Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

ปิดช่องโหว่ DM Control! นครเชียงรายยกระดับระบบดูแลผู้ป่วย NCDs ผสานดิจิทัล-ชุมชนเข้มแข็งสู้โรคเรื้อรัง

เทศบาลนครเชียงรายลุกทั้งเมือง คัดกรอง 63 ชุมชน สู้โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ผสาน “ดิจิทัล–ชุมชนเข้มแข็ง” ปูทางสู่เมืองสุขภาพยุคใหม่

เชียงราย, 9 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ยังเป็น “ตัวการเงียบ” ทำให้คนไทยล้มป่วยและเสียชีวิตในสัดส่วนสูงต่อเนื่อง เทศบาลนครเชียงรายประกาศเดินเกมเชิงรุก เปิดปฏิบัติการคัดกรองสุขภาพครั้งใหญ่ครอบคลุมทั้ง 63 ชุมชนในเขตเทศบาล มุ่งลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง พร้อมยกเครื่องระบบดูแลผู้ป่วยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล AIDERY Connect และเครือข่ายอสม.ที่เข้มแข็ง หวังยกระดับเมืองสู่ “Digital Health Chiangrai Wellness City” อย่างเป็นรูปธรรม

การขยับตัวในครั้งนี้ไม่ใช่มาตรการเฉพาะกิจ แต่สะท้อนถึงความพยายามเชื่อม “นโยบายระดับชาติ–ยุทธศาสตร์ระดับจังหวัด–การลงมือจริงระดับชุมชน” เข้าด้วยกัน เพื่อปิดช่องว่างสำคัญในระบบ คือการควบคุมโรคเบาหวานที่ยังทำได้ต่ำกว่าที่ควร แม้จังหวัดจะโดดเด่นด้านความดันโลหิตและการจัดการภาวะวิกฤตอย่างโรคหลอดเลือดสมองก็ตาม

ภาระโรคระดับชาติ–แรงกดดันระดับพื้นที่ NCDs ปัญหาเรื้อรังที่มองไม่เห็น

รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรังชี้ให้เห็นตรงกันว่า โรคในกลุ่ม NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาระโรคสำคัญของประเทศ ทั้งจากจำนวนผู้ป่วย ค่าใช้จ่ายในการรักษา และผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ระดับนโยบาย ประเทศไทยกำหนด “แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ พ.ศ. 2566–2570” เป็นกรอบยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ การบูรณาการเครือข่าย Smart NCD Network การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) และการพัฒนาระบบนิเวศ (NCD Ecosystem) ที่เอื้อต่อการลดปัจจัยเสี่ยง ตั้งแต่พฤติกรรมบริโภคเค็ม มัน หวาน การขาดการออกกำลังกาย ไปจนถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า

สำหรับจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีทั้งเขตเมืองและชนบทผสมผสานกัน ภาระโรค NCDs สะท้อนผ่านตัวเลขทางระบาดวิทยาที่น่ากังวล โดยเฉพาะในเขตเมืองที่รูปแบบการใช้ชีวิตเร่งรีบ การเดินทาง การบริโภคอาหารสำเร็จรูป และสภาวะแวดล้อมเอื้อต่อการเกิดโรคเรื้อรังมากขึ้น ขณะเดียวกันจังหวัดก็ต้องรับมือกับปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น PM 2.5 ที่กระทบต่อผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งซ้อนทับกับ NCDs อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นครเชียงรายไม่รอให้ป่วยก่อนรักษา” – คัดกรองเชิงรุก 63 ชุมชนฟรี

จากสถานการณ์ดังกล่าว เทศบาลนครเชียงรายจึงเลือกเดินหน้าด้วยมาตรการเชิงรุกในระดับพื้นที่ นำโดยนายวันชัย จงสุทธามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ร่วมกับคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กองการแพทย์ พร้อมเครือข่ายพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลงที่ 1.3 เชียงราย และคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลนครเชียงราย

โครงการคัดกรองลดเสี่ยง NCDs จัดขึ้นครอบคลุมทั้ง 4 เขตบริการ รวม 63 ชุมชน โดยกำหนดพื้นที่จัดกิจกรรมเป็นจุดศูนย์กลาง ได้แก่

  • เขต 1 วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม 2568 ณ โรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่
  • เขต 2 วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม 2568 ณ โรงเรียนเทศบาล 8 บ้านใหม่
  • เขต 3 วันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2568 ณ ศูนย์บริการสาธารณสุขเทศบาล 2 สันหนอง
  • เขต 4 วันพุธที่ 10 ธันวาคม 2568 ณ โรงเรียนเทศบาล 5 เด่นห้า

ความโดดเด่นของโครงการไม่ได้อยู่เพียงการตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดฟรีสำหรับประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปเท่านั้น แต่ยังขยายขอบเขตการดูแลไปถึงมิติสุขภาพอื่น ๆ ที่มักถูกละเลยในโครงการคัดกรองทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น

  • การตรวจสุขภาพช่องปากและมวลไขมันในร่างกาย
  • การตรวจสารพิษตกค้างในร่างกาย
  • การประเมินสุขภาพจิตและภาวะเครียด
  • การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก

ภายในงาน ประชาชนยังได้รับความรู้จากวิทยากรและทีมสาธารณสุขที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านโภชนาการ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการเฝ้าระวังอาการเตือนของโรค NCDs ต่าง ๆ จุดมุ่งหมายไม่ใช่เพียง “รู้ผลตรวจ” แต่คือ “รู้เท่าทันโรคและรู้วิธีดูแลตัวเอง” เพื่อให้ข้อมูลที่ได้รับกลับไปต่อยอดในระดับครอบครัวและชุมชน

ภาพใหญ่ของเชียงราย ความสำเร็จ–ช่องโหว่ในสมรภูมิ NCDs

เมื่อมองลึกลงไปในตัวเลขผลลัพธ์ด้านคลินิกของจังหวัดเชียงราย ภาพที่ปรากฏสะท้อน “ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน”

ในด้านความดันโลหิตสูง (HTN) จังหวัดสามารถควบคุมความดันของผู้ป่วยได้ดีถึง 67.41% แสดงถึงประสิทธิภาพของระบบการรักษา การจัดการยา และการติดตามผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในมิติการจัดการภาวะหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของ NCDs จังหวัดเชียงรายมีร้อยละของผู้ป่วยที่มีอาการไม่เกิน 72 ชั่วโมงและได้รับการรักษาใน Stroke Unit สูงถึง 84.15% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ที่ไม่น้อยกว่า 80% สะท้อนศักยภาพระบบบริการตติยภูมิที่เข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่โรคเบาหวาน ภาพกลับไม่สวยเท่าที่ควร อัตราผู้ป่วยที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีอยู่ที่ประมาณ 45.75% ต่ำกว่าความดันโลหิตสูงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่อัตราการเข้าสู่ภาวะสงบของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 (Remission) อยู่เพียง 0.27% จากผู้ป่วยทั้งหมดราว 76,000 คน ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดหวังไว้ที่ 1% อย่างมาก แม้จะมีการตั้ง “NCD Remission Clinic” ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์แล้วก็ตาม

รายงานวิเคราะห์ของจังหวัดชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญหนึ่งคือ “ข้อจำกัดเชิงระบบ” โดยเฉพาะงบประมาณในการตรวจ HbA1c ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับการประเมินการควบคุมระดับน้ำตาลระยะยาว การตรวจที่ไม่ครอบคลุมทำให้แพทย์ไม่สามารถประเมินภาพรวมและปรับแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังมีปัญหาการบันทึกข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ตัวเลขผลลัพธ์บางส่วนต่ำกว่าความเป็นจริง และกระทบต่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย

น่าสังเกตว่า การประเมินองค์ประกอบการพัฒนาคุณภาพคลินิก NCD ภายในโรงพยาบาล (องค์ประกอบ 1–5) พบว่า “ไม่สัมพันธ์โดยตรงกับผลลัพธ์การควบคุม DM/HTN” ขณะที่องค์ประกอบเดียวที่แสดงความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการควบคุมระดับน้ำตาลและความดันกลับเป็น “การจัดบริการเชื่อมโยงชุมชน” หรือการออกแบบบริการให้ไปถึงบ้านและชุมชน ผ่านอสม.และเครือข่ายท้องถิ่น

ดิจิทัลไม่ใช่แค่แอปฯ AIDERY Connect – เมื่อหมอ–คนไข้–อสม. เชื่อมถึงกัน

ในสมรภูมิ NCDs ที่ซับซ้อน จังหวัดเชียงรายเลือกใช้นวัตกรรมดิจิทัลเป็น “ตัวเร่ง” ให้ระบบบริการสุขภาพเข้าถึงประชาชนได้จริง แอปพลิเคชัน AIDERY Connect ซึ่งพัฒนาร่วมกับเครือข่ายสุขภาพในจังหวัด ถูกนำมาใช้เป็นแพลตฟอร์มหลักในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน

แอปฯ ทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย ทั้งค่าความดันโลหิต ระดับน้ำตาล ข้อมูลอาการและประวัติการรักษา เข้ากับทีมแพทย์และพยาบาล ผู้ป่วยสามารถวัดค่าที่บ้านแล้วส่งเข้าไปในระบบ ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและแพทย์สามารถติดตามแนวโน้มค่าสุขภาพผ่าน Dashboard กลาง หากพบความผิดปกติ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปยัง Caregiver เพื่อเร่งประเมินและสั่งการรักษา

การดำเนินงานนำร่องใน 6 อำเภอแรกของจังหวัดแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน จนเชียงรายได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศด้านนวัตกรรมสุขภาพดิจิทัล และกำลังมีแผนขยายไปครบทั้ง 18 อำเภอ เพื่อผลักดันให้ภาพ “Digital Health Chiangrai Wellness City” ไม่ใช่เพียงคำขวัญแต่เป็นระบบการดูแลจริงในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย

ควบคู่กันนั้น โครงการ NCDs@Home และ Telemedicine ก็ทำให้บทบาทของอสม.มีความหมายมากกว่าการเป็นเพียง “ผู้ช่วยแจ้งข่าวสาร” อสม.จำนวนมากได้รับการฝึกอบรมให้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สามารถวัดความดัน เจาะเลือดปลายนิ้ว และบันทึกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ ส่งต่อให้แพทย์และทีมสาธารณสุขประเมิน หากจำเป็นจึงมีการนัดพบแพทย์ผ่านระบบ Telemedicine และจัดส่งยาถึงบ้าน ลดภาระการเดินทางของผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ

ข้อมูลล่าสุดสะท้อนพลังของฐานชุมชนอย่างชัดเจน แกนนำสุขภาพมีศักยภาพในการคัดกรอง NCDs สูงถึง 93.70% ขณะที่อสม.เกือบ 100% สามารถใช้ระบบนับคาร์โบไฮเดรตและบันทึกข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันได้ การมี “ชุมชนที่อ่านข้อมูลสุขภาพเป็น” ทำให้ยุทธศาสตร์ดิจิทัลไม่หยุดอยู่ที่หน้าจอ แต่ลงรากถึงครัวเรือนจริง ๆ

จากตัวเลขสู่ชีวิตจริง ทำไม “เบาหวาน” ต้องได้รับความสำคัญมากกว่านี้

แม้เชียงรายจะมีตัวอย่างความสำเร็จเชิงระบบหลายด้าน แต่ตัวเลข DM Control Rate ที่ยังอยู่เพียง 45.75% และอัตรา Remission 0.27% ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกลับมาทบทวนอย่างจริงจัง

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขที่ร่วมจัดทำรายงานเชิงยุทธศาสตร์เสนอว่า การจัดการเบาหวานต้อง “ขยับแรงกว่าที่เป็นอยู่” ทั้งในมิติการแพทย์และพฤติกรรม โดยมีข้อเสนอสำคัญอย่างน้อย 3 ด้าน คือ

หนึ่ง การจัดสรรงบประมาณเฉพาะสำหรับการตรวจ HbA1c ให้ครอบคลุมประชากรกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยเบาหวานอย่างเพียงพอ เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวเป็นเสมือน “ภาพถ่ายระยะยาว” ของการควบคุมโรค การขาดข้อมูลชุดนี้ทำให้แพทย์ตัดสินใจได้ไม่เต็มที่

สอง การขยายศักยภาพของ AIDERY Connect และระบบ Dashboard ให้ใช้ติดตามผลลัพธ์ทางคลินิกแบบรายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงมองจำนวนผู้ป่วย แต่เห็นแนวโน้มว่าพื้นที่ใดควบคุมโรคได้ดีหรือมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ เพื่อนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรอย่างแม่นยำ

สาม การยกระดับ Health Literacy โดยเฉพาะทักษะ “นับคาร์บ” ของผู้ป่วยและครอบครัว ซึ่งเชียงรายเริ่มนำร่องมาแล้วผ่านการอบรมอสม.และการจัด “Carb Counting Station” ในคลินิก NCDs Remission แนวคิด “โปรตีนอย่าให้ขาด คาร์บอย่าให้เกิน เพิ่มเติมด้วยไขมันดี” หากขยายผลอย่างจริงจัง ควบคู่กับการติดตามผ่านดิจิทัลและการสนับสนุนเชิงจิตสังคม อาจทำให้เป้าหมาย Remission 1% เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นในระยะกลาง

เทศบาลนครเชียงราย พื้นที่เมืองแนวหน้าในสมรภูมิ NCDs

บทบาทของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงเจ้าภาพจัดกิจกรรมคัดกรองเชิงพิธีการ หากแต่เป็น “แนวหน้าของระบบสุขภาพระดับจังหวัด” ในการทดสอบรูปแบบการจัดการ NCDs ในบริบทเมือง

การคัดกรองฟรีใน 63 ชุมชน ที่รวมทั้งการตรวจโรคเรื้อรังหลัก การประเมินสุขภาพจิต การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก และการให้ความรู้ด้านโภชนาการและพฤติกรรมสุขภาพ ถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบหลังบ้านของจังหวัด ทั้ง AIDERY Connect, NCDs@Home, Telemedicine และ NCD Remission Clinic

ในมุมของประชาชน สิ่งที่ได้รับคือ “โอกาสรู้ทันโรคก่อนป่วยหนัก” และช่องทางในการเข้าสู่ระบบดูแลที่ต่อเนื่องและเป็นมิตร ขณะที่ในมุมของผู้กำหนดนโยบาย โครงการนี้คือฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการออกแบบมาตรการระยะยาว ทั้งด้านงบประมาณ การพัฒนาบุคลากร และการสร้างระบบนิเวศสุขภาพเมืองที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริง

หากจังหวัดสามารถต่อยอดจากความสำเร็จในระดับเทศบาลนครเชียงราย กระจายรูปแบบคัดกรองเชิงรุกและบริการเชื่อมโยงชุมชนไปสู่พื้นที่อื่น ๆ พร้อมอุดช่องว่างสำคัญเรื่องงบประมาณตรวจ HbA1c และคุณภาพข้อมูล เชียงรายอาจกลายเป็นหนึ่งในจังหวัดต้นแบบของประเทศในการจัดการ NCDs ยุคดิจิทัล ที่ผสาน “เทคโนโลยี–ชุมชน–ท้องถิ่น” เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

ในขณะที่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังยังเดินหน้าอย่างเงียบงันในทุกชุมชน การเลือก “ไม่ยอมจำนนต่อสถิติเดิม” แต่ลุกขึ้นมาคัดกรองทั้งเมือง เชื่อมระบบดิจิทัลเข้ากับกำลังของอสม.และชุมชน อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คำว่า “สุขภาพดีวิถีเชียงราย” ไม่ได้เป็นเพียงคำขวัญบนป้ายโครงการ แต่กลายเป็นความจริงในชีวิตประจำวันของประชาชนในระยะยาว

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์และยุทธศาสตร์การจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จังหวัดเชียงรายและเขตเทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย)
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ นำร่อง ประกันสุขภาพสมัครใจในโรงพยาบาลรัฐ ดึงเงิน 1.6 หมื่นล้าน เข้า สธ.

รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์นำร่องโมเดลใหม่ “ประกันสุขภาพสมัครใจในรพ.รัฐ” หลัง สธ.–สมาคมประกันชีวิตไทยเซ็น MOU ดันเม็ดเงิน 1.6 หมื่นล้านเข้าระบบสาธารณสุข

เชียงราย, 5 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางกระแสความกังวลเรื่องงบประมาณสาธารณสุขที่ตึงตัว และค่าเบี้ยประกันสุขภาพที่ขยับสูงขึ้นทุกปี การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กับสมาคมประกันชีวิตไทย เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 จึงถูกจับตามองว่าเป็น “จุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง” ของระบบสุขภาพไทย

ในดีลครั้งประวัติศาสตร์นี้ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กลายเป็นหนึ่งใน 28 โรงพยาบาลรัฐนำร่อง ที่จะรองรับ “ประกันสุขภาพภาคสมัครใจ” อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในส่วนของคลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ซึ่งในอดีตผู้เอาประกันจำนวนไม่น้อยไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้เต็มที่จากข้อจำกัดของกติกาและระบบเบิกจ่าย

การขยับครั้งนี้ไม่เพียงเปลี่ยนภาพจำของ “โรงพยาบาลรัฐที่ใช้ประกันไม่ได้” แต่ยังมีเป้าหมายดึงเม็ดเงินกว่า 16,000 ล้านบาทจากระบบประกันสุขภาพสมัครใจ เข้าสู่โรงพยาบาลของรัฐ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลดภาระงบประมาณ และยกระดับมาตรฐานบริการสำหรับประชาชนในระยะยาว

MOU ใหญ่ สธ.–สมาคมประกันชีวิตไทย เชื่อม “เงินเอกชน” เข้าระบบ “บริการรัฐ”

พิธีลงนาม MOU จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 10 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้ร่วมลงนามและสักขีพยานจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน

ฝั่งกระทรวงสาธารณสุข มี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ลงนาม ขณะที่ฝั่งสมาคมประกันชีวิตไทย นำโดย นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย และนายสาระ ล่ำซำ อุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย โดยมี นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการสำนักงานคปภ. และผู้อำนวยการโรงพยาบาลนำร่อง 28 แห่ง ร่วมเป็นสักขีพยานในห้องประชุมเดียวกัน

ใจกลางของ MOU ฉบับนี้คือการ “บูรณาการเครือข่ายบริการสาธารณสุขของรัฐ” เข้ากับ “ระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจของเอกชน” อย่างเป็นระบบ โปร่งใส และได้มาตรฐาน เป้าหมายสำคัญมีสองมิติ

  1. มิติด้านบริการ – ยกระดับศักยภาพของโรงพยาบาลรัฐให้รองรับผู้เอาประกันสุขภาพได้อย่างสะดวก ทันสมัย ผ่านการพัฒนา Service Center คลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ลดเวลารอคอยและความแออัด ซึ่งเป็นปัญหาที่ประชาชนจำนวนมากคุ้นเคย
  2. มิติด้านการคลังและเศรษฐกิจ – ดึงเม็ดเงินจากประกันสุขภาพสมัครใจ ที่คาดว่าจะสามารถ “Top Up” สิทธิประโยชน์เดิมเข้าสู่โรงพยาบาลรัฐกว่า 16,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อเสริมรายได้ ลดภาระงบประมาณ และเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการของระบบสาธารณสุขในระยะยาว

ในแง่นี้ MOU จึงไม่ใช่เพียงเอกสารความร่วมมือเชิงพิธีการ แต่เป็น “กลไกเชื่อม” ระหว่าง เงินเอกชน – ระบบรัฐ – สิทธิประโยชน์ของประชาชน เข้าด้วยกันในครั้งเดียว

รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ จากโรงพยาบาลศูนย์ สู่ต้นแบบ “รพ.รัฐที่ใช้ประกันได้เต็มสิทธิ์”

สำหรับจังหวัดเชียงราย ชื่อของ “โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์” เป็นเหมือนศูนย์กลางด้านสาธารณสุขที่ประชาชนในพื้นที่คุ้นเคยมานาน ในครั้งนี้ โรงพยาบาลถูกผลักดันให้ก้าวอีกขั้นสู่บทบาท “โรงพยาบาลรัฐนำร่อง” ภายใต้โมเดลใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข

วันเดียวกับการลงนาม MOU นพ.สมศักดิ์ อุทัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ พร้อมด้วย นพ.เปรมชัย ติรางกูร รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ ได้เข้าร่วมประชุมและพิธีลงนามเป็นสักขีพยาน พร้อมขึ้นเวทีเสวนาในหัวข้อ
“Model การบริหารจัดการในโรงพยาบาลรัฐ รองรับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจ (Showcase)”

ในเวทีดังกล่าว โรงพยาบาลเชียงรายฯ ถูกนำเสนอในฐานะ “ต้นแบบการบริหารจัดการ” ที่พร้อมรองรับระบบประกันสุขภาพสมัครใจในโรงพยาบาลรัฐอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในมิติ

  • การออกแบบเส้นทางบริการ (Patient Journey) สำหรับผู้เอาประกันสุขภาพ
  • การจัดคลินิกพิเศษและ Premium Clinics ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพและความรวดเร็ว
  • การบริหารห้องพิเศษที่สามารถรองรับผู้ป่วยประกันสุขภาพโดยไม่กระทบสิทธิ์ของผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

การขึ้นเวทีระดับชาติในฐานะ Showcase สะท้อนว่า รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ตาม” นโยบายจากส่วนกลาง แต่มีบทบาทเชิงรุกในการนำเสนอโมเดลบริหารจัดการ เพื่อให้เงินประกันสุขภาพสมัครใจไหลเข้าระบบโรงพยาบาลรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงมาตรฐานความเท่าเทียมด้านบริการขั้นพื้นฐานไว้ควบคู่กัน

ทำไมต้องดึง “เงินประกันสุขภาพ” เข้าสู่โรงพยาบาลรัฐ?

เบื้องหลัง MOU ครั้งนี้ เชื่อมโยงกับโจทย์ใหญ่ที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเคยสะท้อนไว้ในเวที “การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569” นั่นคือ ต้นทุนด้านสุขภาพของประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรงพยาบาลของรัฐจำนวนมากต้องเผชิญภาวะขาดทุนและภาระงบประมาณที่หนักขึ้นทุกปี

ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจประกันชีวิตและประกันสุขภาพเองก็เผชิญแรงกดดันจาก ค่าใช้จ่ายด้านการเคลมที่สูงขึ้น ทั้งจากค่ารักษาทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้ค่าเบี้ยประกันสุขภาพมีแนวโน้มต้องขยับสูงขึ้นตามต้นทุน

ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรวมต่อปีในระดับหลายแสนล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องราว 2–4% ต่อปี ซึ่งสะท้อนว่าศักยภาพของเม็ดเงินจากระบบประกันยังมีอยู่มาก หากสามารถออกแบบให้ไหลเข้าสนับสนุนระบบบริการสาธารณสุขของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ

MOU ครั้งนี้ จึงถูกออกแบบให้ “จับมือกันกลางทาง”

  • ฝั่ง กระทรวงสาธารณสุข ต้องยกระดับคุณภาพและประสบการณ์บริการให้ประชาชนรู้สึกว่า โรงพยาบาลรัฐสามารถรองรับผู้เอาประกันสุขภาพได้อย่างน่าเชื่อถือ สะดวกสบาย และไม่ต่างจากการไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนในบางบริการ
  • ฝั่ง บริษัทประกันชีวิต จะได้เครือข่ายโรงพยาบาลรัฐที่มีต้นทุนบริการต่ำกว่าเอกชน ช่วยชะลอการขึ้นค่าเบี้ยในระยะยาว และออกผลิตภัณฑ์ที่ “จับต้องได้” มากขึ้นสำหรับคนไทยรายได้ปานกลาง

เมื่อเม็ดเงินจากประกันสุขภาพสมัครใจ กว่า 16,000 ล้านบาท สามารถถูกดึงเข้ามา “Top Up” ระบบเดิมได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจึงไม่ใช่เพียงตัวเลขในงบประมาณ แต่คือการเสริมความยั่งยืนให้กับโรงพยาบาลรัฐทั้งระบบ

สามฝ่ายได้อะไรจากโมเดลใหม่ “ประกันสุขภาพภาคสมัครใจในรพ.รัฐ”

ถ้ามองในภาพรวม ความร่วมมือครั้งนี้สร้างผลประโยชน์อย่างน้อย 3 มิติสำคัญ

  1. ประชาชนและผู้เอาประกัน: ทางเลือกที่มากขึ้นในราคาที่เข้าถึงได้

ผู้เอาประกันสุขภาพที่เคยลังเลว่า
“จะไปโรงพยาบาลรัฐที่แออัด หรือไปเอกชนที่ค่าใช้จ่ายสูงกว่า?”

อาจมีคำตอบใหม่เมื่อโรงพยาบาลรัฐสามารถรองรับการเบิกจ่ายประกันสุขภาพสมัครใจในคลินิกพิเศษ ห้องพิเศษ และ Premium Clinics ได้อย่างเป็นระบบ

ประชาชนจะได้รับ:

  • บริการที่รวดเร็วขึ้นในบางจุดบริการ
  • การเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลรัฐ ที่ขึ้นชื่อว่ามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญไม่แพ้เอกชน
  • ค่าใช้จ่ายสุทธิที่ “สมเหตุสมผล” กว่าการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนเต็มรูปแบบ

นางนุสรา นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เคยระบุถึงทิศทางสำคัญว่า ความร่วมมือครั้งนี้มีแนวโน้มจะนำไปสู่ กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่เลือกใช้เฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ” ซึ่งคาดว่าจะมี “ราคาเบี้ยที่ย่อมเยาลง” ทำให้ประชาชนเข้าถึงการทำประกันสุขภาพได้ง่ายขึ้น และมีตัวเลือกมากกว่าที่เป็นอยู่

  1. โรงพยาบาลรัฐ: รายได้เพิ่มขึ้น – งบลงทุนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

สำหรับโรงพยาบาลรัฐ โดยเฉพาะโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป การมีรายได้จากระบบประกันสุขภาพสมัครใจเข้ามาเพิ่มเติม นอกจากช่วยบรรเทาปัญหาขาดทุนสะสมแล้ว ยังหมายถึง “งบลงทุน” ที่เพิ่มขึ้น ทั้งในด้านบุคลากร เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐาน

ในกรณีของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการรับผู้เอาประกันสุขภาพในคลินิกพิเศษและห้องพิเศษ จะกลายเป็นงบประมาณหมุนเวียนกลับไปสู่

  • การพัฒนาระบบบริการพื้นฐานสำหรับประชาชนทุกสิทธิ์
  • การลงทุนในระบบ IT และ Service Center เพื่อให้การบริหารจัดการผู้ป่วยทุกกลุ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การดูแลบุคลากรด่านหน้า ที่ต้องรองรับภาระงานหนักในแต่ละวัน
  1. ภาคธุรกิจประกัน: ต้นทุนการเคลมลดลง – เบี้ยประกันเติบโตอย่างยั่งยืน

ในมุมของบริษัทประกันชีวิต “ต้นทุนจากค่ารักษาพยาบาล” คือหนึ่งในปัจจัยหลักที่กดดันการปรับขึ้นเบี้ยประกันสุขภาพในแต่ละปี การมีเครือข่ายโรงพยาบาลรัฐที่สามารถให้บริการผู้เอาประกันได้จริง จะช่วยให้บริษัทประกันมีต้นทุนเรื่องค่ารักษาที่ต่ำลง เมื่อเทียบกับการพึ่งพาโรงพยาบาลเอกชนเพียงอย่างเดียว

รมว.สาธารณสุขสะท้อนมุมนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า การดึงผู้เอาประกันให้เข้ามารักษาในโรงพยาบาลรัฐมากขึ้น จะเป็น “กลไกสำคัญ” ในการชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันสุขภาพในระยะยาว ขณะเดียวกัน ธุรกิจประกันชีวิตก็ยังสามารถเติบโตบนฐานเบี้ยประกันที่รับได้ต่อสังคม

รพ.เชียงรายฯ กับโจทย์ใหม่ ยกระดับบริการ โดยไม่ทิ้งความเท่าเทียม

แม้โมเดลใหม่จะถูกมองว่าเป็น “โอกาส” ครั้งใหญ่ แต่ก็มีคำถามสำคัญที่สังคมจับตาเช่นกัน นั่นคือ

เมื่อมีบริการพรีเมียมสำหรับผู้เอาประกันมากขึ้น
ระบบจะรักษาความเท่าเทียมสำหรับผู้ป่วยสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างไร?

โจทย์นี้ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ในฐานะโรงพยาบาลศูนย์ที่มีภาระรองรับผู้ป่วยจำนวนมากจากทั้งจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง

การบริหารจัดการจึงต้องวางอยู่บนหลักสองประการคู่กันคือ

  1. ไม่ลดทอนคุณภาพและสิทธิของผู้ป่วยในระบบหลักประกันเดิม – บริการพื้นฐานต้องยังคงเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
  2. ใช้รายได้จากผู้เอาประกันสมัครใจกลับไปเสริมความเข้มแข็งของระบบเดิม – ทั้งในมิติบุคลากร เวชภัณฑ์ และระบบสนับสนุนด้านหลังบ้าน

บทบาทของทีมผู้บริหาร นำโดย นพ.สมศักดิ์ และ นพ.เปรมชัย จึงไม่ใช่เพียงการ “ดีลกับบริษัทประกัน” หรือ “เพิ่มบริการพรีเมียม” เท่านั้น แต่ต้องวางสมดุลระหว่าง ประสิทธิภาพทางการเงิน” และ “ความเป็นธรรมทางสุขภาพ” ให้เดินไปด้วยกัน

ภาคเหนือและโรงพยาบาลนำร่อง เครือข่ายเชื่อมโยงมากกว่าหนึ่งจังหวัด

การนำร่องครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ในภาคเหนือ มีโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่หลายแห่งที่เข้าร่วม เช่น

  • โรงพยาบาลลำปาง
  • โรงพยาบาลนครพิงค์
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  • โรงพยาบาลพุทธชินราช
  • โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์

การมีเครือข่ายโรงพยาบาลนำร่อง 28 แห่งทั่วประเทศ ทำให้อนาคตของ “กรมธรรม์ประกันสุขภาพเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ” มีความเป็นไปได้มากขึ้น เพราะผู้เอาประกันจะสามารถเลือกใช้บริการในโรงพยาบาลรัฐชั้นนำในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องจำกัดอยู่แค่โรงพยาบาลเอกชนในเมืองใหญ่

สำหรับเชียงรายเอง การที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดก้าวสู่การเป็นหนึ่งในต้นแบบระดับชาติ อาจส่งผลเชิงบวกต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดทั้งในด้าน การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health Tourism) และ ความเชื่อมั่นด้านระบบสาธารณสุข ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนและอยู่อาศัยของประชาชนในระยะยาว

ขยับจาก “นโยบายบนกระดาษ” สู่ “สิทธิที่ประชาชนใช้ได้จริง”

อย่างไรก็ดี การลงนาม MOU เป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” เท่านั้น สิ่งที่จะตอบคำถามได้ชัดเจนที่สุดไม่ใช่ถ้อยคำบนเวที หรือภาพพิธีลงนาม แต่คือประสบการณ์จริงของประชาชนที่เดินเข้าไปในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลนำร่องอื่น ๆ ในวันข้างหน้า

คำถามที่ต้องติดตามต่อไป ได้แก่

  • ระบบการลงทะเบียนและตรวจสอบสิทธิ์ประกันสุขภาพในโรงพยาบาลรัฐ จะรวดเร็วและไม่ซับซ้อนเพียงใด
  • การจัดโซนคลินิกพิเศษและ Premium Clinics จะสามารถช่วยลดความแออัดในระบบปกติ หรือกลับเพิ่มภาระให้บุคลากรด่านหน้า
  • รายได้จากประกันสุขภาพสมัครใจ จะถูกนำกลับไปใช้เสริมบริการพื้นฐานให้ผู้ป่วยสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างโปร่งใสเพียงใด

คำตอบเหล่านี้จะค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อระบบเริ่มเดินจริงในปีงบประมาณถัดไป และเมื่อกรมธรรม์ประกันสุขภาพรูปแบบใหม่ที่เลือกใช้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

สำหรับประชาชนเชียงราย ข่าวนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่อง “นโยบายส่วนกลาง” หากแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะสะท้อนอยู่ในห้องตรวจ ห้องพิเศษ และคลินิกพิเศษของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ในอนาคตอันใกล้ หากโมเดลนี้เดินหน้าได้อย่างราบรื่น และรักษาสมดุลระหว่าง สิทธิพื้นฐาน” และ “บริการพิเศษ” ได้อย่างแท้จริง

สำหรับสถานพยาบาลนำร่อง 28 แห่งทั่วประเทศ 

ที่เข้าร่วมเป็นรพ.นำร่อง ก่อนจะขยายไปทั่วประเทศภายใต้ MOU ดังกล่าว และคาดหวังได้ว่า เมื่อประกันสุขภาพแบบใหม่คลอดออกมา จะสามารถใช้ได้กับรพ. เหล่านี้ ได้แก่

  1. โรงพยาบาลลำปาง
  2. โรงพยาบาลนครพิงค์
  3. โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
  4. โรงพยาบาลพุทธชินราช
  5. โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์
  6. โรงพยาบาลสระบุรี
  7. โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
  8. โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช
  9. โรงพยาบาลสมุทรสาคร
  10. โรงพยาบาลราชบุรี
  11. โรงพยาบาลนครปฐม
  12. โรงพยาบาลระยอง
  13. โรงพยาบาลพระปกเกล้า
  14. โรงพยาบาลสมุทรปราการ
  15. โรงพยาบาลชลบุรี
  16. โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
  17. โรงพยาบาลขอนแก่น
  18. โรงพยาบาลสกลนคร
  19. โรงพยาบาลอุดรธานี
  20. โรงพยาบาลชัยภูมิ
  21. โรงพยาบาลสุรินทร์
  22. โรงพยาบาลบุรีรัมย์
  23. โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
  24. โรงพยาบาลศรีสะเกษ
  25. โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
  26. โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
  27. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
  28. โรงพยาบาลหาดใหญ่
สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

ชวนเปลี่ยนวิธีคิด! หยุดรอป่วยแล้วรักษา ทำไมงบสุขภาพ 2.3 แสนล้านยังไม่พอ

รพ.กรุงเทพเชียงราย เผยกลยุทธ์ BDMS สู่ Strong Life Smart Health เพื่อชีวิตยืนยาว

เชียงราย, 2 ธันวาคม 2568 – ภายในห้องประชุมยูโทเปีย 1 ชั้น 3 โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท ช่วงเช้าวันอังคาร บรรยากาศเต็มไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์ ผู้นำองค์กร และประชาชนทั่วไปที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ระยะเวลาระหว่าง 08.00–12.00 น. ถูกใช้ไปกับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางการแพทย์ ในงานประชุมวิชาการ
สุดยอดสัมมนาสัญจร BDMS ครั้งที่ 6 Strong Life Smart Health – สุขภาพแข็งแรงด้วยการดูแลอย่างเข้าใจ”

งานสัมมนาครั้งนี้จัดโดย โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ร่วมกับ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ และ โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ภายใต้เครือข่าย บีดีเอ็มเอส (BDMS) โดยมีเป้าหมายสำคัญในการ “ย้ำและขยาย” แนวคิดด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันต่อคนเชียงรายและภาคธุรกิจในพื้นที่

เปลี่ยนจาก “รอป่วยแล้วรักษา” สู่ “ไม่ป่วยให้นานที่สุด”

นายแพทย์ธนรัชต์ สมุทรเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย กล่าวถึง “ภาพใหญ่” ของระบบสุขภาพไทยในปัจจุบัน พร้อมชี้ให้เห็นว่า สุขภาพไม่ใช่เพียงประเด็นส่วนบุคคล แต่เกี่ยวพันโดยตรงกับทั้งเศรษฐกิจและสังคม

เขาระบุว่า ประเทศไทยใช้งบประมาณด้านการรักษาพยาบาล ราว 230,000 ล้านบาทต่อปี และ “ตัวเลขนี้ยังไม่เพียงพอ” เมื่อเทียบกับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ขณะเดียวกันงบประมาณด้าน “การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค” กลับมีสัดส่วนเพียงประมาณ 10% ของงบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดเท่านั้น

“เราลงทุนไปมากกับการรักษา เมื่อคนเจ็บป่วยแล้ว แต่กลับใช้งบด้านการส่งเสริมสุขภาพเพียงส่วนเล็ก ๆ ถ้าปล่อยให้แนวโน้มงบประมาณด้านรักษาพุ่งขึ้นแบบนี้ต่อไป ในอนาคตระบบกองทุนสุขภาพของประเทศไทยอาจเผชิญความเสี่ยงได้” – นพ.ธนรัชต์กล่าว

มิติทางสังคมก็เป็นอีกด้านที่สะท้อนความท้าทายอย่างชัดเจน แม้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะช่วยให้คนไทยมีอายุยืนขึ้น แต่อายุที่ “มีสุขภาพแข็งแรงจริง” กลับไม่ได้เพิ่มตามไปด้วยทั้งหมด

นายแพทย์ธนรัชต์ สมุทรเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ย้ำว่า “วันนี้คนไทยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 74 ปี แต่ ‘อายุสุขภาพดี’ หรือ Health Span เฉลี่ยเพียง 64 ปี นั่นหมายความว่า อีกประมาณ 10 ปีสุดท้ายของชีวิต คนจำนวนมากต้องอยู่กับความทุกข์ทรมานจากโรคภัยเรื้อรัง เราอยากเห็นสังคมที่คนมีทั้งอายุยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีไปพร้อมกัน” 

กลยุทธ์ BDMS เทคโนโลยีระดับโมเลกุล–ยีน เพื่อรู้ความเสี่ยงก่อนป่วย

ในฐานะโรงพยาบาลเอกชนภายใต้เครือ BDMS นพ.ธนรัชต์ อธิบายว่า หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่จากทั่วโลกมาปรับใช้กับคนไทย ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาเมื่อป่วย แต่เพื่อ ตรวจเจอความเสี่ยงตั้งแต่ก่อนเกิดโรค”

เทคโนโลยีดังกล่าวครอบคลุมตั้งแต่การตรวจวิเคราะห์ในระดับโมเลกุลและระดับยีน (Gene Level) การค้นหาความเสี่ยงเชิงลึกของโรคต่าง ๆ ไปจนถึงการออกแบบโปรแกรมตรวจสุขภาพและการดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

“เมื่อเรารู้ได้ตั้งแต่ต้นว่า แต่ละคนมีปัจจัยเสี่ยงด้านใด เราก็สามารถวางแผนป้องกันได้อย่างเหมาะสม ทั้งในเชิงการปรับพฤติกรรม การตรวจติดตาม และหากจำเป็น ก็ใช้เทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยที่สุดเมื่อเกิดการเจ็บป่วย เพื่อให้คนไข้ได้คุณภาพชีวิตกลับคืนมาเร็วที่สุด”

นายแพทย์ธนรัชต์ สมุทรเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ได้เปรียบเปรยร่างกายมนุษย์ว่าเป็น “ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด” พร้อมฝากข้อคิดที่เข้าใจง่ายแต่ทรงพลัง

“ลองนึกว่าร่างกายของเราเป็น ซูเปอร์คาร์คันเดียวในชีวิต ถ้าเราอยากให้ซูเปอร์คาร์คันนี้วิ่งได้ไกล ไปได้นาน และยังดูดีเสมอ เราก็ต้องดูแล บำรุง และตรวจเช็กตั้งแต่ก่อนจะมีปัญหา ไม่ใช่รอจนเครื่องพังแล้วค่อยเข้าศูนย์ ร่างกายก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราคิดแบบนี้ เราจะเริ่มหันมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจังมากขึ้น”

แพทย์ธนรัชต์ สมุทรเพชร ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย

“Stroke” ภัยเงียบที่มองไม่เห็น แต่ทำลายชีวิตได้ในพริบตา

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นของแนวคิด “ป้องกันก่อนเจ็บป่วย” งานสัมมนาได้นำกรณีของ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) มาขยายความในเชิงลึก โดยมี แพทย์หญิงสุภลักษณ์ โทมณีสิริ อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ร่วมให้ข้อมูล

ได้อธิบายว่า ภาวะหลอดเลือดสมองมีทั้งแบบ ตีบ และ แตก และมักถูกเรียกว่า “ภัยเงียบ” เพราะความเปลี่ยนแปลงในหลอดเลือดเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ จากไขมันที่เกาะสะสม หรือจากโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

“หลายคนไม่รู้เลยว่าหลอดเลือดสมองของตัวเองมีปัญหามาเป็นเวลานาน จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดภาวะอุดตันหรือเส้นเลือดแตก กลายเป็นอาการเฉียบพลันขึ้นมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนชัดเจน”

เพื่อให้ประชาชนจดจำสัญญาณอันตรายได้ง่าย แพทย์หญิงสุภลักษณ์ย้ำกรอบคิด B-E F.A.S.T. ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยจำที่สำคัญในการเฝ้าระวังอาการ Stroke ได้แก่

  • B – Balance : เวียนหัว ทรงตัวไม่มั่นคง
  • E – Eyes : การมองเห็นผิดปกติ เช่น ตาพร่ามัว หรือเห็นภาพซ้อน
  • F – Face : ใบหน้าเบี้ยว มุมปากตกทันทีทันใด
  • A – Arm : แขนข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น
  • S – Speech : พูดไม่ชัด พูดติดขัด หรือพูดไม่รู้เรื่อง
  • T – Time : เวลามีค่า ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด

“สิ่งสำคัญที่สุดคือ ห้ามรอดูอาการเองที่บ้าน เมื่อมีอาการเข้าเกณฑ์ B-E F.A.S.T. ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ภายในเวลาประมาณ 4.5 ชั่วโมง จะเป็นช่วงทองของการรักษา หรือโทร 1669 เพื่อขอรถพยาบาลมารับ อย่ารอจนสายเกินไป”

ป้องกันดีกว่ารักษา คุม 4 ปัจจัยเสี่ยงใหญ่ ลดโอกาสเกิด Stroke

ในช่วงต่อมา แพทย์หญิงสุภลักษณ์ได้พูดถึง  “หัวใจของการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง” โดยเน้นว่า การรักษาแม้จะสำคัญ แต่ท้ายที่สุด การป้องกันไม่ให้เกิดโรคแต่แรก เป็นหนทางที่ดีที่สุด ทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และระบบสุขภาพโดยรวม

เสนอให้ประชาชน โดยเฉพาะคนวัยทำงาน หันมาให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพประจำปี และควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลักอย่างเคร่งครัด โดยเน้น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. ไขมันในเลือดสูง
    • ควรตรวจระดับ LDL Cholesterol อย่างสม่ำเสมอ
    • จำกัดอาหารไขมันสูง
    • หากแพทย์เห็นสมควรให้ใช้ยาลดไขมัน เช่น ยากลุ่ม Statins ควรรับประทานตามคำสั่ง
    • เธอเน้นว่า หลายกรณีเกิดจากพันธุกรรม แม้ควบคุมอาหารดีแล้วแต่ไขมันยังสูงอยู่ การใช้ยาจึงมีความจำเป็น และ “ประโยชน์มากกว่าผลข้างเคียง”
  2. เบาหวานและภาวะเสี่ยงเบาหวาน
    • ควบคุมการบริโภคคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และเครื่องดื่มหวาน
    • หากค่า HbA1c เกิน 5.8% ถือว่าเริ่มมีภาวะเสี่ยง ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
    • ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมค่า HbA1c ให้ต่ำกว่า 6.5% ตามคำแนะนำแพทย์
  3. ความดันโลหิตสูง
    • ตรวจวัดความดันอย่างสม่ำเสมอ
    • ปรับพฤติกรรม ลดเค็ม ออกกำลังกาย และรับประทานยาตามคำแนะนำ
    • การควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงเส้นเลือดสมองแตกอย่างมีนัยสำคัญ
  4. ความเครียดและโรคหัวใจ
    • คนวัยทำงานจำนวนมากเผชิญความเครียดสะสม การออกกำลังกายจึงเป็น “ทางออกที่ดีที่สุด” เพราะช่วยทั้งลดความเครียดและลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
    • ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดและ Stroke ได้ จึงต้องติดตามกับแพทย์อย่างต่อเนื่อง

“การป้องกันไม่ใช่เรื่องไกลตัว เริ่มจากการตรวจสุขภาพประจำปี รู้ตัวเลขของตัวเอง แล้วร่วมมือกับแพทย์ในการควบคุมปัจจัยเสี่ยง หากดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ โอกาสเกิด Stroke และโรคเรื้อรังอื่น ๆ จะลดลงมาก”

ฟื้นฟูหลัง Stroke เทคโนโลยีใหม่–กายภาพบำบัด–กำลังใจจากครอบครัว

แม้การป้องกันจะสำคัญที่สุด แต่อีกด้านหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามคือ “การฟื้นฟูผู้ป่วยหลังเกิด Stroke แล้ว” แพทย์หญิงสุภลักษณ์อธิบายว่า แนวคิดใหม่ในการดูแลผู้ป่วย Stroke คือการผสมผสาน การรักษาเฉียบพลัน, การฟื้นฟูทางกายภาพ, และ การดูแลด้านจิตใจและครอบครัว เข้าด้วยกัน

ในระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยบางส่วนอาจได้รับยาละลายลิ่มเลือด และต้องเข้ารับการดูแลในหอผู้ป่วยเฉพาะ เช่น Stroke Unit หรือไอซียู เพื่อสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ขนานไปกับการเริ่มต้นกายภาพบำบัดอย่างเหมาะสมตั้งแต่ช่วงแรก

“ช่วงเวลา 6 เดือนถึง 1 ปีแรก ถือเป็น ‘โอกาสทอง’ ของการฟื้นฟูทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ หากมีการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องและเพียงพอ โอกาสที่ผู้ป่วยจะกลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติจะสูงขึ้นมาก”

ในด้านนวัตกรรมการฟื้นฟู เธอกล่าวถึงเทคโนโลยีอย่าง Transcranial Magnetic Stimulation (TMS) ซึ่งใช้คลื่นแม่เหล็กช่วยกระตุ้นหรือยับยั้งการทำงานของสมองบางส่วน ควบคู่ไปกับการทำกายภาพบำบัด โดยมองเป็น “ทางเลือกเสริม” ที่ช่วยต่อยอดประสิทธิภาพการฟื้นฟูในผู้ป่วยบางราย นอกจากนี้ยังมีการใช้ “หุ่นยนต์ช่วยฝึกเดิน” เพื่อช่วยให้การฝึกเดินของผู้ป่วยมีความปลอดภัยและเป็นระบบมากขึ้น

อย่างไรก็ดี แพทย์หญิงสุภลักษณ์ โทมณีสิริ อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงรายย้ำว่า ถึงเทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด หากขาด “กำลังใจจากครอบครัว” และการดูแลแบบองค์รวม ผลลัพธ์การฟื้นฟูอาจไม่เต็มศักยภาพ

“หลายคนเคยเดินได้ ทำงานได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ทั้งหมด แต่หลังจากเกิด Stroke แล้วกลายเป็นคนที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ความรู้สึกท้อแท้ วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้าเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมาก ญาติและครอบครัวจึงต้องเข้าใจ ให้กำลังใจ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมดูแลผู้ป่วย”

และได้กล่าวเสริมว่า ในหลายครัวเรือน ผู้ดูแลมีเพียงคนเดียว หากไม่มีการวางแผน อาจเกิดภาวะ “หมดไฟของผู้ดูแล” (Caregiver Burnout) ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลและผู้ป่วย การวางแผนจัดหาผู้ช่วยดูแล หรือแบ่งหน้าที่กันภายในครอบครัว จึงเป็นอีกมิติที่สำคัญไม่แพ้กัน

พญ.สุภลักษณ์ โทมณีสิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย และอายุรแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาท

จากห้องประชุมสู่ชีวิตจริง ความหมายของ “Strong Life Smart Health” สำหรับคนเชียงราย

งานประชุมวิชาการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การดูแลสุขภาพในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้หมายถึงเพียงการมีโรงพยาบาลที่ทันสมัย แต่คือการสร้าง “วิถีคิดใหม่” ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของการป้องกัน และเข้าใจบทบาทของตนเองในการดูแลร่างกาย

สำหรับจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีทั้งเมืองใหญ่ ชุมชนเกษตรกรรม และภาคบริการท่องเที่ยว การมีเวทีที่เชื่อมโยงองค์ความรู้จากเครือ BDMS มาสู่พื้นที่ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับความตื่นตัวด้านสุขภาพของประชาชนและองค์กรในพื้นที่

คำกล่าวของ นพ.ธนรัชต์ ที่เปรียบร่างกายว่า “ซูเปอร์คาร์คันเดียวในชีวิต” ประกอบกับคำอธิบายเชิงลึกของ พญ.สุภลักษณ์ เกี่ยวกับการป้องกันและฟื้นฟู Stroke ทำให้เห็นภาพชัดว่า สุขภาพไม่ใช่เรื่องของโรงพยาบาลฝ่ายเดียว แต่เป็นสมการที่ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ

ในช่วงท้ายของงาน วิทยากรได้ย้ำตรงกันว่า การเปลี่ยนจาก “รักษาเมื่อป่วย” ไปสู่ “ป้องกันไม่ให้ป่วยนานที่สุด” ไม่เพียงช่วยลดภาระงบประมาณของประเทศ แต่ยังช่วยให้คนเชียงราย และคนไทยโดยรวม มีโอกาสใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอย่างมีศักดิ์ศรีและคุณภาพมากขึ้น

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย, โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ,
    และ โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ภายใต้เครือ BDMS
  • นพ.ธนรัชต์ สมุทรเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย
  • แพทย์หญิงสุภลักษณ์ โทมณีสิริ อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาท
    โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
HEALTH

วิกฤตชีวิตใต้น้ำท่วม 6 วัน! แพทย์เตือนเด็กหาดใหญ่เสี่ยงภาวะช็อกสูงจาก “ขาดน้ำ-ขาดอาหาร”

วิกฤตชีวิตใต้น้ำท่วม 6 วัน! แพทย์เตือนเด็กเสี่ยงช็อกสูง “ขาดน้ำ-ขาดอาหาร” หาดใหญ่จมบาดาล

เชียงราย / สงขลา ,30 พฤศจิกายน 2568 – ภาพความทุกข์ยากของผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ไม่ได้จบลงเพียงแค่การสูญเสียบ้านเรือนและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 5-6 วัน ท่ามกลางน้ำท่วมสูงทะลุชั้น 2 ของบ้านเรือน โดยผู้ประสบภัยจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะ “ขาดน้ำสะอาด-ขาดอาหาร” อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การช่วยเหลือยังเข้าไม่ถึงตัวเนื่องจากน้ำเชี่ยวและทีมช่วยเหลือไม่เพียงพอ

สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงยิ่งคือ เด็กเล็กและผู้สูงอายุที่ติดค้างอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเข้าสู่ภาวะอันตรายถึงชีวิตได้ทุกขณะ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

ร่างกายเริ่มสู้กับตัวเอง วันที่ 5 ของความทุกข์ทรมาน

นับตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ที่น้ำเริ่มท่วมเข้าบ้านเรือนในเขตอำเภอหาดใหญ่อย่างรวดเร็ว ผู้คนจำนวนมากไม่ทันหลบหนี ต้องขึ้นไปอาศัยอยู่บนชั้น 2 ของบ้านหรือบนหลังคา แต่ไม่นานน้ำก็ไล่ตามขึ้นมา จนในที่สุดหลายครอบครัวต้อง “แช่น้ำ” อยู่กับระดับน้ำสูงกว่า 2-3 เมตร โดยไม่มีทางหนีออกไปได้อีก

ภัทราพร ตั๊นงาม ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เปิดเผยว่า หลายวันที่ผ่านมามีเคสขอความช่วยเหลือจำนวนมากแจ้งผ่านเข้ามาว่า “ขาดน้ำ ขาดอาหาร” มาตั้งแต่วันที่ 2 ของเหตุการณ์ ญาติหลายรายที่อยู่ภายนอกพื้นที่พยายามแจ้งข้อมูลแทน เพราะผู้ประสบภัยเองแบตเตอรี่มือถือหมดแล้ว ติดต่อกันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์

“ถ้านับเวลา วันนี้ (26 พ.ย.2568) เป็นวันที่ 5-6 ของการแช่น้ำที่ท่วมอยู่ในบ้าน และมีบ้านเรือนจำนวนมากที่น้ำเข้าถึงชั้น 2 แล้ว ทำให้แต่ละครอบครัวต้องแช่น้ำกันอย่างไม่มีทางเลือก” ภัทราพร กล่าว

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ เมื่อร่างกายต้องอดอาหารและขาดน้ำสะอาดเป็นเวลานาน ร่างกายจะเริ่ม “ต่อสู้กับตัวเอง” โดยใช้พลังงานสำรองที่มีอยู่จนหมด จนกระทั่งอวัยวะสำคัญต่างๆ เริ่มทำงานผิดปกติ และอาจนำไปสู่ภาวะอันตรายถึงชีวิตได้

เด็กเล็ก กลุ่มเสี่ยงสูงสุด ทนได้เพียง 2-5 วัน

แพทย์หญิงอรสุดา สมประสิทธิ์ กุมารแพทย์เฉพาะทางพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย ซึ่งมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ประสบภัยพิบัติ ให้ข้อมูลสำคัญที่ทุกฝ่ายควรทราบว่า เด็กเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้

“โดยเฉลี่ยเด็กจะทนต่อการอดอาหารได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ คือประมาณ 2-5 วันเท่านั้น เนื่องจากเด็กมีพลังงานสำรองน้อย มีอัตราการเผาผลาญพลังงานที่สูงกว่าผู้ใหญ่ ทำให้เด็กเกิดอันตรายจากภาวะขาดน้ำและอาหาร รวมถึงเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย” แพทย์หญิงอรสุดา อธิบาย

ข้อมูลนี้หมายความว่า เด็กที่ติดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมหาดใหญ่มาครบ 5-6 วันแล้ว กำลังอยู่ในช่วงวิกฤตที่สุด หากไม่ได้รับอาหารและน้ำสะอาดภายใน 24-48 ชั่วโมงนี้ อาจเข้าสู่ภาวะอันตรายร้ายแรงได้

ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือ เด็กบางรายอาจไม่ได้รับอาหารมาตั้งแต่วันที่ 2 ของเหตุการณ์ ซึ่งหมายความว่าได้อดอาหารไปแล้วมากกว่า 5 วัน เกินกว่าขีดจำกัดที่ร่างกายเด็กจะสามารถทนได้

ขาดน้ำอันตรายกว่าขาดอาหาร 24-48 ชั่วโมงตัดสินชีวิต

แพทย์หญิงอรสุดาเน้นย้ำว่า ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ “การขาดน้ำ” อันตรายกว่า “การขาดอาหาร” หลายเท่าตัว เพราะน้ำเป็นพื้นฐานของการทำงานของร่างกายมนุษย์ ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ใช้ในการไหลเวียนของเลือด ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย การพาพลังงานและออกซิเจนไปสู่อวัยวะต่างๆ รวมถึงการทำงานของอวัยวะสำคัญอย่างไต

“เมื่อร่างกายไม่มีน้ำเพียงพอ ความดันของเลือดจะลดลง ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ในที่สุดไตจะหยุดทำงาน ยิ่งสำหรับเด็กที่ไตยังไม่แข็งแรงเท่าผู้ใหญ่ การขาดน้ำเพียง 24-48 ชั่วโมง จะทำให้เด็กเข้าสู่ภาวะช็อกจากการขาดน้ำ หรือที่เรียกว่า Hypovolemic Shock ได้” แพทย์หญิงอรสุดา เตือน

พญ.อรสุดา สมประสิทธิ์ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย

สัญญาณเตือนภัยที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องสังเกตในเด็กที่กำลังขาดน้ำ ได้แก่ เด็กร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหล ปากแห้ง ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย เริ่มมีอาการซึมหรือง่วงผิดปกติ ปลายมือปลายเท้าเย็น และในเด็กเล็กอาจพบอาการกระหม่อมบุ๋มได้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเด็กกำลังขาดน้ำอย่างรุนแรง

สัญญาณเหล่านี้หมายความว่า เด็กกำลังอยู่ในภาวะอันตราย ต้องได้รับการช่วยเหลือทันที มิฉะนั้นอาจสูญเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

วิธีการรอดชีวิต เมื่อความช่วยเหลือยังไม่มา

ขณะที่รอการช่วยเหลือจากทีมกู้ภัย แพทย์หญิงอรสุดาให้คำแนะนำสำคัญแก่ผู้ที่กำลังติดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมว่า ควรทำอย่างไรเพื่อยืดอายุการรอดชีวิตให้นานที่สุด

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลดการใช้พลังงาน ให้ได้มากที่สุด โดยควรลดการเคลื่อนไหว อาจนั่งหรือนอนพักให้มากที่สุด รักษาความอบอุ่นของร่างกาย ไม่ให้สูญเสียความร้อนมากเกินไป และที่สำคัญคือ ไม่ควรอยู่ในน้ำเป็นระยะเวลานานๆ เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนและพลังงานเร็วขึ้น

สิ่งที่ห้ามทำอย่างเด็ดขาดคือ ห้ามดื่มน้ำท่วมโดยตรง เพราะน้ำท่วมมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรคและสารพิษต่างๆ มากมาย อาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินอาหารหรือโรคร้ายแรงอื่นๆ ตามมา นอกจากนี้ยังห้ามดื่มเครื่องดื่มที่กระตุ้นการขับน้ำ เช่น ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำเร็วยิ่งขึ้น

หากมีอาหารฉุกเฉิน สิ่งที่ควรรับประทานได้แก่ ผงเกลือแร่ ORS ที่ละลายด้วยน้ำต้มสุกที่สะอาด น้ำต้มสุก กล้วย ขนมปังแห้ง หรือนมพาสเจอไรด์ แต่ต้องแน่ใจว่าอาหารเหล่านั้นผ่านความร้อนหรือสะอาดปลอดภัยก่อน

สำหรับเด็กเล็กเป็นพิเศษ ห้ามให้นมชงที่มาจากน้ำไม่สะอาดหรือน้ำที่ไม่ผ่านการต้ม และห้ามกินอาหารที่ไม่ผ่านความร้อนโดยเด็ดขาด เพราะเด็กเล็กมีภูมิคุ้มกันต่ำ เสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่

อันตรายหลังรอดชีวิต ภาวะ Refeeding Syndrome

การรอดชีวิตจากสถานการณ์น้ำท่วมไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยไปตลอด แพทย์หญิงอรสุดาเตือนว่า หลังจากผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือแล้ว ยังต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่า Refeeding Syndrome หรือภาวะแทรกซ้อนจากการรับอาหารหลังอดอาหารนาน

“หลังจากร่างกายอดอาหารมาหลายวัน ระบบต่างๆ ในร่างกายจะปรับตัวเข้ากับสภาวะขาดอาหาร หากรับอาหารกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วหรือมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้” แพทย์หญิงอรสุดาอธิบาย

การฟื้นฟูที่ถูกต้องต้องเริ่มจากการให้น้ำและเกลือแร่ในปริมาณน้อยๆ ก่อน ด้วยการจิบน้ำหรือให้ ORS ทีละน้อย จากนั้นค่อยให้อาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊กอ่อน หรือนมเจือจาง ในปริมาณน้อยๆ ตลอดช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก

ห้ามเริ่มด้วยอาหารมื้อใหญ่หรือหนักๆ ในคราวเดียว เพราะอาจทำให้ร่างกายรับไม่ไหว นอกจากนี้ยังต้องเฝ้าระวังอาการผิดปกติ เช่น หายใจเร็ว ซึมลง อ่อนแรง หรือเกิดภาวะบวมหลังได้รับความช่วยเหลือ หากพบอาการเหล่านี้ต้องรีบพบแพทย์ทันที

ภัยเงียบทางจิตใจ PTSD หลังรอดชีวิต

นอกจากภยันตรายต่อร่างกายแล้ว แพทย์หญิงอรสุดายังเน้นย้ำให้ติดตามดูแลผลกระทบทางจิตใจของเด็กและผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านเหตุการณ์ที่มีอันตรายถึงชีวิต หรือได้พบกับความสูญเสียอย่างรุนแรง

ภาวะทางจิตใจที่ต้องเผชิญกับความเครียดและวิตกกังวลอย่างรุนแรงอาจส่งผลต่อเนื่องเป็นโรคเครียดภายหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือ Post Traumatic Stress Disorder (PTSD) ซึ่งมักจะแสดงอาการผ่านทางการฝันร้าย หวาดกลัว หลีกเลี่ยงสิ่งที่เตือนถึงเหตุการณ์น้ำท่วม มีปัญหาอารมณ์และการนอนหลับ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง แยกตัว อาจแสดงอารมณ์เศร้า หรือก้าวร้าวผิดปกติ

“หากพบอาการเหล่านี้ในเด็กหรือผู้ใหญ่ อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตโดยเร็ว เพื่อได้รับการประเมินและรักษาที่เหมาะสม” แพทย์หญิงอรสุดา แนะนำ

เร่งช่วยก่อนสายเกินไป

ภัทราพร ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ที่ติดตามสถานการณ์และได้พูดคุยกับแพทย์หลายท่านที่เคยมีประสบการณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในช่วงวิกฤตน้ำท่วม ต่างประเมินและสรุปสอดคล้องกันว่า สถานการณ์ที่ผู้ประสบภัยขาดน้ำและขาดอาหารมาแล้วอย่างน้อย 5 วัน และยังต้องอยู่ในภาวะแช่น้ำท่วมตัวแบบไม่มีที่ให้หนีพ้นน้ำได้อีก เป็นภาวะวิกฤตและอันตรายถึงชีวิตได้สูงมาก ควรได้รับการช่วยเหลือและดูแลทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน

“ถ้าฝ่ายที่เกี่ยวข้องมองไม่เห็นประเด็นนี้ ไม่เร่งสั่งการจัดหาทีมเข้าไปถึงจุดที่ผู้คนกลุ่มนี้อยู่ให้เร็วที่สุด แนวโน้มความเสี่ยงที่จะสูญเสียชีวิตจะเพิ่มมากขึ้น” ภัทราพร เตือน

ขณะนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา (สสจ.สงขลา) กำลังเร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่น้ำท่วมหนักและทีมช่วยเหลือยังเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำเชี่ยวและความไม่เพียงพอของทีมช่วยเหลือ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การเข้าถึงผู้ประสบภัยบางรายล่าช้า สิ่งที่ต้องการเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้คือ การเพิ่มจำนวนทีมกู้ภัยและอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อเข้าถึงผู้ประสบภัยทุกรายก่อนที่จะสายเกินไป

วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทดสอบความพร้อมของระบบช่วยเหลือภัยพิบัติของประเทศ แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เห็นว่า เวลาคือชีวิต สำหรับผู้ประสบภัย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีเวลาในการรอดชีวิตจำกัดกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า

การช่วยเหลือที่รวดเร็ว ถูกต้อง และทั่วถึง จะเป็นตัวกำหนดว่าจะมีชีวิตกี่ชีวิตที่รอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้ และจะมีครอบครัวกี่ครอบครัวที่ไม่ต้องสูญเสียคนที่รักไปอย่างน่าเศร้า

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • แพทย์หญิงอรสุดา สมประสิทธิ์ กุมารแพทย์เฉพาะทางพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา (สสจ.สงขลา)
  • มูลนิธิกระจกเงา เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายยกระดับเฝ้าระวังโรคหัด หลังพบผู้ป่วยสะสม 28 ราย กระจุกตัวชายแดน

เชียงรายยกระดับเฝ้าระวัง “โรคหัด” หลังตัวเลขผู้ป่วยพุ่ง รัฐย้ำเป้าครอบคลุมวัคซีนเกิน 95% คุมระบาดแนวชายแดน

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 — สถานการณ์โรคหัด (Measles) กำลังกลายเป็นโจทย์เร่งด่วนของระบบสาธารณสุขในจังหวัดชายแดนภาคเหนือ โดยเฉพาะ “เชียงราย” ที่หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดรายงานผู้ป่วยสะสม 28 ราย ตลอดปี 2568 (ตั้งแต่สิงหาคมถึงปัจจุบันพบ 27 ราย) และพบการกระจุกตัวของผู้ป่วยใน อำเภอเชียงแสน 10 ราย, เชียงของ 8 ราย และอำเภอเมือง 5 ราย ขณะที่ทำเนียบรัฐบาลส่งสัญญาณเตือนระดับประเทศ หลังภาพรวมทั้งปีมีรายงานผู้ป่วย “ไข้ออกผื่นสงสัยหัด/หัดเยอรมัน” สะสม 1,928 ราย และพบว่าประมาณ หนึ่งในสี่ (26.5%) มี “ความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา” อย่างชัดเจน พร้อมบันทึกภาวะปอดอักเสน พร้อมบันทึกภาวะปอดอักเสบ 4.5% ของผู้ป่วยทั้งหมด

สาระสำคัญที่ทำให้เชียงรายต้องเร่งคุมเข้ม คือ “ความเชื่อมโยงข้ามแดน” โดยผู้ป่วยบางส่วนสัมพันธ์กับการระบาดในแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และยังมีผู้ป่วยจากฝั่งลาวเข้ารับการรักษาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายด้วย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) จึงขอความร่วมมือผู้ปกครองและกลุ่มเสี่ยง “เร่งฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์” และสังเกตอาการไข้-ผื่น หากพบให้รีบพบแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ และ สมองอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ภาพรวมสถานการณ์  เชียงราย vs ประเทศไทย

  • เชียงราย (ข้อมูล สสจ.)
    • ผู้ป่วยสะสมปี 2568  28 ราย
    • ช่วงการระบาด  ส.ค.–ปัจจุบัน 27 ราย
    • พื้นที่พบมาก  เชียงแสน (10), เชียงของ (8), เมือง (5), เวียงแก่น (3), ขุนตาล (1), ดอยหลวง (1)
    • กลุ่มเสี่ยงเด่น  เด็กก่อนวัยเรียน, รองลงมา วัยทำงานอายุ 20–40 ปี
  • ภาพรวมประเทศ (คำแถลงรองโฆษกรัฐบาล 21 พ.ย. 2568)
    • ผู้ป่วยไข้ออกผื่นสงสัยหัด/หัดเยอรมันสะสม  1,928 ราย
    • ผู้ป่วยมีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา  511 ราย (26.5%)
    • พบภาวะปอดอักเสบ  23 ราย (4.5%)
    • ช่วงก.ย.–ต.ค. 2568 พบผู้ป่วยสงสัยหัด 46 ราย กระจายหลายจังหวัด และ “พบเพิ่มขึ้นในภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงราย”
    • สาเหตุเชิงโครงสร้าง  ความครอบคลุมวัคซีนต่ำกว่าเกณฑ์ 95% ในหลายพื้นที่

สัญญาณเตือน จึงมิได้จำกัดเฉพาะแนวชายแดน แต่สะท้อน “ช่องว่างภูมิคุ้มกัน” ที่หากปล่อยให้การครอบคลุมวัคซีน (coverage) ต่ำกว่า 95% ตามเกณฑ์ที่จำเป็นต่อ “ภูมิคุ้มกันหมู่” (herd immunity) จะเอื้อให้การแพร่เชื้อเกิดขึ้นได้ “ทุกพื้นที่”

ทำไม “โรคหัด” จึงต้องคุมเข้มเป็นพิเศษ

โรคหัดเป็นโรคไวรัสทางเดินหายใจที่ แพร่ทางอากาศ (airborne) จากการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ติดต่อได้สูงมาก ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนหรือไม่เคยป่วยมาก่อนมีโอกาสติดเชื้อแทบทั้งหมดหากสัมผัสเชื้อ จุดที่น่าห่วงคือ ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ที่เกิดได้ในเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ปอดอักเสบ (เป็นสาเหตุการเสียชีวิตสำคัญ), หูชั้นกลางอักเสบ, และ สมองอักเสบ ซึ่งแม้พบน้อยแต่มีความรุนแรงสูง

ลำดับอาการสำคัญที่ควรรู้

  1. ระยะนำ (ก่อนผื่นขึ้น)  ไข้สูง ไอแห้ง น้ำมูกไหล ตาแดงแพ้แสง และที่เป็น “สัญญาณจำเพาะ” คือ จุดขาวเล็ก ๆ ที่กระพุ้งแก้ม (Koplik’s spots)
  2. ระยะผื่นขึ้น  ผื่นแดงเริ่มที่ใบหน้า ลามลงลำตัว แขน ขา มักมีไข้สูงต่อเนื่อง 3–4 วัน
  3. ระยะฟื้น  ผื่นจางใช้เวลาราว 7–10 วัน แต่ควรเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่อเนื่อง

ข้อเท็จจริงชวนคิด  จากข้อมูลระดับประเทศ ผู้ป่วยที่บันทึกภาวะปอดอักเสบอยู่ที่ 4.5% สะท้อนว่าแม้โรคหัดมีภาพจำว่า “เป็นโรคในเด็ก” แต่ก็ไม่ใช่โรคเบา และการปล่อยให้การระบาดลุกลามจะเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนที่มีการเคลื่อนย้ายข้ามแดนถี่และรวดเร็ว

มาตรการเร่งด่วน  ฉีดวัคซีนให้ครบ ตัดวงจรระบาด

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การควบคุมโรคหัดให้มีประสิทธิภาพ ต้องขับเคลื่อนให้ ครอบคลุมการฉีดวัคซีนมากกว่า 95% ทั่วทั้งประเทศ โดยมีข้อแนะนำหลักดังนี้

  • เด็กเล็ก (วัคซีน MMR/MR)
    • เข็มที่ 1 ช่วงอายุ 9–12 เดือน
    • เข็มที่ 2 ช่วงอายุ 18 เดือน
    • หาก “ยังไม่ครบ 2 เข็ม” ให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานเข้ารับวัคซีน โดยเร็วที่สุด
  • ผู้ใหญ่/ผู้ที่ต้องเดินทาง (โดยเฉพาะไป–กลับประเทศที่มีการระบาด)
    • หาก “ไม่เคยรับวัคซีนหรือไม่แน่ใจประวัติ” ควรรับวัคซีน MR 2 เข็ม (หรืออย่างน้อย 1 เข็ม) และควรฉีด ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนเดินทาง
  • มาตรการลดแพร่เชื้อในชุมชน
    • เลี่ยงพื้นที่คนแออัดในช่วงระบาด
    • สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ และกักตัวเมื่อป่วย
    • หากกลับจากประเทศที่มีการระบาด (เช่น สหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร เนเธอแลนด์ ออสเตรเลีย เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ สปป.ลาว ฯลฯ) แล้วมีอาการไข้/ผื่น/ตาแดง ให้พบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง

สสจ.เชียงราย ยืนยันว่า รพ. และ รพ.สต. ทุกแห่งในจังหวัด มีระบบเฝ้าระวังและบริการวัคซีนรองรับ ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามกำหนดการ “คลินิกวัคซีน” ใกล้บ้านได้ทันที

เชียงราย  จุดเสี่ยง–จุดแข็ง และบทเรียนจากแนวชายแดน

1) ด่านหน้า อำเภอชายแดนคือสมรภูมิสำคัญ
การพบผู้ป่วยกระจุกตัวที่ เชียงแสน–เชียงของ สอดคล้องกับภูมิศาสตร์ของเชียงรายที่เป็น “จุดเชื่อมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” มีช่องทางการเคลื่อนย้ายของแรงงาน นักท่องเที่ยว และการค้าชายแดนหนาแน่น ความเชื่อมโยงกับการระบาดใน แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

2) โอกาส ระบบบริการสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง
แม้ความเสี่ยงจะสูงจากการเคลื่อนย้ายข้ามแดน แต่เชียงรายมีจุดแข็งคือ เครือข่ายบริการสุขภาพปฐมภูมิ กระจายครอบคลุม การค้นหา–คัดกรอง–รายงานผู้ป่วยทำได้เร็ว หากผนวกรวมกับ “แผนรณรงค์วัคซีนแบบเชิงรุก” ในชุมชน (เช่น การขึ้นทะเบียนเด็กเล็กที่ยัง missed วัคซีน) จะช่วย “ปิดช่องโหว่ภูมิคุ้มกัน” ได้ทันเวลา

3) โฟกัสกลุ่มเสี่ยง เด็กก่อนวัยเรียนและวัยทำงาน 20–40 ปี
รูปแบบผู้ป่วยของเชียงรายชี้ชัดว่าไม่ใช่เฉพาะเด็กเล็ก แต่ยังพบมากใน “วัยทำงาน” ซึ่งเดินทางและมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง เจ้าหน้าที่ควรเชื่อมข้อมูลวัคซีนกับสถานประกอบการ/แรงงานข้ามแดน เพื่อกระตุ้นการเข้ารับวัคซีน MR ในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มทำงานบริการ–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ชายแดน

เข้าใจโรคให้ถูก  5 ประเด็นสำคัญที่ประชาชนควรรู้

  1. โรคหัดติดต่อได้ทางอากาศ จึง “หน้ากาก–ล้างมือ–เว้นระยะ” ยังสำคัญมากเมื่อมีอาการระบบหายใจ
  2. วัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง การฉีดครบ 2 เข็มปกติจะสร้างภูมิคุ้มกันได้ยาวนาน
  3. Koplik’s spots (จุดขาวเล็ก ๆ ที่กระพุ้งแก้ม) คือ “สัญญาณจำเพาะ” หากพบ รีบพบแพทย์
  4. หญิงตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เรื่องภูมิคุ้มกัน ไม่ควรรับวัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิตระหว่างตั้งครรภ์ แต่ควรอาศัย “ภูมิคุ้มกันฝูงชนในครอบครัว”
  5. หายดีแล้วยังแพร่เชื้อได้ชั่วคราว ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์เรื่องการกักตัวจนพ้นระยะติดต่อ

มุมมองเชิงระบบ  ตัวเลขบอกอะไรเรา

ตัวเลข 1,928 ราย ของผู้ป่วยไข้ออกผื่นสงสัยหัด/หัดเยอรมัน “ทั้งประเทศ” ในปี 2568 และสัดส่วน 26.5% ที่มีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา บอกเราว่า “ห่วงโซ่การแพร่เชื้อจำนวนหนึ่งสามารถไล่รอยได้” ดีสำหรับการคุมโรค แต่ก็สะท้อนว่า “ยังมีช่องโหว่ภูมิคุ้มกัน” ในหลายพื้นที่ เพราะรัฐบาลระบุชัดว่า ครึ่งกว่าของจังหวัดยังครอบคลุมวัคซีนไม่ถึงเกณฑ์ 95%

ในทางปฏิบัติ การยกระดับ coverage ให้แตะ 95%+ ต้องทำ 3 เรื่องคู่ขนาน

  • ทำฐานข้อมูลเชิงรุก รู้ว่าเด็กคนใด “ยังขาดเข็มไหน” และเร่งติดตาม
  • สื่อสารความเสี่ยงอย่างตรงไปตรงมา อธิบายภาวะแทรกซ้อน สร้างแรงจูงใจเชิงสังคม (“ฉีดเพื่อปกป้องลูกหลานและชุมชน”)
  • เพิ่มจุดบริการ–เวลาบริการ ให้เข้าถึงง่ายในชุมชน/โรงเรียน/ที่ทำงาน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและชุมชนแรงงานเคลื่อนย้ายสูง

สำหรับเชียงราย การเร่ง “วัคซีนเชิงรุกตามรอยผู้สัมผัส” (ring vaccination) รอบผู้ป่วยยืนยัน รวมถึงการประสานงานด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและสถานพยาบาลฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เป็นกุญแจที่จะป้องกัน “คลัสเตอร์ในโรงพยาบาลและชุมชน” ไม่ให้ขยายตัว

คำแนะนำประชาชน  เช็กลิสต์สั้น ๆ แต่สำคัญ

  • ผู้ปกครอง  ตรวจ “สมุดวัคซีน” ลูกว่าครบ MMR 2 เข็ม หรือยัง ถ้ายัง รีบไปฉีดทันที
  • ผู้ใหญ่/ผู้เดินทางต่างประเทศ–ชายแดน  หากไม่แน่ใจว่ารับวัคซีนครบหรือไม่ ให้ปรึกษา รพ./รพ.สต. เพื่อพิจารณา MR เสริม โดยฉีด ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ ก่อนเดินทาง
  • เมื่อป่วยคล้ายหวัดแต่มีผื่น–ตาแดง–จุดขาวที่กระพุ้งแก้ม  ใส่หน้ากาก ลดการพบปะผู้อื่น และรีบพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง
  • ชุมชน–โรงเรียน–สถานประกอบการ  สนับสนุน “วันนัดฉีดวัคซีน” ร่วมกับ สสอ./รพ.สต. และสร้างวัฒนธรรม “ป่วยให้หยุด–พบแพทย์เร็ว”

เสียงจากภาครัฐ  “วัคซีนครบคือเกราะดีที่สุด”

สาระจากคำแถลงของ รองโฆษกรัฐบาล สอดคล้องกับข้อเตือนจาก สสจ.เชียงราย ทั้งคู่ย้ำ “ข้อความเดียวกัน” คือ เร่งฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ และย้ำมาตรการป้องกันพื้นฐานส่วนบุคคล พร้อมแจ้งว่า ประเทศไทยมีมาตรการวัคซีนพร้อมควบคุมการระบาด แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับ ความร่วมมือของประชาชน หากพื้นที่ใด coverage ต่ำกว่า 95% “การระบาดเกิดได้เสมอ”

ในมุมพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงราย การขับเคลื่อนจะต้อง “สองมือสองฝั่ง” ทั้งภายในจังหวัด (ปูพรมวัคซีน–เฝ้าระวัง–สื่อสาร) และการประสานข้ามแดน (ข้อมูลผู้ป่วย–จุดผ่านแดน–แรงงานเคลื่อนย้าย) เพื่อให้การตอบสนองรวดเร็วพอจะ “ดักหน้า” เชื้อที่แพร่กระจายทางอากาศได้ง่ายมาก

จากสถิติสู่การตัดสินใจในชีวิตจริง

  • ข้อเท็จจริง  เชียงรายมีผู้ป่วยสะสม 28 ราย ปีนี้ โดยกระจุกตัวในอำเภอชายแดน ขณะที่ทั้งประเทศมีผู้ป่วยสงสัยหัด/หัดเยอรมันสะสม 1,928 ราย และพบภาวะปอดอักเสบ 4.5%
  • ความเสี่ยง  การเคลื่อนย้ายข้ามแดนและ coverage วัคซีนที่ยังไม่ถึง 95% ในหลายพื้นที่
  • ทางออก: “วัคซีนครบ–เฝ้าระวังเข้ม–สื่อสารตรง” คือสามสูตรสำคัญ หากเชียงรายเร่งปิดช่องโหว่ภูมิคุ้มกันในเด็กเล็กและวัยทำงาน พร้อมจับมือชุมชน–โรงเรียน–สถานประกอบการ เชื้อที่ติดต่อทางอากาศอย่างโรคหัดก็จะถูก “ตัดวงจร” อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยคชวนคิด: หนึ่งเข็มที่หายไป อาจกลายเป็นคลื่นการระบาดทั้งชุมชน แต่หนึ่งวันที่รีบฉีดให้ครบ สามารถหยุดคลื่นนั้นได้”

ประชาชนสามารถติดต่อ โรงพยาบาล/รพ.สต.ใกล้บ้าน เพื่อตรวจสอบสถานะวัคซีนและนัดหมายฉีดได้ทันที หากมีอาการเข้าข่าย ไข้สูง–ผื่น–ตาแดง–จุดขาวในกระพุ้งแก้ม ควร สวมหน้ากากและไปพบแพทย์เร็วที่สุด เพื่อรับการวินิจฉัยและการดูแลที่เหมาะสม

สรุปสัญญาณอาการโรคหัดที่พบได้บ่อย

  • ไข้สูง ไอแห้ง น้ำมูกไหล
  • ตาแดง แพ้แสง
  • Koplik’s spots (จุดขาวเล็ก ๆ ขอบแดงในกระพุ้งแก้ม)
  • ผื่นขึ้นจากหน้า “ลามลง” ลำตัว แขน ขา
  • ไข้สูงต่อเนื่อง 3–4 วัน ก่อนค่อย ๆ ลด และผื่นจางใน 7–10 วัน
  • ภาวะแทรกซ้อน ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ สมองอักเสบ (พบมากในเด็กเล็ก/ผู้ภูมิคุ้มกันต่ำ/หญิงตั้งครรภ์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คำแถลงรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (21 พ.ย. 2568)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

รัฐบาลเปิด 4 โซนให้ HEI ต่างชาติ เชียงรายชู MFU และ รพ.ขยายตัวสู่ฐานแพทย์แม่นยำ

เชียงราย–เชียงใหม่ชิงธง “Medical Hub เหนือ”  วิเคราะห์โอกาสตั้ง HEI ต่างชาติ–ขยายศักยภาพบริการสุขภาพ เชื่อม GMS

เชียงราย,23 พฤศจิกายน 2568 – จากความสำเร็จที่ไทยขึ้นแท่นผู้นำ Medical & Wellness Tourism ของอาเซียน รัฐบาลเดินเกมต่อด้วยการ “เปิดพื้นที่อีก 4 โซน” ให้สถาบันอุดมศึกษาศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (High-Potential Foreign HEIs) เข้ามาตั้งหลักสูตร–วิจัยเชิงลึก ยุทธศาสตร์นี้จับตาพิเศษที่ “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC)” ซึ่งเชียงใหม่ถูกมองเป็นตัวเต็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ “เชียงราย” มีน้ำหนักเชิงยุทธศาสตร์สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งการผลิตแพทย์ MFU–สธ., โครงการโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่ผ่าน EIA ส่วนต่อขยาย และบทบาท “ประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS)” หากออกแบบแผนพัฒนาให้ถูกจุด เมืองชายแดนแห่งนี้อาจกลายเป็น “ฐานทดสอบนวัตกรรมสุขภาพและการแพทย์แม่นยำ” ของภาคเหนือในไม่ช้า

วิเคราะห์สถานการณ์  ทำไม “เวลานี้” จึงเป็นหน้าต่างโอกาสของภาคเหนือ

  1. แรงส่งจากตลาดจริง – ปี 2566 ไทยรองรับผู้ป่วย–นักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ต่างชาติหลายล้านคน และตลาดดังกล่าวถูกประเมินว่ามีมูลค่า “หลักหมื่นล้านบาท” ต่อปี โดยนักวิเคราะห์ธุรกิจ–เศรษฐกิจไทยชี้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักมาจากตะวันออกกลาง เพื่อนบ้าน และสหรัฐฯ ซึ่งล้วนเป็นฐานลูกค้าที่ต้องการบริการคุณภาพสูง (High-Acuity, High-Value) และสร้างเม็ดเงินต่อหัวสูงกว่าการท่องเที่ยวทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
  2. นโยบายเชิงรุกของรัฐ – คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ “กำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่น” เพิ่มอีก 4 พื้นที่ เพื่อรองรับการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาต่างชาติศักยภาพสูง ภายใต้แบบจำลองความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทย/เอกชนไทย (Partnership Model) เป้าหมายชัด  ยกระดับคุณภาพคน–มาตรฐานหลักสูตร สร้าง Talent Pipeline เข้าสู่อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกจับตา คือ ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ที่เน้นบริการ–ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นแกน
  3. กรอบพัฒนา NEC ที่ “เอื้อสุขภาพ” มาแต่ต้น – เอกสารแผนพัฒนา NEC ระบุชัดว่าอุตสาหกรรมเป้าหมายของภาคเหนือรวม “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างสรรค์ และ “เทคโนโลยีการสกัด” ซึ่งเชื่อมโยงตรงกับ Bio-Wellness และ MedTech ที่ภาคเอกชนไทยกำลังก้าวรุก การวางบทบาทมหาวิทยาลัย (CMU, MFU) ให้เป็นหัวรถจักร R&D ภายใต้โมเดล Quadruple Helix ถูกกำหนดไว้แล้วในเชิงนโยบาย

ภาพใหญ่–หลักฐานเชิงประจักษ์–โอกาสที่ “จับต้องได้”

1) กำลังคนแพทย์  ดีล “MFU–สธ.–CPCE รพ.น่าน” เพิ่มกำลังผลิตแพทย์เขตสุขภาพที่ 1

  • กระทรวงสาธารณสุขลงนามกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อผลิตแพทย์เพิ่มเข้าระบบ โดยจัดการเรียนชั้นปี 1–3 ที่ MFU และชั้นปี 4–6 ที่ “ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลน่าน” (นับเป็นศูนย์ที่ 7 ในเขตสุขภาพที่ 1 ต่อจาก รพ.นครพิงค์, เชียงรายประชานุเคราะห์, ลำปาง, แพร่, พะเยา, ลำพูน) นโยบายภาพรวมของ สธ. มุ่งให้อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรไปถึง 1:650 ตามยุทธศาสตร์ 10 ปี
  • ความร่วมมือดังกล่าว เริ่มรับนักศึกษาแพทย์ปีการศึกษา 2570 จำนวน 20 คน และ MFU เดินหน้าพัฒนา “โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” ให้เป็นสถานฝึกทางคลินิกหลัก สะท้อน “โครงคน” ด้านสุขภาพของเชียงรายที่กำลังขยายฐานอย่างมีทิศทาง

มุมผลกระทบเชิงพื้นที่ การมีฐานฝึกคลินิกกระจายรอบเชียงราย–น่าน ทำให้ clinical rotation เชื่อมโยงชุมชนภูเขา–ชายแดน เกิดกรณีศึกษาโรคเฉพาะถิ่น–เวชศาสตร์ชุมชนจำนวนมาก ซึ่งเป็น “ทุนความรู้” ที่มหาวิทยาลัยต่างชาติสายจีโนมิกส์/เวชศาสตร์เขตร้อนสนใจ หาก HEI ต่างชาติถูกเชิญมาตั้ง “โปรแกรมร่วม” ในเชียงราย งานวิจัยเชิงพื้นที่จะเกิดประโยชน์ร่วม (co-benefits) ทั้งด้านวิชาการ เศรษฐกิจ และสุขภาพประชาชน

2) ขยายโครงสร้างบริการ  “โรงพยาบาลกรุงเทพ-เชียงราย (ส่วนต่อขยาย)” ผ่าน EIA – ก้าวสู่ขนาดใหญ่และบริการซับซ้อน

  • เอกสารจากหน่วยงานกำกับชี้ว่า “รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)” ของ โครงการส่วนต่อขยายโรงพยาบาลกรุงเทพ-เชียงราย ได้รับ “มติให้ความเห็นชอบรายงาน” แล้ว (เลขอ้างอิงตามหนังสือแจ้งมติ) ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญก่อนเข้าสู่เฟสก่อสร้างเต็มรูปแบบ.

หนังสือแจ้งมติ (ฉบับเจ้าของโครง…

  • แผนพัฒนาโครงการระบุการเพิ่มจำนวนเตียงจากโรงพยาบาลขนาดกลาง ไปสู่ขนาดใหญ่ พร้อมอาคารบริการ 8 ชั้น + ชั้นใต้ดิน และอาคารสนับสนุน (ที่พักแพทย์, ห้องผ้า, ระบบจัดการมูลฝอย) เพื่อรองรับเคสความซับซ้อนสูงมากขึ้น สอดคล้องทิศทางตลาดที่เน้น “หัตถการรายได้สูง” และแพทย์เฉพาะทางในภาคเหนือ.

มุมยุทธศาสตร์เชียงราย

เมื่อโครงสร้างเตียง–ศูนย์เฉพาะทางเอกชนขยาย และ “โครงคน” จาก MFU เติบโต เมืองจะมี “ฐานรองรับ” สำหรับ HEI ต่างชาติ ที่ต้องการตั้ง teaching center/clinical research node นอกเมืองหลวง ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้และ “โจทย์โรค” ที่หลากหลายต่างจากศูนย์กลางอย่างเชียงใหม่

3) เชียงรายในฐานะ “ประตู GMS”  เชื่อมผู้ป่วยข้ามแดน–ทดสอบนวัตกรรมสาธารณสุขพื้นที่สูง

  • เชียงรายเป็นเมืองชายแดนที่เชื่อม เมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยข้ามแดนเพื่อเข้าถึงการรักษาคุณภาพสูงในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โครงสร้างบริการภาคเอกชนที่กำลังขยาย กับเครือข่าย รพ.รัฐ (รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์) ทำให้เชียงรายเป็น “ฐาน hub-and-spoke” ของบริการเฉพาะทางระดับตติยภูมิที่เหมาะกับ HEI ต่างชาติสาย Global/Border Health อย่างยิ่ง
  • ในเชิงนโยบาย NEC เอง ก็วาง “เทคโนโลยีการสกัด–ดิจิทัลสร้างสรรค์–ท่องเที่ยวสุขภาพ” เป็นแกนขับเคลื่อน หากดึง HEI ต่างชาติด้าน Digital Health & MedTech มาตั้งในเชียงราย จะเกิด sandbox งานบริการ–วิจัยกับชุมชนและประชากรข้ามแดนได้เร็ว เพราะโครงสร้างราชการ–มหาวิทยาลัย–เอกชนพร้อมต่อชิ้นส่วน

เปรียบเทียบกับเชียงใหม่  จุดแข็งและ “ความร่วมมือเชิงภูมิภาค”

เป็นจริงที่ เชียงใหม่ มี “น้ำหนักโครงสร้างพื้นฐานนานาชาติ” เหนือกว่า สนามบินนานาชาติ, ฐานผู้พำนักต่างชาติ, เครือโรงพยาบาลเอกชน, และสถานะ Wellness City ที่ถูกผลักดันในระดับจังหวัดอย่างต่อเนื่อง จึงมักถูกประเมินว่าเป็น “ตัวเต็ง” ของภาคเหนือสำหรับการตั้ง HEI ต่างชาติด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

อย่างไรก็ดี จุดแข็งของเชียงใหม่ ไม่จำเป็นต้องไปทับซ้อน กับบทบาท “เชียงราย” หากออกแบบเป็น เครือข่ายเหนือบน–เหนือล่าง ดังนี้

  • เชียงใหม่ เป็น “ฐานวิจัยกลาง–หลักสูตรนานาชาติ–การเรียนรู้ขั้นสูง” (เช่น หลักสูตรบัณฑิตศึกษาด้าน Digital Health/Integrated Wellness Management ร่วมกับเอกชนและโรงแรมสุขภาพระดับนานาชาติ)
  • เชียงราย เป็น “ฐานคลินิก–ภาคสนาม–นวัตกรรมรับใช้พื้นที่สูงและชายแดน” ของหลักสูตรร่วม (clinical electives, community medicine, cross-border health, field trials ด้าน AI/tele-health)

โมเดลนี้จะเปลี่ยนภาคเหนือจาก “แข่งขันอย่างโดดเดี่ยว” เป็น “ร่วมมือ–เสริมบทบาท” เชื่อมพรมแดน GMS และยกระดับประเทศไทยสู่ Regional Education & Health Hub ตามที่ ครม. ตั้งเป้า

สถิติ–เทรนด์ตลาด  โอกาสเชิงพาณิชย์ที่หนุนการศึกษา–วิจัย

  • ภาพรวมอุตสาหกรรมบริการแพทย์เอกชนและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพถูกประเมินว่าขยายตัวต่อเนื่อง โดยวงเสวนาเศรษฐกิจรายใหญ่ของไทยชี้ยอดมูลค่าตลาด ราว 2.9 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และแนวโน้มเติบโตต่อจากดีมานด์ผู้สูงอายุ–ต่างชาติ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและสหรัฐฯ ที่เน้นคุณภาพบริการระดับสากล
  • วงวิชาการไทยยังประเมินจำนวน “ผู้ป่วยต่างชาติ” ในระบบบริการสุขภาพไทยระดับ “หลายล้านคน/ปี” ต่อเนื่อง ซึ่งตอกย้ำว่า supply ด้านบุคลากร–ศูนย์เฉพาะทาง–นวัตกรรม จะเป็นคอขวด หากไม่เร่งเพิ่มกำลังผลิตและยกระดับสมรรถนะในภูมิภาค

ข้อเสนอเชิงนโยบาย “เพื่อเชียงราย” (และเหนือทั้งภูมิภาค)

  1. ดึง HEI ต่างชาติที่ตรง pain point ของพื้นที่Digital Health, AI in Healthcare, Tele-medicine, MedTech, เวชศาสตร์ชุมชน–ชายแดน, Bio-Wellness/Extraction Technology (สอดรับ NEC) เพื่อสร้างคน–งานวิจัย–ธุรกิจใหม่ในห่วงโซ่คุณค่าเดียวกัน
  2. ออกแบบ “Campus คู่แฝด” เชียงใหม่–เชียงราย – หลักสูตรเดียวกันแต่สองบทบาท  เชียงใหม่เป็น Global Classroom & Innovation Core, เชียงรายเป็น Clinical-Community Lab ที่ทำวิจัยภาคสนามกับเครือข่าย รพ.รัฐ–เอกชน–หมู่บ้านบนพื้นที่สูง/ชายแดน
  3. เชื่อมเอกชนเข้ามาตั้ง “ศูนย์เฉพาะทาง–Sandbox” – อาศัยการขยายตัวของกรุงเทพ-เชียงราย (หลังผ่าน EIA) สร้างคลัสเตอร์ Spine/Neuro-Intervention–Imaging–Pain Clinic และแพทย์แม่นยำ ร่วมกับศูนย์/สถาบันของ HEI ต่างชาติ เพื่อลดช่องว่างเคสส่งต่อไปกรุงเทพฯ และเพิ่ม case-mix index ในภูมิภาค.
  4. ทุนวิจัยข้ามแดน & ข้อมูลสุขภาพชายแดน – ตั้งกองทุนวิจัยร่วม “TH-GMS Border Health” รองรับโครงการเชิงพื้นที่ (วัณโรค, ไข้มาลาเรีย, non-communicable diseases ในแรงงานเคลื่อนย้าย) และดาต้าพลatformเพื่อการเรียนรู้ของ AI ด้านระบาดวิทยาแบบเรียลไทม์
  5. โครงสร้างจูงใจ HEI – จัดสรรพื้นที่/สิทธิประโยชน์ในโซนเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ พร้อมมาตรการภาษีอุปกรณ์วิจัย–วีซ่าระยะยาวนักวิจัย–อาจารย์ เพื่อเร่งดึง “พันธมิตรระดับโลก” เข้าเครือข่ายเหนือไทยทั้งแพ็กเกจเดียว (Chiang Mai–Chiang Rai package)

บทสรุปเชิงนโยบาย

“เชียงใหม่” อาจเป็น ตัวเต็งด้านโครงสร้างพื้นฐานนานาชาติ สำหรับการตั้ง HEI ต่างชาติในภาคเหนือ แต่ “เชียงราย” คือ ตัวจริงด้านสนามปฏิบัติการเชิงพื้นที่ ที่พร้อมโอบรับงานวิจัย–บริการสุขภาพดิจิทัล–สุขภาพชายแดน–แพทย์แม่นยำ ด้วยแรงส่ง 3 แกน: (1) ความร่วมมือผลิตแพทย์ MFU–สธ. ที่ขยายกำลังคนตรงพื้นที่ (2) โครงการโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่ผ่าน EIA และจะยกระดับความสามารถรับเคสซับซ้อน (3) บทบาทเมืองชายแดนเชื่อม GMS ซึ่งเอื้อต่อการเป็น “Clinical-Community Lab” ระดับภูมิภาค

หากรัฐบาล “ล็อกแพ็กคู่เชียงใหม่–เชียงราย” ให้เป็น เครือข่าย HEI ต่างชาติ ที่บทบาทแตกต่างแต่เสริมกัน ไทยจะไม่เพียงรักษาตำแหน่ง Medical & Wellness Tourism ของอาเซียน แต่ยังยกระดับเป็น Regional Education & Health Innovation Hub ที่เชื่อมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีนตอนใต้ได้อย่างมีกลยุทธ์ และผลลัพธ์จะตกกับประชาชนเหนือบนอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC)
  • เชียงใหม่ Wellness City – ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ (ประกาศ/กิจกรรมผลักดัน).
  • กระทรวงสาธารณสุข–มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” ผลิตแพทย์เขตสุขภาพที่ 1 และศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลน่าน
  •  SCB EIC: Health & Wellness Mega Trend 2023–2024
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS HEALTH

สสส.-มฟล. ผนึกพลัง! ใช้คลิปสั้นขับเคลื่อน “เชียงรายเมืองสุขภาพ” ผ่านระบบอาหาร

วันแห่งการ “ลงมือสื่อสาร” ของคนรุ่นใหม่

เชียงราย, 15 พฤศจิกายน 2568 – ห้องประชุม “ประดู่แดง 2” อาคารพลเอกสำเภาชูศรี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แน่นขนัดไปด้วยนักศึกษา ทีมสร้างสรรค์จากหลายสาขา และเครือข่ายร้านอาหาร-โรงแรม 4 อำเภอนำร่อง เมืองเชียงราย, แม่สาย, เชียงแสน, เชียงของ ต่างตั้งใจมาดูว่าพลังของคลิปวิดีโอสั้นและงานเล่าเรื่อง (storytelling) จะเปลี่ยน “พฤติกรรมการกิน” ของผู้คนได้อย่างไร สภาพแวดล้อมของสถานที่จัดงานซึ่งเป็นหอประชุมหลักของมหาวิทยาลัยช่วยให้การบรรยาย การเสวนา และการสาธิตเกิดขึ้นไหลลื่นตลอดทั้งวัน

งานนี้เกิดขึ้นภายใต้ “โครงการบูรณาการและขับเคลื่อนระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และดำเนินงานโดยบริษัทประชารัฐรักสามัคคีเชียงราย (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์ชัดเจน ขับเคลื่อน “Chiang Rai Wellness City” ให้เป็นรูปธรรม ผ่านระบบอาหารปลอดภัยที่ตรวจสอบได้และยั่งยืน (ThaiHealth เป็นหน่วยงานรัฐลักษณะกองทุนสาธารณะที่สนับสนุนโครงการสร้างเสริมสุขภาพในมิติต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง)

เวทีเสวนา จาก “อยู่ไม่เป็นสุข” สู่ “สามห่วงโซ่คล้องใจ”

ช่วงสายเปิดวงเสวนาในหัวข้อ “อาหารเพื่อสุขภาวะต่อการพัฒนาเชียงรายเมืองสุขภาพ” โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและตัวแทนหน่วยงานหลัก ได้แก่ อาจารย์ ดร.สง่า ดามาพงษ์ (ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส.), นายกิตติ ทิศสกุล (ผู้จัดการโครงการฯ และประธาน บ.ประชารัฐรักสามัคคีเชียงราย), นายเสน่ห์ แสงคำ (เกษตรจังหวัดเชียงราย), นายวชิระ หน่อแหวน (นักสาธารณสุขชำนาญการ สสจ.เชียงราย) และอาจารย์ฐานปัทม์ ไชยชมภู (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)

แกนคิดของวงคือการแก้ “สามปัญหาหลัก” ที่ทำให้สังคม “อยู่ไม่เป็นสุข” ทางอาหาร  (1) ต้นน้ำ เกษตรกรยังใช้สารเคมีสูง, (2) กลางน้ำ ร้านอาหารยังปรุงไม่ชูสุขภาพ, (3) ปลายน้ำ ผู้บริโภคขาดความรอบรู้ ด้วย “สามห่วงโซ่คล้องใจ” ให้เชื่อมกันครบวงจร แหล่งผลิตปลอดภัย ครัว-ร้านปรุงดีต่อสุขภาพ ผู้บริโภคเลือกกินอย่างรู้เท่าทัน

ในวงเสวนา นายกิตติ ทิศสกุล อธิบาย “ยุทธศาสตร์เชิงสื่อสาร” ของโครงการว่า ใช้ “นักศึกษามหาวิทยาลัย” เป็นผู้สื่อสารลำดับแรก ผ่านคลิปสั้นที่เล่า “ที่มาของจานอาหารปลอดภัย” ตั้งแต่วัตถุดิบถึงครัว และขยายผลด้วยแพลตฟอร์ม “Give and Give” ในแนวเศรษฐกิจแบ่งปัน (sharing economy) เพื่อเชื่อมเครือข่ายร้านอาหาร-โรงแรมกับเกษตรกรปลอดภัย ให้เกิดทั้งยอดขาย คะแนนสะสม สิทธิประโยชน์ และกองทุนสีเขียวกลับคืนสู่ชุมชน ผลลัพธ์คือ “วงจรแรงจูงใจ” ใหม่ที่ทำให้คนกิน-ร้าน-ชุมชนได้ประโยชน์พร้อมกัน (อ้างอิงข้อมูลตามถ้อยคำผู้จัดงานที่ให้ไว้)

ฝั่งภาคเกษตร นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย สะท้อนแนวทางลดสารเคมีด้วยการส่งเสริม “ปุ๋ยหมักชีวภาพจากเศษอาหาร/วัสดุเหลือใช้” และการให้ความรู้เรื่องโครงสร้างดิน ใช้ปุ๋ยอะไร เหมาะกับพืชใด ก่อนเชื่อมตลาดสีเขียวและตลาดหลัก เพื่อระบายผลผลิตล้นตลาดด้วยช่องทางที่โปร่งใส มีมาตรฐาน ซึ่งสอดคล้องกับความพยายามภาครัฐระดับจังหวัดที่ผลักดัน “เมืองอาหารปลอดภัย” ผ่านหลายมาตรการตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

จุดต่างที่เป็น “นวัตกรรม” สื่อ + เมนูพื้นถิ่น + อาหารเป็นยา

“จุดขาย” ของ Hackathon นี้ไม่ได้อยู่ที่เทคนิคภาพหรือการตัดต่อเท่านั้น แต่คือ “การแปลงคุณค่าพื้นถิ่นให้เป็นภาษาคนรุ่นใหม่” เมนูท้องถิ่นล้านนาที่มีสมุนไพรและภูมิปัญญาชุมชนเดิมอยู่แล้ว ถูก “รีดีไซน์การเล่าเรื่อง” ให้ดึงดูดมากขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และสร้าง “แรงบันดาลใจให้ลอง”  โดยไม่ทิ้งอัตลักษณ์ของถิ่น สิ่งนี้สอดคล้องกับคำแนะนำของ WHO ที่เน้น “อาหารที่หลากหลาย สมดุล และปลอดภัย” เป็นฐานสุขภาวะ และสนับสนุนให้เกิดนโยบายและสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อพฤติกรรมสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ขณะเดียวกัน ปัญหา “เศษอาหาร/อาหารล้นตลาด” ซึ่งเป็นแรงกดดันเชิงสิ่งแวดล้อม-เศรษฐกิจระดับโลก ก็ถูกยกเป็นโจทย์ท้าทายให้ทีมพัฒนาคอนเซ็ปต์แพลตฟอร์มและบริการเพื่อ “อัพไซเคิล” วัตถุดิบส่วนเกิน สอดรับข้อเท็จจริงจาก FAO ว่าความสูญเสีย/สูญเปล่าของอาหารเกิดกระจายตลอดห่วงโซ่อุปทาน หากปิดรูรั่วตรงนี้ได้ เมืองสุขภาพย่อมเดินได้เร็วขึ้นและยั่งยืนกว่าเดิม

เวทีประกวด รางวัลและไอเดียที่ขับเคลื่อนจริง

ผลรางวัล Hackathon Project (6 รางวัล)

  • ชนะเลิศ (5,000 บาท + โล่) ทีม “หิวมาก” ผลงาน กาสะลอง @ ไร่พีบี วัลเล่ย์ เชียงราย | อาหารปลอดภัยที่ปลูกด้วยใจกลางขุนเขา
  • รองชนะเลิศอันดับ 1 (3,000 บาท + โล่) ทีม “ซวยแล้วหนู คู่หูพี่มาแล้ว” ผลงาน Malongder Healthy Lanna Cuisine
  • รองชนะเลิศอันดับ 2 (2,000 บาท + โล่) ทีม “Neet more rest time” ผลงาน Safe Food Cuisine Sathanee Nam Nueng
  • Popular Vote (5,000 บาท + โล่) ทีม “ST” ผลงาน Beyond Sky Café at Chiang Kong | Hackathon Healthy Food
  • ชมเชย (1,000 บาท + โล่) จำนวน 2 รางวัล
    • ทีม “Dynamic Duo” ผลงาน เมนูชูสุขภาพ ร้านเอกโอชา เชียงราย ยำตะไคร้กุ้งสด
    • ทีม “ติดบ้านไหม” ผลงาน ข้าวมันไก่ไหหลำ เชียงของ | 60 Years of Flavor in Chiang Khong

รางวัลนักสื่อสารโครงการ (รางวัลละ 1,500 บาท)

  • The Maximum Output Award (ปริมาณคอนเทนต์มากที่สุด) ทีม “ยาลือ”
  • The Public Influence Award (อิทธิพลสื่อสูงสุด ยอด Like/Comment/Share/Save) ทีม “ช่วยด้วย”
  • The Creative Excellence Award (ความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม) ทีม “หิวข้าว”

สาระสำคัญของผลงานชนะเลิศ คือการตีความ “อาหารปลอดภัย” ให้จับต้องได้ ในมุมมองของผู้บริโภครุ่นใหม่ เชื่อมฉากไร่กาแฟและแปลงผักบนภูเขาเข้ากับครัวร้านอาหารเมือง และลงท้ายด้วยคำชวน “ลองเปลี่ยนจานถัดไปของคุณให้ดีต่อสุขภาพและดีต่อชุมชน”  นี่คือพลังของสื่อที่ทำให้ “ทางเลือกที่ดี” กลายเป็น “ดีลที่ใช่” ในชีวิตประจำวัน

สาระจากผู้จัด “จากไอเดีย สู่ระบบนิเวศตลาดจริง”

นายกิตติ ทิศสกุล ผู้จัดการโครงการฯ อธิบายถึงกลไกตลาด “Give and Give” ในเชิงนโยบายว่า ตั้งใจให้เป็น แพลตฟอร์มสร้างแรงจูงใจสองทาง ผู้ประกอบการร้านอาหาร/โรงแรมซื้อวัตถุดิบปลอดภัยก็ได้ “คะแนน-ส่วนลด-สิทธิประโยชน์” กลับไป ขณะเดียวกัน ส่วนหนึ่งของมูลค่าการซื้อ ถูกกันไว้เป็น “กองทุนสีเขียว” เพื่อไปขับเคลื่อนกิจกรรมอาหารปลอดภัยในชุมชนต่อ พลิกโมเดล “ซื้อแล้วจบ” ให้เป็น “ซื้อแล้วหมุนต่อ” สู่การเปลี่ยนพฤติกรรมในวงกว้าง (ข้อความสรุปจากผู้จัดงานตามข้อมูลที่ผู้ใช้จัดเตรียม)

เมื่อถามถึงโจทย์ “ผลผลิตล้นตลาด/เศษอาหารเหลือทิ้ง” ผู้จัดโครงการย้ำแนวทาง แปรรูป-หมุนเวียน-กลับเข้าสู่ไร่นา ด้วยความรู้ทางดินและปุ๋ยหมัก รวมถึงการเปิด “พื้นที่ตลาดสีเขียว” ให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าแหล่งปลอดภัยได้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้สอดประสานกับคำแนะนำเชิงนโยบายเรื่องอาหารเพื่อสุขภาวะและพฤติกรรมสุขภาพที่ WHO ผลักดันในระดับโลก

ทำไม “เชียงราย” ต้องขับเคลื่อนประเด็นนี้ “ตอนนี้”

  1. ภาระโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และพฤติกรรมการบริโภค
    WHO ระบุชัดว่าพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมและการไม่มีกิจกรรมทางกายคือปัจจัยเสี่ยงสำคัญของ NCDs โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง เบาหวาน มะเร็งบางชนิด การลงทุนด้าน “ระบบอาหารที่ดีและสื่อสารพฤติกรรมสุขภาพ” ให้เกิดขึ้นในระดับพื้นที่ จึงเป็น “คุ้มค่าที่สุด” เมื่อมองทั้งมุมสุขภาพและเศรษฐกิจระยะยาวของจังหวัด
  2. โอกาสทางเศรษฐกิจของอาหารปลอดภัยและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
    จังหวัดผลักดันภาพ “เมืองสุขภาพ Chiang Rai Wellness City” และ “เมืองอาหารปลอดภัย” ผ่านหลายความร่วมมือของหน่วยงานรัฐ-เอกชนที่ต่อเนื่อง มิติ “อาหาร” เป็นประตูสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ล้านนา ข้อมูลด้านนโยบายสาธารณะและการรณรงค์เรื่องอาหารปลอดภัยในเชียงรายปรากฏต่อเนื่องในสื่อภาครัฐระดับจังหวัดตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อน “ฉันทามติ” ระดับท้องถิ่นให้เดินไปทิศทางนี้อย่างจริงจัง
  3. ลดสูญเสียอาหาร กำไรทั้งสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และกระเป๋าเงินชุมชน
    FAO ย้ำตัวเลขโลกที่ “ชวนคิด” อาหารราว 14% สูญเสียในซัพพลายเชน และอีกประมาณ 19% สูญเปล่าที่ด่านค้าปลีก-บริการอาหาร-ครัวเรือน การออกแบบแพลตฟอร์ม/บริการที่ “ดูดซับ-ยืดอายุ-แปรรูป-รีเทิร์น” อาหารส่วนเกินให้มีมูลค่า คือคานงัดที่เชื่อม “เป้าหมายสุขภาพ” เข้ากับ “เศรษฐกิจท้องถิ่นสีเขียว” อย่างจับต้องได้

ประโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว และการบ้านหลังจบเวที

ระยะสั้น

  • เครือข่ายร้านอาหาร-โรงแรม 50+ แห่งมี “ต้นแบบคอนเทนต์” พร้อมใช้ ทั้งภาพลักษณ์แบรนด์ และข้อมูลที่ชี้ชวนผู้บริโภคเลือกเมนูสุขภาวะ
  • นักศึกษามี “ทักษะสื่อสารสาธารณะ” ฝั่งสุขภาพ-โภชนาการ ผ่านงานจริงกับผู้ประกอบการ
  • เกิด “บทสนทนาสาธารณะ” เรื่องอาหารปลอดภัยที่กว้างขึ้น จากเวทีสู่สื่อออนไลน์ของผู้เข้าแข่งขัน

ระยะกลาง

  • แพลตฟอร์ม “Give and Give” หากเดินหน้าต่อ จะทำให้ พฤติกรรมการจัดซื้อ ของผู้ประกอบการขยับไปหาวัตถุดิบปลอดภัยมากขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะมีแรงจูงใจเป็นแต้ม/ส่วนลด/สิทธิประโยชน์ และมี “กองทุนสีเขียว” เติมเชื้อเพลิงกิจกรรมสาธารณะกลับสู่ชุมชน
  • ตลาดสีเขียวกับช่องทางค้าปลีกหลักในพื้นที่ จะเป็น “วาล์วระบาย” ผลผลิตล้นตลาด พร้อมฐานข้อมูลสม่ำเสมอสำหรับวาง KPI เมืองสุขภาพ

ระยะยาว

  • หาก “การสื่อสาร” ต่อเนื่องควบคู่ “นโยบายเชิงสิ่งแวดล้อมเอื้อสุขภาพ” (health-promoting environments) ตามแนวทาง WHO เชียงรายจะเข้าใกล้เส้นชัย เมืองสุขภาพ มากขึ้น ทั้งในเชิงตัวชี้วัดสุขภาพประชากรและความสามารถในการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเมืองปลายทางท่องเที่ยวคุณภาพ

ข้อเสนอเชิงนโยบาย/ภาคปฏิบัติ (จากบทเรียนบนเวที)

  1. ตั้ง “ดัชนีอาหารปลอดภัยระดับอำเภอ”
    ชั่งน้ำหนัก 3 ด้าน (ก) สัดส่วนแหล่งผลิต/เกษตรกรที่ผ่านมาตรฐานลดสาร, (ข) สัดส่วนเมนูชูสุขภาวะในร้านเครือข่าย, (ค) อัตราการรับรู้/การเลือกของผู้บริโภค เผยแพร่รายไตรมาสเพื่อให้เกิดการแข่งขันเชิงบวกในพื้นที่
  2. ย้ำบทบาท “นักสื่อสารสุขภาวะ” เป็นโครงการต่อเนื่อง
    บ่มเพาะ cohort นักศึกษาและครูพี่เลี้ยงใหม่ทุกปี เพิ่ม “ธนาคารสคริปต์/ชุดภาพ” กลางให้ร้าน-โรงแรมใช้ได้ฟรีภายใต้เงื่อนไขอ้างอิงแหล่งวัตถุดิบปลอดภัย
  3. ขยาย “Give and Give” สู่ระบบแต้มร่วม (federated points)
    เชื่อมกับตลาดสีเขียว/ตลาดชุมชน เพื่อให้แต้มใช้ได้หลายที่ เพิ่มแรงจูงใจทั้งฝั่งผู้ประกอบการและผู้บริโภค พร้อมระบบเก็บข้อมูล (data lake) เพื่อนำไปวิเคราะห์รูปแบบการบริโภคและวางแคมเปญเชิงพฤติกรรม
  4. ยกระดับงาน “ลดเศษอาหาร” เป็นแชมเปี้ยนของเมือง
    ตั้งโจทย์ Hackathon รุ่นต่อไปให้เน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์/บริการอัพไซเคิลวัตถุดิบส่วนเกิน, การคาดการณ์อุปสงค์ด้วยข้อมูล (demand prediction), และการคืนคุณค่าเศษอาหารสู่ไร่เป็นปุ๋ยชีวภาพ โดยตั้งเป้าตัวชี้วัดสาธารณะให้ชัดเจน (เช่น ลดอาหารสูญเปล่าในเครือข่าย x%) ให้เชื่อมโยงตัวเลข FAO เพื่อการติดตามผลที่เทียบได้มาตรฐานสากล

มุม “คนอ่านใช้ประโยชน์ได้ทันที”

  • หากเป็นผู้ประกอบการร้านอาหาร/โรงแรม เริ่มจาก “เมนูนำร่อง” 1–2 รายการที่ชูสุขภาวะและเล่า “ที่มา” ของวัตถุดิบ เชื่อมกับคอนเทนต์ทีมมหาวิทยาลัยที่ผลิตไว้ แล้วโยงเข้าระบบแต้มของแพลตฟอร์ม
  • หากเป็นผู้บริโภค ลอง “1 มื้อเพื่อชุมชน” ต่อสัปดาห์ เลือกเมนูจากร้านเครือข่ายอาหารปลอดภัย/ตลาดสีเขียว และแชร์เรื่องราวจานนั้นบนโซเชียล เพื่อขยายอิทธิพลสาธารณะเชิงบวก
  • หากเป็นภาครัฐท้องถิ่น ประกาศ Roadmap เมืองสุขภาพ ที่ผูกตัวชี้วัดด้านอาหารปลอดภัยกับนโยบายท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และรายงานผลทุกไตรมาสอย่างโปร่งใส

จาก “เวทีหนึ่งวัน” สู่ “ระบบนิเวศความร่วมมือ”

Hackathon ครั้งนี้พิสูจน์ว่าการขับเคลื่อนเมืองสุขภาพเริ่มได้จาก “คลิปสั้น ความคิดยาว” เมื่อการเล่าเรื่องอาหารพื้นถิ่นถูกจับคู่กับระบบตลาดแบบมีแรงจูงใจ และเสริมหลังบ้านด้วยองค์ความรู้เกษตรปลอดภัย เมืองก็จะได้ทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ และความยั่งยืนในคราวเดียว สิ่งที่เชียงรายกำลังทำ จึงไม่ใช่แค่การประกวดสื่อ หากคือการวางรากฐาน “ระบบอาหารเพื่อสุขภาวะ” ที่คนทั้งเมืองมีส่วนร่วม ตั้งแต่ไร่ไปถึงจาน และจากจานกลับสู่ชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ภาพ : กีรติ ชุติชัย
  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
    เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • องค์การอนามัยโลก (WHO
  • FAO (Food and Agriculture Organization of the United Nations)
  • สำนักประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย (กรมประชาสัมพันธ์)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

ไทยทำงานหนัก “อันดับ 3 โลก” วัฒนธรรม “ต้องมาเห็นหน้า” เร่งคนทำงานสู่ภาวะหมดไฟ

อินไซต์คนทำงานไทย 2568  ทำงานหนัก “อันดับ 3 ของโลก” — ชั่วโมงยาวนาน, เกรงใจ, และวัฒนธรรม “ต้องมาให้เห็นหน้า” ที่ผลักคนทำงานเข้าใกล้ภาวะหมดไฟ

ประเทศไทย, 18 ตุลาคม 2568 — เช้าวันธรรมดาในกรุงเทพฯ ถนนสายหลักยังแน่นขนัดแม้ฟ้ายังไม่สว่างดี “พลอย” (นามสมมติ) พนักงานบริษัทเอกชนวัย 29 ปี ออกจากห้องพักก่อนหกโมงครึ่งเพื่อให้ทันประชุมที่เริ่มแปดโมง แต่ตารางงานจริงจบหลังสองทุ่มแทบทุกวัน วันลาป่วยมี แต่ไม่ค่อยใช้ เพราะ “กลัวทีมลำบาก” และ “หัวหน้าอยากเห็นหน้า” ความรู้สึกผิดผสมกับความ เกรงใจ ทำให้เธอมักพกยาลดไข้ติดกระเป๋าและเดินเข้าที่ประชุมด้วยรอยยิ้มตามมารยาท

เรื่องราวของพลอยไม่ใช่ข้อยกเว้น หากสะท้อน “โครงสร้างความปกติใหม่” ของแรงงานไทยที่กำลังลากยาวเกินสมดุล เมื่อ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รายงานว่า ประเทศไทยติดอันดับ 3 ของโลก ด้านสัดส่วนผู้ทำงาน เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดย 46.7% ของแรงงานไทยอยู่ในกลุ่มนี้—สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขนี้ซ้อนทับกับพฤติกรรมในที่ทำงานอย่าง Presenteeism (การต้องมาให้เห็นหน้า แม้ป่วยหรือไม่พร้อมทำงาน) ที่ฝังรากอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรไทยจำนวนไม่น้อย และกำลังผลักคนทำงานให้เข้าใกล้ภาวะหมดไฟ (burnout) มากขึ้นเรื่อย ๆ

ท่ามกลางบริบทดังกล่าว แพลตฟอร์มท่องเที่ยว Klook เปิดตัวแคมเปญปลายปี ไป ลา มา Klook” พร้อมมหกรรมลาเที่ยว Klook Online Travel Fest (17–20 ตุลาคม 2568) ด้วยเป้าหมายเรียบง่ายแต่ท้าทาย ชวนคนไทย “กล้าลา” เพื่อพักและชาร์จพลังอย่างถูกต้องตามสิทธิ์—สิทธิ์ที่กฎหมายแรงงานรับรอง แต่คนไทยจำนวนมากยัง “ไม่กล้าใช้”

สัญญาณเตือนจากข้อมูล ชั่วโมงยาวนาน–ต้องมาให้เห็นหน้า–วันลาถูกยกเลิก

ภาพรวมจากข้อมูลและผลสำรวจที่เกี่ยวข้องชี้ให้เห็น “สามเหลี่ยมความเสี่ยง” ที่กดทับคุณภาพชีวิตการทำงานของคนไทยในปี 2568

1) ชั่วโมงทำงานยาวนานผิดปกติ

  • 46.7% ของแรงงานไทยทำงาน เกิน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ (ข้อมูล ILO) เทียบกับกรอบทำงานมาตรฐานสากลที่ราว 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ ความยาวนานนี้สัมพันธ์กับความเครียดเรื้อรัง การนอนไม่พอ และปัญหาสุขภาพกาย–ใจในระยะยาว

2) วัฒนธรรม “Presenteeism”

  • พนักงานไทย ประมาณ 35–48% ยังคงมาทำงาน ทั้งที่ป่วย ด้วยเหตุผลหลากหลาย ตั้งแต่เกรงใจเพื่อนร่วมงาน กลัวเสียภาพลักษณ์ต่อผู้บังคับบัญชา ไปจนถึงการขาดความยืดหยุ่นของระบบงาน สถานการณ์นี้ลดทอนประสิทธิภาพ, เพิ่มความเสี่ยงแพร่เชื้อในที่ทำงาน และเร่งสะสมความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ (emotional exhaustion) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ burnout

3) วันลามี…แต่ไม่ใช้

  • ผลสำรวจพฤติกรรมการลาพักร้อนพบว่า 74% ของพนักงาน ยอมยกเลิกวันลา เมื่อมีภาระงานด่วน และ 24% ยังคง เช็กอีเมลงานในวันหยุด ขณะเดียวกัน 80% ของผู้ตอบแบบสอบถาม อยากได้วันลามากกว่าที่มี แต่ ไม่กล้าลา เพราะเกรงใจทีม ไม่อยากเพิ่มภาระ และ “ไม่รู้จะเริ่มวางแผนอย่างไร”

ข้อเท็จจริงสามด้านนี้ผูกกันเป็น “กับดักโครงสร้าง”  งานยาว–ต้องมา–ไม่กล้าลา ส่งผลให้การพักผ่อนที่ควรเป็น “เครื่องกันกระแทก” ทางกายและใจ ถูกผลักให้เป็นเรื่องยกยอดไปเรื่อย ๆ

เมื่อสิทธิ์กลายเป็นความเกรงใจ วิเคราะห์จุดปะทะของโครงสร้างกฎหมาย–วัฒนธรรมองค์กร

กฎหมายคุ้มครองแรงงานไทยกำหนดชั่วโมงทำงานปกติ–ล่วงเวลา–วันหยุด–วันลาไว้ชัดเจน และนายจ้างจำนวนมากปฏิบัติตามอย่างเป็นทางการ ทว่าในระดับวัฒนธรรมองค์กร หลายที่ยัง ตีความ “ความทุ่มเท” = “ต้องมา” และ การอยู่ดึก” = “มุ่งมั่น” ส่งผลให้การ ทำงานนอกเวลา กลายเป็นเรื่อง “ปกติ” แม้จะไม่ได้บันทึกเป็น OT ก็ตาม

ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรมนุษย์ให้ความเห็นว่า วัฒนธรรม Outcome-based (วัดผลงานตามเป้าหมาย) ยังสู้รูปแบบ Visibility-based (ต้องเห็นหน้า–ออนไลน์ตลอด) ไม่ได้ในหลายองค์กร โดยเฉพาะหน่วยงานที่ลำดับชั้นชัดเจน การลาที่ถูกต้องตามสิทธิ์จึงถูกมองผ่านเลนส์ของ “ความเกรงใจ” มากกว่า “สุขภาวะและประสิทธิภาพการทำงานระยะยาว”

จากพื้นที่ทำงาน วงจรความเครียดที่แทรกซึมในชีวิตประจำวัน

กลับมาที่เรื่องของ “พลอย” เธอเล่าว่าช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ทีมมีโปรเจกต์ต่อเนื่องเวลาบีบคั้น ทุกครั้งที่ตั้งใจจะ ลากำลัง” ไปพักผ่อน เธอมักถูกคำถามจากเพื่อนร่วมทีมว่า “โอเคนะ เดี๋ยวงานใครทำ” และแม้หัวหน้าจะอนุมัติลา แต่การประชุมสำคัญกลับถูกนัดในช่วงวันหยุดของเธอเอง “พอถูกแท็กชื่อในไลน์งาน ก็อดหยิบมือถือไม่ได้ สุดท้ายก็แอบเช็กอีเมลอยู่ดี” เธอบอก

มุมนี้สะท้อน Boundaryless Work—เส้นแบ่งระหว่าง “เวลางาน” และ “เวลาส่วนตัว” ถูกทำให้พร่าเลือนด้วยเทคโนโลยีและค่านิยม “ตอบไวคืองานเดิน” ซึ่งเมื่อขาด ข้อตกลงร่วม และการบริหารจัดการที่ชัดเจน ย่อมพาคนทำงานไปสู่ภาวะ หมดไฟ ได้ง่ายขึ้น

ตลาดท่องเที่ยวตอบโจทย์ใหม่  “ทริปสั้น–บ่อย” แทน “ทริปยาว–ปีละครั้ง”

ท่ามกลางโครงสร้างงานที่เข้มข้น แนวโน้มการพักผ่อนของคนไทยกำลังเคลื่อนจาก ยาวครั้งเดียว” ไปสู่ สั้นแต่บ่อย” ตามข้อมูลเชิงพฤติกรรมของผู้ใช้บริการในปี 2568 ซึ่ง Klook สังเกตว่ากลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z มีพฤติกรรมดังนี้

  • เกือบ 50% วางแผนและจองกิจกรรม ล่วงหน้าน้อยกว่า 2 เดือน
  • 18% จองกิจกรรม เพียง 4–7 วันก่อนเดินทาง
  • ชื่นชอบการเดินทางแบบ 4 วัน 3 คืน กระจายหลายทริปตลอดปี แทนการลายาว ๆ ครั้งเดียว

เคนนี่ แชม ผู้จัดการทั่วไป ประจำ Klook ประเทศไทย–ฮ่องกง–มาเก๊า อธิบายว่า “นักเดินทางรุ่นใหม่มองการท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่ ‘หยิบใช้ได้’ ไม่จำเป็นต้องวางแผนยาว 10 วัน ทริปสั้น ๆ แต่ถี่—ช่วยให้ชาร์จพลังได้ต่อเนื่องและไม่กระทบงานมาก ซึ่งเข้ากับวัฒนธรรมการทำงานสมัยใหม่ของไทย”

จากอินไซต์ดังกล่าว Klook จึงผลักดันแคมเปญ ไป ลา มา Klook” และงาน Klook Online Travel Fest (17–20 ต.ค. 2568) เพื่อ “ปลดล็อก” ความลังเลของคนทำงาน—จาก กลัวลา” สู่ กล้าลาอย่างมีแผน” โดยเลือกทริปใกล้–สั้น–ยืดหยุ่น และปรับให้สอดคล้องภาระงานได้จริง

มุมเศรษฐกิจมหภาค  “สุขภาวะแรงงาน” คือฐานผลิตภาพ

สำหรับภาครัฐและผู้กำหนดนโยบาย ตัวเลขชั่วโมงทำงานยาวนานอาจตีความได้สองด้าน ด้านหนึ่งสะท้อน แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และความทุ่มเทของแรงงานไทย แต่อีกด้านคือ สัญญาณเตือน ต่อ ผลิตภาพ (productivity) ระยะยาว เพราะการทำงานเกินชั่วโมงมาตรฐานอย่างต่อเนื่องสัมพันธ์กับ ผลลัพธ์ถดถอย (diminishing returns) ทั้งด้านคุณภาพงาน ความคิดสร้างสรรค์ และอุบัติเหตุในที่ทำงาน

ในระดับองค์กร เริ่มเห็นการทดลอง นโยบายยืดหยุ่น (Flexible Work) และ สิทธิ์ “Right to Disconnect” (สิทธิ์ปิดการติดต่อหลังเวลางาน) ในบางอุตสาหกรรม การกำหนด SLA การตอบแชต/อีเมล ที่สมเหตุผล การหมุนเวียนกำลังคนในช่วงงานพีก และการให้หัวหน้าเป็น “แบบอย่างการลา” ล้วนช่วย ลดแรงต้านทางวัฒนธรรม ทำให้การลาตามสิทธิ์กลายเป็น “ความรับผิดชอบต่อทีมและตัวเอง” ไม่ใช่ “ความเกรงใจที่ต้องขอ”

มุม HR และจิตวิทยาองค์กร จาก “Work–Life Balance” สู่ “Work–Rest Rhythm”

นักจิตวิทยาองค์กรชี้ว่า แนวคิด Work–Life Balance แบบ “ตาชั่ง” เริ่มถูกท้าทาย และกำลังเปลี่ยนเป็น Work–Rest Rhythm—จังหวะงาน–พักที่ต่อเนื่อง พักให้เป็น “ช่วงสั้นแต่สม่ำเสมอ” ดีกว่าอดทนยาวจนต้องปิดเครื่องหลายวัน เพราะเมื่อเส้นใยความเหนื่อยล้าสะสม พลังใจยากกลับคืน และทีมเสียต้นทุนมากกว่า

การมี ไมโครเบรก ระหว่างวัน, มินิพัก เสาร์–อาทิตย์, และ ทริป 3–4 คืน รายไตรมาส สอดคล้องกับข้อมูลสังคมไทยยุคนี้ที่นิยม จองกะทันหัน และ เดินทางถี่ขึ้น เครื่องมืออย่างแพลตฟอร์มรวมกิจกรรม–ตั๋ว–แพ็กเกจ จึงตอบโจทย์ “คนเวลาน้อย–อยากพักไว–งบคุมได้”

Case for Change ตัวอย่างแนวปฏิบัติที่ขับเคลื่อนได้ทันทีในที่ทำงาน

แม้ข่าวชิ้นนี้มุ่งนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง แต่เพื่อเชื่อมโยงสู่การปฏิบัติระดับทีมงาน ผู้เชี่ยวชาญ HR เสนอแนวทางที่ “ทำได้จริง” โดยไม่เพิ่มต้นทุนมากนัก อาทิ

  1. ประกาศ “วันลาที่ไม่ต้องอธิบายยาว”  ลาได้โดยใช้ถ้อยคำกลาง ไม่ต้องชี้แจงเหตุผลส่วนตัวละเอียดเกินจำเป็น ลดแรงกดดันทางสังคม
  2. ตั้ง “ปฏิทินห้ามประชุม” สำหรับผู้ลาพัก งดลิสต์ชื่อผู้ลาในทุกการนัดหมาย ลดแรงดึงกลับเข้างาน
  3. โควตา “No-Email Hours”  ช่วงเวลาที่องค์กรไม่ส่งงานใหม่ เว้นแต่งานฉุกเฉินจริง
  4. หัวหน้าเป็นแบบอย่าง ผู้บริหารใช้วันลาจริงและไม่ตอบงานในวันหยุดของตนเอง
  5. สื่อสารด้วยข้อมูล อัปเดตทีมถึงความเสี่ยงของชั่วโมงยาว–ประสิทธิภาพถดถอย และกรณีศึกษาที่แสดงผลลัพธ์ดีขึ้นหลังใช้ลาพักอย่างมีวินัย

มาตรการเล็ก ๆ เหล่านี้ ไม่ได้ “ใจดีเกินไป” ตราบใดที่มีการวางแผนงาน ครอบคลุมเวรผลัด และติดตามผลผลิตภาพอย่างโปร่งใส เป้าหมายไม่ใช่ทำให้งานน้อยลง แต่คือทำให้งาน มีคุณภาพและยั่งยืน มากขึ้น

แคมเปญ “ไป ลา มา Klook”  บทบาทของเอกชนในฐานะตัวเร่งวัฒนธรรมใหม่

ในมุมบริษัทเอกชน Klook พยายามวางบทบาทเป็น ตัวเร่ง” (catalyst) ให้การลาพักเป็นเรื่อง เข้าถึงง่าย–วางแผนไว–ยืดหยุ่น ผ่านการคัดสรรแพ็กเกจท่องเที่ยวสั้น ๆ ทั้งใน–ต่างประเทศ, ดีลกิจกรรมปลายทาง, และระบบจองที่รองรับการตัดสินใจระยะสั้น ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมนักเดินทางไทยปี 2568

เคนนี่ แชม สรุปใจความว่า “คนไทย อยากพัก–อยากชาร์จ แต่ติดกรอบวัฒนธรรมและความกลัวแฝง Klook จึงอยากเป็นสะพานให้ก้าวแรกมันง่ายขึ้น—จาก คิดอยากลา ไปสู่ ลาจริง แล้วกลับมาทำงานด้วยพลังที่เต็มกว่าเดิม” แน่นอนว่าเป้าหมายเชิงธุรกิจคือดีลจอง แต่ “สาร” ที่องค์กรต้องการสื่อคือการ ฟื้นฟูสุขภาวะคนทำงาน ซึ่งท้ายที่สุดย่อมสะท้อนสู่ผลิตภาพและเศรษฐกิจโดยรวม

จาก “เกรงใจ” สู่ “รับผิดชอบต่อสุขภาวะ”

ข่าววันนี้เริ่มต้นจากตัวเลขที่ชวนกังวล—ไทยติด Top 3 โลก เรื่องชั่วโมงทำงานยาวเกิน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ และจบลงที่ข้อเสนอร่วม ถึงเวลาขยับวัฒนธรรมองค์กรจาก เกรงใจจนไม่กล้าลา” ไปสู่ รับผิดชอบต่อสุขภาวะของตนและทีม” เพราะการพักที่เพียงพอคือเงื่อนไขของงานที่มีคุณภาพ และเป็นรากฐานของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

สำหรับ “พลอย” เธอตัดสินใจ ยืนยันวันลา 4 วัน 3 คืน ปลายเดือนนี้ หลังหัวหน้าประกาศนโยบาย “ห้ามแท็กคนที่กำลังลาพัก” ทีมจัดเวรแทนกันเรียบร้อย เธอบอกสั้น ๆ ว่า “แค่เห็นปฏิทินว่างจริง ๆ ใจมันโล่งขึ้นเยอะ” ก้าวเล็ก ๆ ของพนักงานหนึ่งคน อาจเป็นสัญญาณของก้าวใหญ่ในวัฒนธรรมการทำงานของเรา—จาก ต้องมาให้เห็นหน้า” สู่ ทำงานอย่างมีจังหวะ–พักอย่างมีคุณภาพ” อย่างแท้จริง

ข้อมูลสำคัญ 

  • ตัวเลข ILO: ไทยมีสัดส่วนแรงงานที่ทำงาน เกิน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ = 46.7% — จัดอยู่ใน อันดับ 3 ของโลก ด้านชั่วโมงทำงานยาวนาน
  • พฤติกรรมในที่ทำงาน: Presenteeism คนทำงานไทย ประมาณ 35–48% ยังคงมาทำงานแม้ป่วย
  • วันลาถูกยกเลิก: 74% ของพนักงานยอม ยกเลิกวันลา เมื่อมีงานด่วน และ 24% ยังเช็กอีเมลระหว่างวันหยุด
  • ความต้องการวันลา: 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่าควรมีวันลามากกว่าที่มี แต่ ไม่กล้าลา เพราะเกรงใจทีม–ไม่รู้จะเริ่มวางแผนทริปอย่างไร
  • พฤติกรรมจองทริป 2568: เกือบ 50% ของนักเดินทาง Gen Z จองล่วงหน้า < 2 เดือน และ 18% จอง 4–7 วัน ก่อนออกเดินทาง นิยมทริป 4 วัน 3 คืน บ่อยครั้งตลอดปี
  • แคมเปญภาคเอกชน: Klook เปิดตัว ไป ลา มา Klook” และจัด Klook Online Travel Fest 17–20 ต.ค. 2568 เพื่อกระตุ้นการลาพักอย่างมีแผน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO)
  • กระทรวงแรงงาน และ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
  • Klook ประเทศไทย
  • สำนักข่าวและงานวิชาการด้านจิตวิทยาองค์กร/HR
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

มฟล.–เชียงรายยืนยันเจ้าภาพ APACPH 2025 ชู “สุขภาพชายแดน” รับความท้าทายยุค Disruptive World

มฟล.–เชียงรายยืนยันเจ้าภาพ “APACPH 2025” เวทีสาธารณสุขเอเชีย–แปซิฟิก ชูสุขภาพชายแดน–ความเสมอภาค รับโลกยุค Disruption

เชียงราย, 10 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าของปลายฝนต้นหนาว ลมเหนือพัดปรับอุณหภูมิให้เมืองชายแดนเย็นลงเล็กน้อย ขณะเดียวกันข่าวใหญ่ด้านสาธารณสุขก็พัดเข้าสู่ภาคเหนือเช่นกัน เมื่อ สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APACPH) ประกาศยืนยันให้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพจัด การประชุมวิชาการนานาชาติ APACPH Conference ครั้งที่ 56 ระหว่าง 4–7 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้หัวข้อหลัก “Public Health Challenges in a Disruptive World” หรือ ความท้าทายด้านสาธารณสุขในโลกที่มีการหยุดชะงัก”

การตัดสินใจดังกล่าวไม่เพียงย้ำ “สถานะความเป็นนานาชาติ” ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงซึ่งได้รับการจัดอันดับ International Outlook ในระดับแถวหน้าของประเทศเท่านั้น หากยังสะท้อนบทบาทใหม่ของ เชียงราย ที่กำลังถูกมองเป็น “จุดตัดนโยบายสาธารณสุขชายแดน” ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ท่ามกลางพลวัตใหญ่ของภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก

“เราต้องนำเสียงจากแนวชายแดนเข้าสู่กระดานโลกให้ได้—ทั้งเรื่อง ความเสมอภาคทางสุขภาพของชนกลุ่มน้อย/ผู้ย้ายถิ่น/ผู้สูงอายุ, การเตรียมพร้อมต่อ โรคอุบัติใหม่–อุบัติซ้ำ, ไปจนถึงการบูรณาการ เทคโนโลยี–นโยบาย ในระบบสุขภาพ” สารจากคณะผู้จัด APACPH 2025 สะท้อนทิศทางยุทธศาสตร์ของงานปีนี้

ทำไม “เชียงราย” จึงเป็นสมรภูมิเสียงของภูมิภาค

เชียงรายตั้งอยู่บนทางเชื่อมของ อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประเด็นสุขภาพ ไม่รู้จักเส้นแบ่งเขตแดน ไม่ว่าจะโรคติดเชื้อที่เดินทางพร้อมการค้าและการย้ายถิ่น ปัจจัยแวดล้อม–อาชีวอนามัยจาก เศรษฐกิจข้ามแดน ไปจนถึงความเปราะบางเฉพาะบริบทของ แรงงานไร้เอกสาร–ชนกลุ่มน้อย–ผู้สูงอายุในชนบท การย้ายเวทีจากเมืองหลวงสู่ชายแดน จึงเป็นการ “หันไมค์” ไปยังผู้ที่มักอยู่ชายขอบของวงเสวนา สถานะความเป็นนานาชาติของ มฟล. และระบบนิเวศของเครือข่ายวิจัยด้านสุขภาพในภาคเหนือ ทำให้เมืองนี้ไม่ใช่เพียง “สถานที่จัดงาน” แต่เป็น ห้องทดลองเชิงนโยบาย ที่พาผู้เข้าร่วมเห็นของจริง—ตั้งแต่ชุมชนข้ามพรมแดน ไปถึงคลัสเตอร์ธุรกิจ–โลจิสติกส์ที่สร้างเงื่อนไขอาชีวอนามัยรูปแบบใหม่ ธีมย่อยของปีนี้ชัดถ้อยชัดคำ—สุขภาพของกลุ่มพลัดถิ่น ชายแดน และชนกลุ่มน้อย (Diaspora, border, and minority health)”—สะท้อนการปรับโฟกัสจาก กำหนดบนใช้ล่าง” ไปสู่ หลักฐานจากพื้นที่–ดันขึ้นนโยบาย” ที่รับมือความซับซ้อนจริงของภูมิภาค

กรอบวิชาการ 6 กลุ่มหัวข้อ เชื่อม “เทคโนโลยี นโยบาย ความยืดหยุ่น”

โครงสร้างวิชาการของ APACPH 2025 ถูกออกแบบเป็น 6 กลุ่มแกน (Core Tracks) ที่ครอบคลุมทั้ง “วันนี้” และ “วันพรุ่งนี้” ของระบบสุขภาพ:

  1. อนาคตของสังคมและสุขภาพ (Future Society & Health)  โฟกัส AI, เวชสารสนเทศ, Telehealth, Precision/Personalized Medicine และ Smart Care—คำถามใหญ่อยู่ที่กรอบกำกับดูแล จริยธรรมข้อมูล และความพร้อมของรัฐ–พื้นที่
  2. นโยบายและระบบสุขภาพ (Health Policy & Systems)  จาก ความมั่นคงทางสุขภาพโลก และ การเตรียมพร้อมโรคระบาด ไปถึง การเงินการคลังสาธารณสุข และแบบจำลอง Precision Public Health ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
  3. สุขภาพสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย (Environmental & Occupational Health)  ผลพวง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, มลพิษเมือง, และที่สำคัญคือ สุขภาพแรงงาน Gig—เศรษฐกิจแพลตฟอร์มที่เติบโตเร็วในอาเซียน แต่แบนบางด้านหลักประกันสุขภาพและความปลอดภัย
  4. ชุมชนและความเสมอภาค (Community & Equity)  ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ (SDoH), ความเสมอภาคทางเพศ, การคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง (ชนกลุ่มน้อย–ผู้สูงอายุ–ผู้ย้ายถิ่น) และการป้องกันความรุนแรงในชุมชน
  5. การควบคุมโรคและการศึกษาด้านสุขภาพ (Disease Control & Health Education)  ภัยคุกคามระบาดวิทยา, NCDs, การบาดเจ็บ, สุขภาวะพฤติกรรม และ health literacy—แก่นของ “การป้องกัน” ที่ยังคงเป็นฐานของระบบสุขภาพยั่งยืน
  6. วงจรชีวิตและสุขภาพ (Life Cycle & Health)  จาก “ปฐมวัย–มารดา” ไปสู่ “สังคมสูงวัยโรคเรื้อรัง” ครอบคลุมโภชนาการ การออกกำลังกาย และบริการดูแลต่อเนื่อง

เมื่อนำ 6 กลุ่มมา “วางคู่กัน” จะเห็น ยุทธศาสตร์สามชั้น ชัดเจน เทค นโยบาย ต้องเดินคู่ (Future Society × Policy & Systems), สิ่งแวดล้อม อาชีพ ผูกกับ ความเสมอภาค (Environmental/Occupational × Community & Equity), และป้องกัน วงจรชีวิต เป็น รากฐานความยืดหยุ่น ของสังคมในระยะยาว (Disease Control × Life Cycle)

เส้นตายกระชั้นชิด โอกาส ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

แม้การจัดงานสะท้อนความพร้อมของเจ้าภาพด้านโลจิสติกส์ แต่ปีนี้ กำหนดการทางวิชาการค่อนข้างบีบอัด โดยเฉพาะสำหรับผู้เข้าร่วมต่างชาติ

  • กำหนดส่งบทคัดย่อ (Extended): ถึง 15 ตุลาคม 2568
  • แจ้งผลตอบรับบทคัดย่อ (Extended): 20 ตุลาคม 2568
  • วันประชุมหลัก: 4–7 พฤศจิกายน 2568
  • Early-bird Registration (Extended): ถึง 15 กันยายน 2568

ช่วงเวลา ระหว่างการแจ้งผล (20 ต.ค.) กับวันประชุม (4 พ.ย.) มีเพียงราว สองสัปดาห์ ซึ่งอาจ ไม่เพียงพอ สำหรับผู้ที่ต้องขอวีซ่า/อนุมัติค่าใช้จ่ายจากองค์กรหรือวางแผนการเดินทางที่ซับซ้อน คำแนะนำเชิงปฏิบัติของผู้สื่อข่าวคือ เร่งจัดการงบประมาณnอนุมัติภายใน–เอกสารเดินทางให้ยืดหยุ่น และเตรียมแผนสำรองล่วงหน้า

ด้านค่าลงทะเบียน โครงสร้างราคามีแรงจูงใจชำระล่วงหน้า ชัดเจน:

  • Early-bird (25 เม.ย.–15 ก.ย. 2568)  นักศึกษา 150 USD/4,500 บาท, สมาชิก 250 USD/5,500 บาท, บุคคลทั่วไป 300 USD/6,500 บาท
  • On-site (16 ก.ย.–15 ต.ค. 2568)  นักศึกษา 200 USD/5,000 บาท, สมาชิก 300 USD/6,000 บาท, บุคคลทั่วไป 350 USD/7,000 บาท
  • Pre-conference Workshop (4 พ.ย.)  ต่างชาติ 50 USD, ผู้เข้าร่วมในประเทศ 1,000 บาท

ราคายัง ไม่รวมค่าธรรมเนียมธุรกรรมทางการเงิน (บัตรเครดิต/ธนาคาร)

จากตัวเลขข้างต้น นักศึกษา เสียโอกาสสูงสุดหากพลาด Early-bird (ต่าง 50 USD) ขณะที่หน่วยงานรัฐ–มหาวิทยาลัยควรปิดงบ ก่อน 15 ก.ย. เพื่อบริหารต้นทุนรวมให้ดีที่สุด

 

โลจิสติกส์–การเดินทาง ไกลเมืองแต่ใกล้สนามบิน

สถานที่จัดประชุม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) อำเภอเมืองเชียงราย

  • ห่าง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (CEI) ประมาณ 15 กม./20 นาที
  • ห่างตัวเมืองประมาณ 18 กม./20–30 นาที

ตัวเลือกการเดินทาง:

  • แท็กซี่สนามบิน/ศูนย์แท็กซี่เชียงราย
  • Grab (GrabCar/GrabTaxi/GrabRent) ให้บริการในเชียงราย
  • รถเช่า (Avis, Budget, Hertz, Chic Car Rent) มีเคาน์เตอร์ในสนามบิน

ที่พักที่คณะเจ้าภาพร่วมมือ:

  1. วนเวศน์ อินน์ (Wanawes Inn) — ที่พัก ในมหาวิทยาลัย เหมาะผู้ต้องการความสะดวกสูงสุด
  2. The Heritage Chiang Rai Hotel & Conventionสถานที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร (ECM) วันที่ 3 พ.ย. คาดเป็น ศูนย์กลางเครือข่าย ของผู้บริหาร/ตัวแทนสถาบัน
  3. The Phufa Waree Chiangrai Resort, The Riverie by Katathani, Kokotel Chiang Rai Airport Suites — ทางเลือกตามงบและทำเล (ใกล้สนามบิน/ใจกลางเมือง/รีสอร์ท)

ด้วยระยะของมหาวิทยาลัยที่ ค่อนข้างห่างจากตัวเมือง ผู้เข้าร่วมควร กันงบการเดินทางภายใน (เรียกรถ/เช่ารถ) และติดตาม ประกาศรถรับ–ส่งทางการ หากมีการยืนยันเพิ่มเติมจากผู้จัด

โครงสร้างโปรแกรม Plenary–Panel–Talk Concert–Workshop

กำหนดการโดยสังเขป (ตามกรอบที่ประกาศ):

  • 1 ก.ค. 2568 เผยแพร่โปรแกรมครั้งที่ 1
  • 3 พ.ย. 2568 Executive Committee Meeting (ECM) ที่ The Heritage
  • 4 พ.ย. 2568 (บ่าย)  ECN Pre-Workshop (14:00–17:00 น.) เปิดให้สมาชิก Early Career Network (ECN) และผู้รับรางวัล YITA เข้าร่วมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
  • 4–7 พ.ย. 2568 งานประชุมหลัก (วิทยากรปาฐกถา–เวทีเสวนา–การนำเสนอแบบปากเปล่า/โปสเตอร์–กิจกรรมเครือข่าย)

สาระสำคัญของการจัดโปรแกรมคือ “ความร่วมสมัย” ตั้งแต่ Plenary ที่ยก “โจทย์ใหญ่” ของภูมิภาค ไปถึง Panel ที่ ผู้นโยบาย–นักวิจัย–ภาคประชาสังคม นั่งโต๊ะเดียวกัน และ Talk Concert ที่ “แปลภาษาเทคนิค” ให้สาธารณะเข้าใจง่าย—ทั้งหมดภายใต้ ธีม Disruptive World ที่สะท้อนความจริงปัจจุบัน ไม่ใช่ภาพอนาคต

ประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องจับตา

  1. AI–Data Governance–Telehealth การยกระดับบริการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน หาก กรอบกำกับดูแล–จริยธรรม ยังไม่ชัด? การประชุมนี้อาจวาง หลักคิดร่วม ของภูมิภาค
  2. Gig Worker Health แพลตฟอร์มเศรษฐกิจเติบโตไว แต่ ความคุ้มครองแรงงาน/อาชีวอนามัย ตามไม่ทัน—นโยบายแบบใด “รับทุกฝ่าย” ได้จริง
  3. Border & Minority Health จาก การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ ของแรงงานข้ามแดน ไปถึง บริการที่คำนึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม/ภาษา—เชียงรายอาจเป็น กรณีศึกษาจริง ที่ต่อยอดสู่ โมเดลข้ามพรมแดน
  4. Climate–Environment–NCDs ภูมิอากาศสุดขั้วและมลพิษเชื่อมโยงกับ NCDs/สุขภาพจิต อย่างไร—การออกแบบ นโยบายป้องกันเชิงระบบ คือคำตอบระยะยาว
  5. Resilience by Design ทุกกลุ่มหัวข้อย้ำ “การป้องกัน” และ “ความยืดหยุ่น”—เสียงส่วนใหญ่คาดหวังเอกสาร แนวปฏิบัติ (playbook) ที่องค์กรในประเทศต่าง ๆ นำไปใช้ได้จริง

เสียงสะท้อนจากเครือข่าย (Key Messages)

  • มฟล. เน้นบทบาท “มหาวิทยาลัยของภูมิภาค” ที่ เชื่อมศาสตร์–เชื่อมเมือง–เชื่อมชายแดน และเป็น พื้นที่กลาง ของงานนานาชาติด้านสุขภาพ
  • APACPH ตั้งธง “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ผ่านหัวข้อ Community & Equity และ Border/Minority Health เพื่อปิดช่องว่างที่การประชุมในเมืองใหญ่ มักมองข้าม
  • เครือข่ายนักวิจัยรุ่นใหม่ (ECN) ได้เวที Pre-Workshop สร้าง ผู้นำสาธารณสุขรุ่นต่อไป—สัญญาณของการลงทุนกับ ทุนมนุษย์ อย่างจริงจัง

สรุปสำหรับผู้วางแผนเข้าร่วม (Actionable Takeaways)

  • รีบปิด Early-bird (ถึง 15 ก.ย. 2568) ประหยัดงบชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา/หน่วยงานภาครัฐ–สถาบันการศึกษา
  • ส่งบทคัดย่อ (ถึง 15 ต.ค. 2568) และเผื่อเวลาเอกสาร ระยะห่าง แจ้งผล 20 ต.ค. ถึง เริ่มงาน 4 พ.ย. สั้น—เตรียม แผน A–B เรื่องตั๋ว/ที่พัก/วีซ่า
  • วางแนวหัวข้องานวิจัยให้ “เข้าแกน 6 กลุ่ม”  โอกาสได้รับการคัดเลือก/สปอตไลต์สูงขึ้น โดยเฉพาะประเด็น ชายแดน–ความเสมอภาค–แรงงาน Gig–ภูมิอากาศ–AI/Telehealth
  • จองที่พักตามกลยุทธ์การเดินทาง หากต้องการเครือข่าย–ประชุมผู้บริหาร เลือก The Heritage; หากเน้นความสะดวกฝั่งสถานที่ประชุม เลือก Wanawes Inn (ในมฟล.)
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักวิจัยรุ่นใหม่ ใช้สิทธิ ECN Pre-Workshop (4 พ.ย. 14:00–17:00 น.) ที่เปิดฟรีแก่สมาชิก ECN/YITA

 

APACPH 2025 @ เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียง “โลเคชันใหม่” ของงานประชุมใหญ่ แต่เป็นการ จัดวางคำถามใหม่ ให้สอดคล้องกับ ความจริงใหม่ ของภูมิภาค—ความเปราะบางตามแนวชายแดน แรงงานรูปแบบใหม่ เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม ภูมิอากาศสุดขั้ว และคลื่นเทคโนโลยีที่ทั้งสร้างโอกาสและตั้งคำถามเชิงจริยธรรม

ในโลกที่ Disruption กลายเป็นสภาวะปกติ งานนี้จึงมีความหมายมากกว่าเวทีนำเสนอผลงาน—มันคือ พื้นที่กำกับทิศทาง ที่ผู้กำหนดนโยบาย–นักวิจัย–ภาคประชาสังคม จะทดลอง “ประกบ” เทคโนโลยี–หลักฐาน–ความยุติธรรมทางสังคม เข้าด้วยกัน เพื่อสร้าง ระบบสุขภาพที่ยืดหยุ่นและเท่าเทียม กว่าเดิม

เชียงราย—เมืองชายแดนที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าอยู่ไกล—วันนี้กลายเป็น ใจกลางของบทสนทนาเอเชีย–แปซิฟิก ว่าด้วยสุขภาพของผู้คนที่ ไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาพันธ์วิชาการสาธารณสุขภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APACPH)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU
  • APACPH 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายพร้อมหรือยัง? Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่จุดหมายสุขภาพโลก

Medical Tourism โอกาสทองของไทย สู่ “จุดหมายสุขภาพ” ระดับโลก—เชียงรายพร้อมหรือยัง?

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมทีค การ์เด้น สปา รีสอร์ท ค่อย ๆ เงียบลงเมื่อพิธีเปิดเวิร์กช็อปเริ่มต้นขึ้น “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) ต้องจับมือกันแน่นขึ้น—จากเชียงรายถึงเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง” นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเปิด โดยมี นายนิพนธ์ นิยม หัวหน้าสำนักงานจังหวัดเชียงราย และตัวแทนราชการ-เอกชน-ประชาสังคม 4 จังหวัดเข้าร่วมกว่า 200 คน วาระสำคัญบนโต๊ะ จะเปลี่ยน “ศักยภาพ” ของภาคเหนือให้เป็น “มูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์” อย่างยั่งยืนได้อย่างไร—โดยหนึ่งในสี่อุตสาหกรรมเป้าหมายคือ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งเชื่อมตรงสู่ Medical Tourism ในระดับประเทศ

ไทย—จากจุดหมายท่องเที่ยวสู่จุดหมายสุขภาพ

สองทศวรรษหลังเปิดยุทธศาสตร์ “Medical Hub” ประเทศไทยเดินเกมต่อเนื่อง—ยกระดับมาตรฐานโรงพยาบาลเอกชน, ขยายบริการเฉพาะทาง, รับรองคุณภาพสากล, เสริมโครงสร้างสนามบิน–วีซ่า–บริการล่าม–รถรับส่ง—จน “การรักษา + การพักผ่อน + การพักฟื้น” หลอมรวมเป็นประสบการณ์เดียว จุดเด่นของไทยยังเหมือนเดิมแต่คมขึ้น: คุณภาพการรักษา, ราคาคุ้มค่า, บริการมืออาชีพและเป็นมิตร ขณะที่ตลาดโลกเปลี่ยนเร็ว ผู้ป่วยต่างชาติไม่ได้มองหาการผ่าตัดอย่างเดียว แต่ยังสนใจ ศัลยกรรมความงาม–ชะลอวัย, ทันตกรรม, IVF, หัวใจ–กระดูก–สันหลัง, ไปจนถึง แพทย์ฟื้นฟู/เวชศาสตร์ชะลอวัย และ wellness แบบองค์รวม

แม้ตัวเลขมูลค่าตลาดจากแต่ละสำนักวิจัยต่างกัน (เพราะคำนิยามคนละชุด—Medical vs Health/Wellness) แต่ “ทิศทาง” สอดคล้องกัน เติบโตเร็ว, ตัวยืนใหม่เพิ่ม, ผู้ป่วยพักนาน–ใช้จ่ายนอกการแพทย์สูง, และ อาเซียน–ตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–จีนตอนใต้ เป็นฐานลูกค้าหลัก หากมองทั้งห่วงโซ่ คุณค่าทางเศรษฐกิจไม่ได้อยู่แค่ “ค่ารักษา” แต่อยู่ใน ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม–แพ็กเกจพักฟื้น–สปาทางการแพทย์ ซึ่งทำให้ “เมืองปลายทาง” เป็นผู้เล่นตัวจริง ไม่ต่างกับโรงพยาบาล

NEC–Creative LANNA เวทีที่เชียงรายต้องคว้า

นายนิพนธ์ นิยม อธิบายทิศทางการขับเคลื่อน NEC หลังมติ ครม. ที่วางโครงมาจากปี 2565–2566 เป้าประสงค์ 5 ด้านเพื่อกระจายความเจริญ ลดเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพชีวิต แข่งขันข้ามพรมแดน และเชื่อมโลก ผ่าน 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย—อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (เช่น Movie Town), ดิจิทัล (Data Center/Cloud/คอนเทนต์), ท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, และ เกษตร–อาหาร (อินทรีย์/สารสกัด/นิคมอาหาร)

สำหรับ Medical/Wellness Tourism จุดแข็งของเชียงรายโดดเด่น

  • ทำเลชายแดน เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ (R3A) มีด่าน–ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน–ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งเชียงของ
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง รองรับเที่ยวบินภายในประเทศและศักยภาพเชื่อมเมืองหลักภูมิภาค
  • สินทรัพย์ท่องเที่ยว ธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ชุมชน–กาแฟ–ชา–งานหัตถกรรม
  • ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา สมุนไพร–นวดไทย–สปา–อาหารพื้นถิ่นสายสุขภาพ—ต่อยอดเป็น Wellness Retreat/Detox/Recovery Stay ได้ทันที

แต่ในสนาม Medical Tourism ความพร้อมต้องไปไกลกว่า “บรรยากาศดี–บริการดี”—เชียงรายจำเป็นต้อง “ปิดช่องว่าง” ต่อไปนี้ให้เร็วและพร้อมกัน

สิ่งที่เชียงรายยังขาด และต้องเร่งเติม

1) มาตรฐานสากลฝั่งสถานพยาบาล
เพื่อรองรับผู้ป่วยต่างชาติอย่างมั่นใจ โรงพยาบาล/คลินิกเฉพาะทางต้องมีมาตรฐานระดับสากล (เช่น JCI หรือเทียบเท่า) ในบริการแกน: ศัลยกรรมความงาม–ทันตกรรม–IVF–กระดูกสันหลัง–หัวใจ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู/ชะลอวัย วันนี้ เชียงรายยัง “พึ่งบริการเฉพาะทางระดับสูงจากหัวเมืองใหญ่” อยู่พอสมควร การยกระดับโรงพยาบาลจังหวัด/เอกชน และการดึงดูดพันธมิตรโรงพยาบาลเครือใหญ่จึงเป็น เกมเชิงรุก ที่ต้องทำคู่กัน

2) International Patient Center (IPC) แบบครบวงจร
ผู้ป่วยต่างชาติต้องการ “ผู้ช่วยส่วนตัว” ตั้งแต่ก่อนบินจนจบการติดตามผล: นัดหมายแพทย์, ประเมินความเหมาะสมเบื้องต้นทางเทคนิคการแพทย์, second opinion ออนไลน์, รับ–ส่งสนามบิน, ล่าม, อำนวยความสะดวกวีซ่าการแพทย์, ประสานประกันสุขภาพนานาชาติ, จัดที่พัก/อาหารเฉพาะโรค, เวชระเบียนภาษาอังกฤษ, และ digital follow-up หลังกลับประเทศ เชียงรายยังต้องตั้ง/ยกระดับ IPC ในโรงพยาบาลหลัก พร้อมมาตรฐานบริการเดียวกันทั้งเครือข่าย

3) ระบบการเงิน–ประกันต่างประเทศ
การเบิกจ่ายตรงกับ International Insurance/Assistance เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของการตัดสินใจผู้ป่วย (โดยเฉพาะตะวันออกกลาง–ออสเตรเลีย–ยุโรป) เมืองปลายทางต้องมี ทีม Billing นานาชาติ, สัญญาเครือข่ายประกัน, และ DRG/ICD สากลที่แม่น—จุดนี้ยังเป็น gap ของหลายโรงพยาบาลหัวเมือง

4) บุคลากรภาษา–มาตรฐานเอกสาร
แม้แพทย์เก่ง แต่ถ้า touchpoint อื่น ๆ ภาษาไม่พร้อม—ประสบการณ์ผู้ป่วยจะสะดุดทันที จึงต้องมี ล่ามการแพทย์ (อังกฤษ–จีน–พม่า–ลาว–อาหรับ), เอกสารสองภาษา, แผงสื่อสารความเสี่ยง–ยินยอมรักษา (informed consent) มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง

5) โครงสร้างรองรับการพักฟื้น (Recovery/Wellness Stay)
นี่คือ “จุดต่าง” ที่เชียงรายสร้างความได้เปรียบได้เร็ว—โรงแรม/รีสอร์ต/โฮมสเตย์คุณภาพ ต้องร่วมกับโรงพยาบาลทำ แพ็กเกจพักฟื้น เฉพาะหัตถการ (อาหาร–กายภาพ–การพยาบาล–รถรับส่ง–แพทย์เยี่ยม–สปาเชิงการแพทย์) โดยมี Care Pathway ชัดเจนและความปลอดภัยเป็นฐาน

6) การตลาดปลายทางแบบ one story, many doors
ต้องมี แบรนด์ร่วม “Chiang Rai Health & Wellness” ที่เล่าเรื่องเดียวกันในหลายประตู: สถานพยาบาล–ผู้ให้บริการท่องเที่ยว–ตัวแทนการแพทย์ในต่างประเทศ–สายการบิน–OTA เพื่อให้ผู้ป่วยค้นเจอ “ข้อเสนอเดียวกัน–คุณภาพเดียวกัน–ราคาโปร่งใส” ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากช่องทางใด

7) ธรรมาภิบาล–สมดุลกับระบบสุขภาพท้องถิ่น
การเติบโตของ Medical Tourism ต้องไม่ดึงบุคลากรจากระบบรัฐมากเกินไปจนกระทบประชาชนในพื้นที่ จำเป็นต้องมี โควตา/แรงจูงใจ ที่รักษาสมดุล และ โครงการร่วมผลิต–พัฒนาบุคลากร ระหว่างรัฐ–เอกชน พร้อม แนวทางรับเรื่องร้องเรียน/ชดเชย ที่เป็นธรรมและเข้าถึงได้สำหรับผู้ป่วยต่างชาติและคนไทย

เส้นทางสู่ความพร้อม แผน 3 ระยะที่ “วัดผลได้”

ระยะสั้น 0–12 เดือน “ย้ำหัวใจประสบการณ์ผู้ป่วย”

  • ตั้ง Chiang Rai International Patient Desk กลาง (ออนไลน์ + จุดบริการสนามบิน) เชื่อมโรงพยาบาลหลัก/โรงแรมพันธมิตร
  • คัด “5 สายผลิตภัณฑ์เรือธง” ที่ทำได้ทันที: ทันตกรรมด่วน, ศัลยกรรมเล็ก–ความงามเฉพาะ, โปรแกรมชะลอวัย/Detox, กายภาพ–เวชศาสตร์ฟื้นฟู, โปรแกรมตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน
  • Fast track เอกสาร 2 ภาษา, ล่ามการแพทย์, ระบบรับ–ส่ง, จับมือโรงแรมทำ Recovery Packages อย่างน้อย 10 ชุด
  • วัดผลด้วย จำนวนเคสต่างชาติ, คะแนนความพึงพอใจ, ค่าใช้จ่ายต่อเคส (ใน-นอกการแพทย์)

ระยะกลาง 12–36 เดือน  “ล็อกมาตรฐาน–ขยายบริการเฉพาะทาง”

  • พัฒนา/ดึงดูด ศูนย์เฉพาะทาง อย่างน้อย 2 ด้าน (เช่น กระดูกสันหลัง, IVF, เวชศาสตร์ฟื้นฟูชั้นสูง) สู่มาตรฐานสากล
  • ทำ สัญญาเครือข่ายประกันนานาชาติ 10–20 ราย, ตั้ง International Billing Unit ร่วม
  • สร้าง/ยกระดับ Wellness Campus (สมุนไพร–สปาการแพทย์–กายภาพ) เชื่อมชุมชนท้องถิ่น
  • วัดผลด้วย รายได้รวมห่วงโซ่, สัดส่วนเคสประกันนานาชาติ, อัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำ

ระยะยาว 36 เดือนขึ้นไป “ศูนย์กลางสุขภาพชายแดนตอนบน”

  • เป็นเจ้าภาพ งานประชุม/มหกรรม Health & Wellness ระดับอนุภูมิภาค (GMS/ล้านช้าง-แม่โขง)
  • พัฒนา ข้อมูลสุขภาพ–เวชท่องเที่ยว ระดับเมือง (แดชบอร์ดสาธารณะ) เพื่อนโยบายฐานข้อมูล
  • ตั้ง กองทุนพัฒนาสุขภาพจังหวัด จากรายได้อุตสาหกรรม เพื่อ “คืนกลับ” สู่ระบบสุขภาพประชาชน—ทำให้การเติบโต “ไม่ทิ้งใคร”

เสียงจากเวทีเชื่อมยุทธศาสตร์ให้ลงดิน

บนเวทีเวิร์กช็อป นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ ย้ำว่า “NEC จะสำเร็จได้ ต้อง ‘ทำงานร่วม’ ระหว่างรัฐ–เอกชน–ชุมชน—เชียงรายมีทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติพร้อม แต่เราต้องแปลงทุนให้เป็นบริการที่มาตรฐานเดียวกันทั้งเมือง” ขณะที่ นายนิพนธ์ นิยม ชี้เป้า “ห่วงโซ่คุณค่า” ว่า “ปีนี้เราจะเน้นสร้างความร่วมมือเชิงรูปธรรมมากขึ้น ทั้งในมิติแพทย์แผนปัจจุบัน–แผนไทย–Wellness—และเชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้ประโยชน์ตรง”

แม้ไม่มี “คำตอบลัด” แต่ฉากหน้าเริ่มชัดเจน: เมืองชายแดนที่ เดินเกมมาตรฐาน–บริการไร้รอยต่อ–แพ็กเกจพักฟื้นที่ปลอดภัย–การตลาดร่วม จะชิงส่วนแบ่งตลาดได้เร็วกว่าคู่แข่ง—และที่สำคัญคือ ทำให้การเติบโตไม่ย้อนศรคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

ตัวเลขที่ชวนคิดชวนโฟกัส

  • รายงานตลาดบางสำนักประเมิน Health/Wellness Tourism ไทย แตะหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตในอัตราสูงมากเมื่อรวมบริการสุขภาวะ ขณะที่รายงานที่จำกัดเฉพาะ Medical Tourism ประเมิน หลักหลายร้อยล้าน–พันล้านดอลลาร์สหรัฐ—สะท้อนความต่างเชิงคำนิยามมากกว่าความคลาดเคลื่อนของข้อเท็จจริง
  • สัดส่วน Wellness ในตลาดสุขภาพอาเซียนถูกประเมินว่ามีส่วนแบ่งสูง (หลายฉบับระบุราว 70%+ ของภาพรวมสุขภาพ/การแพทย์รวมกัน) จึงเป็น “ทางด่วน” ที่เชียงรายสามารถขึ้นรถได้เร็ว—หากทำให้ ปลอดภัย–เป็นสากล–เชื่อมแพทย์ปัจจุบัน
  • ผู้ป่วยต่างชาติ non-medical spend (ที่พัก–อาหาร–เดินทาง–ผู้ติดตาม) สูง—หมายถึง “รายได้เมือง” จะเกิดเมื่อเรามี แพ็กเกจพักฟื้น ที่คำตอบครบตั้งแต่รพ.ถึงโรงแรม ไม่ใช่ขาย “ค่าห้องผ่าตัด” เพียงอย่างเดียว

เชียงราย—จากคำถาม “พร้อมหรือยัง” สู่ “พร้อมอย่างไร”

คำตอบสั้น ๆ คือ พร้อมบางส่วน แต่ยังต้องเร่ง “เชื่อมจุด” จุดแข็งของเชียงราย—ทำเลชายแดน, สนามบิน, ทุนวัฒนธรรมและธรรมชาติ, ภูมิปัญญาสุขภาวะล้านนา—คือฐานที่ดีมาก เมื่อประกอบเข้ากับกรอบ NEC–Creative LANNA เมืองสามารถ “ยกระดับ” เป็น จุดหมายสุขภาพชายแดนตอนบน ได้จริง หากลงมือ 4 เรื่องใหญ่ พร้อมกัน:

  1. มาตรฐานสากล–ศูนย์เฉพาะทาง (เลือกไม่กี่เรือธงแล้วทำให้ชนะจริง),
  2. International Patient Center + ประกันนานาชาติ (ทำให้การเดินทางรักษาไร้รอยต่อ),
  3. แพ็กเกจพักฟื้นเชื่อมชุมชนอย่างปลอดภัย (เปลี่ยนโรงแรม–รีสอร์ตให้เป็น Recovery Partner), และ
  4. ธรรมาภิบาล–คืนกำไรสู่ระบบสุขภาพประชาชน (ให้คนเชียงรายได้ประโยชน์จากการเติบโต)

บนถนนสาย Medical Tourism เมืองที่ “เล่าเรื่องเดียวกัน—ให้บริการมาตรฐานเดียวกัน—คิดภาพรวมทั้งห่วงโซ่” จะไปได้เร็วและไกลกว่า คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า พร้อมหรือยัง แต่คือ พร้อมอย่างไร ให้ ได้มาตรฐาน และ ได้ส่วนแบ่ง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (20 ก.ย. 2565; 31 ม.ค. 2566)
  • จังหวัดเชียงราย / สำนักงานจังหวัดเชียงราย: เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ NEC (22–24 ก.ย. 2568) คำชี้แจงโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและหัวหน้าสำนักงานจังหวัด
  • กระทรวงสาธารณสุข: แผนยุทธศาสตร์ประเทศไทยศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ต่อเนื่องถึงแผน 2017–2026
  • Data Bridge Market Research: Thailand Health/Wellness Tourism
  • IMARC Group และ Credence Research: Thailand Medical Tourism
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สมาพันธ์โรงพยาบาลเอกชนไทย / ข้อมูลการรับรอง Joint Commission International (JCI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News