Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ยืนยัน 1 ม.ค. 69 วัดร่องขุ่นปรับค่าเข้าชมชาวต่างชาติเป็น 200 บาท พร้อมเพิ่มสิทธิ “เข้าชมถ้ำฟรี”

วัดร่องขุ่น” ขยับค่าเข้าชมชาวต่างชาติเป็น 200 บาท มีผล 1 ม.ค. 2569 ตอกย้ำคุณค่าศิลปะระดับโลก เดินหน้าแผนบริหารจัดการพื้นที่-ยกระดับประสบการณ์ผู้เยือน

เชียงราย, 7 พฤศจิกายน 2568 – อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติและผู้สร้าง “วัดร่องขุ่น” ยืนยันปรับค่าเข้าชมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจาก 100 บาทเป็น 200 บาทต่อคน เริ่ม 1 มกราคม 2569 โดยคนไทยยังเข้าชมฟรีเหมือนเดิม พร้อมเพิ่มสิทธิ “เข้าชมถ้ำฟรี” และ “ยืมผ้าถุงฟรี” เพื่อรักษามาตรฐานความเหมาะสมในการแต่งกาย ขณะที่ฝ่ายท่องเที่ยวมองเป็นโอกาสยกระดับคุณภาพ สอดรับแนวโน้มท่องเที่ยวคุณภาพสูงของเชียงราย

เช้าวันหนึ่งที่ “ขาวจัด—คมชัด—และงอกงาม”

ยามแสงเช้ากระทบปลีเสาศิลาปูนปั้นสีขาว เจิมประกายกระจกนับพันบนสิมวัด ภาพจำของ “วัดร่องขุ่น” หรือ “วัดขาว” ในอำเภอเมืองเชียงราย ยังทำให้ผู้มาเยือนหยุดหายใจสั้น ๆ ด้วยความตื่นตา วัดร่วมสมัยที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ไม่เพียงเป็นหมุดหมายด้านศิลปวัฒนธรรม หากยังแปลงร่างเป็น “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ที่ต้องดูแล บำรุงรักษา และจัดการผู้เยือนนับล้านอย่างเป็นระบบ

ในฉากหลังอันงดงามนั้น ความเปลี่ยนแปลงสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้น การปรับ “ค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติ” จาก 100 บาทเป็น 200 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป โดยอาจารย์เฉลิมชัยยืนยันผ่านสื่อสังคมว่า การปรับราคาสะท้อน “ศักดิ์ศรีงานศิลปะระดับโลก” และช่วยรองรับต้นทุนการบริหาร ดูแล และรักษามาตรฐานพื้นที่อันซับซ้อนของวัดร่วมสมัยที่ยังคงสร้าง-ซ่อม-เสริมรายละเอียดไม่สิ้นสุด  

ทำไม “200 บาท” จึงสมเหตุสมผล เมื่อศิลปะต้องคู่มาตรฐานการจัดการ

มิติคุณค่าและความสากลของผลงาน วัดร่องขุ่นมิใช่วัดโบราณที่หยุดนิ่ง หากเป็น “โครงการศิลปกรรมขนาดใหญ่” ที่ค่อย ๆ เติบโตมาตลอดกว่าสองทศวรรษ การเพิ่มค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติเป็น 200 บาทจึงเป็นการ “ราคาให้สมคุณค่า” เมื่อเทียบกับแลนด์มาร์กทางศิลปะและพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยในเมืองท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลกซึ่งประเมินค่าเข้าชมสูงกว่านี้หลายเท่า อาจารย์เฉลิมชัยชี้ว่า ราคาดังกล่าวยังต่ำเมื่อเทียบกับค่าเข้าชมสถานที่ศิลปะขนาดย่อมในต่างประเทศ และตน “รอจังหวะเหมาะสม” มาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 จนถึงวันนี้จึงแจ้งกำหนดใช้จริง

มิติมาตรฐานประสบการณ์ สิทธิพิเศษใหม่สองรายการ

มาตรการใหม่ไม่ใช่เพียง “ขึ้นราคา” แต่เป็น “ยกระดับแพ็กเกจประสบการณ์” ชัดเจนผ่าน 2 สิทธิพิเศษสำหรับผู้เข้าชมชาวต่างชาติ ได้แก่

  • เข้าชม “ถ้ำ” ฟรี ส่วนจัดแสดงงานศิลปะเฉพาะพื้นที่ของวัด ซึ่งเคยจำกัดหรือมีค่าใช้จ่ายตามโอกาส จะเปิดโอกาสให้สัมผัสมากขึ้นในบัตรเดียว
  • ยืมผ้าถุงฟรี เพื่อสนับสนุนความเหมาะสมตามธรรมเนียมการแต่งกายเข้าพื้นที่ศาสนา ลดภาระการเช่าจากร้านรอบวัด และทำให้การควบคุมมาตรฐานการแต่งกายละเอียดขึ้น (แนวปฏิบัติเรื่องการแต่งกายเข้าเขตพุทธาวาสและความยาวท่อนล่างมีการสื่อสารในช่องทางชุมชน ตัวอย่างข้อแนะนำสาธารณะเรื่องครอบไหล่/ยาวคลุมเข่า

มิติความเป็นธรรมคนไทยเข้าฟรีเหมือนเดิม

แม้จะขึ้นค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติ แต่ คนไทยยังคงเข้าฟรี แนวทางที่วัดร่องขุ่นยึดถือมายาวนานเพื่อให้ชุมชนไทยเข้าถึงศิลปะร่วมสมัยได้ไม่เป็นภาระ (สอดคล้องกับข้อมูลปัจจุบันที่สะท้อนว่า “ชาวต่างชาติ 100 บาท/คน ก่อนปรับเป็น 200 บาท”

ผลกระทบ “บวก” ที่คาดหมาย จากหน้าประตูวัดสู่เศรษฐกิจเมือง

การบริหารพื้นที่และความปลอดภัย วัดร่วมสมัยที่มีองค์ประกอบละเอียดอ่อน จากงานปูนปั้น กระจกโมเสก ไปจนถึงภูมิทัศน์และระบบทางเดิน ย่อมต้องมีต้นทุนดูแลสูง ทั้งงานทำความสะอาดเชิงเทคนิค การบำรุงซ่อมแซมเฉพาะทาง และการควบคุมฝูงชนช่วงพีก ค่าเข้าชมที่เพิ่มขึ้นถูกอธิบายว่า “คืนกลับ” ในรูปมาตรฐานการจัดการพื้นที่ที่เข้มขึ้น ตั้งแต่วัสดุ อุปกรณ์บุคลากร ไปจนถึงระบบอำนวยความสะดวก

การคัดกรองและยกระดับ “คุณภาพการเยือน” ประสบการณ์ของแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกชี้ว่า ราคาบัตรที่สะท้อนคุณค่าช่วย “คัดกรองความตั้งใจ” ของผู้เยือน ทำให้สัดส่วนผู้เข้าชมที่มุ่งหมายทางศิลปวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น กระตุ้นพฤติกรรมท่องเที่ยวรับผิดชอบ (responsible tourism) และลดแรงกดดันต่อทรัพยากร

เศรษฐกิจท้องถิ่นและคลัสเตอร์บริการเม็ดเงินจากผู้เยือนต่างชาติที่ “ไม่มากเกินไป” แต่ “เพียงพอ” ต่อการดูแลสถานที่ สามารถหมุนกลับสู่ห่วงโซ่บริการรอบวัดไกด์พื้นที่ ผู้ให้บริการขนส่ง ร้านอาหาร ของที่ระลึก และโฮมสเตย์ ในภาพใหญ่ระดับจังหวัด แนวโน้มนี้สอดคล้องกับนโยบายท่องเที่ยวคุณภาพและการใช้ soft power ของเชียงราย ซึ่งในช่วงหลังโควิดกลับมาฟื้นตัวดีแม้ตัวเลขเชิงลึกแบบรายจังหวัดต้องติดตามจากฐานข้อมูลรัฐอย่างเป็นทางการ แต่ทิศทางมหภาคสะท้อนผ่านดัชนีท่องเที่ยวและรายได้ท่องเที่ยวของประเทศที่ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง

ไทม์ไลน์และข้อเท็จจริงเชิงบริบท จาก “100 บาท” สู่ “200 บาท”

  • ก่อนหน้า หลายปีที่ผ่านมา วัดร่องขุ่นสื่อสารนโยบาย “คนไทยเข้าฟรีชาวต่างชาติ 100 บาท” ต่อเนื่อง
  • ประกาศใหม่ อาจารย์เฉลิมชัยยืนยัน ปรับเป็น 200 บาท เริ่ม 1 ม.ค. 2569 โดยให้เหตุผลด้านคุณค่าและต้นทุนการบริหารจัดการ พร้อมสื่อสารสิทธิพิเศษเพิ่มเติม
  • ระหว่างนี้ แนวปฏิบัติเรื่องการแต่งกายที่เหมาะสมยังคงเข้มงวดคลุมไหล่/ยาวคลุมเข่าและมี “บริการผ้าถุง” เพื่อช่วยให้ผู้เยือนแต่งกายได้ตามธรรมเนียม

วิเคราะห์เชิงนโยบาย “ราคาบัตร” กับ “ธรรมาภิบาลแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม”

1) ราคาบัตรคือเครื่องมือกำกับคุณภาพ (price as a governance tool)
ในแหล่งมรดกหรือพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก ราคารองรับบทบาทสำคัญ เป็นทั้ง “สัญญาณคุณค่า” และ “ทรัพยากรเพื่อบำรุงรักษา” ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถวางแผนซ่อมบำรุงเชิงป้องกัน (preventive conservation) ซึ่งเหมาะกับงานศิลปะที่เสี่ยงต่อการผุกร่อนจากฝุ่นละอองและความชื้น รวมถึงความเสียหายจากการสัมผัส

2) Differentiated pricing ความเป็นธรรมระหว่าง “เจ้าของวัฒนธรรม” กับ “ผู้มาเยือน”
การคงสิทธิคนไทยเข้าฟรี สะท้อนแนวคิด “ทำให้ศิลปะกลับสู่สังคมไทย” และยืนยันว่าชาวเชียงราย/ไทยยังเข้าถึงได้โดยไม่ถูกต้นทุนกีดกัน ขณะที่ “ผู้มาเยือนต่างชาติ” มีส่วนร่วมสมทบค่าดูแลที่สอดคล้องกับความสามารถในการจับจ่ายเป็นแนวทางที่แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหลายแห่งใช้

3) มาตรฐานประสบการณ์และความเหมาะสม (dress code)
การประกาศ “ยืมผ้าถุงฟรี” ลดแรงเสียดทานหน้างานแทนที่จะผลักภาระไปยังร้านค้าเอกชนเพียงด้านเดียว วัดเลือก “อำนวยความสะดวก” ภายใต้กรอบความเหมาะสมของพื้นที่ศาสนา ซึ่งท้ายที่สุดช่วยยกระดับภาพรวมประสบการณ์และความเคารพสถานที่

มุมมองผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ความท้าทายที่ต้องสื่อสารให้ตรงจุด

แม้สังคมออนไลน์จำนวนหนึ่งอาจตั้งคำถามเรื่อง “ผลกระทบต่อจำนวนผู้เยือน” แต่ในมุมปฏิบัติ ค่าเข้าชม 200 บาทสำหรับผู้เดินทางข้ามพรมแดนซึ่งมักใช้จ่ายทริปละหลายพันถึงหลายหมื่นบาท แทบไม่ใช่ตัวแปรหลักในการตัดสินใจเดินทางเทียบกับ ความคุ้มค่าของประสบการณ์ และ เวลาเข้าชมที่ราบรื่น มากกว่า นอกจากนี้ การประกาศล่วงหน้าพร้อมเหตุผลชัดเจนและสิทธิพิเศษที่เพิ่มเป็นสิ่งสะท้อน “ธรรมาภิบาลการสื่อสาร” ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการทัวร์ ไกด์ และแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตร ปรับข้อมูลบริการได้ทันกำหนด

ในทางกลับกัน ผู้ดูแลวัดจำเป็นต้อง ติดตามผลเชิงข้อมูล อย่างใกล้ชิดทั้งจำนวนผู้เยือนต่อวัน ช่วงพีก การร้องเรียนเรื่องแออัด/รอคิว ตลอดจนผลสะเทือนต่อร้านค้ารอบวัด เพื่อโยง “รายได้จากบัตร” กลับไปสู่งานพัฒนาพื้นที่และบริการเชิงประจักษ์ เช่น ป้ายทางเดินหลายภาษา ระบบเข้าคิวอัจฉริยะ ห้องน้ำสะอาด-เพียงพอ จุดพักร่ม ระบบอธิบายงานศิลป์ (interpretation) ที่เข้าถึงคนทั่วไปและผู้มีข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหว

เชียงรายในระยะยาว เมืองศิลปะ-วัฒนธรรม-ธรรมชาติ ที่ต้องบริหาร “สมดุล”

จังหวัดเชียงรายสะสมทุนทางวัฒนธรรม ศิลปะร่วมสมัย ธรรมชาติ และอีเวนต์คุณภาพไว้แน่นจากวัดร่องขุ่น สิงห์ปาร์ค พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ไปจนถึงเทศกาลเชิงวัฒนธรรมหลากหลายล้วนวางเชียงรายไว้ในแผนที่ “ท่องเที่ยวคุณภาพ” ของไทย ในบริบทเช่นนี้ การปรับค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวหลักให้สมเหตุสมผลกับคุณค่าและต้นทุนดูแล ถือเป็น “องค์ประกอบหนึ่ง” ของยุทธศาสตร์ระยะยาวควบคู่กับการกระจายผู้เยือนไปยังอำเภอรอบนอก เส้นทางกาแฟ-ชา-ชุมชนสร้างสรรค์ และการพัฒนาการเดินทางสาธารณะภายในจังหวัด

คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับผู้เยือนต่างชาติ (สรุปเร็ว)

  • เตรียมงบค่าเข้าชม 200 บาท/คน เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569
  • คนไทยเข้าฟรี พกบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตน
  • แต่งกายสุภาพ คลุมไหล่ กางเกง/กระโปรงคลุมเข่า หากไม่พร้อม มีบริการยืมผ้าถุงฟรี ณ จุดเข้าชมตามประกาศล่าสุด
  • วางแผนเวลา ช่วงเช้าและบ่ายแก่ ๆ แสงสวย หลีกเลี่ยงช่วงพีกทัวร์รวม หากมากับครอบครัวหรือผู้สูงอายุให้เผื่อเวลาเดินชมมากขึ้น

 “ราคาบัตร” คือสัญญาและภารกิจดูแลมรดกศิลป์ร่วมสมัยของไทย

การขยับ “200 บาท” ของวัดร่องขุ่นจึงไม่ใช่เพียงตัวเลขหน้าประตู หากเป็น “สัญญา” ระหว่างผู้สร้าง ผู้ดูแล และผู้มาเยือน ว่าศิลปะร่วมสมัยอันงอกงามของไทยจะได้รับการดูแลด้วยมาตรฐานสากล พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่คุ้มค่ากว่าเดิม ทั้งในมิติความงาม ความรู้ และความสงบในวิถีวัฒนธรรมล้านนา ขณะเดียวกัน ก็เป็นบททดสอบธรรมาภิบาล รายได้จากบัตรต้อง “ไหลกลับ” สู่คุณภาพหน้างานอย่างสัมผัสได้ เพื่อให้สังคมไทยและผู้มาเยือนทั่วโลกมั่นใจว่า ทุกบาทที่จ่าย คือการร่วมกันรักษา “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” ชิ้นเอกของเชียงรายให้คงอยู่อย่างสง่างาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วัดร่องขุ่น – Wat Rong Khun – White Temple , Chiang Rai , Thailand 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ขัวศิลปะร่วมถวายความเคารพ: รศ.ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ ผู้ก่อตั้งศรีดอนมูลอาร์ตสเปซถึงแก่มรณกรรม

ขัวศิลปะ” ร่วมส่งครูใหญ่แห่งล้านนา ศิลปะไทยอำลา “รองศาสตราจารย์ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ” ผู้ก่อตั้งศรีดอนมูลอาร์ตสเปซ ปิดฉากครึ่งศตวรรษแห่งการให้และการสร้าง

เชียงราย/กรุงเทพฯ, 1 พฤศจิกายน 2568 — ยามเย็นที่วัดนิมมานรดี พระอารามหลวง กรุงเทพฯ แสงไฟจากเมรุมาศสะท้อนเงาร่มไม้กรังกราว เหนือเสียงสวดพระอภิธรรมที่ทอดยาวอย่างสงบ คณะศิลปินไทยจากหลากสำนัก—โดยเฉพาะ “ศิลปินเชียงราย”—ร่วมยืนเคียงข้างกันเพื่อไว้อาลัยในพิธีพระราชทานเพลิงศพ รองศาสตราจารย์ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ ศิลปินอาวุโส ครูผู้ก่อร่าง “ศรีดอนมูลอาร์ตสเปซ” และที่ปรึกษากลุ่มศิลปินแม่ญิง ผู้ถึงแก่มรณกรรมเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 สิริอายุ 71 ปี การส่งท่านครั้งนี้ไม่เพียงปิดฉากชีวิตของศิลปินผู้ทุ่มเทกว่าครึ่งศตวรรษ หากยังเป็นจังหวะให้ทั้งวงการหันกลับมาทบทวน “สมการการสร้างสรรค์” ที่ท่านฝากไว้ ศิลปะ = ความสุข + ความหมาย + การให้โอกาส

ภายในพิธี มีผู้แทนจากวงการศิลปะทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นใหม่เดินทางมาร่วมคับคั่ง นำโดย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินระดับตำนานของเชียงราย อาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2567 (สาขาเครื่องปั้นดินเผา) อาจารย์ทรงเดช ทิพย์ทอง อดีตนายกสมาคมขัวศิลปะ อาจารย์สมพงษ์ สารทรัพย์ อาจารย์ชาตะ ใหม่วงค์ และ นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี นายกสมาคมขัวศิลปะ รวมถึงเครือข่ายศิลปินแม่ญิงและศิษย์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ฝ่ายภาครัฐมี นางเกษร กำเหนิดเพ็ชร ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ทำหน้าที่ประธานในพิธี—ภาพทั้งหมดสะท้อน “ทุนทางสังคม” ที่ศรีวรรณสั่งสมไว้ตลอดชีวิตการทำงาน

จากพีระศรีสู่ดอยแม่สาย เส้นทางที่เชื่อมกรุงเทพฯ กับล้านนา

ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ เดินบนถนนศิลปะมาตั้งแต่วัยเยาว์ เธอเริ่มต้นที่ โรงเรียนเพาะช่าง (พ.ศ. 2513) ก่อนก้าวสู่ มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาภาพพิมพ์ สถาบันซึ่งส่งต่อมรดกของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี สู่ศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า ในเส้นทางนั้น เธอได้รับทั้ง ทุน SPAFA (เพื่ออบรมครูศิลปะที่มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ พ.ศ. 2539) และรางวัลจากเวทีสำคัญอย่าง การแสดงศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 23–24 (เหรียญทองแดง–เหรียญเงิน ประเภทภาพพิมพ์) ตลอดเวลากว่า 30 ปี ที่สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เธอไม่เคยหยุดทดลองสื่อใหม่ๆ—ทั้งภาพพิมพ์ จิตรกรรม วัตถุจัดวาง—และยังเป็นครูที่ส่งนักศึกษาสู่เส้นทางศิลปินจำนวนมาก

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อเกษียณราชการ เธอเลือก “ย้ายชีวิต” จากกรุงเทพฯ ไปยัง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย บนที่ดินจัดสรรใน ตำบลศรีดอนมูล ที่ครั้งหนึ่งเป็นเกสต์เฮาส์เล็กๆ ก่อนปรับปรุงเป็น บ้าน–สตูดิโอ และต่อยอดเป็น ศรีดอนมูลอาร์ตสเปซ” ด้วยแรงสนับสนุนด้านทุนจากน้องชาย (คุณจงชัย เจนหัตถการกิจ) และเงินเก็บที่เจ้าตัวยอม “ควัก” เพื่อผลักฝัน ในที่สุด เงินร่วมประมาณ สองล้านกว่าบาท แปรสภาพเป็นพื้นที่ที่หลอมรวม “งาน–คน–ชุมชน” เข้าด้วยกัน

“อยากให้หอศิลป์เสร็จเร็วๆ จะได้ชวนเพื่อน ชวนเด็กๆ มาแสดงงาน มาเล่นสนุกกับศิลปะ” — เป็นทัศนคติที่ลูกศิษย์เล่าถึงเธอเสมอ ศิลปะในสายตาศรีวรรณ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องสูงส่งเกินเอื้อม หากแต่ เฮฮาปาร์ตี้” ให้คนเข้าถึง—คำนี้กลายเป็นทั้งบุคลิกและอัตลักษณ์งานของเธอ

ศิลปิน–ครู–ผู้ก่อตั้ง “พื้นที่สร้างโอกาส”

เมื่อเปิดศรีดอนมูลอาร์ตสเปซ ประตูบานหนึ่งของวงการศิลปะเชียงรายก็เปิดกว้างขึ้นสำหรับ ศิลปินหญิง–ศิลปินรุ่นใหม่–ศิลปินท้องถิ่น ที่มองหาพื้นที่โชว์งานด้วยเงื่อนไขเป็นธรรม การคัดเลือก เป็น 1 ใน 60 ศิลปิน ร่วมเวที Thailand Biennale Chiang Rai 2023 ยิ่งยืนยันมาตรฐานการทำงานของเธอ ขณะเดียวกัน รางวัล “สตรีดีเด่นด้านศิลปะและวัฒนธรรม” ปี 2567 (วันสตรีสากล) สะท้อนบทบาทเชิงสาธารณะที่มากกว่า “ใครโด่งดังคนเดียว”—แต่คือการทำให้ ทั้งชุมชนศิลป์ “ดังไปด้วยกัน”

บนเส้นทางนี้ “ขัวศิลปะ”—สมาคมศิลปินเชียงราย—รับศรีวรรณเป็นเสมือน “ครูใหญ่ใจดี” ที่ทั้งให้คำปรึกษาและเปิดพื้นที่ร่วมทำกิจกรรม เครือข่ายศิลปินแม่ญิงได้รับแรงบันดาลใจจากวิธีคิดแบบ สนุก–จริงใจ–ใส่ใจมืออาชีพ” ทำให้สถานที่ในอำเภอชายแดนเล็กๆ ค่อยๆ กลายเป็นจุดหมายบนแผนที่ศิลปะของภาคเหนือ

เชียงรายกับบทบาท “เมืองศิลปะ” ที่ขยายวง

การสูญเสียครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ เชียงราย เดินเกมส์วัฒนธรรมเชิงรุก—ต่อยอดจากฐาน วัดร่องขุ่น–บ้านดำ–ขัวศิลปะ ไปสู่เครือข่ายอาร์ตสเปซและเทศกาลศิลป์ร่วมสมัยในชุมชนชายแดน การมีนักสร้างสรรค์รุ่นอาวุโสที่ “ย้ายไปอยู่จริง ทำงานจริง” เช่นศรีวรรณ จึงช่วย เติมสมดุลระหว่าง “เมืองท่องเที่ยวศิลปะ” กับ “เมืองที่ศิลปินอยากใช้ชีวิต” ไม่ใช่แค่เมืองที่แวะมาจัดแสดงแล้วกลับ การเกิดและเติบโตของศรีดอนมูลอาร์ตสเปซจึงมีความหมายเชิงโครงสร้าง—เป็น พื้นที่กลาง ที่ชักเชื่อม ชาวบ้าน–นักเรียน–ศิลปิน–นักท่องเที่ยว–ผู้ซื้อผลงาน เข้าด้วยกัน

ในระดับประเทศ กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานเครือข่ายพยายามขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power และ Creative Economy ให้ลงสู่ภูมิภาค การมี “ต้นแบบพื้นที่ที่ขับเคลื่อนด้วยคนจริง” อย่างศรีดอนมูลอาร์ตสเปซทำให้ นโยบายจับต้องได้ ไม่ติดอยู่บนกระดาษ

เรื่องเล่าจากเพื่อนร่วมวงการ “ศิลปะเป็นเรื่องของการมีชีวิต”

เพื่อนร่วมรุ่นและศิษย์จำนวนมากกล่าวตรงกันว่า “พลังงาน” ของศรีวรรณคือ ความเป็นกันเองแบบคนอารมณ์ดี ที่พร้อมเล่าเรื่องชีวิต—ตั้งแต่วาระขำขันอย่าง “น้ำท่วมบ้านที่กรุงเทพฯ ตุ่มเด้งลอย” จนถึงช่วงเวลาที่ตัดสินใจ “แพ็กชิวิต” ขึ้นเหนือ เธอไม่ลืมเพื่อน ไม่ลืมลูกศิษย์ ส่ง “ใส้อั่วเชียงราย” ลงมากรุงเทพฯ เป็นระยะ เหมือนบอกกลายๆ ว่า ศิลปะต้องกินได้ นอนหลับ และหัวเราะได้ จึงจะเดินทางไกล

การยืนอยู่ท่ามกลาง “สายลมที่พัดผ่านร่องน้ำโขง” ในเชียงแสน ทำให้ผลงานของเธอในบั้นปลาย เบาสบายขึ้นแต่คมขึ้น—เบาในเชิงสัมผัส คมในเชิงความหมาย จากภาพพิมพ์และพื้นผิวที่ชวนลูบไล้ สู่การจัดวางที่ยุให้คนดู “ขยับตัวและความคิด” ไปพร้อมกัน

บทกวีโดย ศักดิ์สิริ มีสมสืบ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2559, นักแต่งเพลง, นักเขียนผู้ได้รับรางวัลซีไรต์ ปี 2535

ลำดับเหตุการณ์สำคัญ (ไทม์ไลน์ย่อ)

  • พ.ศ. 2513 : จบการศึกษาโรงเรียนเพาะช่าง
  • ปริญญาตรี–โท : สาขาภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (รับทุนศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี/รางวัลศิษย์เก่าดีเด่น)
  • พ.ศ. 2539 : ได้รับ SPAFA Scholarship อบรมครูศิลปะ ที่มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์
  • ตลอดกว่า 30 ปี : อาจารย์สอนศิลปะในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง
  • ปลายทศวรรษ 2560 : ย้ายพำนักที่ตำบลศรีดอนมูล อ.เชียงแสน เชียงราย
  • ก่อตั้ง “ศรีดอนมูลอาร์ตสเปซ” ด้วยทุนสนับสนุนจากครอบครัว (งบรวมกว่า 2 ล้านบาท)
  • พ.ศ. 2566 : คัดเลือก 1 ใน 60 ศิลปิน จัดแสดงใน Thailand Biennale Chiang Rai 2023
  • พ.ศ. 2567 : รับรางวัล สตรีดีเด่นด้านศิลปะและวัฒนธรรม” วันสตรีสากล
  • 23 ตุลาคม 2568 : ถึงแก่มรณกรรมที่โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย สิริอายุ 71 ปี
  • 1 พฤศจิกายน 2568 : พิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดนิมมานรดี กรุงเทพฯ

ไทม์ไลน์นี้ไม่ได้เป็นเพียง “บันทึกเหตุการณ์” แต่ชี้ให้เห็นการเคลื่อนตัวของศิลปินจาก ศูนย์กลาง (กรุงเทพฯ) ไปสู่ ชายแดน (เชียงราย) และทำให้ชายแดนกลายเป็น ศูนย์กลางใหม่ของโอกาส” สำหรับผู้คนจำนวนมาก

วิเคราะห์ผลกระทบ มรดกเชิงระบบที่ท่านทิ้งไว้

  1. ด้านการศึกษา — เครือข่ายศิษย์–ลูกศิษย์ที่กระจายอยู่ในสถาบันต่างๆ คือทุนมนุษย์ที่ช่วยยกระดับคุณภาพการสอนศิลปะในระยะยาว วิธีสอนของท่าน—ที่ให้ “ทดลองและสนุก”—ทำให้ศิลปะไม่กลายเป็นวิชาแห้งแล้ง แต่เป็น “เครื่องมือคิด” ในชีวิตประจำวัน
  2. ด้านสถาบันศิลปะท้องถิ่น — ศรีดอนมูลอาร์ตสเปซพิสูจน์ว่า อาร์ตสเปซขนาดเล็ก ที่บริหารด้วยความรักและวินัยสามารถยืนระยะได้ หากเชื่อมกับเครือข่ายท้องถิ่น–จังหวัด–ประเทศ มีบทเรียนสำคัญอย่าง การตั้งมาตรฐานงานแสดง/ระบบไฟ/ความปลอดภัย/การสื่อสาร และ การจัดโปรแกรมการเรียนรู้ ที่ดึงคนในชุมชนเข้ามามีส่วน
  3. ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ — การเป็นศิลปินในเมืองท่องเที่ยวชายแดนเปิดทางให้เกิด บริการเชิงประสบการณ์ (experience-based) เช่น เวิร์กช็อปภาพพิมพ์–การเยี่ยมสตูดิโอ–การท่องเที่ยวเชิงศิลป์ ซึ่งช่วยกระจายรายได้สู่ ร้านอาหาร–ที่พัก–ของที่ระลึก และเชื่อมโยงแรงงานสร้างสรรค์รุ่นใหม่ในพื้นที่
  4. ด้านอัตลักษณ์สตรี–ความเท่าเทียม — บทบาทของศรีวรรณในฐานะ ที่ปรึกษากลุ่มศิลปินแม่ญิง และการได้รับยกย่องเป็น สตรีดีเด่น สร้าง “แรงเห็น” ให้สังคมตระหนักว่า ผู้นำทางศิลปะหญิง ขับเคลื่อนระบบนิเวศได้อย่างแข็งแรงไม่แพ้ใคร

ความท้าทายหลังคำอำลา จะรักษา “จิตวิญญาณของพื้นที่” อย่างไร

หลังพิธี ส่งต่อมาสู่คำถามสำคัญว่า ศรีดอนมูลอาร์ตสเปซ จะเดินต่ออย่างไรให้คง “จิตวิญญาณ” ตามที่ผู้ก่อตั้งวางไว้ ประเด็นที่ควรจับตา ได้แก่

  • การสืบทอดการบริหาร: ตั้งคณะทำงาน/มูลนิธิ/กติกาโปร่งใส เพื่อให้การคัดเลือกนิทรรศการ/การใช้พื้นที่ยังคงมาตรฐาน
  • ฐานทุนและรายได้: พัฒนารูปแบบ membership–friends of art space–crowdfunding นิทรรศการ เพื่อไม่พึ่งพิงงบประมาณแหล่งเดียว
  • เครือข่ายกับสถาบันการศึกษา: ทำ MOU กับมหาวิทยาลัย/โรงเรียนในภาคเหนือเพื่อแลกเปลี่ยนศิลปิน–นักศึกษา–อาจารย์
  • ทุนทรัพย์สินทางปัญญา: เก็บข้อมูลผลงาน–จดหมายเหตุ–บทสัมภาษณ์ของศรีวรรณให้เป็น คลังความรู้ (archive) สำหรับนักวิจัย–นักเรียน
  • ความปลอดภัยและมาตรฐาน: ยกระดับระบบไฟ แสง เสียง พื้นที่คนพิการ ให้รองรับนิทรรศการร่วมสมัยอย่างมืออาชีพ

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่งานง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปหากยึดหลักที่ท่านสอนไว้—ให้พื้นที่เป็น “ของทุกคน” ที่เชื่อในพลังของศิลปะ

เสียงสะท้อนจาก “ขัวศิลปะ” พลังของความร่วมมือจังหวัด–ประเทศ

การที่คณะศิลปินเชียงรายนำโดย อาจารย์เฉลิมชัย และเครือข่าย “ขัวศิลปะ” เดินทางมาร่วมพิธีพร้อมผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรม สะท้อนความเป็น พหุศูนย์” ของวงการศิลปะไทย วันนี้ “กรุงเทพฯ” ไม่ใช่ศูนย์กลางเดียวอีกต่อไป เมืองศิลป์อย่างเชียงรายกำลังเป็น รากฐาน ที่ปั้นคน–ปั้นงาน–ปั้นพื้นที่ และส่ง “พลังกลับ” เข้าสู่ประเทศ ผ่านเทศกาลนานาชาติ การท่องเที่ยวสร้างสรรค์ และตลาดศิลปะที่ขยายตัวต่อเนื่อง

ในเชิงสัญลักษณ์ พิธีพระราชทานเพลิงศพครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียง “การอำลา” แต่คือ “พิธีส่งต่อธง” ให้รุ่นต่อไป—ธงที่เขียนด้วยลายมือของศรีวรรณว่า ศิลปะคือความสุขร่วมกัน”

ความทรงจำที่มีชีวิต

เมื่อเปลวเพลิงดับลง เถ้าถ่านค่อยๆ เย็นตัว แต่ “ความทรงจำ” ของผู้คนที่ได้สัมผัสศรีวรรณยังอุ่นอยู่ เธออาจไม่ใช่ศิลปินที่วิ่งตามแสงแฟลช หากแต่เป็นคนที่ เปิดไฟสตูดิโอเป็นคนแรกและปิดเป็นคนสุดท้าย คอยถามไถ่ลูกศิษย์ว่า “วันนี้สนุกไหม” มากกว่าถามว่า “ขายได้กี่ชิ้น” ความช่างคุย ช่างหัวเราะ และความรักในความเป็น “เฮฮาปาร์ตี้” ทำให้หลายคนกล้าคลี่ “ผ้าขาว” ชีวิตออกมาแต้มสี

มรณกรรมของเธอจึงไม่ใช่วงเล็บปิด หากเป็น “จุดเว้นวรรค” ให้ทุกคนได้หายใจ และเดินหน้าต่อในจังหวะที่มั่นคงกว่าเดิม—เดินบนถนนที่เธอช่วยลาดปูไว้ จาก เพาะช่าง–พีระศรี สู่ แม่สาย–ศรีดอนมูล ถนนสายนี้ยังยาวไกล และคนเดินยังมากขึ้นเรื่อยๆ

ข้อมูลสำคัญ

  • พิธีพระราชทานเพลิงศพ รองศาสตราจารย์ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ จัดขึ้นวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เวลา 17.00 น.วัดนิมมานรดี พระอารามหลวง กรุงเทพฯ
  • ผู้ร่วมพิธีจากเชียงราย อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, อ.สมลักษณ์ ปันติบุญ (ศิลปินแห่งชาติ 2567), อ.ทรงเดช ทิพย์ทอง, อ.สมพงษ์ สารทรัพย์, อ.ชาตะ ใหม่วงค์, นายนิพนธ์ ใจนนท์ถี นายกสมาคมขัวศิลปะ และคณะศิลปินเชียงราย
  • ผู้แทนภาครัฐ: นางเกษร กำเหนิดเพ็ชร ผอ.สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ทำหน้าที่ประธานในพิธี (ผู้แทนปลัดกระทรวงวัฒนธรรม)
  • ประวัติการศึกษา–ผลงาน: จบ เพาะช่าง (พ.ศ. 2513), ปริญญาตรี–โท ภาพพิมพ์ ศิลปากร, ทุน SPAFA (พ.ศ. 2539), เหรียญรางวัล ศิลปกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 23–24, สอนมหาวิทยาลัย กว่า 30 ปี
  • ก่อตั้ง ศรีดอนมูลอาร์ตสเปซ ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ด้วยทุนร่วม กว่า 2 ล้านบาท ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 60 ศิลปิน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 และรางวัล สตรีดีเด่นด้านศิลปะและวัฒนธรรม 2567
  • ถึงแก่มรณกรรมวันที่ 23 ตุลาคม 2568โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย สิริอายุ 71 ปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ขัวศิลปะ (สมาคมศิลปินเชียงราย)
  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • มหาวิทยาลัยศิลปากร/โรงเรียนเพาะช่าง
  • ศรีดอนมูลอาร์ตสเปซ, อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
  • Thailand Biennale Chiang Rai 2023
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ศิลปะเพื่อแผ่นดิน” เชียงราย พู่กันและหัวใจประชาชนหลอมรวมเป็นพลังใจ

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” เชียงราย เมื่อพู่กันสีและหัวใจประชาชนหลอมรวมเป็นพลังใจให้ผู้พิทักษ์อธิปไตย

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – บ่ายวันเสาร์ที่แสงเหนือดอยสะท้อนกระจกใสของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย พื้นที่ชั้นโถงกลางถูกเปลี่ยนเป็นแกลเลอรีชั่วคราว ผู้คนหลากวัยทยอยยืนล้อมกรอบภาพที่สะท้อน “ชีวิตทหาร” ในมุมที่ไม่ค่อยถูกเล่า—สีสันของเหงื่อ, ความอ่อนโยนของการโอบเด็กชายแดน, ประกายตาของคนเฝ้าดินแดนยามค่ำคืน งานที่มีชื่อว่า ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ โดย พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เป็นประธานเปิดงาน ขนานไปกับเสียงปรบมือยาวของชาวเชียงราย นักท่องเที่ยว และคณะศิลปินที่มารวมตัวกันแน่นขนัด

ภาพในพิธีเปิดชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อบุคคลสำคัญจากแวดวงศิลปะเชียงรายก้าวขึ้นเวที—อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ผู้ริเริ่มแนวคิดและพลังใจให้เกิดกิจกรรม, อาจารย์นคร พงษ์น้อย, อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการระดมเครือข่ายศิลปินทั่วประเทศ พร้อมตัวแทนหน่วยงานรัฐ–เอกชน โดยเฉพาะ นายสายัญห์ นักบุญ ผู้อำนวยการเซ็นทรัล เชียงราย ผู้สนับสนุนพื้นที่จัดแสดงให้ศิลปะ “ออกมาหาผู้คน” มากกว่าจะรอให้ผู้คน “เดินเข้าหาศิลปะ” นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าที่เชื่อม พลังนุ่ม” ของศิลปะ เข้ากับ ภารกิจเข้ม” ของการพิทักษ์ชายแดน อย่างงดงาม

ศิลปะในฐานะ “พลังใจสาธารณะ” เหตุผลและเป้าหมายของงาน

บนเวทีเปิดงาน พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ สะท้อนเจตนารมณ์ของผู้จัดอย่างตรงไปตรงมา “กิจกรรมศิลปะเพื่อแผ่นดินจัดขึ้นเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ” พร้อมย้ำความสำคัญของการยกย่องบทบาทศิลปินเชียงราย ซึ่งมีชื่อเสียงระดับประเทศในฐานะผู้ร่วมขับเคลื่อน “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ด้วยภาษาแห่งความงาม

หัวใจของงาน จึงไม่ได้มีเพียงการจัดแสดงผลงาน แต่คือการ ส่งต่อกำลังใจ จากพลเมืองสู่ทหารกล้าที่ยืนอยู่ด่านหน้า สื่อสารด้วยภาพที่มีทั้งแววตา ความหวัง และความอ่อนโยน—ภาพทหารในชุดสนามที่ห่มแสงเย็นของป่าชายแดน ภาพมือที่ยื่นขนมให้เด็กน้อยโรงเรียนตะเข็บแดน ภาพธงชาติที่พริ้วไหวคู่ภูมิประเทศขรุขระ เพื่อนิยาม “อธิปไตย” ให้จับต้องได้และเดินทางสู่ใจผู้ชม

งานครั้งนี้ยังสะท้อน “โมเดลการมีส่วนร่วมแบบเชียงราย” จังหวัดที่ขึ้นชื่อว่ามีชุมชนศิลปินเข้มแข็ง—จากวัดร่องขุนสู่ขัวศิลปะ จนถึงสตูดิโอเล็กๆ ในชุมชน ซึ่งต่างหลอมรวมความคิดสร้างสรรค์ให้เป็น Soft Power ที่มีรากในท้องถิ่น และนำมาสนับสนุนภารกิจของรัฐด้านความมั่นคงในภาคประชาชนได้อย่างพอดี

เชียงราย เมืองศิลปิน” พบ “เมืองชายแดน” เมื่อสองภูมิทัศน์มาเจอกัน

เชียงราย มีเอกลักษณ์ของเมืองศิลปะและเมืองชายแดนอยู่ในตัว—เมืองศิลปะ ด้วยคลื่นผลงานร่วมสมัยที่สร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง และ เมืองชายแดน ด้วยภูมิศาสตร์เชื่อมลุ่มน้ำโขง–สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งการดูแลความสงบเรียบร้อยคือพันธกิจประจำวันของทหารและหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ความงดงามของงานครั้งนี้อยู่ที่ การทำให้สองภูมิทัศน์มา “พยุงกัน” ไม่ใช่เดินคนละทาง

บนผนังแกลเลอรีชั่วคราว ภาพชุด “ทหาร–ประชาชน–ชุมชน” กำลังเล่าเรื่องว่า ความมั่นคงไม่ใช่เพียงรั้วลวดหนามหรือป้อมยาม แต่คือ ความไว้วางใจ ที่หล่อเลี้ยงกันได้ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์และการสื่อสารที่ทำให้คนตัวเล็กๆ รู้สึกว่า “บ้านมีคนดูแล” ขณะเดียวกันศิลปินเองก็ได้ย้ำว่า “ศิลปะไม่ได้มีไว้เพียงประดับเมือง แต่มีไว้ ประคองใจเมือง” ประโยคนี้กลายเป็นคำอธิบายสั้นๆ ของความหมายทั้งงาน

เสียงสะท้อนจากผู้มีส่วนร่วมประเด็นเด่นและประเด็นรอง

  • พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ระบุว่า งานนี้เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน และหวังให้กำลังพลรับรู้ว่าคนเมืองยืนอยู่ข้างเขา “กองทัพบกธำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิของแผ่นดินไทย และเราต้องการให้ทุกคนเห็นภารกิจนั้นผ่านสายตาศิลปิน”
  • อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เน้นว่า ศิลปินเชียงรายมีหน้าที่ต่อสังคมไม่แพ้หน้าที่ต่อศิลปะ “ศิลปะต้องออกไปอยู่ท่ามกลางผู้คน จุดประกายความภาคภูมิใจในผืนแผ่นดิน และช่วยเยียวยาความแตกต่างให้กลับมาปรองดอง”
  • อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ในนามสมาคมขัวศิลปะ อธิบายบทบาทเครือข่าย “เราระดมผลงานจากศิลปินหลายรุ่น–หลายแนวทาง เพื่อให้เห็นว่าความต่างอยู่ร่วมกันได้บนเป้าหมายเดียวคือ กำลังใจให้ชายแดน
  • นายสายัญห์ นักบุญ ผู้แทนภาคเอกชน ระบุเหตุผลของการเปิดพื้นที่สาธารณะกลางศูนย์การค้า “เพราะอยากให้คนทั่วไป—โดยเฉพาะเด็กและนักท่องเที่ยว—เข้าถึงศิลปะได้ง่าย พร้อมรับรู้งานของทหารที่พวกเขาอาจไม่เคยเห็นใกล้ๆ”

ประเด็นเด่น คือการใช้พื้นที่สาธารณะให้ศิลปะเข้าถึงมวลชน ก่อให้เกิด “เศรษฐกิจสร้างสรรค์ระดับจุลภาค” ทันที: ผู้ชมเดินทางมาเพิ่มขึ้น ร้านค้า–คาเฟ่ท้องถิ่นได้ลูกค้าเพิ่ม และเมล็ดพันธุ์แห่งความภูมิใจในท้องถิ่นถูกหว่านในใจเยาวชน ส่วน ประเด็นรอง ที่ผู้ร่วมงานสนทนากันคือความต่อเนื่อง—ทำอย่างไรให้แรงกระเพื่อมไม่หยุดที่พิธีเปิด แต่ต่อยอดเป็นกิจกรรมหมุนเวียนตลอดปี และขยายผลไปยังโรงเรียน–ชุมชนชายแดนที่ต้องการ “พื้นที่ศิลปะ” เท่าๆ กับ “สนามกีฬา”

โครงสร้างงาน จากภาพบนผนังสู่บทสนทนากลางเมือง

แม้ผู้จัดจะไม่ได้ตั้งกรอบตายตัว แต่เมื่อเดินชมโดยรอบจะเห็นแนวคิด 3 ชั้นที่ซ่อนอยู่ในผลงานและการจัดแสดง

  1. ชั้นของหน้าที่ – ภาพทหารในชุดสนาม, ภาพลาดตระเวน, ภาพช่วยเหลือชุมชน ภาพเหล่านี้ลดช่องว่างระหว่าง “เครื่องแบบ” กับ “ประชาชน” ให้เหลือเพียงความเป็นมนุษย์
  2. ชั้นของความทรงจำ – สีสันที่ร้อน–เย็นสลับกันเหมือนภูมิอากาศชายแดน ถ่ายทอดความรู้สึกของ “คืนที่ยาวนาน” และ “เช้าที่ทุกคนรอ” ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่ผู้ชมพกกลับบ้านได้
  3. ชั้นของการเชื่อมโยง – การจัดแสดงใจกลางเมืองและการเปิดกว้างให้ถ่ายภาพ–แบ่งปันบนสื่อสังคม สร้างบทสนทนาใหม่ในวงกว้างว่า “กำลังใจต่อชายแดน” ไม่ใช่หน้าที่ของทหารหรือรัฐเท่านั้น แต่คือ หน้าที่พลเมืองร่วมกัน

น้ำหนักเชิงนโยบายท้องถิ่น ทำไมงานนี้ “สำคัญกว่าโชว์”

เชียงรายเป็นจังหวัดที่ “ศิลปินมากที่สุด” ตามคำที่คนในวงการศิลปะมักพูดถึงกัน บวกกับสถานะจังหวัดชายแดน การผสานสองคุณลักษณะนี้จึงเป็น นโยบายเชิงวัฒนธรรมที่จับต้องได้—ศิลปะไม่เพียงเพิ่มความสวยงามให้เมือง แต่ช่วยยกระดับ ความรู้สึกเป็นเจ้าของเมือง (Sense of Belonging) ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับความสงบเรียบร้อยของสังคม

หากมองในเชิง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ งานลักษณะนี้ยังเป็น “แพลตฟอร์มฝึกงาน” สำหรับศิลปินรุ่นใหม่ ให้ได้สัมผัสกระบวนการทำงานจริง ตั้งแต่การคัดเลือกผลงาน การสื่อสารกับผู้ชมที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ–เอกชน ทั้งหมดนี้ช่วยต่อสายใยอาชีพ และเพิ่มโอกาสเศรษฐกิจฐานรากให้ชุมชนศิลปินต่อเนื่อง

บทเรียนจากวันเปิดงานสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้คนดู “อยู่ต่อ” และ “บอกต่อ”

ในยุคที่ผู้ชมตัดสินใจภายในไม่กี่วินาที งานที่ตั้งใจ “ให้กำลังใจชายแดน” จึงต้องใส่ใจรายละเอียดระดับไมโครเพื่อให้ ประสบการณ์โดยรวม สมบูรณ์—ป้ายสองภาษา, เสียงประกอบที่ไม่รบกวน, มุมให้เด็กนั่งระบายสี, QR สำหรับอ่านเรื่องราวเบื้องหลังผลงาน, ช่องทางร่วมเขียน “จดหมายถึงทหาร” แล้วส่งถึงหน่วยชายแดน สิ่งเล็กๆ เหล่านี้ทำให้ผู้ชม ใช้เวลาเพิ่มขึ้น (อยู่ต่อ) และ อยากแชร์ (บอกต่อ) ซึ่งคือ “ตัวคูณกำลังใจ” ให้เดินทางจากกลางห้างสรรพสินค้าไปสู่แนวชายแดนได้จริง

ขยายความหมายของ “กำลังใจ” ให้กว้างกว่าพื้นที่จัดงาน

แม้งานครั้งนี้จะสร้างแรงสะเทือนได้ชัดเจน แต่คำถามต่อไปคือ ความยั่งยืน ผู้มีส่วนร่วมหลายฝ่ายจับมือกันหยิบยกแนวคิดที่ทำได้ทันที เช่น

  • นิทรรศการสัญจร นำบางส่วนของผลงานไปจัดที่โรงเรียนแนวชายแดน–สถานีรถไฟเชียงราย–สนามบิน เพื่อให้ “พลเมือง–นักเดินทาง” ได้เห็นเรื่องราวเดียวกัน
  • เวิร์กช็อปศิลปะกับเยาวชนชายแดน ให้ศิลปินสลับผลัดไปสอนศิลปะขั้นพื้นฐาน และเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ถ่ายทอดภาพบ้านเกิดในมุมของตนเอง
  • คลังภาพสาธารณะ (Open Gallery Online) สแกนผลงานเป็นดิจิทัลพร้อมคำบอกเล่าจากศิลปิน ให้สื่อ–ครู–นักเรียนเข้าถึงได้โดยไม่ติดผนังห้าง
  • จดหมายถึงชายแดน ต่อเนื่องเป็นกิจกรรมประจำเดือน รวบรวมคำให้กำลังใจไปถึงหน่วยปฏิบัติการจริง

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภารกิจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่เป็น พันธกิจร่วม” ที่ทำให้คำว่า “เพื่อแผ่นดิน” จากชื่อกิจกรรมลงหลักปักฐานในชีวิตประจำวันของผู้คน

เมื่อสีพู่กันแต้มบนผืนแผ่นดินเดียวกัน

ภาพสุดท้ายก่อนปิดงานวันแรก คือวงกลมเล็กๆ ของนักท่องเที่ยวที่หยุดยืนหน้าภาพทหารกางเสื้อคลุมให้เด็กชายที่ตัวสั่นเพราะสายลมหนาว ทุกคนเงียบไปชั่วครู่ก่อนมีใครสักคนกระซิบว่า “สวย…และอบอุ่น” นี่แหละคือ ภาษากลาง ของศิลปะ—ไม่ดัง ไม่ดุ แต่กระทบใจลึก

ศิลปะเพื่อแผ่นดิน กำลังใจสู่ชายแดน” จึงไม่ได้เป็นเพียงนิทรรศการ หากเป็น เครื่องเตือนใจร่วมกัน ว่า ในดินแดนที่ชื่อว่าไทย ยังมีผู้คนสวมเครื่องแบบยืนเฝ้าแนวชายแดน และยังมีพลเมือง—ศิลปิน–นักธุรกิจ–ประชาชน—คอยส่งกำลังใจไปให้ พู่กันหนึ่งด้ามอาจหยุดกระสุนไม่ได้ แต่สามารถ เยียวยาหัวใจ ที่ต้องยืนรับแรงสั่นสะเทือนของหน้าที่ได้อย่างงดงาม และเมื่อหัวใจเข้มแข็ง เมืองก็เข้มแข็ง—นี่คือความหมายที่เชียงรายส่งออกไปสู่ประเทศทั้งประเทศในวันนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) 
  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อาจารย์เฉลิมชัยหนุนเต็มที่ นิทรรศการ ‘Small Is All’ เชื่อมศิลปะสู่ชุมชน

เชียงรายจัดนิทรรศการศิลปะ “Small Is All” ดึงพลังงานศิลปินท้องถิ่น ปลุกกระแสงานศิลป์สู่สายตาสาธารณชน ศิลปินชื่อดัง อาจารย์เฉลิมชัย – สุวิทย์ ใจป้อม ร่วมส่งแรงบันดาลใจ

เชียงราย, 22 มิถุนายน 2568 – บรรยากาศงานศิลปะในจังหวัดเชียงรายยังคงคึกคักไม่เสื่อมคลาย ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย โดยนางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานเปิดนิทรรศการศิลปะ “Small Is All” ณ ชั้น G Central Art Gallery ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ภายใต้แนวคิด “เล็กแต่ครบ – ทุกอย่างซ่อนอยู่ในสิ่งเล็ก” เพื่อแสดงพลังสร้างสรรค์ของศิลปินและเยาวชนท้องถิ่น ภายในงานได้รับความสนใจจากคณะผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ นักเรียน และประชาชน เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

เวทีเชื่อมโยงงานศิลป์-ชีวิตประจำวัน ดึงศิลปินระดับประเทศรวมพลัง


ในพิธีเปิดได้รับเกียรติจากศิลปินแห่งชาติและบุคคลสำคัญในวงการศิลปะ อาทิ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติผู้เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจของศิลปินล้านนา อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ตัวแทนกลุ่มศิลปิน “กระชากเส้นเล่นสี” นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นายโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย และนายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ต่างมาร่วมสะท้อนคุณค่าและเป้าหมายของงานศิลป์ในสังคมเชียงรายอย่างอบอุ่น

นางรัตนา จงสุทธานามณี กล่าวว่า นิทรรศการ “Small Is All” ถือเป็นเวทีเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงงานศิลป์สู่ผู้คนในชีวิตประจำวัน สะท้อนความภาคภูมิใจในฐานะคนเชียงรายที่มีศิลปินรุ่นใหม่และศิลปินระดับประเทศอยู่ร่วมกันอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ที่ทุ่มเทสร้างสรรค์ผลงานศิลป์ซึ่งกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองเชียงรายทั้งวัดร่องขุ่นและหอนาฬิกาเมืองเชียงราย ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างศิลปิน ผู้นำท้องถิ่น และชุมชน ส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นหมุดหมายด้านศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญในระดับประเทศและนานาชาติ

พลังศิลปะจากรุ่นสู่รุ่น – “เล็กแต่ครบ” ที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจผู้สร้าง


อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เผยว่า งานศิลปะครั้งนี้เป็นกิจกรรมดีที่เชื่อมผู้คนกับงานศิลป์ในระดับ “ใกล้ตัว” ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างแท้จริง แม้จะเป็นผลงานขนาดเล็ก แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง สะท้อนความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของศิลปินรุ่นใหม่และเยาวชน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้แสดงศักยภาพและเข้าร่วมกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจต่อยอดสู่การเป็นศิลปินในอนาคต

ด้านอาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม ตัวแทนกลุ่มศิลปิน “กระชากเส้นเล่นสี” เน้นย้ำว่า ผลงานชิ้นเล็กเหล่านี้ไม่ใช่แค่การแสดงออกทางศิลปะเท่านั้น แต่คือการสื่อสารความคิดและความฝันของแต่ละบุคคลสู่สายตาผู้ชม ภายในงานมีผลงานมากกว่า 300 ชิ้นจากศิลปินหลากวัย ทุกคนที่สนใจสามารถส่งผลงานขนาดเล็กเข้าร่วมได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะผลงานของเด็กพิเศษที่เข้ามาเติมเต็มความงามให้กับงานศิลป์ในนิทรรศการนี้

นายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย กล่าวถึงบทบาทของศูนย์ฯ ที่สนับสนุนศิลปินท้องถิ่นในการนำเสนอผลงานแก่สาธารณชน พร้อมสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ใหม่ๆ ให้ศิลปินได้เติบโต

สร้างแรงบันดาลใจศิลปินรุ่นใหม่ – เชื่อมชุมชนผ่านศิลปะ


บรรยากาศในวันเปิดนิทรรศการอบอวลไปด้วยความอบอุ่น ผู้ร่วมงานได้เดินชมผลงานศิลปะขนาดเล็ก หลากหลายเทคนิค จากศิลปินทั้งเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ ไปจนถึงศิลปินอาชีพ ก่อให้เกิดบทสนทนาใหม่ ๆ เกี่ยวกับคุณค่าและความหมายของศิลปะในชีวิตและสังคมปัจจุบัน งาน “Small Is All” กลายเป็นพื้นที่ที่ทุกคนเข้าถึงได้ สะท้อนว่า “ศิลปะอยู่ในทุกสิ่งและทุกคนคือศิลปิน”

บทสรุป – ศิลปะเชียงรายคือพลังสร้างสรรค์สังคม


นิทรรศการ “Small Is All” ไม่ได้เป็นเพียงเวทีจัดแสดงผลงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่บ่มเพาะแรงบันดาลใจสำหรับศิลปินรุ่นใหม่ ผลักดันศิลปะเป็นพลังขับเคลื่อนเชียงรายในฐานะเมืองสร้างสรรค์และแลนด์มาร์คด้านศิลปะของภาคเหนืออย่างแท้จริง

สอบถามรายละเอียดนิทรรศการและร่วมสนับสนุนศิลปะเชียงราย


นิทรรศการ “Small Is All” เปิดแสดงตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2568 ณ ชั้น G Central Art Gallery ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  • กลุ่มศิลปิน “กระชากเส้นเล่นสี”
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

งานวิ่งรูปแบบ ART NIGHT RUN BIENNALE CHIANGRAI 2023

 
เมื่อค่ำวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ที่หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมงานวิ่ง “ART NIGHT RUN BIENNALE CHIANGRAI 2023” โดยมีอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ นายสุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะเชียงราย นายประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย นางชญาณ์นันท์ เชื้อศิริถาวร ผู้อํานวยการสํานักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย นำหัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สื่อมวลชน และนักวิ่งกว่าพันคนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก
 
 
การวิ่งในครั้งนี้สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสมาคมขัวศิลปะ จัดโครงการพัฒนาเมืองกีฬา ( Sports City ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งานวิ่ง “ Art Night Run Biennale Chiang Rai 2023 “ เพื่อสร้างภาพลักษณ์เมืองในรูปแบบ Sports Tourism ตามนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่ได้ประกาศให้จังหวัดเชียงรายเป็นเมืองกีฬา Chang Rai Sports City ร่วมส่งเสริมการประชาสัมพันธ์มหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนรายได้ทั้งหมดจะมอบเป็นทุนให้กับโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กองทุนสนับสนุนการป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันจังหวัดเชียงราย และมูลนิธิเพื่อการพัฒนากีฬาจังหวัดเชียงราย
 
 
ภายในงานนักวิ่งทั้งหมดรวมตัวที่จุดปล่อยตัว ที่หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย โดยการวิ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะทางคือ ระยะทาง 3 กิโลเมตร ระยะทาง 6 กิโลเมตร และระยะทาง 12 กิโลเมตร ที่หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย โดยวิ่งไปตามเส้นทาง และทำกิจกรรมร่วมกันจุดที่ 1 บริเวณขัวศิลปะ (บ้านขัวแคร่) และวิ่งต่อไปตามเส้นทางร่วมทำกิจกรรมจุดที่ 2 บริเวณสวนสาธารณะริมน้ำกก จากนั้นวิ่งตามเส้นทางเข้าสู่เส้นชัย ณ หอศิลป์ร่วมสมัยเมืองเชียงราย ซึ่งนักวิ่งจะได้สัมผัสบรรยากาศที่เย็นสบาย พร้อมได้บันทึกภาพไฟที่สวยงามตลอดเส้นทางการแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีโซนกิจกรรมศิลปะ Body paint ถนนศิลปะร้านค้าศิลปะ DIY ร้านอาหารดังในเชียงรายกว่า 40 ร้าน, ลานอาหารเครื่องดื่ม และชมฟรีคอนเสิร์ตอีกด้วย
 
 
ส่วนด้านการแข่งขันประเภทระยะทาง 3,6 และประเภทระยะทาง 12 กิโลเมตร จะเป็นการแข่งขันแบบสนุกสนาน วิ่งไป ชมงานศิลป์ไป ไม่มีการชิงรางวัล ส่วนด้านประเภทการวิ่งระยะทาง 12 กิโลเมตร Overall เป็นการชิงถ้วยรางวัลสุดพิเศษที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ และอาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะเชียงราย ซึ่งมีทั้งหมด 6 รางวัล ประเภท 12 กิโลเมตร Overall มอบให้ชาย – หญิง 3 อันดับแรก ที่วิ่งเข้าเส้นชัย สำหรับเหรียญรางวัลที่สามารถหมุนได้ โดยสีดำเป็นตัวแทนอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ และสีขาวเป็นตัวแทนอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ 
 
 
ซึ่งนักวิ่งทุกคนจะได้รับหลังจากเสร็จสิ้นงานผ่านทางไปรษณีย์ หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/ArtNightRunChiangraiBiennale
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อ.เฉลิมชัย รีเทิร์นช่วยงาน เบียนนาเล่ จ.เชียงราย

 
วันนี้ (4 ต.ค.) ที่ศาลาธรรม วัดร่องขุ่น ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นตัวแทนหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ไทยแลนด์เบียนนาเล่ เชียงราย 2023 ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดที่ จ.เชียงราย ระหว่างเดือน ธ.ค.2566-เม.ย.2567 ได้เข้าพบกับอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิติพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม นายกสมาคมขัวศิลปะ จ.เชีงราย เพื่อขอให้อาจารย์เฉลิมชัยได้กลับมาร่วมเตรียมความพร้อมและจัดงานดังกล่าวให้สำเร็จ
 
 
นายประสพ เรียงเงิน ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย แจ้งว่าทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้องล้วนขอให้อาจารย์เฉลิมชัยกลับมาด้วย ซึ่งทางอาจารย์เฉลิมชัยได้ตอบรับด้วยดีและรับพวงมาลัยดอกไม้พร้อมระบุว่าเป็นความตั้งใจของตนที่จะกลับมาช่วยหลังจากที่มีเรื่องการเมืองจนทำให้มีการเปลี่ยนแปลง และเห็นว่าถึงเวลาที่จะกลับมา
 
 
อาจารย์เฉลิมชัย กล่าวว่า ผู้คนอาจจะคิดว่าศิลปะก็เหมือนๆ กันทั่วไป แต่ตนอยากบอกว่าศิลปะก็เหมือนกับแฟชั่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้วแต่ยุคสมัยและมีระดับ เช่น แฟชั่นชั้นนำ ฯลฯ ซึ่งการจัดงานเบียนนาเล่คือการนำศิลปะแฟชั่นชั้นนำ และล่าสุด รวมทั้งคัดสรรที่สุดยอดที่สุดของโลกมาจัดแสดง โดยมีศิลปะชั้นยอดจากประเทศไทยจากศิลปินในประเทศมาจัดแสดง 20 คน และศิลปินชั้นนำจากทั่วโลกอีก 40 คน ซึ่งตนยืนยันแต่ละคนล้วนมีความสุดยอด ล้ำยุค และล้ำหน้า จึงขอเชิญชวนไปงานกันได้ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.2566-เม.ย.2567
 
 
“มาเชียงรายแล้วได้ความรู้สึกดีๆ บรรยากาศดีๆ ได้เสพงานศิลปะชั้นสูงสุดยอดระดับโลกที่นี่ โดยที่วัดร่องขุ่นจะมี 2 ชิ้น และที่หอศิลป์ที่ผมสร้างอย่างใหญ่โตจะมีงานศิลปะเยอะมากรวมทั้งยังมีตามอำเภอต่างๆ อีก ดังนั้นงานนี้หายห่วงแน่นอน ผมมาช่วยอย่างเต็มตัวแล้วอุตส่าห์มาเชิญกัน หลังจากผมเครียดจนผมไม่เอาด้วยแต่แท้ที่จริงอยู่เบื้องหลังตลอด พอผมดูแล้วว่าอยู่เบื้องหลังมันไปไม่รอดแน่ก็ขอมาอยู่เบื้องหน้าก็แล้วกัน 
 
ผมเป็นคนรักเชียงรายอยู่แล้ว ผมคิดว่ายังไม่สายเกินไป” อาจารย์เฉลิมชัย กล่าวและว่าผู้ที่มีความรู้ของศิลปินในโลกจะคัดสรรศิลปินที่สุดยอดจากหลากหลายที่ในโลก เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน อาร์เจนติน่า บังกาเลีย คาซัคสถาน สหรัฐอเมริกา บราซิล ฯลฯ แต่ละคนจะจัดแสดงผลงานศิลปะที่แปลกใหม่ทุกแนว เกิดจากความคิด งดงาม หลากหลาย ปรัชญา เนื้อหา แปลกใหม่ ฯลฯ อย่างที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน
 
อาจารย์เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการจัดงานครั้งนี้มากถึง 100 กว่าล้านบาท และจะมีผู้ชื่นชอบงานศิลปะทั่วโลกไปเยือนเพื่อดูผลงานศิลปินที่ตนชื่นชอบซึ่งจะทำให้เกิดเงินสะพัดอย่างมหาศาล แม่แต่ศิลปิน 40 คน ก็ล้วนมีผู้ติดตามที่ร่ำรวย การจัดงานจึงกลายเป็นซอร์ฟพาวเวอร์อย่างแท้จริง ส่วนคนไทยสามารถดูเพื่อภูมิรู้ การศึกษา ความสุนทรยภาพ ยกระดับความรู้สึก นำพาไปสู่การตื่นตัวทางศิลปะ ฯลฯ เพื่อให้ทัดเทียมกับอารยประเทศต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
GALLERY

อาจารย์เฉลิมชัยฯ ประเดิมถ่ายรูปตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าขัวศิลปะ

 
อาจารย์เฉลิมชัยฯ ประเดิมถ่ายรูปตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าขัวศิลปะ ร่วมประชาสัมพันธ์งานศิลปะระดับโลกของเชียงราย

The open world “เปิดโลก”
มหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ ไทยแลนด์เบียนนาเล่เชียงราย 2023 Thailand Biennale, Chiang Rai 2023

9 ธันวาคม 2566 – 30 เมษายน 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ขัวศิลปะ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME