
รัฐมนตรีสมศักดิ์ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม แนะป้องกันเข้มข้น ย้ำความรุนแรงลดลง-รักษาได้
ประเทศไทย, 3 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศฤดูฝนที่มาเยือนพร้อมกับการเปิดภาคเรียนใหม่ ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่อีกครั้ง โดยมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความห่วงใยของรัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ให้ประชาชนทุกกลุ่ม
เริ่มต้นด้วยความห่วงใยจากรัฐมนตรี
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังได้รับรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และโควิด 19 มักจะแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แออัด
ในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และแนวทางการรักษา
สถานการณ์ล่าสุด อัตราการป่วยสูงขึ้นแต่รุนแรงลดลง
นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2568 นี้ ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 รวม 69 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว) และกระจุกตัวในเมืองใหญ่หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น กรุงเทพมหานคร 22 ราย, ชลบุรี 8 ราย, จันทบุรี 7 ราย, เชียงใหม่ 3 ราย อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.106 ต่อประชากรแสนคน สะท้อนให้เห็นว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงมากขึ้น
สำหรับยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึง 3 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 324,692 ราย หรือคิดเป็นอัตราป่วย 500.20 ต่อประชากรแสนคน โดยจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ระยอง, ภูเก็ต และนครปฐม มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานศึกษา 12 เหตุการณ์ เรือนจำ 6 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 4 เหตุการณ์ และโรงพยาบาล 2 เหตุการณ์
ปัจจัยเร่งการระบาด ฝนตก-เปิดเทอม
นพ.สุทัศน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า ช่วงฤดูฝนและเปิดเทอมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงโควิด 19 แพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียนที่นักเรียนอยู่รวมกลุ่มกันมาก จึงพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 ของปีเป็นต้นมา โดยสัปดาห์ที่ 22 มีผู้ป่วยสูงถึง 93,621 ราย และล่าสุดในสัปดาห์นี้พบอีก 28,392 ราย
สายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบันคือ XEC ซึ่งแม้จะติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการโดยรวมไม่รุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป อัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลต่ำมาก และส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส
แนวทางการป้องกันและรักษาเน้นมาตรการส่วนบุคคล
นพ.สกานต์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เน้นย้ำว่า แนวทางการดูแลรักษาในกรณีที่มีอาการเล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูกได้เหมือนไข้หวัดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยง 608 หรือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

สำหรับประชาชนทั่วไป หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาอย่างน้อย 5 วัน ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุในบ้าน และกลุ่มเปราะบาง สำหรับโรงเรียน หากพบเด็กนักเรียนป่วยหลายราย ให้หยุดเรียนเฉพาะบุคคล ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งชั้นหรือทั้งโรงเรียน
มาตรการเสริมที่แนะนำคือ การเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันโควิด 19 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดอาการรุนแรง
มั่นใจยารักษา-เตียงพร้อมรองรับผู้ป่วย
นพ.สกานต์กล่าวว่า ปัจจุบันระบบสาธารณสุขมีเตียงและยารักษาเพียงพอ ทั้งยาเรมดิซีเวียร์ แพกซ์โลวิด และยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับกลุ่มอาการปานกลางหรือมีแนวโน้มรุนแรง หากอาการไม่มากหรือไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการให้ยาหรือรับไว้ในโรงพยาบาลตามความเหมาะสม
วิเคราะห์แนวโน้มและข้อควรระวัง
แม้สถานการณ์จะดูผ่อนคลายกว่าในอดีต แต่ภาครัฐยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุที่ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มข้น หากร่วมมือกันทั้งภาครัฐ โรงเรียน สถานประกอบการ และประชาชน จะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยและควบคุมการระบาดได้
ข้อควรระวังสำคัญ
- ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติ
- หากป่วยควรใส่หน้ากาก 5-7 วัน หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
- กลุ่มเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการ
- เน้นการป้องกันส่วนบุคคล เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ
- เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เสริมภูมิคุ้มกัน
สรุป
สถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ในฤดูฝนและช่วงเปิดภาคเรียนปีนี้ แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแต่ระดับความรุนแรงของโรคลดลงอย่างชัดเจน ระบบสาธารณสุขยังคงควบคุมและดูแลสถานการณ์ได้ดี การร่วมมือของประชาชนในการป้องกันส่วนบุคคลจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดการแพร่ระบาดและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
- ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข
- ข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข