Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เที่ยว-วิ่ง-ดูดาว 4 ภู 2 แผ่นดิน! เชียงรายใช้ Astro Tourism ควบคู่การสร้างแนวกันไฟ สู้ PM 2.5 ชายแดน

อบจ.เชียงรายผนึก 4 อำเภอชายแดน เปิดกลไก “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” วางรากฐานจัดการหมอกควันข้ามแดน ควบคู่การท่องเที่ยวธรรมชาติ–วัฒนธรรมไทย–ลาว

เชียงราย, 12 ธันวาคม 2568 – ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอขุนตาล จ.เชียงราย บรรยากาศการประชุมเชิงปฏิบัติการในเช้าวันศุกร์มิได้เป็นเพียงเวทีราชการทั่วไป หากแต่เป็น “วงคุยใหญ่” ที่มีเดิมพันเป็นคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสี่อำเภอชายแดน และภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาเพื่อนบ้าน เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย ดำเนินการประชุมหารือกรอบความร่วมมือการบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ 4 ภายใต้โครงการ “กลไกความร่วมมือขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy)”

การประชุมครั้งนี้มี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วยนายอดิเรก ไลไธสง นายอำเภอขุนตาล ผู้บริหารและผู้แทนจากทั้ง 4 อำเภอชายแดน ได้แก่ อำเภอเชียงของ อำเภอเวียงแก่น อำเภอเทิง และอำเภอขุนตาล รวมถึงผู้แทนหน่วยงานความมั่นคง ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น กรมป่าไม้ อุทยานแห่งชาติ ภาคประชาสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ขณะที่ฝั่ง อบจ.เชียงราย “นายก นก” อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะเจ้าหน้าที่กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าร่วมและนำข้อเสนอจากระดับพื้นที่เข้าสู่โต๊ะหารือ

การรวมตัวของภาคส่วนต่าง ๆ ในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการสรุปผลประชุมครั้งที่ผ่านมา หากแต่เป็นการ “ตั้งเข็มทิศร่วมกัน” ให้กับกลไกความร่วมมือชายแดน ซึ่งจะต้องรับมือกับปัญหาไฟป่าและหมอกควันข้ามแดนที่ซับซ้อนขึ้นทุกปี ทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ เศรษฐกิจการท่องเที่ยว และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ภูมิทัศน์หมอกควันชายแดน ปัญหาข้ามพรมแดนที่ไม่มีรั้วกั้น

พื้นที่ชายแดนตอนบนของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะสี่อำเภอเชียงของ เวียงแก่น เทิง และขุนตาล เป็นทั้ง “ประตูเชื่อมเศรษฐกิจไทย–ลาว–เมียนมา” และ “แนวหน้า” ที่ต้องเผชิญกับปัญหาไฟป่า–หมอกควันซ้ำซากในช่วงฤดูแล้ง ทุกครั้งที่ภาพหมอกควันหนาทึบปกคลุมชายแดน ไม่เพียงทำให้ทัศนวิสัยการคมนาคมลดลง แต่ยังสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบการจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่สูง การเผาในพื้นที่เกษตร และการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษที่กระจายอยู่ทั้งฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

แม้ตัวเลขปริมาณฝุ่น PM2.5 และสถิติการเจ็บป่วยจากโรคระบบทางเดินหายใจในอดีตจะเป็นที่รับรู้กันในระดับนโยบาย แต่สิ่งที่ชัดเจนไม่แพ้ตัวเลขเหล่านั้น คือ “เสียงสะท้อนจากคนชายแดน” ที่ต้องอยู่กับกลิ่นควันและฟ้าหม่นเป็นเดือน ๆ ทุกปี การสร้างกลไกความร่วมมือที่ทำงาน “ข้ามอำเภอ–ข้ามหน่วยงาน–และข้ามพรมแดน” จึงกลายเป็นเงื่อนไขหลักของการแก้ปัญหา มิใช่เพียงการสั่งห้ามเผาหรือเพิ่มจุดตรวจเพียงอย่างเดียว

ในบริบทนี้ ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) ถูกออกแบบขึ้นให้เป็นทั้ง “กรอบความคิด” และ “กรอบปฏิบัติการ” ที่ดึงทุกภาคส่วนเข้ามาอยู่ในวงเดียวกัน ตั้งแต่หน่วยงานด้านวิชาการ หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม หน่วยงานความมั่นคง ไปจนถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนชายแดน

เวทีหารือครั้งที่ 4 สรุปบทเรียน–ตั้งเข็มทิศใหม่ให้ 4 อำเภอชายแดน

การประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 4 ต่อเนื่องจากการหารือสามครั้งก่อนหน้า วัตถุประสงค์หลักคือ การสรุปผลการดำเนินงานเดิม วิเคราะห์จุดแข็ง–จุดอ่อน และกำหนด “ทิศทางร่วมกัน” ของกลไกความร่วมมือสี่อำเภอชายแดนในระยะต่อไป

นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย ในฐานะตัวแทนองค์กรปกครองส่วนจังหวัด ซึ่งมีบทบาทด้านการจัดการสาธารณภัยในระดับพื้นที่ นำเสนอประเด็นสำคัญในมุมของ อบจ.เชียงราย โดยเชื่อมโยงเข้ากับนโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) ที่ “นายก นก” ผลักดันอย่างจริงจัง PDOSS เน้นการทำงานเชิงรุก ใช้ข้อมูลและการบูรณาการเครือข่ายให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ลดการทำงานแบบต่างคนต่างทำ และย้ำว่าปัญหาไฟป่า–หมอกควันไม่ใช่ “ภารกิจเฉพาะของหน่วยงานด้านป่าไม้หรือสิ่งแวดล้อม” แต่เป็นเรื่องของทุกภาคส่วน

เวทีในครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ตัวแทนจากแต่ละอำเภอชายแดนรายงานสถานการณ์ในพื้นที่ แนวโน้มจุดความร้อน (Hotspot) พื้นที่เสี่ยง การเผาในที่โล่ง และบทเรียนจากการปฏิบัติงานในฤดูกาลที่ผ่านมา พร้อมกันนั้น ภาคประชาสังคมและผู้นำท้องถิ่นก็ได้สะท้อนมุมมองจากระดับชุมชนถึงข้อจำกัดด้านกำลังคน งบประมาณ และเครื่องมือ รวมไปถึงความจำเป็นที่จะต้อง “ชดเชย–จูงใจ–และสร้างทางเลือก” ให้กับเกษตรกรและชาวบ้านที่ยังต้องพึ่งพาการเผาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการผลิต

CLEAR Sky Strategy จากงานวิจัยสู่กรอบความร่วมมือในพื้นที่จริง

โครงการ “กลไกความร่วมมือขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy)” ดำเนินการโดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) จุดเน้นสำคัญคือ การแปลงองค์ความรู้เชิงวิชาการให้เป็น “กลไกการทำงานในพื้นที่” ที่จับต้องได้

เป้าหมายหลักของยุทธศาสตร์ฟ้าใส ได้แก่

  • การจัดการพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอและแนวชายแดน ให้เกิดรูปแบบการเฝ้าระวังและควบคุมไฟป่าร่วมกัน
  • การเพิ่มศักยภาพด้านข้อมูลและการเตือนภัยล่วงหน้า ลดการเผาแบบไร้การควบคุม ด้วยมาตรการทั้งด้านกฎหมายและการสร้างแรงจูงใจ
  • การผลักดันไปสู่ “กรอบความร่วมมือระดับเมืองคู่ขนานไทย–ลาว” เพื่อให้ฝ่ายท้องถิ่นของทั้งสองประเทศมีแผนปฏิบัติการลดการเผาและหมอกควันร่วมกันในอนาคต
  • การขยายผลไปสู่ความร่วมมือในกรอบกว้างขึ้น เช่น เมืองคู่ขนานไทย–ลาว–เมียนมา เพื่อรองรับลักษณะของหมอกควันที่ข้ามพรมแดนหลายชั้น

ในภาพรวม CLEAR Sky Strategy จึงเป็นทั้งเครื่องมือเชื่อมโยง “ระดับนโยบาย–ระดับพื้นที่–ระดับชุมชน” เข้าด้วยกัน โดยในเวทีประชุมครั้งที่ 4 นี้ ได้มีการย้ำถึงความจำเป็นในการใช้ข้อมูลจากงานวิจัย ภาพถ่ายดาวเทียม และรายงานจุดความร้อนมาประกอบการกำหนดจุดเสี่ยง แนวกันไฟ และกำหนดมาตรการเชิงพื้นที่อย่างละเอียดมากขึ้น

เชื่อมมิติสิ่งแวดล้อมกับเศรษฐกิจชุมชน แผนท่องเที่ยว “เดิน–วิ่ง–ดูดาว 4 ภู 2 แผ่นดิน แนวกันไฟ สานสัมพันธ์ไทย–ลาว”

ที่น่าสนใจคือ ในเวทีหารือเดียวกัน มีการนำเสนอข้อมูลร่างกำหนดการและแนวคิดโครงการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม “เที่ยวเชียงรายฟ้าใส ท่องเที่ยวธรรมชาติ เดิน–วิ่ง–ดูดาว 4 ภู 2 แผ่นดิน แนวกันไฟ สานสัมพันธ์ไทย–ลาว” ซึ่งสะท้อนความพยายามของภาคส่วนในพื้นที่ที่จะใช้ “การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” เป็นกลไกควบคู่ไปกับการจัดการไฟป่าและหมอกควัน

ร่างแนวคิดเบื้องต้นระบุว่า กิจกรรมจะจัดขึ้นในรูปแบบทริป 2 วัน 1 คืน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ประกอบด้วยเส้นทางเดิน–วิ่งเชื่อมภูเขาสำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ ภูชี้เดือน ภูชี้ฟ้า และภูพญาม้า รวมระยะทางราว 12 กิโลเมตร พร้อมกิจกรรมดูดาวบนแนวสันเขา และการท่องเที่ยววิถีวัฒนธรรมในชุมชนไทย–ลาวตามแนวชายแดน

กลุ่มเป้าหมายของโครงการท่องเที่ยวดังกล่าวตั้งไว้ที่ 800 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวในพื้นที่ 500 คน และจากพื้นที่อื่น 300 คน กิจกรรมสำคัญนอกจากการเดิน–วิ่งและดูดาวแล้ว ยังมีการ “Kick off แนวกันไฟ” ตามสันเขาในพื้นที่จัดกิจกรรม ซึ่งสะท้อนแนวคิดการใช้กิจกรรมท่องเที่ยวเป็นโอกาสสร้างความเข้าใจเรื่องการจัดการเชื้อเพลิงและแนวกันไฟให้กับนักท่องเที่ยวและชุมชนไปพร้อมกัน

ในร่างแนวคิดที่ฉายบนจอภาพ ยังมีการกล่าวถึงการออกแบบกิจกรรมให้เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน อาหาร พืชผลทางการเกษตร และกาแฟ รวมทั้งการแสดงทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดนไทย–ลาว ทั้งหมดนี้มุ่งหวังให้เกิด “เศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน” จากการท่องเที่ยวที่ยึดโยงกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการลดการเผาในพื้นที่สูง

แม้รายละเอียดสุดท้ายของโครงการยังอยู่ระหว่างการหารือ แต่แนวคิดดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดเจนว่า การจัดการไฟป่าและหมอกควนไม่ได้ถูกมองเพียงในฐานะ “ต้นทุน” ที่ต้องจ่ายเพื่อควบคุมความเสียหายเท่านั้น หากยังถูกมองเป็นโอกาสในการยกระดับคุณค่าทางเศรษฐกิจของภูเขา ป่าไม้ และวิถีชีวิตชายแดน ผ่านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมที่วางอยู่บนฐานความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

จากเวทีประชุมสู่การลงมือทำ บททดสอบของกลไกความร่วมมือชายแดน

การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 4 ของกลไกความร่วมมือ 4 อำเภอชายแดนครั้งนี้ จึงมีความหมายมากกว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือการรับทราบรายงาน แต่เป็นเวทีที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันตอบคำถามสำคัญว่า

  • จะทำอย่างไรให้การจัดการไฟป่าและหมอกควันไม่หยุดอยู่แค่ “แผนบนกระดาษ”
  • จะสร้างกลไกให้ข้อมูลจากงานวิจัย ดาวเทียม และประสบการณ์ในพื้นที่ถูกนำไปใช้จริงในช่วงวิกฤติได้อย่างไร
  • และที่สำคัญ จะทำอย่างไรให้คนในชุมชนชายแดนรู้สึกว่า “เขาเป็นเจ้าของแผน” มิใช่เพียงผู้รับผลจากคำสั่งของหน่วยงานรัฐ

คำตอบของคำถามเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นในห้องประชุมเพียงครั้งเดียว แต่การที่มีตัวแทนชาวบ้าน ผู้นำท้องถิ่น หน่วยงานด้านป่าไม้ สิ่งแวดล้อม และองค์กรวิชาการ มานั่งอยู่ในวงเดียวกันอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณสำคัญของ “วัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน” ที่กำลังก่อตัวขึ้นในจังหวัดชายแดนแห่งนี้

สำหรับ อบจ.เชียงราย การเข้าร่วมอย่างแข็งขันของรองนายก อบจ.เชียงรายและเจ้าหน้าที่กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สะท้อนถึงบทบาทขององค์กรปกครองส่วนจังหวัดที่ไม่ได้ทำหน้าที่เฉพาะเมื่อเกิดเหตุสาธารณภัยเท่านั้น แต่เข้ามาร่วมวางระบบการป้องกันล่วงหน้า ผ่านนโยบาย PDOSS และการสนับสนุนโครงการวิจัย–โครงการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับเป้าหมาย “เชียงรายฟ้าใส” ในระยะยาว

 “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” จุดตั้งต้นของเมืองชายแดนที่อยากเห็นท้องฟ้าโปร่ง…ไม่ใช่แค่ในฤดูท่องเที่ยว

หากมองในมิติภายนอก ตัวเลขงบประมาณที่ใช้ในการวิจัย การประชุม และการวางแผนอาจดูไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับความเสียหายจากหมอกควันในแต่ละปี แต่ในมิติของกระบวนการ ยุทธศาสตร์ฟ้าใสได้เริ่มวาง “โครงสร้างใหม่ของการทำงาน” ที่ทำให้ 4 อำเภอชายแดนของเชียงรายไม่ได้เผชิญหน้ากับปัญหานี้อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป

การมีกรอบความร่วมมือที่ชัดเจน การสนับสนุนจากหน่วยงานวิจัยระดับชาติ การเข้ามามีบทบาทของ อบจ.เชียงราย และการขยายแนวคิดไปสู่มิติเศรษฐกิจชุมชนผ่านโครงการท่องเที่ยว “เดิน–วิ่ง–ดูดาว 4 ภู 2 แผ่นดิน แนวกันไฟ สานสัมพันธ์ไทย–ลาว” ทำให้เห็นภาพอนาคตที่เป็นไปได้ว่า

  • ป่าชายแดนจะไม่ถูกมองเพียงเป็นพื้นที่เสี่ยงไฟไหม้ แต่เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องดูแลร่วมกัน
  • หมอกควันที่เคยเป็นสัญลักษณ์ด้านลบของฤดูแล้ง อาจถูกแทนที่ด้วยภาพท้องฟ้าโปร่งและคณะนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปชมดาวบนภูสูง โดยรู้ดีว่าทุกก้าวที่เดินอยู่บนแนวกันไฟคือส่วนหนึ่งของการปกป้องป่าร่วมกับชุมชน
  • และเมืองชายแดนไทย–ลาว–เมียนมา จะไม่ได้ถูกจดจำเพียงในฐานะ “พื้นที่ต้นทางของวิกฤตมลพิษ” แต่เป็นตัวอย่างของพื้นที่ที่ลุกขึ้นมาจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามแดนด้วยความร่วมมือและความเข้าใจร่วมกัน

ในช่วงเวลาที่โลกจับตาปัญหามลพิษอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จังหวัดชายแดนเล็ก ๆ อย่างเชียงรายอาจไม่ได้มีเสียงดังก้องในเวทีนานาชาติ แต่ก้าวเล็ก ๆ ของการประสานงานในวันนี้ หากดำเนินต่อเนื่องอย่างจริงจัง อาจกลายเป็นต้นแบบสำคัญของการจัดการหมอกควันข้ามแดนในระดับภูมิภาคได้ในอนาคต

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • ที่ว่าการอำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย
  • สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กรมควบคุมมลพิษ และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายผนึกกำลังส่วนกลาง! ยุทธศาสตร์ 4 ด้านเน้น Zero Burning 2 เดือนเต็ม รับมือฝุ่นข้ามแดนและไฟป่า

เชียงรายร่วมประชุม “กอปภ.ก.” วางยุทธศาสตร์ 4 ด้านรับมือฝุ่นพิษ PM 2.5 เชื่อมแผน “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” ภาคเหนือก่อนเข้าสู่ฤดูวิกฤต

เชียงราย, 9 ธันวาคม 2568 – ที่ห้องประชุมสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัด บรรยากาศเช้าวันที่ 8 ธันวาคม เต็มไปด้วยความตื่นตัวของคณะทำงานด้านไฟป่าและหมอกควันของจังหวัด เมื่อ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำทีมเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานเข้าร่วมการประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ผ่านระบบประชุมออนไลน์ เพื่อรับฟังสถานการณ์และแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เริ่มทวีความสำคัญขึ้นอีกครั้งก่อนเข้าสู่ฤดูแล้งและฤดูเผาในหลายพื้นที่ของประเทศ

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้การเป็นประธานของ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยแม้หัวข้อหารือหลักจะเน้นพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานครเป็นสำคัญ แต่ข้อเสนอเชิงมาตรการและข้อสั่งการจากส่วนกลางถูกมองว่าเป็น “แผนแม่บท” ที่ทุกจังหวัด รวมถึงเชียงรายจำเป็นต้องนำไปปรับใช้และบูรณาการร่วมกับแผนระดับภูมิภาค โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ “ฟ้าใส” (CLEAR Sky Strategy) ที่ภาคเหนือกำลังเดินหน้าร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว และเมียนมา เพื่อจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่าข้ามแดนอย่างจริงจัง

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุระหว่างการประชุมว่า เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือทั้งฝุ่นควันจากแหล่งกำเนิดในพื้นที่เอง และจากกระแสลมที่พัดพามลพิษจากประเทศเพื่อนบ้านในบางช่วงของปี การได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการ “เชื่อมภาพรวมส่วนกลางกับบริบทพื้นที่จริง” เพื่อให้มาตรการต่าง ๆ สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์

ภาพใหญ่ของปัญหา จากกรุงเทพฯ สู่เชียงราย

ในระดับประเทศ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ถูกยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติหลังจากหลายปีที่ผ่านมาเกิดสถานการณ์ค่าฝุ่นเกินมาตรฐานซ้ำซาก ทั้งในเขตเมืองใหญ่และพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่อิทธิพลสภาพอากาศ การเผาในที่โล่ง และการสะสมของมลพิษจากการคมนาคมและอุตสาหกรรมทำให้คุณภาพอากาศย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับภาคเหนือ จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญทั้งหมอกควันจากไฟป่าในพื้นที่สูง การเผาเศษวัสดุทางการเกษตร และหมอกควันข้ามแดน ทำให้แผนการจัดการคุณภาพอากาศของจังหวัดไม่อาจแยกออกจากนโยบายระดับชาติได้ การประชุม กอปภ.ก. ครั้งนี้จึงนับเป็นเวทีสำคัญในการทบทวนมาตรการเดิม เสริมจุดแข็ง และอุดช่องโหว่ของระบบรับมือวิกฤตฝุ่นควันในปี 2568–2569

ยุทธศาสตร์ 4 ด้านรับมือ PM 2.5 จากกระดาษสู่การปฏิบัติ

หนึ่งในหัวใจของการประชุม คือการสรุป “ยุทธศาสตร์ 4 ด้าน” ที่หน่วยงานต่าง ๆ เสนอร่วมกันในการจัดการฝุ่น PM 2.5 โดยมีการเน้นย้ำทั้งมิติการบริหารจัดการในเขตเมือง การควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตร การป้องกันไฟป่า และการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอื่น ๆ ซึ่งจังหวัดต่าง ๆ ต้องนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของตนเอง

ด้านแรก คือ การจัดการในเขตเมือง ซึ่งกรุงเทพมหานครได้นำเสนอแผนในฐานะ “ต้นแบบเมืองใหญ่” ผ่านมาตรการขยายเขตควบคุมมลพิษและการกำหนด Low Emission Zone ให้ครอบคลุม 51 เขต เพิ่มจุดตรวจควันดำรถบรรทุกและรถโดยสาร ควบคุมการก่อสร้างไม่ให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจาย พร้อมทั้งปรับรูปแบบการทำงานแบบ Work From Home ในช่วงวันที่ค่าฝุ่นสูงเกินมาตรฐาน แนวทางเหล่านี้แม้จะถูกออกแบบมาสำหรับเมืองหลวง แต่หลักคิดเรื่องการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในเขตเมือง การจัดการจราจร และการสื่อสารเตือนภัยเชิงรุก สามารถนำมาปรับใช้กับเขตเมืองของเชียงราย เช่น พื้นที่ตัวเมืองเชียงราย หรืออำเภอที่มีการจราจรหนาแน่นได้เช่นกัน

ด้านที่สอง คือ การควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตร ภายใต้การนำของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้รายงานสถานการณ์พืชเศรษฐกิจอย่างอ้อยและข้าวโพดที่มักเกี่ยวข้องกับการเผาเศษวัสดุหลังการเก็บเกี่ยว มาตรการสำคัญประกอบด้วยการสนับสนุนเกษตรกรรมแบบไม่เผา การจัดสรรสิทธิ์ช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขห้ามเผา การกำหนดมาตรฐานอ้อยไฟไหม้ไม่เกินร้อยละ 0.06 และการผลักดันการใช้เครื่องจักรทางการเกษตรทดแทนการเผาแปลง การประชุมครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการสั่งการเชิงห้ามปราม แต่ยังมุ่งสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตด้วย

ด้านที่สาม คือ การป้องกันไฟป่าและการเผาในพื้นที่ป่า ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เสนอให้กำหนดช่วง “ห้ามเผาเด็ดขาด” หรือ Zero Burning อย่างน้อยสองเดือนในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง ควบคู่กับการเฝ้าระวังจุดความร้อนหรือ Hotspot แบบเรียลไทม์ การจัดตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษดับไฟ และการเตรียมแผนเผชิญเหตุร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เสี่ยง เส้นทางปฏิบัติเหล่านี้สอดคล้องกับประสบการณ์ของเชียงรายที่จำเป็นต้องมีเครือข่ายอาสาสมัครและหน่วยปฏิบัติการในหมู่บ้านห่างไกล เพื่อให้สามารถเข้าไปควบคุมสถานการณ์ไฟป่าได้อย่างทันท่วงที

ด้านสุดท้าย คือ การควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอื่น ๆ ทั้งจากรถบรรทุก รถโดยสาร โรงงานอุตสาหกรรม และโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยหลายหน่วยงานได้เสนอให้เพิ่มความเข้มข้นของการตรวจสอบ การบังคับใช้กฎหมาย และการกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษให้ชัดเจนมากขึ้น ควบคู่กับการสื่อสารสร้างการรับรู้ความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชน ผ่านระบบแจ้งเตือนคุณภาพอากาศแบบรายพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

ข้อสั่งการจากส่วนกลาง จากตัวเลขมาตรการสู่ความเชื่อมั่นของประชาชน

นอกจากการสรุปภาพรวมมาตรการแล้ว นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน “เร่งนำมาตรการไปปฏิบัติจริง” พร้อมกำชับให้ติดตามผลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าฝุ่นมีแนวโน้มพุ่งสูงเกินมาตรฐาน

หนึ่งในข้อสั่งการสำคัญ คือการมอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์จัดทำสื่อเผยแพร่ในรูปแบบวิดีทัศน์ (VTR) รวบรวมข้อมูลการดำเนินงานและมาตรการของทุกหน่วยงาน เพื่อสื่อสารให้ประชาชนรับรู้ว่า ภาครัฐไม่ได้เพียง “เฝ้าดูตัวเลข” แต่มีการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมทั้งในมิติการป้องกัน การแก้ไข และการเยียวยาผลกระทบ การสื่อสารเชิงรุกนี้ยังช่วยลดความตื่นตระหนก ลดข่าวลือ และสร้างความเข้าใจร่วมว่าการแก้ปัญหาฝุ่นพิษต้องอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป

รมช.มหาดไทยย้ำว่า การลดฝุ่น PM 2.5 ให้ได้ผล ไม่สามารถพึ่งเพียงมาตรการใดมาตรการหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากแต่ต้องเป็น “ชุดมาตรการบูรณาการ” ที่ทำงานไปพร้อมกัน ทั้งในระดับโครงสร้าง เช่น การควบคุมแหล่งกำเนิด และในระดับพฤติกรรมประชาชน เช่น การลดการเผาในที่โล่ง การตรวจสภาพรถ และการป้องกันตนเองเมื่อค่าฝุ่นอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง

เชียงรายในสมการคุณภาพอากาศ บทบาทของจังหวัดชายแดนภาคเหนือ

แม้การประชุม กอปภ.ก. จะเน้นรายงานสถานการณ์ภาคกลาง แต่สำหรับเชียงราย การประชุมครั้งนี้สะท้อน “คำเตือนล่วงหน้า” ว่าฤดูวิกฤตของภาคเหนือกำลังใกล้เข้ามา ขณะที่หลายจังหวัดในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเฝ้าจับตาฝุ่นจากการจราจรและอุตสาหกรรม เชียงรายต้องเตรียมรับมือกับฝุ่นจากไฟป่า การเผาในพื้นที่เกษตร และหมอกควันข้ามแดนที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกัน

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและคณะทำงานจึงมีภารกิจสำคัญในการนำ “ยุทธศาสตร์ 4 ด้าน” จากส่วนกลาง มาบูรณาการกับ “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” ที่ภาคเหนือกำลังผลักดันอยู่เดิม ทั้งในมิติการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน การเฝ้าระวัง Hotspot บริเวณแนวชายแดน และการสร้างแนวร่วมกับชุมชนบนพื้นที่สูง ซึ่งถือเป็น “ด่านหน้า” ในการป้องกันไฟป่าและการเผาในพื้นที่ป่า

การเน้นย้ำเรื่อง Zero Burning อย่างน้อยสองเดือนในพื้นที่ภาคเหนือจึงไม่ได้หมายถึงเพียงการออกคำสั่งห้ามเผา หากแต่ต้องมาพร้อมมาตรการรองรับ เช่น การจัดหางานทดแทนให้กับผู้มีรายได้จากการเผาไร่ การสนับสนุนเครื่องจักรและเทคโนโลยีการเกษตรแบบไม่เผา รวมถึงการจัดงบประมาณเพื่อดูแลเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครดับไฟป่าที่ต้องทำงานในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง

จากตัวเลขสู่ชีวิตคนเชียงราย ทำไมการประชุมครั้งนี้จึงสำคัญต่อชุมชน

แม้รายละเอียดเชิงเทคนิคเกี่ยวกับเขตควบคุมมลพิษ จุดตรวจควันดำ หรือมาตรฐานอ้อยไฟไหม้ อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับประชาชนทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติ มาตรการเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของคนเชียงราย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ

หากมาตรการด้านการจราจรและการควบคุมการก่อสร้างถูกนำมาปรับใช้ในเขตเมืองเชียงรายอย่างเหมาะสม ประชาชนก็มีโอกาสหายใจอากาศที่สะอาดขึ้นในช่วงที่ฝุ่นจากไฟป่ากำลังปกคลุม หากการควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรสามารถลดพื้นที่เผาได้จริง ผลกระทบจากหมอกควันในช่วงเก็บเกี่ยวก็จะเบาบางลง และหาก Zero Burning ทำได้ตามแผนร่วมกับการดับไฟป่าที่รวดเร็ว ภาคเหนือก็จะมีโอกาสเห็นท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งนานกว่าที่เคย

เช่นเดียวกับบทบาทของกรมประชาสัมพันธ์และสื่อมวลชนในพื้นที่ การสื่อสารที่ชัดเจนและต่อเนื่องเกี่ยวกับค่าฝุ่น มาตรการของรัฐ และวิธีป้องกันตนเอง จะช่วยให้ประชาชนสามารถวางแผนการทำงาน การเดินทาง หรือแม้แต่การดูแลสุขภาพของคนในครอบครัวได้อย่างมีข้อมูลรองรับ ไม่ต้องตื่นตระหนก แต่ตระหนักรู้และปรับตัวอย่างเหมาะสม

ก้าวต่อไปของเชียงราย จากห้องประชุมสู่ภาคสนาม

หลังจากการประชุม กอปภ.ก. เสร็จสิ้น ภารกิจของจังหวัดเชียงรายไม่ได้จบลงที่การ “รับทราบมติ” หากแต่เพิ่งเริ่มต้นกระบวนการแปลงนโยบายให้เป็นการปฏิบัติจริงในพื้นที่ ขั้นตอนต่อไปคือการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับจังหวัดที่เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ 4 ด้านกับยุทธศาสตร์ฟ้าใส การกำหนดช่วงห้ามเผา การเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า การสำรวจพื้นที่เกษตรเสี่ยงเผา และการจัดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพอากาศรายตำบลหรือรายอำเภอ

ในขณะเดียวกัน การสร้างแนวร่วมกับภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โรงงานและผู้ประกอบการจำเป็นต้องร่วมมือในการลดการปล่อยฝุ่นจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยและโรงเรียนสามารถเป็นฐานข้อมูลและฐานความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่เครือข่ายชุมชนและอาสาสมัครในหมู่บ้านสามารถทำหน้าที่เป็น “ตาและหู” ในการแจ้งเตือนจุดความร้อนและการเผาในที่โล่งได้อย่างทันท่วงที

การประชุมออนไลน์เพียงครั้งเดียวอาจไม่สามารถแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่สะสมมานานหลายปีได้ แต่สำหรับเชียงราย การมีส่วนร่วมในเวที กอปภ.ก. ครั้งนี้คือการยืนยันว่า จังหวัดไม่ได้ยืนอยู่ลำพังในสมรภูมิฝุ่นควัน หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการจัดการภัยพิบัติระดับชาติที่พยายามเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน

เมื่อฤดูหมอกควันหวนกลับมาอีกครั้ง คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “ค่าฝุ่นวันนี้เท่าไร” หากแต่คือ “มาตรการที่ประกาศไว้ได้ถูกนำไปใช้จริงเพียงใด และประชาชนได้รับการปกป้องมากน้อยแค่ไหน” ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าแผนยุทธศาสตร์ 4 ด้าน และยุทธศาสตร์ฟ้าใสที่เชียงรายกำลังเดินหน้า จะสามารถเปลี่ยนภาพจากท้องฟ้าหม่นหมอก ไปสู่ฟ้าใสที่ยั่งยืนได้หรือไม่ในระยะยาว

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) กระทรวงมหาดไทย
  • กระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรุงเทพมหานคร (มาตรการเขตควบคุมมลพิษและ Low Emission Zone)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นโยบายเกษตรกรรมแบบไม่เผาและมาตรฐานอ้อยไฟไหม้)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (มาตรการ Zero Burning และการเฝ้าระวัง Hotspot)
  • กรมประชาสัมพันธ์ (ภารกิจจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์มาตรการ PM 2.5)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

CLEAR Sky จากดอยตุงโมเดลสู่ลุ่มน้ำโขง ไทยใช้เชียงรายเป็นห้องปฏิบัติการแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน

กต.–ทส. เลือกเชียงรายเป็นเวที “ฟ้าใส” อาเซียน ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ CLEAR Sky แก้หมอกควันข้ามแดน สร้างโมเดลเชิงปฏิบัติการจากพื้นที่จริงสู่ระดับภูมิภาค

เชียงราย, 6 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางท้องฟ้าที่ครั้งหนึ่งเคยคลุมด้วยม่านหมอกควันในทุกฤดูแล้ง จังหวัดเชียงรายกำลังก้าวขึ้นมาเป็น “ห้องปฏิบัติการนโยบาย” ด้านสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เมื่อกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ร่วมกันจัดโครงการหารือขับเคลื่อนความร่วมมือตามแผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy)” ขึ้นที่โรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568

การประชุมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเวทีสัมมนาทางวิชาการ หากแต่เป็นการทดลอง “ทูตเชิงปฏิบัติการ” (operational diplomacy) เพื่อแปลงคำมั่นทางการเมืองในแผนปฏิบัติการร่วม (Joint Plan of Action – JPOA 2024–2030 หรือ 2567–2573) ให้กลายเป็นมาตรการและกลไกที่จับต้องได้ ก่อนเข้าสู่ฤดูฝุ่นควันรอบใหม่ในช่วงต้นปี 2569 ซึ่งทุกฝ่ายประเมินตรงกันว่าความเสี่ยงยังคงสูง

เชียงราย ด่านหน้าของปัญหา กลายเป็นด่านหน้าของทางออก

บรรยากาศการประชุมในห้องประชุมริมแม่น้ำกกมีผู้เข้าร่วมกว่า 250 คน จากทั้งหน่วยงานรัฐ องค์กรระหว่างประเทศ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และผู้แทนจากชุมชนในพื้นที่ โดยมีนายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานในพิธีเปิด ขณะที่นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับและรายงานภาพรวมการดำเนินงานของจังหวัดในการลดการเผาในที่โล่งและไฟป่าในช่วงปีที่ผ่านมา

จุดเด่นของเวทีครั้งนี้อยู่ที่ “สถานที่จัด” ไม่ไช่เพียง “เนื้อหาประชุม” เชียงรายคือหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากพื้นที่ภายในประเทศและไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจังหวัดที่ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์มาใช้แนวทางบูรณาการ ทั้งด้านการจัดการป่า การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ และการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข จนสามารถนำเสนอเป็นกรณีศึกษาเชิงปฏิบัติการในการประชุมครั้งนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้รายงานว่า จังหวัดได้แบ่ง “กลุ่มป่าเสี่ยงเผาไหม้” ออกเป็น 14 กลุ่ม โดยเชียงรายอยู่ในกลุ่มป่าศรีลานนา–ขุนตาล เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเชื้อเพลิงและวางแผนควบคุมไฟได้ตรงจุด พร้อมทั้งใช้มาตรการเข้มข้น “เผาจริง จับจริง” ควบคู่กับการ “ตัดสิทธิ์เกษตรกร” ที่ฝ่าฝืนกฎหมายในการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนจากรัฐ ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมาย จังหวัดยังได้จัดเตรียม “ห้องปลอดฝุ่น (Clean Room)” และ “พื้นที่ปลอดภัย (Safety Zone)” เพื่อรองรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเปราะบางในช่วงค่าฝุ่น PM2.5 สูง ถือเป็นการบูรณาการมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมกับนโยบายด้านสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด

จากแผนบนกระดาษสู่การทูตภาคสนาม CLEAR Sky Strategy คืออะไร

ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) เป็นกรอบยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยเสนอขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดนอย่างยั่งยืนในกรอบความร่วมมือระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบน และได้ขยายผลเข้าสู่กรอบอาเซียน ภายใต้แผนปฏิบัติการร่วม JPOA 2024–2030 (2567–2573)

ยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย 5 เสาหลัก ภายใต้คำย่อ C.L.E.A.R. ได้แก่

  • C – Continued Commitment
    ความมุ่งมั่นต่อเนื่องและความรับผิดชอบร่วมกัน ในการลดจุดความร้อนและการเผาในที่โล่งตามเป้าหมายที่เคยรับรองร่วมกันในเวทีระดับภูมิภาค
  • L – Leveraging Mechanisms
    การใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมือที่มีอยู่ เช่น กรอบอาเซียน กลไกคณะกรรมการชายแดน และเวทีทวิภาคี เพื่อเพิ่ม “แรงกดดันเชิงบวก” ให้ประเทศคู่ภาคีดำเนินมาตรการอย่างเป็นรูปธรรม
  • E – Experience Sharing
    การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดี ทั้งด้านกฎหมาย การจัดการพื้นที่ และโมเดลการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ช่วยลดแรงจูงใจในการเผา เช่น โมเดลดอยตุง
  • A – Air Quality Network
    การพัฒนาเครือข่ายคุณภาพอากาศ การติดตามและพยากรณ์มลพิษอย่างแม่นยำ เพื่อใช้วางแผนป้องกันและสื่อสารเตือนภัยล่วงหน้าแก่ประชาชน
  • R – Effective Response
    การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองเมื่อเกิดวิกฤตหมอกควันอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การดับไฟป่าไปจนถึงการดูแลสุขภาพของประชาชน

ในการประชุมที่เชียงราย เสาหลักทั้ง 5 ถูกถอดออกมาเป็น “วาระการหารือ” ผ่านเวทีเสวนา 2 ช่วงใหญ่ คือ (1) แนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส และ (2) การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน ประเทศคู่เจรจา และองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง

เสียงสะท้อนจากสามประเทศลุ่มน้ำโขง จากตัวเลขจุดความร้อนสู่ความรับผิดชอบร่วม

หนึ่งในหัวใจของการประชุมครั้งนี้ คือ การเปิดพื้นที่ให้ผู้แทนจาก สปป.ลาว และเมียนมา นำเสนอความคืบหน้าการดำเนินงานในช่วงปีที่ผ่านมา และแผนเตรียมการรองรับสถานการณ์หมอกควันในช่วงต้นปี 2569

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รายงานภาพรวมการดำเนินการของไทย ทั้งในระดับนโยบายและในระดับพื้นที่ โดยเชื่อมโยงกับตัวเลขการลด “จุดความร้อนสะสม” ในป่าและพื้นที่เสี่ยงเผา ซึ่งในช่วงปี 2567 ไทยสามารถลดจำนวนจุดความร้อนในพื้นที่เป้าหมายได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานก่อนหน้า

ขณะเดียวกัน นายซาน อู อธิบดีกรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของเมียนมา และนางเตือนจิต อลุนละสี รองอธิบดีสถาบันด้านชีวเทคโนโลยีและระบบนิเวศของ สปป.ลาว ได้นำเสนอความพยายามในการลดการเผาในที่โล่ง การเพิ่มการลาดตระเวนไฟป่า และการร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อสร้างกลไกป้องกันก่อนเกิดเหตุ

การรายงานดังกล่าวทำให้ยุทธศาสตร์ฟ้าใสไม่ได้หยุดอยู่แค่ “ถ้อยแถลงทางการเมือง” แต่เริ่มมีลักษณะคล้าย “ระบบติดตามและประเมินผลร่วม” ที่ทุกประเทศต้องออกมารายงานความคืบหน้าบนเวทีเดียวกัน เป็นแรงกดดันในเชิงสร้างสรรค์ ให้ทุกภาคีต้องเร่งเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเน้นย้ำในที่ประชุมว่า การแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนจะสำเร็จไม่ได้ หากขาด “การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” ตั้งแต่ระดับนโยบาย ภาคเอกชน ไปจนถึงชุมชนท้องถิ่น จึงจำเป็นต้องแปลงยุทธศาสตร์ฟ้าใสให้เป็นเครื่องมือที่ทุกฝ่ายใช้ร่วมกัน ไม่ใช่เพียงกรอบเอกสารในระดับรัฐบาลกลาง

เชียงรายในฐานะ “ต้นแบบปฏิบัติการ” จากแผนที่กลุ่มป่าถึงห้องปลอดฝุ่น

ในเวทีหารือ ผู้แทนจังหวัดเชียงรายได้นำเสนอรูปแบบการทำงานที่ถูกหยิบยกให้เป็น “โมเดลต้นแบบ” สำหรับการขยายผลไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือ รวมถึงพื้นที่ต้นทางมลพิษในประเทศเพื่อนบ้าน

มาตรการสำคัญของเชียงรายประกอบด้วย

  1. การจัดการพื้นที่เสี่ยงเชิงระบบ
    จังหวัดได้แบ่งกลุ่มป่าเสี่ยงไฟออกเป็น 14 กลุ่ม โดยอยู่ภายใต้กลุ่มป่าศรีลานนา–ขุนตาล เพื่อให้สามารถจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่ต้องจัดการเชื้อเพลิงและลาดตระเวนก่อน และใช้ข้อมูลจุดความร้อน (hotspot) ประกอบการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ
  2. มาตรการทางเศรษฐกิจและกฎหมายควบคู่กัน
    นโยบาย “เผาจริง จับจริง” และ “ตัดสิทธิ์เกษตรกรจากโครงการของรัฐ” ถูกใช้เป็นมาตรการยับยั้งเชิงโครงสร้าง ไม่เพียงแต่ปรับเป็นเงิน แต่กระทบต่อโอกาสในการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากภาครัฐในระยะยาว ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจของชาวบ้านอย่างเห็นได้ชัด
  3. การจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรทดแทนการเผา
    จังหวัดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เศษซัง ฟาง ใบข้าว หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไปผลิตปุ๋ยชีวภาพ วัสดุคลุมดิน หรือเชื้อเพลิงชีวมวล แทนการเผาทิ้งในที่โล่ง
  4. การเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุข
    การจัดตั้งห้องปลอดฝุ่นและพื้นที่ปลอดภัยในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลสำคัญ ถือเป็นมาตรการเชิงรุกในการลดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ

มาตรการเหล่านี้ได้รับการยกขึ้นในเวทีเสวนาเป็นตัวอย่างของการ “บูรณาการระดับจังหวัด” ที่ผสานเครื่องมือทางกฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุขเข้าด้วยกัน ซึ่งผู้แทนจากลาวและเมียนมาแสดงความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะโมเดลการใช้ “มาตรการตัดสิทธิ์ทางเศรษฐกิจ” แทนการบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว

จากดอยตุงสู่ลุ่มน้ำโขง ใช้เศรษฐกิจพืชยืนต้นแก้ปัญหาที่ราก

อีกหนึ่งไฮไลต์ของโครงการครั้งนี้ คือ การนำคณะผู้แทนจากทั้งสามประเทศ รวมถึงผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ ลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ณ โครงการพัฒนาดอยตุง ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์

ดอยตุงคือกรณีศึกษา “เปลี่ยนภูเขาไฟเป็นภูเขาเขียว” ที่เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ จากอดีตพื้นที่ปลูกฝิ่นและการถางป่าเผาป่า กลายมาเป็นพื้นที่ปลูกพืชยืนต้นและพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้ชุมชน เช่น แมคคาเดเมีย กาแฟ และพืชสวนหลากชนิด

โมเดลดอยตุงถูกเสนอให้เป็น “ตัวอย่างเชิงรูปธรรม” ของเสาหลัก E – Experience Sharing ในยุทธศาสตร์ฟ้าใส โดยชี้ให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาหมอกควันอย่างยั่งยืนไม่สามารถพึ่งพาเพียงมาตรการปราบปรามได้ แต่ต้อง “เปลี่ยนโครงสร้างรายได้ของชุมชน” จากระบบที่พึ่งพาไฟและการเผา ไปสู่ระบบที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจบนฐานทรัพยากรที่ได้รับการฟื้นฟู

องค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) แสดงบทบาทสำคัญในฐานะ “พันธมิตรด้านเทคนิคและการเงิน” ที่พร้อมสนับสนุนการขยายผลโมเดลการพัฒนาลักษณะเดียวกับดอยตุงไปยังพื้นที่ในลาวและเมียนมา ซึ่งมีโครงสร้างภูมิประเทศและสภาพเศรษฐกิจคล้ายคลึงกัน

ร่วมมือข้ามพรมแดน จากอาเซียนสู่เครือข่ายพันธมิตรนานาชาติ

ภายในงานยังมีผู้แทนจากกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้อินโดนีเซีย สถาบัน Chinese Research Academy of Environmental Sciences (CRAES – จีน) ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ADPC) และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (MI) เข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ประเทศอย่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์มีประสบการณ์ยาวนานในการจัดการปัญหาหมอกควันข้ามแดนจากไฟป่าและพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในภูมิภาคอาเซียน การนำบทเรียนจากกรอบความตกลงหมอกควันข้ามแดนอาเซียน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution – AATHP) มาเปรียบเทียบกับบริบทของลุ่มน้ำโขง ช่วยให้การออกแบบกลไกใหม่ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใสมีความเป็นไปได้และสอดคล้องกับมาตรฐานสากรมากขึ้น

ด้าน CRAES จากจีน มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนองค์ความรู้ด้านแบบจำลองการแพร่กระจายมลพิษและการสร้างเครือข่ายติดตามคุณภาพอากาศระดับภูมิภาค ขณะที่ JICA และ GIZ สนับสนุนทั้งด้านงบประมาณและเทคนิคในการพัฒนาระบบเกษตรยั่งยืน การจัดการเชื้อเพลิง และการสร้างขีดความสามารถให้หน่วยงานท้องถิ่นในสามประเทศ

การเข้ามาของพันธมิตรเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ฟ้าใสไม่ได้เป็นเพียงกรอบความร่วมมือ “สามประเทศ” แต่กำลังขยายตัวเป็น “แพลตฟอร์มความร่วมมือพหุภาคี” ที่เชื่อมโยงผู้เล่นระดับภูมิภาคและระดับโลกเข้าด้วยกัน

สื่อสารถึงรากหญ้า คลิป “หยุดเผา ฟ้าใส ไร้มลพิษ” 3 ภาษา

อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ถูกเปิดตัวในการประชุมครั้งนี้ คือ คลิปรณรงค์ “หยุดเผา ฟ้าใส ไร้มลพิษ” ซึ่งผลิตขึ้นใน 3 ภาษา คือ ไทย ลาว และเมียนมา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ชายแดนได้อย่างแท้จริง

สารหลักของคลิปมุ่งเน้นให้เห็น “ต้นทุนที่แท้จริงของการเผา” ทั้งต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และอนาคตของชุมชน พร้อมทั้งชูตัวอย่างแนวทางปฏิบัติที่ไม่ต้องใช้ไฟในการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร และทางเลือกด้านพืชเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การสื่อสารในภาษาท้องถิ่นของแต่ละประเทศช่วยลดช่องว่างด้านวัฒนธรรมและทำให้สารรณรงค์เข้าถึงผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความท้าทายข้างหน้า จากเชียงรายสู่ลุ่มน้ำโขง

แม้การประชุมที่เชียงรายจะสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการเชิงบวกทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติการ แต่ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ยอมรับตรงกันว่า ความท้าทายที่แท้จริงยังอยู่ “ข้างหน้า” ไม่ใช่ “ข้างหลัง”

ความแตกต่างด้านกฎหมาย ด้านฐานะทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรของหน่วยงานรัฐในสามประเทศ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการนำมาตรการที่เข้มข้นแบบเชียงราย เช่น การตัดสิทธิ์เข้าร่วมโครงการรัฐ ไปประยุกต์ใช้ในลาวและเมียนมาในรูปแบบเดียวกัน

การเปลี่ยนผ่านจากเกษตรที่ใช้การเผา ไปสู่เกษตรพืชยืนต้นและระบบการผลิตที่ยั่งยืน ต้องอาศัย “เงินลงทุนระยะยาว” และ “การประกันความเสี่ยงทางรายได้” ของเกษตรกรในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่ในระดับเปราะบางกว่าภาคเหนือของไทยอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเห็นพ้องว่า ยุทธศาสตร์ฟ้าใสและแผนปฏิบัติการร่วม JPOA 2024–2030 ได้สร้าง “กรอบโครง” ที่จำเป็นสำหรับการเดินหน้าต่อในอีก 5–7 ปีข้างหน้า สิ่งที่ต้องจับตาคือ

  • การคง “แรงผลักดันทางการเมือง” ให้ต่อเนื่อง ไม่ให้ประเด็นหมอกควันถูกกลบด้วยวิกฤตอื่น
  • การแปลงข้อเสนอในระดับนโยบาย เช่น การตั้งกองทุนตอบสนองวิกฤตร่วม หรือกลไกสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ ให้เกิดขึ้นจริงภายในกรอบเวลาแผน
  • การใช้พื้นที่อย่างเชียงรายเป็น “ศูนย์กลางการเรียนรู้” ให้ประเทศเพื่อนบ้าน สามารถนำโมเดลไปปรับใช้ตามบริบทตนเอง

สำหรับประชาชนในจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่จำนวนเวทีประชุมหรือจำนวนข้อตกลงที่ลงนาม หากแต่คือจำนวน “วันที่ฟ้าใส” เพิ่มขึ้นในแต่ละปี และจำนวน “ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ” ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ
  • กรมควบคุมมลพิษ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ข้อมูลจากผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถาบัน Chinese Research Academy of Environmental Sciences (CRAES) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (GIZ) สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (MI) และศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (ADPC) ที่เข้าร่วมการหารือในครั้งนี้
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
SOCIETY & POLITICS

ไทย-ลาว จับมือแน่น ปราบแก๊งคอลฯ-ยาเสพติด

ไทย-ลาวกระชับความร่วมมือ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ยาเสพติด พร้อมขยายการค้าสู่ 11,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2027

เชียงราย, 20 กุมภาพันธ์ 2568 – นายกรัฐมนตรีไทยและลาวเห็นพ้องขยายความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในโอกาสเฉลิมฉลอง 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต พร้อมตั้งเป้าขยายการค้าทวิภาคีแตะ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027

ผู้นำไทย-ลาวหารือ ย้ำกระชับความสัมพันธ์ในทุกมิติ

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 10.15 น. ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ให้การต้อนรับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ

ภายหลังตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ นายกรัฐมนตรีทั้งสองเดินเข้าสู่ตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อหารือเบื้องต้นและลงนามในสมุดเยี่ยม ก่อนเข้าหารืออย่างเป็นทางการ ณ ตึกภักดีบดินทร์ โดยมีคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศเข้าร่วม

ความมั่นคงชายแดน: จับมือสกัดอาชญากรรมข้ามชาติ

หนึ่งในประเด็นหลักของการหารือคือความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด และการค้ามนุษย์

ปราบปรามยาเสพติดร่วมกัน

ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องว่าจำเป็นต้องเร่งปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติดบริเวณชายแดน โดยไทยเสนอแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง การขยายผลการสืบสวน และการสนับสนุนโครงการชุมชนปลอดยาเสพติดผ่านการปลูกพืชทดแทน

กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ไทยและลาวต่างให้ความสำคัญกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ โดยไทยเสนอให้ลาวแต่งตั้งหน่วยงานหลักเพื่อทำงานร่วมกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายกรัฐมนตรีไทยชื่นชมปฏิบัติการของทางการลาวในการกวาดล้างขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ในแขวงบ่อแก้วเมื่อปีที่ผ่านมา และเสนอแนวทางการป้องกันการใช้ทรัพยากรของทั้งสองประเทศในทางที่ผิด

ปัญหาหมอกควันข้ามแดน: เร่งขยายความร่วมมือแก้ไขไฟป่า

ผู้นำไทย-ลาวเห็นพ้องว่าปัญหาหมอกควันข้ามแดนต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยนายกรัฐมนตรีลาวชื่นชมไทยที่สนับสนุนอุปกรณ์ตรวจสอบจุดความร้อน ส่งผลให้จำนวนจุดความร้อนและระดับหมอกควันในพื้นที่ลดลง

ไทยเสนอให้มีการตั้งห้องปฏิบัติการติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันร่วมกัน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีจาก GISTDA ของไทยในการตรวจวัดคุณภาพอากาศและแจ้งเตือนล่วงหน้า

เป้าหมายการค้าทวิภาคี 11,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

ขยายโอกาสทางการค้าและโลจิสติกส์

ไทยและลาวตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันจาก 8,000 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบันเป็น 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2027 โดยเน้นย้ำการพัฒนาเส้นทางคมนาคมและลดอุปสรรคทางการค้า

นายกรัฐมนตรีไทยขอบคุณลาวที่ช่วยแก้ปัญหาการขนส่งสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ขณะที่นายกรัฐมนตรีลาวย้ำความร่วมมือในการลดปัญหาการเผาในภาคเกษตรที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม

โลจิสติกส์: เชื่อมไทย-ลาว-จีน เสริมเศรษฐกิจภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีลาวยินดีกับความคืบหน้าการก่อสร้าง สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ซึ่งจะมีการเชื่อมกึ่งกลางสะพานเร็ว ๆ นี้ และคาดว่าจะเปิดใช้งานปลายปีนี้

ไทยยังเสนอแนวทางพัฒนาเส้นทางโลจิสติกส์สู่จีน โดยสนับสนุนการสร้างสะพานรถไฟแห่งใหม่ที่ หนองคาย-เวียงจันทน์ เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น

ความร่วมมือด้านประชาชนและการศึกษา

ไทยและลาวร่วมเปิดตัวตราสัญลักษณ์เฉลิมฉลอง 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต และประกาศโครงการมอบ ทุนการศึกษา 75 ทุน ให้กับนักศึกษา สปป.ลาว เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของทั้งสองประเทศ

ความร่วมมือในระดับภูมิภาค

ไทยยินดีที่ลาวประสบความสำเร็จในการดำรงตำแหน่ง ประธานอาเซียน เมื่อปีที่แล้ว และเชิญนายกรัฐมนตรีลาวเข้าร่วม ประชุมสุดยอดความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Summit) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพปลายปีนี้

สรุป: ไทย-ลาวเดินหน้าความร่วมมือระยะยาว

การหารือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ไทย-ลาว ทั้งในด้านความมั่นคง การค้า สิ่งแวดล้อม และการศึกษา เพื่อให้ประชาชนทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด และร่วมกันก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE