Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“เชียงรายน้ำท่วมตลาดสายลมจอย กระทรวงสาธารณสุขเร่งช่วยเหลือด่วน ป้องกันดินถล่ม”

สถานการณ์น้ำท่วมเชียงราย: กระทรวงสาธารณสุขเฝ้าระวังและดำเนินการช่วยเหลือ

ในวันที่ 15 ตุลาคม 2567 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีการน้ำเอ่อท่วมตลาดสายลมจอย นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวังน้ำป่าหลากและดินถล่มใน 9 จังหวัดภาคใต้ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น

การเฝ้าระวังน้ำป่าและดินถล่มในพื้นที่เสี่ยง

หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายโสภณ เอี่ยมศิริถาวร ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังน้ำป่าหลากและดินถล่มใน 9 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล พัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ซึ่งจังหวัดสงขลาได้เตือนภัยระดับเตรียมพร้อมใน 4 หมู่บ้าน ส่วนยะลาเตือนภัยระดับวิกฤตใน 2 หมู่บ้าน รวมถึงเชียงรายได้มีการเตือนภัยระดับเฝ้าระวังใน 2 หมู่บ้านด้วย

การช่วยเหลือผู้ประสบภัยและกลุ่มเปราะบาง

จากการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม ถึง 14 ตุลาคม 2567 ทีมปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขได้ดูแลผู้ประสบภัยรวม 239,415 ราย และกลุ่มเปราะบาง 33,830 ราย นอกจากนี้ ยังมีการจัดทีมปฐมพยาบาลสุขภาพจิตสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง ซึ่งจะติดตามและให้การรักษาต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดผลกระทบทางจิตใจจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้น

มาตรการด้านสุขภาพจิตหลังเกิดภัยพิบัติ

กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำมาตรการดูแลสุขภาพจิตใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะวิกฤตและฉุกเฉินตั้งแต่เกิดเหตุจนถึง 2 สัปดาห์ ระยะหลังประสบภาวะวิกฤตตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือน และระยะฟื้นฟูหลังเกิดเหตุการณ์เกิน 3 เดือน โดยการประเมินและติดตามดูแลกลุ่มเสี่ยงจะช่วยให้สามารถให้การรักษาที่เหมาะสมและทันเวลา

การจัดเตรียมทีมช่วยเหลือในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขัง

พื้นที่น้ำท่วมขังที่เสี่ยงสูงสุดประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก อ.บางระกำ พระนครศรีอยุธยา อ.บางบาล สุราษฎร์ธานี อ.พระแสง สมุทรปราการ อ.พระประแดง อุดรธานี อ.เพ็ญ นครปฐม อ.บางเลน นครพนม อ.นาทม และขอนแก่น อ.หนองเรือ โดยหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้รับการเตรียมทีมบุคลากร ยา และเวชภัณฑ์เพื่อออกช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ประสบภัย และกลุ่มเปราะบางได้อย่างทันท่วงที

ผลกระทบจากน้ำท่วมและการดำเนินการช่วยเหลือ

จากข้อมูลล่าสุด น้ำท่วมในเชียงรายทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสม 75 ราย บาดเจ็บ 2,421 ราย และไม่มีผู้สูญหายเพิ่มเติม นอกจากนี้ หน่วยงานสาธารณสุขยังคงให้ความสำคัญกับการปิดบริการในสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบ โดยสถานพยาบาลที่ต้องปิดบริการเพียง 1 แห่ง คือ รพ.สต.บ้านวังลูกช้าง จ.พิจิตร

ความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ในการรับมือภัยพิบัติ

การตอบสนองต่อสถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายและพื้นที่เสี่ยงอื่นๆ เป็นผลมาจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานท้องถิ่น และองค์กรต่างๆ ในการจัดเตรียมและดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้สามารถลดผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

บทสรุป: ความสำคัญของการเตรียมพร้อมและการตอบสนองต่อภัยพิบัติ

สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายและพื้นที่อื่นๆ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมและการตอบสนองอย่างรวดเร็วจากหน่วยงานสาธารณสุขและองค์กรที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการที่มีประสิทธิภาพในการดูแลผู้ประสบภัยและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการดูแลสุขภาพจิต เป็นสิ่งที่ช่วยลดผลกระทบจากภัยพิบัติและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

13 โรงพยาบาล รับผลกระทบน้ำท่วม สธ. เปิดศูนย์ฉุกเฉิน “เชียงราย-พะเยา”

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567  นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือของประเทศไทย ว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมยังมีปัญหาเพิ่มขึ้นใน 3 จังหวัด คือ เชียงราย น่าน และแพร่ แต่มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินที่ต้องเฝ้าระวัง 2 จังหวัด คือ เชียงรายและพะเยา 

ทั้งนี้ มีสถานพยาบาลได้รับผลกระทบจำนวน 13 แห่ง เพิ่มขึ้นจากเดิม 7 แห่ง ได้แก่ รพ. 2 แห่ง สาธารณสุขอำเภอ 2 แห่ง และ รพ.สต. 9 แห่ง จำนวนนี้ยังเปิดให้บริการตามปกติ 5 แห่ง ปิดบริการ 8 แห่ง คือ แพร่ มี รพ.สต.บุญเกิด และ รพ.สต.สบบง , เชียงราย มี รพ.สต.ตับเต่า และ สสอ.เทิง , แแพร่ มี รพ.สต.น้ำโค้ง รพ.สต.วังธง ร.สต.สบสาย และ สสอ.เมือง

นพ.สุรโชคกล่าวว่า การดูแลสุขภาพประชาชนขณะนี้มีประมาณ 9 พันครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ ได้มีการจัดหน่วยแพทย์เข้าไปดูแลตามปกติ ส่วนกลางได้สนับสนุนยาช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 1 พันชุด ส่วนใหญ่เป็นยาสามัญประจำบ้าน ยารักษาน้ำกัดเท้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากรายงานจนถึงขณะนี้พบผู้เสียชีวิตสะสมจากเหตุน้ำท่วม 8 ราย บาดเจ็บ 10 ราย รายละเอียดยังต้องรอสรุปอีกครั้ง 

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้เฝ้าระวังใกล้ชิดและคอยสนับสนุนยาไปให้แก่ผู้ประสบภัย ซึ่งเราก็ส่งไปแล้วประมาณ 1 พันชุด ส่วนใหญ่จะลงไปที่ รพ.สต.เป็นหลัก ส่วน รพ.ใหญ่ยังคงดูแลได้” นพ.สุรโชคกล่าวและว่า สำหรับการประเมินสถานการณ์ใน 6 จังหวัดที่ยังมีปัญหาน้ำท่วม คิดว่าปัญหาอยู่ในระดับเริ่มคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้น 

เมื่อถามถึงการประเมินความเสี่ยงในจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเส้นทางของมวลน้ำที่จะไหลผ่าน จะมีมาตรการรองรับอย่างไร  นพ.สุรโชค กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีการจัดทำแผนรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วม ดินโคลนถล่มไว้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจังหวัดเดิมๆ ที่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่แล้ว ยกเว้นบางจังหวัดที่ไม่ค่อยได้ประสบปัญหา ส่วนจังหวัดที่อยู่ด้านล่างลงมาและเป็นเส้นทางน้ำผ่านก็มีแผนรับมือแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้จะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา แต่มาตรการที่วางไว้สามารถรองรับได้ เพราะก่อนหน้านี้มีการพยากรณ์เอาไว้ว่ามวลน้ำจะเยอะกว่าปีที่ผ่านมา เราจึงมีการทบทวนและซ้อมแผนในพื้นที่ต่างๆ อยู่แล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พบโลโก้นี้ “30 รักษาทุกที่” ยื่นบัตรประชาชนใบเดียว ไม่ต้องมีใบส่งตัว

 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า ในการดำเนินการ “30 บาทรักษาทุกที่” ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้ารับบริการได้อย่างถูกต้องตามนโยบายที่จะเริ่มให้บริการในวันที่ 26 สิงหาคมนี้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้มอบให้ สปสช.จัดทำแนวทางการเข้ารับบริการ และยังเป็นแนวทางการให้บริการสำหรับหน่วยบริการที่เข้าร่วมให้บริการด้วย เพื่อความชัดเจนในการดูแล 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับโลโก้ 30 บาทรักษาทุกที่ เพื่อใช้ในการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ได้มอบให้ สปสช. ดำเนินการจัดทำโลโก้ใหม่ ที่มีความโดดเด่น ชัดเจน และสังเกตได้ง่าย ทำให้ประชาชนเข้ารับบริการได้โดยสะดวก

การออกแบบนั้นในโลโก้นี้นอกจากจะประกอบด้วยข้อความ “30 บาทรักษาทุกที่” แล้ว ยังมีเครื่องหมาย “ถูก” ที่สะท้อนว่า ที่นี่ให้บริการอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข บนสัญลักษณ์เครื่องหมายกากบาทสีแดง “กาชาด” และได้ใช้สีแดงที่สื่อถึงการรักษาพยาบาล ที่บ่งบอกถึงความอุ่นใจในบริการดูแล   

ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะเป็นวันคิกออฟ 30 บาทรักษาทุกที่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะเห็นสัญลักษณ์ “30 บาทรักษาทุกที่” ติดที่หน่วยบริการในระดับปฐมภูมิ ท่านสามารถเดินเข้ารับบริการได้เลย ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียว โดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทแต่ถ้าอาการเกินจากศักยภาพที่หน่วยบริการปฐมภูมิและหน่วยบริการนวัตกรรมจะให้การดูแลได้ก็จะได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่รับส่งต่อ

เรียกว่า เป็นการเพิ่มการเข้าถึงบริการ เพิ่มความสะดวก ลดความแออัดการเข้ารับบริการให้กับประชาชน โดยการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

สำหรับตราสัญลักษณ์ใหม่นั้นจะเริ่มติดที่หน่วยบริการที่เข้าร่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครก่อน หลังจากนั้นจะทยอยติดที่หน่วยบริการในจังหวัดนำร่องที่ผ่านมาให้ครบถ้วน เพื่อให้ประชาชนใช้บริการได้สะดวกและง่ายขึ้น นายสมศักดิ์ กล่าว

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การที่มีตราสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่ติดที่หน่วยบริการนั้น หมายความว่า หน่วยบริการนั้นคือหน่วยบริการในระดับปฐมภูมิที่เข้าร่วมให้บริการประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ซึ่งจะต้องผ่านหลักเกณฑ์ 3 ข้อ ดังนี้

1.มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการทั้งก่อนการใช้บริการและหลังการใช้บริการ หรือที่เรียกว่าการเปิดและปิดสิทธิในการให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้

2.ได้ทำการเชื่อมข้อมูลสุขภาพกับ สปสช. แล้ว

3. มีระบบส่งต่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Referral) เพื่อเชื่อมข้อมูลกับโรงพยาบาลรับส่งต่อในเครือข่ายในกรณีที่อาการผู้ป่วยเกินศักยภาพให้บริการได้ 

สำหรับการเข้ารับบริการนั้น ประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท นอกจากจะเข้ารักษาตามขั้นตอนปกติที่หน่วยบริการประจำของท่านแล้ว ยังมีทางเลือกใหม่สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการที่มีตราสัญลักษณ์ (โลโก้) “30 บาทรักษาทุกที่” ปรากฏอยู่ด้านหน้า ซึ่งจะเป็นหน่วยบริการในระดับปฐมภูมิ ได้แก่ รพ.สต., สถานีอนามัย, ศูนย์สุขภาพชุมชน, โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ประจำอำเภอ, และ โรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.)/โรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) ประจำจังหวัด

ขณะที่ในกรุงเทพมหานคร หน่วยบริการระดับปฐมภูมิจะเป็น คลินิกชุมชนอบอุ่น และศูนย์บริการสาธารณสุข นอกจากนั้นยังมีหน่วยปฐมภูมิของโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์เข้าร่วมด้วย สำหรับโรงพยาบาลรัฐสังกัดอื่น ๆ นั้น เป็นหน่วยบริการในระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ ถือเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อที่จะต้องใช้ใบส่งตัวในการเข้ารักษา

นอกจากนั้น ยังมีหน่วยบริการนวัตกรรมที่เป็นทางเลือกใหม่ ได้แก่ ร้านยาคุณภาพและคลินิกเอกชนที่เข้าร่วมกับ สปสช. เช่น คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม คลินิกพยาบาล คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกกายภาพบำบัด เป็นต้น

ในกรณีที่อาการป่วยเกินศักยภาพที่หน่วยบริการที่จะให้การรักษาได้ ก็จะได้รับการส่งต่อไปรับบริการที่โรงพยาบาลในเครือข่าย ซึ่งระบบการส่งต่อจะมีทั้งในรูปแบบใบส่งตัวกระดาษและใบส่งตัวอิเล็กทรอนิกส์หรือแบบออนไลน์ขึ้นอยู่กับความพร้อมของหน่วยบริการในการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ในส่วนของหน่วยบริการที่เข้าร่วมและจะเข้าร่วมกับ สปสช.ทุกแห่งนั้น

ขอให้มั่นใจในการเรื่องการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการ ซึ่ง สปสช. ได้มีการปรับการจ่ายบริการในรูปแบบใหม่ รวมถึงระบบการเบิกจ่ายเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เข้ากับระบบสุขภาพในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่ง สปสช. จะมีการจัดแถลงข่าวชี้แจงทำความเข้าใจขั้นตอนการใช้สิทธิของประชาชน การเชื่อมข้อมูล การส่งต่อผู้ป่วย และการเบิกจ่ายต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและหน่วยบริการ ในวันที่ 20 สิงหาคม 2567 นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สธ. ตั้งเป้าผลิตหมอปีละ 5,000 คน ร่วมมือ ม.พะเยา และมหาวิทยาลัยอีก 15 แห่ง

 

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2567 ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการผลิตแพทย์ของโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ระหว่าง สธ. กับมหาวิทยาลัยคู่ความร่วมมือ 16 แห่ง ประกอบด้วย ม.เกษตรศาสตร์ ม.ขอนแก่น จุฬาฯ ม.เชียงใหม่ ม.เทคโนโลยีสุรนารี ม.ธรรมศาสตร์ ม.นราธิวาสราชนครินทร์ ม.นเรศวร ม.บูรพา ม.พะเยา ม.มหาสารคาม ม.มหิดล ม.วลัยลักษณ์ ม.สงขลานครินทร์ ม.อุบลราชธานี และสถาบันพระบรมราชชนก

 

นพ.โอภาส กล่าวว่า สธ. โดยสำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท (สบพช.) ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพ เข้าสู่ระบบและกระจายไปยังโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยคู่ความร่วมมือ 16 แห่ง และมีรพ.ของสธ.ที่เป็นศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก รองรับการฝึกนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4-6 จำนวน 39 แห่ง ผลิตแพทย์เข้าสู่ระบบแล้ว 13,780 คน ซึ่งแพทย์กลุ่มนี้ยังคงอยู่ในระบบ 77%

 

นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า การลงนามครั้งนี้เป็นการขยายกรอบความร่วมมือทั้งด้านการศึกษา การผลิตบุคลากรสาธารณสุข การวิจัยเพิ่มมากขึ้น รองรับโยบายรัฐบาลในโครงการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว และอีกส่วนสำคัญคือรองรับการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ซึ่งต้องมีบุคลากรทางการแพทย์รองรับเพิ่มมากขึ้น

 

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า สถานการณ์ภาพรวมเรามีแพทย์อยู่ประมาณ 50,000 คน อยู่ในสังกัดสธ. 25,000 คน ที่เหลือ 20-30% อยู่ที่ภาครัฐโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยรัฐ และหน่วยความมั่นคง ส่วนอีก 20% อยู่ในภาคเอกชน หากเทียบหลายปีก่อนถือว่าไม่ขาดแคลน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ซึ่งการผลิตแพทย์ 1 คน สามารถสร้างผลผลิตให้กับประเทศได้หลายสิบหลายร้อยล้าน ทำให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

 

นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมทั้งประเทศโรงเรียนแพทย์สามารถผลิตแพทย์ได้ปีละ 3,500 คน โดยแต่ละปี สธ.ร่วมผลิตในชั้นคลินิกประมาณ 2,000 คน ขณะนี้สธ.กำลังจัดทำร่างยุทธศาสตร์กำลังคนด้านสาธารณสุข ซึ่งจะเป็นไกด์ไลน์ในการพัฒนากำลังคน

 

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า เดิมเรามองแต่บริบทการผลิตบุคลากรสาธารณสุขตอบสนองเฉพาะประชาชนในประเทศ แต่บริบทใหม่จะต้องตอบสนองบริการทางการแพทย์ที่เป็นคนต่างชาติมากขึ้นด้วย ซึ่งจำเป็นต้องผลิตบุคลากรทางการแพทย์หลายระดับมากขึ้นโดยความร่วมมือกับทุกหน่วย โดยเฉพาะแพทย์ที่ตั้งเป้าช่วง 6-10 ปีจากนี้จะต้องผลิตให้ได้ปีละ 5,000 คน เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ รวมถึงรองรับสังคมผู้สูงอายุด้วย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สธ จัดบริการแพทย์เฉพาะทาง 14 คลินิก ดูแลสุขภาพชาวเชียงราย

 
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม 2567  ที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร อำเภอเวียงชัย  จังหวัดเชียงราย ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข  ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1  เปิด “โครงการพาหมอไปหาประชาชนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา  6  รอบ 28  กรกฎาคม  2567  เขตสุขภาพที่ 1 โดยมี นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงาน นายบดินทร์ เทียมภักดี  นายอำเภอเวียงชัย กล่าวต้อนรับ ผู้เข้าร่วมพิธีประกอบด้วย พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ คณะผู้บริหารในเขตสุขภาพที่ 1 ผู้บริหารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ บุคลากรในสังกัดและประชาชนชาวจังหวัดเชียงราย
 

     ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข  ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 กล่าวว่า โครงการพาหมอไปหาประชาชนเฉลิมพระเกียรติฯ นี้ มุ่งหวังให้ประชาชนที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ให้สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม สะดวก ได้รับการค้นหาและรักษาโรคในระยะเริ่มต้นได้อย่างทันท่วงที ลดอัตราการป่วย และเสียชีวิตจากโรคสำคัญช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล มุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดคือ “สุขภาพคนไทย เพื่อสุขภาพประเทศไทย”
 

             ทั้งนี้โครงการพาหมอไปหาประชาชน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567  เขตสุขภาพที่ 1 ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย โดยโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงรายและภาคีเครือข่ายได้จัดบริการทางการแพทย์ คลินิกตรวจรักษา โดยแพทย์เฉพาะทางจิตอาสา 14 คลินิก 2 กิจกรรม ประกอบด้วย 1.คลินิกคัดกรองมะเร็งตับและท่อน้ำดี 2.คลินิกคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 3.คลินิกคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง 4.คลินิกคัดกรองมะเร็งเต้านม 5.คลินิกตาในเด็กและผู้สูงอายุ 6.คลินิกทันตกรรม  7.คลินิกสุขภาพจิต 8.คลินิกตรวจสุขภาพพระสงฆ์ 9.คลินิกฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 10.คลินิกตรวจมวลกระดูกและตรวจความแข็งตัวของหลอดเลือดแดง 11.คลินิกไตเสื่อม 12.คลินิกผ่าตัดทำเส้นเลือดฟอกไต(AVF) 13.คลินิกคัดกรองความผิดปกติการเต้นของหัวใจ 14.คลินิกหมอความ  2 กิจกรรม ได้แก่ 1.กิจกรรมลงทะเบียนบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่  2.กิจกรรมบริการทางเภสัชกรรมและการคุ้มครองผู้บริโภคฯ 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“พาหมอไปหาประชาชน” คนเชียงของ เฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ “ในหลวง”

 
เมื่อวันที่ 8เม.ย.2567 ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิด “โครงการพาหมอไปหาประชาชนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จังหวัดเชียงราย” โดยมี ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 กล่าวรายงาน นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับ และนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เป็นตัวแทนชาวจังหวัดเชียงรายกล่าวขอบคุณ พร้อมกันนี้นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้นำผู้บริหารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย บุคลากรในสังกัด และประชาชนเข้าร่วมพิธีเปิดอย่างคับคั่ง
 
 
นายวัชรพล โตมรศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โครงการพาหมอไปหาประชาชน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ไทยให้แก่ประชาชน เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการคัดกรองโรคที่เป็นปัญหาความเจ็บป่วยปัญหาสุขภาพที่สำคัญของประชาชน
 
 
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อไปว่า กระทรวงสาธารณสุขตระหนักถึงความสำคัญของการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการคัดกรองโรคของประชาชนในพื้นที่ ที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ให้สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง และเท่าเทียม ได้รับการค้นหาและรักษาโรคในระยะเริ่มต้นได้อย่างทันท่วงทีลดอัตราการป่วย และเสียชีวิตจากโรคสำคัญ ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล
 
 
“สำหรับโครงการพาหมอไปหาประชาชน เฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดเชียงราย ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ จัดบริการ 10 คลินิก 1 กิจกรรม ประกอบด้วย คลินิกคัดกรองมะเร็งตับและท่อน้ำดี คลินิกคัดกรองมะเร็งเต้านม คลินิกคัดกรองมะเร็งปากมดลูก คลินิกคัดกรองมะเร็งลำไส้ คลินิกตรวจตาในเด็กและผู้สูงอายุ คลินิกทันตกรรม คลินิกโรคหัวใจ คลินิกสุขภาพจิต คลินิกตรวจสุขภาพพระสงฆ์ คลินิกเฉพาะทางหู และกิจกรรมลงทะเบียนบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ รวมมีผู้มารับบริการทั้งสิ้น 4,661 ราย”นายวัชรพลกล่าว
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH NEWS

กรมอนามัย เตือนกิน จิ้งจก-ตุ๊กแก ระวังเสี่ยงติดเชื้อในทางเดินอาหาร

 

 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เตือนจากข้อมูลที่แชร์บนโลกออนไลน์ กินจิ้งจก ตุ๊กแก หวังเสริมสมรรถนะทางเพศ ไม่เป็นความจริง ชี้ประชาชน ไม่ควรกิน เพราะยังไม่มีงานวิจัยรองรับถึงประโยชน์ตามที่กล่าวอ้าง พร้อมแนะประชาชนดูแลตนเองอย่างเหมาะสม เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับให้เพียงพอ ลดการดื่มแอลกอฮอล์และเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพื่อสุขอนามัยที่ดี

 

        นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกรณีข้อมูลที่แชร์บนโลกออนไลน์ หนุ่มใหญ่อายุ 59 ปี จับจิ้งจกมากินโชว์ อ้างว่าจิ้งจกมีสรรพคุณเป็นยาโด๊ป กินเป็นประจำจะทำให้สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะสุภาพบุรุษ จะเพิ่มสมรรถภาพทางเพศภายในสามชั่วโมงหลังจากกินรวมทั้งสื่อต่างประเทศรายงานข่าว หนุ่มใหญ่ชาวไทยอีกเช่นเคย กินตุ๊กแกเป็นอาหารเพื่อปรับปรุงสมรรถภาพทางเพศ โดยใช้วิธีกินดิบไม่ปรุงสุกเพราะเชื่อว่าจะได้ผลดีที่สุด ซึ่งในความเป็นจริงนั้น การกินจิ้งจก และตุ๊กแกอาจมีโอกาสได้รับเชื้อโปรโตรซัวที่อยู่ในสัตว์เลื้อยคลาน เพราะจิ้งจกและตุ๊กแกดำรงชีวิตด้วยการกินอาหารสด จำพวกแมลงหรือสัตว์ขนาดเล็กที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย ติดเชื้อในทางเดินอาหาร หรือปวดท้องบิดได้ โดยเฉพาะในมูลของจิ้งจก ตุ๊กแก อาจมีเชื้อราปนเปื้อน และเชื้อซาลโมเนลลาที่เป็นพาหะโรคอุจจาระร่วง อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ รวมทั้งตุ๊กแกดิบ ๆ อาจได้รับอันตรายเพราะตุ๊กแกเป็นสัตว์ที่มีฟันที่แหลมคมกัด รวมทั้งการได้ตามจับตุ๊กแกก็เสี่ยงต่อสัตว์มีพิษชนิดอื่นๆ ได้ เนื่องจากตุ๊กแกไม่ใช่สัตว์ที่เพาะเลี้ยงเพื่อใช้บริโภค จึงต้องหาจากป่า สวน หรือบริเวณบ้านเรือน อีกทั้ง หากไม่มีกระบวนการชำแหละ จะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อก่อโรคได้

 

        ทั้งนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่สามารถยืนยันได้ว่า จิ้งจก หรือตุ๊กแกสามารถเสริมสมรรถภาพทางเพศหรือรักษาโรคได้จริงหรือไม่ สำหรับชายหนุ่มที่ต้องการมีสมรรถนะทางเพศที่แข็งแรง ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ไข่ ถั่ว เนื้อหมู เนื้อวัว หอยนางรม เหล่านี้เป็นอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน วิตามินอีและสังกะสี ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มความแข็งแรงและบำรุงระบบสืบพันธุ์ ลดการดื่มแอลกอฮอล์และเลี่ยงการสูบบุหรี่ รวมทั้งหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็สามารถมีสุขอนามัยที่ดี ลดความเสี่ยงในการบริโภคจิ้งจก หรือตุ๊กแกที่จะได้รับเชื้อก่อโรคได้

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

‘ชลน่าน’ เผยหากสาธารณสุขดึง ‘กัญชา’ กลับไปบัญชียาเสพติดวุ่นทั้งระบบแน่

 

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า การทำให้กัญชาถูกกฎหมายเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจ จนอาจมีความเป็นไปได้ที่อาจจะนำ กัญชา กลับเข้าสู่บัญชียาเสพติดว่า เรื่องดังกล่าวอาจเป็นมุมมองของนายกรัฐมนตรี เพราะนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภามีความชัดเจนว่า กัญชาหากจะนำมาใช้ต้องเป็นประโยชน์เพื่อการแพทย์หรือสุขภาพ รวมถึงในมิติทางเศรษฐกิจก็จะต้องเป็นไปเพื่อทางการแพทย์หรือสุขภาพ ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาและต้องปฏิบัติตาม

ส่วนข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่ในขณะนี้นั้น นพ.ชลน่าน กล่าวย้ำว่า กัญชาเป็นสารเสพติดเฉพาะสารสกัดที่มีค่า THC 0.2% โดยน้ำหนักเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ถือเป็นยาเสพติด แต่หากการนำกัญชากลับมาเป็นสารเสพติด ก็จะต้องมีการแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เคยประกาศถอดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด และให้เพียงสารสกัดจากกัญชาเป็นเพียงยาเสพติดก่อน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับนโยบายของนายกรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการอย่างไร และกฎหมายควบคุมกัญชาขณะนี้ยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการเตรียมการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว เพื่อรองรับต่อนโยบายกัญชาที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา เพราะกัญชาในปัจจุบันนั้นไม่ใช่ยาเสพติดก็จะต้องมีกฎหมายควบคุม ซึ่งเป็นไปตามอนุสัญญาที่ว่าด้วยเรื่องยาเสพติดระหว่างประเทศที่ระบุว่า หากประเทศใดกำหนดให้กัญชาไม่เป็นยาเสพติด ประเทศนั้นจะต้องมีกฎหมายควบคุม และบังคับใช้ในลักษณะที่ไม่น้อยกว่าการเป็นยาเสพติด ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการในแนวทางนี้ และรัฐบาลจะมีกฎหมายกัญชงและกัญชามาใช้ควบคุมกัญชานอกเหนือจากส่วนสารสกัด 0.2

 

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า กฎหมายกัญชง-กัญชาที่รัฐบาลกำลังจะออก หากใครจะนำกัญชง-กัญชามาใช้โดยไม่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์หรือสุขภาพ ถือว่าเป็นการใช้ผิดประเภท ส่วนหากจะนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดน่าจะยากแล้วใช่หรือไม่ รัฐบาลมองประเด็นเรื่องผลกระทบ ซึ่งหากมีกฎหมายควบคุมที่ไม่แตกต่างจากประกาศยาเสพติด ข้อกังวลถึงมิติสุขภาพ และการนำไปใช้ผิดประเภท ก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังวล แต่หากจะนำกลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้งก็จะต้องมีการรื้อระบบใหม่ และจะมีผลกระทบมากจากการที่ปล่อยให้ถูกกฎหมายไปก่อนหน้านี้ ทั้งเอกชน ร้านกัญชา และอื่นๆ เช่น ผู้ที่ปลูกต้นกัญชา 1 ต้นในบ้านก็จะผิดกฎหมาย แต่กฎหมายใหม่ที่จะออกมาควบคุมนั้น การปลูกและการผลิตจะต้องได้รับอนุญาต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“สันติ” หนุนศูนย์วิทย์ฯเชียงราย ด้านการวินิจฉัยสุขภาพแม่และเด็กแบบครบวงจร

 

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม  นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารลงพื้นที่ตรวจราชการก่อนการประชุม ครม. นอกสถานที่พื้นที่ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2  ตามที่รัฐบาลมีนโยบายในการสร้างมูลค่าเพิ่ม พืชสมุนไพร เพื่อเพิ่มศักยภาพสินค้าเกษตรไทยตามเป้าหมาย 13 Quick Winของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อส่งเสริมและพัฒนาประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และเป็นศูนย์กลางการแพทย์มูลค่าสูงในภูมิภาคอาเซียน   ยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพ  เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้กับประชาชน

โดย นายสันติ  ยังเป็นประธานเปิด โครงการถ่ายทอดองค์ความรู้วิทยาศาสตร์การแพทย์สู่ชุมชน พร้อมเยี่ยมชมบูธนิทรรศการผลการดำเนินงานของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย และเครือข่าย อาทิ การวินิจฉัยสุขภาพแม่และเด็ก การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ด้วยวิธี HPV DNA Test การตรวจสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช การพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP/SME การพัฒนาสมุนไพร และมอบผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงแก่ อสม. จำนวน 1,000 ชุด โดยมีนพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย อสม. ร่วมต้อนรับ ที่ โรงแรมเฮอริเทจ อำเภอเมือง จ.เชียงราย

 

หนุนศูนย์วิทย์เชียงราย ความเป็นเลิศตรวจสารเคมีป้องกันศัตรูพืช  

นายสันติ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีหน่วยงานส่วนภูมิภาคในพื้นที่เชียงรายคือ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ซึ่งรับผิดชอบการให้บริการตรวจวิเคราะห์วิจัยในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 1 ประกอบไปด้วย จ.เชียงราย เชียงใหม่ น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน มีการดำเนินงานที่สำคัญที่สนับสนุนงานสาธารณสุขหลายเรื่อง ทั้งการพัฒนาอสม.ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ซึ่งมีความรู้ในการใช้ชุดตรวจ การพัฒนาผู้ประกอบการชุมชนให้ได้มาตรฐาน

นอกจากนี้ ยังมีห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ทั้งด้านโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำ มีห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยตรวจคัดกรองทารกแรกเกิด สามารถตรวจคัดกรองโรคหายากจำนวน 40 โรค และด้านคุ้มครองผู้บริโภค มีห้องปฏิบัติการตรวจเฝ้าระวังสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชในผักผลไม้ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ได้ถึง 132 ชนิด

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเชียงรายมีด่านนำเข้าสินค้าหลายด่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด่านนำเข้าอาหารและยาเชียงของ มีมูลค่าการนำเข้าผักและผลไม้สดมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ซึ่งมีปริมาณนำเข้าปีละ 20,888 ตัน รองจากท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี  ดังนั้นเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคในประเทศไทย จึงพร้อมสนับสนุนให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย พัฒนาขีดความสามารถทางห้องปฏิบัติการให้ได้ 250 ชนิด และผลักดันเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการตรวจสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช และด้านการวินิจฉัยสุขภาพแม่และเด็กแบบครบวงจร ในเขตสุขภาพที่ 1 โซนภาคเหนือ

 

ตรวจยีนผิดปกติเด็กไทย 1.5 หมื่น พบผิดปกติ 2 ราย สงสัยโรคหายาก

ด้านนพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลการตรวจโรคพันธุกรรมเมตาบอลิกในทารกแรกเกิด หรือโรคหายาก ในเขตสุขภาพที่ 1 ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 – กุมภาพันธ์ 2567 จากเด็กไทยจำนวนทั้งหมด 15,056 ราย มีผลผิดปกติยืนยันเด็กไทยป่วยจำนวน 2 ราย เด็กต่างด้าวจำนวน 1 ราย และพบเด็กไทยสงสัยโรคหายากที่ไม่ได้อยู่ใน 40 โรค จำนวน 2 ราย ซึ่งได้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการรักษาแล้ว ทั้งนี้แผนการพัฒนาในอนาคตมีการเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวินิจฉัยสุขภาพแม่และเด็กแบบครบวงจร โดยเพิ่มศักยภาพในการตรวจ ธาลัสซีเมียชนิด Beta mutation การตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ด้วยวิธี Non-Invasive Prenatal Testing (NIPT) เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์

ในส่วนการเฝ้าระวังความปลอดภัยของสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชตกค้าง มีแผนพัฒนาในปี 2568 ให้สามารถตรวจวิเคราะห์สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชจาก 132 ชนิด เป็น 250 ชนิด และรายงานผลภายใน 36 ชั่วโมง เพื่อให้ด่านนำเข้าอาหารและยานำผลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคภายในประเทศให้ได้บริโภคผักผลไม้ที่ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง

 

รพ.แม่ใจ จ.พะเยา โดดเด่นแพทย์แผนไทย ผลิตสมุนไพรร่วมชุมชน

รมช.สาธารณสุข กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลแม่ใจ จ.พะเยา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาดกลาง จำนวนเตียงตามกรอบ 30 เตียง ให้บริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 249 คนต่อวัน มีความโดดเด่นในการดำเนินงานการแพทย์แผนไทยและโรงงานผลิตสมุนไพร ที่ได้พัฒนางานด้านการผลิตยาสมุนไพรร่วมกับชุมชน ตั้งแต่ปี 2542 เพื่อผลิตยาสมุนไพรที่มีคุณภาพสำหรับใช้ในโรงพยาบาลและสถานบริการในเครือข่ายสาธารณสุขของ จ.พะเยา

พร้อมกับพัฒนาส่งเสริมเครือข่ายกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนผู้ปลูก – ผลิตสมุนไพรใน อ.แม่ใจ และอำเภออื่น ๆ ของจังหวัดในการปลูก – ผลิตสมุนไพรที่ปลอดภัย มีคุณภาพ เป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ รวมถึงเป็นการผลิตวัตถุดิบในการผลิตยาสมุนไพรที่มีคุณภาพการผลิตยาสมุนไพรของโรงพยาบาลแม่ใจ ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตยาสมุนพรที่ดี จากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขและได้รับมอบหมายให้ดำเนินการผลิตยาสมุนไพรสำหรับใช้ในระบบการรักษาผู้ป่วยของภาครัฐ ทั้งในระดับโรงพยาบาลและระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในเขตบริการสุขภาพ ที่ 1 โดยผลิตสมุนไพร จำนวนทั้งสิ้น 26 รายการ

 

ชูศูนย์สุขภาพแผนไทย รพ.แม่ใจ 

นอกจากนี้โรงพยาบาลแม่ใจ ยังดำเนินการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยให้บริการ “ศูนย์สุขภาพแผนไทย โรงพยาบาลแม่ใจ” และ”การนวดวิถีไทย และผลิตภัณฑ์สมุนไพร GMP ใช้วัตถุดิบจากชุมชนต้นน้ำกว้าน” ซึ่งเน้นการบริการด้านการนวดเชิงสุขภาพ และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้วัตถุดิบสมุนไพรจากพื้นที่ ผลจากการดำเนินงานดังกล่าวทำให้โรงพยาบาลแม่ใจเป็นโรงพยาบาลและพื้นที่ต้นแบบด้านการส่งเสริมสุขภาพ (Health Literacy) และได้รับคัดเลือกเป็นพื้นที่ต้นแบบดีเด่นแห่งชาติด้านการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านผ่านมาตรฐานโรงพยาบาลส่งเสริมและสนับสนุนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน ระดับดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังได้รางวัลชมเชยโรงงานผลิตยาสมุนไพรดีเด่นระดับชาติ ประเภทโรงพยาบาล

 

รพ.พะเยา เคลื่อนรพ.อัจฉริยะบำบัดฟื้นฟูยาเสพติด

หลังจากนั้นได้ลงพื้นที่ไปยังโรงพยาบาลพะเยา เพื่อติดตามการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด จ.พะเยา การดำเนินงานโรงพยาบาลอัจฉริยะรองรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ระบบการแพทย์ฉุกเฉินการช่วยเหลืออุบัติเหตุทางน้ำจังหวัดพะเยาและการดำเนินงานการป้องกัน และการแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“พัชรวาท” สั่ง ปิดป่า – ยกระดับคุมจุดความร้อน 17 จังหวัดภาคเหนือ

 

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2567  พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม ผ่านระบบ VDO Conference ติดตามการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ ร่วมกับ 17 จังหวัดภาคเหนือ สั่งการยกระดับมาตรการที่เข้มงวด ปรับรูปแบบ การจัดกำลังดับไฟป่า “ปิดป่า” ห้ามบุคคลเข้าพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่สถานการณ์รุนแรง บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติการด้วยความ “แม่นยำ รวดเร็ว ทันท่วงที มีประสิทธิภาพ” ประกอบด้วย 6 มาตรการสำคัญ ได้แก่

 

1) ปรับรูปแบบการจัดกำลังดับไฟป่า ด้วยยุทธวิธีผสมผสานทั้งการตรึงพื้นที่ด้วยจุดเฝ้าระวัง โดยให้วอร์รูมบัญชาการชุดปฏิบัติการดับไฟป่าตลอดเวลาที่มีการเข้าพื้นที่
 
2) ติดตามสถานการณ์จุดความร้อน เมื่อพบต้องเร่งเข้าปฏิบัติการควบคุมสถานการณ์โดยทันที แต่ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และงดการใช้อาสาสมัครที่ไม่ได้รับการฝึกปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสีย
 
3) สนับสนุนและบูรณาการทำงานอย่างเต็มที่เป็นหนึ่งเดียว กับศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลาง
 
4) “ปิดป่า” ห้ามมิให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่สถานการณ์รุนแรง บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด ยกระดับการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ลักลอบจุดไฟเผาป่า
 
5) พื้นที่เกษตร ต้องติดตามเฝ้าระวังประสานงานกับฝ่ายปกครองอย่างใกล้ชิด เพื่อลดและควบคุมไม่ให้เกิดการเผาและหากเกิดต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว
 
6) สื่อสาร แจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองอย่างทั่วถึง ทันท่วงทีเพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่รวดเร็ว ถูกต้อง สร้างความรู้ ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ปฏิบัติตนตามคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม
กระทรวงเกษตรฯ สั่งลุยสยบ PM 2.5 เชียงใหม่ ใช้เทคนิคเด็ด “โปรยน้ำและน้ำแข็งแห้ง”
นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นในภาคเหนือ การปฏิบัติการในครั้งนี้ กรมฝนหลวงฯ ได้ใช้ “เทคนิคลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศผกผันด้วยการโปรยน้ำและโปรยน้ำแข็งแห้งเพื่อเป็นการเจาะช่องบรรยากาศให้สามารถระบายฝุ่นละอองขึ้นต่อไปได้ ” สำหรับผลการปฏิบัติในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 4 – 10 มีนาคม 2567 พบว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็ก บริเวณ จ.เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ น่าน มีแนวโน้มลดลง
กรมควบคุมโรคแนะ 3 แนวทางคนไทย “รู้-ลด-เลี่ยง” ฝุ่น PM 2.5
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำ 3 แนวทางรับมือและป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้คนไทยนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับ “ฝุ่น” ที่นับวันก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ได้แก่
 
• รู้ : ตรวจสอบสภาพอากาศทุกครั้งก่อนเดินทางออกจากบ้าน ผ่านการติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในแอปพลิเคชัน Air4thai และเพจคนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM 2.5 หรือติดตามข่าวสารตามช่องทางต่าง ๆ ของหน่วยงานด้านสาธารณสุข
• ลด : การสร้างมลพิษ ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง PM 2.5 เช่น จุดธูป เผากระดาษ
ปิ้งย่างที่ทําให้เกิดควัน การเผาใบไม้ เผาขยะ เผาพืชผลทางการเกษตร เป็นต้น รวมถึงการติดเครื่องยนต์ในบ้านเป็นเวลานาน
• เลี่ยง : หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีฝุ่นละอองสูง การอยู่กลางแจ้ง หรือทำกิจกรรมนอกอาคารเป็นเวลานานในช่วงที่ฝุ่นละออง PM 2.5 มีปริมาณมากกว่า 26 – 37 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป โดยปราศจากอุปกรณ์ป้องกันฝุ่นละอองในอากาศ
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News