Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มรภ.เชียงราย ปั้น “ชาดอกซ้อ” ไทลื้อบ้านหาดบ้าย พลิกวิกฤตความหายาก สู่ Functional Tea ระดับโลก ด้วยนวัตกรรม

ดอกซ้อ” พืชพื้นถิ่นไทลื้อ พลิกวิกฤตความหายาก สู่ “Functional Tea” ระดับโลก ยุทธศาสตร์นวัตกรรมที่ท้าทายพลวัตตลาดชามูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

เชียงราย, 10 ตุลาคม 2568 – ในขณะที่ตลาดค้าปลีกชาทั่วโลกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าสูงถึง 51,470 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 แต่พลวัตการค้าระหว่างประเทศกลับแสดงการหดตัวในกลุ่มชาดั้งเดิมอย่างน่าตกใจ แต่กระแสของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ ภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อแห่งบ้านหาดบ้าย ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้ถูกนำมาผนวกเข้ากับนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ เพื่อยกระดับ “ชาดอกซ้อ” ซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นที่ออกดอกเพียงปีละครั้ง ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าสูง (Functional Tea) ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับสินค้าเกษตรเฉพาะถิ่นของไทย เพื่อตอบสนองอุปสงค์ของตลาดพรีเมียมโลกที่กำลังมองหาสินค้าที่มี “เรื่องราว” และ “คุณสมบัติที่เหนือกว่า”

การเดินทางของดอกซ้อจาก “ขนมประจำเทศกาล” สู่ “ชาสุขภาพไร้คาเฟอีน” ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางวัฒนธรรมของชาวไทลื้อ แต่ยังเป็นการก้าวเข้าสู่สนามแข่งขันระดับโลกได้อย่างถูกจังหวะ ตามข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่ระบุว่า ประเทศไทยควรเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาเพื่อสุขภาพเพื่อรักษาและขยายความได้เปรียบทางการค้า

จากต้นไม้พื้นบ้านสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ดอกซ้อ (Dok Sor) เป็นต้นไม้พื้นถิ่นทางภาคเหนือที่เป็นไม้ใหญ่ยืนต้น ซึ่งทุกส่วนของต้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เนื้อไม้นำมาทำเครื่องเรือน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ครก เขียง ซึ่งเป็นที่นิยมเนื่องจากมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ไม้ซ้อ ตัวใบใช้เป็นสมุนไพรในการต้มอาบหรือแก้ผดคัน ส่วนผลสุกสามารถนำมาขยี้แล้วกินกับข้าวเหนียว ซึ่งเป็นความรู้ด้านการใช้ประโยชน์ที่บรรพบุรุษชาวไทลื้อได้ส่งต่อกันมาเป็นเวลานาน

เดิมที ดอกซ้อมีบทบาทสำคัญทางวัฒนธรรมสำหรับชาวไทลื้อบ้านหาดบ้าย คือการนำดอกมาทำเป็น “ขนมดอกซ้อ” ซึ่งเป็นขนมที่รับประทานเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่เมืองเท่านั้น การทำขนมดอกซ้อเพื่อถวายพระในวันสงกรานต์นั้นเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นปีใหม่ สัญญาว่าทั้งปีจะมีความเจริญรุ่งเรือง แต่ความคิดริเริ่มของชาวบ้านกลับพลิกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ของพืชพื้นถิ่นนี้ให้ไปไกลกว่าขนมดั้งเดิม

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญว่า “เริ่มแรกเกิดจากความคิดที่ว่า หากดอกซ้อสามารถนำมาทำขนมได้ ไฉนจึงไม่สามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มได้บ้าง” ความพยายามในการนำมาแปรรูปเป็นชาเริ่มต้นด้วยการลองผิดลองถูกหลายปี ก่อนที่จะได้รับความร่วมมือครั้งสำคัญจากคณะวิทยาการจัดการและคณะสังคมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ภายใต้โครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัย

“ครั้งแรกที่เอามาทำเป็นน้ำดอกซ้อ เราก็ลองผิดลองถูกนานมาก เพราะไม่มีใครเคยทำมาก่อน ก็เลยต้องศึกษาจากภูมิปัญญาบ้านเรา แล้วก็ลองคิดคิดได้อะไรขึ้นมา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่คุณภาพ” นางสนองเล่าให้ฟัง ตั้งแต่นั้นมา ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาได้นำมาซึ่งการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมาตรฐาน การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สื่อถึงเรื่องราว และการสร้างแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนของชุมชน

การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และคุณสมบัติที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพโลก

ชาดอกซ้อไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มทั่วไป แต่มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากชาสมุนไพรอื่นในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้เสริมสร้างจุดเด่นของชาดอกซ้อในมิติทางวิทยาศาสตร์ นอกเหนือจากความหายากและมีกลิ่นเอกลักษณ์ ข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์ได้เผยให้เห็นความแตกต่างพื้นฐานของผลิตภัณฑ์นี้

ประการแรก คือกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว ชาดอกซ้อมีกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เกิดจากกระบวนการหมักโดยธรรมชาติ (Fermentation) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างทีเป็นธรรมชาติผ่านการตากแดด กลิ่นของมันจะหอมคล้าย “น้ำผึ้งป่า” และดอกไม้ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่พบได้ทั่วไปในชาสมุนไพรทั่วไป และมีรสหวานอ่อน ๆ ในตัวชาเอง ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือกลิ่นอโรมา (Aroma) นี้ ผู้เชี่ยวชาญจากกรมป่าไม้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเกี่ยวข้องกับผึ้งป่าที่ไปตอมต้นซ้อแล้วนำกลิ่นเนกตาร์มาสู่ดอกซ้อ เป็นเหตุให้ชาดอกซ้อมีลักษณะเฉพาะตัว

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์

คุณสมบัติด้านสุขภาพที่โดดเด่น ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ หัวหน้าโครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ระบุว่า ชาชนิดนี้ไม่มีคาเฟอีน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้คาเฟอีน เนื่องจากไม่กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ความไม่มีคาเฟอีนนี้เองทำให้ชาดอกซ้อกลายเป็นตัวเลือกที่มีศักยภาพสูงสำหรับบุคคลที่ต้องการลดการบริโภคสารกระตุ้นระบบประสาท

นอกจากนั้น ชาดอกซ้อยังช่วยผ่อนคลายและส่งเสริมการหลับสบาย เนื่องจากไม่มีคาเฟอีน และมีกลิ่นอโรมาคล้ายดอกไม้ป่า นักโภชนาการจึงแนะนำว่า ชาชนิดนี้เหมาะสำหรับการดื่มก่อนนอน ชาดอกซ้อมีสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มที่เรียกว่า “ฟลาโวนอยด์” (Flavonoids) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในชาสมุนไพรทั่วไป แต่จากการส่งตรวจในห้องแล็บ พบว่าในปริมาณชา 500 กรัม มีสารฟลาโวนอยด์อยู่สูงถึงประมาณ 600 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบกับชาสมุนไพรอื่นในตลาด สารกลุ่มนี้ช่วยลดไขมันในเลือด ต้านการเกิดอักเสบในร่างกาย

ความท้าทายในการผลิต และนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกม

ความท้าทายหลักที่ขวางกั้นไม่ให้ชาดอกซ้อขยายตัวในตลาดคือ ข้อจำกัดด้านการเก็บวัตถุดิบและการรักษาคุณภาพ ดอกซ้อเป็นพืชพิเศษที่ออกดอกในช่วง ธันวาคมจนถึงเดือนเมษายน เท่านั้น ที่ยิ่งไปกว่านั้น ดอกซ้อที่เก็บมานั้นเน่าเสียง่ายมาก และต้องเก็บและนำเข้าสู่กระบวนการแปรรูป ภายใน 1 วัน มิฉะนั้นดอกจะเหี่ยวในตอนเย็น ซึ่งทำให้การผลิตมีข้อจำกัดด้านปริมาณและคุณภาพ

ไม่เพียงแต่เวลาการเก็บหรือระยะเวลาการรักษาความสด พื้นที่ปลูกดอกซ้อก็มีข้อจำกัด ต้นซ้อบางต้นใช้เวลาปลูกหลายปีกว่าจะเติบโตและออกดอกได้ การออกดอกเพียงปีละครั้งเท่านั้นนี้ ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ด้านการบริหารจัดการวัตถุดิบเพื่อให้สามารถจัดจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี

เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพ ปริมาณ และความปลอดภัย ทีมวิจัยจึงนำ “ตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์” เข้ามาใช้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนเกมในการผลิตชาดอกซ้อ

อาจารย์ธงชัย ลาหุนะ

ด้าน ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลาและอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ คณะสังคมศาสตร์ สาขาคหกรรมศาสตร์ คณะวิจัยผู้พัฒนาชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัย อธิบายว่า หากตากแบบทั่วไปข้างนอก ต้องใช้เวลาประมาณ 3 วัน ซึ่งทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) มากเกินไป และมีความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราและสิ่งปนเปื้อน เมื่อนำตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์เข้ามาใช้ ระยะเวลาการตากลดลงเหลือเพียง 1-2 วัน ซึ่งเป็นการเร่งให้ชาแห้งเร็วที่สุดโดยยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของชา

นวัตกรรมนี้มีประโยชน์หลากหลาย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มปริมาณการเก็บสต็อกให้จำหน่ายได้ตลอดปี แต่ยังช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะกลิ่นต่างๆ ของชาดอกซ้อให้คงอยู่ และยังช่วยป้องกันความไม่ปลอดภัยที่อาจเกิดจากการตากภายนอก เช่น ฝุ่นละออง สัตว์ แมลง หรือเศษหญ้า ทำให้กระบวนการจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

มาตรฐาน GHP และกระบวนการผลิตที่เข้มงวด

เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าชาดอกซ้อมีกระบวนการผลิตที่ถูกสุขอนามัย ทางโครงการได้ให้ความรู้และส่งเสริมเรื่อง GHP (Good Hygiene Practice) หรือสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหาร ซึ่งเป็นมาตรฐานการควบคุมคุณภาพอาหารรูปแบบหนึ่งที่รับรองโดยหน่วยงานสาธารณสุข

ผู้ช่วยศาสตราจารย์กนกวรรณ ปลาศิลา และอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นผู้นำร่องในการให้ความรู้เรื่องนี้ พวกเขาได้ยกตัวอย่างขั้นตอนสำคัญที่ได้เข้าไปปรับปรุงและควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้ชาดอกซ้อถูกผลิตตามมาตรฐานการอาหารปลอดภัย

ขั้นตอนแรก คือการคัดแยกเบื้องต้นและการทำความสะอาด เนื่องจากดอกซ้อร่วงลงพื้นก่อนจึงมีการเก็บ จึงมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ขั้นตอนแรกคือการคัดแยกดอกที่เสีย ดอกที่ไม่สมบูรณ์ หรือดอกที่มีการปนเปื้อนแมลงออกไปก่อน หลังจากนั้นต้องทำความสะอาดด้วยการล้างเพื่อขจัดฝุ่นละอองและเศษต่างๆ

ขั้นตอนที่สอง คือการควบคุมอุณหภูมิและการฆ่าเชื้อ การใช้ตู้ตากพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากจะช่วยให้ชาแห้งเร็วแล้ว ยังช่วยในการควบคุมอุณหภูมิและความร้อนจากแสงแดด เพื่อฆ่าเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อความชื้นและจุลินทรีย์ที่อยู่ในชา ซึ่งช่วยลดการเกิดเชื้อราและสิ่งปนเปื้อน

ขั้นตอนที่สาม คือการจัดการสินค้าคงคลังและการแปรรูปขั้นสุดท้าย มีการวางระบบ First in First Out (FIFO) ในการจัดเก็บ ก่อนการบรรจุลงถุงเล็กๆ ทางกลุ่มจะนำชามาผ่านกระบวนการทำความสะอาดอีกรอบ คือ การอบด้วยลมร้อน (Hot Air Oven) โดยใช้เตาอบขนาดเล็ก การอบด้วยเตาเล็กๆ มีเหตุผลสำคัญ คือ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาดอกซ้อเสียความหอม หากอบปริมาณมากและทิ้งไว้นาน กลิ่นจะหายไป ขั้นตอนนี้เป็นการควบคุมคุณภาพขั้นสุดท้ายก่อนการแพ็ค

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการควบคุมสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การสวมเสื้อผ้า ใส่ถุงมือ และการแบ่งโซนการผลิตที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนข้าม (Cross Contamination) ซึ่งอาจเกิดจากการสัมผัสของเชื้อจุลินทรีย์หรือสิ่งแปลกปลอม

ซึ่งเราได้วางแผนกระบวนการพัฒนาชาดอกซ้อให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยและการควบคุมคุณภาพชาดอกซ้อ เพื่อเข้าสู่มาตราฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน(มผช) และการขอเลขสารบบขององค์การอาหารและยา(อย.) ในลำดับต่อไป

ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลา

กลยุทธ์การเล่าเรื่องราว Storytelling และการสร้างแบรนด์

โครงการวิจัยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงด้านวิทยาศาสตร์และการผลิตเท่านั้น แต่ยังใช้กลยุทธ์การ “เล่าเรื่อง” (Storytelling) เพื่อนำเสนออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวไทลื้อบ้านหาดบ้ายผ่านผลิตภัณฑ์ชาดอกซ้อ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ อธิบายว่า กลยุทธ์ในการสื่อสารเรื่องราวนี้คือการนำอัตลักษณ์ของบ้านหาดบ้ายมานำเสนอผ่านบรรจุภัณฑ์ โดยดึงเอาองค์ประกอบสำคัญของวิถีชีวิตไทลื้อมาใช้ในการออกแบบ

อย่างเช่น ผ้าทอไทลื้อบ้านหาดบ้าย มีความโดนเด่นด้านภูมิปัญญาหัตถกรรมการทอผ้า และยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม ลวดลายต่างๆ สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เช่น ลายแมงปอ ลายตาไก่ ลายขอใหญ่ ลายขอเล็ก โดยเราได้นำผ้าทอไทลื้อมาสื่อสารผ่านการออกแบบบนบรรจุภัณฑ์เพื่อทำเป็นของที่ระลึก ซึ่งเป็นการส่งเสริมการนำวัสดุในชุมชนมาต่อยอด สร้างสรรค์เป็นบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงเพิ่มมูลค่า แต่ยังกระจายรายได้สู่ชุมชนและส่งเสริม Soft Power ไทย

ตลาดชาโลกและไทย ในปี 2567 สะท้อนการเปลี่ยนจากวัตถุดิบสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม

ความสำเร็จนี้สอดคล้องกับพลวัตตลาดชาโลกและไทย ในปี 2567 การส่งออกชาดำหดตัว -3.0% ชาเขียว -7.3% แต่ผลิตภัณฑ์ชาแปรรูป (HS 210120) เติบโต +11.9% สะท้อนการเปลี่ยนจากวัตถุดิบสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม ประเทศไทยสวนทางโลก โดยส่งออกชาและผลิตภัณฑ์เติบโต +13.6% (70.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) ชาเขียว +65.2% และใน 8 เดือนแรกปี 2568 เติบโต +21.4% (53.3 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในประเทศ ตลาดชาพร้อมดื่ม (RTD) มีมูลค่า 16,834.7 ล้านบาท (+6.8%) ชา Specialty ร้านใหม่ +205% ใน 3 ปี มัทฉะฟีเวอร์ ยอดสั่งซื้อ 5 ล้านแก้ว (+78%) ชาดอกซ้อจึงมีโอกาสเติมช่องว่าง โดยเฉพาะการนำเข้าผลิตภัณฑ์ชาแปรรูปที่เพิ่ม +13.4% (22.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขณะที่การส่งออกกลุ่มนี้หด -2.5%

การต่อยอดไม่ได้หยุดแค่ชา ทีมวิจัยวางแผนขยายสู่ผลิตภัณฑ์อื่น เช่น คุกกี้ชาดอกซ้อ ขนมปังสังขยาชาดอกซ้อ น้ำพริกผั่วทรายชาดอกซ้อ และกัมมี่ชาดอกซ้อสำหรับเด็ก อาจารย์ธงชัย กล่าวว่า “จริงๆ ทำอยู่นะ ได้นำแนวคิดในโครงการวิจัยครั้งนี้ เอาไปเป็นโปรเจ็กต์ให้กับนักศึกษา แล้วก็ได้มีการทดลองทำ ก็คือเป็นอาหารเป็นขนม จะมีขนมที่เกี่ยวกับเบเกอรี่ อย่างเช่น คุกกี้ชาดอกซ้อ ขนมปังชาดอกซ้อ ขนมปังสังขยาชาดอกซ้อ อันนี้ก็จะเป็นอีกทางเลือกที่เป็นแบบสมัยใหม่หน่อยก็คือเป็นอาหารแบบเบเกอรี่ น้ำพริกผั่วทราย ชามะนาวชาดอกซ้อน้ำชามะนาวจะเป็นแบบทานเย็นหรือร้อน อีกอันหนึ่งก็คือจะมีกัมมี่ชาดอกซ้อ ก็คือใช้ประโยชน์ที่เป็นตัวของมันด้วย ซึ่งมันก็บาง เด็กมันไม่ชอบกินเรื่องของผักแล้วก็เอาตัวใยอาหารที่มันอยู่ในดอกซ้อเอามาทำเป็นกัมมี่ มันก็เด็กมันก็กินได้ เพราะถ้าเป็นชาปกติทั่วไปเด็กมันไม่ค่อยกินกัน มันก็สามารถตอบโจทย์ให้กับเด็กได้ด้วย” การขยายเครือข่ายรับซื้อดอกซ้อจากชุมชนใกล้เคียงยังกระจายรายได้ ส่งเสริมการปลูกต้นซ้อซึ่งเป็นไม้ยืนต้น ช่วยสร้างพื้นที่สีเขียวและความยั่งยืน

เอกลักษณ์ ดอกซ้อ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง

นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย กล่าวถึงจุดเปลี่ยนว่า “ตอนแรกที่เอามาทำเป็นดอกซ้อก็คือเอามาทำผ่านกระบวนการการแห้งเอาตากแห้งทำความสะอาดล้างตากแห้งอะไรต่างๆ พอเรามาทำเป็นน้ำดอกซ้อแรกๆ ก็มีหลายที่ก็ เอ๊ะ ทำไมชั้นก็ไม่เคยเห็น เหมือนเหมือนตอนนั้นว่าทำไมดอกซ้อมาทำเป็นน้ำดื่มได้เหรอ คือคนในพื้นที่เขาจะมองว่ามันมันไม่น่า แต่พอเราลองเอามาทำ เออก็กลายเป็น มันได้ผลตอบรับที่น่าภูมิใจ ก็คือนักท่องเที่ยวที่มา เขาบอกว่า เอ๊ะ ชิมแล้วมันแปลก แล้วก็มันกลิ่นหอมของดอกซ้อ มันเป็นเอกลักษณ์ ชงมันจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำผึ้ง จุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ เมื่อมีหน่วยงานทางมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเข้ามาสนับสนุนในเรื่องของการให้ความรู้ในเรื่องของชาดอกซ้อ โดยมีโครงการวิจัย ซึ่งตอนนั้นเราก็คิดอยู่เหมือนกันว่ามันจะได้ไหม เพราะหนึ่งเรายังไม่ได้มีมาตรฐานอะไรรับรองตอนนั้นตอนที่ทำใหม่ๆ เราทำเป็นแค่น้ำดอกซ้อเฉยๆ แต่พอเราทำไปทำมากลายเป็นว่าผลตอบรับที่เราได้จากนักท่องเที่ยว แล้วผู้คนที่มาเที่ยวบ้านเรา ลองชิมแล้วก็มาลองเราลองเอามาต้อนรับนักท่องเที่ยว กลายเป็นว่ามันเป็นผลตอบรับที่น่าภูมิใจ แล้วก็พอมีทางมหาวิทยาลัยเข้ามาสนับสนุนให้เรามั่นใจมากขึ้นในตัวผลิตภัณฑ์”

สำหรับการผลักดันให้ชาดอกซ้อเป็น “ของดีที่ต้องแวะชิม” นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย กล่าวว่า “การที่เราแนะนำนำเสนอในส่วนของดอกซ้อตัวผลิตภัณฑ์ของดอกซ้อเองก็คือหนึ่งอันดับแรกก็คือการทำขนมแน่นอนอยู่แล้ว อันนี้เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม มรดกที่บรรพบุรุษเขามอบให้เรามาเรามาสานต่อในเรื่องของการนำเสนอ ให้ให้แขกผู้มาเยือนได้ลองชิมทำขนมบ้างทำน้ำบ้าง ซึ่งเราจะใช้ในการต้อนรับแขกนักท่องเที่ยวที่มาจัดเบรกบ้าง ให้ต้อนรับทำเป็นนะคะ อันนี้ก็คือหลังจากที่เราทำท่องเที่ยวก็กลายเป็นว่าทำให้ดอกซ้อกลายเป็นมีชื่อเสียงขึ้นมา และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าต่อไปในอนาคต ดอกซ้อจะสามารถทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่านี้โดยเฉพาะทางมหาวิทยาลัยตอนนี้เริ่มเอา คิดค้นในเรื่องเมนูต่างๆ ขนม จากในไม่ว่าขนมแบบโบราณ หรือว่าขนมที่สากลแบบขนมแบบเค้กทำกัมมี่อะไรพวกนั้นเยอะแยะขึ้นไป อันนี้ก็จะเป็นแล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือ เราอยากเราเราทำให้เราให้นักท่องเที่ยวมาทำกิจกรรมเกี่ยวกับดอกซ้อด้วยเกี่ยวกับเรื่องอาหาร”

ผสานภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ และตลาด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย

ในบทสรุป ชาดอกซ้อบ้านหาดบ้ายเป็นตัวอย่างชัดเจนของการผสานภูมิปัญญา วิทยาศาสตร์ และตลาด เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรไทย ท่ามกลางตลาดชาโลกที่กำลังเปลี่ยนสู่ Functional Teas รัฐบาลควรสนับสนุนนโยบายการลงทุนในเทคโนโลยีแปรรูป เพื่อลดการพึ่งพานำเข้าและขยายส่งออก HS 210120 ซึ่งเติบโต +11.9% ชาดอกซ้อไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมไทลื้อสู่โลก หากรัฐและชุมชนเดินหน้าต่อยอด ศักยภาพนี้จะสร้างรายได้ยั่งยืนและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างมหาศาล คิดดูสิว่า พืชหายากปีละครั้งจะเปลี่ยนชีวิตชุมชนได้อย่างไร หากได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียง : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพถ่าย : กีรติ ชุติชัย
  • สนค. (สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า) กระทรวงพาณิชย์
  • กระทรวงพาณิชย์ (MOC)
  • The Standard
  • The Bangkok Insight
  • กรมการค้าต่างประเทศ (DFT)
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิสรา กฤตาวาณิชย์ คณะวิทยาการจัดการ หัวหน้าโครงการนวัตกรรมการพัฒนาและเล่าเรื่องชาดอกซ้อตามแนวทางอาหารปลอดภัยของวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย จังหวัดเชียงราย
  • ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลาและอาจารย์ธงชัย ลาหุนะ คณะสังคมศาสตร์
  • นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานวิสาหกิจชุมชนอาหารท้องถิ่นไทลื้อบ้านหาดบ้าย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

วธ.เปิดตัวเที่ยวชุมชน ยลวิถี เชียงแสน ชุมชนวัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ)

 
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2567 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดตัว      สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ชุมชนคุณธรรมฯ วัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ) และลานวัฒนธรรมสร้างสุข โดยมี พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงวัฒนธรรม (ค.ต.ป.วธ.) นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย รวมถึงหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายสภาวัฒนธรรม และชาวชุมชนวัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ) เข้าร่วม ณ ชุมชนคุณธรรมฯ วัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ) ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในโอกาสนี้ ได้มีการแสดงศิลปวัฒนธรรม เพื่อต้อนรับ ชุด “ตีกลองหลวง” โดยกลุ่มตีกลองหลวงวัดพระธาตุผาเงา การแสดงในพิธีเปิด ชุด “ฮอมขวัญตราบนิรันดร์ สถิตมั่นแขกแก้วมาเยือน”  จากโรงเรียนเชียงแสนวิทยาคม รวมถึงการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ชุดการเต้นบาสโลบ และการแสดงของกลุ่มแม่บ้านสบคำ ที่มีความสวยงาม สนุกสนาน สะท้อนอัตลักษณ์ วิถีชีวิตของชาวชุมชนวัดพระธาตุผาเงา(บ้านสบคำ) ได้เป็นอย่างดี
 
 
จากนั้น ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และคณะได้เดินเยี่ยมชมตลาดวัฒนธรรม “อิ่มบุญ ยลวิถีผาเงา”ชมการแสดงขับทุ้มหลวงพระบาง โดยคณะขับทุ้มบ้านสบคำ ชมการสาธิตภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อาทิ กลุ่มทอผ้าล้านนาลายอัตลักษณ์เชียงแสน กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรวัดพระธาตุผาเงา ชมฐานการเรียนรู้ของโรงเรียนคนสามวัยวัดพระธาตุผาเงา เช่น การตัดตุง การทำตุงข้าวเปลือก การทำผางประทีป รวมถึงชมฐานแหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของชุมชน อาทิ พิธีเรียกขวัญ (ซ้อนขวัญ) ตามความเชื่อชาวไท-ลาว ฐานการเรียนรู้ “การประดิษฐ์เรือไฟเล็ก (สะเปา)” ในงานประเพณีไหลเรือไฟ ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของชุมชนบ้านสบคำ หนึ่งเดียวในจังหวัดเชียงราย อีกด้วย นอกจากนี้ ภายในงานมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย CPOT และผลิตภัณฑ์ สินค้า ของดีชุมชนฯ ตลอดจนการจัดแสดงนิทรรศการและสาธิตโดยหน่วยงานในพื้นที่
 
 
นางยุพาฯ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับจังหวัดเชียงราย และชุมชนคุณธรรมฯ วัดพระธาตุผาเงา(บ้านสบคำ) ที่ได้รับรางวัล 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี พ.ศ. 2566 ที่คัดอย่างเข้มข้นจาก 76 ชุมชน ทั่วประเทศ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จัดโครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน มีชุมชนได้รับการคัดเลือกมาแล้วกว่า 30 ชุมชน ตามนโยบายของรัฐบาล ในการขับเคลื่อน Soft Power ของไทยสู่นานาชาติ ด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน มาพัฒนาต่อยอด สร้างสรรค์สินค้าและบริการ ทั้งนี้ ชุมชนวัดพระธาตุผาเงา หรือชุมชนบ้านสบคำ นับเป็นชุมชนคุณธรรมที่น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีผู้นำ “พลังบวร” และเครือข่ายที่เข้มแข็ง ประชาชนมีความสุข มีความรักสามัคคี มีการสืบสาน รักษา ต่อยอด ภูมิปัญญาของท้องถิ่น ซึ่งยืนยันได้ว่า ชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนที่มีศักยภาพ มีคุณภาพ และมีความพร้อมด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ในทุกมิติ สามารถต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทุกประเภทอย่างยั่งยืนสืบไป โดยการต่อยอดต่อจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) พร้อมร่วมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติมาเยือน และศึกษาเรียนรู้อัตลักษณ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีของชุมชนมากยิ่งขึ้น
 
 
“ชุมชนวัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ)” ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงทางด้านทิศตะวันตก ชื่อของวัดนี้มาจาก พระธาตุที่ตั้งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่มีลักษณะคล้ายรูปทรงเจดีย์ คำว่า “ผาเงา” คือ เงาของก้อนหิน จึงตั้งชื่อว่า “พระธาตุผาเงา” ตั้งอยู่ในเขตประวัติศาสตร์เมืองเชียงแสนน้อย หรือเวียงปรึกษา มีการขุดค้นพบ “พระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา” เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2519 คาดว่ามีอายุเก่าแก่มากถึง 1,300 ปี ภายในวัดพระธาตุผาเงา มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนสามารถมาสักการะและท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้  ด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ อาทิ หอพระไตรปิฎกเฉลิมพระเกียรติฯ หอพระบรมฉายามหาราชพุทธิรังสรรค์ หอวัฒนธรรมนิทัศน์ และพิพิธภัณฑ์ผ้าทอล้านนาเชียงแสน
 
 
เชิญมาสัมผัสวิถีวัฒนธรรม  อันดีงามของชาวบ้านสบคำเป็นชาวไทยเชื้อสาย ไท-ลาว ไท-ยวน ไท-ลื้อ มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว และยังมีเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงจากวัดพระธาตุผาเงาอีกหลายแห่ง ได้แก่ สกายวอร์คผาเงาสามแผ่นดิน พิพิธภัณฑ์ผ้าทอล้านนาเชียงแสน จุดชมวิวสองฝั่งโขงบ้านสบคำ และวัดสบคำ เป็นต้น เมื่อเดินทางไปเที่ยวในชุมชนแห่งนี้ พลาดไม่ได้คืออาหาร คือ ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม และลาบปลาแม่น้ำโขง รวมถึงยังมีผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย ให้ซื้อกัน     เป็นที่ระลึก คือ ผ้าทอล้านนาลายเชียงแสน และสมุนไพรวัดพระธาตุผาเงา ด้านเทศกาลประเพณีที่จะดึงดูด ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นประเพณีสรงน้ำพระธาตุผาเงา ในช่วง 12-20 เมษายนของทุกปี ประเพณีบุญข้าวประดับดิน ในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี และประเพณีไหลเรือไฟ 12 ราศี เป็นต้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นบไหว้สาบูชาครู ลื้อลายคำ คนเชียงของที่มีใจรักในศิลปะล้านนา

 

เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๗ ที่ พิพิธภัณฑ์ มรดกวัฒนธรรม ผ้าทอไทลื้อ  ลื้อลายคำ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ได้มีพิธีไหว้ครูลื้อลายคำ ซึ่งทางเพจ Chiang Khong TV รายงานว่าเป็นการนบไหว้สาบูชาครู ลื้อลายคำ ความรู้ ศิลปะ วิชา ทุกแขนงสาขา ล้วนแล้วแต่มีครูบาอาจารย์ผู้ประสาทประสิทธิ์วิชา เมื่อศึกษาจนสำเร็จลุล่วงก็ต่างแยกย้ายไปตามทิศทางที่หมาย จะยากดีมีจน เป็นคนดีคนเลว ก็ล้วนแล้วแต่มีวิชาความรู้ติดตนติดตัว ถือว่าเป็นคนมีครู เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา  และหากผู้ใด รำลึกได้ถึงคุณของครูบาอาจารย์ ผู้นั้นย่อมจักมีความเจริญในชีวิต

 

ซึ่งกลุ่ม ลื้อลายคำ ครั้งหนึ่งเคยสร้างชื่อกระฉ่อนไปทั่วประเทศ โดยการรวมตัวกันของ เยาวชน อ.เชียงของที่มีใจรักในศิลปะล้านนา ศิลปะไทลื้อ ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ถึงแม้ในปัจจุบัน กลุ่มลื้อลายคำ จะไม่ได้รวมตัวกันเช่นแต่ก่อน แต่ทุกคนเมื่อได้ชื่อว่าลื้อลายคำ ก็จะเป็นลื้อลายคำตลอดไป เมื่อใด ที่มีโอกาสได้แสดงวิชา ก็จะมารวมตัวกันไม่ห่างหาย และเมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับมาไหว้ครูอาจารย์ ทุกคนก็พร้อมกลับมารวมตัวกันอย่างสมัครสมานเช่นเคย

 

คุณสุริยา วงค์ชัย ลูกหลานไทลื้อรุ่นปัจจุบัน ที่อยากให้มรดกวัฒนธรรมผ้าทอไทลื้อ สืบทอด สานต่อ ไปยังรุ่นต่อไป โดยใช้บ้านไม้ 2 ชั้น ทรงเก่าๆจัดสร้างที่วัฒนธรรมของไทลื้อถูกเก็บรวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์ลื้อลายคำ  ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงได้เก็บประวัติเรื่องราว การกล่าวขาน การต่อสู้การ อพยพต่างๆ ของชาวไทลื้อในอดีต เมื่อเดินขึ้นไปชั้นบน มีหุ่นจัดแสดงเครื่องแต่งกายไทลื้อแบบต่างๆ ผ้าทออันมีคุณค่า ที่ต้องใช้เวลาในการเก็บรวมรวม มาให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ เครื่องประดับของมีค่า จำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทลื้อ ดูแล้วมีมนต์ขลังเหมือนพาตัวเองเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นจริงๆ

 

จากข้อมูลของสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ เล่าว่ากลุ่มชาติพันธ์  “ลื้อ/ยอง/ขึน (เขิน)”

“ลื้อ”   ชาวไทลื้อที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่แคว้นสิบสองปันนา  ทางตอนใต้ของประเทศจีน มีประวัติการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานไปยังรัฐฉาน ประเทศพม่า

“ยอง”  ชาวไทลื้อที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองยอง  อำเภอหนึ่งของเมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า

“ขึน/เขิน”  ชาวไทลื้อ (+ไทใหญ่?) ที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า จีน ไทย และประเทศลาว ตั้งชุมชนหนาแน่นที่บริเวณลุ่มแม่น้ำขึนเมืองเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า

.

ไทลื้อ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาตระกูลไทยอีกกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยอีกกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐฉาน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน และภาคเหนือของลาว ชาวไทลื้อในสิบสองพันนามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทยวนล้านนาในยุค “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” ชาวไทลื้อจากสิบสองพันนาได้ถูกกวาดต้อนลงมาอยู่ในล้านนาจำนวนมาก  ชาวไทลื้อนับถือศาสนาพุทธและปฏิบัติตามจารีตประเพณีทางพุทธศาสนา

 

การขยายตัวของชาวไทลื้อสมัยเจ้าอินเมืองได้เข้าตีเมืองแถน เชียงตุง เชียงแสน และล้านช้าง กอบกู้บ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น พร้อมทั้งหัวเมืองไทลื้อเป็นสิบสองเขต เรียกว่า สิบสองปันนา และในยุคนี้ได้มีการอพยพชาวไทลื้อบางส่วนเพื่อไปตั้งบ้านเรือนปกครองหัวเมืองประเทศราชเหล่านั้น  จึงทำให้เกิดการกระจายตัวของชาวไทลื้อ ในลุ่มน้ำโขงตอนกลาง (รัฐฉานปัจจุบัน) อันประกอบด้วย เมืองยู้ เมืองยอง เมืองหลวง เมืองเชียงแขง เมืองเชียงลาบ เมืองเลน เมืองพะยาก เมืองไฮ เมืองโก และเมืองเชียงทอง (ล้านช้าง) เมืองแถน (เดียนเบียนฟู)  ซึ่งบางเมืองในแถบนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของชาวไทลื้ออยู่แล้ว เช่น อาณาจักรเชียงแขง ซึ่งประกอบด้วย เมืองเชียงแขง เมืองยู้ เมืองหลวย เมืองเชียงกก เมืองเชียงลาบ เมืองกลาง เมืองลอง เมืองอาน เมืองพูเลา เมืองเชียงดาว เมืองสิง เป็นต้น

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สุริยา วงค์ชัย พิพิธภัณฑ์ ลื้อลายคำ / Chiang Khong TV / Anirut Ti

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

งานสืบสานวัฒนธรรมไทลื้อ ปี 67 บ้านสันบุญเรือง ครั้งที่ 6 อ.แม่สาย

 

เมื่อวันที่วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 19.00 น. นายก นก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงานสืบสานวัฒนธรรมไทลื้อ บ้านสันบุญเรือง ครั้งที่ 6 ประจำปี 2567 พร้อมด้วย นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงราย นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย นายชาญชัย แสนรัตน์ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.แม่สาย เขต 2 ณ ลานอเนกประสงค์ บ้านสันบุญเรือง ต.เกาะข้าง อ.แม่สาย โดยมี ร.ต.อ.เด่นวุฒิ จันต๊ะขัติ นายก อบต.เกาะช้าง เป็นผู้กล่าวรายงาน และได้รับเกียรติจาก นายณรงค์พล คิดอ่าน นายอำเภอแม่สาย นายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรี ต.แม่สาย นายเด่นชัย ลาวิชัย นายก อบต.ศรีเมืองชุม เข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ด้วย

 

ในงานดังกล่าวมีกิจกรรมการประกวดหนูน้อยขวัญใจไทลื้อ 4 ไตยเฮือน การแสดงชุดสีสันไทลื้อ โดยกลุ่มพัฒนาสตรีบ้านสันบุญเรือง การประกวดขบวนไตยเฮือน และการแสดงของนักเรียนโรงเรียนบ้านสันบุญเรือง โดยทางบ้านสันบุญเรือง ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย ได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นทุกๆปี เพื่อเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ นำเสนอวิถีชีวิต การแต่งกายที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่า แก่การอนุรักษ์ ส่งเสริมให้คงอยู่สืบไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เปิดงานประเพณีมหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อ ครั้งที่ 19 ณ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566 เวลา 18.30 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงรายเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม บูรณาการพี่น้องท้องถิ่นงานประเพณีมหาบุญจุลกฐินถิ่นไทลื้อ ครั้งที่ 19 โดยมีนายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย นายวสุพล จตุรคเชนทร์เดชา ส.อบจ.เชียงราย อ.เชียงของ เขต 1 นายวราวุธ ไชยวงศ์ ส.อบจ.เชียงราย อ.เชียงของ เขต 2 และหัวหน้าส่วนราชการ อบจ.เชียงราย เข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายกิตติพงศ์ วงค์ชัย นายกเทศมนตรี ต.ศรีดอนชัย เป็นผู้กล่าวรายงาน และนายประชิต จันเพ็ง ประธานสภาเทศบาล ต.ศรีดอนชัย นายประดิษฐ์ ขันทะ กำนัน ต.ศรีดอนชัย นายธันวา เหลี่ยมพันธุ์ ประธานสภาวัฒนธรรม อ.เชียงของ ร่วมให้การต้อนรับ ณ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ต.ศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย

 

การจัดงานในครั้งนี้เพื่อสร้างพลังสามัคคีและบุญบารมีอันสูงส่งจากการถวายผ้ากฐิน ซึ่งเป็นมหาบุญอันยิ่งใหญ่ เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวและงานประเพณีในท้องถิ่น และเพื่อแสดงอัตลักษณ์ ผ้าทอไทลื้อ ศิลปะการแสดง และวัฒนธรรมประเพณีในท้องถิ่น
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เทศกาลดอกฝ้ายบานที่บ้านศรีดอนชัยประเพณีมหาบุญไทลื้อ

 

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2566 เวลา 17.00 น.  นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ นางกัลยา แก้วประสงค์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ นางสุพรรณี เตชะตน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และนายยุทธนา สุทธิสม นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ ลงพื้นที่ ณ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ร่วมกิจกรรม ดังนี้

  1. ร่วมพิธีอัญเชิญพระอุปคุตในงานมหาบุญกุลกฐินถิ่นไทลื้อศรีดอนชัย ครั้งที่ 19 และเปิดกาดไตลื้อศรีดอนชัย
  2. ส่งมอบเกียรติบัตรแก่ผู้ประกอบการผ้าทอไทลื้อศรีดอนชัย และผู้ประกอบการกระเป๋าและตุ๊กตาไทลื้อศรีดอนชัย ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นชุมชนต้นแบบการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CULTURAL PRODUCT OF THAILAND : CPOT) ประจำปีพุทธศักราช 2566
  3. ส่งมอบแผ่นพับประชาสัมพันธ์ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านศรีดอนชัย จำนวน 2,000 ฉบับ แก่ผู้นำชุมชนฯ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อบจ.เชียงรายเปิด งานทอสายบุญจุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ อ.เชียงของ

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2566 เวลา 16.30 น. นายก นก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในงานแถลงข่าวเสวนาและประชาสัมพันธ์ โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวบูรณาการ พี่น้องท้องถิ่น อ.เชียงของ จ.เชียงราย งานทอสายบุญจุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ (ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมบ้านหาดบ้าย หาดทรายทอง) ณ ลานเวทีบ้านหาดบ้าย – หาดทรายทอง ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย

 

ภายในงานแถลงข่าว มีการเสวนา ในหัวข้อการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวในชุมชนให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน ฯลฯ โดยได้ให้เกียรติจาก หลวงพ่อจตุรงค์ กลิ่นบุปผา เจ้าอาวาสวัดบ้านหาดบ้าย นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เชียงราย นายวิรุฬห์ สิทธิวงศ์ นายอำเภอเชียงของ นายเกษม ปันทะยม นายก อบต.ริมโขง นายธันวา เหลี่ยมพันธุ์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอเชียงของ และนางสุขาวดี ติยะธะ เข้าร่วมการเสวนา พร้อมนี้มีร่วมทำบันทึกข้อตกลง (MOU) โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวบูรณาการ พี่น้องท้องถิ่น อ.เชียงของ จ.เชียงราย งานทอสายบุญจุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ (ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมบ้านหาดบ้ายหาดทรายทอง)
 
 
ทั้งนี้ยังมีนายลิขิต บรรพตพัฒนา กำนันตำบลริมโขง นายสุจิน สิทธิราช ประธานสภา อบต.ริมโขง ร.ท.อภัย วิจารณ์ หัวหน้าชุดพัฒนาสัมพันธ์มวลชน ที่ 3212 หมู่ใหญ่ วิบูรย์ขัติยะ หัวหน้าชุดผ่อนปรนบ้านหาดบ้าย และคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ กองการท่องเที่ยวและกีฬา งานประชาสัมพันธ์ กองยุทธศาสตร์ฯ อบจ.เชียงราย เข้าร่วมพิธีแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย
ซึ่งงานทอสายบุญจุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ บ้านหาดบ้าย หาดทรายทอง จะจัดขึ้นในวันที่ 11-12 พฤศจิกายน 2566 ณ บ้านหาดบ้าย – หาดทรายทอง ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย
 
 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“กาดไตลื้อ” นัดที่ 2 คึกคักด้วยมนต์เสน่ห์ชาวไตลื้อ

 

วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม 2566 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ณ วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับชุมชนศรีดอนชัยไทลื้อ จัดตลาดวัฒนธรรมชุมชน “กาดไตลื้อ ศรีดอนชัย” นัดที่ 2 ภายใต้โครงการชุมชนวัฒนธรรมไทยสร้างเสริมเศรษฐกิจ

ชุมชนศรีดอนชัยไทลื้อ เป็นพื้นที่ชุมชนและท้องถิ่นที่มีศักยภาพ มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม “ไทลื้อ” ที่เด่นชัด จึงจัดพื้นที่ตลาดใหม่เพื่อเพิ่มช่องทางให้ประชาชนมีพื้นที่ในการจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรม กิจกรรมการแสดง บริการ ที่แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ผ่านการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน  สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว และเกิดความประทับใจ ซึ่งจะนำมาสู่ความภาคภูมิใจ รวมถึงเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชน กาดไตลื้อ ศรีดอนชัย  นัดที่ 2 ของเรามีแนวคิดในการพัฒนาเป็นตลาดวัฒนธรรม ชิม ช๊อป ชม สินค้า สาธิตผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม CPOT อาหารพื้นถิ่น พืชผัก ผลไม้ ของชาวศรีดอนชัย  ภายในงานมีการแสดงแฟชั่นโชว์ “สีสันเส้นด้าย ลายผ้างาม นามศรีดอนชัย” และการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ม่วนจอยกับการรำวงย้อนยุค พร้อมนี้พ่อค้าแม่ขาย ผู้ประกอบการ ผู้ร่วมงาน และนักท่องเที่ยว ร่วมกันแต่งกายด้วยชุดไทลื้อ ชุดพื้นถิ่น พร้อมหิ้วตะกร้ามาร่วมกิจกรรมเป็นการสร้างบรรยากาศเสน่ห์ที่ยังมีมนต์ขลังของชาวไทลื้อศรีดอนชัย

ในการนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย มอบหมาย นางกัลยา แก้วประสงค์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ นางสุพรรณี เตชะตน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และนายยุทธนา สุทธสม นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ (ผู้ประสานงานวัฒนธรรมอำเภอเชียงของ) เข้าร่วมกิจกรรมฯ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News