Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

สนามบินเชียงรายติดตั้งสะพานเทียบอากาศยานใหม่ 2 ตัว: เจาะมาตรการ SRM คุมเข้มความเสี่ยง FOD และยกหนัก

เชียงรายเดินหน้าอัปเกรด “สะพานเทียบอากาศยาน” ยกระดับความปลอดภัย-บริการ เจาะมาตรการ SRM, การสื่อสาร NOTAM และข้อเสนอแนะเชิงระบบ

เชียงราย, 15 พฤศจิกายน 2568 — เพจ GATC Thailand เผยแพร่ภาพความคืบหน้า “โครงการรื้อถอนและติดตั้งสะพานเทียบอากาศยาน (Passenger Boarding Bridges: PBB) จำนวน 2 ตัว” ที่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) โดยสนามบินยืนยันแนวทางปฏิบัติตามหลัก การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Management of Change: MOC) และ การบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (Safety Risk Management: SRM) ภายใต้ระบบบริหารความปลอดภัยการบิน (SMS) ตามข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO Annex 19) และกรอบกำกับดูแลของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ซึ่งจากตัวเลข รายละเอียดเชิงเทคนิคบางส่วนของโครงการ (เช่น การเว้นเขต Fall Zone, รอบการ FOD sweep, ขั้นตอน Crane Lift Plan, รายการทดสอบ PBB ใหม่ และเกณฑ์ทางเทคนิคของผู้ผลิต) อ้างอิงจาก เอกสารโครงการ/ร่างรายงาน MOC–SRM ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และ ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม ในคำสั่งงานฉบับนี้ ซึ่งผู้สื่อข่าวได้ใช้ประกอบการรายงานเชิงวิเคราะห์ โดยหลีกเลี่ยงการตั้งข้อมูลใหม่ที่ไม่มีแหล่งอ้างอิง การเปลี่ยน PBB เป็น “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ” ซึ่งตามกรอบ SMS ต้องระบุอันตราย (hazards) ประเมินความเสี่ยงด้วยเมทริกซ์ ICAO 5×5 และกำหนดมาตรการควบคุมก่อน อนุมัติ และหลังการใช้งานจริง เพื่อให้ “ระดับความปลอดภัยที่ยอมรับได้ (ALoS)” คงอยู่ตลอดวงจรโครงการ

ทำไม “สะพานเทียบอากาศยาน” จึงเป็นหัวใจของความปลอดภัยและคุณภาพบริการ

สะพานเทียบอากาศยาน (PBB) คือทางเชื่อมยกระดับระหว่างอาคารผู้โดยสารกับประตูอากาศยาน เป็นจุดสัมผัสสำคัญของผู้โดยสารกับเครื่องบิน หาก PBB มีความพร้อมด้าน โครงสร้าง-กลไก-การควบคุม จะช่วยให้การขึ้น/ลงเครื่องราบรื่น ปลอดภัย และลดเวลาหมุนเวียนเครื่องบิน (turnaround time) ซึ่งส่งผลต่อ ความตรงต่อเวลา (OTP) และ ความพึงพอใจผู้โดยสาร โดยตรง

โครงการที่ CEI มีทั้ง “การรื้อถอน PBB เก่า” และ “ติดตั้ง PBB ใหม่” ในพื้นที่ Airside (ลานจอด/เขตปฏิบัติการอากาศยาน) ซึ่งยังมีเที่ยวบินใช้งานจริง จึงจัดเป็นงานที่ต้องวางมาตรการความปลอดภัยเฉพาะเพื่อป้องกันการรุกล้ำพื้นที่เคลื่อนไหว (movement area), การใช้เครนยกหนัก (heavy lifting) และการเกิด FOD (Foreign Object Debris) หรือ “เศษวัสดุแปลกปลอม” ที่อาจถูกเครื่องยนต์ดูดเข้าไปจนเสียหายรุนแรง

รายงาน SRM ชี้ 2–3 ความเสี่ยงต้นทางสูง ต้องบังคับใช้มาตรการทันที

รายงานการบริหารความเสี่ยงด้านความปลอดภัย (SRM) ของโครงการ (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) ระบุ “อันตรายหลัก” ที่ต้องควบคุมเข้มข้น ดังนี้

  1. FOD (เศษวัสดุแปลกปลอม) — ความเสี่ยงที่เศษโลหะ/เครื่องมือ/วัสดุก่อสร้างหลุดสู่ลานจอดและถูกดูดเข้าเครื่องยนต์อากาศยาน ถูกจัดเป็นความเสี่ยงระดับสูง (ตัวอย่างแนวคิดความรุนแรงตามการบินพลเรือน: FOD อาจก่อ “Hazardous severity”) จึงต้องมี FOD sweep ต่อเนื่อง, คุมเส้นทางขนส่ง (haul routes) และวินัยการเข้าถึง AOA อย่างเคร่งครัด  
  2. การยกหนัก (Heavy Lifting) ด้วยเครน — การชักรอก/เคลื่อนย้าย PBB ในพื้นที่จำกัดใกล้อากาศยานและอาคารผู้โดยสารถูกประเมิน “ความรุนแรงระดับ Catastrophic” จึงต้องมี แผนการยก (Crane Lift Plan) ที่วิศวกรผู้มีคุณสมบัติอนุมัติ, กำหนด Fall Zone ชัดเจน และ หยุดการปฏิบัติการบนลานจอดชั่วคราวช่วง critical lift โดยประสานหอควบคุมการบิน (ATC)
  3. การรุกล้ำพื้นที่ปฏิบัติการ (Airside Incursion) — ยานพาหนะ/บุคลากรก่อสร้างเข้าสู่ movement area โดยไม่ได้รับอนุญาต เสี่ยงต่อการชนกับอากาศยานที่กำลัง taxi/pushback จึงต้องมี low-profile barricades, ระบบอนุญาตขับขี่ในเขต airside, และการคุม “escort” ตลอดเวลา

รายงานยังย้ำว่า หลังติดตั้ง PBB ใหม่ ต้องทดสอบความเข้ากันได้ในการปฏิบัติงาน (operational compatibility) และทดสอบทางเทคนิค/โครงสร้าง (เช่น load test และการควบคุมแรงกดบนลำตัวอากาศยานตามสเปกผู้ผลิต) ให้ผ่านเกณฑ์ก่อนเปิดใช้งานจริง

เครื่องมือกำกับ “มองไม่เห็น” แต่สำคัญ MOC, SRM, AOM และการสื่อสารแบบ NOTAM

ด้วยสถานะ “การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ” สนามบินต้องเดินกระบวนการอนุมัติ 3 ช่วง ได้แก่ Compliance–Control–Completion (ยื่นรายละเอียด/แผนความปลอดภัย–ควบคุมงานจริงตาม SRM–ทดสอบรับรองและปรับปรุงเอกสาร) ภายใต้กรอบ SMS/Annex 19 ของ ICAO และกฎ CAAT  

ส่วน “การสื่อสารข้อจำกัดการใช้งานสนามบิน” ต้องทำผ่าน AIS/NOTAM อย่างทันท่วงที เพื่อให้สายการบิน นักบิน ผู้ควบคุมจราจร และผู้ปฏิบัติงานภาคพื้นรับรู้ตรงกันว่า “ช่วงไหน/หลุมจอดใด/ขอบเขตใด” มีงานก่อสร้างหรือข้อจำกัดเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนและลดอุบัติการณ์ โดยไทยมีการจัดทำ eAIP/NOTAM ภายใต้มาตรฐาน CAAT/AEROTHAI ซึ่งแยก series (เช่น Series A/C) สำหรับประกาศข้อจำกัดสนามบินระหว่างประเทศ/ในประเทศตามลำดับ  

ในทางปฏิบัติ หลายเหตุการณ์ไม่ปลอดภัยในสนามบินทั่วโลกมักเกี่ยวข้อง “ข้อมูลสนามบินช่วงก่อสร้างสื่อสารไม่ชัด” หรือ “แผนภาพพื้นที่จำกัดไม่ครบถ้วน” แนวทางสากลจึงแนะนำ Construction Notice Diagram ควบคู่ NOTAM เพื่อให้เห็นภาพรวมจุดกั้น/เส้นทางวิ่งใหม่อย่างเข้าใจง่าย ลดความคลุมเครือระหว่างงานกับการจราจรอากาศยาน  

มาตรการภาคสนาม จากรั้วกั้นเตี้ยสะท้อนแสง ถึง “FOD Sweep” รายชั่วโมง

เพื่อให้ “ดัชนีความเสี่ยงตกค้าง (Residual Risk)” ลดลงสู่ระดับยอมรับได้ แผนควบคุมในภาคสนามที่ CEI (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม) มีทั้งมาตรการ บริหารจัดการพื้นที่ก่อสร้าง และ มาตรการเฉพาะ PBB อาทิ

  • การแบ่งเขตก่อสร้าง (barricading/demarcation) ด้วย low-profile barricades สีสะท้อนแสงตามมาตรฐานการบิน, ป้าย/ไฟเตือนกลางคืน และการติดตั้งล่วงหน้าก่อนเริ่มงานจริง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติการภาคพื้นและนักบินสังเกตเห็นได้ชัดเจน
  • AOA access control จำกัดเส้นทางขนส่งวัสดุ (haul routes), อนุญาตเฉพาะบุคลากรที่ผ่านการอบรมขับขี่ในเขต airside, และมี safety officer เฝ้าระวังเฉพาะงานก่อสร้างสนามบิน
  • Crane Lift Plan/Fall Zone แผนยกโดยวิศวกรที่มีคุณสมบัติ, คุมเขตอันตรายห้ามบุคคลอยู่ใต้โหลด, ใช้ qualified rigger และอุปกรณ์ rigging ที่มีตัวล็อกอัตโนมัติ พร้อม “หยุดปฏิบัติการบริเวณใกล้เคียงช่วง critical lift”
  • FOD Control กำหนดรอบ FOD sweep ถี่ขึ้น (ก่อน/ระหว่าง/หลังงานแต่ละช่วง), บังคับเก็บกวาดเส้นทาง haul routes และกำหนดบทลงโทษเรื่องวินัย FOD ไว้ในสัญญาผู้รับเหมา
  • การทดสอบ/รับรอง PBB ใหม่ ดำเนิน docking test, load test และทวนสอบ “ข้อกำหนดของผู้ผลิต” เพื่อยืนยันความเข้ากันได้กับชนิดอากาศยานที่ CEI รองรับ ก่อนบรรจุขั้นตอนใช้งาน/บำรุงรักษาใน คู่มือการดำเนินงานสนามบิน (AOM) ฉบับปรับปรุง

เมื่อนำมาตรการเหล่านี้ไปใช้ตามแผน SRM รายการเสี่ยงสูงหลายรายการ—เช่น FOD/การยกหนัก/การรุกล้ำพื้นที่—จะ “เลื่อนลง” สู่โซนยอมรับได้หรือยอมรับได้แบบมีเงื่อนไข ซึ่งต้องมีการ ติดตามผลต่อเนื่อง และ Post-Implementation Review (PIR) ในระยะ 6–12 เดือน เพื่อตรวจว่ามาตรการยังมีประสิทธิผลจริงในงานประจำวัน (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)

ผู้โดยสาร–สายการบิน–ชุมชนท้องถิ่น ได้อะไร/ต้องรับรู้อะไร

ต่อผู้โดยสาร — ช่วงก่อสร้างอาจมี “ข้อจำกัดการใช้งานหลุมจอด/ประตู” บางช่วงเวลา ผู้โดยสารอาจพบการเปลี่ยนประตูขึ้นเครื่องหรือใช้รถบัสรับส่ง (bus gate) แทน PBB ชั่วคราว แต่มาตรการสื่อสารผ่าน NOTAM/ประกาศสนามบิน ช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียวางแผนล่วงหน้า ลดผลกระทบความล่าช้า

ต่อสายการบิน/ผู้ปฏิบัติการภาคพื้น — การวางแผน turnaround ต้องประสานหนาแน่นขึ้น โดยเฉพาะช่วง critical lift ที่อาจมี “หยุดการปฏิบัติการบนลานจอดเฉพาะจุด” ชั่วคราว การมี “แผนภาพเขตก่อสร้าง (construction diagram)” ชัดเจนและ brief ร่วมรายสัปดาห์ช่วยให้การขยับหลุมจอด/สลับอุปกรณ์เป็นระเบียบและปลอดภัย

ต่อชุมชน/เศรษฐกิจท้องถิ่น — PBB ใหม่ที่ปลอดภัยและทันสมัยช่วยหนุนภาพลักษณ์ “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ” ของเชียงราย สอดคล้องยุทธศาสตร์ Green/BCG และความต้องการรองรับนักท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่องในฐานะ “เมืองรองรายได้สูง” ของประเทศ

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการจัดการ (เพื่อความปลอดภัย+ประสิทธิภาพระยะยาว)

อ้างอิงรายงานโครงการ/แนวปฏิบัติสากล ประสานกับบริบทสนามบินที่ยังปฏิบัติการจริงตลอดเวลา บทวิเคราะห์นี้เสนอ “สามคานงัด” เพื่อให้ CEI ได้ Safety + Efficiency ไปพร้อมกัน

  1. บูรณาการ SMS ของผู้รับเหมา (Contractor SMS Integration)
    กำหนดให้ผู้รับเหมาหลัก/ผู้ผลิต PBB จัดทำ “Project Safety Plan เฉพาะโครงการสนามบิน” (ไม่ใช่คู่มือองค์กรทั่วไป) ครอบคลุม hazards เฉพาะ เช่น FOD/hot works/rigging/airside driving และ nominate safety officer ที่คุ้นเคยกฎ Part 139/มาตรฐานสนามบินในไทย ข้อกำหนดนี้ช่วยแปลง “ความปลอดภัยโครงการ” ให้กลายเป็น “ความปลอดภัยของระบบ” เมื่อบันทึกลง AOM
  2. ยกระดับเทคโนโลยี PBB/การนำร่องอัตโนมัติ
    พิจารณา PBB ที่รองรับ remote control/automatic docking เพื่อลด human error ระหว่างเชื่อมต่อประตูอากาศยาน และพิจารณา VDGS/AGDGS ในหลุมจอดที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความแม่นยำการเข้าประจำหลุมของอากาศยาน พร้อมทั้งทำ SOP+training แก่ช่าง/ภาคพื้นให้สอดคล้อง (ข้อมูลผู้ใช้จัดเตรียม)
  3. Lifecycle Management และอะไหล่สำรอง (Spares & Warranty)
    จัดสัญญาบำรุงรักษาระยะกลาง–ยาวกับผู้ผลิต PBB ใหม่ (เช่น 3–5 ปี) ควบคุมอะไหล่กุญแจสำคัญและวางแผน “reuse/repurpose” ชิ้นส่วนจาก PBB เก่าที่ปลอดภัยได้ เพื่อลด downtime และต้นทุน รวมถึงวัดผล KPI ความพร้อมใช้งาน (availability) และ Mean Time Between Failures ของ PBB เพื่อดูแลความเสี่ยงตกค้างด้านความต่อเนื่อง

มุมมองมาตรฐาน/กฎระเบียบ “ไม่ใช่แค่ทำให้เสร็จ” แต่ต้อง “ทำให้สอดคล้องและตรวจสอบได้”

MOC/SRM ไม่ใช่เอกสารพิธีการ แต่เป็น “หลักฐานความปลอดภัย” ที่ผู้ตรวจสอบสนามบินของ CAAT ใช้รับรองความพร้อม โดยหลังทดสอบ PBB ใหม่เสร็จ สนามบินต้อง “ปรับปรุง AOM” ให้สะท้อนสภาพจริง—ทั้งขีดความสามารถหลุมจอด/ชนิดอากาศยานที่รองรับ ขั้นตอนปฏิบัติ/บำรุงรักษา และแผนฉุกเฉิน—เพื่อให้มาตรการควบคุมที่เคยเป็น Project Controls ถูกถ่ายโอนเป็น System Controls ของสนามบินในชีวิตจริง

การสื่อสารต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ต้องเดินหน้าควบคู่—โดยเฉพาะการแจ้ง NOTAM ผ่าน AIS ของไทย (CAAT/AEROTHAI) อย่างครบถ้วน ชัดเจน และทันเวลา รวมถึงทำ แผนภาพพื้นที่ก่อสร้าง เผยแพร่ให้สายการบิน/ภาคพื้นใช้ประกอบการวางแผนปฏิบัติการเพื่อลดความเสี่ยงจาก “ช่องว่างข้อมูล”

โครงการรื้อถอนและติดตั้ง PBB ใหม่ 2 ตัวที่ CEI คือ “แบบฝึกหัดความปลอดภัย” ที่สะท้อนความพร้อมของสนามบินไทยในการยกระดับมาตรฐานตาม ICAO/CAAT ในบริบทที่ยังต้อง “บินจริง-ก่อสร้างจริง” พร้อมกัน การคุมเข้ม “สามเสี่ยงหลัก”—FOD, Heavy Lifting, Airside Incursion—ด้วยมาตรการเฉพาะงานสนามบิน (barricading, FOD sweep, crane lift plan, fall zone, haul routes, airside escort) บวกการสื่อสาร NOTAM/AIS ที่ทันเวลา จะลด “ความเสี่ยงเริ่มต้น” ลงสู่ “ความเสี่ยงตกค้างที่ยอมรับได้”

ในเชิงยุทธศาสตร์ การบูรณาการ SMS ของผู้รับเหมา, ยกระดับ เทคโนโลยี PBB/ระบบนำร่อง, และจัดการ วงจรชีวิต PBB อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ CEI ไม่เพียง “ผ่านโครงการ” แต่ “ผ่านการพิสูจน์ระบบ”—ส่งมอบความปลอดภัยและคุณภาพบริการที่สอดคล้องมาตรฐานสากล รองรับการเติบโตของผู้โดยสาร และเสริมภาพลักษณ์เชียงรายในฐานะ “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพสูง” อย่างยั่งยืน

แหล่งข้อมูลอ้างอิง (ตรวจสอบได้)

  1. ICAO – Safety Management (Annex 19, SMS concept & framework) ภาพรวมกรอบ Annex 19/SMS และบทบาทของผู้ให้บริการ/ผู้กำกับดูแล (อธิบายโครง SMS, MOC/SRM ในระดับหลักการ). อ้างอิง: ICAO – Safety Management (หน้า overview และ knowledge center)
  2. CAAT – บทความ/หน้าความรู้เรื่อง Safety Management System บทบาทของระบบ SMS ในการยกระดับความปลอดภัยการบินพลเรือนของไทย (แนวคิด/บทบาท/ประโยชน์)
  3. FAA AC 150/5370-2G – Operational Safety on Airports During Construction: แนวทางมาตรฐานสหรัฐฯ สำหรับ “ความปลอดภัยระหว่างก่อสร้างในสนามบินที่ยังปฏิบัติการจริง” ครอบคลุมการกั้นพื้นที่, FOD, งานยกหนัก, การประสานงาน, การแจ้งเตือน ฯลฯ  
  4. AIP/eAIP Thailand – AIS/NOTAM (CAAT/AEROTHAI) โครงสร้าง/ซีรีส์ของ NOTAM ไทย (Series A/C) และรายการ NOTAM ที่ยังมีผล—ตอกย้ำบทบาท AIS/NOTAM ในการสื่อสารข้อจำกัดสนามบินช่วงก่อสร้าง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI)
  • GATC Thailand
  • ICAO — กรอบมาตรฐาน Annex 19 (SMS/MOC/SRM) สำหรับการจัดการความปลอดภัยระดับสากล
  • CAAT — หน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยการบินพลเรือนของไทยและ AIS/eAIP/NOTAM
  • AEROTHAI (AIS/NOTAM) — ผู้ให้บริการข่าวสารการบินและระบบ NOTAM ไทย
  • FAA — เอกสารแนวปฏิบัติความปลอดภัยระหว่างก่อสร้างสนามบิน (AC 150/5370-2G) ซึ่งใช้เป็นอ้างอิงสากลด้านวิธีปฏิบัติ
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ไฮซีซัน เชียงราย CAAT รับข้อเสนอ ลดค่าธรรมเนียมการบิน เร่งเครื่องเที่ยวบินดันสัดส่วนต่างชาติ

ท่องเที่ยวเชียงรายพึ่งพาคนไทยหนัก Q3/2568 รายได้เฉียด 1 หมื่นล้าน แต่สัดส่วนต่างชาติเพียง 16%—โจทย์ใหม่ “Medical Tourism” และนโยบายค่าธรรมเนียมการบินกำหนดทิศไฮซีซัน

เชียงราย,13 พฤศจิกายน 2568 – การปิดไตรมาส 3/2568 ด้วยนักท่องเที่ยวรวม 1,195,635 คน สร้างรายได้ 9,763.48 ล้านบาท แต่รายได้ 84% มาจากคนไทย ขณะที่ต่างชาติคิดเป็นเพียง 16% สะท้อนโครงสร้างที่ “ยังเปราะบาง” ต่อดีมานด์ในประเทศ ททท.ประเมินไฮซีซันยังสดใสแม้ “ตลาดระยะใกล้” สะดุด ชี้ยุโรป–อเมริกามีแนวโน้มชดเชย ส่วนฝั่งการบิน CAAT รับข้อเสนอสมาคมสายการบินฯ ให้ “ชะลอขึ้นค่าธรรมเนียม–ลดภาษีน้ำมันอากาศยาน” เพื่อเร่งเครื่องเที่ยวบินในประเทศ คำถามสำคัญคือ เชียงรายจะใช้ “จุดแข็ง Medical Tourism และ Soft Power เมืองเหนือ” อย่างไร เพื่อขยับสัดส่วนรายได้ต่างชาติให้พ้น 16% ในรอบต่อไป

เมืองเหนือที่วิ่งด้วยแรงคนไทย

ยามบ่ายปลายฝนต้นหนาว ริมแม่น้ำกกยังเย็นสบาย ร้านกาแฟบนเนินเขาแน่นไปด้วยครอบครัว นักปั่น และนักเดินทางจากจังหวัดใกล้เคียง ภาพนี้อธิบาย “พลังตลาดในประเทศ” ของเชียงรายได้อย่างชัดเจน ตัวเลขจาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่อ้างข้อมูล กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่าในไตรมาส 3/2568 (ก.ค.–ก.ย.) เชียงรายรับนักท่องเที่ยวรวม 1.196 ล้านคน รายได้รวม 9,763.48 ล้านบาท โดยคนไทยคิดเป็น 87.2% ของจำนวนนักท่องเที่ยว และ 84% ของรายได้ ขณะที่ต่างชาติคิดเป็น 12.8% ของจำนวนคน และ 16% ของรายได้ นั่นแปลว่า “กระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจท่องเที่ยวเชียงรายในช่วงโลว์ซีซันยังเป็นคนไทยอย่างแท้จริง

ความจริงข้อนี้มีทั้งด้านบวกและด้านเปราะบาง ด้านบวกคือฐานลูกค้าภายในประเทศแข็งแรง สามารถพยุงธุรกิจในช่วงที่เที่ยวบินระหว่างประเทศยังไม่เต็มศักยภาพ แต่ด้านเปราะบางคือ หากเศรษฐกิจครัวเรือนไทยชะลอ ตัวเลขทั้งระบบของเชียงรายก็จะสะเทือนทันที การยกระดับ “สัดส่วนต่างชาติ” จึงไม่ใช่เพียงเรื่องภาพลักษณ์ แต่คือ “เกราะกันกระแทก” ทางเศรษฐกิจ

ภาพรวมไตรมาส สิงหาคมพีคสุดทั้งคนและรายได้

เมื่อลงลึกเป็นรายเดือน ภาพรวม กรกฎาคม–กันยายน สะท้อนจังหวะ “ค่อยๆ เร่งก่อนเข้าสู่ไฮซีซัน”

  • ก.ค. นักท่องเที่ยวรวมราว 407,471 คน (ไทย ~353,058 / ต่างชาติ ~54,413) รายได้รวม 3,333.80 ล้านบาท (ไทย ~2,787.23 / ต่างชาติ ~546.57)
  • ส.ค. ขยับขึ้นเป็น 419,584 คน (ไทย ~359,306 / ต่างชาติ ~60,278) รายได้รวม 3,435.08 ล้านบาท (ไทย ~2,811.96 / ต่างชาติ ~623.12)  เป็น “เดือนพีค” ของไตรมาส
  • ก.ย. ลดลงตามฤดูกาลเหลือ 368,580 คน (ไทย ~330,826 / ต่างชาติ ~37,754) รายได้รวม 2,994.60 ล้านบาท (ไทย ~2,601.18 / ต่างชาติ ~393.42)

ตัวเลขนี้ตอกย้ำว่า “แรงซื้อไทย” คือหัวรถจักรหลักในช่วงโลว์ซีซัน ส่วนต่างชาติชะลอตัวตามบริบทตลาดเอเชียที่ยังไม่ฟื้นเต็มอัตรา โดยเฉพาะจีน ตลาดคู่ค้าที่เคยหนุนภาคเหนืออย่างมีนัยสำคัญ

ททท.อ่านเกมไฮซีซัน ตลาดไกลชดเชยตลาดใกล้

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. ประเมินแนวโน้มไฮซีซันปีนี้ว่า “ยังสดใส” จากแรงส่งแคมเปญระดับประเทศ (เช่น งานวิจิตรเจ้าพระยา 2568 และเทศกาลลอยกระทงที่ก่อเม็ดเงินสะพัดกว่า 6.5 พันล้านบาท) และกิจกรรมส่งท้ายปีที่จะยกระดับไทยสู่หมุดหมายเคานต์ดาวน์ในสายตานานาชาติ อย่างไรก็ดี ททท.ก็ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ต้องระวัง ตลาดระยะใกล้ บางส่วน “ซบเซา” โดยเฉพาะ จีนลดลง ~35% และ เกาหลีใต้/สิงคโปร์ ยังชะลอ ขณะที่ รัสเซีย อังกฤษ สหรัฐ เยอรมนี ออสเตรเลีย มีสัญญาณบวกและถูกวางบทบาทให้ “ชดเชยเชิงโครงสร้าง” ในปีหน้า

สำหรับ ปี 2569 ททท.ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติ 34.9 ล้านคน รายได้รวม 2.79 ล้านล้านบาท โดยเปลี่ยน “เกมปริมาณ” สู่ “เกมคุณภาพ” ผ่าน 3 แกนยุทธศาสตร์

  1. Total Wellbeing & Medical Tourism – ผลักดันการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ/การรักษาเฉพาะทางที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูง
  2. เส้นทางบินใหม่ – เพิ่มความถี่/จุดบินเพื่อขยายการเข้าถึงเมืองรอง
  3. Trust Thailand & Soft Power – เร่งมาตรฐานความปลอดภัยและสร้างประสบการณ์เฉพาะถิ่น

หากเชื่อมโยงกับโจทย์เชียงราย ข้อ 1 และ 2 มีน้ำหนักเป็นพิเศษ เมืองมีฐานบริการสุขภาพที่น่าเชื่อถือ มหาวิทยาลัยชั้นนำ และธรรมชาติที่เอื้อต่อการพักฟื้น ขณะที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงกำลังถูกผลักดันให้รองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป การ “เสียบปลั๊ก” เข้ากับแผนประเทศจึงมีความเป็นไปได้สูง

นโยบายการบิน ค่าธรรมเนียม–ภาษีน้ำมัน คือคันเร่งเที่ยวบิน

ฝั่ง สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) รายงานการรับฟังข้อเสนอจาก สมาคมสายการบินประเทศไทย ณ กระทรวงคมนาคม (12 พ.ย. 2568) โดยมีแกนสำคัญคือ “ทำให้ต้นทุนสายการบินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” เพื่อเร่งเครื่องความถี่เที่ยวบินและบัตรโดยสารที่จับต้องได้ ซึ่งจะกระตุ้นการเดินทางภายในประเทศและกระจายรายได้สู่ภูมิภาค

ข้อเสนอหลักประกอบด้วย

  • ชะลอปรับขึ้นค่าบริการการเดินอากาศ (ANSC) และ ค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก (PSC) โดยเสนอเลื่อน ANSC ของดอนเมืองไปปี 2570 และของสนามบินภูมิภาคหลัก (เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่) ไปปี 2571
  • ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันอากาศยาน จาก 4.726 บาท/ลิตร 0.20 บาท/ลิตร ช่วยลดราคาบัตรโดยสารในประเทศราว 100 บาท/เที่ยว และเพิ่มที่นั่งภายในประเทศ ~3.8 ล้านที่นั่ง (15 ม.ค.–15 พ.ค. 2569) คาดสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนกว่า 22,000 ล้านบาท
  • แคมเปญ “Buy International, Free Domestic Flights” มอบตั๋วภายในประเทศฟรีแก่ต่างชาติที่ซื้อตั๋วเดินทางเข้าไทยช่วง 15 ม.ค.–12 เม.ย. 2569 คาดดึง ~200,000 คน สร้างเม็ดเงิน ~8,500 ล้านบาท
  • ปฏิรูปกฎระเบียบ เพิ่มความคล่องตัวในการนำเข้าอากาศยาน และใช้กระบวนการ Public Consultation ในการพิจารณาค่าธรรมเนียมให้โปร่งใส

ในแง่เชียงราย ข้อเสนอเหล่านี้ หากรัฐบาลอนุมัติ จะ “เปลี่ยนเกมความถี่” ภายในประเทศทันที โดยเฉพาะไฟลต์เชื่อม กรุงเทพฯ–เชียงราย และไฟลต์เชื่อมระหว่างเมืองเหนือ–อีสาน/ใต้ ซึ่งเป็นฐานนักท่องเที่ยวคุณภาพดีและเดินทางซ้ำบ่อย นอกจากนี้ หากแคมเปญ “บินข้ามประเทศ–แถมตั๋วในประเทศ” เกิดขึ้นจริง เชียงรายในฐานะ เมืองรองที่พร้อมเรื่องความปลอดภัย–ธรรมชาติ–วัฒนธรรม ย่อมมีโอกาส “ติดทริป” ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่บินลงกรุงเทพฯ/เชียงใหม่ ได้มากขึ้น

โจทย์ของเชียงราย จะขยับ “สัดส่วนต่างชาติ” อย่างไร

เมื่อรู้ข้อเท็จจริงว่า รายได้ 84% ยังมาจากคนไทย และ ต่างชาติ 16% เป็น “เสาหลักที่ยังเตี้ย” แนวทางต่อไปของเชียงรายจึงควรอยู่บนกรอบคิด “คม–ครบ–เร็ว” ดังนี้

1) เน้น “Medical Wellness & Recovery” ที่จับต้องได้

  • แพ็กเกจพักฟื้น 7–14 คืน ร่วมมือโรงพยาบาล/คลินิกเฉพาะทางกับโรงแรมที่ได้มาตรฐาน SHA/Wellness จัดแพ็กเกจ “ผ่าตัดเล็ก–กายภาพบำบัด–สุขภาพช่องปาก–ตรวจสุขภาพเชิงลึก” ผูกกับกิจกรรมเบาๆ (ชากาแฟพิเศษ วิถีชาติพันธุ์ โยคะบนดอย)
  • คลินิกเฉพาะทางสำหรับตลาดไกล สื่อสารจุดแข็งด้าน บริการอบอุ่น ค่ารักษาสมเหตุสมผล และสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการพักฟื้น เจาะกลุ่ม ยุโรป/สหรัฐ/ตะวันออกกลาง ที่ททท.ระบุว่ามีสัญญาณบวก
  • One-Stop Concierge ต่างชาติ ตั้งจุดบริการภาษาอังกฤษ/จีน/พม่า ที่สนามบินและในเมือง ช่วยประสานแพ็กเกจ, นัดหมายแพทย์, การเดินทาง, อาหารพิเศษ, ล่าม ลด “ความกลัว” ของผู้ป่วย/ผู้สูงวัยต่างชาติ

2) เติมเที่ยวบิน–เส้นทางบินรองรับดีมานด์

  • ร่วมมือสายการบิน ใช้ข้อมูล CTRD/MOTS จุดอัตราโหลดแฟคเตอร์ดีช่วงไฮซีซัน เจรจาเส้นทางตรง/เชื่อม (เช่น กรุงเทพฯ–เชียงราย–หลวงพระบาง/สิบสองปันนา ผ่านโค้ดแชร์) โดยยึดหลัก “เที่ยวบินแรกต้องรอด–งบโปรโมชันต้องพอ”
  • สลิงโปรโมชันกับแคมเปญประเทศ เช่น ถ้า “Buy International, Free Domestic Flights” ผ่าน ให้พ่วงแพ็กเกจเชียงราย 2 คืน + เส้นทางชา–กาแฟ + พักฟื้นเบาๆ ที่สปา/ออนเซ็นธรรมชาติ

3) สร้างประสบการณ์ Soft Power ที่ต่างชาติรัก

  • เส้นทางกาแฟ–ชา–งานคราฟต์ชาติพันธุ์ แบบคิวเรต (ไม่รีบ–ไม่โหม) ให้ “คุณภาพก่อนปริมาณ”
  • เทศกาลที่เป็นมิตรต่อการเดินทาง กำหนดเวลางานใหญ่ให้สัมพันธ์กับตารางบิน/ฤดูกาล และออกแบบ “โซนเงียบ/โซนสุขภาพ” สำหรับผู้สูงวัย/ผู้พักฟื้น จุดขายที่ต่างจากเมืองใหญ่

4) ขยายพาร์ตเนอร์ B2B ต่างประเทศ

  • เอเยนซีสุขภาพ/ประกันสุขภาพนานาชาติ ทำ MOU ส่งต่อผู้ป่วยที่ต้องการรอคิวในประเทศตนเองนาน ให้มาใช้บริการเชียงราย
  • เครือข่ายศูนย์เวชศาสตร์การกีฬา เชื่อมทีม/ชมรมสมัครเล่นยุโรป–อเมริกา จัดค่ายฟื้นฟูสมรรถภาพบนภูเขาสูง ดึงกลุ่มใช้จ่ายสูงและอยู่นาน

5) จัดการ “ประสบการณ์เดินทาง” ให้ราบรื่นที่สุด

  • สนามบิน–เมือง 30 นาทีที่ปลอดฝุ่น/ปลอดฝน ทำความสะอาดถนนช่วงพีก (ก่อน–หลังเลิกเรียน/เที่ยวบินลง) ติดตั้งไฟส่องสว่าง–ป้ายภาษาอังกฤษชัดเจน เรื่องเล็กในมุมเมือง แต่คือ “เรื่องใหญ่” ของรีวิวต่างชาติ
  • มาตรฐานราคา–คุณภาพ ใช้ระบบรับรอง/ตราสัญลักษณ์ Trust Thailand ในร้าน–แท็กซี่–ไกด์–โรงแรมที่เข้าร่วม สื่อสารชัด–ร้องเรียนง่าย

 มุมมองความเสี่ยง หากยังพึ่งคนไทยเป็นหลัก

หากไม่ขยับ “เสาต่างชาติ” ให้สูงขึ้น ความเสี่ยงคือ วงจรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย มากเกินไป เมื่อใดที่กำลังซื้อหด เมืองก็หดตาม อีกทั้งการแข่งขันในตลาดในประเทศดุเดือด เมืองท่องเที่ยวจำนวนมากแย่งงบและความสนใจจากนักเดินทางกลุ่มเดียวกัน การมี “พอร์ตต่างชาติ” ที่มั่นคงขึ้นจะทำให้เชียงราย ปรับสมดุลรายได้ และ ยืดหยุ่นต่อความผันผวน ดีกว่าเดิม

นโยบายประเทศช่วยเมืองรองได้อย่างไร

ข้อมูลจาก ททท. และเวทีของ CAAT ชี้ให้เห็น “การประสานระดับชาติ” ที่จะส่งผลถึงเมืองรองอย่างเชียงรายใน 3 ชั้น

  1. ดีมานด์ – แคมเปญระดับประเทศและ Soft Power ทำให้ไทย “ติดเรดาร์” ของตลาดไกลมากขึ้น
  2. ซัพพลายการบิน – ลดต้นทุนสายการบิน → เพิ่มเที่ยวบิน/ความถี่ → บัตรโดยสารถูกลง → นักท่องเที่ยวเลือกเมืองรองได้ง่ายขึ้น
  3. โครงสร้างรายได้ – เน้น Medical/Wellness ทำให้ “ค่าใช้จ่ายต่อหัว” สูงขึ้นและอยู่นานขึ้น เม็ดเงินกระจายสู่ผู้ประกอบการ SME ในพื้นที่ลึกกว่าแค่รูปแบบ “แวะเช้า–เย็นกลับ”

หากนโยบายทั้งสามชั้นเดินพร้อมกัน เชียงรายจะ “เก็บเกี่ยวผล” ได้รวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเมืองมีทรัพยากรเด่นด้านธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ความปลอดภัย และมีต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวที่พร้อมต่อยอด

สรุปเชิงนโยบายสำหรับจังหวัด/เอกชนในเชียงราย (ทำได้ทันที)

  • ตั้งคณะทำงาน Medical Wellness เชียงราย รวบรัดโรงพยาบาล–คลินิก–สปา–โรงแรม–สายการบิน–สนามบิน วางแพ็กเกจและมาตรฐานบริการเดียวกัน (ภาษา–อาหาร–รถรับส่ง–การนัดหมาย)
  • เลือก 3 ตลาดเป้าหมายแรก รัสเซีย–อังกฤษ–สหรัฐ (สอดคล้องทิศทาง ททท.) ทำโปรโมชันร่วมสายการบิน/OTA ด้วยข้อความ “พักฟื้นเหนือสุดสยาม–ภูเขา–แม่น้ำ–กาแฟดี”
  • สร้างคอนเทนต์พยานหลักฐาน รีวิวผู้ป่วย/ผู้สูงวัยจริง (ยินยอมเผยแพร่) ใน 3 ภาษา อธิบายขั้นตอนการรักษา–การเดินทาง–ค่าใช้จ่าย–การดูแลหลังรักษา
  • ยกระดับ UX สนามบิน–เมือง เพิ่มเจ้าหน้าที่ภาษา, ป้ายทางสองภาษา, รถ EV รับส่งคงเส้นคงวา, จุดร้องเรียนฉุกเฉินต่างชาติแบบ 24 ชม.
  • วัดผลทุกไตรมาส เผยแพร่ตัวชี้วัด “สัดส่วนต่างชาติ/ค่าใช้จ่ายต่อหัว/วันพักเฉลี่ย/ความพึงพอใจ” ต่อสาธารณะ เพื่อปรับยุทธศาสตร์แบบ agile

จาก 16% ไปสู่สมดุลที่ยั่งยืน

เชียงรายปิดไตรมาส 3/2568 ด้วย “ภาพสวยครึ่งหนึ่ง”  รายได้รวมเกือบ 1 หมื่นล้านบาท แต่อาศัยแรงซื้อในประเทศถึง 84% เมื่อไฮซีซันมาเยือน โอกาสในการดึงต่างชาติอยู่ “ตรงหน้า” ทั้งจากแคมเปญของ ททท., สัญญาณตลาดไกลที่ฟื้นตัว และนโยบายการบินที่กำลังคลายล็อกต้นทุน หากจังหวัด–เอกชน–ชุมชน จับมือกันเดินเกม Medical Wellness ที่เชื่อมสนามบิน–เมือง–บริการสุขภาพ อย่างตั้งใจ เชียงรายไม่เพียงเพิ่ม สัดส่วนรายได้ต่างชาติ แต่จะยกระดับ คุณภาพรายได้ ของทั้งระบบ ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น “อยู่ได้อย่างมั่นคง” และพลเมือง “อยู่ดีอย่างยั่งยืน”

สถิติสำคัญ (Q3/2568)

  • นักท่องเที่ยวรวม 1,195,635 คน | ไทย 1,043,190 (87.2%) | ต่างชาติ 152,445 (12.8%)
  • รายได้รวม 9,763.48 ล้านบาท | ไทย 8,200.37 (84%) | ต่างชาติ 1,563.11 (16%)
  • เดือนพีคของไตรมาส สิงหาคม (ทั้งจำนวนคนและรายได้)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (พ.ศ. 2568
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) มช
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายประกาศยุทธการ “น่านฟ้าปลอดภัย” รับยี่เป็ง สั่งเข้มงดโคม-คุมโดรน ฝ่าฝืนโทษหนัก

เชียงรายประกาศยุทธการ “น่านฟ้าปลอดภัย” รับยี่เป็ง ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ผนึก 3 หน่วยงานการบิน ดึงชุมชนรอบสนามบินเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง สั่งเข้ม “งดโคม-คุมโดรน” ฝ่าฝืนโทษหนัก สูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิต

เชียงราย, 21 ตุลาคม 2568 – เมื่อแสงเทียนและโคมลอยกำลังจะปลิวไสวบนท้องฟ้าในช่วง “ยี่เป็ง–ลอยกระทง” ของล้านนา สีสันของเทศกาลที่งดงามก็ทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงบนท้องฟ้า” ที่จับต้องได้มากขึ้นทุกปี ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) จึงเปิดปฏิบัติการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางการบินแบบเชิงรุก ผนึกกำลัง บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.), สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้ความรู้ กำชับกฎหมาย และสร้างเครือข่ายชุมชนรอบสนามบินในการเฝ้าระวังวัตถุบินที่รุกล้ำเขตปลอดภัย โดยเน้นสองโจทย์หลักช่วงเทศกาลคือ โคมลอย–พลุ–ตะไล และ โดรน

พิธีเปิดโครงการ “รณรงค์ส่งเสริมการป้องกันอันตรายจากโคมลอย โคมไฟ โคมควัน และการใช้งานโดรน ในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ประจำปีงบประมาณ 2569” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมไชยนารายณ์ริเวอร์ไซด์ โดยมี นาวาอากาศเอก สกรรจ์ อุดล ผู้เชี่ยวชาญ 9 และรักษาการผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้แทนจาก ฝูงบิน 416 เชียงราย, หอการค้าจังหวัดเชียงราย, สมาคมโรงแรมจังหวัดเชียงราย, ตำรวจภูธรเมืองเชียงราย, มณฑลทหารบกที่ 37, ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และคณะทำงานจากชุมชนรอบสนามบิน เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างคึกคัก

“เราขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย งดการปล่อยโคมลอย โคมควัน และการบินโดรนโดยไม่ได้รับอนุญาต ในช่วงเทศกาล เพื่อความปลอดภัยของอากาศยาน ผู้โดยสาร และชุมชนของเราเอง” – นาวาอากาศเอก สกรรจ์ อุดล เน้นย้ำในเวทีรณรงค์

จุดตั้งต้นของยุทธการ เทศกาลสวยงามที่ซ่อน ‘ความเสี่ยงร้ายแรง’

ปีนี้ประเพณียี่เป็ง/ลอยกระทงตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งตามสถิติการเดินทาง มักเป็นช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่นกว่าปกติ ขณะเดียวกัน “โคมลอย–พลุ–ตะไล” และกิจกรรมโดรนเพื่อถ่ายภาพ ก็มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนสูงขึ้นรอบพื้นที่สนามบิน หากปล่อยโดยไม่ควบคุม อาจก่อเหตุ ร้ายแรงต่ออากาศยาน และ “ชีวิต” ได้โดยตรง

แผ่นพับรณรงค์ของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ชี้ชัดถึง 4 มิติความเสี่ยงจากโคมลอย ที่สาธารณชนควรตระหนัก

  1. ความปลอดภัยต่อการเดินอากาศ – โคมลอยสามารถถูกดูดเข้าสู่เครื่องยนต์ ทำให้เกิดการ ระเบิด หรือสูญเสียการควบคุม
  2. การรบกวนการบิน – แสงจากโคมหรือเลเซอร์ในอากาศอาจบดบังวิสัยทัศน์นักบิน กระทบการนำร่อนและการสื่อสาร
  3. ผลกระทบต่อสนามบิน – ซากโคมที่ตกใกล้รันเวย์เป็นสิ่งกีดขวาง ทำให้ต้อง ชะลอหรือยกเลิกเที่ยวบิน
  4. อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินภาคพื้น – โคมลอยตกใส่หลังคา สายไฟแรงสูง หรือพื้นที่แห้งแล้งอาจก่อ ไฟไหม้ลุกลาม

คำเตือนดังกล่าวไม่ใช่การคาดเดา เพราะในโลกความจริง เหตุ “วัตถุแปลกปลอมในอากาศ” (FOD) และ การชนกับนก (Bird Strike) ก็เป็นความเสี่ยงคู่ขนานที่ต้องบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง อินโฟกราฟิกของท่าอากาศยานฯ ยังอธิบายภาพจำง่าย ๆ ว่า หากเครื่องบินวิ่งที่ความเร็ว 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ชนวัตถุหนัก 5 กิโลกรัม แรงปะทะที่เกิดขึ้น “เทียบเท่าชนช้างหนึ่งตัว” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการชนกับนกขนาดกลาง–ใหญ่ สามารถสร้าง แรงกระแทกมหาศาล ต่อโครงสร้างอากาศยานได้

ในทุ่งนารอบเชียงรายยังพบ “นกเป้าหมาย” เป็นประจำ เช่น นกปากห่าง (หนัก 1–3 กก.), นกยางควาย/นกยางกรอก (หนักประมาณ 0.2–0.5 กก.) และ นกเอี้ยง หลายชนิดซึ่งแม้ตัวเล็กแต่รวมฝูงได้ง่าย ทชร. จึงทำงานร่วมกับชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดปัจจัยดึงดูด (เช่น แหล่งอาหารและแหล่งพักนก) ใกล้เขตการบิน

เขตปลอดภัยการเดินอากาศ เส้นขีดที่ไม่ควรถูกละเมิด

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ เผย แผนที่เขตห้าม จุด/ปล่อยโคมลอย โคมควัน พลุ ตะไล และวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน “รอบสนามบินโดยเด็ดขาด” ตาม ประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่องกำหนดเขตบริเวณใกล้เคียงสนามบินเชียงรายเป็นเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ พ.ศ. 2535 ครอบคลุมพื้นที่ใน อำเภอเมืองเชียงราย หลายตำบล รวมถึง อำเภอเวียงชัย (ตำบลเวียงชัย, เวียงเหนือ) และ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง (ตำบลดงมหาวัน, ตำบลทุ่งก่อ) เป็นต้น

สาระสำคัญคือ ผู้ที่ต้องการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโคมลอยในพื้นที่ นอกเขตห้าม ก็ยังต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด เช่น ยื่นขออนุญาตต่อผู้อำนวยการเขตหรืออำเภอ ระบุวัน–เวลา–สถานที่–จำนวนที่จะปล่อย พร้อมแจ้งท่าอากาศยานหรือศูนย์ควบคุมการบินล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน ทั้งนี้ ห้าม จัดกิจกรรมในแนวขึ้น–ลงของอากาศยานหรือพื้นที่ที่อาจส่งผลต่อการนำร่อนโดยตรง

สำหรับ โคมลอยมาตรฐาน ที่ทางการอนุญาต ต้องมีลักษณะตามนี้

  • สูงไม่เกิน 140 ซม. และ เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 90 ซม.
  • ทำจากวัสดุธรรมชาติ
  • ใช้เชื้อเพลิงจากกระดาษซับเทียนหรือพาราฟิน น้ำหนักไม่เกิน 55 กรัม และ เผาไหม้ไม่เกิน 8 นาที
  • ห้ามผูกลูกดอก/พลุ/ไฟตก ใต้ท้องโคมลอยโดยเด็ดขาด

กฎหมาย–บทลงโทษ “เข้มกว่าที่คิด” เพื่อยับยั้งความเสี่ยง

การปล่อยโคมลอยหรือจุดพลุในเขตปลอดภัยการเดินอากาศ เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โทษสูงสุด “หนักและชัด” เพื่อคุ้มครองชีวิตผู้โดยสารและสาธารณชน

  • ฝ่าฝืนจุด/ปล่อยในเขตปลอดภัย จำคุกไม่เกิน 5 ปี, ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • กรณีทำให้เกิดความเสียหาย/อันตรายต่ออากาศยาน สูงสุดถึง ประหารชีวิต, จำคุกตลอดชีวิต, หรือจำคุก 5–20 ปี และปรับ 600,000–800,000 บาท

กับ “โดรน” หรืออากาศยานไร้คนขับ การควบคุมก็เข้มงวดไม่แพ้กัน ตามกรอบของ กพท. และ กสทช.

  • ห้ามบินในระยะ 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) จากสนามบิน หรือบริเวณขึ้น–ลงชั่วคราวของอากาศยาน เว้นแต่ได้รับอนุญาต
  • ห้ามบินเหนือสถานที่ราชการ โรงพยาบาล เขตหวงห้าม หรือสูงเกิน 90 เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • บทลงโทษพื้นฐาน (ฝ่าฝืนเขตห้าม) จำคุกไม่เกิน 1 ปี, ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ด้านการขึ้นทะเบียน

  • กสทช. โดรนน้ำหนัก 2–25 กก. ต้องขึ้นทะเบียนตัวเครื่อง พร้อมเอกสารบัตรประชาชน ภาพ Serial Number และ ประกันภัยบุคคลที่สามไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
  • กพท. (CAAT) โดรน ติดกล้อง หรือ ใช้เชิงพาณิชย์ ต้องขึ้นทะเบียนผ่านระบบ UAS Portal รวมถึงการขึ้นทะเบียน ผู้บังคับ สำหรับโดรนน้ำหนัก ตั้งแต่ 25 กก. ขึ้นไป

ข้อควรรู้ ที่ทชร. ย้ำกับผู้ใช้โดรนทุกคน

  1. โดรน น้ำหนักน้อยกว่า 2 กก. และ ไม่ติดกล้อง เพื่อการใช้งานอดิเรก อาจ ไม่ต้องขึ้นทะเบียน แต่ยังต้องบินอย่างปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎระยะห่าง/ความสูง
  2. โดรน 2–25 กก. หรือ ติดกล้อง ต้องขึ้นทะเบียนทั้งกับ กสทช. (ตัวเครื่อง) และ กพท. (การใช้งาน/ผู้บังคับ)
  3. ขณะบินต้อง “มองเห็นด้วยตาเปล่า” ตลอดเวลา ห้ามบังคับโดยอาศัยภาพจากกล้องอย่างเดียว

จากเวทีความรู้สู่เครือข่ายเฝ้าระวัง ทำอย่างไรให้ “น่านฟ้าเชียงราย” ปลอดภัยยิ่งขึ้น

สาระการบรรยายของ บวท., กสทช. และ กพท. ในเวทีรณรงค์ 20 ต.ค. ครอบคลุมตั้งแต่ “หลักการจัดการความปลอดภัยด้านการบิน (Safety Management)” การประสานงานการควบคุมจราจรทางอากาศ (ATC) ไปจนถึง “แนวทางปฏิบัติ” ของชุมชนรอบสนามบินเมื่อพบเห็นวัตถุในอากาศ โดยทชร. เผย QR Code สองรายการสำหรับประชาชน ได้แก่

  • กฎหมาย/ข้อควรรู้ เกี่ยวกับวัตถุในอากาศ (รวมถึงโคมลอย–โดรน)
  • ช่องทางแจ้งเหตุ หากพบวัตถุในอากาศรุกล้ำเขตปลอดภัย

ในการปฏิบัติจริง ทชร. เน้น 4 กลไกเฝ้าระวัง ที่ทำงานคู่กับมาตรการเชิงกฎหมาย

  1. เครือข่ายชุมชน – แต่งตั้งอาสาสมัคร/ตัวแทนชุมชนรอบสนามบินเป็น “จุดสังเกตการณ์” แจ้งเบาะแสรวดเร็ว
  2. ประสานท้องถิ่น–ท้องที่ – อบต./เทศบาล/กำนันผู้ใหญ่บ้าน ร่วมออกประกาศย้ำเตือนก่อนเทศกาล และนัดหมาย “เวลาปลอดภัย” หากจำเป็นต้องมีกิจกรรมที่ได้รับอนุญาต
  3. การสื่อสารสาธารณะ – ป้ายรณรงค์ อินโฟกราฟิก และโพสต์สาระย่อยง่าย เช่น ภาพ “โคมลอยอาจเท่ากับชนช้างหนึ่งตัว” เพื่อกระตุ้นการรับรู้
  4. ลาดตระเวน–เฝ้าระวังเชิงรุก – ทีมงานสนามบินตรวจพื้นที่เสี่ยงรอบรันเวย์/แนวขึ้นลงก่อน–ระหว่างเทศกาล

เชียงราย 70% บทพิสูจน์ของเมืองท่องเที่ยว–ฮับการบิน ที่ต้องอยู่ร่วมกับประเพณีอย่างปลอดภัย

เชียงรายกำลังเดินหน้าเป็น “เมืองท่องเที่ยวสุขภาพ–วัฒนธรรม” เทศกาลยี่เป็งคือเสน่ห์สำคัญที่ดึงดูดผู้มาเยือน แต่สนามบินแม่ฟ้าหลวงฯ ก็เป็น “โครงข่ายชีวิต” ของเศรษฐกิจจังหวัด ความสมดุลระหว่าง ความงดงามของประเพณี กับ ความปลอดภัยของน่านฟ้า จึงเป็นโจทย์ยุคใหม่ที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้

เวทีรณรงค์ครั้งนี้สะท้อน “บทเรียนเชียงราย” อย่างน้อย 3 ประการ

  • ความรู้เท่าทัน คือเส้นแบ่งระหว่างงานรื่นเริงกับความเสี่ยง – ประชาชนจำนวนมาก “เพิ่งรู้” ว่าการปล่อยโคมลอยบางประเภทมีโทษสูงถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หากก่อให้เกิดอันตรายต่ออากาศยาน
  • การมีส่วนร่วม ของภาคธุรกิจ–โรงแรม–ชุมชน มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ – โรงแรมและผู้จัดทัวร์คือด่านหน้าในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างจังหวัด/ต่างชาติ
  • มาตรการเชิงระบบ ต้องทำก่อนเทศกาล – การแจ้งเตือนล่วงหน้า 7 วัน การกำหนดพื้นที่–เวลา (ในกรณีที่ได้รับอนุญาต) และการเชื่อมต่อข้อมูลกับหอบังคับการบิน คือหัวใจของการลดความเสี่ยงเชิงปฏิบัติ

ประเทศไทย 20% กฎเดียวกันใช้ทั้งประเทศ แต่พื้นที่รอบสนามบิน “เข้มเป็นพิเศษ”

แม้มาตรการรณรงค์ครั้งนี้จะเกิดขึ้นในเชียงราย แต่กฎเกณฑ์ของ พ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ. 2497, ข้อกำหนดของ กพท. และ กสทช. มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะสนามบินหลัก–รอง และพื้นที่ที่ประกาศเป็น “เขตปลอดภัยในการเดินอากาศ” ช่วงเทศกาลลอยกระทง ภาคเหนือและภาคอื่น ๆ ที่มีวัฒนธรรมปล่อยโคม–พลุ จึงต้องประสานงานกับสนามบินในพื้นที่อย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ใช้ โดรน ทั่วประเทศ กรอบคิดที่ควรยึดไว้เสมอคือ “มองเห็น–ควบคุมได้–รับอนุญาต” หากบินใกล้สนามบินหรือในพื้นที่อ่อนไหว และ “ขึ้นทะเบียน–ทำประกัน” ให้ครบ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น

ต่างประเทศ 10% เวทีโลกก็เผชิญโจทย์เดียวกัน – วัตถุเล็ก ความเสี่ยงใหญ่

หลายประเทศเข้มงวดกับ โคมลอย และ โดรน ใกล้สนามบินอย่างมาก เพราะอุบัติการณ์ “วัตถุเล็ก–ผลกระทบใหญ่” เกิดขึ้นจริง ทั้งกรณีโดรนรุกล้ำเขตห้ามบินจนสนามบินต้อง ปิดรันเวย์ชั่วคราว, หรือเหตุไฟไหม้จากโคมลอยที่ลอยไกลควบคุมไม่ได้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้ตอกย้ำว่าแนวนโยบายของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงฯ ที่เลือกใช้ “ป้องกันไว้ก่อน” คือทางเลือกที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในระยะยาว

จาก “ความงดงาม” สู่ “ความรับผิดชอบร่วมกัน”

เทศกาลยี่เป็ง–ลอยกระทงคือมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเชียงรายและชาวล้านนา การรักษาเสน่ห์นั้นไว้คู่กับการเดินอากาศที่ปลอดภัย จำเป็นต้องอาศัย ความร่วมมือจากทุกคน

  • หากต้องการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับโคมลอย ต้องยื่นขออนุญาต แจ้งวัน–เวลา–สถานที่–จำนวน และประสานสนามบินล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน
  • เลือกใช้ โคมมาตรฐาน ขนาดตามเกณฑ์ และ ห้าม ผูกพลุ/ลูกไฟตก
  • ผู้ใช้ โดรน ต้อง ขึ้นทะเบียน ตามเกณฑ์ของ กสทช.–กพท., ทำประกันบุคคลที่สาม, บินในพื้นที่ปลอดภัย ห่างสนามบินอย่างน้อย 9 กม., ความสูงไม่เกิน 90 เมตร, และมองเห็นด้วยตาเปล่าเสมอ
  • เมื่อพบวัตถุในอากาศรุกล้ำเขตปลอดภัย แจ้งท่าอากาศยาน ผ่านช่องทางที่ประกาศ (QR Code) ทันที

เสียงปิดท้ายจากเวทีรณรงค์ของเชียงรายชัดเจน น่านฟ้าปลอดภัย คือความรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งเมือง” หากทุกภาคส่วนขยับพร้อมกัน เชียงรายจะคงไว้ซึ่งทั้ง ความงามของประเพณี และ ความมั่นคงของเส้นทางบิน ที่เชื่อมผู้คน เศรษฐกิจ และอนาคตของเมืองเข้าด้วยกันอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (AOT Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport)
  • บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
  • สำนักงาน กสทช.
  • ประกาศกระทรวงคมนาคม
  • พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ตั๋วเครื่องบินสงกรานต์ถูกลง สุริยะจัด 124 เที่ยวบิน ลด 30%

สุริยะ สั่งเพิ่มเที่ยวบิน 124 เที่ยว พร้อมลดค่าตั๋ว 30% แก้ปัญหาราคาตั๋วเครื่องบินแพงช่วงสงกรานต์

คมนาคมเร่งอำนวยความสะดวกประชาชน เตรียมระบบขนส่งรองรับช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568

ประเทศไทย, 13 มีนาคม 2568 – นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้มีการประชุมร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนในช่วง เทศกาลสงกรานต์ วันที่ 11-17 เมษายน 2568 โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาตั๋วเครื่องบินราคาสูงในช่วงที่มีความต้องการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างมาก

สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาตั๋วโดยสารแพง กระทรวงคมนาคมได้สั่งการให้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ลงพื้นที่ตรวจสอบราคาและหารือกับ 6 สายการบินหลักของไทย ได้แก่ การบินไทย, บางกอกแอร์เวย์ส, ไทยแอร์เอเชีย, นกแอร์, ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท เพื่อเพิ่มเที่ยวบินพิเศษ 124 เที่ยวบิน และเพิ่มที่นั่งรวม 25,000 ที่นั่ง พร้อมทั้งกำหนด ลดราคาตั๋วเครื่องบินลง 30% จากราคาเพดาน สำหรับเที่ยวบินในประเทศที่ได้รับความนิยม

รายละเอียดเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นและมาตรการลดราคาค่าโดยสาร

เส้นทางบินที่มีการเพิ่มเที่ยวบินพิเศษและลดราคาค่าโดยสาร ได้แก่:

  • กรุงเทพฯ – เชียงใหม่
  • กรุงเทพฯ – เชียงราย
  • กรุงเทพฯ – ภูเก็ต
  • กรุงเทพฯ – กระบี่
  • กรุงเทพฯ – สมุย
  • กรุงเทพฯ – นครพนม
  • กรุงเทพฯ – อุดรธานี
  • กรุงเทพฯ – อุบลราชธานี
  • กรุงเทพฯ – ขอนแก่น
  • กรุงเทพฯ – หาดใหญ่
  • กรุงเทพฯ – นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ การจำหน่ายตั๋วเครื่องบินตามมาตรการดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่ วันที่ 11-20 มีนาคม 2568 ผ่านช่องทางจำหน่ายของแต่ละสายการบินโดยตรง เช่น เว็บไซต์, Call Center และเคาน์เตอร์ขายตั๋วที่สนามบิน

ไทยแอร์เอเชีย ขานรับมาตรการรัฐ ลดค่าตั๋ว 30% จองได้ 11-20 มีนาคม

นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย เปิดเผยว่า ทางสายการบินได้เพิ่มเที่ยวบินพิเศษใน 5 เส้นทางหลัก ได้แก่ ดอนเมือง – เชียงใหม่, ดอนเมือง – เชียงราย, ดอนเมือง – นครพนม, ดอนเมือง – อุดรธานี และดอนเมือง – อุบลราชธานี

“เพื่อรองรับความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ไทยแอร์เอเชียได้เพิ่มเที่ยวบินในบางเส้นทาง เช่น ดอนเมือง – เชียงใหม่ จาก 17 เป็น 18 เที่ยวบินต่อวัน และดอนเมือง – อุดรธานี จาก 5 เป็น 6 เที่ยวบินต่อวัน พร้อมทั้งลดราคาตั๋วเครื่องบิน 30% จากราคาเพดาน โดยสามารถจองตั๋วได้ตั้งแต่ วันที่ 11-20 มีนาคม 2568 ผ่านเว็บไซต์ www.airasia.com, แอปพลิเคชัน AirAsia MOVE และเคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรโดยสารที่สนามบินทั่วประเทศ

มาตรการรองรับการเดินทางช่วงสงกรานต์ 2568

  1. การเพิ่มเที่ยวรถไฟและรถโดยสาร
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพิ่มขบวนรถพิเศษเสริม 5 เส้นทาง รวม 26 ขบวน ไป-กลับ ได้แก่ กรุงเทพอภิวัฒน์ – เชียงใหม่, อุบลราชธานี, อุดรธานี, ศิลาอาสน์ และยะลา คาดว่าจะรองรับผู้โดยสารได้ 758,024 คน-เที่ยว
  • บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เสริมรถโดยสารไม่ประจำทางอีก 1,000 คัน รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 100,000 คน
  1. การเปิดทดลองใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ฟรี
  • M6 (บางปะอิน – นครราชสีมา) ช่วงหินกอง – เลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 167 กิโลเมตร
  • M81 (บางใหญ่ – นครปฐม – กาญจนบุรี) ระยะทาง 96.41 กิโลเมตร
  1. การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ
  • ทางพิเศษบูรพาวิถีและกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) ยกเว้นค่าผ่านทางวันที่ 11 – 17 เมษายน
  • ทางพิเศษศรีรัช เฉลิมมหานคร และอุดรรัถยา ยกเว้นค่าผ่านทางวันที่ 11 – 15 เมษายน
  • มอเตอร์เวย์ M7 (กรุงเทพฯ– บ้านฉาง) และ M9 (วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ) ยกเว้นค่าผ่านทางวันที่ 11 – 17 เมษายน
  1. มาตรการเพื่อความปลอดภัยการเดินทาง
  • กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กำหนดว่า รถโดยสารไม่ประจำทางที่เดินทางเกิน 400 กิโลเมตร ต้องมีพนักงานขับรถ 2 คน หรือหยุดพักอย่างน้อย 30 นาทีทุก 4 ชั่วโมง
  • ห้ามรถบรรทุกขนส่งสินค้าเดินทางบนถนนบางสาย ระหว่างวันที่ 11 – 13 เมษายน และ 15 – 17 เมษายน
  • GPS ติดตามรถบรรทุก เพื่อลดความเร็วเกินกำหนดและป้องกันอุบัติเหตุ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • กระทรวงคมนาคม คาดการณ์ว่าช่วงสงกรานต์ มีประชาชนเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากกว่า 1.2 ล้านคนต่อวัน
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (2567) รายงานว่า ช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว ราคาเฉลี่ยตั๋วเครื่องบินเพิ่มขึ้นกว่า 40% ส่งผลให้ประชาชนร้องเรียนเป็นจำนวนมาก
  • กรมทางหลวง คาดว่าปริมาณจราจรในช่วงสงกรานต์ปีนี้จะเพิ่มขึ้น 15% จากปีที่แล้ว โดยเฉพาะเส้นทางสายหลักกรุงเทพฯ – ภาคเหนือ และกรุงเทพฯ – ภาคอีสาน

สรุป

กระทรวงคมนาคมได้เร่งดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ด้วยการเพิ่มเที่ยวบิน 124 เที่ยว พร้อมลดค่าตั๋วเครื่องบิน 30% รวมถึงเสริมระบบขนส่งสาธารณะด้านรถไฟและรถโดยสาร ทั้งนี้ การเปิดให้ทดลองใช้มอเตอร์เวย์ฟรีและมาตรการควบคุมความปลอดภัยในการเดินทางคาดว่าจะช่วยลดปัญหาจราจรติดขัด และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงคมนาคม / สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย / การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) / กรมทางหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE