Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านผวาปลาแม่น้ำโขง หลังพบโลหะหนัก กปภ. เร่งตรวจน้ำดิบ

เชียงรายเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง หลังพบสารหนูปนเปื้อน ชาวบ้านหวั่นผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า แม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำนานาชาติและเส้นเลือดหลักของชุมชนในจังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญกับวิกฤตการปนเปื้อนสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู (Arsenic) ที่ตรวจพบในระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย-เชียงแสน ประกาศแผนเร่งด่วนในการตรวจสอบน้ำดิบจากแม่น้ำโขงที่ใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอเชียงแสนและเชียงของ หลังทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงพบสารหนูในระดับสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย แสดงความกังวลอย่างหนัก โดยหลายคนไม่กล้าบริโภคปลาและกังวลต่อผลกระทบต่อการเกษตรจากตะกอนดินโคลนที่อาจปนเปื้อน

สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกในชุมชนท้องถิ่น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจส่งผลกระทบต่อหลายประเทศในลุ่มน้ำโขง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติกำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบและวางมาตรการแก้ไข เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในแม่น้ำโขง

ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำโขง

แม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในจังหวัดเชียงราย แม่น้ำโขงได้รับน้ำจากแม่น้ำสาขาหลายสาย เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งไหลมาจากรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พื้นที่เหล่านี้เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งทำเหมืองแร่ที่มีกิจกรรมต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ซึ่งอาจเป็นต้นตอของการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแหล่งน้ำ

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง น้ำในแม่น้ำสายมีลักษณะขุ่นขาวและมันวาวเมื่อกระทบแสงแดด แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใสกว่าปกติ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายรายงานว่าระบบผลิตน้ำประปาไม่สามารถกรองน้ำให้ใสได้ตามปกติ โดยน้ำดิบมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลากของปี 2567 และสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 จากอิทธิพลของพายุยางิ ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล สร้างความตื่นตัวให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เพื่อหาคำตอบว่าสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปถึงแม่น้ำโขงหรือไม่

การตรวจพบสารหนูในแม่น้ำโขงและผลกระทบ

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำโดยอาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร ได้เก็บตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง รวม 9 จุด ตั้งแต่บริเวณหัวฝาย อำเภอแม่สาย ไปจนถึงเทศบาลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน ผลการตรวจเบื้องต้นโดยใช้ชุดตรวจ Intelligent Heavy Metal Quantification Kit (IQUAN) ซึ่งพัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) ในทุกจุด โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า

ผลการตรวจในจุดต่างๆ มีดังนี้:

  • จุดที่ 1: แม่น้ำสาย บ้านถ้ำผาจม-หัวฝาย อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 3: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 1 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 4: คลองชลประทาน บ้านเหมืองแดง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.18 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 5: แม่น้ำรวก บ้านเวียงหอม ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 6: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 2 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 7: แม่น้ำรวก บ้านสบรวก อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 8: แม่น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 9: แม่น้ำโขง เทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร

การค้นพบสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นครั้งแรกในพื้นที่เชียงราย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ร้ายแรง เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้ในการประมง การเกษตร และการผลิตน้ำประปาในหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ที่บ้านแก่งทรายมูล อำเภอเชียงแสน รายงานว่าไม่กล้าบริโภคปลาจากแม่น้ำโขง หลังกรมประมงเก็บตัวอย่างปลาเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อนเมื่อปลายเดือนเมษายน 2568 ความกังวลนี้ยิ่งทวีคูณเมื่อชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายพบว่าดินโคลนจากการน้ำท่วมเมื่อปี 2567 ทำให้พืชผลทางการเกษตรไม่เจริญเติบโต

นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์ ผู้จัดการ กปภ. สาขาแม่สาย-เชียงแสน ระบุว่า ทาง กปภ. มีแผนเก็บตัวอย่างน้ำดิบจากแม่น้ำโขงในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยจะเน้นตรวจสอบสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งจะดำเนินการถี่ขึ้นในช่วงหน้าแล้ง และปรับตามสถานการณ์ในฤดูน้ำหลาก เขายืนยันว่าระบบผลิตน้ำประปามีกระบวนการทางเคมีและการกรองที่สามารถกำจัดสารโลหะหนักได้ แต่การตรวจสอบน้ำดิบเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย

อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร กล่าวว่า “การพบสารหนูในแม่น้ำโขงไม่ใช่แค่ปัญหาของเชียงราย แต่เป็นปัญหาระดับภูมิภาค เพราะแม่น้ำโขงไหลผ่านหลายประเทศ สารหนูที่สะสมในปลาหรือพืชผลทางการเกษตรอาจส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว หากไม่มีการจัดการที่ต้นตอ”

มาตรการแก้ไขและแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับวิกฤตการปนเปื้อนในแม่น้ำโขง หน่วยงานต่างๆ ได้เริ่มดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ จะลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงภายในสัปดาห์นี้ ตามคำสั่งจากรองนายกรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ผลการตรวจจะใช้ในการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา
  2. การประสานงานข้ามพรมแดน: อำเภอแม่สายได้ประสานงานผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เพื่อแจ้งปัญหาการปนเปื้อนน้ำไปยังฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก การเจรจานี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของสารหนู
  3. การส่งเสริมการเฝ้าระวังโดยชุมชน: มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาเชียงราย ได้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังในชุมชนชาติพันธุ์ เช่น ลาหู่และไทใหญ่ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินและติดตามคุณภาพน้ำ
  4. ข้อเสนอเชิงนโยบาย: อาจารย์ ดร.สืบสกุล เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำถาวรในจังหวัดเชียงราย เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจวิเคราะห์ รวมถึงสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีชุดตรวจคุณภาพน้ำราคาประหยัด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้หยุดกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำกก เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ และการจัดตั้งกลไกตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกันระหว่างไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อปกป้องระบบนิเวศและสุขภาพประชาชน

ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีมิติหลากหลาย ดังนี้:

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม

การพบสารหนูในแม่น้ำโขงบ่งชี้ถึงความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขง ซึ่งได้รับผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ สารหนูที่สะสมในดินและสัตว์น้ำอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งมนุษย์และสัตว์ป่า การจัดการปัญหานี้ต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในรัฐฉาน

  • มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งและโรคผิวหนังหากสะสมในร่างกายในระยะยาว ชาวบ้านที่พึ่งพาแม่น้ำโขงในการประมงและการเกษตรมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ การตรวจสอบและแจ้งเตือนอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ

  • มิติด้านการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ

เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำนานาชาติ ปัญหาการปนเปื้อนสารหนูจึงไม่ใช่เรื่องของประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว การเจรจากับเมียนมาและประเทศอื่นๆ ในลุ่มน้ำโขงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความท้าทายอยู่ที่ความขัดแย้งทางการเมืองในเมียนมา ซึ่งอาจทำให้การควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่เป็นไปได้ยาก

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพ และยกระดับปัญหานี้สู่เวทีระหว่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและการสนับสนุนชุดตรวจราคาประหยัดจะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำของตนเอง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

การตรวจสอบและปรับปรุงระบบน้ำประปาของ กปภ. เป็นมาตรการที่จำเป็น แต่การแก้ปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงต้องเน้นที่การจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ชุมชน และนักวิชาการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องแหล่งน้ำและสุขภาพประชาชน

  • หน่วยงานรัฐและการประปา

หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตมีความปลอดภัย และการตรวจสอบน้ำดิบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันความเสี่ยง

  • ชุมชนท้องถิ่นและนักวิชาการ

ชาวบ้านและนักวิชาการกังวลว่าการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อสุขภาพและการเกษตร พวกเขาต้องการให้มีการจัดการที่ต้นตอ โดยเฉพาะการหยุดกิจกรรมเหมืองแร่ และการตรวจสอบที่โปร่งใสและเข้าถึงได้สำหรับชุมชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำโขง: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำโขง บริเวณเทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน ที่ระดับ 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร และสูงสุดที่สามเหลี่ยมทองคำที่ 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร (เกินมาตรฐาน 19 เท่า)
    ที่มา: สถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, รายงานการตรวจสอบน้ำ, 2568
  2. ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสาย: ในปี 2568 ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสายสูงถึง 7,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลาก และ 1,000 NTU ในช่วงปกติ เทียบกับ 3,000-4,000 NTU ในปี 2567
    ที่มา: การประปาส่วนภูมิภาค สาขาแม่สาย-เชียงแสน, รายงานคุณภาพน้ำ, 2568
  3. ผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2567: น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ส่งผลให้มีตะกอนดินโคลนปนเปื้อนสารหนูในระดับที่อาจกระทบสัตว์หน้าดินใน 4 จาก 5 จุดที่ตรวจสอบ
    ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, รายงานการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม, 2567
  4. การประมงในแม่น้ำโขง: ชุมชนในจังหวัดเชียงรายที่พึ่งพาการประมงในแม่น้ำโขงมีรายได้เฉลี่ย 500 ล้านบาทต่อปี แต่ลดลง 20% ในปี 2568 เนื่องจากความกังวลเรื่องสารปนเปื้อน
    ที่มา: สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2568
  5. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: ประชากรในอำเภอแม่สายและเชียงแสนที่พึ่งพาแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาในการดำรงชีวิตมีจำนวนประมาณ 150,000 คน
    ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลประชากร, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม: WHO < 0.01 mg/L

  • ค่าสารหนูสูงสุดที่พบ: 0.19 mg/L (สามเหลี่ยมทองคำ)

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  • กรมทรัพยากรธรณี

  • กรมควบคุมมลพิษ

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1)

  • ข้อมูลตรวจน้ำประปาแม่สาย: กปภ.แม่สาย, เมษายน 2568 พบค่าสารหนู 0.014 mg/L

  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

มนต์ขลังริมโขง อ.เชียงของ จัดพิธีไหว้เจ้าพ่อปลาบึก

เชียงของจัดยิ่งใหญ่ พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ประจำปี 2568 อนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้าน

เปิดฉากพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ประเพณีสำคัญของชาวเชียงของ

เชียงราย, 18 เมษายน 2568 – เวลา 09.00 น. ณ ลานโพธิ์หน้าวัดหาดไคร้ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ประจำปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่ออนุรักษ์และสืบทอดประเพณีท้องถิ่นที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาวเชียงของ

พิธีนี้ได้รับเกียรติจาก นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นผู้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมพิธี และได้รับเกียรติจาก นายมนตรี ชัยกิจวัฒนะ หัวหน้ากลุ่มบริหารจัดการด้านการประมง ผู้แทนประมงจังหวัดเชียงราย มาเป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน โดยมีนายทรงศักดิ์ เรืองศรีมั่น ปลัดเทศบาลตำบลเวียงเชียงของ ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเชียงของ เป็นผู้กล่าวรายงานความสำคัญของงานครั้งนี้

ที่มาของประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก

การบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก เป็นพิธีกรรมที่ชาวบ้านหาดไคร้ ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เนื่องจากชาวบ้านมีความเชื่อว่าปลาบึกในแม่น้ำโขงเป็นปลาที่มีเทพเจ้าคอยคุ้มครองรักษา การที่จะสามารถจับปลาบึกได้สำเร็จนั้น จำเป็นต้องมีการทำพิธีขออนุญาตต่อเทพเจ้าที่คุ้มครองปลา และปลุกขวัญแม่ย่านางเรือให้มีอานุภาพแกร่งกล้าเสียก่อน

แม้ปัจจุบันชาวบ้านจะไม่ได้มีการล่าปลาบึกแล้ว เนื่องจากการอนุรักษ์สายพันธุ์ปลาและความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม แต่ประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกยังคงถูกจัดขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของหมู่บ้านที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และแสดงออกถึงความกตัญญูต่อเทพเจ้าที่เชื่อว่าปกปักษ์รักษาชุมชนให้อยู่ดีมีสุข

กิจกรรมสำคัญในงานพิธีบวงสรวง

ภายในงานครั้งนี้ มีกิจกรรมสำคัญหลายอย่าง ได้แก่ พิธีเลี้ยงลวงหรือบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก พิธีฟ้อนบวงสรวง การแสดงทางวัฒนธรรมของชาวบ้านที่มีความวิจิตรงดงาม และสร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีพิธีมอบพันธุ์ปลาและพิธีปล่อยปลาลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ปลาในแม่น้ำโขง และส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากเทศบาลตำบลเวียงเชียงของ

การมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานในท้องถิ่น

พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนบ้านหาดไคร้และชาวอำเภอเชียงของเป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีของคนในชุมชน และความร่วมมือร่วมใจในการอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น

นายมนตรี ชัยกิจวัฒนะ ประธานในพิธี ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาประเพณีและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติว่า “ประเพณีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าที่คุ้มครองปลา แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนในชุมชน”

จุดวิเคราะห์และข้อเสนอแนะในการสืบทอดประเพณี

จากการจัดงานในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าชุมชนมีความตระหนักถึงความสำคัญของประเพณีดั้งเดิม แต่เพื่อให้ประเพณีนี้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน ควรมีการส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมมากขึ้น รวมถึงการให้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านสื่อและช่องทางการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้ประเพณีดังกล่าวยังคงมีชีวิตชีวาและได้รับการสืบทอดอย่างมั่นคง

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

ข้อมูลจากกรมประมงระบุว่า ปลาบึกเป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งพบมากในลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 150-250 กิโลกรัม และมีอายุเฉลี่ยประมาณ 50 ปี ปัจจุบันปลาบึกมีจำนวนลดลงมากจากเดิมกว่า 80% ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและการประมงที่ขาดการควบคุม (ที่มา: กรมประมง, 2567)

ดังนั้น การจัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์ปลาลงแม่น้ำโขง จึงเป็นมาตรการสำคัญในการอนุรักษ์พันธุ์ปลาบึกให้คงอยู่ และเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมประมง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย-จีน จับมือ! บริหารน้ำข้ามแดน แม่น้ำโขง-สาย-รวก

ไทย-จีนเดินหน้ากระชับความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน เสริมแกร่งระบบเตือนภัยในลุ่มน้ำสาย-รวก

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แถลงต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมหารือความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคีด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำของชุมชนลุ่มน้ำสายและแม่น้ำรวก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน

สทนช. – จีน หารือระดับสูง หวังต่อยอดความร่วมมือ

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือร่วมกับ นายหลี่ กั๋วอิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำจีน และคณะ ในโอกาสเยือนประเทศไทยระหว่างวันที่ 20–22 มีนาคม 2568 ว่า การหารือครั้งนี้นับเป็นหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำระหว่างสองประเทศ

คณะรัฐมนตรีจีนได้เยี่ยมชมสถานีตรวจวัดระดับน้ำแม่น้ำโขงในพื้นที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อศึกษาแนวทางบริหารจัดการน้ำในเขตชายแดน และเข้าใจบริบทปัญหาน้ำที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝั่ง

ความร่วมมือระดับทวิภาคีและพหุภาคี ก้าวสู่ความยั่งยืน

ในระดับทวิภาคี ไทยและจีนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจด้านทรัพยากรน้ำและการชลประทานร่วมกันผ่านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุด มีการหารือถึงการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง สทนช. กับกระทรวงทรัพยากรน้ำจีน โดยตรง เพื่อเสริมสร้างกลไกความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน ระดับพหุภาคีผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (Mekong–Lancang Cooperation: MLC) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ก็มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมโครงการด้านน้ำอย่างยั่งยืน

โครงการจากกองทุน MLC เสริมรับมืออุทกภัยในลุ่มน้ำสาย–รวก

ที่ผ่านมา สทนช. ได้เสนอโครงการต่อกองทุนพิเศษแม่โขง–ล้านช้าง (MLC Special Fund) และได้รับการอนุมัติให้ดำเนิน “โครงการวิจัยร่วมเพื่อการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนด้านอุทกภัยและภัยแล้ง” ในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย–รวก ซึ่งเป็นลำน้ำที่ไหลผ่านเขตชายแดนไทยและเมียนมา

แม้โครงการดังกล่าวจะประสบปัญหาในการดำเนินการช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้แผนงานล่าช้า แต่ในปี 2567 สทนช. ได้เสนอ “โครงการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนเมืองต่ออุทกภัยในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง” เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนดังกล่าวในปี 2568 โดยโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการจีน

ระบบเตือนภัยล่วงหน้า – เครื่องมือสำคัญของประชาชน

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้ คือการพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนอุทกภัยล่วงหน้า (Early Warning System)” ซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลจากสถานีตรวจวัดน้ำชายแดน และใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System) เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนสามารถเตรียมการรับมือกับภัยน้ำท่วมและภัยแล้งได้ทันท่วงที

เลขาธิการ สทนช. กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและข้อมูลระหว่างประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับสภาวะอากาศที่แปรปรวน และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

มุมมองจากสองฝ่าย: ประโยชน์–ข้อควรระวังจากความร่วมมือข้ามพรมแดน

ฝ่ายสนับสนุน
มองว่าความร่วมมือด้านน้ำระหว่างไทย–จีน โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการในลุ่มน้ำสาย–รวก ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว ทั้งยังเป็นโอกาสดีที่ไทยจะได้เทคโนโลยีทันสมัยจากจีนมาใช้ในการคาดการณ์ภัยพิบัติ ช่วยลดต้นทุนการเยียวยาภายหลัง และปกป้องชีวิตของประชาชนในชุมชนชายแดนที่เผชิญกับน้ำท่วมบ่อยครั้ง

ฝ่ายตั้งข้อสังเกต
แม้การร่วมมือด้านน้ำจะมีข้อดี แต่ก็มีความกังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลน้ำที่อาจไม่สมดุลระหว่างประเทศต้นน้ำ (จีน) กับปลายน้ำ (ไทย) หากไม่มีความโปร่งใสในการแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง อาจทำให้การบริหารน้ำไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะในภาวะภัยแล้งที่จีนมีอำนาจในการปล่อยหรือกักเก็บน้ำจากเขื่อนต้นน้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ปีที่สานความสัมพันธ์ไทย–จีน: ครบรอบ 50 ปี (พ.ศ. 2518–2568)
  • สมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (MLC): 6 ประเทศ
  • โครงการจากกองทุนพิเศษ MLC ที่ไทยเสนอปี 2567:
    • โครงการเสริมสร้างความยืดหยุ่นของชุมชนลุ่มน้ำสาย–รวกต่ออุทกภัย
    • ชื่อเต็ม: Strengthening Urban Community Resilience against Flashflood under Changing Climate and Extreme Events in Sai and Ruak Transboundary River
  • ประเทศที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำสาย–รวก: ไทย และ เมียนมา
  • พื้นที่ศึกษาระบบเตือนภัยและวางระบบตรวจวัดน้ำ: อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
  • โครงการที่แล้ว (ปี 2561): โครงการวิจัยร่วมด้านน้ำข้ามพรมแดน ระหว่างไทย–เมียนมา (ลุ่มน้ำสาย–รวก)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)

  • กระทรวงทรัพยากรน้ำ สาธารณรัฐประชาชนจีน

  • เอกสารข้อเสนอโครงการปี 2567 ของ สทนช.

  • กรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง (Mekong–Lancang Cooperation)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย-จีนกระชับสัมพันธ์ เร่งแก้ปัญหาน้ำโขงชายแดนเชียงราย

รมว.ทรัพยากรน้ำจีนเยือนเชียงราย กระชับความร่วมมือบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – นายหลี่ กั๋วอิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ เดินทางเยือนจังหวัดเชียงราย เพื่อลงพื้นที่ศึกษาและติดตามความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชายแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง – แม่น้ำรวก – แม่น้ำสาย พร้อมหารือแนวทางพัฒนาโครงการป้องกันอุทกภัยและแล้ง ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation: MLC)

ในการนี้ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วมต้อนรับและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ชายแดนตอนบนของประเทศไทย

เชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีน พัฒนาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับจีนในด้านการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งครอบคลุมทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเทคโนโลยี และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้จัดสรร “กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Special Fund)” เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เสนอโดยประเทศสมาชิกในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย

สถานีตรวจวัดน้ำเชียงแสน จุดยุทธศาสตร์สำคัญของความร่วมมือ

นายหลี่ กั๋วอิง และคณะได้ลงพื้นที่สถานีตรวจวัดน้ำเชียงแสน ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยสถานีดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบระดับน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ใช้สำหรับการวางแผนป้องกันอุทกภัย และภัยแล้งของทั้งสองประเทศ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ระหว่างไทยและจีน มีส่วนสำคัญในการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า

ลุ่มน้ำรวก-แม่น้ำสาย ปัญหาน้ำท่วม-แล้ง สร้างผลกระทบต่อประชาชน

แม่น้ำรวกและแม่น้ำสาย เป็นแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศคดเคี้ยวผ่านที่ราบลุ่มและเขาสูง ทำให้ในฤดูฝนมักเกิดน้ำหลากรุนแรง ส่งผลให้น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมและเขตชุมชนทั้งสองฝั่งประเทศ ส่วนฤดูแล้งกลับประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง

ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยได้ดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับฝ่ายจีนและเมียนมา เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน ทั้งในด้านการแจ้งเตือนภัยและการวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน

ไทย-จีน-เมียนมา ร่วมผลักดันโครงการเสริมสร้างการปรับตัวของชุมชนเมือง

หนึ่งในโครงการสำคัญที่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลจีน คือ “โครงการเสริมสร้างการปรับตัวของชุมชนเมืองต่อภาวะอุทกภัยภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า การประเมินความต้องการของชุมชน การพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจ และการอบรมเพื่อเสริมศักยภาพชุมชน

นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนจัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วม 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย เมียนมา และจีน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในระดับภูมิภาค

ลงพื้นที่ศึกษาผลกระทบอุทกภัยในแม่สาย – ท่าขี้เหล็ก

ก่อนหน้านี้ ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2567 คณะผู้แทนจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนจากจีน ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์และประเมินความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น รวมถึงสำรวจโครงสร้างพื้นฐานในจุดเสี่ยง เช่น สถานีสูบน้ำ สะพานข้ามแม่น้ำ และตลาดท้องถิ่น

ภาพรวมของการสำรวจและประชุมหารือในครั้งนั้น นำไปสู่ข้อเสนอเบื้องต้นเพื่อวางแผนติดตั้งสถานีตรวจวัดข้อมูลอุตุ – อุทกวิทยาในบริเวณต้นน้ำสาย – รวก ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ระบบแจ้งเตือนภัยในพื้นที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แสดงความเห็นสองด้านต่อความร่วมมือดังกล่าว

ฝ่ายสนับสนุนความร่วมมือไทย-จีน มองว่าการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำ จะช่วยยกระดับความสามารถของชุมชนไทยในการตั้งรับภัยพิบัติ และเป็นโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่ยังขาดการพัฒนาอย่างทั่วถึง

ฝ่ายที่มีความกังวล บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ความร่วมมือภายใต้กรอบพหุภาคีที่มีจีนเป็นผู้นำ อาจมีอิทธิพลต่อทิศทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภูมิภาคมากเกินไป และอาจกระทบต่ออธิปไตยด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว หากไม่มีการกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนในการแบ่งปันข้อมูลและประโยชน์ร่วมกัน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปี 2567 รวมกว่า 9,200 ไร่ (ข้อมูลจาก สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2567)
  • จำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยปีละ 13,000 คน (สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย, 2567)
  • จำนวนสถานีตรวจวัดน้ำในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยที่เชื่อมโยงระบบกับจีน ปัจจุบันมี 12 แห่ง (กรมทรัพยากรน้ำ, 2568)
  • กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง (MLC Special Fund) จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการร่วมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี (สำนักงานความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • คณะกรรมการกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (MLC Secretariat)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

23 บริษัททุนจีนเหมืองทองเมียนมา ทำน้ำกกขุ่น ชาวบ้านผวาไม่ปลอดภัย

เหมืองทองริมแม่น้ำกกฝั่งพม่า สร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ชาวบ้านหวั่นกระทบน้ำประปาเชียงราย

เชียงราย, 16 มีนาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า พื้นที่ริมแม่น้ำกกตอนใต้ของรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ใกล้ชายแดนไทย ด้านอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กำลังเผชิญปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองทองคำ โดยมีการระบุว่า กลุ่มทุนจีนได้รับอนุญาตจากกองกำลังว้า (United Wa State Army – UWSA) ให้ดำเนินกิจการเหมืองแร่บริเวณนี้กว่า 23 บริษัท ซึ่งส่งผลให้แม่น้ำกกขุ่นข้นและอาจมีสารปนเปื้อนลงสู่ระบบนิเวศ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น

สต.ทศพร สามหน่อวงศ์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สภาพน้ำในแม่น้ำกกเปลี่ยนเป็นสีขุ่นผิดปกติ อันเป็นผลมาจากกระบวนการชะล้างแร่ของเหมืองทองคำบริเวณดังกล่าว โดยที่ผ่านมาเคยมีปัญหาสารเคมีจากอุตสาหกรรมยางพาราไหลลงแม่น้ำ ส่งผลให้น้ำมีสีขาวขุ่น และล่าสุดเมื่อเริ่มมีการทำเหมืองทองบริเวณนี้ก็ยิ่งทำให้น้ำขุ่นมากขึ้น

ชาวบ้านจากฝั่งรัฐฉานแจ้งว่า เหมืองทองตั้งอยู่ติดแม่น้ำกก และของเสียจากเหมืองถูกปล่อยลงน้ำโดยตรง ขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำเพื่อให้คำตอบแก่ประชาชน ทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก” สต.ทศพร กล่าว

ผลกระทบต่อสุขภาพและวิถีชีวิตของประชาชน

ขณะนี้ ประชาชนในพื้นที่ท่าตอนและบริเวณใกล้เคียงได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำกกขุ่น โดยเฉพาะผู้ที่ใช้น้ำกกเป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภค พบว่าหลายคนเริ่มมีอาการ แพ้ทางผิวหนังและมีผื่นคัน หลังจากลงเล่นน้ำหรือใช้น้ำกกอาบน้ำ นอกจากนี้ ประชาชนบางส่วนต้องปรับเปลี่ยนแหล่งน้ำเพื่อความปลอดภัย โดยหันไปใช้น้ำประปาภูเขาแทน

“ปีก่อนก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ และพบว่ามีประชาชนที่ลงเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจากอาการแพ้ เรากังวลว่า สงกรานต์ปีนี้อาจเกิดปัญหาแบบเดิมอีก ทางการควรเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยด่วน” สต.ทศพร กล่าวเพิ่มเติม

ข้อเรียกร้องให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขปัญหา

สต.ทศพรและชาวบ้านในพื้นที่เรียกร้องให้ รัฐบาลไทยและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาตรวจสอบคุณภาพน้ำ รวมถึงประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมในการควบคุมการทำเหมืองที่อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพาแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำหลัก

ทั้งนี้ แม่น้ำกกถือเป็นแหล่งน้ำดิบสำคัญที่ การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย ใช้ผลิตน้ำประปาให้กับประชาชนในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอใกล้เคียง นอกจากนี้ ในฤดูแล้งบางส่วนของน้ำกกยังถูกนำไปใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลเกี่ยวกับการปนเปื้อนของน้ำที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง

ภาพถ่ายยืนยันน้ำขุ่นจากการทำเหมืองทองคำ

เพจ จัดให้ มีเดีย ได้เผยแพร่ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า จุดที่แม่น้ำรวกไหลบรรจบกับแม่น้ำโขงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ น้ำจากแม่น้ำรวกที่มีต้นทางจากแม่น้ำสาย (ในเมียนมา) มีสีขุ่นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขงซึ่งยังคงมีความใสสะอาดตามฤดูกาล ปรากฏการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกับปัญหาน้ำกกขุ่นที่กำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่อำเภอฝางและอำเภอเมืองเชียงราย

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา

  • ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐเร่งดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำกกและเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน
  • นักสิ่งแวดล้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินมาตรการป้องกันและเจรจากับเมียนมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาว

ฝ่ายที่มองต่างมุม

  • ผู้ประกอบการด้านการทำเหมืองมองว่า การทำเหมืองเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจท้องถิ่นในรัฐฉาน และการควบคุมเหมืองที่เข้มงวดอาจกระทบต่อรายได้ของประชาชนบางส่วน
  • เจ้าหน้าที่บางฝ่ายให้ความเห็นว่า การตรวจสอบผลกระทบข้ามพรมแดนเป็นเรื่องซับซ้อน และต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ จึงอาจต้องใช้เวลาในการแก้ไข

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนบริษัทที่ดำเนินกิจการเหมืองทองในพื้นที่แม่น้ำกกฝั่งพม่า: 23 บริษัท (ข้อมูลจากรายงานภาคสนามของสำนักข่าวชายขอบ)
  • อัตราการปนเปื้อนของน้ำจากการทำเหมืองในภูมิภาค: รายงานจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อมพบว่า 80% ของแม่น้ำที่อยู่ใกล้เหมืองแร่มีระดับตะกอนสูงกว่ามาตรฐาน (ข้อมูลจากองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา)
  • จำนวนประชาชนที่ใช้น้ำกกเป็นแหล่งน้ำประปา: กว่า 200,000 คนในจังหวัดเชียงราย (ข้อมูลจากการประปาส่วนภูมิภาค)
  • สถิติการร้องเรียนปัญหาคุณภาพน้ำในภาคเหนือ: เพิ่มขึ้น 35% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ)

สรุป

ปัญหาการทำเหมืองทองคำในพื้นที่ต้นน้ำกกของเมียนมากำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระดับสารปนเปื้อนในน้ำ แต่ความเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำที่สังเกตได้ชัดเจนสร้างความกังวลในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยการประสานงานระหว่างประเทศ รวมถึงการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ / จัดให้ มีเดีย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ริมโขงสองเมือง เชียงของ – นครพนม มุ่งหน้าสู่การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ

เชียงของ vs นครพนม: เปรียบเทียบแนวทางพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมฝั่งโขง

นครพนม, 6 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงของและนครพนมเป็นสองเมืองที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของไทย ทั้งสองเมืองมีโครงการพัฒนาที่โดดเด่น แต่มีแนวทางที่แตกต่างกันในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวตามแนวแม่น้ำโขงได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการค้าและการท่องเที่ยวอย่างเชียงของ จังหวัดเชียงราย และนครพนม ทั้งสองพื้นที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สามารถเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดนระหว่างไทย ลาว เมียนมา และจีน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทั้งสองพื้นที่จะมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่คล้ายกัน แต่แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของแต่ละพื้นที่กลับมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

การพัฒนาการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของนครพนม

นครพนมเป็นจังหวัดที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดมีโครงการ Mekong River Eye และ ชิงช้าสวรรค์ยักษ์ Maekhong River Eye ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเมืองให้กลายเป็น “Restination” หรือเมืองหลักแห่งการพักผ่อน การลงทุนในโครงการนี้มีมูลค่ารวมกว่า 54.5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น

รายละเอียดโครงการ Mekong River Eye นครพนม

  • โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมแม่น้ำโขง ซึ่งรวมถึงสวนสาธารณะและชิงช้าสวรรค์ยักษ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
  • ระยะเวลาดำเนินการ 300 วัน โดยมีกำหนดสิ้นสุดโครงการในวันที่ 15 ตุลาคม 2568
  • การวางเป้าหมายเศรษฐกิจของนครพนม ให้มีอัตราการเติบโตของ GDP จังหวัดอยู่ที่ 7% ต่อปี และเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวจาก 5,000 ล้านบาทเป็น 8,700 ล้านบาทภายในปี 2571
  • การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว จาก 2.5 ล้านคน เป็น 3.68 ล้านคน ภายในปี 2571
  • กลยุทธ์ 5 สร้าง ได้แก่
    1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย
    2. การสร้างแบรนด์เมืองผ่านอัตลักษณ์ท้องถิ่น
    3. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นภายใต้แนวคิด One Day One District (ODOD)
    4. การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่ระดับสากล
    5. การยกระดับกิจกรรมระดับจังหวัดเพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว

การพัฒนาเชียงของและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง

เชียงของเป็นอำเภอชายแดนที่มีศักยภาพในการเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษ ของภาคเหนือ โดยมีโครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญหลายโครงการ เช่น โครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ และ ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบขนส่งเชียงของ ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 3,800 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนา โครงการเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งโขง และ พื้นที่นันทนาการใหม่ริมแม่น้ำโขง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

รายละเอียดโครงการพัฒนาเชียงของ

  • โครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ มีระยะทาง 323.1 กิโลเมตร ผ่าน 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย มีสถานีทั้งหมด 26 สถานี
  • โครงการพัฒนาเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งโขง และ พื้นที่นันทนาการ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจพิเศษเชียงของ
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักลงทุน เช่น ศูนย์โลจิสติกส์เชียงของ และ ศูนย์ซ่อมอากาศยาน MRO ของเชียงราย ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าและการท่องเที่ยวในพื้นที่
  • เป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเชียงของ โดยมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ และรองรับการขยายตัวของ ระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor)

การเปรียบเทียบระหว่างนครพนมและเชียงของ

ปัจจัย

นครพนม

เชียงของ

ลักษณะพื้นที่

เมืองริมแม่น้ำโขง เน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวและนันทนาการ

เมืองชายแดน เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและโลจิสติกส์

โครงการสำคัญ

Mekong River Eye, ชิงช้าสวรรค์ Maekhong River Eye

รถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ, ศูนย์โลจิสติกส์, เขตเศรษฐกิจพิเศษ

เป้าหมายหลัก

ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพักผ่อน

พัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน

งบประมาณโครงการ

54.5 ล้านบาท

มากกว่า 3,800 ล้านบาท

จำนวนนักท่องเที่ยวเป้าหมาย

3.68 ล้านคนภายในปี 2571

มุ่งเน้นการเติบโตของภาคโลจิสติกส์และการค้า

จากข้อมูลที่ได้รับ นครพนมและเชียงของมีแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ฝั่งหนึ่งมุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวและการพัฒนาเมืองให้เป็นจุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อน ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจข้ามพรมแดน

ข้อดีของการพัฒนานครพนม:

  • ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยว
  • สร้างงานในภาคบริการและการท่องเที่ยว
  • ดึงดูดนักลงทุนในภาคธุรกิจบริการ

ข้อเสียของการพัฒนานครพนม:

  • อาจต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น
  • ใช้งบประมาณที่สูงในการก่อสร้าง แต่ผลตอบแทนอาจไม่แน่นอน

ข้อดีของการพัฒนาเชียงของ:

  • ส่งเสริมการค้าข้ามพรมแดน และช่วยให้ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  • มีโอกาสในการเติบโตระยะยาวจากการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและอาเซียน
  • โครงการโครงสร้างพื้นฐานช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในท้องถิ่น

ข้อเสียของการพัฒนาเชียงของ:

  • ต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาและคืนทุน
  • อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและที่อยู่อาศัยของประชาชน

บทสรุป

ทั้ง นครพนมและเชียงของ ต่างมีแนวทางพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวริมโขงที่แตกต่างกัน นครพนมเน้นการท่องเที่ยวเชิงนันทนาการและวัฒนธรรม ผ่านโครงการชิงช้าสวรรค์และการสร้างอัตลักษณ์เมือง ในขณะที่ เชียงของเน้นพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการค้าไทย-จีน

แม้ว่าทั้งสองโครงการจะมีข้อดีและข้อเสีย แต่สิ่งที่สำคัญคือ ความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการรักษาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครพนม / chiang khong tv / ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านเชียงรายค้านเขื่อนปากแบง หวั่นน้ำเท้อกระทบชีวิตและสิ่งแวดล้อม

กลุ่มชาวบ้าน 3 อำเภอเชียงรายรวมพลังคัดค้านเขื่อนปากแบง หวั่นกระทบวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ชาวบ้านจาก 3 อำเภอริมแม่น้ำโขง ได้แก่ อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ และอำเภอเวียงแก่น รวมตัวประมาณ 150 คน ประกอบด้วยตัวแทนชุมชน ผู้นำสตรี ผู้นำท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนายกเทศมนตรี เพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยต่อโครงการสร้างเขื่อนปากแบง (Pak Beng Dam) ในประเทศลาว ที่ห่างจากพรมแดนไทยด้านอำเภอเวียงแก่นเพียง 96 กิโลเมตร โดยโครงการดังกล่าวมีการลงนามซื้อไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กับบริษัทเอกชนผู้พัฒนาโครงการแล้ว แต่การศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนยังไม่มีความชัดเจน

ความกังวลของชุมชนริมโขง

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า การสร้างเขื่อนปากแบงจะซ้ำเติมปัญหาน้ำโขงเท้อเข้าสู่แม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำอิงและแม่น้ำกก ซึ่งเกิดอุทกภัยใหญ่ในปีนี้จนสร้างความเสียหายแก่พื้นที่เกษตรและชุมชน เขาย้ำว่าหากโครงการดำเนินต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายที่แก้ไขได้ยาก โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น แก่งผาได ในอำเภอเวียงแก่น ซึ่งเป็นสถานที่จัดกิจกรรมและแหล่งพักผ่อนของประชาชน รวมถึงหาดบ้านดอนมหาวัน ในอำเภอเชียงของ ที่จะจมหายไปหากมีการสร้างเขื่อน

นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่เกษตรริมโขงที่ชาวบ้านพึ่งพาในช่วงฤดูแล้ง เช่น สวนส้มโอในอำเภอเวียงแก่น ที่ถือเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ หากเกิดน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อน ชาวบ้านจะสูญเสียรายได้และต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์

เสียงสะท้อนจากผู้นำชุมชนและท้องถิ่น

นายอภิธาร ทิตตา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลม่วงยาย กล่าวว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อนเสมอไป โดยเสนอทางเลือกอื่น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมแสดงความกังวลว่าข้อมูลผลกระทบยังไม่ชัดเจน ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถวางแผนการเกษตรได้

นายประยุทธ โพธิ กำนันตำบลเวียง กล่าวว่า รายได้จากการท่องเที่ยวในพื้นที่จะหายไป เช่น รายได้จากหาดบ้านดอนมหาวัน ที่เคยสร้างรายได้นับแสนบาทต่อปี พร้อมวิพากษ์ว่าการเยียวยาที่เสนอมักไม่ครอบคลุมหรือเพียงพอ

นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อบูรณาการน้ำ เสนอให้หยุดโครงการและศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างจริงจังก่อน เพราะเขื่อนปากแบงจะมีผลกระทบต่อพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะน้ำเท้อจากแม่น้ำโขงที่อาจทำลายพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชนริมแม่น้ำ

ข้อเสนอแนะจากชุมชน

ชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาและเผยแพร่ข้อมูลอย่างโปร่งใส รวมถึงผลักดันทางเลือกพลังงานที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกหรือเลื่อนโครงการจนกว่าจะมีข้อมูลที่เพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีพลังงานไฟฟ้าสำรองเพียงพอ และการสร้างเขื่อนจะสร้างผลกระทบต่อชุมชนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต

นางประกายรัตน์ ตันดี ผู้ใหญ่บ้านทุ่งงิ้ว อำเภอเชียงของ กล่าวว่า การสร้างเขื่อนปากแบงจะกระทบกลุ่มผู้หญิงริมโขงที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การเก็บไกและปลูกถั่วงอกเพื่อเลี้ยงชีพ เธอเรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันเป็นพลังต่อต้านโครงการนี้

ข้อสรุป

ชาวบ้านและผู้นำชุมชนจาก 3 อำเภอริมแม่น้ำโขงในจังหวัดเชียงรายแสดงจุดยืนชัดเจนต่อการคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนปากแบง โดยมุ่งเน้นการปกป้องสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต และทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลที่โปร่งใสและพัฒนาทางเลือกที่ยั่งยืนแทนการสร้างเขื่อน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โฮงเฮียนแม่น้ำของ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เรือชาวประมงล่มอีกแล้ว! แม่น้ำโขงเชียงของ รอด 3 สูญหาย 2 คน

 

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ได้รับแจ้งจากกำนัน ต.เวียง ว่ามีชาวบ้านจำนวน 5 คน ออกเรือหาปลาในแม่น้ำโขง ในเวลา 05.00 น. จากพื้นที่บ้านดอนมหาวัน ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จากนั้นเรือได้ล่มบริเวณกลางแม่น้ำโขง บริเวณท่าดูดทรายฝั่ง สปป.ลาว ตรงข้ามกับศาลพญานาค พื้นที่เชื่อมต่อระหว่าง บ้านปากอิง ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ กับบ้านแจ่มป๋อง ตำบลหล่ายงาว อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย

โดยพบว่ามีผู้รอดชีวิตจำนวน 3 ราย คือนายธนวัตร อายุ 29 ปี นาสบุญรัตน์ อายุ 36 ปี โดย นายสัมฤทธิ์ อายุ 42 ปี ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลเชียงของ เพื่อตรวจร่ายกาย ทั้ง 3 คนเป็นชาวต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย
ทั้งนี้ยังมีผู้สูญหาย 2 คน คือ นายนัฐวัฒน์ อายุ 29 ปี ชาว ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย และ นายอัสนัย 42 ปี ชาว ต.สถาน อ.เชียงของ จ.เชียงราย
 
หลังจากเกิดเหตุ นายอำเภอเชียงของ ได้ประสานงานกับทางหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) เชียงของ พร้อมกับหน่วยกู้ภัย ลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุ เพื่อค้นหาผู้สูญหาย โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นจุดที่มีน้ำเชี่ยวและน้ำวน หลายแห่ง รวมไปถึงมีความลึกมาก ซึ่งยากแก่การค้นหา
 
นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ กล่าวว่า หลังลงพื้นที่ตรวจสอบในช่วงเช้าที่ผ่านมา ในเบื้องต้นได้รายงานให้กับทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ทราบแล้ว พร้อมทั้งประสานไปยัง หน่วยเรือรักษาความสงบตามลำน้ำโขง หรือ นรข. และตำรวจน้ำ ที่ประจำการในพื้นที่ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เพื่อค้นหาผู้สูญหาย และประสานไปยังมูลนิธิสยามร่วมใจ เพื่อขอสนับสนุนชุดกู้ภัยทางน้ำ เพื่อนำเรือจากอำเภอเมืองเชียงราย มาสแตนบายในพื้นที่ เพื่อค้นหาผู้สูญหายหลังจากนี้จะได้สอบปากคำผู้ที่รอดชีวิตอีกครั้ง ถึงสาเหตุของเหตุการณ์เรือล่มดังกล่าว
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ท้องถิ่นนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สทนช. ทำหนังสือด่วนประสานจีน ชะลอระบายน้ำเขื่อนลงแม่น้ำโขง

 

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2567 เวลา 16.30 น. นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ระบายน้ำอิงสู่น้ำโขง ณ สะพานบ้านเต๋น ต.สถาน อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่ติดตั้งเครื่องดันน้ำของโครงการชลประทานเชียงราย เพื่อดันน้ำจากแม่น้ำอิง ลงแม่น้ำโขง บริเวณปากอิง ต.ศรีดอนชัย ที่อยู่ห่างจากสะพานนี้ประมาณ 1 กม. โดยมีนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และนายอุดม ปกป้องวรกุล นายอำเภอเชียงของ และผู้นำชุมชน ต.ศรีดอนชัย และต.สถานให้การต้อนรับ

นายพุฒิพงศ์ กล่าวว่า ทางจังหวัดไม่ได้อยู่เฉย ๆ ปล่อยให้น้ำเอ่อ แต่พยายามทำให้ลงแม่น้ำโขงเร็วที่สุดระยะทางจากพะเยากว่า 100 กม.เพื่อไม่ให้ประชาชนระหว่างทางเดือดร้อน ทั้งที่อำเภอเทิง อำเภอขุนตาล ที่เป็นทางผ่านของแม่น้ำอิง ซึ่งได้รับความเสียหายกันมาก ผสมกับเราเจอน้ำป่า ร่องกดอากาศต่ำพาดผ่าน สังเกตว่าทำไมตกอยู่แต่ที่เชียงราย เป็นเวลาเดือนกว่า ยังไม่ผ่านไปเลย แต่ยังอยู่ที่เชียงรายอยู่

“วันนี้ฝนยังตกเรื่อย ๆ น้ำจากจังหวัดอื่นก็มาสะสม ไหลมารวมกันที่บ้าน พื้นที่เกษตร ปศุสัตว์ประสบกันทั่วหน้า ภาพรวมที่ติดริมน้ำอิง ตั้งแต่เทิง ลงมาพญาเม็งราย และขุนตาล เชียงของ เป็นปลายทางน้ำอิงลงน้ำโขง ที่สังเกตว่าเป็นลานีญา เห็นว่าตกสะสมจึงวันที่ 23 ส.ค. รวม 600 กว่ามิลลิเมตรแล้ว เทียบกับเดือนสิงหาคมปี 2566 รวม 200 กว่ามิลลิเมตรเอง 3 เท่าของปีที่แล้ว ทั้งที่ไม่ครบเดือน อยากเตือนพี่น้องประชาชน เป็นประเด็นปัญหาที่ป้องกันแก้ไขด้วย”ผวจ.เชียงราย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่มีการเตรียมสร้างเขื่อนปากแบงกั้นแม่น้ำโขงซึ่งห่างจากชายแดนไทยเพียง 96 กม.ทำให้อนาคตยิ่งกลายเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์อีกหรือไม่ นายพุฒิพงศ์กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้รัฐบาลดูแล ทราบว่ารัฐบกาลกำลังเจรจาอันนี้เป็นเรื่องเหนือขอบเขตอำนาจหน้าที่ และรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจโดยได้เร่งเจรจากำลังทำอยู่ ส่วนตนมีหน้าที่รักษาพื้นที่ภาย ทำอย่างไรให้เราเดือดร้อนน้อยที่สุด และเร่งน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด “เรื่องนี้ผมไม่สามารถตอบได้ ต้องเป็นรัฐบาลและกระทรวงต่างประเทศ”

ผู้สื่อข่าวรายงาน สถานการณ์ระดับน้ำล่าสุดในแม่น้ำโขงวัดที่อำเภอเชียงของ พบว่าปริมาณน้ำได้เพิ่มสูงขึ้นจนล้นตลิ่งโดยวัดล่าสุดในช่วง 18.00 น.อยู่ที่ 10.30 เมตร

เย็นวันเดียวกัน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ได้ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขงที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นอย่างใกล้ชิด

โดยขณะนี้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมน้ำโขงในหลายพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

สทนช. จึงได้มีหนังสือด่วนที่สุดไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) ให้ดำเนินการเฝ้าระวัง ศึกษา วิเคราะห์ เพิ่มเติม โดยเฉพาะการวิเคราะห์แนวโน้ม คาดการณ์ วัน เวลา และปริมาณน้ำสูงสุด (Peak) และการสิ้นสุดของสถานการณ์ ณ สถานีต่าง ๆ ตามแนวแม่น้ำโขง 8 จังหวัดของประเทศไทย

โดยให้รายงานผลการดำเนินงานและมีการประสานงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเสนอแนวทางและมาตรการให้ประเทศสมาชิกของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ได้แก่ ไทย สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ได้ทราบและช่วยกันดำเนินการร่วมกันทุกฝ่าย

นอกจากนี้ยังขอให้ MRCS ประสานงานกับ สปป.ลาว เพื่อช่วยในการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง เพื่อบรรเทาผลกระทบและให้ระดับน้ำลดลงจากการล้นตลิ่งของแม่น้ำโขง พร้อมทั้งให้ประสานงานกับจีน เพื่อแจ้งสถานการณ์ในปัจจุบันของลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เพื่อให้จีนชะลอการปล่อยน้ำและบริหารจัดการน้ำในเขื่อนแม่น้ำโขงตอนบน ตลอดจนติดตามสถานการณ์การให้ข้อมูลเพื่อประกอบการแจ้งเตือนและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประชาชนริมโขงให้มากที่สุด โดย สทนช. จะมีการติดตามสถานการณ์น้ำและประสานงานร่วมกับ MRCS อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความเสียหายแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดริมแม่น้ำโขงให้ได้มากที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชาวบ้านเรียกว่า “ครก” หรือ “วัง” แหล่งหากินของปลากระเบนแม่น้ำโขง

 

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บ้านดอนที่ ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต พร้อมเจ้าหน้าที่สมาคม ได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านริมแม่น้ำโขง ใน อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ถึงภัยคุกคามที่ส่งผลต่อการลดลงของปลากระเบนในแม่น้ำโขง และติดตามการเปลี่ยนแปลง ปริมาณของปลากระเบนที่ลดลง โดยที่บ้านดอนที่เป็นพื้นที่เดียวในแม่น้ำโขง จ.เชียงราย ที่ชาวประมงจับได้บ่อยครั้ง ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปลากระเบนในพื้นที่บ้านดอนที่ว่าเหตุใดจึงพบได้เพียงเฉพาะที่บ้านดอนที่เท่านั้น รวมไปถึงการศึกษาปลาสายพันธุ์อื่นๆในพื้นที่ด้วย

 

อาจารย์สุทธิ มะลิทอง สถาบันถ่ายทอดเทคโนโลยีนวัตกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า สถานการณ์ปลากระเบนในแม่น้ำโขง พบว่า จุดที่ชาวบ้านพบปลากระเบนในพื้นที่บ้านดอนที่ ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เป็นจุดที่มีลักษณะที่ชาวบ้านเรียกว่า “ครก” หรือ “วัง” โดยมีพื้นผิวใต้น้ำเป็นตะกอนดินโคลน ทราย ปนกัน ซึ่งเป็นแหล่งหากินของปลากระเบน มีหนอนแดง ใส้เดือนน้ำ อยู่จำนวนมาก และบริเวณหลงแก่ง ที่มีลักษณะเป็นที่อยู่อาศัยของตัวอ่อนแมลงชีปะขาว และตัวอ่อนแมลงชีปะขาว ที่เป็นอาหารของปลากระเบน ทำให้ในพื้นที่นี้มีการจับปลากระเบนแม่น้ำโขงได้บ่อยครั้ง สำหรับความเสี่ยงของปลากระเบนก็คือพื้นที่อยู่อาศัย ถ้าหากพื้นที่อาศัยและแหล่งอาหารหายไป ก็จะทำให้ปลากระเบนลดลง นอกจากนี้พบว่าพืชริมน้ำก็จะเป็นแหล่งดักตะกอนที่ให้เกิดพื้นที่ดินโคลน และทราย จึงเป็นแหล่งที่อยู่ของอาหารของปลากระเบน
 
 
“อีกปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาต่อปลากระเบนก็คือ เรื่องระดับน้ำที่มีการเปลี่ยนแปลง น้ำขึ้น น้ำลง ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ก็จะส่งผลให้แหล่งที่อยู่และอาหารของปลากระเบนลดลง กระทบกับปลากระเบนโดยตรงหากไม่มีอาหารก็จะทำให้ย้ายถิ่นฐาน หรือสูญหายไป” อาจารย์สุทธิ กล่าว
 
 
นายถวิล ศิริเทพ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ตำบลริมโขง กล่าวว่าเมื่อเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้มีชาวประมงพื้นบ้าน สามารถจับปลากระเบนแม่น้ำโขง ขนาดกว่า 1.2 กิโลกรัมได้ในแม่น้ำโขง ในพื้นที่บ้านดอนที่ ซึ่งปลากระเบนนั้นถือว่าเป็นปลาที่หากพบได้ยาก และใกล้สูญพันธุ์ในแม่น้ำโขงปัจจุบัน ก็เนื่องมาจากระบบนิเวศ ในแม่น้ำโขงที่เปลี่ยนไป การเพิ่มและลดบริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่ผิดปกติ ทำให้ชาวประมงในพื้นที่สามารถจับปลาบางชนิดได้น้อยลง ในฐานะผู้นำหมู่บ้านดอนที่ ก็ขอขอบคุณทางสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ที่เข้ามาช่วยทำวิจัย เพื่อเพาะพันธ์และอนุรักษ์พันธุ์ปลากระเบนในแม่น้ำโขง โดยใช้พื้นที่บริเวณหมู่บ้านดอนที่ ให้เป็นพื้นที่ศึกษาเรียนรู้ เพาะพันธ์ขยายพันธุ์ เพื่ออนุรักษ์พันธุ์ปลากระเบนและพันธุ์ปลาน้ำจืดแม่น้ำโขงอื่นๆ ที่ใกล้สูญพันธุ์ให้คงอยู่คู่กับแม่น้ำโขงต่อไป
 
 
ด้านนายสมศักดิ์ นันทลักษณ์ ชาวประมง ในพื้นที่บ้านดอนที่ เล่าว่า การหาปลาในแม่น้ำโขงในปัจจุบันค่อนข้างที่จะหายาก โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงที่น้ำขึ้น ชาวบ้านที่ประกอบอาชีพหาปลาส่วนใหญ่ก็จะผันตัวไปทำไร่ทำสวน ในส่วนของที่ทางสมาคม แม่น้ำเพื่อชีวิตได้เข้ามาทำวิจัยเรื่องการเพาะพันธ์และอนุรักษ์พันธุ์ปลากระเบน และจะใช้พื้นที่หมู่บ้านดอนที่ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลากระเบนแม่น้ำโขง ตนเองในฐานะชาวประมงในพื้นที่ก็เห็นด้วย ถ้าสามารถจับปลากระเบนในพื้นที่ได้อีก ก็จะส่งให้ทางประมงเพื่อไปทำการวิจัยและเพาะพันธ์ขยายพันธุ์ และนำกลับมาปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเพื่อเพิ่มปริมาณจำนวนปลากระเบนในแม่น้ำโขง และให้บ้านดอนที่ เป็นศูนย์เรียนรู้ และเขตอนุรักษ์ เรื่องปลากระเบนแม่น้ำโขงต่อไป
 
 
สำหรับปลากระเบนในแม่น้ำโขงเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงหลายประการที่ส่งผลต่อจำนวนประชากรและถิ่นที่อยู่อาศัย โดยพบภัยคุกคามคือ การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำ การควบคุมระดับน้ำของเขื่อนในแม่น้ำโขงใประเทศจีน ส่งผลต่อกระแสน้ำและรูปแบบการไหลของแม่น้ำโขง สิ่งนี้รบกวนวงจรชีวิตของปลา รวมถึงปลากระเบน ที่พึ่งพาการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตามธรรมชาติสำหรับการอพยพ การวางไข่ และการหาอาหาร การกัดเซาะตลิ่งที่เกิดจากน้ำขึ้นลง ส่งผลต่อที่อยู่อาศัยของปลากระเบน ตลิ่งที่พังทลายทำลายพื้นที่คก วัง และริมฝั่งซึ่งเป็นแหล่งหากินและวางไข่ที่สำคัญ การสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย การก่อสร้างเขื่อนและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ บนแม่น้ำโขง ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของปลากระเบน เช่น โขดหิน แอ่งน้ำ และพื้นทราย การทำประมงที่ทำลายล้าง เช่น การใช้เครื่องมือจับปลาที่ผิดกฎหมาย ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์และแหล่งหากินของปลากระเบน มลพิษทางน้ำจากการเกษตร โรงงาน และชุมชน ส่งผลต่อคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขง มลพิษเหล่านี้เป็นอันตรายต่อปลากระเบน 
 
 
โดยเฉพาะลูกปลาและปลาอ่อน การล่าปลากระเบนถูกจับโดยชาวประมงเพื่อการค้าและบริโภค แม้ว่าจะมีกฎหมายห้ามจับปลากระเบน แต่การบังคับใช้กฎหมายยังคงมีประสิทธิภาพต่ำ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่ออุณหภูมิและรูปแบบการตกตะกอนในแม่น้ำโขง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัย อาหาร และวงจรชีวิตของปลากระเบน
 
 
ผลกระทบจากภัยคุกคามทำให้เกิดผลกระทบต่อจำนวนประชากรปลากระเบนในแม่น้ำโขง ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว ปลากระเบนเป็นสัตว์กินซาก มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศของแม่น้ำโขง การลดลงของประชากรปลากระเบน ส่งผลต่อห่วงโซ่อาหาร และความสมดุลของระบบนิเวศโดยรวม
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News