Categories
HEALTH

“วัยรุ่นท้องพุ่ง” อายุ 10-14 ปี ขอคำปรึกษาเพิ่ม รัฐเร่งแก้ปัญหา

ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยพุ่งสูง รัฐเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน

อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐานสากลของ UN

กรุงเทพฯ, 3 มีนาคม 2568 – นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับ ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยในปี 2567 โดยพบว่า อัตราการคลอดบุตรในช่วงอายุ 10 – 14 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 0.93 ต่อพันคน ซึ่งสูงกว่าปี 2566 ที่อยู่ที่ 0.77 ต่อพันคน และเกินกว่าเป้าหมายของ องค์การสหประชาชาติ (UN) ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.7 ต่อพันคน

ยอดขอคำปรึกษาเรื่องตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจาก DOH Dashboard ระบุว่า ในปี 2567 มีวัยรุ่นอายุ 10 – 14 ปี ขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ผ่านช่องทางออนไลน์และสายด่วน รวม 46,893 ราย หรือเฉลี่ย 128 รายต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 44,574 ราย

สาเหตุหลักของการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น

จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าสาเหตุหลักของปัญหานี้ประกอบด้วย:

  1. ขาดความรู้และความเข้าใจเรื่องเพศศึกษา – วัยรุ่นจำนวนมากไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองได้
  2. การถูกล่วงละเมิดทางเพศ – เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเด็กหญิงวัยต่ำกว่า 15 ปี จำนวนไม่น้อยถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยคนใกล้ชิด
  3. ขาดแหล่งให้คำปรึกษาที่เข้าถึงได้ง่าย – แม้ว่าจะมีสายด่วน 1663 และช่องทางออนไลน์ แต่ยังมีเด็กหญิงจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าตนเองสามารถขอความช่วยเหลือได้จากช่องทางเหล่านี้

มาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา

เพื่อลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วน ดังนี้:

  1. ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาเชิงรุกในโรงเรียนและครอบครัว – สนับสนุนให้โรงเรียนสอนเพศศึกษาอย่างครอบคลุมและส่งเสริมให้พ่อแม่ให้ความรู้กับบุตรหลาน
  2. ขยายช่องทางให้คำปรึกษาที่เข้าถึงง่าย – เปิดช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียให้วัยรุ่นสามารถขอคำปรึกษาได้อย่างสะดวก
  3. ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิด – กระจายถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
  4. พัฒนาโครงการช่วยเหลือแม่วัยใส – สนับสนุนให้แม่วัยรุ่นสามารถศึกษาต่อและเข้าถึงโอกาสทางอาชีพ

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองมุมมอง

  • ฝ่ายสนับสนุนมาตรการของรัฐ มองว่ามาตรการป้องกันและให้ความรู้เชิงรุกเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และสนับสนุนให้เด็กหญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและอาชีพ
  • ฝ่ายที่กังวล ตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาหลักยังคงอยู่ที่ โครงสร้างสังคมและการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งต้องการการแก้ไขในเชิงลึกมากกว่าการให้ความรู้และการแจกอุปกรณ์ป้องกันเพียงอย่างเดียว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และองค์การสหประชาชาติ (UN) พบว่า:

  • อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยอายุ 10 – 14 ปี ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 0.93 ต่อพันคน เกินเป้าหมายของ UN ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.7 ต่อพันคน
  • จำนวนวัยรุ่นที่ขอคำปรึกษาเรื่องตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพิ่มขึ้นเป็น 46,893 รายในปี 2567 หรือเฉลี่ย 128 รายต่อวัน
  • เด็กหญิงวัยต่ำกว่า 15 ปี จำนวนมากเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
  • UN ระบุว่า ประเทศที่มีอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นต่ำที่สุดมักมีการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาตั้งแต่อายุยังน้อยและเปิดโอกาสให้วัยรุ่นเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ได้ง่าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข / องค์การสหประชาชาติ (UN) / DOH Dashboard

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

ศัลยกรรมไทยโต! Gen Z-LGBTQIA+ ลูกค้ากลุ่มใหม่

ตลาดศัลยกรรมความงามไทยโตต่อเนื่อง คนไทยนิยมศัลยกรรมใบหน้า LGBTQIA+ และ Gen Z เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่

ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามเติบโตต่อเนื่องแม้การแข่งขันสูง

ประเทศไทย, 3 มีนาคม 2568 – การทำศัลยกรรมและเสริมความงามได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยเฉพาะการทำตา จมูก หน้าอก และฉีดโบท็อกซ์ ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ในปี 2568 มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท เติบโต 2.8% จากปีก่อน แม้ว่าอัตราการเติบโตจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง

คลินิกยังครองตลาด แต่โรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโต

โครงสร้างตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยแบ่งออกเป็น คลินิกและโรงพยาบาล ซึ่งปัจจุบัน คลินิกความงามยังคงมีสัดส่วนมากถึง 85% แม้ว่าจะลดลงจาก 90% ในปี 2564 เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น ในขณะที่ โรงพยาบาลมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15% อันเป็นผลมาจาก จำนวนนักท่องเที่ยวทางการแพทย์ (Medical Tourism) ที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น และความน่าเชื่อถือของมาตรฐานการรักษาและศัลยแพทย์ไทย

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป การศัลยกรรมได้รับความนิยมมากขึ้น

ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่มีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อการทำศัลยกรรมมากขึ้น ส่งผลให้การทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดเพิ่มขึ้นจาก 75% ในปี 2562 เป็น 79% ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น มีความปลอดภัยสูงขึ้น และใช้เวลาฟื้นตัวที่น้อยลง

ศัลยกรรมยอดนิยมที่คนไทยเลือกทำมากที่สุด

  • แบบผ่าตัด: ตา, จมูก, หน้าอก
  • แบบไม่ผ่าตัด: ฉีดโบท็อกซ์, ไฮยาลูรอน, ยกกระชับใบหน้าและลำคอ

เทรนด์ศัลยกรรมที่กำลังมาแรง

จากการสำรวจพบว่า กลุ่มลูกค้าศักยภาพใหม่ ที่มีแนวโน้มเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ได้แก่:

  • กลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQIA+)
  • กลุ่ม Gen Z
  • กลุ่มผู้ชาย

โดยการทำศัลยกรรมบน ใบหน้า เป็นที่นิยมมากที่สุด คิดเป็น 47% ของการใช้บริการทั้งหมด

ตลาดผู้สูงอายุ หนุนการทำศัลยกรรมชะลอวัย

ภายในปี 2571 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุประมาณ 14 ล้านคน โดย 22% ของกลุ่มนี้มีรายได้สูงและอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงสำหรับ ศัลยกรรมดึงหน้า, ทำหน้าอก, ดูดไขมัน และลดริ้วรอย

Medical Tourism หนุนธุรกิจศัลยกรรมไทย

ธุรกิจศัลยกรรมในไทยได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ โดยมี อัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี สำหรับกลุ่มลูกค้า Medical Tourism ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่:

  • จีน
  • มาเลเซีย
  • ญี่ปุ่น
  • กลุ่มอาเซียน (CLMV+I) ที่กำลังเติบโต

การทำศัลยกรรมเป็นหนึ่งใน บริการทางการแพทย์ที่ชาวต่างชาตินิยมเข้ามาใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ของไทย เนื่องจากไทยมี มาตรฐานการรักษาสูง แต่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้

ความท้าทายและความเสี่ยงของธุรกิจศัลยกรรมในไทย

  1. บุคลากรทางการแพทย์มีจำกัด

ปัจจุบัน ไทยมีศัลยแพทย์ตกแต่งเพียง 500 คน เมื่อเทียบกับ เกาหลีใต้ที่มีศัลยแพทย์มากถึง 2,739 คน ทำให้เกิดการแข่งขันเพื่อดึงบุคลากรทางการแพทย์ ส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ ศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าในไทยที่มีเพียง 100 คน

  1. การแข่งขันรุนแรง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • ในประเทศไทยมี คลินิกศัลยกรรมกว่า 2,500 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคลินิกขนาดเล็ก
  • ต่างชาติเริ่มเข้ามาแข่งขัน เช่น คลินิกจากเกาหลีใต้ที่เข้ามาเปิดสาขาในไทย หรือการที่ชาวไทยนิยมเดินทางไปทำศัลยกรรมในต่างประเทศโดยเฉพาะเกาหลีใต้
  1. ธุรกิจต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองเทรนด์ความงามที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

การพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีต้นทุนสูง หากลูกค้ามีจำนวนลดลงอาจกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้าที่เน้นความคุ้มค่าและเปรียบเทียบราคา

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายที่สนับสนุน: เห็นว่าธุรกิจศัลยกรรมความงามของไทย มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม Medical Tourism ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ
  • ฝ่ายที่กังวล: มองว่าการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และการแข่งขันที่สูงอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการ รวมถึงความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย และกระทรวงสาธารณสุข พบว่า:

  • ปี 2568 มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท โต 2.8%
  • คลินิกความงามครองตลาด 85% ส่วนโรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเป็น 15%
  • Medical Tourism คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5%
  • ศัลยแพทย์ตกแต่งในไทยมีเพียง 500 คน เทียบกับเกาหลีใต้ที่มี 2,739 คน
  • ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 2 ของชาวต่างชาติที่ต้องการศัลยกรรมความงาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย / กระทรวงสาธารณสุข / สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“สมศักดิ์หนุน” รพ.ใช้ยาสมุนไพรไทย รับงบ 60 ล้าน!

สปสช. หนุน รพ.ใช้สมุนไพรไทยแทนยาแผนปัจจุบัน พร้อมงบสนับสนุน 60 ล้านบาท

กระทรวงสาธารณสุขเร่งผลักดันยาสมุนไพรไทย

กรุงเทพฯ, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศมาตรการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในโรงพยาบาลภาครัฐ โดยมีเป้าหมายให้โรงพยาบาลนำยาสมุนไพรมาใช้แทนยาแผนปัจจุบันใน 5 รายการหลัก เพื่อรับงบสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รวมกว่า 60 ล้านบาท ภายในปีงบประมาณ 2568 หากดำเนินการสำเร็จ โรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับงบประมาณเฉลี่ยแห่งละ 200,000 บาท

10 สมุนไพรไทยรักษาโรคพบบ่อย

รมว.สาธารณสุขเผยว่า ปัจจุบันมีการใช้ยาสมุนไพร 10 รายการที่ได้รับการรับรองให้ใช้รักษา 10 กลุ่มอาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่

  • ยาไพล แก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
  • ยาฟ้าทะลายโจร รักษาไข้หวัดและโควิด-19
  • ยาขมิ้นชัน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ยาเพชรสังฆาต รักษาริดสีดวงทวาร
  • ยาขิง บรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ
  • ยามะระขี้นก แก้อาการเบื่ออาหาร
  • ยากล้วย บรรเทาอาการท้องเสีย
  • ยาหอมเทพจิตร ช่วยเรื่องนอนไม่หลับ
  • ยาพริก บรรเทาอาการชาจากอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ยาว่านหางจระเข้ ใช้รักษาแผลและดูแลผิวหนัง

5 สมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน

เพื่อส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบัน สปสช. ได้ประกาศ 5 รายการสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้แทนยาแผนปัจจุบัน ได้แก่

  1. ครีมไพล แทนยาบาล์มแก้ปวด
  2. ยาประสะมะแว้ง แทนยาแก้ไอ
  3. ขมิ้นชัน ธาตุอบเชย แทนยาขับลม
  4. เพชรสังฆาต แทนยาริดสีดวง
  5. มะขามแขก แทนยาระบาย

งบประมาณสนับสนุนและเป้าหมายอนาคต

กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าหมายขยายงบประมาณสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรให้เพิ่มขึ้นจาก 1,500 ล้านบาทในปี 2568 เป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2569 โดยคาดหวังว่าการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยจะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเข้าสู่ตลาดโลก

ขยายตลาดสมุนไพรไทยสู่ต่างประเทศ

นอกจากการส่งเสริมให้ใช้สมุนไพรภายในประเทศแล้ว รัฐบาลยังมีแผนขยายตลาดสมุนไพรไทยไปสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการนำยาดมและยาหม่องไปเปิดตลาดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ในช่วงพิธีฮัจย์ ซึ่งมีนักแสวงบุญนับล้านคนเดินทางไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียในแต่ละปี

สถิติการใช้ยาสมุนไพรและผลกระทบทางเศรษฐกิจ

จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 พบว่า

  • มูลค่าการใช้ยาในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติอยู่ที่ 70,500 ล้านบาท
  • ในจำนวนนี้เป็นการใช้ยาแผนปัจจุบัน 69,000 ล้านบาท
  • ขณะที่การใช้ยาสมุนไพรอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท
  • คาดการณ์ว่าการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยจะช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดสมุนไพรจาก 13,000 ล้านบาท เป็น 190,000 ล้านบาท ในอนาคต

บทสรุป

การผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับและใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบันในโรงพยาบาลของรัฐ ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ลดการพึ่งพายานำเข้า และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ หากมาตรการนี้ประสบความสำเร็จ จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยที่มีศักยภาพในระดับโลกได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

สธ. แจงไวรัส HKU5 ในค้างคาว แค่งานวิจัย ย้ำไทยเฝ้าระวังเข้มแข็ง

กระทรวงสาธารณสุขไทยยัน HKU5-CoV-2 ยังไม่มีการระบาดในคน

ปลัด สธ. ย้ำไทยมีระบบเฝ้าระวังเข้มแข็ง ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

กรุงเทพฯ, 22 กุมภาพันธ์ 2568กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ HKU5-CoV-2 ในคน แม้จะมีรายงานจากการวิจัยในห้องปฏิบัติการของจีนเมื่อปี 2566 ว่าไวรัสนี้สามารถเกาะกับตัวรับในเซลล์ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ดีเช่นเดียวกับโควิด-19

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รายงานดังกล่าวเป็นเพียงผลการทดลองในห้องแล็บ ยังไม่มีหลักฐานทางระบาดวิทยาที่ชี้ว่าไวรัสนี้สามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง และไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อจากสายพันธุ์นี้แต่อย่างใด

“ข้อมูลที่มีในขณะนี้เป็นเพียงรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานว่ามีการแพร่กระจายสู่คนหรือเกิดการระบาดจริงในประชากรทั่วไป ดังนั้นประชาชนไม่ควรตื่นตระหนก” นพ.โอภาสกล่าว

HKU5-CoV-2 คืออะไร?

HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่ถูกค้นพบในค้างคาว และจัดอยู่ในตระกูล Merbecovirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของไวรัสโคโรนา นักวิจัยพบว่าไวรัสนี้มีความสามารถในการจับกับเอนไซม์ ACE2 ซึ่งเป็นตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันสามารถก่อโรคในมนุษย์ได้

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันไวรัสวิทยาหวู่ฮั่น ประเทศจีน ได้ทดสอบ HKU5-CoV-2 ในเซลล์ตัวอย่างของระบบทางเดินหายใจและลำไส้ของมนุษย์ และพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสสามารถจับกับเยื่อหุ้มเซลล์ได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าสู่เซลล์มนุษย์ยังต่ำกว่า SARS-CoV-2 หรือไวรัสโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ไม่ควร “ตีความเกินจริง” เกี่ยวกับความเสี่ยงของ HKU5-CoV-2 ต่อมนุษย์ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้จริง

ไทยติดตามไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างใกล้ชิด

นพ.โอภาส ยืนยันว่า ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคระบาดที่เข้มแข็ง โดยกรมควบคุมโรคและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำงานร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อ ติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน สายพันธุ์ที่พบในไทยยังคงเป็น โอมิครอน JN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ และไม่มีหลักฐานว่ามีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ไทยยังคงมีมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดสำหรับนักเดินทางขาเข้า โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรคทางเดินหายใจ

มาตรการป้องกันไวรัส: ใช้ได้กับทุกสายพันธุ์

แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 สามารถระบาดในมนุษย์ได้ แต่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มาตรการป้องกันโรคทางเดินหายใจที่ใช้ในปัจจุบันสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจากไวรัสทุกชนิดได้ ได้แก่:

  • สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัด
  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่าโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัดหรือระบบระบายอากาศไม่ดี
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคทางเดินหายใจ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนโควิด-19

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยาและวัคซีน

หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับ HKU5-CoV-2 หุ้นของบริษัทยาผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 เช่น Pfizer, Moderna และ Novavax ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ เช่น ดร.ไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม จากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา กล่าวกับ Reuters ว่า ปฏิกิริยาของตลาดและสื่อบางส่วนอาจเกินจริง เพราะยังไม่มีหลักฐานว่าไวรัสนี้มีความเสี่ยงต่อมนุษย์ในระดับที่ควรกังวล

แนวทางการรักษาหาก HKU5-CoV-2 แพร่สู่คน

หาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้จริง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแนวทางการรักษาที่อาจใช้ได้ ได้แก่:

  • แอนติบอดีโมโนโคลนอล (Monoclonal Antibodies) – เป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสู้กับไวรัส
  • ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs) – ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ลดความรุนแรงของอาการ เช่นเดียวกับยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของการรักษาจะขึ้นอยู่กับความสามารถของไวรัสในการแพร่เชื้อและอัตราการกลายพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมหาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่ระบาดในคนได้ในอนาคต

สรุป

  • HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่พบในค้างคาว และเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไวรัสโคโรนา
  • ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง
  • ไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคที่เข้มแข็ง และติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง
  • มาตรการป้องกัน เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสทุกสายพันธุ์
  • ตลาดหุ้นบริษัทยาผลิตวัคซีนปรับตัวสูงขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่

แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 จะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ในขณะนี้ แต่การเฝ้าระวังและการศึกษาต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข / forbes

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

คนไทย 1 ใน 10 เป็นเบาหวาน วิมุตฯ เตือนภัย NCDs วัยทำงาน

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ฉลอง 40 ปี มุ่งป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs

กรุงเทพฯ, 20 กุมภาพันธ์ 2568 – โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ฉลองครบรอบ 40 ปีแห่งความสำเร็จในการดูแลสุขภาพของคนทุกวัย พร้อมประกาศเดินหน้าสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคเบาหวานและกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคามประชากรวัยทำงาน

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เทพ หิมะทองคำ ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ กล่าวว่า “โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพให้ประชาชนทุกวัย โดยแนวคิดนี้เกิดจากประสบการณ์ศึกษาดูงานต่างประเทศ ซึ่งทำให้เห็นว่าการดูแลโรค NCDs โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ต้องเน้นการป้องกันและให้ความรู้ควบคู่กับการรักษา เพราะผู้ป่วยมักเผชิญกับปัญหาซ้ำซากเมื่อพึ่งพาการรักษาเพียงอย่างเดียว”

คนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย

องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าในปี 2021 โรค NCDs คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกอย่างน้อย 43 ล้านคน โดยมีประชากร 18 ล้านคนที่เสียชีวิตจากกลุ่มโรคดังกล่าวก่อนอายุ 70 ปี สำหรับประเทศไทย งานวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับ WHO บ่งชี้ว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง เบาหวาน มะเร็ง และโรคปอดเรื้อรัง

มีประชากรอายุเกิน 65 ปีเพิ่มขึ้นถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในอีก 10 ปีข้างหน้า

นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ กล่าวว่า “โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจสุขภาพด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาอันท้าทายเช่นนี้ หลังจากที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ และจะมีประชากรอายุเกิน 65 ปีเพิ่มขึ้นถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในอีก 10 ปีข้างหน้า”

นอกจากนี้ สถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในกลุ่มโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ หัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การขยายตัวของเมือง และพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป

1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน

นายแพทย์เอกลักษณ์ วโนทยาโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อเทพธารินทร์ กล่าวว่า “จากรายงานสถิติสาธารณสุขไทยพบว่า มีผู้เป็นเบาหวานรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 300,000 คนต่อปี และปัจจุบันมีคนไทยถึง 1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน สิ่งที่น่ากังวลคือ เรากำลังพบผู้ป่วยในกลุ่มคนทำงานที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาระงานหนักและมีความเครียดสูง ซึ่งมักพึ่งพาอาหารหวาน มัน และของทอด เพื่อบรรเทาความเครียด”

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ได้นำระบบการดูแลผู้ป่วยแบบทีมสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งถูกพัฒนาและเป็นต้นแบบการดูแลรักษาของประเทศไทยมานาน 40 ปี พร้อมต่อยอดสร้างประโยชน์ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยระบบการดูแลผู้ป่วยด้วยทีมสหสาขาวิชาชีพนี้ไม่เพียงมุ่งการรักษาอาการของโรคเท่านั้น แต่เน้นให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมขยายผลการดูแลสุขภาพไปสู่สมาชิกในครอบครัวและสังคม เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพที่ยั่งยืนสำหรับคนทุกวัย

ป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ยังมุ่งเน้นการป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง พร้อมส่งเสริมการออกกำลังกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ได้มุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อพัฒนาสุขภาพของผู้คนในสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการสร้างต้นแบบการทำงานแบบทีมสหสาขาวิชาชีพ การพัฒนาวิชาชีพใหม่ เช่น ผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน นักกำหนดอาหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเท้า และการทำงานส่งเสริมแนวคิดการป้องกันโรคในชุมชน ด้วยเป้าหมายสูงสุดในการลดภาระของโรค NCDs และสร้างสังคมไทยที่มีสุขภาพดีในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“มะเร็งรักษาทุกที่” กลับสู่แนวทางเดิม ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

“มะเร็งรักษาทุกที่” กลับสู่แนวทางเดิม ผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

กุมภาพันธ์ 2568 –  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่แล้ว และกลับไปใช้ประกาศฉบับเดิม ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมีใบส่งตัว

การแก้ไขปัญหา “มะเร็งรักษาทุกที่”

จากกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้สั่งการให้ สปสช. ดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีการเข้ารับบริการตามนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” นั้น ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ได้รายงานว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้เรียบร้อยแล้ว

ผู้ป่วยมะเร็งรับบริการได้ตามแนวทางเดิม

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รวมถึงวันที่ 1 เมษายน 2568 ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับบริการตามนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” ได้ตามแนวทางบริการเดิมที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพดูแลผู้ป่วยมะเร็ง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบส่งตัวรับรองสิทธิในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากหน่วยบริการประจำ

สปสช. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเช่นเดิม

สปสช. ยังคงรับผิดชอบดูแลการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายตามนโยบายเช่นเดิม หน่วยบริการสามารถเบิกได้ทั้งค่ารังสีรักษา ยาเคมีบำบัด การผ่าตัด โรคแทรกซ้อนของมะเร็ง และโรคอื่นที่คนไข้มะเร็งเป็นร่วม

ระบบส่งข้อมูลผู้ป่วย

สำหรับการส่งข้อมูลผู้ป่วยนั้น มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ TCB Plus ของสถาบันมะเร็ง กรมการแพทย์ และ Health Link ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อใช้ลงทะเบียน รับส่งต่อและดูข้อมูลผู้ป่วยอยู่แล้ว โดยทางโรงพยาบาลรับส่งต่อสามารถดูข้อมูลผู้ป่วยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวนี้ได้

ยกเลิกประกาศฉบับใหม่ กลับไปใช้ฉบับเดิม

เลขาธิการ สปสช. ได้ลงนามคำสั่งยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่ ที่จะบังคับใช้ 1 เมษายน 2568 แล้ว ซึ่งจะมีผลทำให้กลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ฯ ฉบับเดิม ปี 2566-2567 และได้ส่งหนังสือแจ้งเวียนหน่วยบริการทั่วประเทศรับทราบแล้ว

รัฐบาลใส่ใจสุขภาพประชาชน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความใส่ใจอย่างยิ่งต่อภาวะเจ็บป่วยของประชาชน โดยมะเร็งเป็นโรคที่มีภาวะร้ายแรงต่อสุขภาพ การเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเพิ่มโอกาสการรักษาและลดความรุนแรงของโรค รวมถึงลดการเสียชีวิตลงได้ จึงนำมาสู่นโยบายมะเร็งรักษาทุกที่ โดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งยืนยันว่า ณ วันนี้รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งรวมถึง สปสช. ยังคงยืนยันหลักการนี้เช่นเดิม

สรุป

การกลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับเดิม ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายยิ่งขึ้น และได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

เฝ้าระวังอหิวาตกโรค ไทยย้ำสุขอนามัยรับปีใหม่

อหิวาตกโรคยังน่าห่วง! วช. เฝ้าระวังเข้มช่วงปีใหม่ ป้องกันการแพร่ระบาด

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 นพ.สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การระบาดของอหิวาตกโรคเป็น ‘ภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่’ เนื่องจากพบผู้ป่วยจำนวนมากและการระบาดขยายวงกว้างในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศเช่นเดียวกับโควิด-19

ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้เฝ้าระวังอหิวาตกโรคอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็น 1 ใน 57 โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตามกฎหมาย โดยหลังการระบาดในพื้นที่ชเวโก๊กโก่ ประเทศเมียนมา ซึ่งติดกับชายแดนจังหวัดตาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตากได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค พบผู้ป่วยสะสม 4 ราย แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 2 ราย และคนไทย 2 ราย นอกจากนี้ยังพบผู้ติดเชื้อไม่มีอาการอีก 3 ราย ทุกคนได้รับการรักษาจนหายดีแล้วและไม่มีผู้เสียชีวิต

มาตรการป้องกันโรคเข้มข้นในช่วงเทศกาลปีใหม่

นพ.สุภโชค กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่มีกิจกรรมเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ดังนี้

  1. สุขาภิบาลตลาดและร้านอาหาร
    เจ้าของตลาดทุกแห่งต้องล้างตลาดและฆ่าเชื้อทุกวัน รวมถึงร้านอาหารและแผงลอยต้องปฏิบัติตามหลักสุขาภิบาลอาหาร

  2. ทำความสะอาดห้องสุขาสาธารณะ
    หน่วยงานราชการ โรงเรียน และองค์กรเอกชนต้องล้างและฆ่าเชื้อห้องสุขาสาธารณะทุกวัน

  3. ควบคุมคุณภาพน้ำประปา
    ผู้รับผิดชอบระบบประปาต้องปรับปรุงคุณภาพน้ำให้มีค่าคลอรีนอิสระตามมาตรฐาน

  4. ตรวจคัดกรองผู้สงสัยติดเชื้อ
    ผู้ที่มีอาการหรือสงสัยว่าติดเชื้ออหิวาตกโรคต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองและรักษา

  5. ความร่วมมือจากสถานประกอบการ
    ร้านอาหาร สถานที่ผลิตน้ำดื่ม/น้ำแข็ง ต้องให้ความร่วมมือในการกำจัดหรือทำลายเชื้อ

  6. สื่อสารข้อมูลป้องกันโรค
    ขอความร่วมมือผู้นำชุมชนและเครือข่ายภาคประชาชนช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลความรู้การป้องกันโรคผ่านทุกช่องทาง

การเฝ้าระวังโรคและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า การจัดการกับอหิวาตกโรคจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด

ในปี 2568 วช. ยังเตรียมพัฒนาระบบการส่งข้อความเตือนภัยผ่านโทรศัพท์มือถือให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันโรค

เน้นย้ำการป้องกันส่วนบุคคล

นพ.สุภโชคเน้นย้ำถึงความสำคัญของสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะการกินร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือ รวมถึงการเลือกบริโภคน้ำและอาหารที่สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายของโรค

สรุป

กระทรวงสาธารณสุขยังคงเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการป้องกันอหิวาตกโรคอย่างเข้มงวด พร้อมเรียกร้องความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรักษาสุขอนามัยและปฏิบัติตามมาตรการเพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

รู้ทันโรคหัวใจวายเฉียบพลัน กับบทเรียนชีวิตโจนัส แอนเดอร์สัน

รู้จักโรคหัวใจวายเฉียบพลัน กับชีวิตเฉียดตายของ โจนัส แอนเดอร์สัน” บนเวที Thailand Friendly Design Expo 2024

15 ธันวาคม 2567 – ที่งาน Thailand Friendly Design Expo 2024 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ลิขิต กำธรวิจิตรกุล แพทย์อายุรศาสตร์หัวใจจากโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ได้รับเกียรติร่วมเสวนาในหัวข้อ รู้จักโรคหัวใจวายเฉียบพลัน กับชีวิตเฉียดความตายของ โจนัส แอนเดอร์สัน”

กิจกรรมดังกล่าวมี คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้บริหารสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมี โจนัส แอนเดอร์สัน ศิลปินลูกทุ่งชื่อดังร่วมแบ่งปันประสบการณ์ตรงจากการต่อสู้กับโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

โรคหัวใจวายเฉียบพลันคืออะไร

ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หรือ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Heart Failure) เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ ส่งผลให้เกิดการคั่งของเลือดในปอดและอวัยวะต่าง ๆ อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

สาเหตุของภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน:

  • โรคหัวใจขาดเลือด
  • โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไทรอยด์เป็นพิษ
  • การติดเชื้อที่ส่งผลต่อหัวใจ
  • การใช้ยาหรือสารเสพติด

อาการสำคัญที่ต้องระวัง

อาการของภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ได้แก่:

  • เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก
  • แน่นหน้าอก
  • ตัวบวม ขาบวม
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ไอปนฟองสีขาวหรือชมพู

อาการที่ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล:

  • เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง
  • หายใจไม่อิ่มหรือมีอาการหอบเฉียบพลัน
  • หมดสติ

ประสบการณ์เฉียดตายของโจนัส แอนเดอร์สัน

โจนัส แอนเดอร์สัน เล่าว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างที่เขากำลังออกกำลังกาย เขารู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก ปวดร้าวไปที่แขนซ้ายและคอ ร่วมกับมีอาการเหงื่อออกมากผิดปกติ

“ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่ท้องอืด แต่พออาการไม่ดีขึ้น ผมตัดสินใจไปโรงพยาบาลทันที โชคดีที่แพทย์ตรวจพบอาการหัวใจวายและทำการรักษาได้ทันเวลา” โจนัสกล่าว

ทีมแพทย์ได้ทำการฉีดสีและรักษาด้วยการขยายหลอดเลือด ซึ่งช่วยชีวิตเขาไว้ได้

 

เหตุเกิดก็คือเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (4 มี.ค.) ผมก็ออกกำลังกายตามปกติที่หมู่บ้าน เช้าๆ จะเงียบมาก ไม่มีใคร ผมก็อยู่คนเดียว ออกกำลังกายไป แล้วอยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอกมากๆ เป็นช่วงบริเวณหน้าท้องกับหน้าอกทั้งหมดที่ปวด และปวดชาลงมาถึงแขนซ้ายด้วย แล้วก็ขึ้นมาที่คอด้วย

ตอนแรกผมคิดว่าท้องอืด เพราะอาการไม่ต่างกับโรคหัวใจมาก แต่สิ่งที่มาคู่กันคือรู้สึกเหมือนจะเวียนหัวเบาๆ ก็คิดว่าจะลองฝืนดู ถ้าท้องอืดพอออกกำลังกายก็คงจะหายเอง แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น ก็ลองหยุดแล้วกลับบ้าน

แล้วอาการก็รุนแรงขึ้น เหงื่อท่วมอาบเลย ข้างในมันรู้สึกกระวนกระวายยังไงบอกไม่ถูก ผมก็เลยรีบมาที่โรงพยาบาล เพราะเริ่มรู้สึกได้ว่ามันน่าเป็นห่วง พอมาถึงอาการก็รุนแรงขึ้น แต่พอมาถึงทีมแพทย์พยาบาลก็มาดูอาการอย่างเร็วเลย ตอนนั้นก็ได้อัลตราซาวนด์ ก็ตกใจ เพราะเห็นว่ากล้ามเนื้อหัวใจไม่ทำงานอยู่จุดนึง

 

วิธีป้องกันภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารเค็มและไขมันสูง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพประจำปี

คำแนะนำจากแพทย์:

“ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีประวัติในครอบครัวควรตรวจสุขภาพหัวใจ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรค” นพ.ลิขิต กล่าว

กิจกรรมเสริมสุขภาพในงาน Friendly Design Expo 2024

นอกจากการเสวนาแล้ว โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ยังจัดบูธให้บริการตรวจสุขภาพและคลายกล้ามเนื้อด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ฟรี พร้อมกิจกรรมแจกของรางวัล

กิจกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้แก่ประชาชน และการสร้างความตระหนักถึงโรคหัวใจในสังคม

ความสำคัญของการตระหนักถึงสุขภาพหัวใจ

งานเสวนาครั้งนี้ไม่ได้เพียงแค่ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจวายเฉียบพลันเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการป้องกันและดูแลสุขภาพหัวใจในชีวิตประจำวัน

ข้อคิดจากโจนัส แอนเดอร์สัน

“ชีวิตเป็นสิ่งที่ล้ำค่า อย่ามองข้ามสัญญาณเตือนจากร่างกาย และอย่าฝืนตัวเอง เพราะสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” โจนัสกล่าวปิดท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Thailand Friendly Design Expo

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

ตำรายาแก้โรค มะเร็งหายใน 6 วัน ไม่เป็นความจริง

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567  ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยข่าวปลอม อย่าแชร์! ตามที่มีข้อมูลเรื่องตำรายาแก้โรคมะเร็งหายใน 6 วัน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีที่มีการแนะนำตำรายาแก้โรคมะเร็งหายใน 6 วัน ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า จากการสืบค้นตามหลักองค์ความรู้ทางศาสตร์การแพทย์แผนจีนแล้วพบว่า
1.สมุนไพร “ปั่วกี่ไน๊” คือ สมุนไพรจีนที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scutellaria borboto D. Don เป็นตัวยาที่มีรสขมเย็น ช่วยแก้ร้อนใน ดับพิษร้อน แก้อักเสบ ช่วยห้ามเลือด รักษาอาการเจ็บคอ
2.สมุนไพร “แป๊ะฮ่วยจั่วจิเฉ่า” คือ สมุนไพรจีนที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sclerommitnion diffusum (Wild) R. J. Wang เป็นตัวยาที่มีรสขมเย็น ช่วยดับร้อน ถอนพิษ ขับปัสสาวะ ขับเลือด ระงับปวด ขับเสมหะ

ซึ่งในปัจจุบันสมุนไพรทั้งสองชนิดดังกล่าว เป็นสมุนไพรจีนใช้ในการเข้าตำรับยาแก้ร้อนในทั่วไป ซึ่งยังไม่พบงานวิจัยในการนำมาใช้รักษาโรคมะเร็งตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ดังนั้นขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือหากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1556

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ในปัจจุบันสมุนไพรทั้งสองชนิดดังกล่าว เป็นสมุนไพรจีนใช้ในการเข้าตำรับยาแก้ร้อนในทั่วไป ซึ่งยังไม่พบงานวิจัยในการนำมาใช้รักษาโรคมะเร็งตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

กรมการแพทย์แผนไทยฯ คัดเลือก “สมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัด”

 
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 มีรายงานจาก คณะอนุกรรมการด้านวิชาการกำหนดชนิดสมุนไพรอัตลักษณ์ประจำจังหวัด ได้พิจารณาผ่านแล้ว 57 จังหวัด อยู่ระหว่างการพิจารณา 19 จังหวัด

โดย น.ส.กมลทิพย์ สุวรรณเดช นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า สำหรับแนวทางในการพิจารณาเลือกสมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัด กำหนดให้แต่ละจังหวัดที่รู้ข้อมูลพื้นที่ตัวเองดี คัดเลือกสมุนไพรที่มีค่า มีการพบมาก เป็นพืชเศรษฐกิจ หรือหายาก มีคุณค่าทางวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อนุกรรมการฯก็จะมาพิจารณาเลือกแล้วให้ข้อมูลทางด้านสารสำคัญ งานวิจัยเข้าไป

อย่างเช่น หัวร้อยรูเป็นสมุนไพรหายากของตรังและใช้ทางยารักษาโรคมะเร็ง มีเฉพาะในธรรมชาติเท่านั้น มีการปลูกที่ยากมาก จึงให้หัวร้อยรูเป็นสมุนไพรอัตลักษณ์ของตรัง ก็มีแผนว่าจะทำอย่างไรให้ลดการเก็บจากธรรมชาติแล้วหันมาส่งเสริมการปลูกทดแทนในธรรมชาติ

 

สมุนไพอัตลักษณ์จังหวัดภาคเหนือ

  • เชียงใหม่   กัญชง
  • แม่ฮ่องสอน  บุกไข่
  • เชียงราย  ส้มป่อย
  • ลำพูน  เปล้าใหญ่
  •  ลำปาง  กวาวเครือ
  • พะเยา  เพชรสังฆาต
  •  แพร่  กลอย
  • น่าน  มะแข่น/มะแขว่น
  • ตาก  ขมิ้นชัน
  •  สุโขทัย  เพกา
  • พิษณุโลก  ส้มซ่า
  • กำแพงเพชร  สมอพิเภก
  • เพชรบูรณ์  ขิง
  • พิจิตร  ฟ้าทะลายโจร

สมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัดภาคกลาง

  • ชัยนาท  มะตูม
  • นครปฐม กระชาย
  •  นนทบุรี หน่อกะลา
  • ปทุมธานี  บัวหลวง
  • พระนครศรีอยุธยา  ผักเสี้ยนผี
  • ลพบุรี  ฟ้าทะลายโจร
  • สมุทรปราการ  เหงือกปลาหมอดอกม่วง
  • สมุทรสาคร  เหงือกปลาหมอดอกขาว
  •  สมุทรสงคราม  เกลือสมุทร
  • สุพรรณบุรี  ว่านพระฉิม
  • อุทัยธานี  คนฑา
  • อ่างทอง  ข่าตาแดง

สมุนไพรอัตลักษณ์ภาคใต้

  • กระบี่  กระท่อม
  • ชุมพร  มะเดื่ออุทุมพร
  • ตรัง หัวร้อยรู และพริกไทย
  • นครศรีธรรมราช  จันทน์เทศ
  • นราธิวาส คนที
  • ปัตตานี  ปลาไหลเผือก
  •  พัทลุง  ไพล
  • ภูเก็ต  ส้มควาย
  • สงขลา  กระท่อม
  • สุราษฎร์ธานี  ขมิ้นชัน

สมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัดภาคตะวันตก

  • กาญจนบุรี  มะขามป้อม
  • ประจวบคีรีขันธ์  ว่านหางจระเข้
  •  ราชบุรี  ขมิ้นอ้อย
  • เพชรบุรี  หัวเข่าคลอน

สมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัดภาคตะวันออก

  • จันทบุรี  กระวาน และพริกไทย
  • ปราจีนบุรี  ฟ้าทะลายโจร

 

น.ส.กมลทิพย์ กล่าวด้วยว่า สมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัดอาจจะมีซ้ำกันได้ เช่น ขมิ้นชัน มีสุราษฎร์ธานีกับตาก ซึ่งมีความแตกต่างกัน โดยที่สุราษฎร์ธานีจะมีสารเคอร์คูมินอยด์สูง แต่ตากจะมีส่วนของน้ำมันหอมระเหยที่สูง  บางจังหวัดก็มี 2 ชนิด เช่น ตรังมีหัวร้อยรูและพริกไทย ซึ่งพริกไทยของตรังมีคุณภาพดีมาก พอๆ กับของจันทบุรี แหล่งพริกไทยสำคัญและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอก็ให้พริกไทยทั้งที่ตรังและจันทบุรี

การส่งเสริมต่อยอดสมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัด  น.ส.กมลทิพย์ กล่าวว่า เมื่อได้ครบแล้ว แต่ละจังหวัดจะกำหนดแผนในการผลิตสมุนไพรชนิดนั้นๆ ให้ได้ตามมาตรฐานของการปลูกและการเก็บเกี่ยวที่ดีให้ได้วัตถุดิบสมุนไพรที่มีคุณภาพ สามารถส่งเสริมในการผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรต่างๆ ที่จะใช้ใน รพ.หรือจำหน่ายให้แก่ประชาชน

โดยการใช้วัตถุดิบสมุนไพรอัตลักษณ์จังหวัดนั้น เช่น ขิง เพชรบูรณ์ประกาศว่าคุณภาพดีที่สุด ผู้ประกอบการก็ไปที่เพชรบูรณ์ก็จะได้ขิงที่มีคุณภาพดีที่สุด เป็นต้น  นอกจากนี้ จะเข้าไปช่วยส่งเสริมในเรื่องของผลิตภัณฑ์หรือสินค้า OTOP ของดีประจำจังหวัดด้วย

 

ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ตามแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 – 2570 กำหนดค่าเป้าหมาย ขนาดตลาดวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพรของประเทศไทย

  • ปี 2567 จำนวน 63,045 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 %  
  • ปี 2568 จำนวน 72,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 %
  • ปี 2569 จำนวน 87,003.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 %  
  • ปี 2570 จำนวน 104,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 % 

และร้อยละความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain)อุตสาหกรรมสมุนไพรไทย ในปี 2570เพิ่มขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 20 จากปี 2565

ซึ่งผลจากการพัฒนา 15 เมืองสมุนไพรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560-2566 เกิดรายได้สะสมจากการขายผลิตภัณฑ์ และบริการที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพร รวม 11,783 ล้านบาท แยกเป็น 3 คลัสเตอร์

1.ด้านเกษตรและวัตถุดิบสมุนไพร ได้แก่ จังหวัดอำนาจเจริญ สุรินทร์มหาสารคาม อุทัยธานี สกลนคร และ สระแก้ว  สร้างรายได้ระดับพื้นที่สะสม 1,837 ล้านบาท

 2.ด้านอุตสาหกรรมสมุนไพร ได้แก่ จังหวัดนครปฐม สระบุรี ปราจีนบุรี และจันทบุรี สร้างรายได้ระดับพื้นที่สะสม 3,720 ล้านบาท

3.ด้านท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ความงามและการแพทย์แผนไทย ได้แก่ จังหวัดเชียงราย พิษณุโลก อุดรธานี สุราษฎร์ธานี และ สงขลา สร้างรายได้ระดับพื้นที่สะสม 6,226  ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการแพทย์แผนไทยฯ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News