหยิบ ลายจกสามดอก มาเป็นวัตถุดิบทางความคิด แล้วพัฒนาเป็นแนวทางร่วมสมัยที่ “สนุกและใส่ได้จริง” โดยให้ความสำคัญกับการ ทอและการย้อมสีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องแนวโน้มแฟชั่นยั่งยืน โลกออนไลน์เคยเห็นผลงานเธอผ่าน โชว์ผ้า/วิดีโอแนะนำงานชุมชน ซึ่งปรากฏแนวทาง “วิจิตรลายจกสามดอก” ชัดเจน.
  • สมชัย ธงชัยสว่าง (รหัส N72 ตามลำดับการประกวดที่วงการออกแบบกล่าวถึง) โดดเด่นจากผลงานแนวคิด Wabi Sabi ที่เคยพาเขาคว้ารางวัลระดับชาติ (SACIT AWARD 2021) ด้วยภาษาการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง—สะท้อนความงามของ “ความไม่สมบูรณ์อันเป็นธรรมชาติ”—แล้วนำมาผสานกับโครงสร้างและผิวสัมผัสของผ้าไทยอย่างลงตัว ทุนทางความคิดที่พิสูจน์มาแล้ว ทำให้เขาถูกจับตาในฐานะผู้เล่นที่พร้อมต่อยอดสู่เวทีภูมิภาค

ทั้งคู่คือภาพแทนของ “ท้องถิ่นที่ต่อกับโลก”—คนหนึ่งยืนบนฐานชุมชนและการย้อมธรรมชาติ อีกคนทำให้แนวคิดร่วมสมัยเชื่อมกับภูมิปัญญาผืนผ้า—และพร้อมพิสูจน์ว่า แฟชั่นผ้าไทย อาจไม่ใช่เพียงพิธีการหรือความทรงจำอีกต่อไป

ไม่ใช่แค่ประกวดทำไมเวทีนี้สำคัญกับเศรษฐกิจฐานราก

ความต่างของ “นักออกแบบผ้าไทย ใส่ให้สนุก” เมื่อเทียบกับเวทีแฟชั่นสากล คือ วัตถุประสงค์ ที่ต้องการ “พลิกผ้าไทยให้กลับมาอยู่ในชีวิตประจำวัน” มากกว่าการทำคอลเลกชันโชว์อย่างโดดเดี่ยว โครงสร้างการแข่งขันจึงตั้งอยู่บนการ เชื่อมชุมชน–ดีไซเนอร์–ตลาด อย่างครบวงจร ตั้งแต่แรงบันดาลใจลวดลาย, การเลือกเส้นใย/ย้อมสีที่ยั่งยืน, การออกแบบแพตเทิร์นให้ใส่ง่าย/ผลิตซ้ำได้, ไปจนถึงการสื่อสารแบรนด์และการเข้าถึงช่องทางจำหน่าย

ขุมพลัง Soft Power อยู่ตรงนี้—เมื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่หยิบองค์ความรู้ใน Thai Textiles Trend Book และคำแนะนำจากคณะทำงานลงไปทดลองจริงกับชุมชน ต้นทุนทางวัฒนธรรม จึงถูกแปรรูปเป็น มูลค่าทางเศรษฐกิจ ที่ชัดเจนกว่าเดิม ขณะเดียวกัน การนำเวทีประกวดกระจายไปยัง 4 ภูมิภาค ก็ช่วยให้ การเดินทางขององค์ความรู้ ไม่ติดอยู่ในเมืองหลวง แต่ไหลกลับไปสู่แหล่งผลิตผ้าอันหลากหลาย ทำให้การพัฒนาเกิด “วงจรป้อนกลับ” ที่ยั่งยืนกว่าเวทีประกวดทั่วไป

เส้นทางสู่เวทีใหญ่ กำหนดการที่ต้องรู้

  • รอบระดับภาคเหนือ: 30 สิงหาคม 2568 ที่ โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่
  • รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ: 28 ตุลาคม 2568 ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ

ทั้งสองหมุดหมายคือด่านสำคัญที่นักออกแบบต้อง “แปลงสเก็ตช์ให้เป็นชุดจริง” และสื่อสารคอนเซ็ปต์ให้จับใจคณะกรรมการ/ผู้ชม ขณะที่เบื้องหลังคือการ จับมือกับช่างทอ/กลุ่มผู้ผลิต เพื่อสร้างต้นแบบที่ทั้งสวยและผลิตซ้ำได้—นี่แหละ บทพิสูจน์วัดฝีมือของแฟชั่นร่วมสมัยที่ต้องขายได้จริง

เวทีนี้ “ปั้นอาชีพ” ได้จริง

ปีก่อนหน้า นายรุจ กล้ำศรี คว้ารางวัลชนะเลิศ New Gen Young Designer 2024 พร้อมรางวัลตัวเงินและเครื่องมือทำงาน (เช่น จักรเย็บผ้า, แท็บเล็ต) ซึ่งสะท้อนจุดแข็งของเวทีนี้ที่ ไม่หยุดแค่ถ้วยรางวัล แต่ “มอบเครื่องมือ” ให้ต่อยอดอาชีพจริง ขณะเดียวกัน การได้รับการยอมรับจากเวทีที่อยู่ภายใต้พระราชดำริ ยังกลายเป็น ตราประทับความน่าเชื่อถือ ต่อแวดวงธุรกิจแฟชั่นและผู้บริโภค

คำถามเชิงนโยบาย ตัวเลข 735 ชี้อะไร?

ตัวเลขผู้สมัคร 735 ราย บอกเราว่า “แรงดึงดูด” ของผ้าไทยในหมู่คนรุ่นใหม่ยังสูง และ พื้นที่ให้ทดลอง (เช่น การให้ส่งสเก็ตช์/สตอรี่บอร์ดก่อน) ทำให้ ต้นทุนการเข้าร่วมต่ำ จึงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่จำนวนมากได้ลองสนาม เมื่อคัดสรรเหลือ 80 ตัวแทนเข้าสู่เวทีภาค จะยิ่งเห็น คุณภาพเชิงไอเดียและการผลิต เด่นชัดขึ้น—นี่คือฟิลเตอร์ที่ทำให้ “ความสนุก” ขยับไปเป็น “ความจริงจังทางอาชีพ” อย่างมีขั้นตอน

ในแง่ระบบนิเวศ หากดู จุดหมายปลายทาง (ไอคอนสยาม) และ จุดสตาร์ต (โรงแรม/สถานที่จัดระดับพรีเมียม) ย่อมสื่อสารภาพลักษณ์ “แฟชั่นร่วมสมัยของไทย” ในเชิงสากล ขณะเดียวกัน การลงพื้นที่ภาคเหนือที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นฮับครีเอทีฟของภูมิภาค ก็ทำให้เวทีนี้ “อยู่ใกล้แหล่งผลิต” มากพอ—เกิดทั้งแรงบันดาลใจและโอกาสสร้างเครือข่ายผู้ผลิตจริงในคราวเดียว.

จากเวทีภาคเหนือ…สู่มูลค่าเพิ่มของชาติ

การที่เชียงรายมีชื่อดีไซเนอร์รุ่นใหม่ถูกจับตา ไม่ใช่แค่เรื่องของจังหวัดหนึ่ง หากคือหลักฐานว่า “ระบบนิเวศผ้าไทย” เริ่มทำงานในแบบที่ ภูมิปัญญา–ดีไซน์–ตลาด เดินไปด้วยกัน เมื่อเวทีระดับภูมิภาคเปิดโอกาสให้ ราก ทำความรู้จักกับ โลก ผ่านภาษาแฟชั่นร่วมสมัย เราจึงได้เห็น ลายจกสามดอก ที่ถูกแปลเป็นเสื้อผ้าใส่จริง และ ความงามแบบ Wabi Sabi ที่กลายเป็นจังหวะใหม่ของผิวผ้าไทย นี่คือ Soft Power ที่จับต้องได้—เริ่มจากหมู่บ้าน สู่ห้องตัดเย็บ ไปจนถึงรันเวย์ และท้ายสุด…สู่ ยอดขายและงานทำ ในชุมชน

เวที 30 สิงหาคม ที่เชียงใหม่ คือบททดสอบสำคัญของนักออกแบบเชียงราย และหากผ่านด่านนี้ พวกเขาจะมีนัดใหญ่ที่ สุราลัยฮอลล์ ไอคอนสยาม วันที่ 28 ตุลาคม โจทย์ไม่ใช่เพียงว่า “สวยแค่ไหน” หากต้องตอบให้ได้ว่า ใส่แล้วสนุก ขายได้จริง และคืนกำไรให้ชุมชน” มากเพียงใด—คำตอบนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรสนิยมเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ การเชื่อมมือระหว่างดีไซเนอร์–ช่างทอ–ผู้ประกอบการ–หน่วยงานรัฐ ให้แน่นแฟ้นพอที่จะเปลี่ยน “ผืนผ้า” ให้กลายเป็น “ความหวังทางเศรษฐกิจ” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
  • สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)
  • มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • Yu Jia Dong
  • พู่ววววว พู่
  • ผ้าไทยใส่สนุก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

Netflix ทุ่ม 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยสู่ “ฮับคอนเทนต์โลก” ดึง Soft Power สู่สากล

Netflix ทุ่มสุดตัว! อัดฉีดงบฯ กว่า 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยสู่ “ฮับคอนเทนต์โลก” ดึง Soft Power สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จระดับสากล

ประเทศไทย, 21 สิงหาคม 2568 – โอกาส–ตัวเลข–โจทย์ที่ต้องแก้ ปรากฏการณ์ “เงินไหลเข้า” ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์ในไทยกำลังเกิดขึ้นจริงและชัดขึ้นทุกปี ทั้งจากแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกอย่าง Netflix ที่เดินหน้าลงทุนระยะยาวในไทย และจากกองถ่ายต่างชาติที่เลือกประเทศไทยเป็นโลเกชันหลักของงานระดับเรือธง (flagship) ผลลัพธ์เบื้องต้นวัดได้ด้วยตัวเลข: รายได้จากกองถ่ายต่างชาติปีล่าสุดแตะหลายพันล้านบาทต่อปี ขณะที่ฝั่งคอนเทนต์ไทยบนแพลตฟอร์มโลกทำสถิติชั่วโมงรับชมรวมระดับหลายร้อยล้านชั่วโมง คำถามสำคัญมีสองชั้น—เราพร้อมแค่ไหนจะเป็น “ฮับการผลิตคอนเทนต์” ของภูมิภาค และจะต่อยอด Soft Power ให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างไร

รายงานนี้พาไล่เรียงตั้งแต่ “เงินลงทุน” ของแพลตฟอร์ม, “อุปสงค์” จากกองถ่ายต่างชาติ, ไปจนถึง “นโยบาย” ที่กำลังเติมเชื้อไฟให้ระบบนิเวศคอนเทนต์ไทย พร้อมชวนคิดด้วยตัวเลขจริงและประเด็นที่ต้องจับตา—เพื่อให้ผู้อ่านใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงงานและธุรกิจอย่างมั่นใจ

จากริมกกสู่จอโลก เมื่อเรื่องเล่าไทยกลายเป็นสินทรัพย์ระดับภูมิภาค

บ่ายแก่ๆ ในเชียงราย ร้านกาแฟอาร์ตๆ ริมแม่น้ำกกเปิดจอทีวีฉายซีรีส์ไทยที่ติดอันดับใน Netflix ผู้คนต่างถกกันถึงงานโปรดักชันที่ยกระดับอย่างชัดเจน—นี่ไม่ใช่เพียง “กระแส” แต่สะท้อนการลงทุนต่อเนื่องของแพลตฟอร์มระดับโลกใน “คนทำงานไทย” และ “เรื่องเล่าแบบไทย” ที่กำลังไปได้สวยในตลาดสากล

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา สื่อธุรกิจในไทยและต่างประเทศรายงานสอดคล้องกันว่า Netflix ลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.5 พันล้านบาท) เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ไทย สร้างโอกาสงานและทักษะใหม่ๆ ให้ทีมโปรดักชันรุ่นใหม่ รวมทั้งยกระดับระบบนิเวศให้แข็งแรงขึ้นโดยรวม ตัวเลขจากรายงานฉบับเดียวกันยังชี้ว่ามีออริจินัลคอนเทนต์ไทยกว่า 15 เรื่องที่เคยติดชาร์ต Global Top 10 (คอนเทนต์ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) และภาพรวมชั่วโมงรับชมคอนเทนต์ไทยในแพลตฟอร์มแตะราว 750 ล้านชั่วโมง นับเป็น “หลักฐานเชิงอุปสงค์” ว่าผู้ชมทั่วโลกพร้อมเปิดใจให้กับความเป็นไทยในรูปแบบร่วมสมัยและสากลมากขึ้นเรื่อยๆ

ในเชิงพอร์ตโฟลิโอ Netflix เดินเกมสองทางคู่ขนาน—สร้างออริจินัลไทย (เช่น “Master of the House” ที่ปล่อยในปี 2567) ควบคู่กับการขยายฐานเรื่องเล่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในฐานผลิตสำคัญของภูมิภาค โดยบทเรียนความสำเร็จจากเกาหลีใต้กลายเป็น “พิมพ์เขียว” ที่ชี้ว่าการลงทุนระยะยาวด้านคน–มาตรฐาน–การตลาดคือสามเสาหลักของความยั่งยืน

โลเกชันไทย “ฮอต” ต่อเนื่อง จาก The White Lotus ถึง Alien และ Jurassic World

ขณะเดียวกัน “แรงดึงดูดโลเกชันไทย” ก็พุ่งแรง—ไม่ใช่เฉพาะงานระดับเอเชีย แต่คือซีรีส์–ภาพยนตร์เรือธงของสตูดิโอฮอลลีวูดที่เลือกไทยเป็นฉากสำคัญ

  • The White Lotus ซีซัน 3 ของ HBO Max ยืนยันถ่ายทำในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี 2567 นำร่องด้วยโลเกชันภาคใต้และภาคกลาง เป็นการตอกย้ำไทยในฐานะเวทีของซีรีส์รางวัลเอ็มมีที่มีฐานผู้ชมระดับโลก.
  • Alien (FX/Disney) เริ่มถ่ายทำในไทยและเป็นโปรดักชันไซไฟ–สยองขวัญฟอร์มใหญ่ที่เลือกไทยด้วยเหตุผลด้านทีมงาน–โลเกชัน–ค่าใช้จ่ายที่แข่งขันได้.
  • Jurassic World (ภาคใหม่) อยู่ในลิสต์โปรเจ็กต์ที่รัฐบาลไทยใช้มาตรการ cash rebate ดึงเข้ามา เป็นงานระดับ “แม่เหล็ก” ที่ช่วยยกเพดานความเชื่อมั่นต่อสารพัดบริการโปรดักชันในประเทศ.

แรงสะเทือนเชิงบวกถัดมาคือ “ตัวเลขจริง” จากกองถ่ายต่างชาติ กรมการท่องเที่ยว (ผ่านกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ: TFO) ระบุว่าในปีที่ผ่านมา ไทยรองรับโปรเจ็กต์ถ่ายทำต่างชาติหลายร้อยเรื่อง รวมเม็ดเงินใช้จ่ายในประเทศระดับหลายพันล้านบาทต่อปี—สะท้อนทั้งศักยภาพซัพพลายเชน (โลเกชัน–สตูดิโอ–อุปกรณ์–ทีมงาน) และประสิทธิผลของมาตรการจูงใจที่ปรับให้ “ทันเกม” คู่แข่งในภูมิภาค

เงินอุดหนุน–มาตรการจูงใจฟันเฟืองที่ทำให้ “ดีลใหญ่” เกิดขึ้นได้จริง

หัวใจหนึ่งของ “เกมแย่งชิงกองถ่าย” ระหว่างประเทศคือ “ความแน่นอน” เชิงนโยบาย ไทยเดินหน้าโครงการคืนเงินสนับสนุน (cash rebate) ให้โปรดักชันต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำและใช้ทีมงาน–บริการในประเทศตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยล่าสุดมีการขออนุมัติงบสนับสนุนเพิ่มเติมราว 845 ล้านบาท เพื่อรองรับโปรเจ็กต์เรือธง 7 เรื่อง มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 4,500 ล้านบาท—นี่คือสัญญาณว่าตลาด “ต้องการไทย” และไทยกำลังก้าวให้ทันดีมานด์จริง.

ด้านสถิติภาพรวม กรมการท่องเที่ยวเปิดเผยว่าการถ่ายทำต่างชาติสร้างรายได้ 6.6 พันล้านบาท ในปี 2566 จาก 466 โปรเจ็กต์ ที่เข้ามาถ่ายทำทั่วประเทศ—ตัวเลขเชิงโครงสร้างเช่นนี้ช่วยตอบโจทย์ทั้ง “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” และ “ท่องเที่ยวจากหนัง–ซีรีส์” (screen tourism) ที่พร้อมต่อยอดสู่ธุรกิจบริการท้องถิ่น

Soft Power เป็นวาระแห่งชาติ กรอบคิด–เป้าหมาย–ความคาดหวัง

นโยบาย Soft Power ของรัฐบาลถูกยกระดับเป็น “ยุทธศาสตร์ประเทศ” ผ่านคณะกรรมการนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ โดยมีการประกาศเป้าหมายเชิงเศรษฐกิจที่ทะเยอทะยาน ทั้งรายได้รวมจากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับ 4 ล้านล้านบาท และ การจ้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง ในระยะยาว—แม้ตัวเลขดังกล่าวเป็น “ภาพใหญ่ในเชิงเป้า” แต่ก็สะท้อนความตั้งใจของภาครัฐที่จะใช้วัฒนธรรม–คอนเทนต์–ท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของเศรษฐกิจไทย.

เมื่อวางร่วมกับ “เม็ดเงินจริง” ของ Netflix และ “เม็ดเงินใช้จ่ายจริง” จากกองถ่ายต่างชาติ ภาพรวมจึงไม่ใช่เพียงการ “ปั้นไวรัลชั่วคราว” แต่คือการยกระดับขีดความสามารถของประเทศ ตั้งแต่ทักษะบุคลากร, โครงสร้างพื้นฐานโปรดักชัน, ระบบสิทธิประโยชน์ ไปจนถึงกติกาที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยโตได้ในตลาดโลก

สิ่งที่ตัวเลขบอกเราตัวอย่างผลกระทบที่วัดได้และวัดยาก

  1. ผลกระทบตรง (Direct Impact):
    • การจ้างงานทีมโปรดักชัน–หลังการถ่ายทำ (post-production)–ซัพพลายเออร์อุปกรณ์–สตูดิโอ–รถแสงเสียง–อีเวนต์
    • เม็ดเงินจ่ายตรงในชุมชนโลเกชัน (อาหารถ่ายทำ, ที่พัก, เดินทาง, ค่าบริการท้องถิ่น)
  2. ผลกระทบต่อเนื่อง (Indirect/Induced):
    • Screen Tourism: โลเกชันที่ปรากฏในซีรีส์/หนังระดับโลกถูก “ปักหมุด” เป็นจุดหมายใหม่—ตั้งแต่ที่พัก, ร้านอาหาร, ไปจนถึงชุมชนวัฒนธรรม (จังหวัดปลายทางยิ่งได้ประโยชน์)
    • แบรนด์ประเทศไทย (Country Brand): ภาพลักษณ์มืออาชีพด้านโปรดักชัน สะอาด ปลอดภัย มีทีมงานฝีมือดี และค่าใช้จ่ายแข่งขันได้—ล้วนต่อยอดดีลใหม่ได้รวดเร็ว
  3. ทุนมนุษย์ (Human Capital):
    • โปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ช่วย “อัพสกิล” ทีมงานไทย ผ่านการทำงานร่วมกับหัวหน้าทีม (head of departments) ระดับนานาชาติ—ตั้งแต่มาตรฐานเซฟตี้, เวิร์กโฟลว์, ไปจนถึงเทคโนโลยีงานกล้อง/เสียง/แสง และ VFX
  4. โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure):
    • ความต้องการสตูดิโอ, เวทีถ่ายทำ, โรงงานพร็อพ, บริษัทโพสต์, และโครงสร้างดิจิทัล (รวมถึงดาต้าเซ็นเตอร์–ระบบเก็บข้อมูลดิจิทัลสำหรับเวิร์กโฟลว์สมัยใหม่) จะกดดันให้เกิดการลงทุนใหม่ต่อเนื่อง—ยิ่งไทยตั้งเป้าฐานผลิตระดับภูมิภาค ยิ่งต้องเร่งเติม “ชั้นลึก” ของซัพพลายเชนให้ครบวงจร

จะ “ล็อกอิน” ไทยให้เป็นฮับอย่างยั่งยืนได้อย่างไร

ทำให้กติกา “เสถียรและแข่งขันได้” ผู้เล่นโลกมองหา “ความแน่นอน” ไทยต้องคงความต่อเนื่องของมาตรการ cash rebate และยกระดับให้เป็นแพ็กเกจ One-Stop (ตั้งแต่ใบอนุญาตจนถึงภาษี) ที่ลดความยุ่งยากของโปรดักชันขนาดใหญ่ โดยไม่ลดทอนมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม ปั้นคน–ปั้นทักษะ–ปั้นมาตรฐาน งบพัฒนาทักษะควรถูกกระจายสู่หัวเมืองโปรดักชันที่กำลังโต (เชียงใหม่–เชียงราย–ภูเก็ต–พังงา–กทม.) พร้อมแผนสร้าง “พอร์ตโฟลิโอ” ให้สถาบันการศึกษาร่วมมือสตูดิโอและกิลด์อาชีพ (เช่น ผู้ช่วยผู้กำกับ, ผู้จัดกอง, ช่างไฟ, ช่างกล้อง, กราฟิก/โพสต์) ให้มีเส้นทางอาชีพชัดเจน

เชื่อม Soft Power กับชุมชน เมื่อโลเกชันถูกปักหมุด สิ่งที่ชุมชนได้มากกว่ารายได้ระยะสั้น คือโอกาสต่อยอดงานฝีมือ–อาหาร–วัฒนธรรมท้องถิ่นให้เป็นสินค้า–บริการที่เล่า “เรื่อง” ได้จริง การทำงานเชิงพันธมิตรระหว่าง อปท.–ททท.–ผู้ประกอบการท่องเที่ยว–ผู้ผลิตคอนเทนต์ จึงจำเป็น วัฒนธรรม–ความหลากหลาย–ความปลอดภัย
ความแข็งแรงของความหลากหลายทางวัฒนธรรมไทยคือ “จุดขาย” ที่โลกต้องการ—but ต้องมาพร้อมกรอบคุ้มครองแรงงานกองถ่าย, ความปลอดภัย, การเคารพชุมชน, และมาตรการสิ่งแวดล้อมที่จริงจัง เพื่อให้การเติบโต “ยั่งยืนจริง” ไม่ใช่เพียง “เร็วชั่วคราว”

 

มุมมองผู้เล่นโลก ไทย “สอบผ่าน” และกำลังถูกจับตา ฝั่งแพลตฟอร์ม สัญญาณลงทุนระยะยาวของ Netflix ในไทย—ตั้งแต่ออริจินัลไทย, การทำงานกับผู้กำกับ–สตูดิโอท้องถิ่น, ไปจนถึงการผลักดันเรื่องเล่าใหม่—สะท้อน “ระดับความเชื่อมั่น” ต่อศักยภาพทีมงานไทยและพลัง Soft Power ไทยในตลาดโลก ขณะเดียวกัน การที่โปรดักชันฮอลลีวูดเรือธงเลือกถ่ายทำในไทยต่อเนื่อง ก็เสมือนการ “รับรอง” ว่าโลเกชันและซัพพลายเชนไทยตอบโจทย์คุณภาพ–ต้นทุน–ความพร้อมของงานระดับท็อปได้จริง

ไม่ใช่แค่เงิน แต่คือ “ระบบนิเวศ” ที่ต้องสร้างครบ

คำโปรยในวันนี้—“Netflix ทุ่มกว่า 6.5 พันล้านบาท ปั้นไทยเป็นฮับคอนเทนต์”—จะเป็น “เรื่องเล่าความสำเร็จ” ที่ยืนระยะได้ ก็ต่อเมื่อเราทำสามเรื่องให้สำเร็จพร้อมกัน (1) นโยบายที่เสถียร–แข่งขันได้, (2) คน–มาตรฐาน–ทักษะที่ก้าวทันเทคโนโลยี, และ (3) การเชื่อม Soft Power กับเศรษฐกิจฐานชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม หากทำได้ ไทยไม่เพียงเป็นโลเกชันสวย แต่จะเป็น “ฐานผลิตคอนเทนต์คุณภาพ” ที่เลี้ยงตัวเองได้และเลี้ยงประเทศได้ในระยะยาว

ประโยคชวนคิด: ถ้า 1 โปรเจ็กต์เรือธงสร้างการจ้างงานหลักพันตำแหน่งตลอดห่วงโซ่ แล้วถ้าไทยดึงงานระดับนี้ได้เดือนละ 1 โปรเจ็กต์ต่อเนื่องทั้งปี—เรากำลังพูดถึง “แรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ” ขนาดไหน?

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

ก้าวใหม่เชียงราย โครงการ Creative Space ปลุกพลังเยาวชน สืบสานวัฒนธรรมและชาติพันธุ์

อบจ.เชียงราย สร้างสรรค์พื้นที่ให้เยาวชน” รองนายกฯ ปิดโครงการสุดปัง! มอบรางวัลเดินแบบชุดชาติพันธุ์ พร้อมชูพลัง Soft Power ท้องถิ่น

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – ที่โรงเรียนแม่จันวิทยาคมเต็มเปี่ยมไปด้วยสีสันและเสียงหัวเราะร่าเริงของเยาวชนจำนวนมาก พวกเขาสวมใส่ชุดประจำชาติพันธุ์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผ้าถุงลายขิดของชาวไทลื้อ เสื้อแขนกระบอกของชาวอาข่า หรือผ้าคลุมศีรษะประดับลูกปัดของชาวลาหู่ แต่ละชุดไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความงดงามทางวัฒนธรรม แต่ยังเล่าเรื่องราวของรากเหง้าที่ถูกถักทอมาจากบรรพบุรุษ คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเยาวชนรุ่นใหม่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างเชียงราย ถึงได้มีโอกาสแสดงออกถึงอัตลักษณ์เหล่านี้อย่างภาคภูมิใจ

 คำตอบอยู่ที่โครงการพัฒนาทักษะชีวิตเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย หมวดที่ 6 “Creative Space for Youth Development” ซึ่งปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบในวันนี้ ด้วยมหกรรมโซน 3 “มหกรรมร่วมสืบสาน เล่าตำนาน วัฒนธรรมและชาติพันธุ์สุดถิ่นไทย” ที่ไม่เพียงเป็นเวทีแห่งการแสดงศักยภาพ แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของชุมชนท้องถิ่น

เปิดรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่ต้นปี 2568

ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน โครงการนี้เริ่มต้นจากนโยบายขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ที่มุ่งมั่นสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ให้เยาวชน โดยเฉพาะในพื้นที่โซน 3 ซึ่งครอบคลุมอำเภอแม่จัน แม่สาย และพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูงสุดในจังหวัด เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีกลุ่มชาติพันธุ์มากถึง 145 กลุ่ม คิดเป็นประชากรกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 211,752 คน จากประชากรทั้งหมดประมาณ 1.3 ล้านคน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมที่อุดมสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน เยาวชนในพื้นที่เหล่านี้ก็เผชิญกับความท้าทาย เช่น การขาดโอกาสทางการศึกษา การเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าและสิ่งเสพติด รวมถึงปัญหาการรวมกลุ่มเด็กแว้นที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงทางสังคม โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์เหล่านั้น โดยเปิดรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่ต้นปี 2568 และปิดรับสมัครการแข่งขันเดินแบบชุดชาติพันธุ์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 500 คน จากชุมชนต่างๆ ในโซน 3

งานมหกรรมในวันนี้เริ่มต้นตั้งแต่เวลา 08.00 น. ด้วยการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนายฐิติวัชร ไลศิริพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยทีมงานจากศูนย์เยาวชนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย บรรยากาศคึกคักด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น เช่น การรำวงพื้นเมืองและการบรรเลงดนตรีชาติพันธุ์ แต่ไฮไลต์สำคัญคือการประกวดเดินแบบชุดชาติพันธุ์ ซึ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนได้นำเสนอเรื่องราวของชุดที่สวมใส่ ไม่ใช่แค่การเดินโชว์ แต่เป็นการเล่าตำนานและอัตลักษณ์ของแต่ละเผ่า เช่น เยาวชนคนหนึ่งจากชุมชนชาวลาหู่เล่าว่า ชุดของเขาสะท้อนถึงวิถีชีวิตบนภูเขาที่ต้องต่อสู้กับธรรมชาติอันโหดร้าย แต่เต็มเปี่ยมด้วยความเข้มแข็งและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร การแข่งขันนี้ไม่เพียงสร้างความตื่นเต้น แต่ยังทำให้ผู้ชม โดยเฉพาะพ่อแม่และชาวบ้านในพื้นที่ ได้เห็นถึงศักยภาพของลูกหลานที่ถูกปลุกขึ้นมาผ่านกิจกรรมเช่นนี้

โครงการนี้คือการลงทุนในอนาคตของเชียงราย

เมื่อเข้าสู่ช่วงบ่าย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปิดโครงการและมอบรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศ นายสุธีระพงษ์กล่าวในพิธีว่า “โครงการนี้คือการลงทุนในอนาคตของเชียงราย เราต้องการให้เยาวชนเติบโตอย่างมั่นคง ภาคภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง และนำทักษะที่ได้ไปประกอบอาชีพได้จริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม” คำกล่าวนี้สะท้อนถึงนโยบายหลักของอบจ.เชียงราย ภายใต้แนวคิด “อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ซึ่งเน้นการเข้าถึงการศึกษาและทักษะชีวิตแม้ในพื้นที่ห่างไกล ผู้ชนะเลิศในประเภทต่างๆ ได้รับรางวัลเป็นทุนการศึกษาและอุปกรณ์ส่งเสริมวัฒนธรรม เช่น ชุดเครื่องแต่งกายใหม่หรือเครื่องดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถสืบสานกิจกรรมเหล่านี้ต่อไปในชุมชน

นอกจากประเด็นหลักอย่างการสืบสานวัฒนธรรม ประเด็นรองที่โดดเด่นในงานนี้คือการส่งเสริม Soft Power ท้องถิ่น เชียงรายมีชื่อเสียงในด้านนี้อยู่แล้ว เช่น เครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลงที่ได้รับ OTOP ระดับ 5 ดาว ซึ่งเป็นตัวอย่างของการนำวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ โครงการนี้จึงเชื่อมโยงกับการพัฒนาเยาวชนให้เป็นส่วนหนึ่งของ Soft Power โดยผ่านกิจกรรมที่ผสมผสานศิลปวัฒนธรรมกับทักษะสมัยใหม่ เช่น การใช้โซเชียลมีเดียโปรโมทชุดชาติพันธุ์ หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์จากผ้าพื้นเมือง ผู้เข้าร่วมหลายคนให้สัมภาษณ์ว่า “กิจกรรมนี้ทำให้หนูรู้สึกว่าวัฒนธรรมของเราไม่ใช่แค่เรื่องเก่าๆ แต่สามารถนำไปขายหรือโปรโมทให้คนอื่นรู้จักได้” ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเยาวชน

กิจกรรมในมหกรรมโซน 3 นี้จัดขึ้นเพื่อสืบสานวัฒนธรรมชาติพันธุ์

โครงการ “Creative Space for Youth Development” เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566-2570 ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะสำหรับเยาวชนอายุ 15-24 ปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15% ของประชากรจังหวัด (จากข้อมูลสถานการณ์ทางสังคมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2564) กิจกรรมในมหกรรมโซน 3 นี้จัดขึ้นเพื่อสืบสานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ โดยมีผู้เข้าร่วมจากชุมชนต่างๆ กว่า 500 คน และมีผู้ชมรวมกว่า 1,000 คน รวมถึงแขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงานท้องถิ่น เช่น สภาเยาวชนเชียงราย ซึ่งขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเยาวชนกว่า 100 โครงการในปี 2568 การแข่งขันเดินแบบมีผู้สมัครกว่า 200 คน จากการเชิญชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์และกลุ่มชุมชน ผลจากการจัดงานครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยลดปัญหาสังคมในเยาวชน เช่น การเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าที่พบในเยาวชนเชียงรายสูงถึง 10% (จากรายงานสถานการณ์เด็กและเยาวชน พ.ศ. 2564) โดยแทนที่ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์

โครงการส่งเสริม Soft Power ในเชียงราย

เยาวชนในชุมชนของคุณเติบโตขึ้นด้วยความภาคภูมิใจในวัฒนธรรม พวกเขาจะนำสิ่งนั้นไปสร้างรายได้อย่างไร? จากข้อมูลของโครงการส่งเสริม Soft Power ในเชียงราย การนำวัฒนธรรมมาพัฒนา โครงการนี้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มักถูกมองข้าม ล่าสุด รัฐสภาเพิ่งผ่านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ซึ่งจะช่วยให้เยาวชนกลุ่มนี้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานมากขึ้น เช่น การศึกษาและสวัสดิการ ส่งผลให้ชุมชนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในแง่เศรษฐกิจ Soft Power จากโครงการนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 54,106 ล้านบาท โดยการโปรโมทวัฒนธรรมผ่านเยาวชนจะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น สร้างงานให้ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น การขายสินค้าพื้นเมืองหรือบริการโฮมสเตย์

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทาย เช่น การขาดงบประมาณต่อเนื่องหรือการเข้าถึงเทคโนโลยีในพื้นที่ห่างไกล แต่หากอบจ.เชียงรายและหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ที่มีโครงการพัฒนาชุมชน Soft Power สามารถเชื่อมโยงกันได้ โครงการนี้จะยั่งยืนยิ่งขึ้น สุดท้ายแล้ว ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับคือชุมชนที่เข้มแข็ง ลูกหลานที่มีทักษะพร้อมเผชิญโลก และวัฒนธรรมที่ถูกสืบสานไปสู่รุ่นต่อไป ซึ่งจะช่วยให้เชียงรายกลายเป็นแบบอย่างของการพัฒนาที่ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กิจกรรมจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) และสภาเยาวชนจังหวัดเชียงราย
  • สถิติประชากรและกลุ่มชาติพันธุ์จากรายงานสถานการณ์ทางสังคมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2564 และ SDG Profile Chiang Rai โดย UNDP
  • ข้อมูล Soft Power และผลกระทบจาก ETDA และรายงานโครงการส่งเสริม Soft Power เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

รสชาติที่หายไป! แกงแคไก่เมืองเชียงรายชนะโหวตเมนูเชิดชูอาหารถิ่นประจำปี 68

 “แกงแคไก่เมือง” ทวงคืนรสชาติที่หายไป เชียงรายชู Soft Power อาหารถิ่นสู่เวทีชาติ

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางยุคสมัยที่อาหารฟิวชั่นและรสมือจากต่างชาติเข้ามาครองใจผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ เมนูพื้นบ้านหลายอย่างกำลังถูกลืมเลือนจากสำรับอาหารไทย แต่ในปี 2568 นี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้ให้ “แกงแคไก่เมือง” ของจังหวัดเชียงราย กลับกลายเป็นเมนูดาวเด่นที่ปลุกกระแสรักษ์ถิ่น จากการเปืดให้ชาวเชียงรายร่วมโหวต 1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น ประจำปี 2568 “Thailand Best Local Food : รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste ปี 3” ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม

แกงแคความหมายที่มากกว่าอาหารจานหนึ่ง

แกงแคไก่เมือง เป็นมากกว่าเมนูรสจัดจ้านในครัวคนเหนือ เพราะนี่คือ “ภูมิปัญญาการกิน” ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติและวิถีชีวิตบนผืนดินล้านนาแท้จริง แกงแคจึงไม่ใช่แค่แกงรวมผักหรืออาหารประจำฤดูกาล แต่เป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลาย ความพอเพียง และการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ในหนึ่งหม้อรวมทั้งผักจากสวนและจากป่า เช่น ผักเผ็ด ผักขี้หูด เห็ดลม มะเขือเปราะ หางหวาย และที่ขาดไม่ได้คือ “ไก่เมือง” หรือไก่พื้นบ้านที่เนื้อแน่น หอมหวาน ไม่ฉุนกลิ่นยา

จากการสืบค้นในตำนานอาหารพื้นเมือง คำว่า “แค” ในภาษาเหนือ หมายถึง การรวมผักหรือเครื่องปรุงหลายอย่างเข้าด้วยกัน โดยแต่ละบ้านอาจเลือกผักตามฤดูกาลหรือตามความอุดมสมบูรณ์ในช่วงนั้น เป็นความยืดหยุ่นที่เปิดโอกาสให้แต่ละครอบครัวใส่ “ลายเซ็นของตัวเอง” ลงในหม้ออาหาร

เชฟสะระแหน่  – ต้นตำรับความกลมกล่อม จากครัวชุมชนสู่เวทีชาติ

ในปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารพื้นบ้านล้านนา “เชฟสะระแหน่” จากร้านสบันงาขันโตก จังหวัดเชียงราย ได้รับเชิญให้ถ่ายทอดเคล็ดลับการปรุงแกงแคไก่เมืองต้นตำรับ ซึ่งเขาเน้นย้ำถึง 3 หัวใจสำคัญที่ทำให้เมนูนี้ยังคงเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

  1. วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่น โดยเฉพาะไก่เมืองพันธุ์พูหางดำจากเวียงชัย และผักปลอดสารที่ปลูกเองในสวน
  2. การเจียวเครื่องแกงและผัดไก่ด้วยไฟอ่อน เพื่อดึงรสชาติจากสมุนไพร เช่น กระเทียม พริกแห้ง ดีปลี และ “จี้ลี่ปากกา” หรือดีปลีพื้นบ้าน
  3. ลำดับการใส่ผัก ที่เริ่มจากผักแข็งก่อน เช่น หางหวาย ยอดมะพร้าวอ่อน ตามด้วยเห็ดลม มะเขือเปราะ ปิดท้ายด้วยผักอ่อนและสมุนไพรหอมฉุนที่ทำให้กลิ่นและรสชาติซับซ้อนขึ้น

เชฟสะระแหน่ กล่าวว่า “อาหารเหนือไม่มีสูตรตายตัว แกงแคจะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับความใส่ใจและความรักในวัตถุดิบ อาหารไม่มีผิดถูก ทุกบ้านใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้”

การทวงคืน “รสชาติที่หายไป” กับภารกิจอนุรักษ์ Soft Power อาหารไทย

โครงการ 1 จังหวัด 1 เมนูฯ ที่จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ไม่เพียงเป็นเวทีคัดสรรเมนูเด่น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการ “ฟื้นชีวิต” ให้อาหารท้องถิ่น โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน นักเรียน และนักท่องเที่ยว ในปีนี้ มีเมนูจาก 77 จังหวัดเข้าร่วมประกวดทั่วประเทศ โดยแกงแคไก่เมืองเชียงรายได้รับคะแนนโหวตสูงสุด สะท้อนการยอมรับในระดับชาติ

สิ่งที่น่าจับตาคือ “แกงแคไก่เมือง” จะไม่ได้หยุดอยู่ที่ตำรับในบ้านหรือบนโต๊ะอาหารท้องถิ่นอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น Soft Power สำคัญด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เตรียมต่อยอดด้วยการเผยแพร่สูตรดั้งเดิม ส่งเสริมร้านอาหารในพื้นที่ให้ดึงเมนูนี้เข้าสู่เมนูหลัก ตลอดจนการสร้างฐานข้อมูลอาหารถิ่นเพื่อการเรียนรู้และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสมัยใหม่

ผลลัพธ์ที่กว้างขวาง “แกงแคไก่เมือง” กับอัตลักษณ์เชียงราย

ชัยชนะของแกงแคไก่เมืองในปี 2568 ไม่เพียงเป็นเรื่องราวของการแข่งขัน แต่เป็น “ชัยชนะของอัตลักษณ์” ที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงอาหาร เศรษฐกิจฐานราก และการอนุรักษ์ภูมิปัญญา

  1. ผลักดันเศรษฐกิจชุมชน: ร้านอาหาร โรงแรม และผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถใช้เมนูนี้เป็นจุดขาย ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลิ้มรสต้นตำรับถึงถิ่น
  2. กระตุ้นการผลิตวัตถุดิบปลอดภัย: การเน้นใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน ทำให้เกษตรกรในชุมชนมีตลาดรองรับ ผลักดันให้เกิดการปลูกผักปลอดสาร พัฒนาอาชีพและรายได้
  3. สร้างความภาคภูมิใจในท้องถิ่น: เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้รากเหง้าทางวัฒนธรรม พร้อมส่งต่อสูตรอาหารอย่างเป็นระบบ เป็นสะพานเชื่อมโยงอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

อาหารพื้นบ้านในฐานะ “มรดกที่กินได้”

เรื่องราวของแกงแคไก่เมืองในวันนี้ คือการยืนยันว่ามรดกทางวัฒนธรรมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ศิลปะหรือวัตถุโบราณ แต่อยู่ใน “หม้อแกง” ของบ้านทุกหลัง และสามารถก้าวสู่ Soft Power ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง

ขณะที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมยังอยู่ระหว่างรวบรวมและประกาศผลอย่างเป็นทางการสำหรับทุกจังหวัด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในเชียงรายคือ กระแสการตื่นตัว การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และความภาคภูมิใจของชุมชนที่ต้องการทวงคืน “รสชาติที่หายไป” ให้กลับมาเป็นหัวใจบนสำรับอาหารไทยอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
  • สัมภาษณ์เชฟสะระแหน่  ร้านสบันงาขันโตก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เยาวชนไทยในสหรัฐฯ คืนถิ่นสานวัฒนธรรม

โครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 14 สานสายใยวัฒนธรรม สร้างรากเหง้าในหัวใจลูกหลานไทยโพ้นทะเล

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่คณะโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 14 หรือ Thai American Youth Heritage Program 2024 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 13 กรกฎาคม 2568 โดยมีเยาวชนไทยและผู้ปกครองที่เกิดและเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา เดินทางกลับสู่ประเทศไทย เพื่อทัศนศึกษา ศึกษาวัฒนธรรม และทำกิจกรรมจิตอาสาบนแผ่นดินเกิดของบรรพบุรุษ

การเดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของโครงการฯ ซึ่งได้รับความสนใจและการต้อนรับจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ วัดวาอาราม ชุมชน และสถานศึกษา โดยคณะเยาวชนได้เยี่ยมชมสถานที่สำคัญหลากหลาย อาทิ วัดห้วยปลากั้ง วัดพระธาตุผาเงา พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย และโรงเรียนในอำเภอแม่จัน เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตไทยจากหลายมิติ

ต้นกำเนิดโครงการจากวัดไทยในลอสแอนเจลิส สู่การคืนถิ่นแห่งศรัทธา

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ เกิดขึ้นจากความพยายามของชาวไทยในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการสืบทอดรากวัฒนธรรมไทยสู่รุ่นลูกหลานที่เกิดในต่างแดน โดยริเริ่ม “โครงการวัฒนธรรมไทยคืนถิ่น” ครั้งแรกในปี พ.ศ.2533 ด้วยการนำนักเรียนจากโรงเรียนพุทธศาสนาวัดไทยลอสแอนเจลิส มาเปิดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยในประเทศไทย และได้เสียงตอบรับอย่างอบอุ่นจากประชาชนชาวไทย

จากจุดเล็ก ๆ ในวัดไทยแห่งหนึ่ง โครงการนี้ได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จัดขึ้นทุก 2 ปี ด้วยความร่วมมือจากชุมชนไทยในรัฐต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นโครงการระดับชาติที่มีความสำคัญทั้งในด้านการสืบสานวัฒนธรรม และสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตแบบประชาชนสู่ประชาชน

ผู้บริหารโครงการ: แรงใจและความทุ่มเทเพื่อ “รากไทย” ในใจเยาวชน

สำหรับการเดินทางมาเยือนประเทศไทยในครั้งที่ 14 นี้ คณะโครงการประกอบด้วยบุคคลสำคัญ ได้แก่

  • นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานโครงการ
  • นายชนะ เมี้ยนเจริญ กงสุล สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
  • นายสุรศักดิ์ วงศ์ข้าหลวง ประธานฝ่ายสหรัฐอเมริกา
  • นายดำฤทธิ์ วิริยะกุล เลขานุการโครงการ

โดยมีเป้าหมายในการให้เยาวชนเรียนรู้วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก รวมถึงสร้างความตระหนักถึงคุณค่าความเป็นไทย พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนสามารถนำความรู้กลับไปเผยแพร่ต่อในชุมชนไทยในสหรัฐอเมริกา

กิจกรรมบนแผ่นดินแม่สัมผัสรากเหง้า บำเพ็ญประโยชน์ด้วยหัวใจ

หนึ่งในกิจกรรมที่เป็นไฮไลต์ของการมาเยือนจังหวัดเชียงราย คือการเข้าเยี่ยมชมวัดห้วยปลากั้งและวัดพระธาตุผาเงา ซึ่งเยาวชนได้มีโอกาสสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศึกษาศิลปกรรมล้านนา และแลกเปลี่ยนความรู้กับพระสงฆ์ในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้ไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียนในอำเภอแม่จัน เรียนรู้วิถีชีวิตของเยาวชนในพื้นที่ชนบท และนำบทเรียนกลับไปถ่ายทอดยังชุมชนของตนในต่างประเทศ

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย หรือบ้านของศิลปินแห่งชาติ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่สร้างความประทับใจให้เยาวชน โดยเฉพาะในแง่ของการนำเสนอความเป็นไทยผ่านมุมมองของศิลปะร่วมสมัย

จากรุ่นสู่รุ่นโครงการแห่งความต่อเนื่อง

ตลอดเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้ถูกยกระดับเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติในโอกาสสำคัญระดับชาติหลายครั้ง เช่น ปี พ.ศ.2547 ซึ่งจัดเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ในวาระพระชนมพรรษา 6 รอบ และในปี พ.ศ.2549 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ในโอกาสครองราชย์ครบ 60 ปี

แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โครงการจะต้องเว้นช่วงไป แต่ในปี พ.ศ.2566 และปีนี้ (พ.ศ.2568) โครงการได้กลับมาดำเนินการอีกครั้ง ด้วยรูปแบบที่เข้มข้นและหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและวิถีชีวิตของเยาวชนยุคใหม่

วิเคราะห์ผลลัพธ์ สายสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ผ่านพลังเยาวชน

โครงการนี้มิได้เป็นเพียงแค่การเดินทางมาเยือนบ้านเกิดของบรรพบุรุษเท่านั้น หากแต่เป็นการ “ลงทุนระยะยาว” เพื่อสร้างเครือข่ายคนไทยในต่างแดนที่มีความผูกพันกับประเทศไทย รู้จักรากเหง้าของตน และพร้อมจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองวัฒนธรรม — ไทยและอเมริกัน — ในอนาคต

นอกจากนี้ ยังถือเป็นแนวทางหนึ่งของ “Soft Power” ที่มีผลจริงในระดับปัจเจก ผ่านความผูกพันทางอารมณ์และการมีส่วนร่วมของเยาวชน ซึ่งในระยะยาว จะส่งผลต่อการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศ: www.mfa.go.th
  • คณะกรรมการโครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่
  • สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส
  • ข้อมูลพื้นฐานจาก วัดไทยนครลอสแอนเจลิส
    (เรียบเรียงโดยทีมข่าว นครเชียงรายนิวส์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จับตาสงครามรีเทลเชียงราย โอกาส-ความท้าทายสู่ศูนย์กลางค้าภูมิภาค

เชียงรายขยับสู่เมืองเศรษฐกิจใหม่ ‘Greenpark Community Mall’ จุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง ลงทุนกว่า 350 ล้านบาท ตั้งเป้าคอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกของเชียงราย กระตุ้นเศรษฐกิจ-สร้างงาน-รองรับนักท่องเที่ยวลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 21 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในเชิงเศรษฐกิจและโครงสร้างเมืองอีกครั้ง เมื่อ “บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด” บริษัทในเครือของกรีนบัส ได้ฤกษ์ลงเสาเอกโครงการ “Greenpark Community Mall Chiang Rai” บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ ใจกลางเมืองย่านแยกประสพสุข มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 350 ล้านบาท โดยโครงการนี้นับเป็น “Community Mall แห่งแรก” ของจังหวัดเชียงราย ที่รวมร้านค้าดัง บริการทันสมัย และการออกแบบเพื่ออนาคตไว้ในที่เดียว

โครงการต่อยอดจากเชียงใหม่ สู่ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชายแดน

Greenpark Community Mall ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่คือผลสำเร็จจากโมเดลเดียวกันในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ การนำคอนเซปต์นี้เข้าสู่เชียงราย—ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญด้านโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน—จึงเป็นกลยุทธ์ที่วางแผนมาแล้วอย่างรอบคอบ

พื้นที่โครงการตั้งอยู่บนที่ดินเดิมของกรีนบัสคาร์โก้ บริเวณถนนพหลโยธิน ใกล้แยกประสพสุข เชื่อมต่อได้ถึง 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ถนนประสพสุข และถนนเจ้าชาย ถือเป็นทำเลทองที่สามารถรองรับทั้งคนท้องถิ่น นักท่องเที่ยวจากลาวและเมียนมา ไปจนถึงนักเดินทางจากเชียงใหม่-พะเยา

"กรีนพาร์ค" คอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกในเชียงราย ตั้งอยู่บนที่เดิม กรีนบัสคาร์โก้เชียงราย มีทางเข้า-ออกถึง 3 ทาง คือ ด้านถนนพหลโยธิน ด้านถนนประสพสุข และด้านถนนเจ้าชาย ทั้งนี้ด้วยมูลค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างรวมกว่า 350 ล้านบาท
พานพงษ์ไทย รับเหมาก่อสร้างโครงการ Green Park เชียงราย ภาพวันที่ 23 มิถุนายน 2568

มากกว่าแค่ห้างตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

จุดเด่นของ Greenpark Community Mall อยู่ที่ความครบจบในที่เดียว โดยคัดสรรร้านอาหารและร้านค้าชื่อดังมารวมไว้ เช่น สุกี้ตี๋น้อย, โอ้กะจู๋, Oh Juice (สาขาแรกในเชียงราย), KFC Drive Thru, MR. D.I.Y. และร้านอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อม EV Station สำหรับรถไฟฟ้า ที่จอดรถกว่า 200 คัน และระบบ Drive-Thru Pickup ซึ่งตอบรับทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่และแนวโน้มอนาคตด้านการเดินทางและสิ่งแวดล้อม

ภายใต้แนวคิด “ความง่าย ความเร็ว ความครบครัน” โครงการยังให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ให้เข้าถึงได้สำหรับทุกคน รวมถึงที่จอดรถสำหรับผู้พิการ สวนหย่อม และโครงสร้างสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้ “บริษัท พานพงษ์ไทย จำกัด” เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง

การลงทุนที่กระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้เชียงราย

Greenpark Community Mall ไม่ใช่เพียงแค่โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อกำไรเชิงพาณิชย์ แต่ยังถูกออกแบบให้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยตรงและโดยอ้อม การก่อสร้างโครงการจะเริ่มในเดือนมิถุนายน 2568 และมีกำหนดเปิดให้บริการเฟสแรกในปลายปี 2568 ก่อนเปิดเต็มรูปแบบในไตรมาส 4 ปี 2569

คาดว่าจะสร้างงานให้กับแรงงานในพื้นที่มากกว่า 500 ตำแหน่ง ทั้งภาคก่อสร้าง การค้าปลีก และบริการ รวมถึงกระตุ้นธุรกิจโดยรอบ เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหารพื้นถิ่น และธุรกิจบริการขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกับห้างใหม่

นอกจากนี้ โครงการยังตั้งเป้าเป็น “จุดพักทางเศรษฐกิจ” สำหรับนักเดินทางทั้งจากลุ่มน้ำโขงและคนในประเทศ ที่ใช้เชียงรายเป็นเมืองเชื่อมต่อสู่จังหวัดพะเยา หรือแหล่งท่องเที่ยวอย่างเชียงของ ดอยแม่สลอง และแม่สาย

คณะผู้บริหารโครงการคำพรพัฒนา โดยคุณปรียา เวโรจน์ ,คุณกานต์ เวโรจน์, คุณนงลักษณ์ ทองคำคูณ และคณะ ได้มาประกอบพิธีลงเสาเอกโครงการ Green Park เชียงราย

โอกาสเปิด แต่ความท้าทายยังไม่จบ

แม้ Greenpark จะมาพร้อมจุดขายที่แตกต่าง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปิดตัวศูนย์การค้าหลายแห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น โลตัสเชียงรายที่กำลังจะเปิดอาคารใหม่ขนาดใหญ่ พร้อมโรงภาพยนตร์ 3 โรง การแข่งขันจึงไม่ใช่เพียงการเปิดพื้นที่ค้าปลีก แต่เป็นการแย่งชิง “เวลาและใจ” ของผู้บริโภค

Greenpark vs Index vs Lotus: สงครามศูนย์การค้าบนเส้นทางเศรษฐกิจเชียงราย

เชียงราย – การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายกำลังเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อนักลงทุนรายใหญ่จากทั้งในและนอกพื้นที่เริ่มเคลื่อนทัพเข้ามาพัฒนา “ศูนย์การค้า” ขนาดใหญ่ถึง 3 แห่งภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี ทั้ง Greenpark Community Mall,Index Living Mall และโลตัสเชียงราย อาคารใหม่บนพื้นที่กว่า 18 ไร่ที่มาพร้อมโรงภาพยนตร์ การเปิดตัวพร้อมกันของศูนย์การค้าเหล่านี้ไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ด้านการค้า แต่ยังเป็นแรงกระเพื่อมต่อโครงสร้างเมือง พฤติกรรมผู้บริโภค และระบบเศรษฐกิจในระดับจังหวัดอย่างไม่อาจมองข้าม

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโฉมเมือง

ในอดีต เชียงรายคือจังหวัดที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการเกษตรและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่มีอยู่เดิม เช่น เซ็นทรัลเชียงราย เคยเป็นเพียงไม่กี่แห่งที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของประชาชน แต่เมื่อเข้าสู่ยุคหลังโควิด-19 บทบาทของเมืองเริ่มเปลี่ยนไป การกระจายตัวของชนชั้นกลางใหม่ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และการเชื่อมต่อพรมแดน ล้วนส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่นักลงทุนค้าปลีกให้ความสนใจ

Index Living Mall สาขาเชียงราย เป็นสาขาขนาดกลาง พื้นที่ขาย 7,000 ตร.ม.

หนึ่งในผู้เปิดเกมรุกคือ บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด ในเครือกรีนบัส ที่ตัดสินใจสร้าง Greenpark Community Mall บนที่ดินเดิมของกรีนบัสคาร์โก้ ใกล้แยกประสพสุข โดยใช้งบลงทุนกว่า 350 ล้านบาท จุดขายของ Greenpark คือการเป็น Community Mall แห่งแรกในเชียงราย ที่รวมร้านอาหารชื่อดัง สะดวก สบาย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และออกแบบพื้นที่ให้รองรับรถยนต์ EV พร้อมบริการ Drive-Thru Pickup

ในขณะที่ Index Living Mall เน้นเจาะตลาดเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้านครบวงจร เหมาะกับกลุ่มครอบครัวและเจ้าของบ้าน ขณะที่โลตัสเชียงรายรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิด จะมาในรูปแบบ Hypermarket + Lifestyle Mall ที่มีโรงหนัง 3 โรง และพื้นที่จอดรถขนาดใหญ่ คาดว่ารองรับลูกค้ากว่าพันคนต่อวัน

ภาพจำลองจาก คุณโกวิทย์ สื่อสาธารณะภาคเหนือ

เปรียบเทียบจุดแข็ง ห้างใหม่ทั้ง 4

ศูนย์การค้า

รูปแบบ

จุดแข็ง

กลุ่มเป้าหมาย

Greenpark

Community Mall

ใกล้ชุมชน แบรนด์ดัง จอดรถง่าย

คนเมือง-คนรุ่นใหม่-นักท่องเที่ยว

Index

Specialty Mall

เฟอร์นิเจอร์ครบวงจร

เจ้าของบ้าน-ผู้ประกอบการ

Lotus

Hyper+Lifestyle

มีโรงหนัง จอดรถสะดวก

ครอบครัว-นักเรียน-นักศึกษา

ผลกระทบเชิงมหภาค: เม็ดเงินไหลเข้า – ทุนท้องถิ่นจะอยู่หรือไป?

การเกิดขึ้นของศูนย์การค้าใหม่ถึง 3 แห่งเท่ากับการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นหลายพันล้านบาท ทั้งในรูปแบบของค่าก่อสร้าง การจ้างงาน การสร้างธุรกิจรายย่อย และภาษีที่ไหลกลับสู่ท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็อาจมีผลลัพธ์ที่ไม่เป็นบวกไปเสียทั้งหมด

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ มองว่า “ฟองสบู่ค้าปลีก” เป็นสิ่งที่ต้องจับตา หากห้างเปิดมากเกินกำลังซื้อในพื้นที่ จะเกิดการแย่งชิงผู้บริโภคอย่างรุนแรง นำไปสู่การตัดราคาหรือการปิดตัวในที่สุด ขณะเดียวกัน ธุรกิจ SME ท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร ตลาดสด หรือร้านเสื้อผ้าเล็กๆ ก็อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้บริการในศูนย์การค้าแทน

ผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค: ใครจะครองใจคนเชียงราย?

สิ่งที่น่าสนใจคือ ศูนย์การค้าแต่ละแห่งต่างออกแบบแนวคิดแตกต่างกันเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดย Greenpark วางตัวเป็นแหล่งนัดพบของคนเมืองแบบไม่ต้องเดินไกลหรือเสียเวลาหาที่จอดรถ และพื้นที่กว้าง Index เน้นประโยชน์ใช้สอยและการแต่งบ้านอย่างมีสไตล์ ขณะที่โลตัสใช้โมเดลราคาประหยัดผสมกับความบันเทิง เพื่อดึงคนได้หลายกลุ่มพร้อมกัน

หากมองในแง่การพัฒนาเมือง ห้างเหล่านี้คือ “เครื่องมือ” สำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมืองเชียงรายในระยะยาว จากเมืองเกษตรกรรมและชายแดน ไปสู่เมืองไลฟ์สไตล์เชิงพาณิชย์ระดับภูมิภาค

โอกาสและความเสี่ยงบนเส้นทางเศรษฐกิจเชียงราย

เมื่อห้างสรรพสินค้าไม่ใช่แค่สถานที่ช้อปปิ้ง แต่กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเมือง การลงทุนในศูนย์การค้า 3 แห่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนี้คือการประกาศอย่างไม่เป็นทางการว่า เชียงรายพร้อมแล้วที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของภาคเหนือ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ยังต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น

หากสามารถสร้างสมดุลระหว่างทุนใหญ่กับธุรกิจดั้งเดิม, ระหว่างความบันเทิงกับการกระจายรายได้, และระหว่างการพัฒนาเมืองกับคุณภาพชีวิตประชาชนได้ เชียงรายจะกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตาอย่างยิ่งของการเปลี่ยนแปลงเมืองผ่านพลังของเศรษฐกิจค้าปลีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท คำพรพัฒนา จำกัด / Greenpark Community Mall Press Release, 21 มิถุนายน 2568
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ Index Living Mall เชียงราย, พฤษภาคม 2568
  • รายงานการลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ประจำปี 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News