Categories
ECONOMY

เชียงรายเปิดประตูยาง นำร่องส่งตรงจีน ภาษีเหลือศูนย์ ดันคุณภาพชีวิตเกษตรกร

เชียงรายเตรียมเป็นประตูการค้าผ่านโขง เจรจาจีนซื้อตรงยางพารา 300 ตัน ลดภาษีเหลือ 0% สร้างจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมยางพาราไทย

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์การส่งออกยางพาราของไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจุดสำคัญ หลังเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศเปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาโรงงานจีน เตรียมนำร่องซื้อยางพาราจากเกษตรกรไทยโดยตรง 300 ตัน พร้อมสิทธิประโยชน์ภาษี 0% ผ่านลุ่มแม่น้ำโขงเข้าสู่มณฑลยูนนาน จีน เสริมบทบาทเชียงรายในฐานะ “จุดยุทธศาสตร์การค้าภาคเหนือ” สะท้อนนัยยะเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจทั้งจังหวัดและประเทศ

จุดเริ่มเปลี่ยนสมดุลการค้าชายแดนเหนือ

จุดเด่น ของโครงการนี้คือการส่งออกยางโดยตรงผ่าน “ด่านเชียงของ” จังหวัดเชียงราย ลดต้นทุนภาษีจาก 20% เหลือ 0% สอดคล้องกับกลุ่มประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบโลจิสติกส์ที่เคยเน้นภาคใต้ ซึ่งแต่เดิมพ่อค้าจีนรับยางผ่าน 6 ด่านหลักในภาคใต้ของไทย ต้องแบกภาษีนำเข้าราว 7,500 บาท/ตัน รวมถึงภาษีแวตและค่าขนส่งที่สูงขึ้น ส่งผลให้ยางจากเชียงรายและภาคเหนือกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ได้เปรียบเชิงภาษีและโลจิสติกส์

ปัจจุบัน เครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางระดับประเทศมีสมาชิกกระจายทั่วประเทศ โดย ภาคเหนือและอีสาน เป็นกลุ่มใหญ่ เมื่อรวมศักยภาพการรวมกลุ่ม เกษตรกรไทยจะมีโอกาสขายยางในราคาดีขึ้น ลดการถูกกดราคาจากโรงงาน หรือหักค่าหัวคิวจากพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการผลักดันโดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และกระทรวงเกษตรฯ

บทบาทใหม่ “เชียงรายฮับยางไทย” ผลักดันเศรษฐกิจชุมชน

เชียงรายในฐานะ “ประตูการค้าภาคเหนือ” กำลังขยายบทบาทจากเดิมที่เป็นจุดผ่านแดนสำคัญ สู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมแปรรูปยางในภูมิภาค ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมทั้งเครือข่ายเกษตรกร ระบบขนส่งทางน้ำผ่านโขง และความร่วมมือระดับนโยบายกับจีนโดยตรง

ประเด็นสำคัญ ที่ตามมาคือ หากโครงการนี้นำร่องสำเร็จ ราคายางในพื้นที่จะมีเสถียรภาพมากขึ้น เกษตรกรได้รับผลตอบแทนสูง ลดแรงกดดันจากภาวะราคาตกต่ำ ส่วนผู้ประกอบการในภาคใต้ที่เคยได้เปรียบด้านโรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ อาจต้องปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของเส้นทางและรูปแบบการค้าระหว่างประเทศ

อีกด้านหนึ่ง โรงงานแปรรูปขนาดใหญ่ในจีนและลาวที่เคยลงทุนเพื่อรองรับยางจากภูมิภาคนี้อาจมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลจีนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานเข้ามาลงทุนร่วมกับท้องถิ่น ส่งเสริมการขยายกำลังผลิตและสร้างโอกาสการจ้างงานใหม่ในภาคเหนือ

วิเคราะห์ผลกระทบและอนาคตอุตสาหกรรมยางพารา

การเปลี่ยนแปลงเส้นทางการส่งออกยางผ่านเชียงราย นอกจากจะลดภาษีให้เกษตรกร ยังเปิดโอกาสการรวมกลุ่มขนาดใหญ่ สร้างอำนาจต่อรองในการกำหนดราคายางกับต่างประเทศ ลดการผูกขาดโดยนายหน้า การดำเนินโครงการนี้ยังมีส่วนช่วยให้การตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานยางพาราไทยโปร่งใสมากขึ้น ซึ่งจีนให้ความสำคัญกับคุณภาพยางพาราไทยมากกว่ายางจากประเทศอื่นในอาเซียน

ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องเดินหน้าแก้ไขอุปสรรคเชิงระบบ เช่น การสนับสนุนค่าขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์ในภาคเหนือ และการดูแลมาตรฐานการผลิตและแปรรูปยางให้สอดคล้องกับตลาดจีน เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงคุณภาพ

ความท้าทาย คือภาคเอกชนและชุมชนจะต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ขยายเครือข่ายความร่วมมือ ทั้งในด้านการผลิต การตลาด และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางอย่างครบวงจร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากเชียงราย ขยายโอกาสการส่งออกไปยังตลาดจีนและประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างยั่งยืน

สรุป

ความคืบหน้าการส่งออกยางผ่านเชียงราย ไม่เพียงเปลี่ยนสมดุลทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมยางไทย แต่ยังตอกย้ำบทบาทของเชียงรายในฐานะ “ศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ของภาคเหนือ” เปิดประตูใหม่สู่ตลาดจีนโดยตรง เสริมรายได้เกษตรกร กระตุ้นการจ้างงาน และสร้างโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ประชาชาติธุรกิจ
  • สำนักงานการยางแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • China Daily
  • World Bank Thailand Economic Monitor
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจัด ‘มหกรรมสินค้าเกษตร 68’ หนุนเกษตรปลอดภัย สร้างผู้ประกอบการเข้มแข็ง

เชียงรายจัด “มหกรรมสินค้าเกษตร 2568” หนุนตลาดปลอดภัย ยกระดับเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการมืออาชีพ

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าจัดงาน “มหกรรมสินค้าเกษตรจังหวัดเชียงราย ปี 2568” เพื่อส่งเสริมเกษตรกรท้องถิ่น พร้อมดันสินค้าเกษตรปลอดภัยสู่ตลาดผู้บริโภคและเชื่อมโยงเครือข่ายสู่ความยั่งยืน โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการสินค้าเกษตร ตลาดเกษตรกรจังหวัดเชียงราย ภายใต้บรรยากาศคึกคักจากเกษตรกร ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงาน

มุ่งสร้างตลาดเกษตรถาวรและความมั่นคงของเกษตรกร

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวในพิธีเปิดงานว่า จังหวัดเชียงรายมีเป้าหมายสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรด้วยการผลักดันตลาดถาวรสำหรับรองรับผลผลิตคุณภาพดี นำร่องโดยโครงการตลาดเกษตรกรที่ริเริ่มตั้งแต่ปี 2558 ภายใต้การสนับสนุนของกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยงานนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานสินค้าและการตลาดให้แก่เกษตรกร เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน

นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำถึงบทบาทของตลาดเกษตรกรในฐานะศูนย์กลางเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตร ส่งเสริมการผลิต การแปรรูป บรรจุภัณฑ์ การตลาด และต่อยอดเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการที่เข้มแข็ง สามารถแข่งขันและพึ่งพาตนเองได้

พื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้และตรวจสอบคุณภาพ

ภายในงานมีการแสดงและจำหน่ายสินค้าทางการเกษตรปลอดภัย ผลิตภัณฑ์แปรรูปทางการเกษตร พร้อมบริการตรวจหาสารเคมีตกค้างในพืชผลและให้คำปรึกษาทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้กับเกษตรกรและประชาชน สร้างความเข้าใจถึงมาตรฐานความปลอดภัย ตลอดจนส่งเสริมการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างเกษตรกร สถาบันการเกษตร ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว

ผลลัพธ์และบทวิเคราะห์

การจัด “มหกรรมสินค้าเกษตรจังหวัดเชียงราย ปี 2568” ถือเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการภาคเกษตรสมัยใหม่ที่เน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกษตรกรทั้งระบบ จากการผลิตไปจนถึงตลาดผู้บริโภค ด้วยกลยุทธ์ส่งเสริมตลาดถาวร สร้างความมั่นคง และเปิดโอกาสให้เกษตรกรปรับบทบาทสู่ผู้ประกอบการมืออาชีพ ซึ่งจะเป็นต้นแบบที่สำคัญในการพัฒนาการเกษตรไทยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • ศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการสินค้าเกษตร ตลาดเกษตรกรเชียงราย
  • งานมหกรรมสินค้าเกษตรจังหวัดเชียงราย ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันชัด! แม่น้ำกกใช้เกษตรได้ แนะจัดการดิน-สุขอนามัย

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่เวียงชัย สร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกร – ย้ำ “น้ำกกยังใช้ทำเกษตรได้” ภายใต้เงื่อนไขการจัดการดินและสุขอนามัย

เชียงราย,11 มิถุนายน 2568 –  นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายบดินทร์ เทียมภักดี นายอำเภอเวียงชัย นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจเกษตรกรผู้ทำนา ณ หมู่ที่ 8 บ้านไตรแก้ว ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในประเด็นคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก หลังมีรายงานการตรวจพบสารหนูในบางจุด จนเกิดกระแสข่าวและความวิตกกังวลในวงกว้าง

ผลตรวจชี้ “สารหนูในน้ำกก” มีผลต่างกันแต่ควบคุมได้ – ย้ำรัฐโปร่งใส

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุว่า ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่า ในน้ำแม่น้ำกกมีการตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในบางจุดจริง โดยระดับการปนเปื้อนมีความแตกต่างกันตามพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดไม่ได้ปิดบังข้อมูล มีการเปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อสร้างความมั่นใจและให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งทางการโดยตรง

ผู้ว่าฯ ยังย้ำว่า ประชาชนควรรับข้อมูลจากหน่วยงานรัฐที่มีผลแล็บมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ทั้งนี้ ข้อมูลคุณภาพน้ำและผลตรวจต่าง ๆ จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอย่างต่อเนื่อง

น้ำประปา “ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน” ใช้อุปโภคบริโภคได้ปลอดภัย

หนึ่งในข้อกังวลสำคัญคือคุณภาพน้ำประปาทั้งระดับการประปาภูมิภาคสาขาเชียงรายและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ ซึ่งใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกเป็นต้นทุน จากการลงพื้นที่ตรวจสอบและผลการวิเคราะห์ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย และการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย พบว่า น้ำประปาผ่านกระบวนการตกตะกอน กรอง และบำบัดตามหลักวิชาการ ได้คุณภาพปลอดภัยตามมาตรฐาน สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างมั่นใจ

เกษตรจังหวัดเชียงราย นายเสน่ห์ แสงคำ กล่าวเสริมว่า ในประเด็นความปลอดภัยของน้ำเพื่อการเกษตร ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดการสะสมของโลหะหนักในพืช คือ “การปรับปรุงคุณภาพดินให้มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสม” หากค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ที่ 6.5 ขึ้นไป จะช่วยจำกัดการดูดซึมของสารหนูและโลหะหนักเข้าสู่พืชผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลแล็บ “พืช-สัตว์น้ำ” ในพื้นที่แม่น้ำกกยังไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 จังหวัดเชียงราย ระบุว่าการเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์น้ำที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก รวมถึงชนิดที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำโดยตรงส่งตรวจในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน พบว่าปริมาณสารหนูในตัวอย่าง “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” สะท้อนว่ายังสามารถใช้น้ำจากแม่น้ำกกเพื่อการเกษตรในพื้นที่ได้ตามปกติ

สร้างภูมิคุ้มกันข้อมูล – เน้นรับข่าวสารจากหน่วยงานรัฐ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำว่า ประชาชนควรติดตามข้อมูลจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีผลแล็บและเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ขอให้ระวังข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ชัดเจน เพราะอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น

เน้นสุขอนามัยและแนวทางปฏิบัติสำหรับเกษตรกร

นอกจากประเด็นเรื่องคุณภาพน้ำแล้ว เกษตรจังหวัดเชียงรายยังแนะนำเกษตรกรควรป้องกันตัวเองในระหว่างปฏิบัติงานในพื้นที่น้ำธรรมชาติ เช่น สวมรองเท้าบูทและเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายให้มิดชิดระหว่างลงแปลงนา เพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสหรือสะสมสารเคมีหรือโลหะหนักบนผิวหนังในระยะยาว

เสียงสะท้อนจากชาวนาเวียงชัย – รัฐต้องแก้ปัญหาที่ต้นทาง

เกษตรกรในเวียงชัยยังคงติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและเชื่อมั่นในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เป็นทางการ อย่างไรก็ดี มีข้อเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่ต้นน้ำ และวางแนวทางบรรเทาผลกระทบอย่างยั่งยืน

สร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจและมาตรการเชิงรุก

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นของการสื่อสารข้อมูลวิชาการอย่างต่อเนื่อง และการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจในการประกอบอาชีพของเกษตรกรกับมาตรการควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รัฐจำเป็นต้องเร่งมือแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง ควบคู่กับการให้ข้อมูลที่โปร่งใสเพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในหมู่ประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รัฐบาลทุ่ม ‘พันล้าน’ พัฒนา 141 โครงการพลิกโฉม ‘เชียงราย’

จังหวัดเชียงรายเดินหน้า141 โครงการ พัฒนาท้องถิ่น ใช้งบกว่า 1,000 ล้าน ยกระดับคุณภาพชีวิต-เกษตรกรรม-ท่องเที่ยว

เชียงราย,31 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางเป้าหมายในการสร้างจังหวัดเชียงรายให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ รัฐบาลกลางได้เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดจัดทำข้อเสนอแผนพัฒนาพื้นที่เพื่อนำเสนอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ภายใต้กรอบวงเงินรวมกว่า 157,000 ล้านบาท ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้เร่งจัดทำแผนโครงการพัฒนาจำนวน 141 รายการ วงเงินรวมมากกว่า 1,000 ล้านบาท ครอบคลุม 18 อำเภอทั่วจังหวัด โดยเน้นหนักในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการน้ำ การป้องกันตลิ่ง การส่งเสริมการท่องเที่ยว และความปลอดภัยในชุมชน

การเคลื่อนไหวเชิงนโยบายนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงความตั้งใจของจังหวัดในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืน หากแต่ยังเป็นการต่อยอดจากปัญหาที่มีมานาน ทั้งถนนชำรุด น้ำท่วมซ้ำซาก และการขาดโครงสร้างพื้นฐานรองรับนักท่องเที่ยวที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชียงรายเริ่มกลายเป็นจุดหมายของนักลงทุนและนักเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้าน

จุดเริ่มต้นของการเสนอแผนงบประมาณเชิงพื้นที่

ในช่วงต้นปี 2568 จังหวัดเชียงรายได้จัดประชุมร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และภาคประชาสังคม เพื่อรวบรวมปัญหาและความต้องการเร่งด่วนในพื้นที่ ก่อนจะสังเคราะห์เป็นแผนงบประมาณ โดยให้ความสำคัญกับการกระจายงบอย่างเป็นธรรม และเน้นผลสัมฤทธิ์เชิงพื้นที่อย่างแท้จริง

โครงการทั้งหมดถูกรวบรวมและจัดลำดับความสำคัญ โดยสำนักงานจังหวัดเชียงราย และนำเสนอเข้าสู่ระบบงบประมาณตามกรอบของสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

  1. เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมและสาธารณูปโภค
  2. พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค
  3. ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติ
  4. สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวชุมชน
  5. เสริมความปลอดภัยในพื้นที่และความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว

วิเคราะห์โครงการเด่นและผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ

  1. ด้านโครงสร้างพื้นฐานและถนน (วงเงินรวมประมาณ 330 ล้านบาท)
  • ถนน คสล. สาย ชร.ถ.69-146 บ้านโป่งเกลือใต้ อ.เมือง วงเงิน 11,166,000 บาท ครอบคลุมประชาชน 988 คน
  • งานบำรุงทางหลวง 1098 และ 1429 ใน อ.แม่จัน และ อ.เชียงแสน ใช้งบกว่า 30 ล้านบาท
  • ถนนสายรองในพื้นที่ชนบทอีกกว่า 10 โครงการ ครอบคลุมผู้ใช้งานรวมกว่า 100,000 คน
  1. ระบบน้ำเพื่อการเกษตรและชลประทาน (วงเงินรวมกว่า 400 ล้านบาท)
  • สถานีสูบน้ำบ้านสบคำ อ.เชียงแสน วงเงิน 45 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก 1,500 ไร่
  • ขุดลอกลำห้วยน้ําเหลือง ต.ท่าสุด อ.เมือง วงเงิน 497,500 บาท ได้ประโยชน์กว่า 12,000 คน
  • ปรับปรุงอ่างเก็บน้ำหนองแหวน และอ่างใน ต.นางแล รวมกว่า 10 โครงการ
  1. ป้องกันตลิ่งและภัยธรรมชาติ (รวมกว่า 100 ล้านบาท)
  • เขื่อนริมแม่น้ำกก หลังศูนย์ราชการ อ.เมือง วงเงิน 1,292,000 บาท คุ้มครอง 500 ครัวเรือน
  • เขื่อนริมแม่น้ำลาว บ้านเฟือยไฮ อ.เวียงป่าเป้า งบ 2.8 ล้านบาท ปกป้องพื้นที่เกษตรกว่า 1,500 ไร่
  1. ส่งเสริมการท่องเที่ยวและความปลอดภัย (วงเงินรวมกว่า 25 ล้านบาท)
  • ปรับปรุงสวนญี่ปุ่น – สวนตุง – สวนหิน อ.เวียงเชียงรุ้ง วงเงินรวม 1.5 ล้านบาท
  • รถรางนำเที่ยว บ้านโป่งศรีนคร ต.โรงช้าง งบ 900,000 บาท
  • กล้องวงจรปิด 120 จุด ต.โรงช้าง งบ 1.2 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความมั่นใจนักท่องเที่ยว

ใครได้ประโยชน์จากแผนนี้

จากการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ พบว่าประชาชนกว่า 250,000 คนใน 18 อำเภอจะได้รับประโยชน์โดยตรง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ขาดแคลนสาธารณูปโภค โดยแบ่งเป็นกลุ่มหลัก ได้แก่:

  • เกษตรกร ได้รับประโยชน์จากระบบน้ำและการชลประทานที่เพิ่มขึ้น
  • ผู้สัญจรและชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล ได้ใช้ถนนใหม่ ปลอดภัยขึ้น และลดเวลาเดินทาง
  • ผู้ประกอบการในชุมชนและภาคการท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มระบบโครงสร้างและเครื่องมือสนับสนุน
  • ประชาชนทั่วไป มีความมั่นใจในระบบความปลอดภัยมากขึ้นจากกล้อง CCTV และเขื่อนป้องกันน้ำหลาก

วิเคราะห์แนวโน้มและผลลัพธ์เชิงระบบ

แม้งบประมาณที่เสนอยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา แต่โครงการที่นำเสนอมีความเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาจังหวัดและเป้าหมาย BCG Economy ได้แก่

  • การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ผ่านระบบสูบน้ำและฝายแบบประหยัดพลังงาน
  • การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชนและใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น
  • การสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ ผ่านงานก่อสร้างและระบบบริการในแต่ละโครงการ

ในระยะยาว หากโครงการทั้งหมดได้รับงบสนับสนุนและบริหารจัดการได้อย่างโปร่งใส จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมศักยภาพของเชียงรายในการเป็นเมืองเศรษฐกิจชายแดนเต็มรูปแบบ

สถิติประกอบข่าว

  • จำนวนโครงการทั้งหมด 141 โครงการ
  • วงเงินรวม1,226,677,700 บาท
  • ประชาชนที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ราว 250,000 คน
  • พื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับการพัฒนา มากกว่า 20,000 ไร่
  • งบโครงสร้างพื้นฐาน 330 ล้านบาท
  • งบระบบน้ำ 400 ล้านบาท
  • งบป้องกันภัยพิบัติ: 100 ล้านบาท
  • งบท่องเที่ยวและความปลอดภัย 25 ล้านบาท

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อให้การดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทของจังหวัดเชียงรายเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ควรมีแนวทางสนับสนุนเพิ่มเติม

  1. จัดให้มีระบบติดตามและประเมินผลอย่างโปร่งใส
    ควรเผยแพร่ความคืบหน้าการดำเนินโครงการผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มสาธารณะของจังหวัด พร้อมรายละเอียดงบประมาณที่ใช้ในแต่ละช่วง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้
  2. เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับอำเภอ
    การจัดประชุมหรือเวทีเสวนาร่วมกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหรือเกี่ยวข้องกับโครงการ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน และปรับแผนให้สอดคล้องกับความต้องการจริงของพื้นที่
  3. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดเก็บข้อมูลและรายงานผล
    เช่น การสร้างระบบฐานข้อมูลกลางหรือแดชบอร์ดออนไลน์ที่แสดงความก้าวหน้าของแต่ละโครงการแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดความล่าช้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
  4. บูรณาการแผนงานร่วมกับส่วนกลางและท้องถิ่น
    การเชื่อมโยงเป้าหมายของจังหวัดกับแผนระดับกระทรวง หน่วยงานรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะช่วยให้การดำเนินงานไม่ซ้ำซ้อนและสามารถต่อยอดเป็นโครงการเชิงระบบในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เอกสารงบประมาณ “บัญชีโครงการที่เสนอขอภายใต้แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาทของจังหวัดเชียงราย” จากสำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลสถิติจำนวนประชากร: สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567)
  • แผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566 – 2570
  • แนวทางการจัดทำงบประมาณภาครัฐ ประจำปี พ.ศ. 2568 จากสำนักงบประมาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘อัครา’ เปิดไฟฟ้าส่องสว่าง บ้านผาลั้ง พัฒนาชุมชนบนพื้นที่สูง

บ้านผาลั้งได้ไฟฟ้าแล้ว! ฉลอง 70 ปีแห่งการรอคอย รมช.เกษตรฯ นำความเจริญสู่ชุมชนบนพื้นที่สูง

ไฟฟ้าส่องสว่างสร้างโอกาส พัฒนาการศึกษา-เศรษฐกิจ หนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นควบคู่เทคโนโลยี

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568บ้านผาลั้ง หมู่ที่ 4 ตำบลห้วยชมภู อำเภอเมืองเชียงราย ฉลองครั้งใหญ่ในรอบ 70 ปี หลังได้รับการขยายเขตการใช้ไฟฟ้าเข้าสู่พื้นที่สำเร็จ โดยมี นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานเฉลิมฉลอง ณ ลานอเนกประสงค์บ้านผาลั้ง พร้อมเน้นย้ำถึง การบูรณาการเทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่สูง

ในงานดังกล่าวมี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น และชาวบ้านในพื้นที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของบ้านผาลั้งที่รอคอยไฟฟ้ามานานกว่า 7 ทศวรรษ

ไฟฟ้า: จุดประกายความหวังใหม่ให้บ้านผาลั้ง

นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า โครงการขยายเขตไฟฟ้าเข้าสู่บ้านผาลั้งครั้งนี้ เป็นมากกว่าการติดตั้งเสาไฟฟ้าและเดินสายส่ง แต่ถือเป็น การนำพาความหวัง โอกาส และความก้าวหน้ามาสู่ชุมชน โดยเฉพาะใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่

  • การศึกษา – ไฟฟ้าจะช่วยให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสทางการศึกษาที่ดียิ่งขึ้น สามารถเรียนออนไลน์ เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ และเปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น
  • เศรษฐกิจและอาชีพ – การมีไฟฟ้าจะช่วย เพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ เช่น การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร การพัฒนาหัตถกรรม และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีที่ช่วยให้การทำเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • สุขภาพและคุณภาพชีวิต – ไฟฟ้าจะช่วยให้ชุมชนมีน้ำสะอาดผ่านระบบสูบน้ำ มีไฟส่องสว่างในเวลากลางคืน ลดอุบัติเหตุ และช่วยให้บริการสาธารณสุขทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ไฟฟ้าไม่ใช่แค่แสงสว่าง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมเชื่อว่า ไฟฟ้าจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้บ้านผาลั้งเติบโตอย่างยั่งยืน และช่วยให้พี่น้องชาวผาลั้งก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง” นายอัครากล่าว

ภูมิปัญญาท้องถิ่น + นวัตกรรม = ทางรอดของเศรษฐกิจบ้านผาลั้ง

นายอัครา ยังกล่าวถึงความสำคัญของการ ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน

“บ้านผาลั้งเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของพี่น้องชาวบ้านผาลั้ง คือสมบัติล้ำค่าที่สามารถพัฒนาให้กลายเป็นจุดแข็งทางเศรษฐกิจ เราต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ผลิตภัณฑ์และบริการมีคุณภาพดีขึ้น ขยายตลาดได้กว้างขึ้น และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน”

ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ไฟฟ้าเพื่อเพิ่มศักยภาพ ได้แก่:

  • เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) – ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติสำหรับการให้น้ำและปุ๋ย
  • การแปรรูปผลผลิต – เช่น การทำชา กาแฟ หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพืชท้องถิ่น
  • งานหัตถกรรมและของที่ระลึก – เช่น ผ้าทอพื้นเมือง เครื่องจักสาน และผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่

“ผมขอชื่นชมในความเข้มแข็งของพี่น้องชาวผาลั้ง ที่สามารถรักษาและสืบทอดภูมิปัญญาอันดีงามของบรรพบุรุษไว้ ผมเชื่อมั่นว่า หากเราผสมผสานภูมิปัญญากับเทคโนโลยีอย่างถูกต้อง บ้านผาลั้งจะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดได้แน่นอน” รมช.เกษตรฯ กล่าว

บ้านผาลั้งเติบโตอย่างยั่งยืน: กระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้การสนับสนุน

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) มีแผนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนบ้านผาลั้งในระยะยาว โดยเน้น 3 แนวทางหลัก ได้แก่

1️.ส่งเสริมอาชีพและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน

  • พัฒนาระบบตลาดสินค้าเกษตร
  • สนับสนุนเงินทุนและองค์ความรู้ด้านการประกอบอาชีพ
  • สนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

2.พัฒนาสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน

  • ขยายโครงข่ายไฟฟ้าและระบบน้ำประปาภูเขา
  • สนับสนุนการพัฒนาถนนและเส้นทางคมนาคม
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการท่องเที่ยว

3.เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

  • อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากร
  • สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์
  • พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรภายนอกเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

สรุป

  • บ้านผาลั้งได้ไฟฟ้าแล้วหลังรอคอยกว่า 70 ปี
  • รมช.เกษตรฯ เปิดงานเฉลิมฉลองและเน้นย้ำความสำคัญของไฟฟ้าต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต
  • ไฟฟ้าช่วยเปิดโอกาสใหม่ด้านการศึกษา อาชีพ และสุขภาพของชุมชน
  • รัฐบาลส่งเสริมการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจบ้านผาลั้ง
  • กระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนอาชีพ สาธารณูปโภค และความเข้มแข็งของชุมชนในระยะยาว

โครงการขยายไฟฟ้าสู่บ้านผาลั้ง ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาพื้นที่สูง และเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการนำ พลังงานและเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืนและมีอนาคตที่มั่นคงมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พบจุดเผาป่า 5 จุด บุกรุกตัดไม้ทำลายป่าแม่สรวย

เจ้าหน้าที่ปกครอง-ป่าไม้ เชียงราย เข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าแม่สรวย พบการบุกรุกและเผาป่าเพื่อทำการเกษตร

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ร่วมกับหน่วยป้องกันรักษาป่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย บริเวณบ้านห้วยหญ้าไซ หมู่ 9 และบ้านจะหา หมู่ 11 ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย หลังได้รับแจ้งเหตุบุกรุกป่าและตัดไม้ทำลายป่าในหลายจุด

จากการตรวจสอบพื้นที่ เจ้าหน้าที่พบว่ามีการบุกรุกและตัดต้นไม้เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับทำการเกษตร จำนวน 3 จุด มีร่องรอยการโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่และการเผาพื้นที่ป่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดพื้นที่ พร้อมทั้งเก็บรวบรวมไม้ของกลางเพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สรวย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และติดตามหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

พบจุดความร้อน 5 จุด เผาป่าเตรียมพื้นที่เกษตร

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้เดินลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบ จุดความร้อน (Hotspot) ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามีการเผาพื้นที่ป่าเพื่อเตรียมการเพาะปลูก จำนวน 5 จุด ซึ่งอยู่ในเขตติดต่อระหว่าง โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านห้วยหญ้าไซ และ ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย

เจ้าหน้าที่ได้ทำการบันทึกพิกัดจุดเผาเพื่อนำไปตรวจสอบกับแผนที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จะมีการดำเนินคดีตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จะมีการเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเผาป่าเพิ่มเติมในอนาคต

เจ้าหน้าที่ภาคสนามร่วมปฏิบัติการเข้มงวด

สำหรับปฏิบัติการในครั้งนี้ ได้รับมอบหมายจาก นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ให้ นายจิตรกร คูสินไทย ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้นำกำลังชุดปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วย:

  • สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.)
  • กำนันตำบลป่าแดด
  • รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ป่าแดด
  • เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชร.7 (ท้าวแก่นจันทร์)
  • เจ้าหน้าที่จาก สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย)
  • หัวหน้าโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ บ้านห้วยหญ้าไซ

โดยการปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นความร่วมมือของหลายหน่วยงานที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาการบุกรุกและทำลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง

มาตรการเข้มงวดในการป้องกันการบุกรุกป่า

เจ้าหน้าที่ป่าไม้และหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่มีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการบุกรุกป่าอย่างเข้มงวด โดยใช้ เทคโนโลยีดาวเทียมและการตรวจจับจุดความร้อน ในการติดตามการเผาป่า พร้อมทั้งลงพื้นที่ตรวจสอบและดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการขยายพื้นที่บุกรุกเพิ่มเติม

ในช่วงปีที่ผ่านมา อำเภอแม่สรวยเป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงต่อปัญหาการบุกรุกและเผาป่า เนื่องจากมีการขยายพื้นที่ทำการเกษตรเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ส่งผลให้เกิดไฟป่าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง เจ้าหน้าที่จึงได้วางแผนเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน และให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับผลกระทบของการบุกรุกป่าและเผาป่า เพื่อสร้างจิตสำนึกและลดปัญหาดังกล่าวในระยะยาว

ผลกระทบจากการบุกรุกป่าและเผาป่า

การบุกรุกป่าและเผาป่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่ทำให้พื้นที่ป่าถูกทำลาย แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพอากาศและปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยเผชิญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในภาคเหนือของประเทศ

ผลกระทบที่สำคัญจากการบุกรุกป่าและเผาป่า ได้แก่:

  1. สูญเสียพื้นที่ป่าธรรมชาติ ซึ่งส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
  2. ปัญหาภัยแล้งและการกัดเซาะดิน พื้นที่ที่ถูกบุกรุกจะสูญเสียความสามารถในการกักเก็บน้ำ ทำให้เกิดปัญหาดินเสื่อมโทรมและภัยแล้งตามมา
  3. ฝุ่นละออง PM2.5 และมลพิษทางอากาศ การเผาป่าทำให้เกิดควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจ
  4. ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น พื้นที่ป่าที่ถูกทำลายทำให้สูญเสียทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว รวมถึงส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวที่เน้นความสมบูรณ์ของธรรมชาติ

เจ้าหน้าที่เตือนประชาชน หยุดเผาป่า หยุดทำลายทรัพยากร

จากสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ป่าไม้และฝ่ายปกครองจึงขอความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ ให้ช่วยกันปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงการเผาป่า โดยเน้นย้ำว่า การบุกรุกป่าและเผาป่าเป็นความผิดทางกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรง หากพบเห็นการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ หน่วยป้องกันรักษาป่าในพื้นที่ หรือสายด่วนกรมป่าไม้ โทร. 1362

ในระยะต่อไป เจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการตรวจสอบพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมและโดรนในการติดตามพื้นที่ที่มีการบุกรุกและเผาป่า เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว

สรุป

  • เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พื้นที่ป่าแม่สรวย จังหวัดเชียงราย พบการบุกรุกและเผาป่าเพื่อเตรียมการเกษตร จำนวน 3 จุด
  • ตรวจพบ จุดความร้อน 5 จุด ซึ่งเป็นการเผาป่าในพื้นที่ บ้านห้วยหญ้าไซ และบ้านจะหา
  • มีการตรวจยึดพื้นที่ พร้อมดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • เจ้าหน้าที่เรียกร้องให้ประชาชนร่วมมือ หยุดเผาป่า หยุดบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลุยฉีดวัคซีน 7.8 ล้านโดส ป้องกันลัมปี สกิน สร้างความเชื่อมั่นปศุสัตว์

รมช.เกษตรฯ Kick Off ฉีดวัคซีนลัมปี สกิน 7.8 ล้านโดส ลดความสูญเสีย-เพิ่มความเชื่อมั่นปศุสัตว์ไทย

เชียงราย, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดตัวโครงการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคลัมปี สกินทั่วประเทศ จำนวน 7.8 ล้านโดส โดยเริ่มต้นจากจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องสำหรับสร้างเขตปลอดโรคปศุสัตว์ และเตรียมความพร้อมเพื่อผลักดันการส่งออกโค กระบือไปยังตลาดจีน

วันนี้ (21 ก.พ. 68) นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ Kick Off รณรงค์ฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกิน ณ ลานทองฟาร์ม ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ตัวแทนภาครัฐ และเกษตรกรเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

เป้าหมายและแผนการฉีดวัคซีน

  • รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพื่อควบคุมโรคดังกล่าว ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567
  • กรมปศุสัตว์ได้รับงบกลางสำหรับจัดซื้อวัคซีน 7,850,000 โดส ป้องกันการระบาดรุนแรง ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นในสินค้าปศุสัตว์
  • เชียงรายได้รับวัคซีน 78,330 โดส ครอบคลุมจำนวนโค กระบือทั้งจังหวัด
  • แผนรณรงค์ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้นในจังหวัดตาก วันที่ 28 ก.พ. 2568

ผลกระทบของโรคระบาดและแนวทางป้องกัน

โรคลัมปี สกิน และโรคปากและเท้าเปื่อยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ของไทย ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับโค กระบือ รวมถึงการจัดตั้งคอกกักเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะที่เชียงราย ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งสินค้าปศุสัตว์ไปยังจีน

รมช.เกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงฯ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) เพื่อเปิดตลาดส่งออกโคมีชีวิต คาดว่าหากเจรจาสำเร็จจะช่วยยกระดับราคาปศุสัตว์ไทยและสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น

สถานการณ์การผลิตและส่งออกโคเนื้อ

  • ปี 2567 ไทยมีโคเนื้อ 9.9 ล้านตัว เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมี 9.65 ล้านตัว
  • ผลผลิตโคเนื้ออยู่ที่ 1.18 ล้านตัว ลดลงจาก 1.29 ล้านตัวของปี 2566
  • ส่งออกโคมีชีวิตรวม 133,416 ตัว มูลค่า 3,242.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเวียดนาม มาเลเซีย และลาวเป็นตลาดหลัก

การฟื้นฟูสุขภาพกระบือในเวียงหนองหล่ม

รมช.เกษตรฯ พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ ทวาฟาร์ม อำเภอแม่จัน ซึ่งเป็นเครือข่ายโคเนื้อล้านนา หลังจากได้รับรายงานว่าการควบคุมโรคลัมปี สกิน และการฟื้นฟูสุขภาพกระบือเวียงหนองหล่มดำเนินไปด้วยดี

สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงรายรายงานว่า เวียงหนองหล่มมีจำนวนกระบือ 962 ตัว พบกระบือป่วยสะสม 155 ตัว รักษาหายแล้ว 150 ตัว (96.8%) และมีการตายเพียง 5 ตัว (3.2%) กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินมาตรการเข้มข้น เช่น:

  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย โรคคอบวม
  • ถ่ายพยาธิ และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในคอกสัตว์
  • แจกจ่ายพืชอาหารหยาบ 121,512 กิโลกรัม ให้กับฟาร์มในเวียงหนองหล่ม

แผนพัฒนาแหล่งอาหารสัตว์

กรมปศุสัตว์และโครงการชลประทานเชียงรายร่วมกันวางแผนปลูกพืชอาหารสัตว์ พร้อมจัดตั้งสถานีสูบน้ำ โดยมีแผนเพาะปลูกหญ้าบนพื้นที่ 350 ไร่ เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนอาหารสัตว์ในช่วงภัยแล้ง

สรุป: กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าป้องกันโรคระบาด และผลักดันตลาดส่งออก

การฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกิน 7.8 ล้านโดสทั่วประเทศ เป็นมาตรการสำคัญในการควบคุมโรคระบาด ลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทย และสร้างโอกาสในการส่งออก โดยเฉพาะสู่ตลาดจีน ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นราคาโคเนื้อและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไถกลบแทนเผา เชียงรายรณรงค์ลดฝุ่น PM2.5 เกษตรกรร่วมใจ

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ ไถกลบ ลดเผา สกัดฝุ่น PM2.5

เชียงราย, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น มุ่งแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในกิจกรรม “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ที่จัดขึ้นในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีนายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น, นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย, นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม

มุ่งลดการเผาในที่โล่ง เสริมสร้างความรู้ให้เกษตรกร

กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้เกษตรกรหยุดการเผาในพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่มีการเผาซากพืชจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่า การเผาในที่โล่งไม่เพียงแต่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพอากาศและการท่องเที่ยวของจังหวัด

“เชียงรายให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 มาโดยตลอด เราไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เพียงลำพัง แต่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การชิงไถและไถกลบแทนการเผา” นายประเสริฐกล่าว

กิจกรรมชิงไถและไถกลบเศษพืช ลดการเผาอย่างเป็นรูปธรรม

ในกิจกรรมครั้งนี้ มีการนำเครื่องจักรกลการเกษตรมาใช้ไถกลบตอซังและเศษพืชเหลือใช้ เพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงที่อาจถูกเผาทำลาย รวมถึงการหว่านเมล็ดพันธุ์ปอเทืองเพื่อใช้เป็นปุ๋ยพืชสด เนื่องจากปอเทืองเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีไนโตรเจนสูง ช่วยบำรุงดินและสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ เช่น การเลี้ยงโค กระบือ และหมู อีกทั้งยังช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน และรักษาความชื้นในดินได้เป็นอย่างดี

“การไถกลบแทนการเผาไม่เพียงช่วยลดมลพิษในอากาศ แต่ยังช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินมีคุณภาพดีขึ้น ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว” นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย กล่าว

มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส” คุมเข้มการเผาในพื้นที่

จังหวัดเชียงรายได้ออกมาตรการ “เชียงรายฟ้าใส 3 พื้นที่ 3 ช่วงเวลา” เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ช่วงห้ามเผาในที่โล่ง ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการบริหารจัดการเชื้อเพลิงจะดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเท่านั้น

ช่วงเข้มงวดการห้ามเผาอย่างเด็ดขาด ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งหากพบว่ามีการฝ่าฝืน จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นสูงสุด

การบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผาจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีบทลงโทษที่เข้มงวด รวมถึงอาจถูกตัดสิทธิ์การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมมือในการลดการเผา

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นกุญแจสำคัญ

การดำเนินงานภายใต้โครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการเผา และใช้แนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สรุป

กิจกรรม “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5” ในอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งจะช่วยลดมลพิษทางอากาศและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงราย

จังหวัดเชียงรายจะดำเนินมาตรการควบคุมการเผาอย่างเข้มข้นในช่วงฤดูแล้ง โดยมีเป้าหมายลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) และปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ให้น้อยที่สุด พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของการเผา และร่วมมือกันในการป้องกันปัญหาหมอกควันอย่างจริงจัง

สำหรับประชาชนที่พบเห็นการเผาในที่โล่ง สามารถแจ้งเหตุได้ที่ สายด่วน 053-602547 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและดำเนินมาตรการควบคุมทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย Kick Off ชิงไถ ลดเผา ลดฝุ่น PM2.5 ยั่งยืน

ผู้ว่าฯ เชียงราย Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ลดฝุ่น PM 2.5 อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัวโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” เพื่อรณรงค์ส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการเผา โดยจัดขึ้น ณ ศูนย์ข้าวชุมชนนาแปลงใหญ่ข้าวปลอดสารพิษ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน, เกษตรจังหวัดเชียงราย, เกษตรอำเภอพาน, นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน และเกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมงานจำนวนมาก

แนวทางแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวว่า ปัญหาการเผาในที่โล่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าและพื้นที่การเกษตร ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงรายจึงให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

การจัดกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อ สร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่เกษตรกร เกี่ยวกับผลกระทบของการเผา พร้อมนำเสนอทางเลือกทางการเกษตรที่สามารถลดการเผา เช่น การใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่ยั่งยืน และการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น

ข้อมูลพื้นที่เป้าหมายในการรณรงค์

ตำบลแม่อ้อมีพื้นที่ทั้งหมด 130 ตารางกิโลเมตร และมีประชากร 8,813 คน โดยมีพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญ ได้แก่:

  • พื้นที่นาข้าว 16,000 ไร่
  • พื้นที่เกษตรอื่นๆ 5,000 ไร่

ประชาชนในตำบลแม่อ้อส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา ซึ่งเนื่องจากพื้นที่อยู่นอกเขตชลประทาน ทำให้สามารถปลูกข้าวได้เพียงปีละ 1 ครั้ง ขณะที่ในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว เกษตรกรในพื้นที่ยังมี อาชีพเสริม ได้แก่ การทำเห็ดฟางยกก้อนสูง ซึ่งใช้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร แทนการเผาฟางและตอซังข้าว นับเป็นแนวทางที่ช่วยลดการเผาในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมส่งเสริมการลดเผาและแนวทางการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร

ในการจัดกิจกรรม Kick Off ชิงไถ ลดการเผา มีการนำเสนอแนวทางจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรโดยไม่ใช้การเผา ได้แก่:

  1. การไถกลบตอซังข้าว เพื่อช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และช่วยรักษาความชื้นในดิน
  2. การใช้เศษฟางและตอซังข้าวทำปุ๋ยหมัก เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยลดปริมาณขยะชีวภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  3. การนำเศษวัสดุเหลือใช้ไปเพาะเห็ดฟาง ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตและสร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกร

ผลกระทบของการเผาต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

การเผาตอซังข้าวและเศษวัสดุทางการเกษตรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด มลพิษทางอากาศและฝุ่น PM 2.5 ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง นอกจากนี้ยังทำให้ดินเสื่อมโทรม สูญเสียสารอาหารที่จำเป็น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า

ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

ในการแก้ไขปัญหาการเผา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินโครงการนี้เพื่อลดการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด พร้อมรณรงค์ให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนแนวทางการทำเกษตรไปสู่แนวทางที่ยั่งยืน

บทสรุป

กิจกรรม Kick Off ชิงไถ ลดการเผา ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการ แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์แทนการเผา ซึ่งไม่เพียงช่วยลดมลพิษ แต่ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และส่งเสริมการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ฤดูร้อนไทยเริ่มช้ากว่า 2 สัปดาห์ เตรียมรับมือความร้อน

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ฤดูร้อนปีนี้เริ่มช้า ย้ำให้ประชาชนเตรียมรับมือ

ประเทศไทย, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยได้ประกาศคาดการณ์ฤดูร้อนปีนี้ว่า จะเริ่มต้นช้ากว่าปกติประมาณ 2 สัปดาห์ โดยคาดว่าจะมาถึงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์และจะสิ้นสุดในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ภาพรวมของฤดูร้อนปีนี้จะมีลักษณะอากาศร้อนอบอ้าวเป็นระยะ สลับกับมีฝนฟ้าคะนองที่จะช่วยคลายความร้อนลงได้ในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางวันที่อากาศจะร้อนจัด โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายน

อุณหภูมิและปริมาณฝน

ในช่วงฤดูร้อนนี้ อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบนจะอยู่ที่ประมาณ 35-36 องศาเซลเซียส ซึ่งใกล้เคียงกับค่าปกติที่ 35.4 องศาเซลเซียส แต่จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเมื่อฤดูร้อนปี 2567 ซึ่งมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยที่ 37.5 องศาเซลเซียส สำหรับปริมาณฝนรวมเฉลี่ยคาดว่าจะมากกว่าค่าปกติ 10-20% ซึ่งจะช่วยบรรเทาความร้อนได้บ้าง

พายุฤดูร้อนและการเตรียมพร้อม

ทุกปีในช่วงฤดูร้อนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ มาพร้อมกับฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และบางครั้งมีลูกเห็บตก ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนที่ตกไม่เพียงพอกับความต้องการในหลายพื้นที่ ทั้งด้านอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกิดภัยแล้งซ้ำซากนอกเขตชลประทาน จึงขอแนะนำให้ประชาชนใช้น้ำอย่างประหยัดและเตรียมการป้องกันสภาวะดังกล่าว

การคาดการณ์สภาพอากาศตามภูมิภาค

ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: คาดการณ์ว่าจะมีอากาศร้อนอบอ้าวเกือบทั่วไป และมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ สลับกับมีฝนฟ้าคะนองและอาจมีลมกระโชกแรง รวมถึงลูกเห็บตกบางแห่ง อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 41-43 องศาเซลเซียส

ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งชายฝั่ง: อากาศร้อนอบอ้าวจะครอบคลุมเกือบทั่วไป แต่จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นระยะ โดยอาจมีลมกระโชกแรงและลูกเห็บในบางพื้นที่ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 40-42 องศาเซลเซียส

ภาคใต้: ช่วงเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนเมษายนจะมีอากาศร้อนในหลายพื้นที่ กับมีฝนตกประมาณ 20-30% ของพื้นที่ คลื่นลมในทะเลจะมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร จากนั้นจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมจะมีฝนตกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฝั่งตะวันตก อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 37-39 องศาเซลเซียส

กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล: จะมีอากาศร้อนเกือบทั่วไป แต่จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นระยะ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 38-39 องศาเซลเซียส

กรมอุตุนิยมวิทยาแนะนำให้ประชาชนติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งการใช้น้ำอย่างประหยัดเพื่อรับมือกับฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE