Categories
SOCIETY & POLITICS

สาธารณสุข ยกระดับ 30 บาท ออกแบบบริการตามความต้องการประชาชน

 

วันที่ 20 ตุลาคม 2566 ที่ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน กทม. นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ Quick Win (แผนปฏิบัติการเร่งรัด) ยุคเปลี่ยนผ่าน “ก้าวสู่ระบบสุขภาพปฐมภูมิที่มีคุณภาพ 30 บาท รักษาทุกโรคยุคใหม่” โดยมี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะผู้บริหาร สาธารณสุขอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม 900 คน


          นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า การแพทย์ปฐมภูมิ ถือเป็นบริการด่านแรกที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้แบบใกล้บ้านใกล้ใจ ดูแลตั้งแต่ส่งเสริม ป้องกัน ควบคุม รักษา และฟื้นฟู และเป็น 1 ใน 13 ประเด็น ในการขับเคลื่อนนโยบาย 30 บาทพลัส เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ โดยการยกระดับระบบสุขภาพปฐมภูมิเพิ่มความครอบคลุมการดูแลสุขภาพที่บ้านและชุมชน การรับยา ส่งยาทางไปรษณีย์ การเจาะเลือดตรวจแล็บใกล้บ้าน 1 จังหวัด 1 โรงพยาบาล รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาระบบนัดหมาย ระบบเทเลเมลดีซีน และการเสริมสร้างงานอนามัยโรงเรียนให้เข้มแข็ง 1 อำเภอ 1 โรงเรียน ซึ่งการพัฒนาในเรื่องดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขทุกระดับทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน มีความเข้าใจบริบทของพื้นที่เป็นอย่างดี และสามารถออกแบบระบบบริการได้ตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่

 


          ซึ่งการจัดประชุมในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้บริหารในระดับอำเภอ เพื่อที่จะนำนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้ง Quick Win 10 เรื่อง อาทิ บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ มะเร็งครบวงจร ส่งเสริมการมีบุตร จัดตั้งศูนย์ธัญญารักษ์ดูแลผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลอัจฉริยะระบบการแพทย์ทางไกล สถานชีวาภิบาลและคลินิกผู้สูงอายุ เป็นต้น ไปเร่งรัดขับเคลื่อนร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพประชาชนให้ครอบคลุมทุกมิติต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ปธพ.10 ชู10 หัวข้อแนวทาง วงการแพทย์ไทย นำไปปฏิบัติจริง

 

ปธพ.10 สำเร็จการศึกษา ชู10 หัวข้อผลงานวิชาการทางการแพทย์ เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาวงการแพทย์สาธารณสุขไทย สอดคล้องนโยบายรัฐบาล พร้อมนำไปปฏิบัติจริง

 

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566  ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ฯ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ มีการจัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2566 แพทยสภา – ปธพ.ครั้งที่ 10 โดยแพทยสภาร่วมกับสถาบันพระปกเกล้าได้จัดอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง (ปธพ.) ขึ้น  ตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อร่วมพัฒนาวงการแพทย์ และระบบสาธารณสุขของประเทศไทย โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์   เป็นประธานในพิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเกียรติคุณ แก่นักศึกษาปธพ.รุ่นที่ 10 ที่สำเร็จการศึกษา จำนวน 143 คน โดยมีนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ สภานายกพิเศษแพทยสภา นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  อาจารย์วิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงสมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา  พลอากาศโท นายแพทย์อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์  และผู้อำนวยการหลักสูตรปธพ.  พร้อมด้วยนักศึกษาปธพ.รุ่น 10 เข้าร่วมพิธีสำเร็จการศึกษา และเยี่ยมชมบอร์ดนำเสนอผลงานวิจัยของนักศึกษาและมีกิจกรรมการนำเสนองานวิจัยของนักศึกษาปธพ.รุ่นที่ 10 จำนวน 10 หัวข้อวิชาการอีกด้วย

 

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว กล่าวบรรยาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตระบบสาธารณสุขไทย” ว่า ผลงานวิชาการของนักศึกษาปธพ.10 นั้นตอบโจทย์วงการสาธารณสุขไทยทั้งหมด สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล พร้อมนำไปปฏิบัติได้จริง    โดยความท้าทายของระบบสาธารณสุขไทย มี 9 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพไทยในอนาคต ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ การเมือง ประชากร ลักษณะเฉพาะของคนไทย โรคอุบัติใหม่ เทคโนโลยี การขนส่ง อาหารเกษตรกรรม และ สิ่งแวดล้อม  ประเด็นสำคัญของระบบสาธารณสุขไทยที่ต้องรับมือคือ โรควัณโรค และอุบัติเหตุจราจร ที่เป็นเรื่องท้าทาย ส่วนในเชิงสังคมต้องอาศัยความร่วมมือจากคนในสังคมทุกภาคส่วน  โดยกระทรวงสาธรารณสุขกำหนดให้เขตสุขภาพ ทั้ง 12 เขต พัฒนา “เมืองสุขภาพดี” เขตละ 1 แห่ง  เพื่อประชาชนมีอายุยืน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

 

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ กล่าวถึงผลงานวิจัย ทั้ง 10 เรื่องของนักศึกษาว่า ทำให้เห็นศักยภาพของความร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้เป็นรูปธรรม รวมทั้งร่วมกันพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศไทย  ยกระดับสุขภาวะที่ดีของประชาชน บนพื้นฐานว่าการทำงานใดๆ จะสำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาแบบมีธรรมาภิบาล 

 

ด้านพลอากาศโท นายแพทย์อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการมูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ กล่าวว่าหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูงรุ่นที่ 10 (ปธพ. 10) เป็นความร่วมมือระหว่างแพทยสภา และสถาบันพระปกเกล้า โดยมีผู้บริหารระดับสูงจาก 6 เสาหลัก มาเรียนร่วมกันคือ แพทย์จากกระทรวงสาธารณสุข  ครูแพทย์จากมหาวิทยาลัย แพทย์ทหาร ตำรวจ และภาครัฐ  แพทย์จากภาคเอกชน ผู้บริหารภาครัฐ และ ผู้บริหารภาคเอกชน เพื่อแก้ปัญหาวงการแพทย์ ตามแนวทางพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ให้แพทย์ไทย “อ่อนน้อม ถ่อมตน ทุกคนมีดี อย่าดูถูกใคร” โดยใช้ “ธรรมาภิบาล”เป็นกลไกหลักในการแก้ปัญหาสาธารณสุขของประเทศ 

 

ทั้งนี้ผลงานวิจัยของนักศึกษาปธพ.รุ่นที่ 10  ประกอบด้วย หัวข้อที่ 1 ประสิทธิภาพ และผลกระทบของมาตรการสาธารณสุขในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข จากการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย  หัวข้อที่ 2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการสื่อสารเมื่อเกิดภาวะวิกฤตทางการแพทย์ โดยใช้โมเดลการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ศึกษากรณีวัคซีน COVID-19   หัวข้อที่ 3 การศึกษาต้นแบบโมเดลสุขภาพในการบูรณาการการบริหารจัดการกองทุนสุขภาพของประชาชนไทย: กรณีศึกษาจากโรคมะเร็งปอดชนิดยีนกลายพันธุ์ EGFR หัวข้อที่ 4 ความรุนแรงภายในสถานพยาบาลต่อบุคลากรทางการแพทย์ และข้อเสนอทางมาตรการกฎหมายเพื่อลดความรุนแรง (Violence against medical personal in Thailand: evidence and mitigation strategies) หัวข้อที่ 5  โครงการศึกษาสมรรถนะร่วมเชิงบูรณาการ (Integrative core competencies) ของบุคลากรทางการแพทย์เพื่อระบบ บริการสุขภาพไทยใน 10 ปีข้างหน้า หัวข้อที่ 6   Dementia Awareness in Thai Population การตระหนักรู้เรื่องภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุของประชากรไทย หัวข้อที่ 7 ปัจจัยสนับสนุนและอุปสรรคในการให้บริการโทรเวชในมุมมองของผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาล และถอดบทเรียนของการก้าวข้ามอุปสรรคของโรงพยาบาลที่มีประสบการณ์การให้บริการโทรเวช หัวข้อที่ 8 บทบาทของโรงพยาบาลเอกชน  ในการฝึกอบรมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ตามหลักธรรมาภิบาล  หัวข้อที่ 9  การศึกษาวิเคราะห์การรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กัญชากัญชงตามหลักธรรมาภิบาล และ หัวข้อที่ 10  ผลกระทบของการโฆษณาโดยแพทย์ในสื่อสังคมออนไลน์ในการดูแลรักษาเรื่องของความงาม โดยผลงานวิจัยทั้งหมดได้ถูกนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และได้มีการมอบหมายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขใช้เป็นแนวทางการพัฒนาวงการแพทย์และสาธารณสุขไทยต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : แพทยสภาร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

วันสุขภาพจิตโลกพร้อม ! “Better Mind Better Bangkok” 8 ต.ค.นี้ ที่สามย่านมิตรทาวน์

 

จากหลายๆ สถานการณ์สะเทือนขวัญและบางกรณีมีการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาดังที่เป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่องนั้น ได้บั่นทอนการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขของคนในสังคม  ความจริงที่ต้องยอมรับ ก็คือ ประเทศไทยวันนี้มีความท้าทายด้านสุขภาพจิตอย่างยิ่ง องค์การอนามัยโลกคาดในแต่ละปีจะมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่า 1 ล้านคน หรือทุก 40 วินาที มีคนฆ่าตัวตาย 1 คน

 

ข้อมูลจากผลการวิจัย “อนาคตสุขภาพจิตสังคมไทย พ.ศ. 2576 (Futures of Mental Health in Thailand 2033) โดย กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ฯ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ (FutureTales Lab by MQDC) ระบุว่า ตัวเลขผู้ป่วยจิตเวชในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านคนในปี 2558 เป็น 2.3 ล้านคนในปี 2564 และ 1 ใน 14 ของเด็กอายุ 5-9 ปี /1 ใน 7 ของวัยรุ่นอายุ 10 – 19 ปี มีความผิดปกติด้านจิตประสาทและอารมณ์  ร้อยละ 17.6 ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตายเป็นเหตุสำคัญของการเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย โดยทุกๆ 10 นาที จะมีคน 1 คนพยายามฆ่าตัวตาย และ ทุกๆ 2 ชั่วโมงประเทศไทยจะสูญเสียประชากร 1 คน จากการจบชีวิตตัวเอง ขณะที่ประเทศไทยพบผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพจิต-ซึมเศร้า เพิ่มขึ้น 1-2 % พบการฆ่าตัวตายสำเร็จต่อปีกว่า 4,625 คน (ปี พ.ศ. 2564-2565)

 

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “สุขภาพจิต” ส่งผลอย่างมากต่อความเป็นอยู่ของทุกคนในแต่ละวัน ทั้งระดับความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม หรือแม้แต่ส่งผลต่อสังคม  และเนื่องด้วยในวันที่ 10 ตุลาคมของทุกปีเป็น “วันสุขภาพจิตโลก”  (World Mental Health Day) มูลนิธิสติแอพ (SATI) ร่วมกับสถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต (TIMS) กรุงเทพมหานคร มูลนิธิเพื่อ“คนไทย” และภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมที่มีจุดมุ่งหมายสร้างความตระหนักและการสร้างพลังใจ เพื่อรับมือกับผลกระทบด้านสุขภาพจิตที่กำลังเพิ่มขึ้นของคนเมือง จึงได้ร่วมกันจัดงาน “วันสุขภาพจิตโลก” ชื่อ “Better Mind Better Bangkok” ขึ้นในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ ณ ลานกิจกรรมชั้น 3 สามย่านมิตรทาวน์ เพื่อนำเสนอข้อมูล องค์ความรู้ และประสบการณ์ตรงของภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ ที่ขับเคลื่อนงานพัฒนาด้านจิตเวชในประเทศไทย ได้ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ต่อสาธารณชน พร้อมกับการระดมการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน และหวังให้เกิดการผลักดันในเชิงนโยบายแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ตลอดจนเพื่อระดมความร่วมมือในการรับสมัครอาสาสมัครนักฟังเชิงลึกช่วยผู้เผชิญภาวะความเครียดผ่านแอพพลิเคชัน  “SATI”

 

ทั้งนี้ รูปแบบการจัดงานประกอบด้วย 4 เวทีเสวนา โดยวิทยากรผู้อุทิศตนให้กับแวดวงสุขภาพจิต รวมทั้งนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญและบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจ เช่น คุณภัทรดนัย เสตสุวรรณ คุณอแมนด้า ออบดัม คุณเจมส์ รัศมีแข ฟอเกอร์ลุนด์ฟ คุณนที เอกวิจิตร์ คุณจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ คุณพลวัชร ภู่พิพัฒน์  ดร.ทวิดา กมลเวชช คุณศานนท์ หวังสร้างบุญ ดร.ชาติวุฒิ วังวล ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ คุณอมรเทพ สัจจะมุนีวงศ์ พญ.พิยะดา หาชัยภูมิ คุณชนิดา คล้ายพันธ์ คุณดุจดาว วัฒนปกรณ์ คุณณาตยา แวววีรคุปต์ ฯลฯ ดำเนินรายการโดย คุณเกรซ นรินทร ชฎาภัทรวรโชติ

 

เนื้อหาของเวทีเสวนาปีนี้ จะมีการนำเสนอ 4 ประเด็นภายใต้แนวคิด SEAS” ประกอบด้วย

เวที 1 SSECURITY : Safe Environment  ร่วมสำรวจกลยุทธ์ต่างๆ เรียนรู้เครื่องมือและเทคนิคสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ส่งเสริมให้มีความมั่นคงอารมณ์   เวที 2 E EQUITY : Better Access การเข้าถึงสุขภาพจิตที่มากขึ้นและลดช่องว่างของปัญหา ส่งเสริมโอกาสที่เท่าเทียมและมากขึ้นในการเข้าถึงสุขภาพจิตอย่างเพียงพอของทุกคน  เวที 3 A ADAPTABILITY : Building Resilience  สร้างพลังฟื้นฟูจิตใจจากภายในตนเอง และบุคคลรอบข้าง สามารถปรับตัวในเวลาที่ยากลำบากและชีวิตผันผวน เวที 4 S SERENITY : Nonviolent Communication   การสื่อสารที่ปราศจากการคุกคาม ที่นำไปสู่ความสงบของจิตใจ และเสริมสร้างความสงบสุขให้ตนเองและผู้คนรอบข้าง

 

นอกจากนั้น ยังมี กิจกรรมที่ผู้เข้าร่วมสามารถมีส่วนร่วมอีกมากมาย เช่น กิจกรรม Mind Journal จาก Understand : ห้องนั่งเล่นของหัวใจ – จัดการกับความคิด อารมณ์ ด้วยเครื่องมือดูแลสุขภาพจิตในแบบฉบับที่จับต้องได้ กิจกรรมศิลปะ Emotional Wheel และ  VR for Mental Health จาก ME HUG – An Innovative Mental Health Wellness Center – สำรวจความรู้สึก และ ความหวังของตัวเองผ่านการใช้สี oil pastel ในการถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้สึกตนเอง ผ่านมุมมอง อารมณ์หลักๆ ทั้งหมด 4 อารมณ์ และความหวังของตนเอง  กิจกรรม Check Up My Mind จากกทม. มีประเมินสุขภาพจิต และคัดกรองความเครียดเบื้องต้น ตรวจวัดความเครียดด้วยเครื่อง HRV ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต และ Dots Coffee กาแฟดีที่สกัดและชงอย่างพิถีพิถันโดยผู้พิการทางสายตา และปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก IndyCamp

 

สามารถลงทะเบียนร่วมงานที่ https://book.soldoutt.com/bettermindbetterbangkok/register ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/satiapp

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : งานร้อยพลังสื่อ มูลนิธิเพื่อคนไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“หมอชลน่าน” สั่งปูพรมทั่วประเทศ สกัด “ ไข้หวัดใหญ่” หลังพบระบาดเพิ่ม 3 เท่า

 

    วันนี้ (14 ก.ย. 66)นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ว่า ล่าสุดได้รับรายงานมีจำนวนผู้ป่วยมากถึง 138,766 ราย อัตราป่วยเพิ่มสูงถึงกว่า 200 รายต่อประชาการแสนราย หรือเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ที่แม้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะมีเพียงแค่ 2 ราย ในจังหวัดสงขลาและนครราชสีมา ก็ตาม


          นายแพทย์ชลน่านกล่าวต่อว่า การระบาดในรอบนี้ เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/H1N1 ซึ่งประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือ มีการระบาดในโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่มีเด็กนักเรียนอยู่รวมกัน อาจมีการไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ร่วมกันได้ง่าย โดยข้อมูลของกรมควบคุมโรคพบว่า ในสัปดาห์ที่ 35 (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม–2 กันยายน) มีรายงานนักเรียนป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ 101 ราย ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดลําพูน จากการเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อ 5 ราย พบเชื้อไข้หวัดใหญ่ ชนิด A 4 ราย (ร้อยละ 80) จึงได้สั่งการให้กรมควบคุมโรคเตรียมพร้อมส่งทีมสอบสวนโรคปูพรมทุกโรงเรียนในชุมชน โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดสูงกว่าพื้นที่อื่น รวมถึงให้ทุกโรงพยาบาลเตรียมพรร้อมให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วย โดยขอให้บุคลากรสาธารณสุขทุกคนถือว่าเรื่องนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องเตรียมพร้อม 24 ชั่วโมง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

สธ.- สกมช. เดินหน้ายกระดับความปลอดภัยไซเบอร์ คุ้มครองข้อมูลสุขภาพผู้รับบริการ

 
วันนี้ (28 สิงหาคม 2566) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจาก นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีเปิดการอบรมการจัดการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านการบริหารศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงและปลอดภัยไซเบอร์ (Security Operation Center : SOC) ภายใต้โครงการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CII) ด้านสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ โดยมี พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เป็นประธานในพิธี 

          นายแพทย์พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขกำลังขับเคลื่อนการพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ซึ่งสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมีกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ จึงเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ทั้งข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย การให้บริการและการรักษา เป็นต้น ความปลอดภัยของข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในหน่วยงานสาธารณสุขและโรงพยาบาล เพื่อยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนการป้องกัน รับมือ ตอบโต้และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ 

          ด้านพลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานที่มีระบบและข้อมูลสารสนเทศในกระบวนการปฏิบัติงานของแพทย์ พยาบาลและผู้รับบริการที่มีความสำคัญทั้งสิ้น การอบรมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยยกระดับทักษะความเชี่ยวชาญ สร้างความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเสริมการป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ของหน่วยงานด้านสาธารณสุข ให้สามารถตรวจจับการโจมตี เพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองและบรรเทาภัยคุกคามทางไซเบอร์ ทำให้การบริการดำเนินต่อไปได้ โดยไม่กระทบต่อประชาชน 

          สำหรับการอบรมในครั้งนี้ เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ สถานการณ์ การรับมือและการป้องกัน ตลอดจนการใช้เครื่องมือเพื่อตรวจจับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ให้กับบุคลากรผู้ปฏิบัติงานดูแลระบบสารสนเทศของหน่วยงาน ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของแต่ละหน่วยงาน สร้างความปลอดภัยให้กับข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลของผู้รับบริการ รวมถึงป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการโดยจัดในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม – 1 กันยายน 2566 โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมจำนวน 90 คน จากสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ โรงพยาบาลอุดรธานี โรงพยาบาลลำปาง โรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โรงพยาบาลสระบุรี โรงพยาบาลพุทธชินราช
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ปลัด สธ. เตรียมเสนอ “พยาบาล” 10,124 ตำแหน่ง ต.ค.นี้

 

วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2566 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยขั้นตอนและไทม์ไลน์บรรจุชำนาญการพิเศษพยาบาล 10,124 ตำแหน่ง ยึดหลักเกณฑ์ ก.พ. กระจายทั่วประเทศอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เตรียมเสนอ อ.ก.พ.กระทรวงอนุมัติกำหนดตำแหน่งภายใน ต.ค.นี้ จากนั้นให้ส่วนภูมิภาคประเมินคัดเลือกบุคคลเข้าตำแหน่งให้เสร็จก่อน ธ.ค. และส่งผลงานประเมินภายใน 6 เดือนเพื่อพิจารณาแต่งตั้งต่อไป

 

           นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า การที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เห็นชอบให้ตำแหน่งชำนาญการพิเศษ แก่พยาบาลวิชาชีพในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข รวม 10,124 อัตรา โดยเป็นส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 9,277 อัตรา ถือเป็นการเพิ่มความก้าวหน้าในสายวิชาชีพพยาบาลและเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่บุคลากร ภายใต้เงื่อนไขคือ กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม ไม่ต้องนำตำแหน่งว่างมายุบเลิก ซึ่งขั้นตอนและกรอบระยะเวลาดำเนินการต่อไปนั้น สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้หารือร่วมกับ กองบริหารทรัพยากรบุคคล กองการพยาบาล และกรมต่างๆ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อวางแผนการกำหนดตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ 10,124 ตำแหน่ง และจะจัดส่งข้อมูลตำแหน่งและส่วนราชการให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขรับทราบ ทำการตรวจสอบให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ ก.พ. พร้อมทั้งจัดส่งแบบประเมินค่างานให้กองบริหารทรัพยากรบุคคล ภายในเดือนกันยายน จากนั้นเสนอ อ.ก.พ.สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เห็นชอบแบบประเมินค่างาน และเสนอ อ.ก.พ.กระทรวงสาธารณสุขอนุมัติกำหนดตำแหน่ง ภายในเดือนตุลาคม 2566 

 

          นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า หลังจากวันที่ อ.ก.พ.กระทรวงสาธารณสุข มีมติอนุมัติตำแหน่ง โรงพยาบาลแต่ละแห่งสามารถดำเนินการประเมินบุคคลเพื่อเข้ารับตำแหน่ง และประกาศผลการคัดเลือกให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2566 จากนั้นให้ส่งผลงานประเมินภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ประกาศผลการคัดเลือกให้คณะกรรมการพิจารณาผลงาน และเสนอปลัดกระทรวงสาธารณสุขออกคำสั่งแต่งตั้งต่อไป ทั้งนี้ กระบวนการทั้งหมดจะดำเนินการด้วยความรอบคอบและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ ก.พ. โดยเฉพาะเรื่องของการกระจายตำแหน่งไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

สธ.- สบช.- มูลนิธิ รพร. จับมือร่วมผลิตแพทย์ รองรับระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ

 

 กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สถาบันพระบรมราชชนก และมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ผลิตแพทย์รองรับระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ โดยจัดการเรียนการสอนชั้นคลินิกหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต พร้อมฝึกภาคปฏิบัติและจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักศึกษาแพทย์ในโรงพยาบาลเครือข่าย เพื่อช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์


          วันนี้ (17 สิงหาคม 2566) ที่ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช, สถาบันพระบรมราชชนก โดยศาสตราจารย์พิเศษ ดร.นายแพทย์วิชัย เทียนถาวร อธิการบดีสถาบัน
พระบรมราชชนก และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข 


          นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับการผลิตและพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกสาขาวิชาชีพ เพื่อเพิ่มกำลังคนในระบบสาธารณสุขที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบบริการสุขภาพของประเทศ และตอบสนองความต้องการบริการสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก และสภาสถาบันพระบรมราชชนก ได้อนุมัติให้จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์เป็นส่วนราชการของสถาบันพระบรมราชชนก เพื่อผลิตแพทย์เข้าสู่ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่ ซึ่งในการจัดการเรียนการสอนได้พัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ และโรงพยาบาลที่เป็นเครือข่าย ในการเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวิชาการ สถานที่ฝึกภาคปฏิบัติและจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักศึกษาแพทย์ โดยโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ซึ่งเป็นโรงพยาบาลระดับอำเภอขนาดใหญ่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ถือว่ามีความพร้อมอย่างมากในการเป็นแหล่งฝึกภาคปฏิบัติและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับการเรียนการสอนชั้นคลินิก


          สำหรับบันทึกข้อตกลงฯ ทั้ง 3 ฝ่ายจะร่วมมือด้านวิชาการพัฒนาหลักสูตรและผลิตบัณฑิตแพทย์ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตราฐานผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทยสภา มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติงานในชุมชน สนับสนุนแหล่งการเรียนรู้ ฝึกประสบการณ์แก่นักศึกษาและอาจารย์ครูพี่เลี้ยงแหล่งฝึก (Faculty Practice) โดยมี ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกของโรงพยาบาล 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลราชบุรี และโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง เป็นสถาบันร่วมผลิตแพทย์ในการเรียนการสอน ฝึกภาคปฏิบัติและประสบการณ์ 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สธ.เฝ้าระวังมลพิษจากโกดังพลุระเบิด รัศมี 500 เมตร พบน้ำยังมีปัญหา!

 วันนี้ (1 สิงหาคม 2566) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุโกดังเก็บพลุและดอกไม้ไฟระเบิด ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ว่า เหตุระเบิดดังกล่าวเป็นการเผาไหม้ของดินปืน อาจทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ รวมถึงปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในแหล่งน้ำได้ ล่าสุด นพ.ชัยวัฒน์ พัฒนาพิศาลศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส ได้รายงานความคืบหน้าการตรวจเฝ้าระวังผลกระทบมลพิษในสิ่งแวดล้อม โดยคณะกรรมประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ (คปสอ.) ทั้ง 13 อำเภอใน จ.นราธิวาส ศูนย์อนามัยที่ 12 ยะลา และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 สงขลา ได้ลงพื้นที่ร่วมคัดกรองผลกระทบด้านสุขภาพ เก็บตัวอย่างน้ำเพื่อวิเคราะห์คุณภาพทางกายภาพ เคมี และแบคทีเรีย รวมถึงตรวจวัดคุณภาพอากาศ คุณภาพแหล่งน้ำใช้ โดยเครื่องมือวัดภาคสนาม ณ จุดเกิดเหตุและรัศมี 500 เมตรโดยรอบ พบว่าไม่มีปัญหาด้านคุณภาพอากาศ ส่วนคุณภาพน้ำยังไม่เหมาะสมทั้งการอุปโภคและบริโภค จึงเสนอให้ใช้แหล่งนำจากพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ประปา อบต. และน้ำบาดาลโรงเรียนมูโนะ เป็นต้น


          นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ส่วนการดูแลเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ ทีม MCATT จากศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ และ 13 อำเภอของ จ.นราธิวาส ลงพื้นที่เยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวในโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก 10 ราย เป็นผู้ใหญ่ 8 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 7 ราย และเด็ก 2 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตทั้ง 2 ราย 2.ครอบครัวผู้เสียชีวิต 1 ครอบครัว ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ประเมินบุตรของผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตทั้ง 2 ราย และ 3.ผู้ได้รับผลกระทบในหมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 5  จำนวน 241 ราย เป็นผู้ใหญ่ 209 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 43 ราย เด็ก 32 ราย มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต 8 ราย รวมผู้มีความเสี่ยงทางสุขภาพจิตทั้งหมด 62 ราย ซึ่งทุกรายทีม MCATT ได้ให้การปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้นแล้ว สำหรับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ยังได้รับการดูแลเพิ่มเติมด้วย Crisis intervention หรือการช่วยให้วางแผนรับมือความเครียดรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น และในรายที่พบความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต จะส่งต่อให้ทีม MCATT ในพื้นที่ประเมินตามมาตรฐานการดูแลเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัยพิบัติ พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

สธ.-อว. เตรียมความพร้อม ฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี

 

 วันนี้ (17 กรกฎาคม 2566) ที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรุงเทพมหานคร นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการเตรียมความพร้อมและตอบสนองทางการแพทย์ต่อภาวะฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี (Medical Preparedness and Response for Radiological and Nuclear Emergency) โดยมี นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นสักขีพยาน


          นพ.โอภาส กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริม ยกระดับภารกิจด้านการเตรียมความพร้อม และการตอบสนองกรณีฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี รวมถึงตอบโต้ภัยฯ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องกับบริบทของประเทศ ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 แผนฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี พ.ศ. 2564 – 2570 และแผนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงได้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงในโครงการ “เตรียมความพร้อมและตอบสนองทางการแพทย์ต่อภาวะฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี  (Medical Preparedness and Response for Radiological and Nuclear Emergency)” เพื่อเป็นการกำหนดมาตรฐาน เป้าหมายและการปฏิบัติงานให้มีความเชื่อมโยงทุกระดับ ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงและจัดการสาธารณภัยให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ “การรู้รับ – ปรับตัว – ฟื้นเร็วทั่ว – อย่างยั่งยืน”


            โดย กระทรวงสาธารณสุข จะมีภารกิจในการประสานและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุขระดับชาติ ตลอดจนเป็นศูนย์ประสานงานกลางของหน่วยงานทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค ท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย ในการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข จัดให้มีศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในระดับต่างๆ สนับสนุนและพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากร ระบบข้อมูลสารสนเทศ องค์ความรู้ นวัตกรรมด้านบริหารจัดการในการจัดการภาวะฉุกเฉิน รวมถึงด้านวิชาการในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย


          ด้าน ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า ขอบเขตและแนวทางการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดนโยบาย, การสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อสร้างความเข้มแข็ง, บริหารจัดการระบบฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และสถานพยาบาล, พัฒนาศักยภาพบุคลากรและงานด้านวิชาการที่เกี่ยวข้อง, การกำหนดรายละเอียดเฉพาะเรื่องให้สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ,การติดตามประเมินผลร่วมกัน, จัดตั้งคณะทำงาน รวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะมีภารกิจในการเสนอแนะนโยบาย แนวทาง และแผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ และกำกับให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ ประชาชน และสิ่งแวดล้อม บริหารจัดการ กำกับดูแลความปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสี ตามพันธกรณีหรือความตกลงระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

สธ. จับมือ 11 หน่วยงาน เยียวยาความเดือดร้อนประชาชน

วานนี้ (5 กรกฎาคม 2566) ที่ โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11) ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นผู้แทนฯ เข้าร่วมลงนาม (MOU) การขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินการเรื่องราวร้องทุกข์ของศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ร่วมกับ 11 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ในการประชุมสัมมนาผู้นำการขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน (Chief Complaint Executive Officer : CCEO) ประจำปีงบประมาณ 2566 


          นายแพทย์รุ่งเรือง กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ กระทรวงสาธารณสุข (ศบท.สธ)”เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานการแก้ไขปัญหาข้อร้องทุกข์ของประชาชนในภาพรวมของกระทรวงสาธารณสุขให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี (13 กุมภาพันธ์ 2561) ที่กำหนดให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญต่อการดำเนินการเกี่ยวกับการร้องทุกข์ และการเร่งรัดแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และกำหนดให้ทุกหน่วยงานแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้นำขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน(Chief Complaint Executive Officer : CCEO) เพื่อทำหน้าที่กำกับ ดูแล ประสาน ติดตาม และประเมินผลการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ภายใต้แนวทางที่มีมาตรฐานในการให้บริการ สอดคล้องกับแผนบริหารราชการแผ่นดิน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ตลอดจนการสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นให้เกิดแก่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในแต่ละปีศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ฯ ได้รับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ประมาณ 600 เรื่องต่อปี  


          นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้วางแผนที่จะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ศูนย์ดำรงธรรม (กระทรวงมหาดไทย) กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระบบรับเรื่องราวร้องทุกข์แบบบูรณาการ และเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงระบบร้องทุกข์มากขึ้น โดยยึดหลัก ให้บริการสะดวก รวดเร็ว และสามารถบรรเทา เยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างทันท่วงที

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News