Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

มฟล.–เชียงรายยืนยันเจ้าภาพ APACPH 2025 ชู “สุขภาพชายแดน” รับความท้าทายยุค Disruptive World

มฟล.–เชียงรายยืนยันเจ้าภาพ “APACPH 2025” เวทีสาธารณสุขเอเชีย–แปซิฟิก ชูสุขภาพชายแดน–ความเสมอภาค รับโลกยุค Disruption

เชียงราย, 10 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าของปลายฝนต้นหนาว ลมเหนือพัดปรับอุณหภูมิให้เมืองชายแดนเย็นลงเล็กน้อย ขณะเดียวกันข่าวใหญ่ด้านสาธารณสุขก็พัดเข้าสู่ภาคเหนือเช่นกัน เมื่อ สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APACPH) ประกาศยืนยันให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพจัด การประชุมวิชาการนานาชาติ APACPH Conference ครั้งที่ 56 ระหว่าง 4–7 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้หัวข้อหลัก “Public Health Challenges in a Disruptive World” หรือ ความท้าทายด้านสาธารณสุขในโลกที่มีการหยุดชะงัก”

การตัดสินใจดังกล่าวไม่เพียงย้ำ “สถานะความเป็นนานาชาติ” ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงซึ่งได้รับการจัดอันดับ International Outlook ในระดับแถวหน้าของประเทศเท่านั้น หากยังสะท้อนบทบาทใหม่ของ เชียงราย ที่กำลังถูกมองเป็น “จุดตัดนโยบายสาธารณสุขชายแดน” ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ท่ามกลางพลวัตใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก

“เราต้องนำเสียงจากแนวชายแดนเข้าสู่กระดานโลกให้ได้—ทั้งเรื่อง ความเสมอภาคทางสุขภาพของชนกลุ่มน้อย/ผู้ย้ายถิ่น/ผู้สูงอายุ, การเตรียมพร้อมต่อ โรคอุบัติใหม่–อุบัติซ้ำ, ไปจนถึงการบูรณาการ เทคโนโลยี–นโยบาย ในระบบสุขภาพ” สารจากคณะผู้จัด APACPH 2025 สะท้อนทิศทางยุทธศาสตร์ของงานปีนี้

ทำไม “เชียงราย” จึงเป็นสมรภูมิเสียงของภูมิภาค

เชียงรายตั้งอยู่บนทางเชื่อมของ อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประเด็นสุขภาพ ไม่รู้จักเส้นแบ่งเขตแดน ไม่ว่าจะโรคติดเชื้อที่เดินทางพร้อมการค้าและการย้ายถิ่น ปัจจัยแวดล้อม–อาชีวอนามัยจาก เศรษฐกิจข้ามแดน ไปจนถึงความเปราะบางเฉพาะบริบทของ แรงงานไร้เอกสาร–ชนกลุ่มน้อย–ผู้สูงอายุในชนบท การย้ายเวทีจากเมืองหลวงสู่ชายแดน จึงเป็นการ “หันไมค์” ไปยังผู้ที่มักอยู่ชายขอบของวงเสวนา สถานะความเป็นนานาชาติของ มฟล. และระบบนิเวศของเครือข่ายวิจัยด้านสุขภาพในภาคเหนือ ทำให้เมืองนี้ไม่ใช่เพียง “สถานที่จัดงาน” แต่เป็น ห้องทดลองเชิงนโยบาย ที่พาผู้เข้าร่วมเห็นของจริง—ตั้งแต่ชุมชนข้ามพรมแดน ไปถึงคลัสเตอร์ธุรกิจ–โลจิสติกส์ที่สร้างเงื่อนไขอาชีวอนามัยรูปแบบใหม่ ธีมย่อยของปีนี้ชัดถ้อยชัดคำ—สุขภาพของกลุ่มพลัดถิ่น ชายแดน และชนกลุ่มน้อย (Diaspora, border, and minority health)”—สะท้อนการปรับโฟกัสจาก กำหนดบนใช้ล่าง” ไปสู่ หลักฐานจากพื้นที่–ดันขึ้นนโยบาย” ที่รับมือความซับซ้อนจริงของภูมิภาค

กรอบวิชาการ 6 กลุ่มหัวข้อ เชื่อม “เทคโนโลยี นโยบาย ความยืดหยุ่น”

โครงสร้างวิชาการของ APACPH 2025 ถูกออกแบบเป็น 6 กลุ่มแกน (Core Tracks) ที่ครอบคลุมทั้ง “วันนี้” และ “วันพรุ่งนี้” ของระบบสุขภาพ:

  1. อนาคตของสังคมและสุขภาพ (Future Society & Health)  โฟกัส AI, เวชสารสนเทศ, Telehealth, Precision/Personalized Medicine และ Smart Care—คำถามใหญ่อยู่ที่กรอบกำกับดูแล จริยธรรมข้อมูล และความพร้อมของรัฐ–พื้นที่
  2. นโยบายและระบบสุขภาพ (Health Policy & Systems)  จาก ความมั่นคงทางสุขภาพโลก และ การเตรียมพร้อมโรคระบาด ไปถึง การเงินการคลังสาธารณสุข และแบบจำลอง Precision Public Health ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
  3. สุขภาพสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย (Environmental & Occupational Health)  ผลพวง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, มลพิษเมือง, และที่สำคัญคือ สุขภาพแรงงาน Gig—เศรษฐกิจแพลตฟอร์มที่เติบโตเร็วในอาเซียน แต่แบนบางด้านหลักประกันสุขภาพและความปลอดภัย
  4. ชุมชนและความเสมอภาค (Community & Equity)  ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (SDoH), ความเสมอภาคทางเพศ, การคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง (ชนกลุ่มน้อย–ผู้สูงอายุ–ผู้ย้ายถิ่น) และการป้องกันความรุนแรงในชุมชน
  5. การควบคุมโรคและการศึกษาด้านสุขภาพ (Disease Control & Health Education)  ภัยคุกคามระบาดวิทยา, NCDs, การบาดเจ็บ, สุขภาวะพฤติกรรม และ health literacy—แก่นของ “การป้องกัน” ที่ยังคงเป็นฐานของระบบสุขภาพยั่งยืน
  6. วงจรชีวิตและสุขภาพ (Life Cycle & Health)  จาก “ปฐมวัย–มารดา” ไปสู่ “สังคมสูงวัยโรคเรื้อรัง” ครอบคลุมโภชนาการ การออกกำลังกาย และบริการดูแลต่อเนื่อง

เมื่อนำ 6 กลุ่มมา “วางคู่กัน” จะเห็น ยุทธศาสตร์สามชั้น ชัดเจน เทค นโยบาย ต้องเดินคู่ (Future Society × Policy & Systems), สิ่งแวดล้อม อาชีพ ผูกกับ ความเสมอภาค (Environmental/Occupational × Community & Equity), และป้องกัน วงจรชีวิต เป็น รากฐานความยืดหยุ่น ของสังคมในระยะยาว (Disease Control × Life Cycle)

เส้นตายกระชั้นชิด โอกาส ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

แม้การจัดงานสะท้อนความพร้อมของเจ้าภาพด้านโลจิสติกส์ แต่ปีนี้ กำหนดการทางวิชาการค่อนข้างบีบอัด โดยเฉพาะสำหรับผู้เข้าร่วมต่างชาติ

  • กำหนดส่งบทคัดย่อ (Extended): ถึง 15 ตุลาคม 2568
  • แจ้งผลตอบรับบทคัดย่อ (Extended): 20 ตุลาคม 2568
  • วันประชุมหลัก: 4–7 พฤศจิกายน 2568
  • Early-bird Registration (Extended): ถึง 15 กันยายน 2568

ช่วงเวลา ระหว่างการแจ้งผล (20 ต.ค.) กับวันประชุม (4 พ.ย.) มีเพียงราว สองสัปดาห์ ซึ่งอาจ ไม่เพียงพอ สำหรับผู้ที่ต้องขอวีซ่า/อนุมัติค่าใช้จ่ายจากองค์กรหรือวางแผนการเดินทางที่ซับซ้อน คำแนะนำเชิงปฏิบัติของผู้สื่อข่าวคือ เร่งจัดการงบประมาณnอนุมัติภายใน–เอกสารเดินทางให้ยืดหยุ่น และเตรียมแผนสำรองล่วงหน้า

ด้านค่าลงทะเบียน โครงสร้างราคามีแรงจูงใจชำระล่วงหน้า ชัดเจน:

  • Early-bird (25 เม.ย.–15 ก.ย. 2568)  นักศึกษา 150 USD/4,500 บาท, สมาชิก 250 USD/5,500 บาท, บุคคลทั่วไป 300 USD/6,500 บาท
  • On-site (16 ก.ย.–15 ต.ค. 2568)  นักศึกษา 200 USD/5,000 บาท, สมาชิก 300 USD/6,000 บาท, บุคคลทั่วไป 350 USD/7,000 บาท
  • Pre-conference Workshop (4 พ.ย.)  ต่างชาติ 50 USD, ผู้เข้าร่วมในประเทศ 1,000 บาท

ราคายัง ไม่รวมค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางการเงิน (บัตรเครดิต/ธนาคาร)

จากตัวเลขข้างต้น นักศึกษา เสียโอกาสสูงสุดหากพลาด Early-bird (ต่าง 50 USD) ขณะที่หน่วยงานรัฐ–มหาวิทยาลัยควรปิดงบ ก่อน 15 ก.ย. เพื่อบริหารต้นทุนรวมให้ดีที่สุด

 

โลจิสติกส์–การเดินทาง ไกลเมืองแต่ใกล้สนามบิน

สถานที่จัดประชุม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) อำเภอเมืองเชียงราย

  • ห่าง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ประมาณ 15 กม./20 นาที
  • ห่างตัวเมืองประมาณ 18 กม./20–30 นาที

ตัวเลือกการเดินทาง:

  • แท็กซี่สนามบิน/ศูนย์แท็กซี่เชียงราย
  • Grab (GrabCar/GrabTaxi/GrabRent) ให้บริการในเชียงราย
  • รถเช่า (Avis, Budget, Hertz, Chic Car Rent) มีเคาน์เตอร์ในสนามบิน

ที่พักที่คณะเจ้าภาพร่วมมือ:

  1. วนเวศน์ อินน์ (Wanawes Inn) — ที่พัก ในมหาวิทยาลัย เหมาะผู้ต้องการความสะดวกสูงสุด
  2. The Heritage Chiang Rai Hotel & Conventionสถานที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร (ECM) วันที่ 3 พ.ย. คาดเป็น ศูนย์กลางเครือข่าย ของผู้บริหาร/ตัวแทนสถาบัน
  3. The Phufa Waree Chiangrai Resort, The Riverie by Katathani, Kokotel Chiang Rai Airport Suites — ทางเลือกตามงบและทำเล (ใกล้สนามบิน/ใจกลางเมือง/รีสอร์ท)

ด้วยระยะของมหาวิทยาลัยที่ ค่อนข้างห่างจากตัวเมือง ผู้เข้าร่วมควร กันงบการเดินทางภายใน (เรียกรถ/เช่ารถ) และติดตาม ประกาศรถรับ–ส่งทางการ หากมีการยืนยันเพิ่มเติมจากผู้จัด

โครงสร้างโปรแกรม Plenary–Panel–Talk Concert–Workshop

กำหนดการโดยสังเขป (ตามกรอบที่ประกาศ):

  • 1 ก.ค. 2568 เผยแพร่โปรแกรมครั้งที่ 1
  • 3 พ.ย. 2568 Executive Committee Meeting (ECM) ที่ The Heritage
  • 4 พ.ย. 2568 (บ่าย)  ECN Pre-Workshop (14:00–17:00 น.) เปิดให้สมาชิก Early Career Network (ECN) และผู้รับรางวัล YITA เข้าร่วมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
  • 4–7 พ.ย. 2568 งานประชุมหลัก (วิทยากรปาฐกถา–เวทีเสวนา–การนำเสนอแบบปากเปล่า/โปสเตอร์–กิจกรรมเครือข่าย)

สาระสำคัญของการจัดโปรแกรมคือ “ความร่วมสมัย” ตั้งแต่ Plenary ที่ยก “โจทย์ใหญ่” ของภูมิภาค ไปถึง Panel ที่ ผู้นโยบาย–นักวิจัย–ภาคประชาสังคม นั่งโต๊ะเดียวกัน และ Talk Concert ที่ “แปลภาษาเทคนิค” ให้สาธารณะเข้าใจง่าย—ทั้งหมดภายใต้ ธีม Disruptive World ที่สะท้อนความจริงปัจจุบัน ไม่ใช่ภาพอนาคต

ประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องจับตา

  1. AI–Data Governance–Telehealth การยกระดับบริการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน หาก กรอบกำกับดูแล–จริยธรรม ยังไม่ชัด? การประชุมนี้อาจวาง หลักคิดร่วม ของภูมิภาค
  2. Gig Worker Health แพลตฟอร์มเศรษฐกิจเติบโตไว แต่ ความคุ้มครองแรงงาน/อาชีวอนามัย ตามไม่ทัน—นโยบายแบบใด “รับทุกฝ่าย” ได้จริง
  3. Border & Minority Health จาก การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ ของแรงงานข้ามแดน ไปถึง บริการที่คำนึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม/ภาษา—เชียงรายอาจเป็น กรณีศึกษาจริง ที่ต่อยอดสู่ โมเดลข้ามพรมแดน
  4. Climate–Environment–NCDs ภูมิอากาศสุดขั้วและมลพิษเชื่อมโยงกับ NCDs/สุขภาพจิต อย่างไร—การออกแบบ นโยบายป้องกันเชิงระบบ คือคำตอบระยะยาว
  5. Resilience by Design ทุกกลุ่มหัวข้อย้ำ “การป้องกัน” และ “ความยืดหยุ่น”—เสียงส่วนใหญ่คาดหวังเอกสาร แนวปฏิบัติ (playbook) ที่องค์กรในประเทศต่าง ๆ นำไปใช้ได้จริง

เสียงสะท้อนจากเครือข่าย (Key Messages)

  • มฟล. เน้นบทบาท “มหาวิทยาลัยของภูมิภาค” ที่ เชื่อมศาสตร์–เชื่อมเมือง–เชื่อมชายแดน และเป็น พื้นที่กลาง ของงานนานาชาติด้านสุขภาพ
  • APACPH ตั้งธง “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ผ่านหัวข้อ Community & Equity และ Border/Minority Health เพื่อปิดช่องว่างที่การประชุมในเมืองใหญ่ มักมองข้าม
  • เครือข่ายนักวิจัยรุ่นใหม่ (ECN) ได้เวที Pre-Workshop สร้าง ผู้นำสาธารณสุขรุ่นต่อไป—สัญญาณของการลงทุนกับ ทุนมนุษย์ อย่างจริงจัง

สรุปสำหรับผู้วางแผนเข้าร่วม (Actionable Takeaways)

  • รีบปิด Early-bird (ถึง 15 ก.ย. 2568) ประหยัดงบชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา/หน่วยงานภาครัฐ–สถาบันการศึกษา
  • ส่งบทคัดย่อ (ถึง 15 ต.ค. 2568) และเผื่อเวลาเอกสาร ระยะห่าง แจ้งผล 20 ต.ค. ถึง เริ่มงาน 4 พ.ย. สั้น—เตรียม แผน A–B เรื่องตั๋ว/ที่พัก/วีซ่า
  • วางแนวหัวข้องานวิจัยให้ “เข้าแกน 6 กลุ่ม”  โอกาสได้รับการคัดเลือก/สปอตไลต์สูงขึ้น โดยเฉพาะประเด็น ชายแดน–ความเสมอภาค–แรงงาน Gig–ภูมิอากาศ–AI/Telehealth
  • จองที่พักตามกลยุทธ์การเดินทาง หากต้องการเครือข่าย–ประชุมผู้บริหาร เลือก The Heritage; หากเน้นความสะดวกฝั่งสถานที่ประชุม เลือก Wanawes Inn (ในมฟล.)
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักวิจัยรุ่นใหม่ ใช้สิทธิ ECN Pre-Workshop (4 พ.ย. 14:00–17:00 น.) ที่เปิดฟรีแก่สมาชิก ECN/YITA

 

APACPH 2025 @ เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียง “โลเคชันใหม่” ของงานประชุมใหญ่ แต่เป็นการ จัดวางคำถามใหม่ ให้สอดคล้องกับ ความจริงใหม่ ของภูมิภาค—ความเปราะบางตามแนวชายแดน แรงงานรูปแบบใหม่ เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ภูมิอากาศสุดขั้ว และคลื่นเทคโนโลยีที่ทั้งสร้างโอกาสและตั้งคำถามเชิงจริยธรรม

ในโลกที่ Disruption กลายเป็นสภาวะปกติ งานนี้จึงมีความหมายมากกว่าเวทีนำเสนอผลงาน—มันคือ พื้นที่กำกับทิศทาง ที่ผู้กำหนดนโยบาย–นักวิจัย–ภาคประชาสังคม จะทดลอง “ประกบ” เทคโนโลยี–หลักฐาน–ความยุติธรรมทางสังคม เข้าด้วยกัน เพื่อสร้าง ระบบสุขภาพที่ยืดหยุ่นและเท่าเทียม กว่าเดิม

เชียงราย—เมืองชายแดนที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าอยู่ไกล—วันนี้กลายเป็น ใจกลางของบทสนทนาเอเชีย–แปซิฟิก ว่าด้วยสุขภาพของผู้คนที่ ไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APACPH)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU
  • APACPH 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายพร้อมหรือยัง? Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่จุดหมายสุขภาพโลก

Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่ “จุดหมายสุขภาพ” ระดับโลก—เชียงรายพร้อมหรือยัง?

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท ค่อย ๆ เงียบลงเมื่อพิธีเปิดเวิร์กช็อปเริ่มต้นขึ้น “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) ต้องจับมือกันแน่นขึ้น—จากเชียงรายถึงเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง” นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเปิด โดยมี นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย และตัวแทนราชการ-เอกชน-ประชาสังคม 4 จังหวัดเข้าร่วมกว่า 200 คน วาระสำคัญบนโต๊ะ จะเปลี่ยน “ศักยภาพ” ของภาคเหนือให้เป็น “มูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์” อย่างยั่งยืนได้อย่างไร—โดยหนึ่งในสี่อุตสาหกรรมเป้าหมายคือ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งเชื่อมตรงสู่ Medical Tourism ในระดับประเทศ

ไทย—จากจุดหมายท่องเที่ยวสู่จุดหมายสุขภาพ

สองทศวรรษหลังเปิดยุทธศาสตร์ “Medical Hub” ประเทศไทยเดินเกมต่อเนื่อง—ยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลเอกชน, ขยายบริการเฉพาะทาง, รับรองคุณภาพสากล, เสริมโครงสร้างสนามบิน–วีซ่า–บริการล่าม–รถรับส่ง—จน “การรักษา + การพักผ่อน + การพักฟื้น” หลอมรวมเป็นประสบการณ์เดียว จุดเด่นของไทยยังเหมือนเดิมแต่คมขึ้น: คุณภาพการรักษา, ราคาคุ้มค่า, บริการมืออาชีพและเป็นมิตร ขณะที่ตลาดโลกเปลี่ยนเร็ว ผู้ป่วยต่างชาติไม่ได้มองหาการผ่าตัดอย่างเดียว แต่ยังสนใจ ศัลยกรรมความงาม–ชะลอวัย, ทันตกรรม, IVF, หัวใจ–กระดูก–สันหลัง, ไปจนถึง แพทย์ฟื้นฟู/เวชศาสตร์ชะลอวัย และ wellness แบบองค์รวม

แม้ตัวเลขมูลค่าตลาดจากแต่ละสำนักวิจัยต่างกัน (เพราะคำนิยามคนละชุด—Medical vs Health/Wellness) แต่ “ทิศทาง” สอดคล้องกัน เติบโตเร็ว, ตัวยืนใหม่เพิ่ม, ผู้ป่วยพักนาน–ใช้จ่ายนอกการแพทย์สูง, และ อาเซียน–ตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–จีนตอนใต้ เป็นฐานลูกค้าหลัก หากมองทั้งห่วงโซ่ คุณค่าทางเศรษฐกิจไม่ได้อยู่แค่ “ค่ารักษา” แต่อยู่ใน ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม–แพ็กเกจพักฟื้น–สปาทางการแพทย์ ซึ่งทำให้ “เมืองปลายทาง” เป็นผู้เล่นตัวจริง ไม่ต่างกับโรงพยาบาล

NEC–Creative LANNA เวทีที่เชียงรายต้องคว้า

นายนิพนธ์ นิยม อธิบายทิศทางการขับเคลื่อน NEC หลังมติ ครม. ที่วางโครงมาจากปี 2565–2566 เป้าประสงค์ 5 ด้านเพื่อกระจายความเจริญ ลดเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพชีวิต แข่งขันข้ามพรมแดน และเชื่อมโลก ผ่าน 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย—อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (เช่น Movie Town), ดิจิทัล (Data Center/Cloud/คอนเทนต์), ท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, และ เกษตร–อาหาร (อินทรีย์/สารสกัด/นิคมอาหาร)

สำหรับ Medical/Wellness Tourism จุดแข็งของเชียงรายโดดเด่น

  • ทำเลชายแดน เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ (R3A) มีด่าน–ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน–ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งเชียงของ
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง รองรับเที่ยวบินภายในประเทศและศักยภาพเชื่อมเมืองหลักภูมิภาค
  • สินทรัพย์ท่องเที่ยว ธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ชุมชน–กาแฟ–ชา–งานหัตถกรรม
  • ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา สมุนไพร–นวดไทย–สปา–อาหารพื้นถิ่นสายสุขภาพ—ต่อยอดเป็น Wellness Retreat/Detox/Recovery Stay ได้ทันที

แต่ในสนาม Medical Tourism ความพร้อมต้องไปไกลกว่า “บรรยากาศดี–บริการดี”—เชียงรายจำเป็นต้อง “ปิดช่องว่าง” ต่อไปนี้ให้เร็วและพร้อมกัน

สิ่งที่เชียงรายยังขาด และต้องเร่งเติม

1) มาตรฐานสากลฝั่งสถานพยาบาล
เพื่อรองรับผู้ป่วยต่างชาติอย่างมั่นใจ โรงพยาบาล/คลินิกเฉพาะทางต้องมีมาตรฐานระดับสากล (เช่น JCI หรือเทียบเท่า) ในบริการแกน: ศัลยกรรมความงาม–ทันตกรรม–IVF–กระดูกสันหลัง–หัวใจ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู/ชะลอวัย วันนี้ เชียงรายยัง “พึ่งบริการเฉพาะทางระดับสูงจากหัวเมืองใหญ่” อยู่พอสมควร การยกระดับโรงพยาบาลจังหวัด/เอกชน และการดึงดูดพันธมิตรโรงพยาบาลเครือใหญ่จึงเป็น เกมเชิงรุก ที่ต้องทำคู่กัน

2) International Patient Center (IPC) แบบครบวงจร
ผู้ป่วยต่างชาติต้องการ “ผู้ช่วยส่วนตัว” ตั้งแต่ก่อนบินจนจบการติดตามผล: นัดหมายแพทย์, ประเมินความเหมาะสมเบื้องต้นทางเทคนิคการแพทย์, second opinion ออนไลน์, รับ–ส่งสนามบิน, ล่าม, อำนวยความสะดวกวีซ่าการแพทย์, ประสานประกันสุขภาพนานาชาติ, จัดที่พัก/อาหารเฉพาะโรค, เวชระเบียนภาษาอังกฤษ, และ digital follow-up หลังกลับประเทศ เชียงรายยังต้องตั้ง/ยกระดับ IPC ในโรงพยาบาลหลัก พร้อมมาตรฐานบริการเดียวกันทั้งเครือข่าย

3) ระบบการเงิน–ประกันต่างประเทศ
การเบิกจ่ายตรงกับ International Insurance/Assistance เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของการตัดสินใจผู้ป่วย (โดยเฉพาะตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–ยุโรป) เมืองปลายทางต้องมี ทีม Billing นานาชาติ, สัญญาเครือข่ายประกัน, และ DRG/ICD สากลที่แม่น—จุดนี้ยังเป็น gap ของหลายโรงพยาบาลหัวเมือง

4) บุคลากรภาษา–มาตรฐานเอกสาร
แม้แพทย์เก่ง แต่ถ้า touchpoint อื่น ๆ ภาษาไม่พร้อม—ประสบการณ์ผู้ป่วยจะสะดุดทันที จึงต้องมี ล่ามการแพทย์ (อังกฤษ–จีน–พม่า–ลาว–อาหรับ), เอกสารสองภาษา, แผงสื่อสารความเสี่ยง–ยินยอมรักษา (informed consent) มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง

5) โครงสร้างรองรับการพักฟื้น (Recovery/Wellness Stay)
นี่คือ “จุดต่าง” ที่เชียงรายสร้างความได้เปรียบได้เร็ว—โรงแรม/รีสอร์ต/โฮมสเตย์คุณภาพ ต้องร่วมกับโรงพยาบาลทำ แพ็กเกจพักฟื้น เฉพาะหัตถการ (อาหาร–กายภาพ–การพยาบาล–รถรับส่ง–แพทย์เยี่ยม–สปาเชิงการแพทย์) โดยมี Care Pathway ชัดเจนและความปลอดภัยเป็นฐาน

6) การตลาดปลายทางแบบ one story, many doors
ต้องมี แบรนด์ร่วม “Chiang Rai Health & Wellness” ที่เล่าเรื่องเดียวกันในหลายประตู: สถานพยาบาล–ผู้ให้บริการท่องเที่ยว–ตัวแทนการแพทย์ในต่างประเทศ–สายการบิน–OTA เพื่อให้ผู้ป่วยค้นเจอ “ข้อเสนอเดียวกัน–คุณภาพเดียวกัน–ราคาโปร่งใส” ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากช่องทางใด

7) ธรรมาภิบาล–สมดุลกับระบบสุขภาพท้องถิ่น
การเติบโตของ Medical Tourism ต้องไม่ดึงบุคลากรจากระบบรัฐมากเกินไปจนกระทบประชาชนในพื้นที่ จำเป็นต้องมี โควตา/แรงจูงใจ ที่รักษาสมดุล และ โครงการร่วมผลิต–พัฒนาบุคลากร ระหว่างรัฐ–เอกชน พร้อม แนวทางรับเรื่องร้องเรียน/ชดเชย ที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้สำหรับผู้ป่วยต่างชาติและคนไทย

เส้นทางสู่ความพร้อม แผน 3 ระยะที่ “วัดผลได้”

ระยะสั้น 0–12 เดือน “ย้ำหัวใจประสบการณ์ผู้ป่วย”

  • ตั้ง Chiang Rai International Patient Desk กลาง (ออนไลน์ + จุดบริการสนามบิน) เชื่อมโรงพยาบาลหลัก/โรงแรมพันธมิตร
  • คัด “5 สายผลิตภัณฑ์เรือธง” ที่ทำได้ทันที: ทันตกรรมด่วน, ศัลยกรรมเล็ก–ความงามเฉพาะ, โปรแกรมชะลอวัย/Detox, กายภาพ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู, โปรแกรมตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน
  • Fast track เอกสาร 2 ภาษา, ล่ามการแพทย์, ระบบรับ–ส่ง, จับมือโรงแรมทำ Recovery Packages อย่างน้อย 10 ชุด
  • วัดผลด้วย จำนวนเคสต่างชาติ, คะแนนความพึงพอใจ, ค่าใช้จ่ายต่อเคส (ใน-นอกการแพทย์)

ระยะกลาง 12–36 เดือน  “ล็อกมาตรฐาน–ขยายบริการเฉพาะทาง”

  • พัฒนา/ดึงดูด ศูนย์เฉพาะทาง อย่างน้อย 2 ด้าน (เช่น กระดูกสันหลัง, IVF, เวชศาสตร์ฟื้นฟูชั้นสูง) สู่มาตรฐานสากล
  • ทำ สัญญาเครือข่ายประกันนานาชาติ 10–20 ราย, ตั้ง International Billing Unit ร่วม
  • สร้าง/ยกระดับ Wellness Campus (สมุนไพร–สปาการแพทย์–กายภาพ) เชื่อมชุมชนท้องถิ่น
  • วัดผลด้วย รายได้รวมห่วงโซ่, สัดส่วนเคสประกันนานาชาติ, อัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำ

ระยะยาว 36 เดือนขึ้นไป “ศูนย์กลางสุขภาพชายแดนตอนบน”

  • เป็นเจ้าภาพ งานประชุม/มหกรรม Health & Wellness ระดับอนุภูมิภาค (GMS/ล้านช้าง-แม่โขง)
  • พัฒนา ข้อมูลสุขภาพ–เวชท่องเที่ยว ระดับเมือง (แดชบอร์ดสาธารณะ) เพื่อนโยบายฐานข้อมูล
  • ตั้ง กองทุนพัฒนาสุขภาพจังหวัด จากรายได้อุตสาหกรรม เพื่อ “คืนกลับ” สู่ระบบสุขภาพประชาชน—ทำให้การเติบโต “ไม่ทิ้งใคร”

เสียงจากเวทีเชื่อมยุทธศาสตร์ให้ลงดิน

บนเวทีเวิร์กช็อป นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ ย้ำว่า “NEC จะสำเร็จได้ ต้อง ‘ทำงานร่วม’ ระหว่างรัฐ–เอกชน–ชุมชน—เชียงรายมีทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติพร้อม แต่เราต้องแปลงทุนให้เป็นบริการที่มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง” ขณะที่ นายนิพนธ์ นิยม ชี้เป้า “ห่วงโซ่คุณค่า” ว่า “ปีนี้เราจะเน้นสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรมมากขึ้น ทั้งในมิติแพทย์แผนปัจจุบัน–แผนไทย–Wellness—และเชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้ประโยชน์ตรง”

แม้ไม่มี “คำตอบลัด” แต่ฉากหน้าเริ่มชัดเจน: เมืองชายแดนที่ เดินเกมมาตรฐาน–บริการไร้รอยต่อ–แพ็กเกจพักฟื้นที่ปลอดภัย–การตลาดร่วม จะชิงส่วนแบ่งตลาดได้เร็วกว่าคู่แข่ง—และที่สำคัญคือ ทำให้การเติบโตไม่ย้อนศรคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

ตัวเลขที่ชวนคิดชวนโฟกัส

  • รายงานตลาดบางสำนักประเมิน Health/Wellness Tourism ไทย แตะหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตในอัตราสูงมากเมื่อรวมบริการสุขภาวะ ขณะที่รายงานที่จำกัดเฉพาะ Medical Tourism ประเมิน หลักหลายร้อยล้าน–พันล้านดอลลาร์สหรัฐ—สะท้อนความต่างเชิงคำนิยามมากกว่าความคลาดเคลื่อนของข้อเท็จจริง
  • สัดส่วน Wellness ในตลาดสุขภาพอาเซียนถูกประเมินว่ามีส่วนแบ่งสูง (หลายฉบับระบุราว 70%+ ของภาพรวมสุขภาพ/การแพทย์รวมกัน) จึงเป็น “ทางด่วน” ที่เชียงรายสามารถขึ้นรถได้เร็ว—หากทำให้ ปลอดภัย–เป็นสากล–เชื่อมแพทย์ปัจจุบัน
  • ผู้ป่วยต่างชาติ non-medical spend (ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม) สูง—หมายถึง “รายได้เมือง” จะเกิดเมื่อเรามี แพ็กเกจพักฟื้น ที่คำตอบครบตั้งแต่รพ.ถึงโรงแรม ไม่ใช่ขาย “ค่าห้องผ่าตัด” เพียงอย่างเดียว

เชียงราย—จากคำถาม “พร้อมหรือยัง” สู่ “พร้อมอย่างไร”

คำตอบสั้น ๆ คือ พร้อมบางส่วน แต่ยังต้องเร่ง “เชื่อมจุด” จุดแข็งของเชียงราย—ทำเลชายแดน, สนามบิน, ทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติ, ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา—คือฐานที่ดีมาก เมื่อประกอบเข้ากับกรอบ NEC–Creative LANNA เมืองสามารถ “ยกระดับ” เป็น จุดหมายสุขภาพชายแดนตอนบน ได้จริง หากลงมือ 4 เรื่องใหญ่ พร้อมกัน:

  1. มาตรฐานสากล–ศูนย์เฉพาะทาง (เลือกไม่กี่เรือธงแล้วทำให้ชนะจริง),
  2. International Patient Center + ประกันนานาชาติ (ทำให้การเดินทางรักษาไร้รอยต่อ),
  3. แพ็กเกจพักฟื้นเชื่อมชุมชนอย่างปลอดภัย (เปลี่ยนโรงแรม–รีสอร์ตให้เป็น Recovery Partner), และ
  4. ธรรมาภิบาล–คืนกำไรสู่ระบบสุขภาพประชาชน (ให้คนเชียงรายได้ประโยชน์จากการเติบโต)

บนถนนสาย Medical Tourism เมืองที่ “เล่าเรื่องเดียวกัน—ให้บริการมาตรฐานเดียวกัน—คิดภาพรวมทั้งห่วงโซ่” จะไปได้เร็วและไกลกว่า คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า พร้อมหรือยัง แต่คือ พร้อมอย่างไร ให้ ได้มาตรฐาน และ ได้ส่วนแบ่ง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (20 ก.ย. 2565; 31 ม.ค. 2566)
  • จังหวัดเชียงราย / สำนักงานจังหวัดเชียงราย: เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ NEC (22–24 ก.ย. 2568) คำชี้แจงโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและหัวหน้าสำนักงานจังหวัด
  • กระทรวงสาธารณสุข: แผนยุทธศาสตร์ประเทศไทยศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ต่อเนื่องถึงแผน 2017–2026
  • Data Bridge Market Research: Thailand Health/Wellness Tourism
  • IMARC Group และ Credence Research: Thailand Medical Tourism
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สมาพันธ์โรงพยาบาลเอกชนไทย / ข้อมูลการรับรอง Joint Commission International (JCI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายรุกสู่ “เมืองสุขภาพ” จัดมหกรรมอาหาร ดันมาตรฐาน “Chiang Rai Wellness”

เชียงรายก้าวสู่ ‘เมืองสุขภาพ’ เปิดมหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ ดันมาตรฐาน “Chiang Rai Wellness Standard Foods” เชื่อมไร่–ครัว–นักท่องเที่ยว พลิกโฉมสู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

เชียงราย, 23 สิงหาคม 2568 — “สวนตุงและโคม” ใจกลางเมืองค่อย ๆ แปรเป็นครัวใหญ่ของทั้งจังหวัด บูธกว่า 40 ร้านเรียงรายด้วยเมนูที่คัดสรรวัตถุดิบจากไร่มาตรฐาน อบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรพื้นถิ่น สลับเสียงถาม ตอบเรื่องส่วนผสมและพลังงานต่อจาน ภาพตรงหน้าจึงไม่ใช่แค่งานเทศกาลอาหาร หากเป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ที่แสดงให้เห็นว่า เชียงรายกำลังเปลี่ยนโจทย์เมือง จากเมืองกาแฟและศิลปะสู่ เมืองสุขภาพ (Wellness City)” อย่างจริงจัง

พิธีเปิดงาน มหกรรมเมนูสุขภาพเพื่ออาหารนานาชาติและระดับท้องถิ่น (Chiang Rai Wellness Standard Foods) เริ่มขึ้นเวลา 17.00 น. โดยมี นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วย น.พ.คงศักดิ์ ชัยชนะ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ ท่ามกลางความร่วมมือของหน่วยงานรัฐ–เอกชน–โรงพยาบาล–สถาบันการศึกษา ที่มารวมพลังบนเวทีเดียวกัน เป้าหมายปลายทางชัดเจน: วางมาตรฐานอาหารสุขภาพระดับจังหวัด ให้จับต้องได้ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

“มหกรรมครั้งนี้เป็นเวทีสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ให้เชียงรายเป็นศูนย์กลางอาหารสุขภาพทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ สอดคล้องกับการเป็นเมืองท่องเที่ยวคุณภาพของประเทศ” — นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวในพิธีเปิด

ไม่ใช่แค่ “ติดป้าย” แต่คือการวางระบบ 3 เสาหลักของมาตรฐาน

มาตรฐาน Chiang Rai Wellness Standard Foods ถูกออกแบบให้เป็น “โครง” ที่ยกคุณภาพทั้งระบบ ไม่ใช่มาตรฐานหน้าร้านเพียงอย่างเดียว โดยมี 3 หัวใจ ที่ผู้ประกอบการต้องผ่านเกณฑ์ ก่อนจะได้ป้ายรับรองของจังหวัด

  1. วัตถุดิบคุณภาพ (ตรา Q / GAP และมาตรฐานเกษตรปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง)
    ร้านต้องเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานของภาครัฐ เช่น ตรา Q ภายใต้การกำกับของ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และมาตรฐาน GAP (กรมวิชาการเกษตร) เพื่อยืนยันว่าความปลอดภัยเริ่มตั้งแต่ในไร่
  2. สุขาภิบาลอาหารตามเกณฑ์ SAN / SAN Plus (กรมอนามัย)
    ครัว–อุปกรณ์–น้ำ–การจัดเก็บวัตถุดิบ–การสัมผัสอาหาร ต้องผ่านเกณฑ์สุขาภิบาลอาหารของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ในระดับ SAN หรือ SAN Plus ลดความเสี่ยงการปนเปื้อนและโรคที่เกิดจากอาหารครอบคลุมทั้งกระบวนการ
  3. เมนูสุขภาพผ่านเกณฑ์โภชนาการ (กรมอนามัย)
    เมนูที่ขึ้นรายการ “สุขภาพ” ต้องผ่านการพิจารณาตามเกณฑ์โภชนาการของกรมอนามัย ทั้งเรื่อง พลังงาน โซเดียม น้ำตาล ไขมัน และสัดส่วนวัตถุดิบที่เหมาะสม เพื่อให้คำว่า “เพื่อสุขภาพ” พิสูจน์ได้ ด้วยตัวเลขและหลักวิชาการ ไม่ใช่เพียงคำโฆษณา

ภาพรวมการขับเคลื่อนที่ผ่านมาตามข้อมูลจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย จังหวัดได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้ผู้ประกอบการ กว่า 400 ร้าน จากนั้นลงพื้นที่ ตรวจประเมินเชิงลึก 90 ร้าน และล่าสุดมีร้านที่ ผ่านเกณฑ์แล้ว 71 ร้าน ซึ่งถือเป็นฐานแรกของ “แผนที่อาหารสุขภาพเชียงราย” ที่กำลังจะขยายไปยังอำเภอต่าง ๆ ในระยะถัดไป

จากไร่ถึงโต๊ะอาหาร ห่วงโซ่คุณค่าที่ตั้งใจสร้าง

สิ่งที่น่าจับตาในโมเดลเชียงรายคือ “การเชื่อมจุด” ที่ชัดเจนเกษตรกร ที่ปลูกพืชตามมาตรฐาน, ครัว/ร้านอาหาร ที่ปรุงตามสุขาภิบาล, และ เมนู ที่ถูกคุมโภชนาการก่อนจะไปจบที่ ผู้บริโภค/นักท่องเที่ยว ซึ่งไม่ใช่เพียงผู้ชิม แต่เป็นผู้ตัดสินใจด้วยข้อมูล

เมื่อวัตถุดิบมาจากแปลงเกษตรปลอดภัย ราคา อาจสูงกว่าทั่วไปเล็กน้อย แต่ ความสม่ำเสมอและความเชื่อมั่น ที่เกิดขึ้นทำให้ร้านค้ากล้าพัฒนาเมนูใหม่ได้ต่อเนื่อง เมนูผักพื้นถิ่น-สมุนไพร เช่น ฟักข้าว ขมิ้น ไพล ดีปลี กระเจี๊ยบ ฯลฯ ถูกจัดวางใหม่ในรูปแบบร่วมสมัยสลัดน้ำยำสมุนไพรน้ำตาลต่ำ ก๋วยเตี๋ยวปลาน้ำซุปวัตถุดิบพื้นบ้านลดโซเดียม หรือเมนูข้าวกล้องผสมธัญพืชและรองรับผู้บริโภคที่ต้องคุมหวานคุมเค็มคุมมัน

ทำไม “อาหาร” จึงเป็นประตูสู่ Wellness City

การประกาศตัวเป็น “เมืองสุขภาพ” มีหลายทางเข้า: โยคะ สปา เส้นทางเดิน–วิ่ง สวนสาธารณะ แต่ “อาหาร” แตะคนได้มากที่สุด ทั้งชาวเชียงรายและนักท่องเที่ยว เทศกาลในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เวทีขายของ หากเป็นเวที “ทดสอบและสื่อสารมาตรฐาน” กับสาธารณะโดยตรง เมื่อนักท่องเที่ยวรู้ว่า ร้านนี้ย่านนี้เมนูนี้ ผ่านเกณฑ์ของจังหวัด ความเชื่อมั่นจะขยายไปถึง แบรนด์เมือง ทันที

ในมุมเศรษฐกิจท่องเที่ยว การมี มาตรฐานอาหารสุขภาพ ชัดเจนจะดึงดูดกลุ่ม Wellness/Medical/Retirement Traveler ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องกลุ่มที่ใช้เวลาในพื้นที่นานขึ้นและใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งสำหรับค่ายาอาหารกิจกรรมกายภาพบำบัดสปา และสินค้าเกษตรแปรรูป

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง (Key Stats)

  • 400+ ร้าน ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ
  • 90 ร้าน ตรวจประเมินเชิงลึก
  • 71 ร้าน ผ่านเกณฑ์แล้ว (คิดเป็นราว 78–79% ของร้านที่ถูกประเมินเชิงลึก)
  • 40+ บูธ เข้าร่วมงานในวันเปิดมหกรรม
    ตัวเลขเหล่านี้ชี้ว่าผู้ประกอบการ “พร้อมปรับตัว” และระบบประเมิน “ใช้งานได้จริง” ทั้งในเมืองและอำเภอรอบนอก

เสียงจากเวที และงานหลังบ้านที่มองไม่เห็น

บนเวทีเปิดงาน ผู้แทนร้านอาหารเชฟท้องถิ่นนักโภชนาการ แลกเปลี่ยนกันถึง “ต้นทุนการปรับตัว” เช่น การฝึกทีมครัวเรื่องการชั่งตวงลดเค็มลดหวาน การจัดเก็บวัตถุดิบให้ผ่าน SAN และการสื่อสารเมนูให้ผู้บริโภคเข้าใจง่าย ขณะที่ฝั่งหน่วยงานรัฐอธิบาย “ระบบพี่เลี้ยงหลังบ้าน” ทั้งคู่มือคลินิกโภชนาการชุดประเมินการสุ่มตรวจต่อเนื่อง เพื่อให้มาตรฐานไม่หยุดอยู่ที่ป้ายวันแรก แต่ ยืนระยะได้ ในชีวิตจริงของร้าน

น.พ.คงศักดิ์ ชัยชนะ ระบุในรายงานสรุปว่า จุดเน้นของจังหวัดไม่ใช่ “จำนวนป้าย” หากเป็น “ความเข้มของระบบ” ที่ทำให้ผู้ประกอบการ วางกระบวนการ ได้ด้วยตนเองในระยะยาว และเชื่อมถึง เกษตรกรต้นทาง อย่างมีกติกาเดียวกัน

ความท้าทายและทางออก

แม้ภาพรวมจะเดินหน้าได้ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามี “ด่าน” สำคัญรออยู่

  • ความต่อเนื่องของวัตถุดิบมาตรฐาน Q/GAP: เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องวางแผนเพาะปลูก–เก็บเกี่ยว–กระจายสินค้าให้สอดคล้องกับฤดูกาลและเมนู
    แนวทาง: ทำ “แมตชิ่งลิสต์” เชื่อมร้าน–กลุ่มเกษตรกร จัดตารางวัตถุดิบล่วงหน้า และตั้งจุดรวบรวมผลผลิตที่ตรวจสอบย้อนกลับได้
  • ต้นทุนการปรับครัวให้ผ่าน SAN/SAN Plus: ร้านเล็ก ๆ อาจหนักกับการลงทุนอุปกรณ์/ระบบน้ำ/พื้นที่จัดเก็บ
    แนวทาง: ใช้โมเดล “พี่เลี้ยง–ไมโครเงินกู้–กองทุนชุมชน” ควบคู่คู่มือ Checklists รายจุด เพื่อให้การลงทุนมีลำดับและวัดผลได้
  • ทักษะอ่านฉลาก/คุมโภชนาการของทีมครัว: การลดโซเดียม–น้ำตาล–ไขมัน ต้องอาศัยการชั่ง–ตวง–วางสูตรและซ้อมมือ
    แนวทาง: คลินิกโภชนาการประจำเดือน, เวิร์กช็อปเชิงปฏิบัติ และ “ธนาคารสูตรมาตรฐาน” ให้ร้านหยิบไปปรับใช้

เชื่อมกับ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” อย่างมีกลยุทธ์

หากมองในกรอบกว้าง แผน “อาหารสุขภาพ” สามารถเป็น สินทรัพย์แบรนด์เมือง ได้อย่างเป็นรูปธรรม—คล้ายเมืองอาหารของญี่ปุ่น–ไต้หวัน–ยุโรป ที่บูรณาการครัวสุขภาพเข้ากับเส้นทางท่องเที่ยว เมืองเชียงรายมีฐานทรัพยากรอยู่แล้ว: โอทอปสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ชา–กาแฟสายคลีน ผลไม้ปลอดภัย ผักพื้นถิ่น และวัฒนธรรมล้านนาที่เชิญชวนสมาธิ การต่อชิ้นส่วนให้ครบอาจเกิดใน 3 มิติ

  1. เส้นทาง “กิน–เดิน–สุขภาพ”: จัดแพ็กเกจร้านผ่านมาตรฐาน + สปา/อบสมุนไพร + เส้นทางเดิน/ปั่น + จุดชมธรรมชาติ
  2. ป้าย/แผนที่ดิจิทัลแบบเรียลไทม์: รวมร้านที่ผ่านมาตรฐาน อัปเดตเมนูช่วงเวลาคิวคะแนนโภชนาการ ให้คนตัดสินใจได้เร็ว
  3. เทศกาลประจำฤดูกาล: ยกระดับมหกรรมครั้งนี้เป็นซีรีส์ 3–4 ไตรมาส เชื่อมกับฤดูกาลผลผลิต สร้าง “ปฏิทินสุขภาพเชียงราย”

เมืองสุขภาพ ไม่ใช่แค่วาทกรรม หากเป็น “งานระบบ”

สิ่งที่เชียงรายกำลังทำแตกต่างจากการประกาศวิสัยทัศน์ทั่วไป เพราะ เอามาตรฐานลงมือจริง เริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุด—“จานอาหาร”—แล้วค่อย ๆ สร้างเครือข่ายร้าน–ไร่–ผู้บริโภค และยกระดับไปสู่ แบรนด์เมือง ในที่สุด การมีตัวเลขชัดเจน (400/90/71) ช่วยยืนยันว่ากลไกเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงคำแถลงข่าว

และในคืนที่สวนตุงและโคมเต็มไปด้วยผู้คน การชิมที่มากกว่ารสชาติคือ “การชิมระบบ” ว่าหลังป้ายสวย ๆ มีมาตรฐานและการบ้านที่ทำมาจริงแค่ไหน เมื่อตอบคำถามนี้ได้ เชียงรายจึงเดินพ้น “คำขวัญ” และก้าวเข้าสู่ เมืองสุขภาพ ที่จับต้องได้

  • Outcome ระยะสั้น: ได้ชุดร้านต้นแบบ 71 ร้าน (จาก 90 ร้านที่ตรวจ) พร้อมป้ายมาตรฐาน ขยายผลสื่อสารกับประชาชนและนักท่องเที่ยว
  • Outcome ระยะกลาง: เชื่อมกลุ่มเกษตรกร Q/GAP กับครัวมาตรฐาน SAN และตั้ง “คลินิกโภชนาการ” ให้ร้านรักษามาตรฐานได้เอง
  • Outcome ระยะยาว: ยกระดับแบรนด์เมือง–รายได้ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–คุณภาพชีวิตประชาชน ด้วยแผนที่ร้านสุขภาพทั้งจังหวัดและเทศกาลตามฤดูกาล

คีย์เวิร์ดของเชียงรายในปีนี้จึงไม่ใช่ “อร่อย” อย่างเดียว แต่คือ “อร่อยและพิสูจน์ได้” บนมาตรฐานที่ชัด โปร่งใส และตรวจสอบได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

หยอดปุ๊บปลอดภัยปั๊บ! นายก อบจ.เชียงราย Kick off รณรงค์หยอดโปลิโอ เสริมภูมิคุ้มกันหมู่

เชียงราย “หยอดปุ๊บ ปลอดภัยปั๊บ” — อบจ.เชียงรายเปิดปฏิบัติการวัคซีนโปลิโอเชิงรุก 2 รอบ สกัดความเสี่ยงข้ามพรมแดน ย้ำบทบาทท้องถิ่นเป็นด่านหน้าคุ้มครองเด็กเล็ก

เชียงราย, 21 สิงหาคม 2568 — บ่ายวันทำงานกลางฤดูฝนที่ รพ.สต.บ้านดู่ เงียบสงบได้ถูกแทนที่ด้วยเสียงเรียกชื่อเด็ก ๆ ให้ขึ้นรับหยดวัคซีนทีละคน “หยอดปุ๊บ ปลอดภัยปั๊บ” ไม่ใช่เพียงสโลแกน แต่คือยุทธการป้องกันโรคร้ายที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้า “คิกออฟ” เมื่อ 20 สิงหาคม 2568 เพื่อยกระดับเกราะคุ้มกันโรคโปลิโอในเด็กเล็กอย่างเป็นรูปธรรม โดยมุ่งหวังสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ครอบคลุมทั้งเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี และเด็กต่างชาติในพื้นที่ชายแดนบางกลุ่มอายุต่ำกว่า 15 ปี ผ่านการรณรงค์ 2 รอบ (20 สิงหาคม และ 20 กันยายน 2568) ตามหลักเวชปฏิบัติที่เน้นการให้วัคซีนห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์

พิธีเปิดซึ่งมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้บริหารและเครือข่ายสาธารณสุขในพื้นที่ สะท้อนภาพการบูรณาการที่ลงมือทำจริง—ตั้งแต่งานให้ความรู้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลจังหวัด การเตรียมระบบขนส่งและเก็บรักษาวัคซีน (cold chain) ไปจนถึงการระดม อสม. เคาะประตูบ้านติดตามเด็กเป้าหมายให้มารับวัคซีนจนครบถ้วน

 “โปลิโอ” โรคเก่าในโลกใหม่

โปลิโอ ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อที่ทำให้เกิดความพิการถาวรได้มากที่สุด หากปล่อยให้ไวรัสลุกลามโดยไม่มีภูมิคุ้มกันรองรับ ข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ประมาณ 1 ใน 200 รายของผู้ติดเชื้อ จะเกิดอัมพาตถาวร และในบรรดาผู้ที่เป็นอัมพาต ราว 5–10% อาจเสียชีวิต เมื่อกล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต—ตัวเลขที่ชวนให้ตั้งคำถามว่า เราพร้อมแล้วหรือยังที่จะไม่ให้ความประมาทกลับมามีราคาแพงกับชีวิตเด็ก ๆ ของเราอีกครั้ง

ในเชิงภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการรับรอง “ปลอดโปลิโอ” เมื่อปี 2557 แสดงถึงความสำเร็จด้านสาธารณสุขของประเทศสมาชิก รวมถึงไทย ทว่าการรับรองดังกล่าวไม่ใช่ “ใบเบิกทางให้วางใจได้ตลอดกาล” หากครอบคลุมวัคซีนในเด็กเล็กลดลง หรือเกิดช่องโหว่บริการในพื้นที่เปราะบาง โปลิโอก็ยังสามารถหวนคืนในรูปของการระบาดได้ โดยเฉพาะผ่านกลไกที่เรียกว่า ไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ หรือ cVDPV ซึ่งพบได้ในชุมชนที่มีการรับวัคซีนไม่ทั่วถึงและการสุขาภิบาลอ่อนแอ WHO และเครือข่ายกำจัดโปลิโอ (GPEI) จึงเน้นย้ำให้ทุกประเทศ “ยืนระวัง” ด้วยการคงความครอบคลุมวัคซีนในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

ทำไม “เชียงราย” ต้องขยับก่อนภูมิศาสตร์ชายแดนและความเสี่ยงที่เดินทางเร็วกว่าเรา

เชียงราย คือด่านหน้าทางภูมิศาสตร์ ทั้งเชื่อมเมียนมาที่อำเภอแม่สาย และเชื่อมสปป.ลาวที่อำเภอเวียงแก่น ท่ามกลางการเดินทางข้ามแดนของแรงงาน–การค้า–การท่องเที่ยวที่คึกคัก ความเสี่ยงจากโรคติดต่อจึงเดินทางเร็วและไกลกว่าที่เราคิด ข้อมูลจากการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเมื่อ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุถึงการพบ ผู้ป่วยโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ (cVDPV1) ในเมียนมา แม้จุดตรวจพบจะห่างจากชายแดนไทยราว 270 กิโลเมตร แต่บทเรียนจากโรคติดเชื้ออุบัติใหม่บอกเราว่า “ระยะทางไม่ใช่ระยะเวลา”—หากรอให้พบผู้ป่วยฝั่งไทยก่อนจึงค่อยเริ่มฉีด ย่อมสายเกินไป การตัดสินใจของ อบจ. เชียงราย ที่เปิดปฏิบัติการวัคซีนจึงเป็นการชิงจังหวะ ปิดช่องโหว่ก่อนที่โรคจะเปิดเกมบุก

มุมหนึ่งของเวชปฏิบัติยังสนับสนุนการตัดสินใจเช่นนี้ มาตรการรับมือการระบาดโปลิโอ (outbreak response) ของ WHO/GPEI แนะนำให้ดำเนิน กิจกรรมสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน (SIAs) หลายรอบในช่วงเวลาใกล้กัน เพื่อดันความครอบคลุมให้สูงที่สุดโดยเร็ว—หลักคิดที่ “เวลา” คือวัสดุสิ้นเปลือง และ “ความเร็ว” คืออาวุธสำคัญของสาธารณสุขภาคสนาม

แผนปฏิบัติการ “2 รอบ 2 ระดับ” จากสถานบริการสู่ทุกครัวเรือน

จากคำชี้แจงของผู้บริหาร อบจ.เชียงราย การรณรงค์ถูกออกแบบให้ทำงาน สองระดับ ควบคู่กัน

  1. ระดับสถานบริการ — รพ.สต.และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติในสังกัด อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ “จุดบริการประจำ” ตามตาราง รอบที่ 1 วันที่ 20 สิงหาคม และ รอบที่ 2 วันที่ 20 กันยายน 2568 เพื่อให้เด็กเป้าหมายมารับ OPV (Oral Polio Vaccine) ครบตามเกณฑ์อย่างสะดวก โดยเชื่อมต่อการให้ความรู้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลจังหวัดสู่การปฏิบัติในระดับปฐมภูมิอย่างไร้รอยต่อ
  2. ระดับชุมชนอสม. ทำแผนเดินดอร์ทูดอร์ เก็บรายชื่อ ตรวจสอบสมุดวัคซีน ติดตามเด็กที่ “ตกหล่น” และจัดจุดบริการเคลื่อนที่ในชุมชนที่เข้าถึงยาก ภายใต้ระบบบันทึกข้อมูลหน้างาน เพื่อ “รู้ภาพจริง” รายวัน–รายสัปดาห์ ลดความเสี่ยงเด็กหลุดเป้า

แนวทาง “สองขยัก” ของเชียงรายสอดรับกับหลักสากลที่เน้น หลายรอบภายในช่วงสั้น ๆ และการเข้าถึงเด็กทุกคนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง—แกนกลางคือ “ครอบคลุมให้เร็ว ครบให้ไว” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ WHO ใช้นำการตอบโต้การระบาดในหลายประเทศ และย้ำเสมอว่าการเร่งรอบและปิดช่องว่างคือหัวใจของความสำเร็จ

วัคซีนที่ใช้ และเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์

OPV ที่ใช้ในแคมเปญลักษณะนี้เป็นวัคซีนชนิดหยอด ออกฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันทั้งระบบเลือดและเยื่อบุลำไส้ ทำให้ลดการแพร่กระจายของไวรัสในชุมชนได้ดี จึงเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการ “หยุดยั้งการแพร่เชื้อ” อย่างเร่งด่วน ขณะที่ IPV (ชนิดฉีด) ให้ภูมิคุ้มกันเด่นด้านป้องกันโรคในระดับบุคคล แต่มิได้ลดการขับไวรัสในลำไส้เทียบเท่า OPV การเลือกใช้ OPV ในแคมเปญเสริมเชิงรุกจึงสอดคล้องกับแนวทางของหลายประเทศและข้อแนะนำเชิงหลักการของหน่วยงานสาธารณสุขสากล โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงหรือชายแดนที่ต้อง ทำให้ภูมิคุ้มกันของชุมชนสูงขึ้นอย่างฉับไว

เราจะวัดความสำเร็จอย่างไร?

  • ครอบคลุมครบหรือไม่? — แคมเปญ SIAs ทั่วโลกตั้งเป้าครอบคลุม “สูงมาก” ในทุกชุมชน เป้าหมายเชิงปฏิบัติการคือ “เด็กทุกคนในกลุ่มอายุเป้าหมายต้องได้วัคซีน” มากกว่ามองเพียงค่าเฉลี่ยทั้งจังหวัด เพราะไวรัสต้องการ “ช่องว่างเล็ก ๆ” เพียงจุดเดียวก็เพียงพอให้เกิดคลัสเตอร์การแพร่เชื้อได้
  • เร็วพอหรือยัง? — การทำสองรอบห่างกันราว 4 สัปดาห์ ช่วยบูสต์ภูมิคุ้มกันให้แน่นขึ้น และเปิดโอกาส “เก็บตก” เด็กที่พลาดรอบแรกในรอบถัดไป หลักคิดนี้อยู่บนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาและบทเรียนการควบคุมโรคหลายทศวรรษ
  • สื่อสารถึงทุกครัวเรือนแล้วหรือยัง? — ในพื้นที่ชายแดนที่มีแรงงานเคลื่อนย้ายสูง การสื่อสารหลายภาษาและการใช้เครือข่ายชุมชน (ผู้นำท้องถิ่น โรงเรียน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก) คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ “รู้และมา” มากกว่า “รู้แต่ยังไม่มา”

บทบาทท้องถิ่น เมื่อ “ความปลอดภัยด้านสุขภาพ” เริ่มต้นที่อำเภอ–ตำบล–หมู่บ้าน

การที่ อบจ. เชียงราย ขยับเป็น “แม่งาน” ครั้งนี้ สะท้อนบทเรียนจากโรคระบาดใหญ่ที่ผ่านมาอย่างชัดเจนว่า ระบบสุขภาพที่แกร่งเริ่มต้นจากท้องถิ่น การระดมทรัพยากร ปรับระบบงาน และตัดสินใจแบบทันเวลาในระดับจังหวัด สามารถชิงจังหวะที่สำคัญกว่าการรอคำสั่งจากส่วนกลาง ภาพที่เกิดขึ้นใน รพ.สต.เล็ก ๆ วันคิกออฟจึงไม่ใช่ภาพพิธีการ แต่คือภาพของ ความพร้อมจริง”—บุคลากรชัด คนพร้อม วัคซีนพร้อม ระบบข้อมูลพร้อม

ด้านคลินิกและการสื่อสารความเสี่ยง ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์—ที่เข้ามาทำหน้าที่วิทยากร—ได้ถ่ายทอดสาระสำคัญที่ครอบครัวควรรู้ อาทิ ความปลอดภัยของวัคซีน OPV, อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้น้อยและมักเป็นเพียงชั่วคราว, วิธีดูแลหลังรับวัคซีน รวมถึงการย้ำว่าความเสี่ยงจากโรค สูงกว่าความเสี่ยงจากวัคซีนอย่างเทียบกันไม่ได้ ในบริบทสาธารณสุข—กรอบคิดที่ WHO และเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญยืนยันอย่างสม่ำเสมอในทุกเวทีวิชาการ

จาก “รายงานสถานการณ์” สู่ “สถาปนาความปกติใหม่” ด้านภูมิคุ้มกัน

สิ่งที่เชียงรายกำลังทำคือการส่งสัญญาณเชิงนโยบายไปพร้อมกันสองทิศทาง

  1. เชิงรับมือเหตุการณ์ (event-driven) — ปิดช่องโหว่ด้วยการฉีดเสริม 2 รอบตามปฏิทินเฉพาะกิจ เพื่อลดความเสี่ยงหากมีเชื้อเล็ดลอดมาจากภายนอก
  2. เชิงสร้างระบบ (system-driven) — ใช้โอกาสนี้ ทบทวนทะเบียนเด็กตกหล่น, ตรวจคุณภาพการบันทึกวัคซีน, อัปเดตช่องทางสื่อสารหลายภาษา, และฝึกซ้อมสายงานปฏิบัติการเคลื่อนที่ (mobile teams) ซึ่งทั้งหมดคือองค์ประกอบของ “ความปกติใหม่” ที่ควรยืนระยะในจังหวัดชายแดน

ในภาพใหญ่กว่านั้น โลกยังเดินหน้าแผน “กำจัดโปลิโอให้หมดไป” ตามยุทธศาสตร์ของ WHO/GPEI ปี 2022–2026 ซึ่งวางน้ำหนักทั้งการป้องกันไม่ให้โรคหวนกลับมา (prevent re-emergence) และการตอบโต้การระบาดอย่างเร็วและครอบคลุม (rapid, high-quality SIAs) ความเคลื่อนไหวในเชียงรายจึงอยู่ในจังหวะเดียวกับแนวโน้มสากล—ยึดหลักวิทยาศาสตร์ ใช้ความเร็ว และขยายความร่วมมือ I

สิ่งที่ครอบครัวควรรู้—และควรทำตอนนี้

  • ตรวจสมุดวัคซีน ของบุตรหลาน หากมีรอบที่ขาดหาย ให้ติดต่อ รพ.สต. หรือสถานบริการใกล้บ้าน
  • มารับวัคซีนตามนัดทั้งสองรอบ แม้เด็กจะเคยได้รับวัคซีนตามปกติมาแล้ว การรับ “วัคซีนเสริม” ในสถานการณ์เสี่ยงช่วยเติมภูมิให้แน่นขึ้นทั้งระดับบุคคลและชุมชน
  • หากมีข้อกังวล เรื่องอาการหลังรับวัคซีน ให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่—ส่วนใหญ่อาการเป็นเพียงชั่วคราว เช่น ไข้ต่ำ ๆ อาเจียนเล็กน้อย และหายเอง
  • ร่วมสื่อสาร–ชวนกันมา โดยเฉพาะครอบครัวแรงงานข้ามแดน ครัวเรือนที่ย้ายถิ่นบ่อย หรือบ้านที่มีภาษาต่างจากไทย

วัคซีนคือความไว้วางใจร่วมกัน

การรณรงค์ครั้งนี้ไม่ได้ตอกย้ำแค่ความพร้อมของเชียงรายในฐานะจังหวัดชายแดน แต่ยังย้ำว่า ความมั่นคงด้านสุขภาพ เป็น “งานร่วม” ของทุกคน—รัฐ ท้องถิ่น บุคลากรแพทย์ อสม. และครอบครัว ความสำเร็จของแคมเปญวัดจากจำนวนแขนเสื้อเด็กเล็กที่พับขึ้น รับหยดวัคซีนตามกำหนดครบถ้วน ยิ่งมาก โปลิโอยิ่งไม่มีที่ยืน

ประวัติศาสตร์เคยบอกเราว่า เราสามารถผลักโปลิโอจนพ้นทวีป ภูมิภาค และประเทศได้จริง—แต่ประวัติศาสตร์บทนั้นจะยืนยงได้ ก็ด้วยการไม่ปล่อยให้ความประมาทกลับมาเป็นรูรั่วบนกำแพงภูมิคุ้มกันของเราเอง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

  • ข้อมูลจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

อบจ.เชียงราย Kick off Telemedicine นำร่อง 5 อำเภอ ลดภาระเดินทางผู้ป่วย

อบจ.เชียงราย “Kick off Telemedicine” ตามนโยบาย ‘อยู่ไหนก็ใกล้หมอ–โฮงยาใกล้บ้าน Plus’ เปิดนำร่อง 5 อำเภอ เชื่อมหมอ–ผู้ป่วยระยะไกล ลดภาระเดินทาง ยกระดับความเท่าเทียมด้านสุขภาพ

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 — แผนที่จังหวัดเชียงรายดูแคบลงทันทีที่ปุ่ม “เชื่อมต่อ” บนจอแท็บเล็ตถูกแตะ ภาพแพทย์จากโรงพยาบาลแม่ข่ายปรากฏขึ้น พร้อมเสียงทักทายผู้ป่วยที่กำลังนั่งอยู่ใน “โฮงยาใกล้บ้าน” ณ รพ.สต.ปลายทาง การแพทย์ทางไกลหรือ Telemedicine ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดอีกต่อไป เมื่อ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้าเปิดโครงการ “Kick off Telemedicine ตามนโยบายอยู่ไหนก็ใกล้หมอ โฮงยาใกล้บ้าน Plus” อย่างเป็นทางการ ย้ำเป้าหมาย “เป็นธรรม–เข้าถึง–ต่อเนื่อง” ผ่านการบูรณาการภาคท้องถิ่นกับสาธารณสุขจังหวัด และเครือข่ายโรงพยาบาลแม่ข่ายในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดชายแดนเหนือสุดแดนสยาม

ทำไม “เชียงราย” จึงเหมาะเป็นสนามจริงของ Telemedicine

เชียงรายมีภูมิประเทศกว้างและหลากหลาย ระยะทางจากบ้านถึงโรงพยาบาลใหญ่สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังหรือผู้ป่วยติดบ้าน คือ “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ทั้งค่าเดินทาง เวลา และรายได้ที่หายไป ขณะเดียวกัน โครงสร้างดิจิทัลของสาธารณสุขจังหวัดเริ่มพร้อมมากขึ้น ทั้ง แพลตฟอร์มติดตามผู้ป่วย NCDs, ระบบอ้างอิงข้ามหน่วย (MOPH Refer) และ Health Station ที่กระจายถึงระดับชุมชน นี่คือเหตุผลเชิงระบบที่ทำให้ Telemedicine ในเชียงราย “มีโอกาสสำเร็จสูง” หากยึดมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยข้อมูล คลินิกอลโควอร์แนนซ์ และการชดเชยค่าบริการตามเกณฑ์ สปสช. สำหรับบริการผู้ป่วยนอกทางไกล (OP telemed)

พิธีเปิดและภาพรวมโครงการ “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ” เริ่มเดินจริง

พิธีเปิดจัดขึ้นที่ ที่ทำการ อบจ.เชียงราย โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธาน พร้อมผู้บริหารจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย) และโรงพยาบาลเครือข่ายเข้าร่วม ระดับปฏิบัติการทดลองเชื่อมต่อในพื้นที่นำร่อง ครอบคลุม 5 อำเภอแรก ได้แก่ แม่จัน เมืองเชียงราย เทิง แม่ลาว และแม่สาย ซึ่งเป็นโซนที่มีทั้งเขตเมือง–กึ่งเมือง–ภูเขา เพื่อทดสอบการใช้งานในบริบทที่ต่างกัน ก่อนขยายผลสู่พื้นที่ที่เหลือทั้งจังหวัดตามแผนในไตรมาสถัดไป ข้อมูลเชิงนโยบายของ อบจ. ระบุชัดว่า “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ (โฮงยาใกล้บ้าน Plus)” เป็น 1 ใน 7 เรือธงของแผนพัฒนาจังหวัดปี 2568–2569 ที่นายก อบจ.ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี 2568 และมีการสื่อสารสาธารณะต่อเนื่องผ่านช่องทางทางการของ อบจ.

นอกจากฝั่งท้องถิ่น ฝ่ายสาธารณสุขก็เดินเครื่องควบคู่ สสจ.เชียงราย จัดประชุมคณะทำงาน Telehealth/Telemedicine หลายครั้งในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568 เพื่อวางระบบ สนับสนุนบุคลากร และเคลียร์ประเด็นมาตรฐานข้อมูล–ความปลอดภัยไซเบอร์ โดยย้ำโจทย์ “ลดเหลื่อมล้ำ–เข้าถึงฉุกเฉิน–ต่อเนื่องการรักษา” ขณะอ้างอิงเกณฑ์และแนวทางของกรมการแพทย์สำหรับบริการแพทย์ทางไกลในคลินิกโรคเรื้อรังเป็นหลักฐานวิชาการรองรับการปฏิบัติ

จาก “แนวคิด” สู่ “ระบบ” ฐานข้อมูลจังหวัดที่พร้อมกว่าเดิม

สิ่งที่ทำให้เชียงราย “พร้อมกว่าที่คิด” คือข้อมูลผลการดำเนินงานด้าน Digital Health ที่สะท้อน การใช้งาน Telehealth–Telemed สะสมกว่า 9,800 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2568 (ข้อมูล ณ ไตรมาสกลางปี) และมีการใช้ Health Rider เพื่อรับ–ส่งยา/ดูแลต่อเนื่องกว่า 14,800 ครั้ง ขณะเดียวกัน เอกสารติดตามงานของจังหวัดระบุว่า รพ.สต.ในสังกัด อบจ. มีแผนพัฒนาบริการ Telemedicine เชื่อม โรงพยาบาลแม่ข่าย โดยติดตั้ง Health Station แล้ว 77 ชุด ครอบคลุมทั้ง 18 อำเภอ ซึ่งเป็น “ฮาร์ดแวร์–ซอฟต์แวร์ชุมชน” สำคัญให้ Telemedicine เดินได้จริงในระดับหมู่บ้าน ไม่ใช่แค่โรงพยาบาล

นอกจากนี้ ย้อนดูการประกาศสาธารณะช่วงปลายปี 2567 ยังพบว่า อบจ.เชียงรายเคยเปิดบริการแพทย์ทางไกลเชื่อม รพ.สต. 75 แห่ง เพื่อให้ผู้ป่วยห่างไกลวินิจฉัยกับแพทย์โดยตรง โครงการปีที่แล้วจึงทำหน้าที่เป็น “รุ่นทดลอง” ที่ช่วยไล่ปัญหาหน้างาน ก่อนยกระดับเป็น “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ในปีนี้ ซึ่งเป็นกลไก “ต่อยอดมากกว่าเริ่มใหม่” อย่างชัดเจน

ณ จุดหมายสำคัญ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง–ติดบ้านคือกลุ่มได้ประโยชน์ทันที

การคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเริ่มจาก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ควบคุมไม่ได้ และ ผู้ป่วยติดบ้าน–ติดเตียง เพราะเป็นกลุ่มที่ “เดินทางยาก–เสี่ยงทรุด–ค่าใช้จ่ายสูง” ในเอกสารกำกับติดตามของเขตสุขภาพ ระบุว่าการให้บริการ Telemedicine สำหรับคลินิก NCDs และคลินิกเฉพาะทาง เช่น ผิวหนัง หรือ สุขภาพจิต ได้เริ่มปฏิบัติแล้วในบางเครือข่าย ขณะที่ โรงพยาบาลแม่สาย รายงานผลการให้บริการ Telemedicine ในคลินิก NCDs ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 และยกระดับงานตามเป้าหมายตรวจราชการปี 2568 สะท้อนความต่อเนื่องของระบบจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน

ภาพปลายทางที่คาดหวังคือ ผู้ป่วย NCDs จะรับ การติดตามอาการ–ปรับยา–ให้คำปรึกษา ผ่านจุดบริการใกล้บ้าน ส่งผลให้โรงพยาบาลใหญ่ ลดความแออัด และทีมชุมชน–อสม.ทำงานได้ แม่นยำ ยิ่งขึ้น เพราะแพทย์เห็นผลตรวจพื้นฐานแบบเรียลไทม์ และสั่งการพยาบาล–นักวิชาชีพปลายทางได้ทันที (ตามแนวทาง DMS Telemedicine) นี่คือ “คลินิกเสมือน” ที่ต่อเข้ากับชีวิตจริงของครอบครัวชนบทบนภูเขาและชายแดน

จากห้องประชุมสู่ห้องนั่งเล่น” กรณีใช้งานและเวิร์กโฟลว์

  • ก่อนพบแพทย์: เจ้าหน้าที่ รพ.สต. ชั่งน้ำหนักวัดความดันเจาะปลายนิ้วตรวจน้ำตาล (ถ้ามีคำสั่ง) อัปเดตข้อมูลเข้าแพลตฟอร์ม
  • ขณะพบแพทย์ทางไกล: จอภาพขึ้นพร้อมกันสามฝ่ายคนไข้, ทีม รพ.สต., และแพทย์โรงพยาบาลแม่ข่ายเพื่อซักประวัติ ปรับยา ให้คำแนะนำ
  • หลังพบแพทย์: ระบบเชื่อมต่อ รับยา–ส่งยา ผ่าน Health Rider/ช่องทางที่กำหนด ลดรอบเดินทางซ้ำของครอบครัว
  • กรณีฉุกเฉิน: มีทางลัดเรียก รถพยาบาล–1669 และส่งต่อเข้าโรงพยาบาล เมื่ออาการไม่ปลอดภัยตามเกณฑ์

เวิร์กโฟลว์นี้ผูกกับ เกณฑ์เบิกจ่ายบริการทางไกลของ สปสช. (OP telemed) เพื่อให้หน่วยบริการชุมชนและโรงพยาบาลสามารถ เคลมค่าบริการได้ถูกต้อง ลดปัญหา “ทำได้แต่เบิกไม่ได้” ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคในอดีต การขับเคลื่อนของเชียงรายจึง “ล้มช่องว่างเรื่องงบประมาณ” ไปพร้อมกับ “ล้มช่องว่างระยะทาง”

ช่วงทดลองภาคสนาม: ทำไมต้อง “แม่จัน–แม่สาย–เมือง–เทิง–แม่ลาว”

การเลือก 5 อำเภอ นอกจากจะครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่แล้ว ยังทดสอบ คุณภาพสัญญาณภูมิประเทศการเดินทาง ที่ต่างกัน เช่น พื้นที่ชายแดน–ภูเขาอย่างแม่สาย/แม่จัน กับพื้นที่ราบและเมืองอย่างอำเภอเมืองเชียงราย/แม่ลาว และโซนกึ่งภูเขาอย่างเทิง ทำให้ทีมเทคนิคสามารถ ไล่ปัญหาเชิงระบบ ได้ครบตั้งแต่สัปดาห์แรกของการใช้งานจริง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่พบได้จากการดำเนินการของ สสจ.เชียงราย ตลอดปีที่ผ่านมาในการขยายระบบดิจิทัลด้านสุขภาพไปพร้อม Telemedicine (เช่นการเชื่อมระบบติดตาม NCDs และการใช้ Health Platform อื่นของกระทรวง)

เสียงจากผู้บริหารเป้าหมายคือ “เข้าถึง–ยั่งยืน–ตรวจสอบได้”

บนเวทีเปิดตัว นายก อบจ.เชียงราย ย้ำแก่นโครงการว่า Telemedicine ภายใต้นโยบาย “อยู่ไหนก็ใกล้หมอ–โฮงยาใกล้บ้าน Plus” จะเน้น เข้าถึงบริการที่จำเป็น, ลดเหลื่อมล้ำพื้นที่, และ สร้างระบบติดตามผลที่ตรวจสอบได้ ผ่านแดชบอร์ดระดับจังหวัด พร้อมย้ำว่าการทำงานร่วมกับ สสจ.เชียงราย–โรงพยาบาลแม่ข่าย–รพ.สต. จะเดินหน้าอย่างเป็นระบบเพื่อขยายผลตลอดไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ทั้งนี้ แนวทางความร่วมมือระหว่าง อบจ. และ สสจ.ถูกสื่อสารต่อเนื่องในเพจทางการของทั้งสองหน่วย และมีการประชุมคณะทำงานแบบกำกับติดตามเป็นระยะในเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2568

ตัวเลขที่พูดแทน” หลักฐานว่าระบบกำลังเดิน

  • Telehealth–Telemed ทั้งจังหวัด: ดำเนินการแล้ว 9,898 ครั้ง (สะสมปีงบ 2568 ขณะรายงาน)
  • Health Rider ส่งยา–บริการต่อเนื่อง: 14,877 ครั้ง
  • Health Station: ติดตั้งแล้ว 77 ชุด ครอบคลุม 18 อำเภอ
  • สถานพยาบาลให้บริการ Telemedicine: โรงพยาบาลในสังกัดจังหวัด 17/18 แห่ง ผ่านเกณฑ์ของเขตสุขภาพ (94.44%)

ตัวเลขเหล่านี้ปรากฏในสไลด์ตรวจราชการของจังหวัดและเขตสุขภาพ ซึ่งสะท้อน ความพร้อมเชิงระบบ และการ นำไปใช้จริง ไม่ใช่แค่พิธีเปิดสวยงาม ตัวเลขดังกล่าวยังทำหน้าที่ “ฐานเปรียบเทียบ” ให้โครงการปี 2568–2569 วัดผลได้อย่างโปร่งใส

ความท้าทายและทางแก้ ไม่ใช่แค่วิดีโอคอล แต่คือ “งานระบบ”

  1. สัญญาณ–ไฟฟ้า–อุปกรณ์: บางหมู่บ้านยังเผชิญปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ต อบจ.และ สสจ.ต้องจัด แผนสำรอง เช่น อุปกรณ์สื่อสารพกพา/เน็ตสำรอง–ไฟสำรอง เพื่อไม่ให้การรักษาสะดุดในช่วงเวลาสำคัญ (เอกสารตรวจราชการจังหวัดมีแผนด้าน Cyber Security และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรองรับ)
  2. PDPA–ความปลอดภัยข้อมูลสุขภาพ: จำเป็นต้องแยกสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล กำหนดผู้ดูแลระบบ และทดสอบ ความทนทานทางไซเบอร์ อย่างสม่ำเสมอ ตามข้อกำหนดของกระทรวงและแนวทางกรมการแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงข้อมูลผู้ป่วยรั่วไหล
  3. เกณฑ์คลินิกอล–ความต่อเนื่อง: เวชปฏิบัติต้องยืนบน แนวทางคลินิก Telemedicine ชัดเจน เช่น เกณฑ์ NCDs, เงื่อนไขที่ต้องนัดพบแพทย์ตัวจริง, ระบบส่งต่อฉุกเฉิน และ การลงรหัส–เคลม OP telemed ให้ถูกต้องตาม สปสช. เพื่อกำกับคุณภาพและยั่งยืนทางการเงิน
  4. การสื่อสารกับชุมชน: ให้ประชาชนเข้าใจว่า Telemedicine ไม่ใช่การลดคุณภาพบริการ แต่คือการเพิ่มทางเลือก–ลดภาระ ต้องมี สื่อสารอธิบายเป็นภาษาชาวบ้าน ผ่าน อสม.–ท้องถิ่น และทำ “Mother Class เวอร์ชันสุขภาพผู้ใหญ่” สำหรับดูแลตนเอง–สังเกตอาการก่อนเข้า Telemedicine

ทางไปข้างหน้า: จาก 5 อำเภอ สู่ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ทั้งจังหวัด

เมื่อพิจารณาจากฐานระบบที่ทำไว้ตลอดปี 2567–2568 ตั้งแต่โครงการ Telemedicine ใน รพ.สต. 75 แห่ง ไปจนถึงการติดตั้ง Health Station 77 จุด และตัวเลขการใช้งานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การขยายผลจากนำร่อง 5 อำเภอสู่ทั้งจังหวัด “มีความเป็นไปได้สูง” หากคงจังหวะการประชุมคณะทำงาน–ประเมินผล–แก้จุดอ่อนทุก 2–4 สัปดาห์ พร้อมทำงานเชื่อม รพ.สต. ในความรับผิดชอบของ อบจ. กับ โรงพยาบาลแม่ข่าย ให้แน่นแฟ้น ซึ่งในแผนของจังหวัดก็วางไว้ชัดเจนแล้วว่า รพ.สต. อบจ. จะเชื่อม Telemedicine ตรงกับแม่ข่ายในทุกอำเภอ ตามทรัพยากรที่มี

สาระสำคัญ: โครงการนี้ไม่ใช่แค่ “คอลกับหมอ” แต่คือ “ระบบบริการใหม่” ที่เอื้อให้คนเชียงราย เจอหมอถูกคน ในเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ต้องแบกภาระระยะทาง และทำให้โรงพยาบาลแม่ข่ายจัดลำดับความสำคัญผู้ป่วยได้ดีขึ้น

โมเดลเชียงรายใช้ได้กับจังหวัดอื่นอย่างไร

  1. เริ่มจากงานเก่า–ต่อเป็นงานใหม่: ใช้ผลลัพธ์ปีที่แล้วเป็นฐาน ตั้ง KPI ชัดเจนจำนวนคอนซัลต์, ระยะรอคอย, สัดส่วนผู้ป่วยฉุกเฉินถูกส่งต่อทันเวลา
  2. วางสถาปัตยกรรมข้อมูลเดียวกันทั้งจังหวัด: เชื่อม MOPH Refer–Health Rider–Telemed และแดชบอร์ดเดียวกัน ลดข้อมูลซ้ำซ้อน
  3. ทำกรอบงบประมาณ–เคลม สปสช. ตั้งแต่วันแรก: ให้หน่วยบริการ “อยู่รอดขยายได้”
  4. ลงทุนในคน: แพทย์–พยาบาล–เจ้าหน้าที่ รพ.สต.–อสม. ต้องได้ คู่มือปฏิบัติ และ ซ้อมเวิร์กโฟลว์ รายเดือน
  5. ประเมินและสื่อสารสาธารณะ: เปิดเผย ตัวชี้วัดรายอำเภอ เพื่อสร้างแรงสนับสนุนจากประชาชนท้องถิ่น

เชียงรายกำลังพิสูจน์ว่า เมืองชายแดนภูเขาก็ เป็นเมืองสุขภาพดิจิทัล ได้ หากทุกฟันเฟืองหมุนพร้อมกันหน่วยท้องถิ่นใส่ทรัพยากรสาธารณสุขใส่ระบบโรงพยาบาลใส่มาตรฐานชุมชนใส่การมีส่วนร่วม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายรุกฉีดวัคซีนโปลิโอพื้นที่ชายแดน หลังเมียนมาพบเชื้อกลายพันธุ์ ปิดประตูความเสี่ยง

เชียงรายรุกฉีดวัคซีนโปลิโอพื้นที่ชายแดน หลังเมียนมาพบเชื้อกลายพันธุ์ปิดประตูความเสี่ยงก่อนฤดูการเดินทางไฮซีซัน

เชียงราย,13 สิงหาคม 2568 – ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงรายคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดประชุมด่วน โดยมี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน เพื่อติดตามสถานการณ์โรคโปลิโอที่ฝั่งเมียนมาและกำหนดมาตรการเชิงรุกฝั่งไทย สาระสำคัญคือ “ยืนยัน” แผนรณรงค์ ให้ OPV เสริม 2 รอบ ในพื้นที่ชายแดนพื้นที่ครอบคลุมวัคซีนต่ำและจุดที่มีการเคลื่อนย้ายประชากรสูง โดย

  • รอบที่ 1: 20 สิงหาคม 2568
  • รอบที่ 2: 24 กันยายน 2568

กลุ่มเป้าหมายคือ เด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี และ เด็กต่างชาติอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่อาศัยในแนวชายแดน ครอบคลุม เชียงราย–เชียงใหม่–แม่ฮ่องสอน เพื่อหยุดยั้งโอกาสแพร่เชื้อ หากมีการนำเข้ามาจริงในช่วงฤดูท่องเที่ยวที่กำลังใกล้เข้ามา

หมายเหตุ: รายละเอียดข้างต้นอ้างอิงจากการแถลงของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย (13 ส.ค. 2568) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

cVDPV1 คืออะไร ทำไม “ต้องรีบ” แม้ไทยปลอดโปลิโอมานาน

หลายคนสงสัยถ้าไทยปลอดโปลิโอแล้ว ทำไมยังต้องฉีดซ้ำ? คำตอบอยู่ที่พลวัตของไวรัสและภูมิคุ้มกันชุมชน

  1. โปลิโอและความรุนแรง: โปลิโอส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้วไม่แสดงอาการ แต่ ประมาณ 1 ใน 200 รายอาจเกิดอัมพาตถาวร และในบางกรณีถึงชีวิต องค์การอนามัยโลกย้ำว่า “ภูมิคุ้มกันครอบคลุมสูงทั่วชุมชน” คือปราการสำคัญที่สุดในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสชนิดนี้ ซึ่งติดต่อผ่าน ทางอุจจาระ–ปาก จึงแพร่เร็วในพื้นที่แออัด สุขาภิบาลจำกัด หรือมีการเคลื่อนย้ายเข้าออกจำนวนมาก
  2. cVDPV คืออะไร: cVDPV ย่อมาจาก “circulating vaccine-derived poliovirus” คือไวรัสโปลิโอที่กลายพันธุ์ย้อนกลับไปสู่สภาพก่อโรคและสามารถแพร่ระบาดได้ในชุมชนที่ ภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ได้หมายความว่าวัคซีน “อันตราย” แต่สะท้อนปัญหา “ช่องว่างความครอบคลุมวัคซีน” หากปล่อยให้มีเด็กตกหล่นจำนวนมาก เชื้อจะมีพื้นที่หมุนเวียนและวิวัฒน์จนก่อปัญหาได้ WHO และ GPEI อธิบายกลไกนี้ไว้อย่างเป็นระบบและใช้เป็นฐานคิดหลักของยุทธศาสตร์กำจัดโปลิโอทั่วโลก
  3. ภาพรวมโลกและกรอบฉุกเฉิน: นับถึงกลางปี 2025 คณะกรรมการฉุกเฉินภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) ของ WHO รายงานว่า ยังมีผู้ป่วยและการตรวจพบเชื้อทั้ง WPV1 และ cVDPV ในหลายประเทศ จึงประกาศต่ออายุสถานะ PHEIC ต่อไป และย้ำว่าความเสี่ยงของ cVDPV ขับเคลื่อนด้วย “เด็กตกหล่น–เข้าถึงยาก–ย้ายถิ่น–พื้นที่ไม่มั่นคง” เป็นสำคัญ แม้ในปี 2025 จะไม่พบ cVDPV1 รายใหม่ ณ วันที่รายงาน แต่ปี 2024 โลกยังพบ cVDPV1 รวม 11 ราย
  4. บริบทภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้าน: ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมไทย) รับรองปลอดโปลิโอปี 2557 แต่ เมียนมาเคยมีการระบาด cVDPV1 ในอดีตและยังเป็นพื้นที่เปราะบางด้านสาธารณสุข การที่เชียงรายอยู่แนวชายแดนจึงต้องไม่ประมาทกับความเสี่ยงเชิงภูมิศาสตร์และการเดินทางของผู้คนซึ่งยากต่อการควบคุม

ทำไม “ต้องเป็น OPV” และทำไม “ต้อง 2 รอบ”

  • เหตุผลด้านภูมิคุ้มกัน: กรณีรับมือการระบาดในพื้นที่เสี่ยง WHO/GPEI แนะนำให้ใช้ OPV เพราะสร้าง ภูมิคุ้มกันที่ลำไส้ ได้ดี ช่วยหยุดการขับไวรัสทางอุจจาระ–ลดการแพร่ในชุมชน ซึ่งเป็น “หัวใจ” ของการตัดวงจรระบาด ต่างจาก IPV ที่เด่นด้านภูมิคุ้มกันเลือด ป้องกันอาการรุนแรง แต่หยุดการแพร่ในลำไส้สู้ OPV ในสถานการณ์ระบาดไม่ได้
  • เหตุผลด้านจำนวนรอบ: เอกสาร SOP ของ WHO/GPEI สำหรับการตอบสนองการระบาดเน้น การฉีดอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องอย่างน้อย 2 รอบ ห่างกันราว 4 สัปดาห์ เพื่อยกระดับภูมิในชุมชนให้สูงพออย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับไทม์ไลน์รอบ 20 ส.ค. และ 24 ก.ย. ของเชียงรายในครั้งนี้

ไทยกับตารางวัคซีนตามปกติเสริม “ระบบประจำ” ด้วย “ปฏิบัติการเฉพาะกิจ”

ประเทศไทยมีแผนวัคซีนพื้นฐานที่ปรับตามหลักฐานใหม่ต่อเนื่อง โดยเพิ่ม IPV 2 เข็ม เป็นมาตรฐาน เพื่อเสริมความปลอดภัยด้านอาการรุนแรง และยัง คงบทบาท OPV ในปฏิบัติการเฉพาะกิจ เสริม/SIA เมื่อมีความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่–ช่วงเวลา แนวทางนี้ตรงกับคำอธิบายเชิงนโยบายของ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และการสื่อสารจาก กรมควบคุมโรค ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ปลอดโปลิโอถาวรของไทย

ภาพรวมโรคติดต่ออื่นในเชียงรายเสียงเตือนจากข้อมูลจริง

นอกจากโปลิโอ ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดยังสรุปสถานการณ์โรคเด่นในพื้นที่ (อัปเดต 10 ส.ค. 2568) ระบุว่า

  • ไข้เลือดออก ผู้ป่วยสะสม 953 ราย (สูงใน อ.ป่าแดด เวียงชัย เวียงป่าเป้า เมือง แม่สาย)
  • โควิด-19 สะสม 4,701 ราย (สูงใน อ.ป่าแดด แม่ลาว เมือง พาน เวียงชัย)
  • ไข้หวัดใหญ่ สะสม 9,241 ราย (สูงใน อ.แม่แดด* แม่จัน แม่ลาว เวียงชัย เมือง)
  • อาหารเป็นพิษ สะสม 2,291 ราย (สูงใน อ.แม่สรวย เทิง เชียงแสน พญาเม็งราย เมือง)
  • โรคฉี่หนู สะสม 151 ราย (สูงใน อ.แม่ฟ้าหลวง แม่สรวย เวียงเชียงรุ้ง ดอยหลวง ป่าแดด)
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สะสม 1,979 ราย แนวโน้มเพิ่ม (สูงใน อ.เมือง เวียงชัย แม่สรวย เวียงเชียงรุ้ง ป่าแดด)

*หมายเหตุ: ชื่ออำเภอ “แม่แดด” ไม่มีในเชียงรายในทางปกครอง อาจหมายถึงหน่วยบริการหรือพื้นที่สำรวจเฉพาะกิจตามนิยามทางระบาดวิทยา

ภาพรวมนี้สะท้อนว่าระบบสาธารณสุขเชียงราย ทำงานหลายสมรภูมิพร้อมกัน การรณรงค์ OPV เสริมจึงต้อง “เกาะไปกับระบบเดิม”ตั้งจุดบริการที่ รพ.สต., โรงเรียน, จุดผ่านแดน, คลินิกชุมชน และทำงานกับ อสม.–ผู้นำชุมชน–ด่านควบคุมโรค ให้เข้าถึงครัวเรือนที่เด็กตกหล่นมากที่สุด

บทเรียนจากชายแดนลอจิสติกส์การสื่อสารความไว้วางใจ

จุดเสี่ยงจริง ไม่ได้อยู่แค่ “แนวเส้นเขตแดน” แต่อยู่ใน ชุมชนเคลื่อนย้าย เช่น แคมป์คนงาน การค้า–ท่องเที่ยวชายแดน ตลาดนัด และโรงเรียนที่มีเด็กข้ามแดน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จึงต้องมี “ทะเบียนเด็กเสี่ยง” ที่อัปเดตตลอดเวลา และเชื่อมกับข้อมูลโรงเรียน–ด่านควบคุมโรค–หน่วยงานปกครองท้องถิ่น

ด้านการสื่อสาร สิ่งสำคัญคือ ภาษาที่ชุมชนเข้าใจได้จริง ไทย, ภาษาชนเผ่า, พม่าพร้อมตอบข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนอย่างตรงไปตรงมา โดยใช้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ของ WHO/GPEI ซึ่งย้ำชัดว่าความเสี่ยง cVDPV เกิดจาก เด็กไม่ได้รับวัคซีนจำนวนมาก” ไม่ใช่จาก “วัคซีนที่มีปัญหา” การเพิ่มความครอบคลุมวัคซีนคือคำตอบเดียวที่ปิดความเสี่ยงนี้ได้อย่างยั่งยืน

มองให้ไกลกว่าการฉีด ผลลัพธ์ต่อครัวเรือนชุมชนเศรษฐกิจ

  1. ครัวเรือน: ลดความเสี่ยง “อัมพาตถาวร” ที่เปลี่ยนชีวิตเด็กและครอบครัวทั้งชีวิต ต้นทุนการดูแลระยะยาวลดลงอย่างประเมินค่าไม่ได้
  2. ชุมชน: ภูมิคุ้มกันหมู่สูงขึ้น ลดความกังวลข่าวลือความตื่นตระหนก เมื่อมีการพบเหตุเตือนบริเวณชายแดน
  3. เศรษฐกิจพื้นที่ท่องเที่ยว: เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางฤดูหนาว หากมีข่าวเหตุระบาดฉับพลันจะกระทบความเชื่อมั่นทันที การรณรงค์เชิงรุกส่งสัญญาณว่าระบบสาธารณสุข ทันเกมพร้อมรับมือ” สอดคล้องกับกรอบ PHEIC ของ WHO ที่เน้นการป้องกันการแพร่ข้ามพรมแดนเป็นหัวใจ

สิ่งที่ประชาชนควรทำตอนนี้

  • พ่อแม่ผู้ปกครอง:
    • ตรวจ สมุดวัคซีน ของบุตรหลาน ถ้าอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย ให้พามารับ OPV เสริมทั้ง 2 รอบ ตามวันนัด
    • หากลูกได้ IPV ครบ ตามตารางปกติแล้ว ยังควรรับ OPV เสริม ในพื้นที่เสี่ยงตามประกาศ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันที่ลำไส้  
  • ครู–โรงเรียน–ศูนย์เด็กเล็ก: จัดทำรายชื่อเด็กตกหล่น ประสาน รพ.สต./อสม. นำทีมฉีดเชิงรุกในสถานศึกษา
  • ผู้ประกอบการ–แรงงานเคลื่อนย้าย: สนับสนุนวัน–เวลา ให้ครอบครัวพาเด็กไปรับวัคซีน และสื่อสารข้อมูลหลายภาษาในสถานประกอบการ
  • ชุมชน: เฝ้าระวังสุขอนามัยพื้นฐานห้องน้ำสะอาด ล้างมือ ส่วนน้ำดื่มอาหารต้องผ่านการปรุงสุก

คำถามชวนคิด “สองรอบพอไหมยั่งยืนจริงหรือ”

ในเชิงเทคนิค การทำ SIA 2 รอบ เป็น “ขั้นต่ำจำเป็น” ให้ภูมิชุมชนดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หากบริเวณชายแดนยังมีการเคลื่อนย้ายสูงและพบสัญญาณความเสี่ยงเพิ่มเติม หน่วยงานสาธารณสุขสามารถ ขยายรอบขยายพื้นที่ ได้ตามหลักฐานจริง ณ เวลาเกิดเหตุ (evidence-based) ตามคู่มือรับมือการระบาดของ WHO/GPEI ซึ่งเน้น ความเร็วความครอบคลุมการติดตามคุณภาพหลังจบแต่ละรอบ เป็นตัวชี้วัดสำคัญ

นอกเหนือจากนั้น “ความยั่งยืน” ต้องพึ่ง ระบบวัคซีนประจำ ที่ เก็บตกเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กไร้เอกสาร–ย้ายถิ่น–อยู่ไกลบริการ รวมถึง ระบบสื่อสารความเสี่ยง ที่ลดความลังเลวัคซีน (vaccine hesitancy) ด้วยข้อมูลโปร่งใส เข้าใจง่าย และ การร่วมมือข้ามหน่วยงาน ด่านควบคุมโรค–พื้นที่การศึกษา–ท้องถิ่น–ภาคเอกชน จึงจะป้องกันปัญหา cVDPV ได้อย่างถาวร

ไทม์ไลน์–พื้นที่–กลุ่มเป้าหมาย

  • พื้นที่: แนวชายแดนและพื้นที่คุ้มครองต่ำใน เชียงราย–เชียงใหม่–แม่ฮ่องสอน
  • กลุ่มเป้าหมาย:
    • เด็กไทย อายุ < 5 ปี
    • เด็กต่างชาติ อายุ < 15 ปี ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
  • วัคซีน: OPV เสริม (ชนิดกิน) ตามมาตรฐานการตอบสนองการระบาด
  • กำหนดการ:
    • รอบ 1 – 20 ส.ค. 2568
    • รอบ 2 – 24 ก.ย. 2568
  • หน่วยปฏิบัติ: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด–อำเภอ, รพ.สต., โรงพยาบาลเครือข่าย, อสม., ด่านควบคุมโรค

ปิดประตูความเสี่ยงด้วย “ความพร้อม–ความครอบคลุม–ความร่วมมือ”

เชียงรายกำลังทำในสิ่งที่ระบบสาธารณสุขสมัยใหม่เรียกว่า การป้องกันก่อนเกิดเหตุ”ฉีด OPV เสริมแบบเจาะจงพื้นที่–ช่วงเวลา ตามกรอบ WHO/GPEI เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชนชายแดนให้ “สูงพอและเร็วพอ” ทันก่อนฤดูกาลท่องเที่ยวและการเคลื่อนย้ายใหญ่ปลายปี

ในมุมของประชาชนทั่วไป สิ่งนี้คือ ประกันความเสี่ยงระดับจังหวัด ที่ต้นทุนต่ำกว่าแต่คุ้มค่ากว่าการรับเคราะห์จากเหตุระบาดฉับพลันในภายหลัง และในระยะยาว หากเราร่วมกัน รักษาความครอบคลุมวัคซีนพื้นฐานให้สูงลดเด็กตกหล่น เชียงรายก็จะไม่เพียงรักษาสถานะความปลอดภัยของตนเอง แต่ยังทำหน้าที่เป็น “แนวกันชน” สำคัญของประเทศ ในการป้องกันการนำเชื้อเข้าจากต่างแดนตามเจตนารมณ์ PHEIC ของ WHO ได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO), Poliomyelitis – Fact sheet (อธิบายโรค เส้นทางการแพร่เชื้อ ความเสี่ยงอัมพาต และหลักการควบคุม) World Health Organization
  • WHO & Global Polio Eradication Initiative (GPEI), Outbreak Response SOP / แนวทางการรับมือการระบาด (เหตุผลการใช้ OPV ในการ SIA หลายรอบเพื่อหยุดการแพร่ในลำไส้) CDC
  • WHO – IHR Emergency Committee, Statement of the Forty-second meeting on the international spread of poliovirus (สถานะ PHEIC และภาพรวมตัวเลข WPV1/cVDPV ในปี 2024–2025) World Health Organization
  • WHO South-East Asia Region, เอกสารสื่อสาร Polio-free certification of the Region (2014) (กรอบภูมิภาคปลอดโปลิโอและบริบทประวัติศาสตร์) World Health Organization
  • Disease Outbreak News – WHO, Circulating vaccine-derived poliovirus type 1 – Myanmar (2019) (หลักฐานเชิงประวัติว่าพื้นที่เมียนมาเคยพบ cVDPV1 สะท้อนความเปราะบางทางภูมิคุ้มกัน)
  • สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (NVI), นโยบายเพิ่มเข็มวัคซีนโปลิโอชนิดฉีด (IPV) และบทบาทของวัคซีนในระบบไทย (อ้างเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ IPV/OPV ในเชิงนโยบาย)
  • ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ/สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย (บทความวิชาการเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันจาก OPV เทียบ IPV ในบริบทการหยุดยั้งการแพร่เชื้อทางลำไส้) GPEI
  • CIDRAP–มหาวิทยาลัยมินนิโซตา, Polio this week: global update based on GPEI (ภาพรวมแนวโน้มทั่วโลกและกรอบการเฝ้าระวังล่าสุด) World Health Organization
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

“โฮงยาใกล้บ้าน Plus” สู่สุขภาพดี! อบจ.เชียงรายนำร่อง HPV DNA Test ทั่วจังหวัด

อบจ.เชียงราย Kick off! “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” รุกตรวจ HPV DNA Test คัดกรองมะเร็งปากมดลูกสตรีเชียงราย หวังลดอัตราการเสียชีวิต

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – อบจ.เชียงรายขับเคลื่อน “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ต้นแบบสุขภาพชุมชนสตรี ในโลกยุคใหม่ที่ความเท่าเทียมและการเข้าถึงบริการสุขภาพถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้ประกาศก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้หญิง ด้วยการเดินหน้าโครงการ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ภายใต้นโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” ผ่านการ Kick off กิจกรรมตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA Test ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงที่สุดในปัจจุบัน

กิจกรรม Kick off ดังกล่าวจัดขึ้นที่ห้องประชุมธรรมรับอรุณ อบจ.เชียงราย และผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อให้ครอบคลุมทั้ง 211 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั่วทั้งจังหวัด โดยมีนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมนายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขกล่าวรายงาน ขณะที่หัวหน้าส่วนราชการ อสม. และเจ้าหน้าที่ รพ.สต. กว่า 10,000 คน เข้าร่วมพิธีอย่างคึกคัก

HPV DNA Test ทางรอดใหม่ของสตรีเชียงราย

มะเร็งปากมดลูกยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของหญิงไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 30-59 ปี ที่ยังเข้าถึงการตรวจคัดกรองไม่ทั่วถึง โครงการนี้จึงมุ่งเป้าให้ผู้หญิงในกลุ่มเสี่ยงได้รับการตรวจคัดกรองด้วย HPV DNA Test ซึ่งสามารถเก็บตัวอย่างด้วยตนเอง ช่วยลดอุปสรรคทั้งเรื่องความเขินอาย การเดินทาง และลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ นับเป็นการพลิกโฉมระบบสาธารณสุขชุมชนในเชียงราย

นอกจากนี้ยังมีการอบรมโดยนางอภิษฎา สุวรรณ ศิวเสน นักเทคนิคการแพทย์ชำนาญการ จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่และจิตอาสา อสม. ให้สามารถนำความรู้ไปขยายผลในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ

การเข้าถึง-การป้องกัน-การดูแลต่อเนื่อง

อบจ.เชียงรายตั้งเป้าให้สตรีกลุ่มเป้าหมายทั่วทั้งจังหวัดเข้าถึงการตรวจคัดกรองอย่างครอบคลุม ภายใต้แนวคิด “ป้องกันก่อนเกิด ยิ่งเร็วยิ่งรอด” นอกจากตรวจแล้ว ยังเน้นการให้ข้อมูล การดูแลหลังการตรวจคัดกรอง ไปจนถึงการส่งต่อรักษาหากพบความผิดปกติ และที่สำคัญคือ การสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้หญิงไทยทุกคนเห็นความสำคัญของการตรวจและดูแลสุขภาพตนเองอย่างต่อเนื่อง

โครงการ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ไม่ได้หยุดอยู่แค่กิจกรรมตรวจ แต่ยังขับเคลื่อนสู่การสร้างเครือข่ายสุขภาพท้องถิ่นที่แข็งแรง มี อสม. และ รพ.สต. ทำงานเชิงรุก ลงพื้นที่ ให้ความรู้ ชวนสตรีร่วมตรวจด้วยความเข้าใจ พร้อมกับสนับสนุนอุปกรณ์และการบริหารจัดการระบบข้อมูลที่แม่นยำและต่อเนื่อง

อบจ.เชียงราย – ผู้นำท้องถิ่นติดอาวุธสุขภาพสตรีไทยด้วยนวัตกรรมและเครือข่าย

การ Kick off ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วย HPV DNA Test สะท้อนให้เห็นว่าเชียงรายเป็นจังหวัดนำร่องในการยกระดับคุณภาพชีวิตสตรี ด้วยการวางนโยบายเชิงรุกที่เน้น “ป้องกันก่อนแก้ไข” ซึ่งตอบโจทย์การแก้ปัญหาสุขภาพเชิงระบบของผู้หญิงอย่างแท้จริง

ประเด็นเด่นที่สำคัญ:

  • ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพการคัดกรอง: HPV DNA Test คือมาตรฐานใหม่ของการคัดกรองโรค ช่วยตรวจพบไวรัสสายพันธุ์เสี่ยงก่อมะเร็งในระยะเริ่มต้น
  • สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของสุขภาพ: การให้สตรีสามารถเก็บตัวอย่างเอง ลดอุปสรรคด้านเวลา ความกลัว หรือข้อจำกัดด้านวัฒนธรรม ช่วยให้เข้าถึงมากขึ้น
  • ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายท้องถิ่น: การผนึกกำลังของ อสม. รพ.สต. และผู้เชี่ยวชาญคือรากฐานของความยั่งยืน ไม่ใช่โครงการระยะสั้น
  • เน้นต่อเนื่องทุกขั้นตอน: ไม่หยุดแค่ตรวจ แต่ครอบคลุมถึงการติดตาม ส่งต่อ รักษา และเยียวยาแบบเบ็ดเสร็จ

ความท้าทายและข้อเสนอแนะ

แม้ความพร้อมของเชียงรายจะโดดเด่น แต่ความท้าทายคือการเข้าถึงกลุ่มหญิงเปราะบาง เช่น ผู้ด้อยโอกาสหรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล การสื่อสารแบบเข้าใจง่ายและเหมาะสมกับแต่ละชุมชน รวมถึงการจัดสรรงบประมาณ-บุคลากร-ระบบสนับสนุน เพื่อให้โครงการดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

สรุป:

โครงการ “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” ของอบจ.เชียงราย คือแบบอย่างของการขับเคลื่อนงานสาธารณสุขที่ก้าวทันโลก ใช้เทคโนโลยี สร้างเครือข่าย และใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อลดการสูญเสียและยกระดับสุขภาพผู้หญิงไทยทั้งจังหวัดอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • กองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย
  • รายงานข่าวภาคสนามและข้อมูลสาธารณสุขจังหวัด
  • ข้อมูลสถานการณ์และสถิติจากสถาบันวิจัยมะเร็งปากมดลูกแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

Soft Power สุขภาพนำร่อง! เชียงรายเปิด “Wellness City” ตอบรับเมกะเทรนด์โลก

เชียงรายกับ Soft Power ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและสุขภาพสู่ระดับโลก

เชียงราย, 20 กรกฎาคม 2568  – เมื่อโลกเข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขันด้วยพลังอ่อน (Soft Power) การที่จังหวัดเชียงรายกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านจาก “เมืองท่องเที่ยว” สู่ “เมืองแห่งสุขภาพ” (Wellness City) อาจเป็นบทตอบของความต้องการตลาดโลกที่กำลังหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาวะและการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

ผลสำรวจจากสถาบันศิโรจน์ผลพันธินร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ได้ส่องแสงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไทยพึงมีในการใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย” ที่ได้คะแนนสูงสุดถึง 58.24% ในฐานะ Soft Power ที่มีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต

การสำรวจครั้งนี้ดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 ผ่านทั้งแบบสำรวจออนไลน์และการสำรวจภาคสนาม ซึ่งผลที่ได้มิเพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องชี้ทิศทางการพัฒนายุทธศาสตร์ Soft Power ของประเทศในระยะยาวด้วย

จากฝันสู่ความเป็นจริงของ Wellness City

ในขณะที่ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจสุขภาพบนระดับชาติ เชียงรายกลับเป็นจังหวัดที่กำลังนำเครื่องในทางปฏิบัติ ด้วยการเปิดตัว “Chiang Rai Wellness City 2025” อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นผู้นำทัพในการขับเคลื่อนโครงการครั้งสำคัญนี้

“เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025 (Chiang Rai Wellness city bolet)” ไม่ใช่เพียงแค่สโลแกนหรือแนวคิดเท่านั้น แต่เป็นโครงการที่มีการออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Trail) ที่ครอบคลุม 2 เส้นทางหลัก โดยเส้นทางที่ 2 จะผ่าน “น้ำพุร้อนป่าตึง – ร้านชอบ บราสเซอรี่ เชียงราย – ชุมชนโป่งแดง – น้ำพุร้อนห้วยทรายขาว” ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ กว่า 200 คน

ความพิเศษของเชียงรายในฐานะ Wellness City ไม่ได้อยู่เพียงแค่การมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม หากแต่อยู่ที่การผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่น ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และการพัฒนาแนวคิดสมัยใหม่เข้าด้วยกัน “เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้าน Wellness หรือสุขภาวะเพียบพร้อมที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม และจิตวิญญาณ” ตามที่นักวิชาการชี้ให้เห็น

เมื่อ Soft Power พบกับธุรกิจมูลค่าหลายล้านล้าน

หากมองในมุมของการตลาดโลก ธุรกิจสุขภาพและเวลเนส (Health & Wellness) กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในช่วงทศวรรษนี้ โดยมูลค่าตลาดสุขภาพและเวลเนสของไทยมีขนาดใหญ่มากอยู่ที่ราว 1.5 ล้านล้านบาทในปี 2562 คิดเป็น 8% ของ GDP ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของตลาดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดโลกด้านนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากมูลค่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2022 มีแนวโน้มที่จะเติบโตไปจนถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2025 การเติบโตนี้มาจาก 4 เมกะเทรนด์สุขภาพ ได้แก่ การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ พฤติกรรมการใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงเทคโนโลยีสุขภาพ และความตื่นตัวเรื่องการป้องกันโรคมากกว่าการรักษา

สิ่งที่น่าสนใจคือ คนไทยกว่า 45.39% หันมาใส่ใจด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้านการออกกำลังกายและด้านการบริโภคอาหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ในตลาดภายในประเทศ ความต้องการด้านนี้กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ยุทธศาสตร์ Soft Power จากท้องถิ่นสู่เวทีโลก

ผลสำรวจครั้งนี้ได้เผยให้เห็นถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับแนวทางการใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลก โดยอันดับ 1 คือ “การส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก” ด้วยสัดส่วน 70.78% ตามมาด้วย “การส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์” 68.12% และ “การใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก” 57.64%

สิ่งที่น่าสังเกตคือ การท่องเที่ยวยังคงเป็นจุดแข็งหลักที่ประชาชนไทยมองว่าสามารถนำไปใช้เป็น Soft Power ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อมองในมุมของศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต ธุรกิจสุखภาพกลับกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติและความต้องการของตลาด

เชียงรายในฐานะพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ จึงกลายเป็นตัวอย่างที่ดีของการนำ Soft Power มาใช้ในทางปฏิบัติ โดยไม่ได้แยกทั้งสองเรื่องออกจากกัน แต่เชื่อมโยงให้เป็นหนึ่งเดียวในรูปแบบของ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

บทบาทมหาวิทยาลัยและนักศึกษาขุมพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

ผลสำรวจยังได้เจาะลึกถึงบทบาทของสถาบันการศึกษาในการขับเคลื่อน Soft Power ซึ่งประชาชนเห็นว่ามหาวิทยาลัยไทยควร “เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power” 61.08% “เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย” 59.40% และ “เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย” 51.24%

สำหรับนักศึกษา ประชาชนเห็นว่าควร “เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ” 64.18% “มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย” 62.50% และ “เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก” 58.33%

ในบริบทของเชียงราย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายที่มีคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม กำลังมีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรที่สามารถรองรับการเป็น Wellness City “นักศึกษาเป็นผู้มีทักษะ มีความสามารถในศาสตร์ของตัวเองเป็นอย่างดี พัฒนาต่อยอดได้ สู่การเป็นมืออาชีพ” ตามปณิธานของสถาบัน

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าภาพรวมจะดูในแง่บวก แต่ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่มีอยู่ เมื่อถามถึงศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทยในการขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบระดับนานาชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ 43.97% เห็นว่า “มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม” ขณะที่ 29.08% เห็นว่า “มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง”

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ ประชาชนอยากเห็น “หลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ” 65.72% “การร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power” 56.66% และ “การผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” 54.53%

สำหรับเชียงราย การเป็น Wellness City ที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับมาตรฐานสากล การพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ทั้งด้านการท่องเที่ยวและสุขภาพ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่รองรับนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อสุขภาวะในระยะยาว

วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้มอนาคต

การที่เชียงรายเลือกใช้ Soft Power ในรูปแบบของ Wellness City นั้น มีทั้งจุดแข็งและความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

จุดแข็งหลักอยู่ที่การมีทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวย วัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์ และตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นประตูสู่อาเซียน ซึ่งทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การสร้างมาตรฐานการบริการที่สอดคล้องกับความคาดหวังของตลาดนานาชาติ การพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้าน และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

หากดูจากแนวโน้มตลาดโลก การเติบโตของธุรกิจ Wellness Tech ที่ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับการดูแลสุขภาพ จะเป็นโอกาสสำคัญที่เชียงรายสามารถนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้กับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ

การสำรวจของสถาบันศิโรจน์ผลพันธินและสวนดุสิตโพลครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนไทยเกี่ยวกับ Soft Power เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าทิศทางที่เชียงรายกำลังดำเนินการอยู่นั้นสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและสังคม

ความสำเร็จของ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ” จะไม่ได้วัดจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ในยุคที่การแข่งขันระหว่างประเทศไม่ได้อยู่เพียงแค่ในเรื่องของ Hard Power เท่านั้น แต่รวมถึง Soft Power ที่สามารถสร้างอิทธิพลและดึงดูดใจได้ การที่เชียงรายเลือกใช้ธุรกิจสุขภaวะเป็นจุดยืน อาจเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการนำ Soft Power ของไทยไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

เส้นทางสู่การเป็น Wellness City ที่แท้จริงยังมีอีกยาวไกล แต่เมื่อมองจากความพยายามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ทำให้เชื่อได้ว่าเชียงรายมีโอกาสที่จะกลายเป็นแบบอย่างของการใช้ Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นสู่ระดับสากลได้อย่างแท้จริง

สรุปผลได้ สำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power”

“สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน” ร่วมกับ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชน ทั่วประเทศ เรื่อง “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,128 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568 สรุปผลได้ ดังนี้

1. ประชาชนคิดว่าประเทศไทยควรใช้ Soft Power เป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในเวทีโลกได้อย่างไร

  • อันดับ 1 ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยและเทศกาลระดับโลก 70.78%
  • อันดับ 2 ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เช่น อาหาร แฟชั่น ดนตรี ภาพยนตร์ 68.12%
  • อันดับ 3 ใช้สื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เผยแพร่ความเป็นไทยสู่โลก 57.64%

2. Soft Power เรื่องใดที่ประชาชนเห็นว่ามีศักยภาพสูงสุดในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต


  • อันดับ 1 ธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการดูแลสุขภาพแบบไทย 58.24%
  • อันดับ 2.ดนตรี ศิลปะ แฟชั่น และภาพยนตร์.55.85%
  • อันดับ 3 ศิลปิน-นักออกแบบร่วมสมัย และอุตสาหกรรมดิจิทัลครีเอทีฟ.53.63%

3.ประชาชนคิดว่า “มหาวิทยาลัยไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการพัฒนา Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม Soft Power 61.08%
  • อันดับ 2 เป็นเวทีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จัดนิทรรศการ การแสดง งานเทศกาลวัฒนธรรมไทย 59.40%
  • อันดับ 3 เปิดหลักสูตรหรือวิชาเกี่ยวกับ Soft Power ไทย 51.24%

4. ประชาชนคิดว่า “นักศึกษาไทย” ควรมีบทบาทอย่างไรในการส่งเสริม Soft Power ของประเทศ

  • อันดับ 1 เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมไทยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ 64.18%
  • อันดับ 2 มีส่วนร่วมในงานวิจัยหรือโครงการด้าน Soft Power ร่วมกับมหาวิทยาลัย 62.50%
  • อันดับ 3.เป็นนักสร้างสรรค์เนื้อหา (content creator) ที่เชื่อมโยงความเป็นไทยกับโลก 58.33%


5. ประชาชนคิดว่ามหาวิทยาลัยไทยมีศักยภาพที่จะขับเคลื่อน Soft Power ให้เกิดผลกระทบในระดับนานาชาติหรือไม่

  • อันดับ 1 มีศักยภาพในบางสาขา แต่ยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม 43.97%
  • อันดับ 2 มีศักยภาพและควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง 29.08%
  • อันดับ 3 ศักยภาพยังไม่เพียงพอ ควรเน้นสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ 20.66%
    อันดับ 4 ยังไม่สามารถประเมินได้ 6.29%

6. ประชาชนอยากเห็นความร่วมมือด้านใดมากที่สุดระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับต่างประเทศในการพัฒนา Soft Power

  • อันดับ 1 มีหลักสูตรความร่วมมือระดับนานาชาติ 65.72%
  • อันดับ 2 ร่วมวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้าน Soft Power 56.66%
  • อันดับ 3 ผลิตบุคลากรคุณภาพให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 54.53%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน และสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, ผลสำรวจ “บทบาทมหาวิทยาลัยไทยกับ Soft Power” วันที่ 15-18 กรกฎาคม 2568
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, โครงการ “เชียงรายเมืองแห่งสุขภาพ 2025”
  • ThaiPublica, บทความ “พัฒนาเชียงรายให้เป็น Wellness City แห่งแรกของไทย”
  • Nakorn Chiang Rai News, “ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก!”
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

รมว.สาธารณสุข ห่วงโควิด เพิ่มมาตรการป้องกันกลุ่มเปราะบาง

รัฐมนตรีสมศักดิ์ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม แนะป้องกันเข้มข้น ย้ำความรุนแรงลดลง-รักษาได้

ประเทศไทย, 3 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศฤดูฝนที่มาเยือนพร้อมกับการเปิดภาคเรียนใหม่ ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่อีกครั้ง โดยมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความห่วงใยของรัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ให้ประชาชนทุกกลุ่ม

เริ่มต้นด้วยความห่วงใยจากรัฐมนตรี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังได้รับรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และโควิด 19 มักจะแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แออัด

ในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และแนวทางการรักษา

สถานการณ์ล่าสุด อัตราการป่วยสูงขึ้นแต่รุนแรงลดลง

นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2568 นี้ ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 รวม 69 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว) และกระจุกตัวในเมืองใหญ่หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น กรุงเทพมหานคร 22 ราย, ชลบุรี 8 ราย, จันทบุรี 7 ราย, เชียงใหม่ 3 ราย อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.106 ต่อประชากรแสนคน สะท้อนให้เห็นว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงมากขึ้น

สำหรับยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึง 3 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 324,692 ราย หรือคิดเป็นอัตราป่วย 500.20 ต่อประชากรแสนคน โดยจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ระยอง, ภูเก็ต และนครปฐม มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานศึกษา 12 เหตุการณ์ เรือนจำ 6 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 4 เหตุการณ์ และโรงพยาบาล 2 เหตุการณ์

ปัจจัยเร่งการระบาด ฝนตก-เปิดเทอม

นพ.สุทัศน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า ช่วงฤดูฝนและเปิดเทอมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงโควิด 19 แพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียนที่นักเรียนอยู่รวมกลุ่มกันมาก จึงพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 ของปีเป็นต้นมา โดยสัปดาห์ที่ 22 มีผู้ป่วยสูงถึง 93,621 ราย และล่าสุดในสัปดาห์นี้พบอีก 28,392 ราย

สายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบันคือ XEC ซึ่งแม้จะติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการโดยรวมไม่รุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป อัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลต่ำมาก และส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส

แนวทางการป้องกันและรักษาเน้นมาตรการส่วนบุคคล

นพ.สกานต์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เน้นย้ำว่า แนวทางการดูแลรักษาในกรณีที่มีอาการเล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูกได้เหมือนไข้หวัดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยง 608 หรือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

"รัฐมนตรีสมศักดิ์" ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มขึ้นช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม มอบกรมการแพทย์-กรมควบคุมโรค แจงแนวทางปฏิบัติตัวและการรักษา แนะยกระดับป้องกันเข้ม ทั้งเว้นระยะห่าง ล้างมือ เลี่ยงสถานที่แออัด

สำหรับประชาชนทั่วไป หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาอย่างน้อย 5 วัน ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุในบ้าน และกลุ่มเปราะบาง สำหรับโรงเรียน หากพบเด็กนักเรียนป่วยหลายราย ให้หยุดเรียนเฉพาะบุคคล ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งชั้นหรือทั้งโรงเรียน

มาตรการเสริมที่แนะนำคือ การเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันโควิด 19 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดอาการรุนแรง

มั่นใจยารักษา-เตียงพร้อมรองรับผู้ป่วย

นพ.สกานต์กล่าวว่า ปัจจุบันระบบสาธารณสุขมีเตียงและยารักษาเพียงพอ ทั้งยาเรมดิซีเวียร์ แพกซ์โลวิด และยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับกลุ่มอาการปานกลางหรือมีแนวโน้มรุนแรง หากอาการไม่มากหรือไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการให้ยาหรือรับไว้ในโรงพยาบาลตามความเหมาะสม

วิเคราะห์แนวโน้มและข้อควรระวัง

แม้สถานการณ์จะดูผ่อนคลายกว่าในอดีต แต่ภาครัฐยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุที่ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มข้น หากร่วมมือกันทั้งภาครัฐ โรงเรียน สถานประกอบการ และประชาชน จะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยและควบคุมการระบาดได้

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติ
  • หากป่วยควรใส่หน้ากาก 5-7 วัน หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
  • กลุ่มเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการ
  • เน้นการป้องกันส่วนบุคคล เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ
  • เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เสริมภูมิคุ้มกัน

สรุป

สถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ในฤดูฝนและช่วงเปิดภาคเรียนปีนี้ แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแต่ระดับความรุนแรงของโรคลดลงอย่างชัดเจน ระบบสาธารณสุขยังคงควบคุมและดูแลสถานการณ์ได้ดี การร่วมมือของประชาชนในการป้องกันส่วนบุคคลจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดการแพร่ระบาดและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมไทย

นพ.สกานต์กล่าวว่า หากมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจะแยกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือโควิด 19 ได้ยาก แต่แนวทางการดูแลรักษาเบื้องต้นเหมือนกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข
  • ข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

โล่งใจ! สัตวแพทย์ยืนยัน กินหมูสุก ปลอดภัย แอนแทรกซ์

กินสุกเพื่อสุขภาพ: ปลอดภัยจากเชื้อโรค อร่อยไม่เปลี่ยน

ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเนื้อหมู

ในช่วงหน้าร้อนปี 2568 ความกังวลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ เช่น โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) และโรคไข้หูดับ ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการเลือกบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ รองเลขาธิการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ชี้แจงว่า โรคแอนแทรกซ์ ซึ่งเกิดจากแบคทีเรีย Bacillus anthracis ไม่พบในหมู แต่พบในสัตว์กินพืช เช่น วัว ควาย แพะ และแกะ เนื้อหมูจึงปลอดภัยสำหรับการบริโภคหากปรุงสุกอย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตาม การบริโภคเนื้อหมูดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ลาบดิบหรือก้อย อาจนำไปสู่ความเสี่ยงจากเชื้อ Streptococcus suis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับ อันอาจทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สูญเสียการได้ยิน หรือถึงขั้นเสียชีวิต การเลือกบริโภคเนื้อหมูที่ปรุงสุกจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและจำเป็น

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภคเนื้อหมู

เนื้อหมูเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการและเป็นที่นิยมในเมนูอาหารไทย เช่น ลาบ ก้อย และหมูกระทะ แต่การบริโภคแบบดิบหรือปรุงไม่สุกอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus suis ซึ่งพบในหมูที่ป่วยและสามารถแพร่สู่มนุษย์ผ่านการบริโภคหรือการสัมผัสเนื้อดิบ นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ระบุว่า การปรุงเนื้อหมูให้สุกที่อุณหภูมิอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมปศุสัตว์ หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในความสะอาดและคุณภาพของเนื้อหมู

แนวทางการป้องกันเพื่อความปลอดภัย

เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและรักษาสุขภาพที่ดี สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติแนะนำแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้:

  1. ปรุงเนื้อหมูให้สุกทั่วถึง ใช้ความร้อนอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus suis และป้องกันโรคไข้หูดับ
  2. เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ซื้อเนื้อหมูจากร้านค้าหรือตลาดที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย หลีกเลี่ยงเนื้อที่มีกลิ่นหรือสีผิดปกติ
  3. ป้องกันการปนเปื้อน สวมถุงมือเมื่อสัมผัสเนื้อดิบ ล้างมือและอุปกรณ์ให้สะอาด และแยกเขียงสำหรับเนื้อดิบและสุก
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่วย ในพื้นที่ที่มีประวัติการระบาดของโรค ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสซากสัตว์หรือสัตว์ที่สงสัยว่าติดเชื้อ
  5. รีบพบแพทย์เมื่อมีอาการ หากมีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือสูญเสียการได้ยินหลังบริโภคหรือสัมผัสเนื้อดิบ ควรรีบไปโรงพยาบาลและแจ้งประวัติความเสี่ยง

ความอร่อยที่ปลอดภัยด้วยการกินสุก

การเปลี่ยนเมนูดิบมาเป็นเมนูสุกไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของรสชาติไว้ได้อย่างครบถ้วน เมนูอย่างลาบคั่ว ก้อยย่าง หรือหมูย่าง สามารถนำเสนอรสชาติที่เข้มข้นและหอมกรุ่นโดยไม่ต้องพึ่งความดิบ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเชิญชวนทุกคนลองปรับเปลี่ยนวิธีการปรุงอาหาร โดยไม่ห้ามการบริโภคเมนูดิบ แต่เน้นย้ำให้ลดการบริโภคแบบดิบและหันมาสร้างสรรค์เมนูสุกที่ทั้งปลอดภัยและน่ารับประทาน การปรุงสุกไม่เพียงปกป้องสุขภาพ แต่ยังเป็นการรักษาความสุขในการรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง

กินสุกไม่ใช่เรื่องยาก รสชาติยังคงน่าจดจำ

การเลือกบริโภคอาหารที่ปรุงสุกไม่ใช่เรื่องซับซ้อนและไม่ทำให้สูญเสียรสชาติที่คุ้นเคย แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ส่งเสริมให้ทุกคนหันมาปรุงเมนูโปรดให้สุก เช่น ลาบคั่วที่หอมด้วยเครื่องเทศ ก้อยย่างที่สุกกำลังดี หรือหมูกระทะที่ย่างจนฉ่ำ การกินสุกไม่ได้หมายถึงการห้ามบริโภคเมนูดิบอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการเชิญชวนให้ลดความเสี่ยงด้วยการปรุงอาหารให้สุกเพื่อสุขภาพที่ดี ในช่วงหน้าร้อนนี้ มาร่วมกันเปลี่ยนความอร่อยให้เป็นความสุขที่ปลอดภัยด้วยการเลือกกินสุก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและความมั่นใจในทุกมื้ออาหาร

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE