ผู้รับเหมาจีนรุกตลาดก่อสร้างไทยแรง—เงินลงทุนพุ่งเฉลี่ยปีละ 21% SCB EIC เตือนรัฐเร่งสกัด “นอมินี” สร้างสมดุลเปิดรับต่างชาติปกป้องผู้ประกอบการไทย
ประเทศไทย, 22 ตุลาคม 2568 – กระแสเงินทุนและแรงงานก่อสร้างจากจีนกำลังไหลบ่าเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ภาพที่เห็นชัดคือป้ายโครงการขนาดกลางใหญ่จำนวนมากที่มีรายชื่อบริษัทจีนในฐานะคู่ร่วมทุนหรือผู้รับเหมาหลัก ขณะที่ผู้รับเหมาไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า “การแข่งขันยุติธรรมเพียงใด” และ “กติกาบ้านเราปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศมากพอหรือยัง”
รายงานล่าสุดของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) วันที่ 18 ตุลาคม 2568 ยืนยันแนวโน้มดังกล่าวด้วยตัวเลข การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทยโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) 21% ตลอดปี 2020–2024 และเฉพาะปี 2567 (2024) มีมูลค่า 3,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การร่วมลงทุนของผู้รับเหมาจีนในกลุ่มอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย คิดเป็น 34% ของมูลค่าร่วมทุนผู้รับเหมาสัญชาติอื่นรวมกัน ณ ก.ย. 2568/2569 และยังเพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
เมื่อจีน “อ่อนแรงในบ้าน” จึง “มองนอกบ้าน” — ไทยกลายเป็นเป้าหมายสำคัญ
วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่ลากยาวตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ทำให้กิจกรรมก่อสร้างภายในประเทศจีนชะลอตัว รัฐบาลจีนจึงเร่ง “ทางออกนอกบ้าน” ทั้งผ่านการผลักดันโครงการต่างประเทศภายใต้แนวคิด Belt and Road Initiative (BRI) การสนับสนุนรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ด้านก่อสร้างให้ไปลุยตลาดต่างแดน และการสนับสนุนทางการเงินรูปแบบต่าง ๆ สำหรับผู้รับเหมาของตน
ในเวลาเดียวกัน ประเทศไทย อยู่ในช่วงเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการขยายตัวของเมืองอย่างต่อเนื่อง—ตั้งแต่ระบบราง รถไฟฟ้าภูมิภาค สนามบิน ท่าเรือ คลังสินค้า ไปจนถึงพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่—จึงไม่แปลกที่ผู้รับเหมาจีนจะ “ปักหมุด” ประเทศไทยเป็นสนามแข่งขันสำคัญ
รูปแบบที่นิยม ตามรายงาน SCB EIC คือ การร่วมลงทุน (Joint Venture) กับบริษัทไทย โดยเฉพาะกลุ่ม อาคารเพื่อการพาณิชย์ เช่น โรงงาน อาคารสำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า ท่าอากาศยาน และคลังสินค้า เหตุผลหลักคือผู้รับเหมาจีนต้องการพันธมิตรที่รู้กติการะบบอนุญาตในไทย ขณะที่ผู้ประกอบการไทยต้องการเงินทุน ความเร็ว และเทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่เพื่อแข่งขันในตลาดที่ตึงตัว
ภาพใหญ่ของตัวเลข การเงินโต…แต่ “คุณภาพการแข่งขัน” ต้องถูกตั้งคำถาม
ตัวเลขเติบโต 21% CAGR ในช่วง 5 ปี และการขยายตัว 14% ในปีล่าสุด สะท้อนว่า “เค้กก่อสร้าง” ของไทยมีความน่าดึงดูดและยังขยายได้ แต่การเติบโตดังกล่าวก็มาพร้อมคำถามใหญ่ 3 ข้อที่ SCB EIC กระตุกเตือน
- การแข่งขันยุติธรรมหรือไม่ มีสัญญาณ “เสนอราคาต่ำผิดปกติ” เพื่อชนะงาน จากนั้นค่อยบริหารความเสี่ยงด้วยการลดสเปกหรือกดต้นทุนแรงงาน ซึ่งนำไปสู่ปัญหาคุณภาพงาน ความปลอดภัย และความสัมพันธ์กับผู้รับเหมาช่วง
- การใช้ “นอมินี” บางกรณีมีการอาศัยผู้ประกอบการไทยเป็นเพียง “นอมินี” เพื่อหลบเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายและความรับผิดชอบจริงในโครงการ เมื่อเกิดข้อพิพาทเรื่องมาตรฐานวัสดุ อุบัติเหตุ ความล่าช้า ผู้ว่าจ้างและรัฐกลับหาตัว “ผู้รับผิดชอบจริง” ยากกว่าที่ควร
- ความเสี่ยงทิ้งงาน ค้างจ่าย การเสนอราคาระดับต่ำมากอาจทำให้โครงการเผชิญภาวะขาดทุน สภาพคล่องตึงจนเกิด การทิ้งงาน หรือ ค้างจ่ายค่าจ้าง แก่แรงงานและผู้รับเหมาช่วง สร้าง “ต้นทุนทางสังคม” ที่สูงกว่ามูลค่าโครงการเดิม
ประโยคชวนคิด “ราคาถูกวันนี้ อาจหมายถึงค่าซ่อม ค่าชดเชยที่แพงกว่าในวันหน้า” — แก่นปัญหาที่รายงานของ SCB EIC ต้องการชี้ให้เห็น
เจาะโครงสร้างความเสี่ยง จากไซต์งานถึงระบบนิเวศก่อสร้าง
- ความปลอดภัยและมาตรฐานวัสดุ
เมื่องานถูกกดราคาไม่สมเหตุสมผล ความเสี่ยงแรกคือ “ลดสเปก” วัสดุโครงสร้างและระบบความปลอดภัย รายงานเตือนว่ากรณีลักษณะนี้อาจนำไปสู่ “อุบัติเหตุที่ไม่ควรเกิด” ทั้งกับแรงงาน ผู้สัญจร และทรัพย์สินรอบโครงการ - ระบบแรงงานและผู้รับเหมาช่วง
การกดราคาต้นทางส่งผลต่อห่วงโซ่ทั้งระบบ ผู้รับเหมาช่วง แรงงานมักเป็นผู้ “รับแรงกระแทก” ทั้งจากการเจรจาต่อราคาหนัก การค้างจ่าย และภาระความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในไซต์งาน - ความรับผิดชอบตามกฎหมาย
โครงสร้าง “นอมินี” ทำให้การติดตามความรับผิดหลังเกิดเหตุทำได้ยาก ผลคือการเยียวยา ซ่อมแซมล่าช้า และความเชื่อมั่นของตลาด ชุมชนโดยรอบลดลง
ทางรอดฝั่งไทย แข่งด้วย “คุณภาพ+เทคโนโลยี” และสร้าง “กติกาแฟร์”
รายงานของ SCB EIC ไม่ได้หยุดที่การเตือน แต่เสนอ สองแกนยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) ยกระดับศักยภาพผู้รับเหมาไทยด้วยเทคโนโลยี และ (2) ให้ภาครัฐวางกติกาที่สร้างสมดุลระหว่างการดึงดูดต่างชาติและการปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ
1) ยกระดับเทคโนโลยี—ขยับ Productivity ให้ชนะ “สงครามราคา”
เครื่องมือที่ถูกชี้เป้าชัด ได้แก่
- BIM (Building Information Modeling) ทำให้การออกแบบปริมาณงานการประสานแบบของทุกวิชาเป็นแพลตฟอร์มเดียว ลดความผิดพลาดหน้างานและเคลมงาน
- Prefabrication / Modular Construction ย้ายงานจากไซต์ไปโรงงาน ลดเวลา ของเสีย ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
- AI / Data Analytics วางแผนทรัพยากร ควบคุมตารางงาน และคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้า
- Drone / LiDAR / เซนเซอร์ความปลอดภัย ตรวจความก้าวหน้า คุณภาพความปลอดภัยแบบเรียลไทม์
- 3D Printing / หุ่นยนต์ก่อสร้าง สำหรับชิ้นงานซ้ำ ๆ และพื้นที่เสี่ยง ช่วยลดการพึ่งพาแรงงาน
ประโยชน์ตรงคือ เพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนผิดฝั่ง (ของเสีย/งานแก้/ดีเลย์) จนทำให้ผู้รับเหมาไทย “แข่งขันแบบคุณภาพ” ได้ ไม่ต้อง “ตัดราคา” เพื่อแย่งงาน
2) กติกาภาครัฐ—รับต่างชาติอย่างมี “เงื่อนไขถ่ายทอด”
SCB EIC ชี้ว่ารัฐควรสร้าง “สมดุล” ระหว่างการเปิดรับผู้รับเหมาต่างชาติที่นำเงินเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่เข้ามา กับการ ปกป้องฐานอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านมาตรการเชิงหลักการ 5 ข้อ
- บังคับ JV อย่างมีความหมาย โครงการระดับหนึ่งควรกำหนดการ ร่วมลงทุนกับผู้รับเหมาไทย ไม่ใช่เพียง “ชื่อ” แต่ต้องมีสัดส่วนงานจริงและถ่ายทอดองค์ความรู้
- ข้อกำหนดถ่ายทอดเทคโนโลยี ผูก “ตัวชี้วัดการถ่ายทอด” เข้ากับสัญญา เช่น จำนวนช่างเทคนิคที่ได้รับอบรม BIM/Prefabrication/มาตรฐานความปลอดภัย
- การใช้แรงงานไทยและวัสดุภายในประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่ไทย พร้อมเงื่อนไขยืดหยุ่นตามความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
- เข้มงวดโครงสร้าง “นอมินี” ตรวจสอบผู้รับผิดชอบแท้จริง ตั้ง “บทลงโทษ” ชัดเจน และให้ผู้ควบคุมงาน/ที่ปรึกษาไทยมีอำนาจรายงานสั่งแก้
- คุมข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ นำแนวทาง “Abnormally Low Bid” มาใช้จริงจัง กำหนดหลักฐานต้นทุนวิธีการก่อสร้างรองรับก่อนให้เซ็นสัญญา
เปิดรับต่างชาติได้—แต่ต้อง “รับอย่างฉลาด” ให้เกิด การยกระดับ อุตสาหกรรมไทยทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงการว่าจ้างราคาถูก
เลนส์ระดับพื้นที่ โอกาสความเสี่ยงในจังหวัดท่องเที่ยวและหัวเมืองอุตสาหกรรม
แม้ตัวเลขการลงทุนเป็นภาพระดับประเทศ แต่ผลกระทบ “ตกตะกอน” ลงสู่ หัวเมืองชั้นสอง–สาม ที่กำลังขยายตัวแรง ทั้งเมืองท่องเที่ยวโลจิสติกส์ชายแดน และนิคมอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ตัวอย่างเช่น
- ภาคเหนือ เมืองท่องเที่ยว/ชายแดนบางแห่งเริ่มมีโครงการโรงแรมคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า ที่ใช้ผู้รับเหมาจีนร่วมกับผู้ประกอบการไทย
- ภาคตะวันออก/อีอีซี โครงการโรงงาน คลังสินค้าอัจฉริยะมีแนวโน้มใช้เทคโนโลยีก่อสร้างสำเร็จรูปและผู้รับเหมาจากต่างชาติที่เชี่ยวชาญระบบอัตโนมัติ
โอกาสคือ เทคโนโลยี มาตรฐานใหม่ จะเข้ามาเร็วขึ้นพร้อมเงินทุน แต่ความเสี่ยงคือ ระบบกำกับดูแลท้องถิ่น ต้องตามทัน ทั้งด้าน ความปลอดภัยไซต์งาน สิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์แรงงาน หากปล่อยให้โครงการขยายตัวโดยกติกาหลวม บังคับใช้ไม่ทั่วถึง ปัญหาทิ้งงาน ค้างจ่าย ความเสียหายโครงสร้างพื้นฐานจะตามมาในที่สุด
เคสตัวอย่างเชิงนโยบาย (จากข้อเสนอของรายงาน) ทำให้ “กติกามีฟัน”
เพื่อให้ข้อเสนอไม่หยุดอยู่บนกระดาษ รายงานเสนอ “เครื่องมือปฏิบัติ” ที่รัฐและผู้ว่าจ้าง (โดยเฉพาะภาครัฐ) สามารถหยิบใช้ได้ทันที ได้แก่
- สเปกสัญญาแบบผูก KPI การถ่ายทอด ระบุจำนวนชั่วโมงอบรม/ตำแหน่งงานเทคนิคของคนไทยที่ต้องถูกยกระดับทักษะ พร้อมกลไกตรวจรับ
- ระบบ e-Procurement ตรวจข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ หากราคาต่ำกว่าเกณฑ์ ให้ผู้เสนอแนบ “แผนเทคนิค ทรัพยากร ตารางงาน ที่มาของวัสดุ” เพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้
- บัญชีรายชื่อผู้รับเหมาช่วงที่ผ่านคุณสมบัติ ลดการว่าจ้าง “ผู้รับเหมาช่วงลับ” ที่ไม่มีมาตรฐานและทำให้การควบคุมปลายทางล้มเหลว
- กองทุนค้ำประกันแรงงาน/ผู้รับเหมาช่วง สำรองเพื่อจ่ายกรณีค้างค่าจ้างจากการทิ้งงาน แล้วไปไล่เบี้ยกับผู้รับเหมาหลักภายหลัง
- บูรณาการตรวจไซต์ร่วม ระหว่าง ผู้ว่าจ้าง วิศวกรรมสถาน หน่วยงานท้องที่ ผูกกับแผนความปลอดภัย/สิ่งแวดล้อมเชิงรุก
มุมของผู้ประกอบการไทย “ปรับก่อนถูกปรับออกข้างสนาม”
แม้การแข่งขันจะเข้มขึ้น แต่ทางรอดของผู้รับเหมาไทยไม่ได้ปิดตาย รายงานชี้ “สามทิศทาง” ที่ควรปรับโดยเร็ว
- เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เลือกนิชที่มีความต้องการสูง เช่น ระบบอาคารประหยัดพลังงาน งานคลีนรูม โรงงานอัตโนมัติ โครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป
- มาตรฐาน ความปลอดภัย ความตรงเวลา ทำให้เป็น “จุดขาย” ด้วยการรับรองมาตรฐานสากลและการใช้ดิจิทัลไซต์
- พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ หากต้อง JV ให้เลือกคู่ที่เสริมกันจริง มีสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยีและเปิดพื้นที่ให้ทีมไทยได้ลงมือ ไม่ใช่เพียงถือหุ้นเชิงสัญลักษณ์
ผลที่ได้คือ ความสามารถชนะงานคุณภาพ ไม่ต้องพึ่งการกดราคา และลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาว
สรุปภาพรวม “เปิดประเทศได้ แต่ต้องเปิดอย่างรู้เท่าทัน”
- ข้อเท็จจริง: เงินลงทุนผู้รับเหมาจีนในไทย โตแรงและยังโตต่อ 21% CAGR (2020–2024), ปี 2567 อยู่ที่ 3,052 ล้านบาท (+14%YoY), สัดส่วน JV ในอาคารไม่ใช่ที่พักอาศัย 34% ณ ก.ย. 2568/2569
- ข้อท้าทาย: ความเสี่ยง นอมินี ข้อเสนอราคาต่ำผิดปกติ คุณภาพงาน ทิ้งงาน ค้างจ่าย
- ทางออก: รัฐ ออกกติกา “ถ่ายทอด ใช้แรงงานไทย วัสดุไทย คุม ALB ปราบนอมินี” / เอกชนไทย ยกระดับด้วย BIM Prefab AI หุ่นยนต์ Drone และเลือก JV ที่มีความหมาย
ถ้าทำได้ “เม็ดเงินต่างชาติ” จะกลายเป็น “เครื่องเร่งการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย” แทนที่จะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยถอยหลัง
ตัวเลขสำคัญจากรายงาน SCB EIC (เผยแพร่ 18 ต.ค. 2568)
- การลงทุนโดยตรงจากจีนในภาคก่อสร้างไทย (2020–2024): CAGR 21%
- ปี 2567 (2024): 3,052 ล้านบาท เพิ่ม 14% จากปี 2566
- สัดส่วนมูลค่า JV ของผู้รับเหมาจีน ในกลุ่มอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย เมื่อเทียบกับผู้รับเหมาสัญชาติอื่นรวมกัน ณ ก.ย. 2568/2569: 34% (+21% จากปีก่อน)
- ความเสี่ยงหลัก: การใช้ “นอมินี”, เสนอราคาต่ำผิดปกติ, ทิ้งงานค้างจ่าย, มาตรฐานวัสดุความปลอดภัย
การเข้ามาของผู้รับเหมาจีนเป็น “ความจริงใหม่” ของตลาดก่อสร้างไทย จะปิดประเทศก็ไม่ได้ จะปล่อยเสรีจนระบบเสียสมดุลก็ไม่ควร ทางออกมีเพียง การออกแบบกติกาที่ทันยุค และ ยกระดับผู้เล่นในประเทศ ให้แข่งขันได้ในสนามสากล
หากรัฐทำให้ “ทุกบาทของเงินลงทุนจากต่างชาติ” ผูกกับ “การถ่ายทอดความรู้ให้คนไทย” และ “การสร้างมูลค่าในห่วงโซ่ไทย” ในขณะที่เอกชนไทย “ลงทุนในเทคโนโลยีมาตรฐานคน” อย่างจริงจัง ภาพฝัน “อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยคุณภาพสูง ปลอดภัย ตรงเวลา ต้นทุนเหมาะสม” ก็จะไม่ไกลเกินเอื้อม
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)






















































