Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

สกสว.-TSEA ลุย! 3 แพลตฟอร์มวิจัยสู้ภัยพิบัติ วางแผนที่เสี่ยง-ระบบเตือนภัยน้ำ-แผ่นดินไหว

เชียงรายจับมือ สกสว.เดินหน้าโมเดล “เมืองปรับตัวรับภัยพิบัติ” บูรณาการวิจัย-นโยบาย-ท้องถิ่น รับมือน้ำท่วม-แผ่นดินไหว-สารพิษ

หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2567 รุนแรงสุดในรอบ 30 ปี เชียงรายเปิดเวทีบูรณาการหน่วยงานวิจัย-ภาครัฐ-ท้องถิ่น พัฒนา 3 แพลตฟอร์มรับมือภัยพิบัติ ครอบคลุมน้ำท่วม-แผ่นดินไหว-ความปลอดภัยอาหารน้ำ มุ่งสู่ “Disaster Resilient City” ด้วยฐานข้อมูลดิจิทัล-แผนที่เสี่ยงภัย-ระบบเตือนภัยทันสมัย

 

เชียงราย, 9 พฤศจิกายน 2568 – เชียงรายประกาศ “โมเดลเมืองปรับตัวรับภัยพิบัติ” จับมือ สกสว.–นักวิจัย–ท้องถิ่น เร่งทำฐานข้อมูล–ยกระดับโครงสร้างอาคาร–พัฒนาแพลตฟอร์มเตือนภัย ครอบคลุมน้ำท่วม–แผ่นดินไหว–ความปลอดภัยอาหารน้ำ บนเวทีการประชุมเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ณ จังหวัดเชียงราย บรรยากาศเต็มไปด้วยความตั้งใจจริงของทุกภาคส่วน เมื่อผู้บริหารระดับสูง นักวิจัย วิศวกร และผู้แทนหน่วยงานท้องถิ่นกว่า 50 คน มาร่วมกันถอดบทเรียนและวางแผนรับมือภัยพิบัติที่เกิดซ้ำซากในพื้นที่ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปี 2567 ที่สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี

“วันนี้เราไม่ใช่เริ่มจากศูนย์ แต่เป็นจังหวะ ‘กระชับ’ งานให้ลงสู่หน้างานจริง ตั้งแต่น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไปจนถึงปัญหาสารพิษในแม่น้ำ” ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวเปิดเวทีด้วยน้ำเสียงมั่นใจ สะท้อนโจทย์ใหญ่ที่เชียงรายกำลังเผชิญ และชี้ชัดว่าคำตอบคือการ “เชื่อมองค์ความรู้กับการปฏิบัติ” ให้เป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ของประชาชน

ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

เมื่อภัยพิบัติกลายเป็น “ปกติใหม่” ของเชียงราย

ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ประชาชนชาวเชียงรายต้องเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในรอบสามทศวรรษ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย อธิบายว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญาที่ทำให้ฝนตกหนักต่อเนื่อง สร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และโครงสร้างอาคารบ้านเรือนอย่างมหาศาล

แต่น้ำท่วมไม่ใช่ภัยเพียงอย่างเดียวที่เชียงรายต้องเผชิญ จังหวัดแห่งนี้ยังเป็น “พื้นที่เสี่ยง” ต่อแผ่นดินไหวตามแนวรอยเลื่อนภาคเหนือ โดยเฉพาะความทรงจำอันเจ็บปวดจากแผ่นดินไหวแม่ลาวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ที่มีขนาดความรุนแรงราว Mw 6.1-6.3 ซึ่งเป็นแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษของไทย

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสารพิษในแหล่งน้ำ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง แม่น้ำกก และแม่น้ำอิง ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหารจากน้ำและสุขภาพของประชาชน สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เชียงรายต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ซับซ้อนและซ้ำซ้อน จนกลายเป็น “ปกติใหม่” ที่ต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างจริงจัง

“ปรากฏการณ์ลานีญาที่หวนกลับตั้งแต่ปลายปี 2567 ต่อเนื่องถึงปี 2568 ทำให้ฝนแปรปรวนและตกหนักในบางช่วงเกินฐานเฉลี่ย เพิ่มความเสี่ยงต่ออุทกภัยเฉียบพลัน ตามการประเมินแนวโน้มขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก” นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเสริม เน้นย้ำว่าการเตรียมพร้อมไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน

3 แพลตฟอร์ม – หนึ่งเป้าหมาย ทำให้วิจัยใช้ได้จริง

เวทีวันนี้เกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน นำโดยจังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) สกสว. สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และเครือข่ายวิศวกรในพื้นที่ ร่วมกันวางรากฐานสำคัญเพื่อยกระดับเชียงรายสู่ “Disaster Resilient City” หรือเมืองที่ปรับตัวได้ต่อภัยพิบัติ

ศ.ดร.สมปอง อธิบายกรอบการทำงานอย่างชัดเจนว่า ความร่วมมือนี้เดินบน 3 แพลตฟอร์มพร้อมกัน ได้แก่

แพลตฟอร์มที่ 1 แก้ปัญหาและป้องกันน้ำท่วม – ตั้งแต่การสำรวจฐานข้อมูลความเสียหายเชิงโครงสร้างระดับอาคาร การทำแผนที่ความเสี่ยงและแผนที่ความเสียหาย ไปจนถึงออกแบบมาตรการซ่อม เสริม และกันน้ำแบบยึดโยงแผนที่จริง

แพลตฟอร์มที่ 2 ยกระดับองค์ความรู้และความพร้อมด้านแผ่นดินไหว – นำบทเรียนจากแผ่นดินไหวแม่ลาว 2557 มาปรับมาตรฐานความปลอดภัยอาคารสาธารณะ โรงเรียน โรงพยาบาล ตลอดจนพัฒนาเครือข่ายวิศวกรท้องถิ่นและระบบตรวจวัด-แจ้งเตือน

แพลตฟอร์มที่ 3 นิเวศข้อมูลความปลอดภัยด้านสารพิษในแหล่งน้ำ – โดยเฉพาะแม่น้ำโขง กก อิง และแหล่งน้ำสาขา สกสว.ผลักดันต้นแบบแพลตฟอร์มข้อมูลปลาและความปลอดภัยจากการบริโภค ที่ผนวกข้อมูลจากกรมประมง หน่วยทดสอบสารพิษ และห่วงโซ่ซื้อขาย เพื่อให้ผู้บริโภค ผู้ค้า และท้องถิ่นใช้ได้จริง

“บทบาทของ สกสว. คือ ‘โซ่ข้อกลาง’ ระหว่างนโยบายระดับประเทศ หน่วยจัดสรรทุน นักวิจัย และหน้างานของจังหวัด เป้าหมายคือส่งองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปอยู่ในมือคนทำงานท้องถิ่นให้เร็วที่สุด” ศ.ดร.สมปอง กล่าวย้ำ โดยเน้นว่างานวิจัยต้อง “ใช้งานได้จริง” ตั้งแต่ต้นทาง (ข้อมูล) กลางทาง (แบบและมาตรการ) จนปลายทาง (งบประมาณ-สื่อสารสาธารณะ-การมีส่วนร่วม)

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นักวิศวกรอาสานับร้อย ลงพื้นที่สร้างฐานข้อมูลดิจิทัล

หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการสร้างฐานข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุม ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าว่าโครงการนี้ได้ระดมนักวิศวกรอาสามืออาชีพนับร้อยชีวิตลงพื้นที่สำรวจความเสียหายอย่างเป็นระบบ

“เราเอาเทคโนโลยีสำรวจสมัยใหม่มาช่วย เก็บฐานข้อมูลให้ครบและแม่นยำ เพื่อรองรับการฟื้นฟู ออกแบบการป้องกันในอนาคต และจัดลำดับพื้นที่ที่ต้องซ่อม เสริม และกันน้ำแบบเร่งด่วน” ศ.ดร.อมร อธิบาย

ผลที่ได้ไม่ใช่เพียงรายการ “ซ่อมอะไร ที่ไหน” แต่คือแผนที่ดิจิทัล 2 ชั้น ได้แก่ แผนที่ความเสียหาย (Damage Map) ที่ลงลึกถึงระดับอาคารสาธารณะและชุมชนวิกฤต และ แผนที่เสี่ยงภัย (Risk Map) ที่ประเมินความน่าจะเป็นและความรุนแรงของเหตุการณ์ในอนาคต

เมื่อนำแผนที่ทั้งสองมาซ้อนเข้ากับข้อมูลน้ำฝน การระบายน้ำ การใช้ที่ดิน ร่องน้ำธรรมชาติ และโครงสร้างชลศาสตร์ที่มีอยู่ จะสามารถ “วางคิวงาน” ที่ตอบโจทย์ทั้งผลกระทบและความคุ้มค่า เช่น จุดไหนต้องเสริมกันน้ำ จุดไหนต้องเพิ่มช่องทางระบายน้ำ หรือจุดไหนคุ้มที่จะย้ายวิถี ย้ายของ หรือย้ายจุดสาธารณะมากกว่าทุ่มงบโครงสร้างหนัก

“เชียงรายคือพื้นที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาต้นแบบงานวิจัยลักษณะนี้ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงภัยพิบัติหลายรูปแบบ ข้อมูลที่เราได้จากการลงพื้นที่ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ แต่ยังต่อยอดไปสู่งานวิจัยด้านระบบแจ้งเตือนภัย ฐานข้อมูลความเสียหายที่ลงลึกในแต่ละอาคาร ไปจนถึงแนวทางประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายงบประมาณซ่อมแซม และแผนงานฟื้นฟูระยะยาว” ศ.ดร.อมร กล่าวเสริม

ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ท้องถิ่นพร้อม ศูนย์บริหารจัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เผยว่าการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่มีความพร้อมสูง ภายใต้นโยบาย “7 เรือธง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนจังหวัดเชียงราย” โดยเฉพาะนโยบายที่ 4 คือ ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS)

ศูนย์นี้ออกแบบให้สามารถสังเกตการณ์ ประสาน สั่งการ ซ่อมแซม และสื่อสารได้ในที่เดียว โดยยึดหลัก “ข้อมูลจริง หน้างานจริง ตัดสินใจเร็ว” เพื่อปิดรอยรั่วระหว่างหน่วยงานและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ

“เครื่องยนต์ของท้องถิ่นคือศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ ที่ช่วยให้เราดำเนินการแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และตรงจุด” นายกอทิตาธร กล่าว

แพลตฟอร์มข้อมูลปลาปลอดภัย นวัตกรรมปกป้องสุขภาพประชาชน

แพลตฟอร์มที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือระบบข้อมูลความปลอดภัยด้านสารพิษในห่วงโซ่อาหารจากปลา โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง กก และอิง ซึ่งจะผนวกข้อมูลหลายกระทรวง ได้แก่ กรมประมง หน่วยทดสอบสารพิษ และข้อมูลการซื้อขาย เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในระดับชนิด แหล่ง และช่วงเวลา พร้อมคำแนะนำที่เข้าใจง่าย

“ถ้าเป็นสารปนเปื้อนบางชนิดพฤติกรรมแตกต่างกัน อยู่ในน้ำอาจยังไม่เป็นพิษ แต่สะสมในเนื้อปลาแล้วเป็นอันตราย เราต้องแปลงองค์ความรู้แบบนี้ให้เป็นคำเตือนและคำแนะนำที่ใช้ได้จริงในมือถือประชาชน” ศ.ดร.สมปอง อธิบายถึงความสำคัญของระบบนี้

ตัวอย่างเช่น สารตะกั่ว (Lead) เมื่ออยู่ในปลาสามารถกรองออกได้ แต่ปรอท (Mercury) กลับอยู่ในน้ำไม่เป็นพิษ แต่พอสะสมในตัวปลากลับอันตรายมาก ความรู้เช่นนี้จะถูกนำเสนอผ่านแอปพลิเคชันที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย

ต้นแบบแพลตฟอร์มดังกล่าวตั้งเป้าเปิดใช้สาธารณะภายใต้หลักข้อมูลถูกต้อง ความเป็นส่วนตัว และความมั่นคงไซเบอร์ โดยจะเชื่อมต่อกับช่องทางสื่อสารของจังหวัด อบจ. และสาธารณสุข เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเปราะบางและผู้ค้าได้จริง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

เงิน เวลา ความเชื่อใจ สามเสาหลักของความสำเร็จ

การขับเคลื่อนโครงการขนาดนี้ต้องการสามเสาหลักที่เดินคู่กัน

เสาที่ 1 เงิน – งบฉุกเฉินเพื่อบรรเทาทันที เช่น กรอบช่วยเหลือดำรงชีพ 9,000 บาทต่อครัวเรือน โอนผ่านพร้อมเพย์ธนาคารออมสิน ตามแนวทางของคณะรัฐมนตรีและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อให้เงินถึงมือได้รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ และงบลงทุนสำหรับซ่อม เสริม กันน้ำ และเสริมกำลังอาคารที่มีหลักฐานข้อมูลรองรับ

เสาที่ 2 เวลา – กำหนดไทม์ไลน์ชัดเจนตั้งแต่สำรวจ ออกแบบ จัดซื้อ ก่อสร้าง ทดสอบ จนส่งมอบ พร้อมตัวชี้วัด เช่น จำนวนอาคารที่ผ่านการเสริมกำลัง ความสามารถระบายน้ำที่เพิ่มขึ้น และเวลาตอบสนองเหตุ

เสาที่ 3 ความเชื่อใจ – โปร่งใส ตรวจสอบได้ เปิดเผยแผนที่ รายการงาน งบประมาณ และสถานะคืบหน้าแบบที่ประชาชนติดตามได้ตลอดเวลา

จากการสำรวจในพื้นที่ พบว่ามีโครงการแก้ไขปัญหาที่รอการดำเนินการประมาณ 67 โครงการ ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยจะมีการจัดลำดับความสำคัญตามความเร่งด่วนและผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

เชื่อมแผนท้องถิ่นกับแผนน้ำประเทศ

ทุกมาตรการในพื้นที่ต้องเชื่อมโยงเข้ากับแผนภาพใหญ่ของประเทศ ภายใต้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ผู้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี และบทบาทศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติในภาวะวิกฤต ภายใต้กรอบ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ที่เชื่อมแผนงาน 20 กระทรวงและหลายพันโครงการเข้าด้วยกัน

การที่เชียงรายสร้างแผนที่เสี่ยง แผนที่ความเสียหาย และรายการโครงการฟื้นฟูตามลำดับเร่งด่วน คือ “ภาษากลาง” ที่ทำให้งานวิจัย ข้อเสนอเชิงวิศวกรรม และข้อเท็จจริงงบประมาณคุยกับ สทนช. และหน่วยส่วนกลางได้อย่างมีเอกสารและตัวชี้วัดรองรับ

จากบทเรียนแม่ลาวสู่มาตรฐานความปลอดภัยรุ่นใหม่

แผ่นดินไหวแม่ลาวเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ที่มีขนาดความรุนแรงราว Mw 6.1-6.3 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนแปลงแนวคิดการรับมือภัยพิบัติของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเสียหายกว้างขวาง เป็นแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดในรอบกว่าครึ่งศตวรรษของไทย และกลายเป็นฐานข้อมูลสำคัญต่อการออกแบบมาตรการเสริมความมั่นคงอาคารในภูมิภาคเหนือจนถึงปัจจุบัน

บทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การพัฒนากฎ แบบ และวิธีการที่รัดกุมขึ้น ทั้งด้านการออกแบบโครงสร้าง การตรวจสอบอาคาร และการเตรียมพร้อมชุมชน ซึ่งเอกสารวิชาการหลากชิ้นได้สรุปผลการสั่นไหว ความเสียหาย และข้อเสนอเพื่อยกระดับมาตรฐานสำหรับอาคารไทยในพื้นที่เสี่ยง

ในเชียงรายวันนี้ งานของ TSEA และเครือข่ายวิศวกรจังหวัดกำลังรวบรวม สำรวจ และประเมินโครงสร้างสำคัญ เพื่อจัดลำดับการเสริมกำลัง (retrofitting) ตั้งแต่โรงเรียน โรงพยาบาล อาคารราชการ สะพานชุมชน ไปจนถึงโครงสร้างสื่อสารและสาธารณูปโภค โดยมุ่งเก็บฐานข้อมูลเชิงลึกระดับอาคาร เพื่อใช้ในการขอ จัดสรร และติดตามงบประมาณอย่างมีเป้าหมาย

วิธีทำงาน ซ่อมด่วน-เสริมระบบ-ยกระดับมาตรฐาน

จากรายการโครงการที่ทีมวิศวกร หน่วยงานจังหวัด และ อบจ. ร่วมกันสำรวจและคัดกรอง สามารถสรุปกรอบปฏิบัติการเป็น 3 ระดับ คือ

ระดับที่ 1 ซ่อมด่วน (Immediate Fix) – จุดตัดน้ำ จุดท่วมซ้ำ จุดเสี่ยงพังทลายที่ต้องซ่อม กัน และเสริมทันที เพื่อให้โรงเรียน สถานพยาบาล และเส้นทางอพยพใช้งานได้ปลอดภัยในฤดูเสี่ยง

ระดับที่ 2 เสริมระบบ (System Upgrade) – เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ (คลอง ท่อ บ่อบำบัด) ทำโครงสร้างหน่วงน้ำ ปรับโซนนิ่งการใช้งานพื้นที่ ช่วยลดความเสี่ยงซ้ำซ้อน

ระดับที่ 3 ยกระดับมาตรฐาน (Code & Capacity) – ปรับมาตรฐานการออกแบบ ตรวจสอบ และซ่อมบำรุงอาคารในเขตเสี่ยงแผ่นดินไหว และสร้างเครือข่ายวิศวกร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน บริหารจัดการแผนที่ อุปกรณ์ และการซ้อมแผนได้เองระยะยาว

“เป้าหมายสุดท้ายของเราคือให้ความสูญเสียจากน้ำ แผ่นดินไหว และสารพิษลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และให้ชาวเชียงราย ‘มั่นใจ’ ว่าเมืองของเขามีระบบพร้อมรับมือ” ศ.ดร.สมปอง กล่าวสรุปวิสัยทัศน์ของโครงการ

ตัวเลขที่ชวนคิด

การดำเนินงานครั้งนี้มีตัวเลขสำคัญที่สะท้อนความจริงจังและขนาดของปัญหา

  • 9,000 บาทต่อครัวเรือน – กรอบช่วยเหลือดำรงชีพกรณีภัยพิบัติ โอนผ่านธนาคารออมสินและพร้อมเพย์ ตามแนวทางของรัฐบาลและ ปภ. เพื่อเพิ่มความเร็ว ความโปร่งใส และความตรวจสอบได้
  • Mw 6.1-6.3 – ขนาดแผ่นดินไหวแม่ลาวปี 2557 เหตุการณ์ตัวแบบที่ทำให้ไทยเร่งยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอาคารในภาคเหนือ
  • 67 โครงการ – จำนวนโครงการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่รวบรวมได้จากการสำรวจ ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท
  • 30 ปี – ช่วงเวลาที่น้ำท่วมปี 2567 เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในเชียงราย สะท้อนความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ปรากฏการณ์ลานีญา – ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เพิ่มโอกาสฝนมากกว่าปกติในบางภาค ชี้ความจำเป็นของระบบหน่วง ระบาย และสื่อสารเตือนภัยที่ทำงานทันการณ์

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง จากงานวิจัยต้นแบบสู่เมืองที่เรียนรู้ได้

งานในครั้งนี้ไม่ได้จบที่เอกสารรายงาน แต่มุ่งให้เชียงรายกลายเป็นต้นแบบที่สามารถยกขึ้นขยายผลได้ ทั้งโมเดลการสำรวจความเสียหายเชิงโครงสร้าง แพลตฟอร์มข้อมูลความปลอดภัยอาหารจากน้ำ เครื่องมือสื่อสารสาธารณะ และคู่มือ “จากงานวิจัยสู่การใช้งบจริง”

ผลลัพธ์สำคัญที่ผู้จัดคาดหวัง ได้แก่

  1. ความตระหนักรู้และการเตรียมพร้อม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน และชุมชน โดยเฉพาะการเสริมกำลังโครงสร้างอาคารให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน
  2. ความร่วมมือระหว่างวิชาการและนโยบาย ที่เดินทางได้ทั้งสองทาง คือปัญหาจริงสู่โจทย์วิจัย และงานวิจัยสู่คำสั่งและงบประมาณจริง
  3. กรอบแผนงานวิจัยและงบประมาณ ระยะ 1-3 ปี สำหรับรับมือภัยพิบัติแผ่นดินไหวและน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงรายในอนาคต ที่เชื่อมต่อยุทธศาสตร์ระดับชาติ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง”

ภาพอนาคต เมืองที่ปลอดภัยเริ่มจาก “แผนที่เดียวกัน”

เชียงรายกำลังวางรากฐาน “ความยืดหยุ่น” ด้วยแผนที่เดียวกัน (ข้อมูลเดียวกัน) และภาษางบประมาณเดียวกัน (ตัวชี้วัด รายการงาน ไทม์ไลน์ และงบที่สื่อสารกันได้ระหว่างท้องถิ่น ส่วนกลาง นักวิจัย และประชาชน)

จุดเด่นของโมเดลนี้คือความเร็วในการเชื่อมหน่วยงานและความคมของการตัดสินใจ เพราะทุกฝ่าย “เห็นภาพเดียวกัน” และ “รู้ว่าอะไรคุ้มค่าที่สุดต่อชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจท้องถิ่น”

“วันนี้เราเอาองค์ความรู้จากงานวิจัย เทคโนโลยี และข้อมูลที่เชื่อถือได้มาสร้างเป็นระบบที่ใช้งานได้จริง ไม่ใช่แค่เอกสารบนโต๊ะ แต่เป็นเครื่องมือในมือคนทำงานหน้าดิน เป็นข้อมูลที่ประชาชนเข้าถึงได้ และเป็นหลักฐานที่ใช้ขอและติดตามงบประมาณได้” รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวย้ำ

นางอทิตาธร นายก อบจ.เชียงราย เสริมว่า “เราพร้อมรับเอาองค์ความรู้และเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ พร้อมเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึง แต่ขอให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง มีมาตรฐาน และปลอดภัยจากการถูกแฮ็ก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน”

การทำงานในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การรับมือภัยพิบัติ” ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่นักวิจัย ผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานท้องถิ่น วิศวกร ไปจนถึงประชาชนทุกคน

งบประมาณและการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

เมื่อถามถึงงบประมาณและความยั่งยืนของโครงการ ศ.ดร.สมปอง อธิบายว่า สกสว. ในฐานะกองทุนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณให้ตรงจุด ตรงปัญหา และส่งประโยชน์ถึงประชาชน

“เรากำลังทำแพ็กเกจในมุมของการทำงานเชิงบูรณาการ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายแบบเต็มประสิทธิภาพ การจัดสรรงบประมาณจะทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าเราจัดสรรได้ตรงจุด ตรงปัญหา และส่งประโยชน์ไปจนถึงประชาชน” ศ.ดร.สมปอง กล่าว

สำหรับงบประมาณรายปีที่ใช้ในการดำเนินงานด้านภัยพิบัติทั้งหมดของประเทศ ครอบคลุมทั้งเรื่องน้ำ ฝุ่น แผ่นดินไหว ดินถล่ม และสารพิษ อยู่ที่ไม่น้อยกว่าหนึ่งพันล้านบาทต่อปี โดยมีการปรับเปลี่ยนตามกระบวนการและความจำเป็นเร่งด่วน

“ประเด็นสำคัญคือการขับเคลื่อนนโยบายต้องตอบโจทย์ในมุมของความรวดเร็ว เพราะเรื่องของภัยพิบัติ เราไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ถ้าเกิดแล้วเราต้องเยียวยา ต้องแก้ปัญหาหน้างานทันที การกำหนดเวลาและการมีแผนที่ชัดเจนจึงสำคัญมาก” ศ.ดร.สมปอง กล่าวเน้นย้ำ

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ภัยพิบัติรุนแรงขึ้นและบ่อยขึ้น จากข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ชี้ว่าปรากฏการณ์ลานีญามีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยขึ้นและส่งผลให้ฝนมากกว่าปกติในหลายภูมิภาค รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหมายความว่าระดับน้ำที่เคยคิดว่าสูงที่สุดที่ 5 เมตรอาจกลายเป็น 10 เมตรในอนาคต

“เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถใช้มาตรฐานเดิมได้อีกต่อไป” นายประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวสะท้อนความท้าทายที่อยู่เบื้องหน้า

เชียงรายกำลังก้าวสู่การเป็น “Disaster Resilient City” อย่างแท้จริง ด้วยการบูรณาการระหว่างงานวิจัย นโยบาย และการปฏิบัติในพื้นที่ โดยใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเป็นฐาน การทำงานในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานระบบที่ยั่งยืน สามารถปรับตัวและเรียนรู้ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

การที่ทุกภาคส่วน “เห็นภาพเดียวกัน” “ใช้ข้อมูลเดียวกัน” และ “พูดภาษางบประมาณเดียวกัน” คือกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จ และสามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่เผชิญปัญหาคล้ายกันทั่วประเทศ

สำหรับชาวเชียงราย โครงการนี้หมายถึงความหวังว่าในอนาคต เมื่อเกิดภัยพิบัติ ชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาจะได้รับการปกป้องดีขึ้น ระบบเตือนภัยจะทำงานได้ทันท่วงที และการฟื้นฟูจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นั่นคือความหมายที่แท้จริงของ “เมืองที่ปรับตัวได้ต่อภัยพิบัติ”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • ภาพ : กีรติ ชุติชัย
  • ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) – กรอบ 3 แพลตฟอร์ม บทบาท “โซ่ข้อกลาง” แพ็กเกจนโยบายและแพลตฟอร์มข้อมูลสาธารณะ
  • ศาสตราจารย์ ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA) และนักวิจัยศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ – การระดมวิศวกรอาสา ฐานข้อมูลความเสียหายเชิงโครงสร้าง แผนที่เสี่ยงภัย
  • นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย – ภาพรวมสถานการณ์น้ำท่วม การฟื้นตัว การเชื่อมกลไกจังหวัด
  • นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – นโยบาย “7 เรือธง” โดยเฉพาะ PDOSS ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
  • สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย (TSEA)
  • ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ (EARTH)
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายจัดซ้อมใหญ่! เสริมแกร่งชุมชนแม่ฟ้าหลวง รับมืออัคคีภัย-แผ่นดินไหว

อบจ.เชียงราย เสริมแกร่งชุมชนแม่ฟ้าหลวง จัดฝึกซ้อมรับมือภัยพิบัติ สู่เป้าหมาย ‘PDOSS’ ปลอดภัยยั่งยืน

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – แม่ฟ้าหลวงต้นแบบความพร้อมรับมือภัยพิบัติ สู่การพึ่งพาตนเองอย่างเป็นระบบ ท่ามกลางภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทั้งแผ่นดินไหว ไฟป่า และอัคคีภัย การเตรียมความพร้อมของชุมชนจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป หากแต่เป็นภารกิจจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ล่าสุด องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้เดินหน้ายกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน ด้วยการจัดโครงการฝึกซ้อมระงับอัคคีภัยและอพยพหนีแผ่นดินไหว ที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงชายแดน และเป็นแหล่งชุมชนบนพื้นที่ภูเขาที่มีความเสี่ยงสูงจากภัยธรรมชาติ

โดยโครงการครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างทักษะการเอาตัวรอดแก่ประชาชน สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย PDOSS หรือ “ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ” ของ อบจ.เชียงราย สู่การปฏิบัติจริงในระดับพื้นที่

ฝึกจริง เข้าใจจริง รับมือได้จริงภารกิจที่เริ่มจากคนในชุมชน

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ หอประชุมบ้านเทอดไทย หมู่ 1 ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.จากเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง และผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง อาสาสมัครภาคประชาชน รวมถึงตัวแทนจากภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป

การฝึกซ้อมครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะทฤษฎี แต่เน้นการเรียนรู้ผ่านสถานการณ์จำลองที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริง ตั้งแต่การฝึกใช้เครื่องดับเพลิงชนิดต่าง ๆ การจำลองสถานการณ์แผ่นดินไหว การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ และการประสานงานข้ามหน่วยงาน ทั้งหมดล้วนสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในการตัดสินใจในสถานการณ์วิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

PDOSS แนวคิดแห่งอนาคตที่เริ่มต้นแล้ววันนี้

PDOSS (Public Disasters One Stop Service) เป็นนโยบายที่ อบจ.เชียงราย ริเริ่มขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภัย การตอบสนองทันทีเมื่อเกิดเหตุ และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ โดยมีเป้าหมายให้ทุกตำบลมี “ศูนย์ปฏิบัติการท้องถิ่น” ที่สามารถตอบสนองเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันเวลาและมีประสิทธิภาพ

การนำ PDOSS ลงพื้นที่แม่ฟ้าหลวงจึงไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมฝึกอบรม แต่คือจุดเริ่มต้นของการสร้าง “ภูมิคุ้มกันภายใน” ให้กับชุมชน เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเองก่อนที่ความช่วยเหลือจากภายนอกจะเดินทางมาถึง

ความร่วมมือคือหัวใจของความสำเร็จ

ความโดดเด่นของกิจกรรมครั้งนี้คือการได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านความมั่นคง หน่วยงานด้านสาธารณสุข และหน่วยกู้ภัยในพื้นที่

ความร่วมมือเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความแข็งแกร่งในการรับมือกับภัยพิบัติ แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน และเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการสาธารณะในระดับท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพ

ทำไมแม่ฟ้าหลวงถึงเป็นพื้นที่เป้าหมาย

อำเภอแม่ฟ้าหลวง เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากทั้งอัคคีภัยในชุมชนบ้านไม้ และดินถล่ม/แผ่นดินไหวเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน และบ้านเรือนจำนวนมากอยู่ใกล้แนวป่าหรือแนวลาดชัน

การวางระบบ PDOSS จึงเป็นการสร้างเครือข่ายการแจ้งเตือนและรับมือภัยพิบัติที่สอดคล้องกับลักษณะของพื้นที่ ช่วยให้ประชาชนสามารถรับมือได้ทันเวลา ลดโอกาสการบาดเจ็บ สูญเสียทรัพย์สิน และแม้กระทั่งชีวิต

ผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชน สร้างภูมิคุ้มกันอย่างยั่งยืน

จากการลงพื้นที่ติดตามของผู้สื่อข่าว พบว่าผู้เข้าร่วมอบรมมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือดับเพลิงเพิ่มขึ้นกว่า 80% และสามารถดำเนินการอพยพจำลองได้อย่างมีระเบียบภายในเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ยังมีการจัดทำคู่มือ “เอาตัวรอดเมื่อเกิดแผ่นดินไหวและอัคคีภัย” แจกจ่ายให้กับทุกครัวเรือนในพื้นที่

ประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากโครงการนี้ ได้แก่:

  • เสริมทักษะชีวิตในภาวะฉุกเฉิน
  • เพิ่มความมั่นใจและลดความตื่นตระหนกเมื่อเกิดเหตุการณ์จริง
  • สร้างวัฒนธรรมการเตรียมพร้อมและการเอื้อเฟื้อกันในชุมชน
  • เสริมศักยภาพหน่วยงานท้องถิ่นให้สามารถรับมือภัยพิบัติได้เอง

เมื่อความปลอดภัยกลายเป็นวาระแห่งท้องถิ่น

การดำเนินโครงการฝึกซ้อมอัคคีภัยและแผ่นดินไหวของ อบจ.เชียงราย ในครั้งนี้ ถือเป็นตัวอย่างของการพัฒนาท้องถิ่นที่เข้าใจบริบทอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงการทำตามระเบียบ แต่เป็นการ “สร้างความปลอดภัยเชิงรุก” เพื่อให้คนในพื้นที่มีเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงเมื่อเกิดภัย

วิสัยทัศน์ของ PDOSS จึงไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงนโยบาย แต่กำลังกลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ เมื่อทุกคนในพื้นที่มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นทาง

ในยุคที่ภัยพิบัติไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า หนทางเดียวที่เราจะสามารถลดความสูญเสีย คือการ “เตรียมพร้อมก่อนเกิดเหตุ” อย่างมีแบบแผน ยั่งยืน และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • รายงานการฝึกซ้อมโครงการ PDOSS ประจำปี 2568
  • สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมอบรม และเจ้าหน้าที่ภาคสนาม
  • กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดคอนโดไทยซบ ลูกค้าจีนหาย แผ่นดินไหวซ้ำ

พิษเศรษฐกิจ-ดินไหว-ทุนเทา ฉุดตลาดคอนโดต่างชาติ ลูกค้าจีนหาย 90%

เชียงราย, 28 พฤษภาคม 2568 – ความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงต้นปี 2568 สะท้อนถึงแรงสั่นสะเทือนจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ และความเข้มงวดของภาครัฐต่อทุนต่างชาติ ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับต่างชาติเกิดภาวะชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่เคยเป็นตลาดหลัก กลับหายไปถึงร้อยละ 90

ปัจจัยสะเทือนตลาด เศรษฐกิจโลก ดินไหว และความไม่แน่นอน

นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด เผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อกลุ่มนักลงทุนชาวจีนอย่างรุนแรง ซึ่งซ้ำเติมจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้กำลังซื้อหายไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น พัทยา ที่เคยได้รับความนิยม

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ลูกค้าจีนและพม่าหายไปจากกรุงเทพฯ ถึงร้อยละ 90 ในขณะที่สมุยและภูเก็ตยังคงมีความเคลื่อนไหวบ้าง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-20 ซึ่งอาจมาจากเสน่ห์ของเมืองท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่ถูกกระทบเท่าเขตเมืองหลัก

ห้องชุดรอโอนสะสม-แนวโน้มการซื้อระวังตัวมากขึ้น

ในกรุงเทพฯ มีห้องชุดรอโอนจำนวนหลักร้อยยูนิต ราคาต่อยูนิตอยู่ที่ 4-6 ล้านบาท ส่วนเชียงใหม่ มีห้องชุดรอโอนกว่า 200 ยูนิต ราคาประมาณ 2.5-3 ล้านบาท ขณะที่ภูเก็ตมีจำนวนสูงกว่า 400 ยูนิต คาดว่าจะโอนได้ในปี 2569 ราคายูนิตละ 2.5-4 ล้านบาท

นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด และเคลเลอร์ วิลเลี่ยม ไทยแลนด์ ระบุว่า แม้ตลาดจะยังมีการซื้อจากกลุ่มต่างชาติในเมืองท่องเที่ยว แต่ปริมาณยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 โดยเฉพาะจากนักลงทุนจีนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ

อีกทั้งยังมีปัจจัยค่าเงินบาทที่ผันผวน ส่งผลต่อความไม่แน่นอนในการคำนวณต้นทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งทำให้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกระตุ้นตลาดต่างชาติ

นายวิทย์เสนอว่า หากรัฐบาลสามารถเปิดการเจรจาเพื่อดึงดูดฐานการผลิตจากต่างชาติมาไทยได้สำเร็จ อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมอาจกลายเป็นจุดขายใหม่ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุนการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ เช่น วีซ่าระยะยาว หรือการปรับปรุงข้อจำกัดด้านการโอนกรรมสิทธิ์

ความเข้มงวดของภาครัฐดาบสองคมของตลาดอสังหา

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า แม้จะมีการลดลงของยอดโอนคอนโดจากชาวจีน แต่ความเข้มงวดของกรมที่ดินต่อการซื้อบ้านผ่านบริษัทที่มีต่างชาติร่วมถือหุ้นกลับเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการครอบครองที่ดินของกลุ่มทุนเทา

หลายโครงการในนิคมอุตสาหกรรมที่ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนแม้ได้รับการส่งเสริมก็ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งเป็นทั้งอุปสรรคและกลไกป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระยะยาวกับโครงสร้างประชากรในอนาคต

สร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์และความมั่นคง

ข้อเสนอเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากชาวต่างชาติอย่างยั่งยืนมีดังนี้

  1. คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น นักวิจัย วิศวกรระดับสูง ผู้เกษียณอายุรายได้สูง
  2. ขยายระยะเวลาวีซ่าพำนักในไทย เช่น วีซ่า 10 ปี หรือวีซ่าดิจิทัลโนแมด
  3. ปรับอัตราภาษีการซื้ออสังหาริมทรัพย์และการเช่าอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างรายได้ภาครัฐ
  4. ผลักดันร่างกฎหมาย “ทรัพย์อิงสิทธิ์” เพื่อให้สิทธิ์เช่าที่อยู่อาศัยได้นานถึง 60 ปี

สถิติสะท้อนภาพรวมตลาดแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2568 ดังนี้

  • ยอดโอนห้องชุดของต่างชาติ: 3,919 หน่วย ลดลง 0.5% จากปีก่อน
  • มูลค่าการโอน 16,392 ล้านบาท ลดลง 9%

3 อันดับประเทศที่โอนมากที่สุด:

  1. จีน 1,481 หน่วย ลดลง 7.2% มูลค่า 6,117 ล้านบาท ลดลง 19.2%
  2. พม่า 439 หน่วย เพิ่มขึ้น 12% มูลค่า 1,587 ล้านบาท ลดลง 28.1%
  3. รัสเซีย 288 หน่วย ลดลง 2.4% มูลค่า 987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9%

จุดเปลี่ยนที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจ

การลดลงของนักลงทุนต่างชาติในตลาดคอนโดไทยเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงความจำเป็นในการปรับยุทธศาสตร์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก

แม้การป้องกันทุนเทาจะยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่การสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายคุณภาพและสร้างสิทธิประโยชน์ที่สมดุลจะช่วยให้ไทยยังคงเป็นศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC)
  • บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด
  • สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
  • บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด
  • กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

สงกรานต์คึกคัก ‘เชียงใหม่’ เที่ยวได้ ฟรีจอดรถ 4 สนามบิน

รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือสงกรานต์ 2568 เพิ่มเที่ยวบิน-เปิดจอดรถฟรี ท่าอากาศยานเชียงรายพร้อมเต็มที่รับนักเดินทาง

ประเทศไทย, 9 เมษายน 2568 – รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมเต็มรูปแบบในการรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีประชาชนเดินทางภายในประเทศและระหว่างประเทศอย่างหนาแน่น โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านการคมนาคมในท่าอากาศยานหลักทั่วประเทศ รวมถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประตูการเดินทางสำคัญของภาคเหนือที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติในช่วงเวลาดังกล่าว

มาตรการรับมือผู้โดยสารช่วงสงกรานต์

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามแผนรองรับการเดินทางของประชาชน โดยเน้นการลดความแออัดในอาคารผู้โดยสาร การเพิ่มเจ้าหน้าที่บริการ และอำนวยความสะดวกในด้านการตรวจเอกสาร การเช็กอิน และการจัดระเบียบการเดินทางในพื้นที่ท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่ง ได้แก่

  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.)
  4. ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.)
  5. ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.)
  6. ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย พร้อมต้อนรับนักเดินทาง

ในส่วนของจังหวัดเชียงราย ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง ได้เตรียมการรองรับผู้โดยสารอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจากแนวโน้มการเดินทางเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวภาคเหนือที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจังหวัดเชียงรายถือเป็นหนึ่งในปลายทางยอดนิยม ทั้งในด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกิจกรรมสงกรานต์พื้นเมือง

ในช่วงสงกรานต์นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่เชียงรายจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และต่างประเทศ เช่น จีนและลาว ผ่านเที่ยวบินตรงมายังสนามบินเชียงราย ซึ่ง ทอท. ได้เพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์เช็กอิน การดูแลผู้โดยสาร และเพิ่มความถี่ของการทำความสะอาดพื้นที่ส่วนรวม เพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่นและปลอดภัย

ข้อมูลเที่ยวบิน-ผู้โดยสาร เพิ่มขึ้นชัดเจน

บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ได้ประมาณการเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารระหว่างวันที่ 11–17 เมษายน 2568 พบว่า

  • เที่ยวบินระหว่างประเทศมีจำนวน 267,603 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.1%
  • เที่ยวบินภายในประเทศมีจำนวน 213,792 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 22.7%
  • รวมผู้โดยสารทั้งหมด 79,191,431 คน เพิ่มขึ้น 18.3%
    • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48,243,845 คน เพิ่มขึ้น 14.1%
    • ผู้โดยสารภายในประเทศ 30,947,586 คน เพิ่มขึ้น 25.5%

การเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินและผู้โดยสารสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักเดินทางในการเดินทางภายในประเทศ

จอดรถฟรี 4 สนามบินทั่วประเทศ

เพื่อส่งมอบความสะดวกแก่ผู้โดยสาร รัฐบาลได้เปิดพื้นที่ “จอดรถฟรี” ณ ท่าอากาศยาน 4 แห่ง ระหว่างวันที่ 12 – 16 เมษายน 2568 ได้แก่

  1. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ – ลานจอดรถระยะยาว โซน C
  2. ท่าอากาศยานดอนเมือง – ลานจอดหน้าตึกจอดรถ 5 ชั้น
  3. ท่าอากาศยานเชียงใหม่ – บริเวณลานช้าง ข้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ
  4. ท่าอากาศยานภูเก็ต – หน้าอาคารสำนักงาน ทภก.

การอำนวยความสะดวกด้วยเทคโนโลยี

นอกจากการเสริมกำลังเจ้าหน้าที่แล้ว ท่าอากาศยานทุกแห่ง รวมถึงเชียงราย ได้เตรียมความพร้อมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น

  • เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (CUSS)
  • เครื่องโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ (CUBD)
  • ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Biometric)

ผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนใช้บริการได้ที่เครื่อง CUSS หรือผ่านเจ้าหน้าที่สายการบินในขั้นตอนเช็กอิน เพื่อช่วยประหยัดเวลาและลดความแออัด

เชียงใหม่มั่นใจ พร้อมรับนักท่องเที่ยวแม้เจอแผ่นดินไหว

นอกจากนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า แม้เกิดเหตุแผ่นดินไหวเล็กน้อยในช่วงต้นเดือนเมษายน แต่ผลกระทบมีเพียงบางส่วน เช่น อาคารดวงกมลคอนโดมิเนียมที่ได้รับผลกระทบด้านโครงสร้าง และอีก 2 อาคารที่ได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากผิวฉาบแตก

ขณะนี้สถานการณ์โดยรวมกลับสู่ภาวะปกติ บรรยากาศการท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่ยังคงคึกคัก โดยเฉพาะพื้นที่สำคัญอย่างถนนนิมมานเหมินทร์ ถนนคนเดิน และรอบคูเมือง พร้อมทั้งมีกิจกรรมสงกรานต์ “ปี๋ใหม่เมือง” ที่จัดเต็มเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

วิเคราะห์ผลกระทบและโอกาสของการเดินทางช่วงสงกรานต์ 2568

การที่รัฐบาลเพิ่มเที่ยวบินและอำนวยความสะดวกผ่านนโยบายจอดรถฟรี เป็นการตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลักอย่างเชียงราย ซึ่งในช่วงนี้มีเทศกาลประเพณีพื้นถิ่น เช่น สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัว และขบวนแห่สืบสานวัฒนธรรมล้านนา ที่สร้างสีสันและความประทับใจให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในท้องถิ่น ผ่านกิจกรรมจำหน่ายสินค้า OTOP การท่องเที่ยวชุมชน และการสร้างงานให้คนในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ทอท. คาดการณ์เที่ยวบินระหว่างวันที่ 11–17 เม.ย. 2568
    • เที่ยวบินระหว่างประเทศ: 267,603 เที่ยวบิน (+9.1%)
    • เที่ยวบินในประเทศ: 213,792 เที่ยวบิน (+22.7%)
  • ผู้โดยสารทั้งหมด: 79,191,431 คน (+18.3%)
    • ระหว่างประเทศ: 48,243,845 คน (+14.1%)
    • ในประเทศ: 30,947,586 คน (+25.5%)
  • จังหวัดเชียงราย:
    • มีเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% ช่วงเทศกาล (ข้อมูลจากสนามบินแม่ฟ้าหลวง, 2567)
    • คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์: ไม่น้อยกว่า 180,000 คน (สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • พื้นที่จอดรถฟรีในสนามบินเชียงใหม่: รองรับได้มากกว่า 1,500 คัน ตลอดช่วงเวลาให้บริการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
  • กระทรวงคมนาคม
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“มฟล.” ยันอาคารปลอดภัยแม้พบ ผู้รับเหมาที่อยู่เกี่ยว ‘อาคาร สตง.’

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยืนยันอาคารปลอดภัยหลังแผ่นดินไหว ขณะที่ข้อสงสัยเรื่องผู้รับเหมาก่อสร้างหอพักบุคลากรทางการแพทย์ยังคงถูกตั้งคำถาม

เชียงราย, 1 เมษายน 2568 – มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ออกแถลงการณ์ยืนยันความปลอดภัยของอาคารและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดภายในมหาวิทยาลัย หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนถึงจังหวัดเชียงราย โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้เร่งดำเนินการตรวจสอบความเสียหายอย่างละเอียดทันทีหลังเกิดเหตุ และผลการตรวจสอบระบุว่าไม่พบความเสียหายใด ๆ ต่อโครงสร้างอาคาร โดยยืนยันว่าทุกอาคารได้รับการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้

การตรวจสอบความเสียหายและการยืนยันความปลอดภัย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำทีมผู้บริหาร วิศวกรโยธา และช่างจากส่วนอาคารสถานที่ ร่วมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบสภาพอาคารและสิ่งปลูกสร้างทั่วทั้งมหาวิทยาลัย รวมถึงศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง การตรวจสอบดำเนินการระหว่างวันที่ 29-30 มีนาคม 2568 โดยครอบคลุมทั้งโครงสร้างหลัก ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ

ผลการตรวจสอบเบื้องต้นระบุว่า ไม่พบร่องรอยความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากเหตุแผ่นดินไหวในทุกอาคารของมหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยเน้นย้ำว่า อาคารทุกหลังได้รับการออกแบบและก่อสร้างให้สอดคล้องกับมาตรฐานวิศวกรรมที่คำนึงถึงความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว โดยมีการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง การก่อสร้าง การควบคุมงาน และการตรวจรับงานอย่างถูกต้องตามสัญญา รวมถึงมีการทดสอบวัสดุทุกชนิดที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งผลการทดสอบยืนยันว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด

นอกจากนี้ โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU MCH) ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเพจอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยระบุว่า ทีมวิศวกรโยธาผู้เชี่ยวชาญจากส่วนอาคารสถานที่ของมหาวิทยาลัย ร่วมกับทีมวิศวกรของโรงพยาบาล ได้เข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารและระบบความปลอดภัยอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงโครงสร้างทั้งภายในและภายนอก ระบบไฟฟ้า ระบบสัญญาณเตือนภัย ระบบป้องกันอัคคีภัย และเส้นทางอพยพ ผลการตรวจสอบยืนยันว่า โครงสร้างอาคารมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่พบความเสียหายที่ส่งผลต่อความปลอดภัย และระบบสำคัญทั้งหมดยังคงทำงานได้ตามปกติ โรงพยาบาลจึงเปิดให้บริการตามปกติ และพร้อมให้การดูแลผู้ป่วยด้วยประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด

เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วน ทางมหาวิทยาลัยได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานกลาง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง หรือสภาวิศวกร เพื่อเข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติมในขั้นตอนต่อไป โดยคาดว่าการตรวจสอบนี้จะช่วยยืนยันความปลอดภัยของอาคารอย่างเป็นทางการ และลดข้อกังวลที่อาจเกิดขึ้นในหมู่นักศึกษา บุคลากร และประชาชนในพื้นที่

โครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์และข้อสงสัยที่เกิดขึ้น

หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ โครงการก่อสร้าง “หอพักบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมระบบสาธารณูปการ” ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการภายในบริเวณมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โครงการนี้มีราคากลาง 468 ล้านบาท และผู้รับเหมาก่อสร้างคือ กิจการร่วมค้า TPC ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ไทยพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด การจัดหาผู้รับเหมาเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ผ่านวิธีการประมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-bidding) ซึ่งเป็นกระบวนการที่โปร่งใสและเปิดเผย

ปัจจุบัน โครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์มีความคืบหน้าโดยรวมแล้วเสร็จ 46% โดยงานโครงสร้างหลักทั้งหมดได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานในส่วนของงานสถาปัตยกรรมและงานตกแต่งภายนอก อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เผชิญกับความล่าช้าจากแผนเดิมที่กำหนดไว้ เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้การจัดหาวัสดุและการทำงานในบางช่วงหยุดชะงัก

ทางมหาวิทยาลัยระบุว่า การก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ได้ดำเนินการตามแบบและมาตรฐานที่กำหนด โดยเฉพาะการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เช่น เหล็กที่ต้องได้รับมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และผ่านการทดสอบจากหน่วยงานที่ขึ้นทะเบียนให้ทดสอบวัสดุอย่างถูกต้อง วัสดุทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของโครงสร้างได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานบริการทดสอบวัสดุที่ได้มาตรฐาน ซึ่งผลการทดสอบยืนยันว่าเป็นไปตามข้อกำหนดในแบบและมาตรฐานการก่อสร้าง

สำหรับการควบคุมงานก่อสร้าง ทางมหาวิทยาลัยได้มอบหมายให้บริษัทควบคุมงานที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาดูแล รวมถึงตั้งคณะกรรมการควบคุมการทำงานเพื่อติดตามความคืบหน้า โดยมีการประชุมร่วมกับผู้รับจ้างทุกสัปดาห์ และมีการเข้าไปสังเกตการณ์ในขั้นตอนสำคัญของการก่อสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่างานทุกส่วนเป็นไปตามหลักการออกแบบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารสูงในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว โดยมีการคำนวณโครงสร้างให้สอดคล้องกับประเภทและขนาดของอาคาร

ข้อสงสัยจากสาธารณชนและการเชื่อมโยงกับกรณีอาคาร สตง.

หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มลงมาในกรุงเทพมหานคร ข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารต่าง ๆ ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อพบว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างอาคาร สตง. มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะสมาชิกของกิจการร่วมค้า TPC ที่รับผิดชอบการก่อสร้างหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

เพจ “China Story” ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 ระบุว่า “บริษัทที่เกี่ยวข้องกับตึก สตง. ถล่ม ยังมีชื่อปรากฏในโครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง…” ซึ่งจุดกระแสให้เกิดการตั้งคำถามในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชนถึงความน่าเชื่อถือของผู้รับเหมาในโครงการนี้ ขณะที่เพจ “บิ๊กเกรียน” ได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า บริษัทจีนที่มีส่วนในกรณีอาคาร สตง. ยังได้รับงานก่อสร้างหอพักและโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดเชียงราย ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพการก่อสร้าง

สื่อออนไลน์ภาคเหนือ “Lanner” รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2565 กิจการร่วมค้า TPC ได้ลงประกาศรับสมัครวิศวกรโครงการเพื่อประจำงานที่ “โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” โดยระบุที่อยู่สำนักงานของผู้รับเหมาที่เลขที่ 493 ซอยพุทธบูชา 44 แยก 11 ถนนพุทธบูชา แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งเดียวกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด นอกจากนี้ เอกสารการซื้ออิฐมอญจำนวน 3.9 ล้านก้อนจากจังหวัดลำปาง ซึ่งใช้ในโครงการนี้ ยังระบุชื่อผู้ซื้อว่า “กิจการร่วมค้า ทีพีซี (สำหรับโครงการอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย)” และระบุที่อยู่สำนักงานเดียวกันนี้ โดยเชื่อมโยงกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด อย่างชัดเจน

การค้นพบนี้ทำให้เกิดคำถามว่า กิจการร่วมค้า TPC และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีความสัมพันธ์กันอย่างไร และการที่บริษัทนี้มีส่วนในกรณีอาคาร สตง. ถล่ม จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในโครงการของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ทางมหาวิทยาลัยได้ชี้แจงว่า บริษัทควบคุมงานก่อสร้างของโครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์ไม่ใช่รายเดียวกับที่ควบคุมงานก่อสร้างอาคาร สตง. และวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างไม่มีรายการใดที่เกี่ยวข้องกับเหล็กยี่ห้อที่ปรากฏในข่าวเกี่ยวกับกรณี สตง.

การตอบสนองของมหาวิทยาลัยต่อข้อกังวล

เพื่อคลายความกังวลของสาธารณชน ทางมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า การดำเนินงานก่อสร้างหอพักบุคลากรทางการแพทย์ได้ผ่านการควบคุมและตรวจสอบอย่างเข้มงวด โดยย้ำว่า งานโครงสร้างที่เสร็จสิ้นไปแล้วได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และไม่พบปัญหาใด ๆ ที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัย แม้จะเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งล่าสุด นอกจากนี้ การที่โครงการล่าช้ามาจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และไม่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของงานก่อสร้าง

มหาวิทยาลัยยังระบุว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกในการตรวจสอบเพิ่มเติม หากมีข้อสงสัยจากสาธารณชนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย โดยเฉพาะนักศึกษา บุคลากร และประชาชนในจังหวัดเชียงรายที่อาจได้รับผลกระทบทางจิตใจจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กรณีนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงในสองมุมมองหลัก ฝ่ายหนึ่งมองว่า การที่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีอาคาร สตง. ถล่ม ปรากฏชื่อในโครงการของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นสัญญาณที่น่ากังวลเกี่ยวกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผู้รับเหมา โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความเสียหายรุนแรงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความบกพร่องในกระบวนการก่อสร้างหรือการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดถึงความสัมพันธ์ของบริษัทนี้กับโครงการต่าง ๆ ในประเทศไทย

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายหนึ่งให้เหตุผลว่า การที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยืนยันว่าอาคารทุกหลัง รวมถึงหอพักบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ไม่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว แสดงถึงความแข็งแรงและคุณภาพของงานก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งการจัดหาผู้รับเหมาผ่านระบบ E-bidding เป็นกระบวนการที่โปร่งใสตามกฎหมาย และการล่าช้าของโครงการเกิดจากสถานการณ์โควิด-19 ไม่ใช่ปัญหาด้านคุณภาพ การเชื่อมโยงกับกรณีอาคาร สตง. อาจเป็นเพียงการตีความที่มากเกินไป โดยขาดหลักฐานที่ชัดเจนว่าเหตุการณ์ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันในแง่ของความบกพร่อง

จากมุมมองที่เป็นกลาง การตั้งข้อสงสัยของสาธารณชนต่อบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีเหตุผลในแง่ที่เกิดจากความกังวลต่อความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่ม อย่างไรก็ตาม การยืนยันของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่ระบุถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานและผลการตรวจสอบที่ไม่พบความเสียหาย ก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลดความกังวลในเบื้องต้น การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจำเป็นต้องรอผลการตรวจสอบเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยไม่ควรรีบตัดสินหรือกล่าวโทษผู้รับเหมาหรือมหาวิทยาลัยเพียงฝ่ายเดียวในขณะนี้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2550-2567 ประเทศไทยเผชิญแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศ 12 ครั้ง โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ขนาด 6.3 ริกเตอร์ ในจังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ ปภ., 2567)
  2. โครงการก่อสร้างภาครัฐที่ล่าช้า: สำนักงบประมาณระบุว่า ในช่วงปี 2558-2567 โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีมูลค่าเกิน 400 ล้านบาท มีจำนวน 120 โครงการ โดยร้อยละ 25 เผชิญปัญหาความล่าช้าจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น โควิด-19 และการขาดแคลนวัสดุ (ที่มา: รายงานงบประมาณแผ่นดิน, 2567)
  3. การใช้ E-bidding ในประเทศไทย: การกีฬาแห่งประเทศไทยรายงานว่า ในปี 2566 การจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบ E-bidding คิดเป็นร้อยละ 85 ของโครงการภาครัฐทั้งหมด ช่วยลดการทุจริตและเพิ่มความโปร่งใสในการประมูล (ที่มา: การกีฬาแห่งประเทศไทย, สถิติการจัดซื้อจัดจ้าง 2566)

สรุป

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ยืนยันถึงความปลอดภัยของอาคารทุกหลัง รวมถึงหอพักบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง หลังเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยย้ำถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานและการตรวจสอบที่รัดกุม อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเชื่อมโยงกับกรณีอาคาร สตง. ถล่ม ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความมั่นใจแก่ทุกฝ่ายในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

แม่ฮ่องสอนผวา พบ 6 หลุมยุบ เร่งตรวจสอบด่วน

แม่ฮ่องสอนพบหลุมยุบในพื้นที่เกษตรบ้านแม่สุริน ปภ.เร่งตรวจสอบและปิดกั้นเพื่อความปลอดภัย

แม่ฮ่องสอน, 1 เมษายน 2568 – สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดแม่ฮ่องสอน (ปภ.แม่ฮ่องสอน) รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 10:00 น. ได้รับแจ้งเหตุจากนายณรงค์พัชญ์ นาคทรัพย์ นายอำเภอขุนยวม เกี่ยวกับการพบหลุมยุบหลายขนาดในพื้นที่การเกษตร บริเวณบ้านแม่สุริน หมู่ที่ 3 ตำบลขุนยวม อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความกังวลให้กับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่

จากการแจ้งเตือนดังกล่าว อำเภอขุนยวมได้ประสานงานกับองค์การบริหารส่วนตำบลขุนยวม (อบต.ขุนยวม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ทันที การสำรวจเบื้องต้นพบหลุมยุบในพื้นที่การเกษตรจำนวน 6 หลุม โดยแบ่งเป็นหลุมขนาดใหญ่ 2 หลุม และหลุมขนาดเล็ก 4 หลุม ซึ่งหลุมเหล่านี้เกิดขึ้นในบริเวณที่เป็นที่นาของเกษตรกรในหมู่บ้านแม่สุริน เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการปิดกั้นพื้นที่ดังกล่าวทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกษตรกรและประชาชนเข้าไปใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ อันอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

เกิดหลุมยุบยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม

นายณรงค์พัชญ์ นาคทรัพย์ นายอำเภอขุนยวม เปิดเผยว่า การพบหลุมยุบครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพื้นที่ดังกล่าว และอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดหลุมยุบยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยจะมีการประสานงานกับหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกต่อไป

เจ้าหน้าที่จาก ปภ.แม่ฮ่องสอน ระบุว่า หลุมยุบที่พบมีลักษณะแตกต่างกัน โดยหลุมขนาดใหญ่ 2 หลุม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 เมตร และมีความลึกที่ยังไม่สามารถวัดได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางในการสำรวจ ส่วนหลุมขนาดเล็ก 4 หลุม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เมตร ซึ่งการเกิดหลุมยุบในครั้งนี้ยังไม่พบรายงานความเสียหายต่อบ้านเรือนหรือทรัพย์สินของประชาชน แต่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรในบริเวณนั้น

ติดตั้งป้ายเตือนและกั้นแนวเขตห้ามเข้าในรัศมี

เพื่อความปลอดภัยของประชาชน อำเภอขุนยวมและ อบต.ขุนยวม ได้ติดตั้งป้ายเตือนและกั้นแนวเขตห้ามเข้าในรัศมีที่กำหนด พร้อมแจ้งเตือนให้เกษตรกรและชาวบ้านในหมู่บ้านแม่สุรินหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณหลุมยุบ จนกว่าการสำรวจและประเมินสถานการณ์จะเสร็จสิ้น นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดทีมเฝ้าระวังในพื้นที่ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวและป้องกันเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม

ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบสาเหตุ

สำนักงาน ปภ.แม่ฮ่องสอน ได้ออกแถลงการณ์ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับกรมทรัพยากรธรณี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบสาเหตุของหลุมยุบอย่างละเอียด โดยคาดว่าการสำรวจเพิ่มเติมจะสามารถระบุได้ว่าหลุมยุบเกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น การเคลื่อนตัวของชั้นดินจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว หรืออาจมีสาเหตุอื่น เช่น การทรุดตัวของชั้นน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ในบางพื้นที่

นายณรงค์พัชญ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราได้แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่เฝ้าสังเกตความผิดปกติของพื้นดินในบริเวณใกล้เคียง และแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีหากพบหลุมยุบเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบเพิ่มหรือไม่ แต่เราจะดำเนินการทุกขั้นตอนเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นอันดับแรก”

เกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วกว่า 169 ครั้ง

เหตุการณ์นี้ได้สร้างความตื่นตัวให้กับหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในช่วงที่ยังคงมีการเฝ้าระวังอาฟเตอร์ช็อกจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมา ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีการเกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วกว่า 169 ครั้ง แม้ว่าความรุนแรงจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงส่งผลให้เกิดความกังวลในพื้นที่ใกล้เคียงจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว

สำนักงาน ปภ.แม่ฮ่องสอน ยังได้แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน ได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านบุคลากรและเครื่องมือ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมจากเหตุการณ์นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดแม่ฮ่องสอน (ปภ.แม่ฮ่องสอน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายพร้อม ตรวจเขื่อน รับมือแล้ง-ฝน-เตือนภัยน้ำท่วม

เชียงรายตรวจเข้มเขื่อน! รับมือแล้ง-ฝน, ติดตั้งระบบเตือนภัยน้ำท่วม

เชียงราย, 31 มีนาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเขื่อนเชียงราย เพื่อติดตามความพร้อมในการรับมือภัยแล้งและฤดูฝนปี 2568 พร้อมเน้นย้ำมาตรการป้องกันน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

การตรวจเยี่ยมเขื่อนเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากโครงการชลประทานเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเขื่อนเชียงราย ฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 1 โครงการชลประทานเชียงราย ซึ่งเป็นเขื่อนสำคัญของจังหวัดเชียงราย โดยมีนายสมชาย บุญอนันต์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่ชลประทานให้การต้อนรับ พร้อมนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและสถานะความมั่นคงของเขื่อน

เขื่อนเชียงรายทำหน้าที่กักเก็บน้ำจากแม่น้ำกก เพื่อใช้ในการเกษตรในพื้นที่ชลประทานกว่า 50,000 ไร่ รวมถึงเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาสำหรับประชาชนในเขตเทศบาลนครเชียงราย นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน และเสริมความมั่นคงทางน้ำให้กับพื้นที่โดยรอบ

การตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อน หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ รวมถึงจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตาม นายสมชาย บุญอนันต์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ได้รายงานว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พบว่าเขื่อนเชียงรายยังคงมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่มีรอยร้าวหรือความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างหลัก

การบริหารจัดการน้ำเพื่อรับมือภัยแล้ง

นอกจากการตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังได้รับฟังรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในเขื่อนเชียงราย โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ระบุว่า ปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ที่ 65% ของความจุอ่าง ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติและเพียงพอสำหรับการใช้น้ำในช่วงฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง

นายชรินทร์ ทองสุข ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการใช้น้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ พร้อมกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง รวมถึงส่งเสริมการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ

การเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝน

สำหรับการรับมือกับฤดูฝนปี 2568 ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้สั่งการให้โครงการชลประทานเชียงรายดำเนินการขุดลอกและซ่อมแซมแนวกั้นน้ำในพื้นที่เสี่ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม นอกจากนี้ยังได้กำชับให้มีการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำและระบบเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำกก และแม่น้ำสาย-รวก เพื่อให้ประชาชนสามารถรับทราบข้อมูลสถานการณ์น้ำได้อย่างรวดเร็วและเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที

การมีส่วนร่วมของชุมชน

นอกจากการดำเนินมาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่ โดยขอความร่วมมือจากผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการดูแลรักษาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ความจุของเขื่อนเชียงราย: 120 ล้านลูกบาศก์เมตร
  • พื้นที่ชลประทานที่ได้รับประโยชน์: กว่า 50,000 ไร่
  • จำนวนประชาชนที่ได้รับน้ำประปา: มากกว่า 80,000 คนในเขตเทศบาลนครเชียงราย
  • สถิติการเกิดแผ่นดินไหว: แผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือ
  • ระบบเตือนภัยน้ำท่วม: มีการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำอัตโนมัติใน 10 จุดเสี่ยงภัยตามลำน้ำกก และแม่น้ำสาย-รวก

ความเห็น

จากการตรวจสอบและการรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าเขื่อนเชียงรายยังคงมีความมั่นคงแข็งแรง และมีการวางแผนจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งในด้านการซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐาน การติดตั้งระบบเตือนภัย และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อการจัดการน้ำที่ยั่งยืน

การติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด รวมถึงการใช้ข้อมูลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้ประชาชนสามารถรับมือกับภัยแล้งและน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมชลประทาน, โครงการชลประทานเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา, รายงานสถานการณ์แผ่นดินไหว
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, รายงานสถานการณ์น้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

เมียนมาไหวซ้ำ 169 อาฟเตอร์ช็อก ภาพดาวเทียมเสียหาย

แผ่นดินไหวเมียนมาเผยความเสียหายหนัก GISTDA เปิดภาพดาวเทียม THEOS-2 อาฟเตอร์ช็อกพุ่ง 169 ครั้ง

ประเทศไทย, 30 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เผยแพร่ภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งบันทึกเมื่อเวลา 10:05 น. ของวันที่ 29 มีนาคม 2568 โดยเปรียบเทียบกับภาพถ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศเมียนมา ผลการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงความเสียหายรุนแรงในหลายพื้นที่ของเมืองมัณฑะเลย์ เมืองสำคัญอันดับสองของเมียนมา โดยพบรอยแยกบนถนน สะพานเส้นทางด่วนสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์พังถล่ม สะพานอังวะ (Ava Bridge) ซึ่งเป็นสะพานประวัติศาสตร์พังทลายลง รวมถึงการทรุดตัวของสิ่งปลูกสร้าง และรอยแยกตามพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำสายหลักอย่างแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมิตเงะ

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา ด้วยขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่ระดับความลึกเพียง 10 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความรุนแรงของแผ่นดินไหวส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแต่ในเมียนมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ที่สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้

สถานการณ์อาฟเตอร์ช็อกและการติดตาม

กรมอุตุนิยมวิทยาของประเทศไทยรายงานว่า หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลัก เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2568 มีรายงานการเกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วถึง 169 ครั้ง แม้ว่าขนาดของอาฟเตอร์ช็อกจะค่อย ๆ ลดระดับความรุนแรงลงจนถึงจุดที่ไม่สามารถรับรู้ถึงการสั่นไหวได้ในหลายพื้นที่ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อเวลา 14:08 น. ตามเวลาประเทศไทย เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริกเตอร์ บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวหลักประมาณ 332 กิโลเมตร ซึ่งบางจุดในประเทศไทยยังคงรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ช็อกจะเริ่มคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์นับจากนี้ โดยได้มีการเฝ้าติดตามข้อมูลจากเครื่องมือวัดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินความเสี่ยงและแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงพัฒนาการของสถานการณ์

ความเสียหายในเมืองมัณฑะเลย์จากภาพถ่ายดาวเทียม

ภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของประเทศไทยที่มีความละเอียดสูง ได้บันทึกภาพความเสียหายในเมืองมัณฑะเลย์อย่างชัดเจน โดย GISTDA ระบุว่า ความเสียหายที่ปรากฏในภาพประกอบด้วยรอยแยกขนาดใหญ่บนถนนสายหลักที่เชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ สะพานเส้นทางด่วนสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการคมนาคมของเมียนมา พังถล่มลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ สะพานอังวะ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยอาณานิคมและมีอายุกว่า 90 ปี ก็พังทลายลงจากแรงสั่นสะเทือน ส่งผลให้การสัญจรข้ามแม่น้ำอิรวดีหยุดชะงัก

นอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐาน ภาพถ่ายดาวเทียมยังเผยให้เห็นการพังทลายของอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ รวมถึงรอยแยกขนาดใหญ่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมิตเงะ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองมัณฑะเลย์ ความเสียหายในบริเวณนี้บ่งชี้ถึงผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนที่อยู่อาศัยริมน้ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการอพยพและความต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในระยะยาว

การตอบสนองของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รับรายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยมีถึง 57 จังหวัดที่รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน หน่วยงานได้ประสานงานกับจังหวัดต่าง ๆ เพื่อสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในจังหวัดภาคเหนือ เช่น แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากที่สุด

ในส่วนของเมียนมา รัฐบาลทหารของประเทศได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายพื้นที่ รวมถึงเมืองมัณฑะเลย์ และเมืองเนปยีดอ ซึ่งเป็นเมืองหลวง และได้ร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) และหน่วยงานบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศได้เริ่มส่งทีมกู้ภัยและสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปยังพื้นที่ประสบภัยแล้ว อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงบางพื้นที่ยังคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากถนนและสะพานที่เสียหาย รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศที่ยังคงดำเนินอยู่นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564

ผลกระทบต่อประชาชนและโครงสร้างพื้นฐาน

จากรายงานเบื้องต้นในเมียนมา ความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ครอบคลุมทั้งบ้านเรือนประชาชน วัด โรงพยาบาล และอาคารราชการ โดยเฉพาะในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของเมียนมา ความสูญเสียทางชีวิตยังคงอยู่ในระหว่างการประเมิน แต่คาดว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรและสภาพอาคารที่ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่

ในประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงเทียบเท่ากับในเมียนมา แต่ประชาชนในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร รายงานว่ารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน บางพื้นที่ เช่น เขตจตุจักร กรุงเทพฯ มีรายงานอาคารสูงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มลงมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหาย ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นกำลังเร่งดำเนินการกู้ภัยและประเมินความปลอดภัยของอาคารต่าง ๆ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงในสองมุมมองหลัก ฝ่ายหนึ่งมองว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในเมียนมา อาจมีสาเหตุมาจากการขาดการเตรียมพร้อมและมาตรฐานการก่อสร้างที่ไม่เพียงพอต่อการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพานและอาคารต่าง ๆ ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการบริหารจัดการและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลทหารเมียนมา

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายหนึ่งให้เหตุผลว่า แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงเกินกว่าที่โครงสร้างส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้จะรับไหวได้ ไม่ว่าจะมีการเตรียมพร้อมดีเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยในบริเวณนี้ และความลึกของจุดศูนย์กลางที่เพียง 10 กิโลเมตรยิ่งเพิ่มความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือน

จากมุมมองที่เป็นกลาง ข้อสังเกตของทั้งสองฝ่ายมีน้ำหนักในตัวเอง การขาดการเตรียมพร้อมและมาตรฐานการก่อสร้างอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ความเสียหายทวีความรุนแรงขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม ความใหญ่ของแผ่นดินไหวครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และอาจเกินขีดความสามารถของโครงสร้างทั่วไปในภูมิภาคนี้ การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจึงต้องรอผลการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาและวิศวกรรม เพื่อชี้ชัดถึงสาเหตุและแนวทางป้องกันในอนาคต โดยไม่ควรตัดสินว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงด้านเดียวในขณะนี้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนครั้งของแผ่นดินไหวในเมียนมา: จากข้อมูลของ United States Geological Survey (USGS) ตั้งแต่ปี 2550-2567 มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเกิน 5.0 ริกเตอร์ ในเมียนมาและบริเวณใกล้เคียงรวม 45 ครั้ง โดยครั้งนี้ (2568) เป็นเหตุการณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรอบเกือบศตวรรษ (ที่มา: USGS Earthquake Catalog, 2567)
  2. ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า แผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2550-2567 เกิดขึ้น 12 ครั้ง โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้คือแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2557 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ ปภ., 2567)
  3. โครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายในเมียนมา: ตามรายงานของ UN Office for the Coordination of Humanitarian Affairs (OCHA) ณ ปี 2566 โครงสร้างพื้นฐานในเมียนมามีความเปราะบางจากความขัดแย้งภายใน โดยร้อยละ 30 ของถนนและสะพานอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรับภัยพิบัติ (ที่มา: OCHA Myanmar Humanitarian Update, 2566)

สรุป

เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมาได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ของ GISTDA ได้เผยให้เห็นถึงความรุนแรงของผลกระทบ ขณะที่อาฟเตอร์ช็อกยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องถึง 169 ครั้ง หน่วยงานทั้งในเมียนมาและประเทศไทยกำลังเร่งดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย การค้นหาความจริงและแนวทางป้องกันในอนาคตจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความสูญเสียจากภัยพิบัติครั้งต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • GISTDA
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • USGS
  • UN OCHA
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ถ้ำหลวงไม่กระทบแผ่นดินไหว พร้อมเปิดที่ใหม่ “เลียงผา-พญานาค

อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ยืนยันไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว พร้อมเตรียมเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่

เชียงราย, 30 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยและความพร้อมของอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

จากการตรวจสอบโดยละเอียดทั้งโครงสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้าง และเส้นทางท่องเที่ยวภายในอุทยานฯ พบว่าไม่มีความเสียหายหรือผลกระทบใด ๆ ต่อพื้นที่ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมอุทยานฯ ได้ตามปกติ นอกจากนี้ยังมีการยืนยันจากทีมวิศวกรที่ได้ร่วมตรวจสอบแล้วว่า โครงสร้างต่าง ๆ ยังคงมีความแข็งแรงปลอดภัย

เตรียมเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ “ถ้ำเลียงผา-ถ้ำพญานาค”

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายอรรถพล ยังได้ติดตามความคืบหน้าการเตรียมเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ภายในอุทยานฯ ได้แก่ เส้นทาง “ถ้ำเลียงผา-ถ้ำพญานาค” ซึ่งเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่เชื่อมโยงกับตำนานท้องถิ่นของเจ้าแม่นางนอน โดยเส้นทางดังกล่าวได้รับการปรับปรุงให้มีความปลอดภัย พร้อมติดตั้งป้ายสื่อความหมายเพื่อให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า การเปิดเส้นทางใหม่นี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย และเพิ่มทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติและเรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น

มาตรการความปลอดภัยและการเฝ้าระวังแผ่นดินไหว

แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ แต่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ถ้ำหลวงที่เคยเป็นจุดสำคัญของภารกิจกู้ภัยในอดีต นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยของเส้นทางท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ

เยี่ยมชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ป้องกันไฟป่าดอยตุง

หลังจากตรวจสอบอุทยานฯ นายอรรถพล ได้เดินทางต่อไปยังสถานีควบคุมไฟป่าพื้นที่ทรงงานดอยตุง อำเภอแม่ฟ้าหลวง เพื่อติดตามการปฏิบัติงานและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ โดยเน้นย้ำให้มีการลาดตระเวนและเฝ้าระวังไฟป่าอย่างเข้มข้น เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อมและเป็นพื้นที่ทรงงาน

ข้อมูลสถิติและการเฝ้าระวังแผ่นดินไหว

จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา และสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย รวมถึงจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบล่าสุดยังไม่มีรายงานความเสียหายที่รุนแรงในพื้นที่ประเทศไทย

สถิติย้อนหลังระบุว่า จังหวัดเชียงรายตั้งอยู่ในเขตที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว เนื่องจากใกล้กับแนวรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) ของเมียนมา ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่มีพลังสูง การเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

  • ฝ่ายที่เห็นด้วยกับการเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่: นักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการในพื้นที่เห็นว่าการเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่จะเป็นโอกาสที่ดีในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน
  • ฝ่ายที่มีความกังวล: บางฝ่ายกังวลว่าการเปิดเส้นทางใหม่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในกรณีที่มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นอีก จึงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและบำรุงรักษาเส้นทางอย่างสม่ำเสมอ พร้อมติดตั้งอุปกรณ์เตือนภัยในพื้นที่เสี่ยง

สรุป

อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ โดยไม่มีความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งล่าสุด นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมได้อย่างปลอดภัย ขณะเดียวกัน การเปิดเส้นทางใหม่ “ถ้ำเลียงผา-ถ้ำพญานาค” จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเดินทางที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมอุตุนิยมวิทยา (www.tmd.go.th)
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (www.dnp.go.th)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ม.แม่ฟ้าหลวง จุดเทียนรำลึก ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว

นักศึกษาเมียนมาร์ ม.แม่ฟ้าหลวง จัดพิธีจุดเทียนรำลึกผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวเมียนมาร์-ไทย

เชียงราย, 29 มีนาคม 2568 – ชมรมนักศึกษาเมียนมาร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย จัดพิธีจุดเทียนรำลึกเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นในเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงก่อให้เกิดความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนในทั้งสองประเทศ

พิธีจุดเทียนรำลึก แสดงออกถึงความห่วงใยและกำลังใจ

พิธีจุดเทียนรำลึกจัดขึ้นในเวลา 18.00 น. ณ พิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง ภายในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยมีนักศึกษา คณาจารย์ ผู้บริหาร และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมแสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์ครั้งนี้

ในพิธีมีการกล่าวคำรำลึกโดย ศาสตราจารย์ ดร.สุจิตรา วงศ์เกษมจิตต์ รองศาสตราจารย์ นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร ซึ่งได้กล่าวถึงความสำคัญของการร่วมมือและการให้กำลังใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ นอกจากนี้ยังมีการอ่านบทกวีเพื่อแสดงความอาลัย รวมถึงการร้องเพลงปลอบขวัญเพื่อส่งต่อกำลังใจแก่ผู้ประสบภัยทั้งในเมียนมาร์และไทย

นักศึกษาเมียนมาร์ร่วมไว้อาลัยและให้กำลังใจ

นักศึกษาเมียนมาร์ที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ร่วมกันจุดเทียนและยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต ขณะที่บางส่วนได้แบ่งปันเรื่องราวและความรู้สึกเกี่ยวกับครอบครัวและบ้านเกิดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

หนึ่งในนักศึกษากล่าวว่า

เหตุการณ์นี้สร้างความเจ็บปวดอย่างมากต่อพวกเรา ครอบครัวและเพื่อนบ้านที่อยู่ในเมียนมาร์กำลังเผชิญกับความยากลำบาก แต่การที่ทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง”

การระดมความช่วยเหลือเพื่อผู้ประสบภัย

นอกเหนือจากการจัดพิธีจุดเทียนรำลึกแล้ว มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยังได้จัดตั้ง ศูนย์รับบริจาค เพื่อรวบรวมสิ่งของจำเป็นและเงินบริจาคสำหรับส่งไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยมีการประสานงานกับองค์กรด้านมนุษยธรรมและหน่วยงานในพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เบื้องต้นมีการจัดเตรียมสิ่งของจำเป็น เช่น

  • อาหารแห้ง
  • น้ำดื่ม
  • ยารักษาโรค
  • เสื้อผ้า
  • ผ้าห่ม และอุปกรณ์ยังชีพ

ประชาชนที่ต้องการร่วมบริจาคสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย หรือผ่านทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในเมียนมาร์และไทย

จากรายงานของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) ระบุว่า แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ครั้งนี้ มีศูนย์กลางอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองสกาย (Sagaing) ใกล้กับเมืองมัณฑะเลย์ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ของเมียนมาร์ รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

  • เมียนมาร์: มีรายงานผู้เสียชีวิตกว่า 150 ราย และบาดเจ็บหลายร้อยราย บ้านเรือนและโบราณสถานหลายแห่งได้รับความเสียหาย
  • ไทย: ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ อาคารสูงบางแห่งได้รับความเสียหายเล็กน้อย และมีรายงานแรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ในหลายจังหวัด

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติ

ในส่วนของการรับมือภัยพิบัติ มีความคิดเห็นที่หลากหลายจากทั้งนักวิชาการและประชาชน

  • ฝ่ายที่เห็นด้วย ระบุว่าการจัดงานรำลึกเช่นนี้ช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน การรวบรวมความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ฝ่ายที่เห็นต่าง ให้ความเห็นว่า ควรมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดความเสียหายและการสูญเสียในอนาคต รวมถึงการส่งเสริมการศึกษาด้านการป้องกันภัยพิบัติให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวและแหล่งอ้างอิง

  • สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS): รายงานแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ความลึก 16 กิโลเมตร
  • ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ: รายงานแรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ใน 57 จังหวัดของประเทศไทย
  • กระทรวงมหาดไทยเมียนมาร์: รายงานผู้เสียชีวิตกว่า 150 ราย และผู้บาดเจ็บมากกว่า 300 ราย
  • ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย: รวบรวมข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบในกลุ่มนักศึกษาเมียนมาร์ในไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS)
  • ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
  • กระทรวงมหาดไทยเมียนมาร์
  • ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE