Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายติดอันดับ Google Maps เผย ที่เที่ยวรีวิวเยอะ

เชียงรายโดดเด่นบน Google Maps: สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการรีวิวมากที่สุดในประเทศไทย

ประเทศไทย, 14 มีนาคม 2568 – Google Maps ฉลองครบรอบ 20 ปีของการเป็นเครื่องมือนำทางที่ทรงพลัง ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่การนำทางเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้คนค้นพบสถานที่ใหม่ ๆ ได้แบบเรียลไทม์ และเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นเติบโตผ่านการรีวิวจากผู้ใช้ ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร หรือคาเฟ่ได้ง่ายขึ้น

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และอาหารที่ขึ้นชื่อ จึงไม่น่าแปลกใจที่ Google Maps ได้รวบรวม 10 อันดับสถานที่ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุดในประเทศไทย และจากข้อมูลดังกล่าว จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีสถานที่สำคัญติดอันดับสูงสุดในหลายหมวดหมู่ ได้แก่ วัดร่องเสือเต้น วัดร่องขุ่น และพิพิธภัณฑ์บ้านดำ

เชียงราย: เมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรม

เชียงรายเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมไทยล้านนา ที่นี่เป็นบ้านเกิดของศิลปินชื่อดังอย่าง อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ผู้สร้าง วัดร่องขุ่น และ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ผู้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์บ้านดำ นอกจากนี้ยังมีวัดร่องเสือเต้น ซึ่งเป็นผลงานของ สล่านก (พุทธา กาบแก้ว) ศิลปินผู้สืบทอดงานศิลปะจากอาจารย์เฉลิมชัย ทำให้เชียงรายกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

สถานที่ในเชียงรายที่ได้รับการรีวิวมากที่สุดบน Google Maps

  1. วัดร่องเสือเต้น (22,374 รีวิว)

วัดร่องเสือเต้นเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดของเชียงราย ด้วยสถาปัตยกรรมสีน้ำเงินที่ตัดกับทองคำเปลวอย่างงดงาม วัดนี้สร้างโดยศิลปินท้องถิ่นและกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัด การออกแบบของวัดเต็มไปด้วยรายละเอียดที่งดงาม ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาสัมผัสงานศิลปะที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมพุทธศาสนา

  1. วัดร่องขุ่น (21,753 รีวิว)

วัดร่องขุ่นเป็นผลงานสร้างสรรค์ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ วัดแห่งนี้มีโครงสร้างสีขาวบริสุทธิ์ที่สะท้อนแสงแดดอย่างสวยงาม และสื่อถึงความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา นอกจากความงดงามแล้ว วัดร่องขุ่นยังเป็นสถานที่ที่มีความหมายทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง ทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนมาเยี่ยมชมมากที่สุด

  1. พิพิธภัณฑ์บ้านดำ (12,298 รีวิว)

บ้านดำ หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ เป็นสถานที่ที่รวบรวมผลงานของ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินระดับโลกที่สร้างสรรค์ศิลปะในรูปแบบของบ้านไม้สีดำขลับ ซึ่งภายในจัดแสดงงานศิลปะที่สะท้อนถึงความลึกซึ้งของปรัชญาชีวิตและวัฒนธรรมไทยล้านนา ความลึกลับและเสน่ห์ของบ้านดำทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของเชียงราย

เชียงราย: จุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักเดินทาง

นอกจากวัดและพิพิธภัณฑ์แล้ว เชียงรายยังมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม เช่น ดอยแม่สลอง ดอยตุง และดอยช้าง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟชั้นเลิศของประเทศไทย นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมไร่ชา เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตชา และสัมผัสอากาศเย็นสบายตลอดปี

ร้านอาหารและคาเฟ่ในเชียงรายที่ได้รับการรีวิวสูงสุดบน Google Maps

  • Chivit Thamma Da Coffee House, Bistro & Bar (คาเฟ่ริมแม่น้ำกกที่มีบรรยากาศอบอุ่น)
  • Melt in Your Mouth (คาเฟ่และร้านอาหารสไตล์ยุโรปที่มีวิวแม่น้ำสุดโรแมนติก)
  • ริมกกคาเฟ่ (คาเฟ่ที่ให้บรรยากาศธรรมชาติริมแม่น้ำกก เหมาะแก่การพักผ่อน)

10 อันดับ สวนสาธารณะและอุทยานฯ บน Google Maps ประเทศไทย ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุด 

  1. สวนลุมพินี กรุงเทพฯ (35,617 รีวิว)
  2. อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา (15,423 รีวิว)
  3. อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จ.กาญจนบุรี (14,016 รีวิว)
  4. อุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ (10,350 รีวิว)
  5. อุทยานหินเขางู จ.ราชบุรี (9,098 รีวิว)
  6. อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา (8,534 รีวิว)
  7. พุทธอุทยานมหาราช หลวงปู่ทวด จ.พระนครศรีอยุธยา (7,874 รีวิว)
  8. อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ (7,602 รีวิว)
  9. อุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฎร์ธานี (7,200 รีวิว)
  10. อุทยานหินล้านปีและฟาร์มจระเข้พัทยา จ.ชลบุรี (6,892 รีวิว)

10 อันดับ พิพิธภัณฑ์ บน Google Maps ประเทศไทย ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุด 

  1. ปราสาทสัจธรรม จ.ชลบุรี (26,932 รีวิว)
  2. พิพิธภัณฑ์บ้าน จิม ทอมป์สัน กรุงเทพฯ (14,412 รีวิว)
  3. พิพิธภัณฑ์บ้านดำ จ.เชียงราย (12,298 รีวิว)
  4. พิพิธภัณฑ์ ช้างเอราวัณ จ.สมุทรปราการ (11,127 รีวิว)
  5. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ (7,692 รีวิว)
  6. พิพิธภัณฑ์ริปลีย์ บีลิฟอิท ออ นอท พัพิพทยา  จ.ชลบุรี (7,567 รีวิว)
  7. มิวเซียมสยาม กรุงเทพฯ (7,116 รีวิว)
  8. พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย กรุงเทพฯ (5,169 รีวิว)
  9. องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ กรุงเทพฯ (4,583 รีวิว)
  10. ศูนย์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาด จ.กาญจนบุรี (4,344 รีวิว

10 อันดับ วัด บน Google Maps ประเทศไทย ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุด 

  1. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ (39,926 รีวิว)
  2. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) กรุงเทพ (37,399 รีวิว)
  3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) กรุงเทพฯ (33,154 รีวิว)
  4. วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์ (24,167 รีวิว)
  5. วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา (23,032 รีวิว)
  6. วัดร่องเสือเต้น จ.เชียงราย (22,374 รีวิว)
  7. วัดร่องขุ่น จ.เชียงราย (21,753 รีวิว)
  8. วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร กรุงเทพฯ (21,206 รีวิว)
  9. วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา (19,521 รีวิว)
  10. วัดพระธาตุดอยคำ จ.เชียงใหม่ (19,290 รีวิว)

10 อันดับ ร้านอาหาร บน Google Maps ประเทศไทย ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุด

  1. ร้านอาหารปูเป็น ซีฟู้ด จ.ชลบุรี (15,862 รีวิว)
  2. Tandoori จ.ภูเก็ต (15,854 รีวิว)
  3. ชอคโกแลต วิลล์ กรุงเทพฯ (14,548)
  4. สุกี้ตี๋น้อย ศรีนครินทร์-สมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ (14,237 รีวิว)
  5. นานาพลาซ่า กรุงเทพฯ (14,108 รีวิว)
  6. มุมอร่อย สาขานาเกลือ จ.ชลบุรี (13,308)
  7. โคตรทะเล เดอะ ริเวอร์ ฟร้อนท์ ซีฟู้ด บุฟเฟ่ต์ กรุงเทพฯ (14,753 รีวิว)
  8. ระเบียงทะเล จ.สมุทรปราการ (13,158 รีวิว)
  9. The Village Farm To Café จ.กาญจนบุรี (12,725  รีวิว)
  10. โคตรทะเล ซีฟู้ด บุฟเฟ่ต์ กรุงเทพฯ (12,520 รีวิว)

10 อันดับ คาเฟ่ บน Google Maps ประเทศไทย ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุด

  1. maidreamin MBK กรุงเทพฯ (17,380 รีวิว)
  2. The Village Farm To Café จ.กาญจนบุรี (12,725 รีวิว)
  3. Cafe Phuket Viewpoint จ.ภูเก็ต (8,662 รีวิว)
  4. เพลินคาเฟ่ บางปู จ.สมุทรปราการ (6,314 รีวิว)
  5. Nami_Dessert&Coffee by Chaokhun (Nami Central Mahachai) จ.สมุทรสาคร (5,684 รีวิว)
  6. ป้าบุญคาเฟ่ สาขาพัทยา จ.ชลบุรี (5,353 รีวิว)
  7. มีนา คาเฟ่ จ.กาญจนบุรี (4,769 รีวิว)
  8. THE COFFEE CLUB – River City กรุงเทพฯ (4,405 รีวิว)
  9. Café 8.98 Ao Nang จ.กระบี่ (4,144 รีวิว)
  10. โอทู คอฟฟี่ แอนด์ บิสโตร จ.นครปฐม (3,716 รีวิว)

ข้อสรุป

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยการผสมผสานระหว่างศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติ ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักท่องเที่ยว Google Maps ได้แสดงให้เห็นถึงความนิยมของสถานที่ท่องเที่ยวในเชียงรายผ่านจำนวนรีวิวที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น วัดร่องเสือเต้น วัดร่องขุ่น หรือพิพิธภัณฑ์บ้านดำ

นอกจากนี้ เชียงรายยังมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม คาเฟ่บรรยากาศดี และอาหารเหนือที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Google Maps (2568) / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เที่ยวเชียงรายสัมผัสธรรมชาติ 6 เส้นทางวิถีชุมชน คนกับป่า

พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้สู่ชุมชน

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการ 6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว “วิถีชุมชนคนกับป่า” ณ โรงเรียนปางมะกาดวิทยาคม ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า, นางสาวทัศนาภรณ์ จันทร์ดง พัฒนาการอำเภอเวียงป่าเป้า พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม

พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ

อำเภอเวียงป่าเป้าถือเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยมีหลายหมู่บ้านที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ บ้านขุนลาว บ้านห้วยคุณพระ บ้านปางมะกาด บ้านห้วยน้ำกืน บ้านห้วยมะเกลี้ยง และบ้านแม่หาง เส้นทางเหล่านี้มีจุดเด่นด้านการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวิถีชุมชน ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสธรรมชาติ เที่ยวป่าต้นน้ำ ชมน้ำตก ชิมชา กาแฟอินทรีย์ และเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

การเปิดเส้นทาง “วิถีชุมชนคนกับป่า” เป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเป็นการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน

6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว เชื่อมโยงธรรมชาติและวัฒนธรรม

1. หมู่บ้านปางมะกาด (หมู่ 8 ต.แม่เจดีย์)

  • สักการะพระธาตุปางมะกาด

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เที่ยวน้ำตกเลาลี

  • ชมสวนดอกซิมมีเดียมและดอกนางลาว

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

2. บ้านห้วยน้ำกืน (หมู่ 13 ต.แม่เจดีย์)

  • ไหว้พระเจ้าพ่อคูณสาม

  • ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ดอยป่า ดอยมด

  • ชมดอกซากุระและดอกกุหลาบพันปี

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

3. บ้านขุนลาว (หมู่ 7 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • เที่ยวน้ำตกขุนลาว

  • ชมสวนชาและกาแฟพันธุ์พิเศษ

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ สบู่กาแฟ น้ำพริกตาแดง

4. บ้านห้วยคุณพระ (หมู่ 12 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • นมัสการพระที่อาราม

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เช็คอินที่ “แผ่นดินหวิด”

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

5. บ้านแม่หาง (หมู่ 7 ต.ป่างิ้ว)

  • เยี่ยมชมไร่ชาในชุมชน

  • เที่ยวน้ำตกห้วยต้นซ้อ

  • ไหว้พระขอพรที่วัดแม่หาง

  • ท่องเที่ยวดอยแปคมดาบ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

6. บ้านห้วยมะเกลี้ยง (หมู่ 8 ต.ป่างิ้ว)

  • ชมวิถีชีวิตชุมชนปกาเกอะญอ

  • นมัสการพระธาตุดุสิตาผาโง้ม

  • ไหว้พระเจ้าทันใจ

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

โครงการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในเชียงราย เพิ่มรายได้ให้ชุมชนกว่า 30% ภายในปีแรก และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น โดยข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า เชียงรายมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละกว่า 2 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายแสดงความกังวลว่าการพัฒนาการท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาขยะและการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น นักอนุรักษ์เสนอให้มีมาตรการควบคุมและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ธรรมชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) / รายงานการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567 / ข้อมูลจากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ภูเขาน้ำแข็งยักษ์เกยตื้นสัตว์นับล้านรอด

ภูเขาน้ำแข็ง A23a เกยตื้นนอกเกาะเซาท์จอร์เจีย นักวิทยาศาสตร์ชี้กระทบระบบนิเวศระยะสั้น

ภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลกเกยตื้นในเขตน้ำตื้นของมหาสมุทรแอตแลนติกใต้

เซาท์จอร์เจีย – วันที่ 9 มีนาคม 2568 British Antarctic Survey (BAS) รายงานว่า ภูเขาน้ำแข็ง A23a ซึ่งเป็นภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เกยตื้นอยู่ในเขตน้ำตื้น ห่างจากชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะเซาท์จอร์เจียประมาณ 80 กิโลเมตร โดยเกาะแห่งนี้เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าจำนวนมาก เช่น เพนกวินและแมวน้ำหลายล้านตัว

ภูเขาน้ำแข็ง A23a มีขนาด ใหญ่เป็นสองเท่าของมหานครลอนดอน และมีน้ำหนักเกือบ ล้านล้านตัน หลังจากแตกตัวออกจากหิ้งน้ำแข็งฟิลช์เนอร์-รอนน์ (Filchner-Ronne Ice Shelf) ของทวีปแอนตาร์กติกามาตั้งแต่ปี 1986 และติดอยู่กับพื้นมหาสมุทรเป็นเวลานานกว่า 30 ปี ก่อนจะหลุดออกมาและเริ่มเคลื่อนตัวขึ้นเหนือในปี 2020

ผลกระทบต่อระบบนิเวศและอุตสาหกรรมประมง

ผลกระทบต่อเพนกวินและแมวน้ำ

นักวิทยาศาสตร์เคยแสดงความกังวลว่า การเคลื่อนที่ของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่อาจส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหารของสัตว์ในพื้นที่ โดยเฉพาะ เพนกวินมะกะโรนี (Macaroni Penguin) ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ อย่างไรก็ตาม ลอรา เทย์เลอร์ (Laura Taylor) นักวิทยาศาสตร์ของ BAS ระบุว่า ฤดูผสมพันธุ์ของเพนกวินและแมวน้ำกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จึงคาดว่าผลกระทบต่อสัตว์เหล่านี้จะมีน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้

ผลกระทบต่อระบบนิเวศใต้ทะเล

การเกยตื้นของภูเขาน้ำแข็งในเขตน้ำตื้นอาจสร้างความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณก้นทะเล เช่น ปะการัง ฟองน้ำ และทากทะเล อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์นาดีน จอห์นสัน (Prof Nadine Johnston) จาก BAS ระบุว่า การละลายของ A23a จะช่วยปล่อยสารอาหารปริมาณมหาศาลสู่มหาสมุทร ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศ

กระบวนการละลายของภูเขาน้ำแข็งและผลกระทบต่อมหาสมุทร

ภูเขาน้ำแข็ง A23a มีความสูงถึง 300 เมตร และเริ่มแสดงสัญญาณของการสลายตัว โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่า บางส่วนของภูเขาน้ำแข็งอาจแตกตัวออกมาในไม่ช้า ซึ่งกระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี โดยปัจจุบัน ขนาดของภูเขาน้ำแข็งลดลงจาก 3,900 ตารางกิโลเมตร เหลือเพียง 3,234 ตารางกิโลเมตร

แพลงก์ตอนพืชบ่งชี้สารอาหารจากภูเขาน้ำแข็ง

หนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกว่าภูเขาน้ำแข็ง A23a กำลังปล่อยสารอาหารคือ การเพิ่มขึ้นของแพลงก์ตอนพืช (Phytoplankton bloom) ซึ่งทำให้เกิดแถบสีเขียวรอบๆ ภูเขาน้ำแข็ง ปรากฏการณ์นี้สามารถตรวจสอบได้จาก ภาพถ่ายดาวเทียม และมีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศในมหาสมุทร

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเพิ่มขึ้นของภูเขาน้ำแข็งแตกตัว

แม้วงจรชีวิตของภูเขาน้ำแข็งจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้มีภูเขาน้ำแข็งแตกตัวจากทวีปแอนตาร์กติกามากขึ้น โดยอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในมหาสมุทรส่งผลให้:

  • ภูเขาน้ำแข็งแตกตัวเร็วขึ้น
  • กระแสน้ำอุ่นทำให้ภูเขาน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น
  • ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อชายฝั่งทั่วโลก

สถิติที่เกี่ยวข้องกับภูเขาน้ำแข็งและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ข้อมูลจาก National Snow and Ice Data Center (NSIDC) ปี 2567 ระบุว่า:

  • ปัจจุบัน มีภูเขาน้ำแข็งมากกว่า 60 ลูก ที่มีขนาดใหญ่กว่า 10 ตารางกิโลเมตร ในมหาสมุทรแอนตาร์กติกา
  • อุณหภูมิเฉลี่ยของมหาสมุทรแอนตาร์กติกาเพิ่มขึ้น 1.5°C ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
  • การละลายของน้ำแข็งแอนตาร์กติกา ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเฉลี่ย 3.5 มิลลิเมตรต่อปี

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับผลกระทบของ A23a

ฝ่ายสนับสนุนมองว่า:

  • การละลายของ A23a ช่วยเพิ่มสารอาหารในมหาสมุทร ซึ่งจะทำให้เกิดการเติบโตของแพลงก์ตอนและช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล
  • การเกยตื้นของภูเขาน้ำแข็งไม่ส่งผลกระทบต่อเพนกวินและแมวน้ำมากนัก เนื่องจากสัตว์เหล่านี้สามารถปรับตัวและหาอาหารในพื้นที่อื่นได้
  • เป็นกระบวนการธรรมชาติของระบบนิเวศแอนตาร์กติกา ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีต

ฝ่ายคัดค้านแสดงความกังวลว่า:

  • อาจสร้างอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมประมง เนื่องจากการแตกตัวของน้ำแข็งอาจทำให้เกิดสิ่งกีดขวางในเส้นทางเดินเรือ
  • กระทบต่อสัตว์ทะเลขนาดเล็กและระบบนิเวศใต้ทะเล โดยเฉพาะปะการัง ฟองน้ำ และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นมหาสมุทร
  • เป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อน ซึ่งอาจทำให้เกิดภูเขาน้ำแข็งแตกตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต

บทสรุป: ความสำคัญของการติดตามผลกระทบในระยะยาว

การเกยตื้นของภูเขาน้ำแข็ง A23a เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ที่สำคัญทางธรณีวิทยาและสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์ยังคงเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของภูเขาน้ำแข็งอย่างใกล้ชิด ทั้งในแง่ของ ผลกระทบต่อระบบนิเวศในมหาสมุทร และความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในอนาคต

ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการฟื้นฟูระบบนิเวศ หรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับการเดินเรือและสัตว์ป่า การศึกษาเกี่ยวกับ A23a จะเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้โลกสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bbc / Brian Matthews / Reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“วัยรุ่นท้องพุ่ง” อายุ 10-14 ปี ขอคำปรึกษาเพิ่ม รัฐเร่งแก้ปัญหา

ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยพุ่งสูง รัฐเร่งดำเนินมาตรการป้องกัน

อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยเพิ่มขึ้น เกินมาตรฐานสากลของ UN

กรุงเทพฯ, 3 มีนาคม 2568 – นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับ ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยในปี 2567 โดยพบว่า อัตราการคลอดบุตรในช่วงอายุ 10 – 14 ปี เพิ่มขึ้นเป็น 0.93 ต่อพันคน ซึ่งสูงกว่าปี 2566 ที่อยู่ที่ 0.77 ต่อพันคน และเกินกว่าเป้าหมายของ องค์การสหประชาชาติ (UN) ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.7 ต่อพันคน

ยอดขอคำปรึกษาเรื่องตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพิ่มขึ้น

ข้อมูลจาก DOH Dashboard ระบุว่า ในปี 2567 มีวัยรุ่นอายุ 10 – 14 ปี ขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ผ่านช่องทางออนไลน์และสายด่วน รวม 46,893 ราย หรือเฉลี่ย 128 รายต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 44,574 ราย

สาเหตุหลักของการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น

จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าสาเหตุหลักของปัญหานี้ประกอบด้วย:

  1. ขาดความรู้และความเข้าใจเรื่องเพศศึกษา – วัยรุ่นจำนวนมากไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองได้
  2. การถูกล่วงละเมิดทางเพศ – เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเด็กหญิงวัยต่ำกว่า 15 ปี จำนวนไม่น้อยถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยคนใกล้ชิด
  3. ขาดแหล่งให้คำปรึกษาที่เข้าถึงได้ง่าย – แม้ว่าจะมีสายด่วน 1663 และช่องทางออนไลน์ แต่ยังมีเด็กหญิงจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าตนเองสามารถขอความช่วยเหลือได้จากช่องทางเหล่านี้

มาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา

เพื่อลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วน ดังนี้:

  1. ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาเชิงรุกในโรงเรียนและครอบครัว – สนับสนุนให้โรงเรียนสอนเพศศึกษาอย่างครอบคลุมและส่งเสริมให้พ่อแม่ให้ความรู้กับบุตรหลาน
  2. ขยายช่องทางให้คำปรึกษาที่เข้าถึงง่าย – เปิดช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียให้วัยรุ่นสามารถขอคำปรึกษาได้อย่างสะดวก
  3. ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิด – กระจายถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
  4. พัฒนาโครงการช่วยเหลือแม่วัยใส – สนับสนุนให้แม่วัยรุ่นสามารถศึกษาต่อและเข้าถึงโอกาสทางอาชีพ

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองมุมมอง

  • ฝ่ายสนับสนุนมาตรการของรัฐ มองว่ามาตรการป้องกันและให้ความรู้เชิงรุกเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และสนับสนุนให้เด็กหญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและอาชีพ
  • ฝ่ายที่กังวล ตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาหลักยังคงอยู่ที่ โครงสร้างสังคมและการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งต้องการการแก้ไขในเชิงลึกมากกว่าการให้ความรู้และการแจกอุปกรณ์ป้องกันเพียงอย่างเดียว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และองค์การสหประชาชาติ (UN) พบว่า:

  • อัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยอายุ 10 – 14 ปี ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 0.93 ต่อพันคน เกินเป้าหมายของ UN ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.7 ต่อพันคน
  • จำนวนวัยรุ่นที่ขอคำปรึกษาเรื่องตั้งครรภ์ไม่พร้อมเพิ่มขึ้นเป็น 46,893 รายในปี 2567 หรือเฉลี่ย 128 รายต่อวัน
  • เด็กหญิงวัยต่ำกว่า 15 ปี จำนวนมากเป็นเหยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
  • UN ระบุว่า ประเทศที่มีอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นต่ำที่สุดมักมีการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาตั้งแต่อายุยังน้อยและเปิดโอกาสให้วัยรุ่นเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ได้ง่าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข / องค์การสหประชาชาติ (UN) / DOH Dashboard

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

ศัลยกรรมไทยโต! Gen Z-LGBTQIA+ ลูกค้ากลุ่มใหม่

ตลาดศัลยกรรมความงามไทยโตต่อเนื่อง คนไทยนิยมศัลยกรรมใบหน้า LGBTQIA+ และ Gen Z เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่

ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามเติบโตต่อเนื่องแม้การแข่งขันสูง

ประเทศไทย, 3 มีนาคม 2568 – การทำศัลยกรรมและเสริมความงามได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยเฉพาะการทำตา จมูก หน้าอก และฉีดโบท็อกซ์ ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า ในปี 2568 มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท เติบโต 2.8% จากปีก่อน แม้ว่าอัตราการเติบโตจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง

คลินิกยังครองตลาด แต่โรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโต

โครงสร้างตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยแบ่งออกเป็น คลินิกและโรงพยาบาล ซึ่งปัจจุบัน คลินิกความงามยังคงมีสัดส่วนมากถึง 85% แม้ว่าจะลดลงจาก 90% ในปี 2564 เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น ในขณะที่ โรงพยาบาลมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15% อันเป็นผลมาจาก จำนวนนักท่องเที่ยวทางการแพทย์ (Medical Tourism) ที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น และความน่าเชื่อถือของมาตรฐานการรักษาและศัลยแพทย์ไทย

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป การศัลยกรรมได้รับความนิยมมากขึ้น

ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่มีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อการทำศัลยกรรมมากขึ้น ส่งผลให้การทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดเพิ่มขึ้นจาก 75% ในปี 2562 เป็น 79% ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น มีความปลอดภัยสูงขึ้น และใช้เวลาฟื้นตัวที่น้อยลง

ศัลยกรรมยอดนิยมที่คนไทยเลือกทำมากที่สุด

  • แบบผ่าตัด: ตา, จมูก, หน้าอก
  • แบบไม่ผ่าตัด: ฉีดโบท็อกซ์, ไฮยาลูรอน, ยกกระชับใบหน้าและลำคอ

เทรนด์ศัลยกรรมที่กำลังมาแรง

จากการสำรวจพบว่า กลุ่มลูกค้าศักยภาพใหม่ ที่มีแนวโน้มเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ได้แก่:

  • กลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQIA+)
  • กลุ่ม Gen Z
  • กลุ่มผู้ชาย

โดยการทำศัลยกรรมบน ใบหน้า เป็นที่นิยมมากที่สุด คิดเป็น 47% ของการใช้บริการทั้งหมด

ตลาดผู้สูงอายุ หนุนการทำศัลยกรรมชะลอวัย

ภายในปี 2571 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุประมาณ 14 ล้านคน โดย 22% ของกลุ่มนี้มีรายได้สูงและอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงสำหรับ ศัลยกรรมดึงหน้า, ทำหน้าอก, ดูดไขมัน และลดริ้วรอย

Medical Tourism หนุนธุรกิจศัลยกรรมไทย

ธุรกิจศัลยกรรมในไทยได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ โดยมี อัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี สำหรับกลุ่มลูกค้า Medical Tourism ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่:

  • จีน
  • มาเลเซีย
  • ญี่ปุ่น
  • กลุ่มอาเซียน (CLMV+I) ที่กำลังเติบโต

การทำศัลยกรรมเป็นหนึ่งใน บริการทางการแพทย์ที่ชาวต่างชาตินิยมเข้ามาใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ของไทย เนื่องจากไทยมี มาตรฐานการรักษาสูง แต่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น เกาหลีใต้

ความท้าทายและความเสี่ยงของธุรกิจศัลยกรรมในไทย

  1. บุคลากรทางการแพทย์มีจำกัด

ปัจจุบัน ไทยมีศัลยแพทย์ตกแต่งเพียง 500 คน เมื่อเทียบกับ เกาหลีใต้ที่มีศัลยแพทย์มากถึง 2,739 คน ทำให้เกิดการแข่งขันเพื่อดึงบุคลากรทางการแพทย์ ส่งผลต่อต้นทุนธุรกิจที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ ศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าในไทยที่มีเพียง 100 คน

  1. การแข่งขันรุนแรง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • ในประเทศไทยมี คลินิกศัลยกรรมกว่า 2,500 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคลินิกขนาดเล็ก
  • ต่างชาติเริ่มเข้ามาแข่งขัน เช่น คลินิกจากเกาหลีใต้ที่เข้ามาเปิดสาขาในไทย หรือการที่ชาวไทยนิยมเดินทางไปทำศัลยกรรมในต่างประเทศโดยเฉพาะเกาหลีใต้
  1. ธุรกิจต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองเทรนด์ความงามที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

การพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีต้นทุนสูง หากลูกค้ามีจำนวนลดลงอาจกระทบต่อรายได้ของธุรกิจ โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้าที่เน้นความคุ้มค่าและเปรียบเทียบราคา

ข้อคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายที่สนับสนุน: เห็นว่าธุรกิจศัลยกรรมความงามของไทย มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม Medical Tourism ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ
  • ฝ่ายที่กังวล: มองว่าการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และการแข่งขันที่สูงอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการให้บริการ รวมถึงความเสี่ยงจากการลงทุนในเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย และกระทรวงสาธารณสุข พบว่า:

  • ปี 2568 มูลค่าตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามไทยจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท โต 2.8%
  • คลินิกความงามครองตลาด 85% ส่วนโรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเป็น 15%
  • Medical Tourism คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5%
  • ศัลยแพทย์ตกแต่งในไทยมีเพียง 500 คน เทียบกับเกาหลีใต้ที่มี 2,739 คน
  • ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 2 ของชาวต่างชาติที่ต้องการศัลยกรรมความงาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย / กระทรวงสาธารณสุข / สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

รู้จัก “ป้านิ” ผู้เชิดชูภูมิปัญญา ผ้าปักมือ สตรีดีเด่นปี 68

นิธี สุธรรมรักษ์: สตรีผู้รักษาภูมิปัญญาผ้าปักมือบ้านสันกอง จากสาวโรงงานสู่ผู้นำกลุ่มผ้าปัก อนุรักษ์ศิลปะพื้นถิ่นให้มีชีวิต

แรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เกิดกลุ่มผ้าปักบ้านสันกอง

นิธี สุธรรมรักษ์ ประธานกลุ่มอาชีพผ้าปักด้วยมือบ้านสันกอง จ.เชียงราย ได้รับเลือกให้เป็น สตรีดีเด่นด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 เธอเป็นบุคคลสำคัญที่นำภูมิปัญญาท้องถิ่นกลับมาสร้างคุณค่า สร้างอาชีพ และส่งเสริมให้ชุมชนมีรายได้

“ตอนแรกเราแค่ลองเอาผ้าปักของผู้สูงอายุในชุมชนไปขายที่ตลาดไนท์บาซาร์เชียงราย ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจมากขนาดนี้” นิธีกล่าว

ผลงานของกลุ่มได้รับความนิยมจากทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ จุดประกายให้เธอตั้งกลุ่มผ้าปักบ้านสันกองขึ้น เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้สูงอายุที่เคยว่างงานให้กลับมามีรายได้อีกครั้ง

การรวมกลุ่มผู้สูงวัย: งานฝีมือที่มากกว่ารายได้

นิธีรวบรวมผู้สูงอายุที่อยู่บ้านเฉย ๆ มาฝึกปักผ้า โดยใช้ระยะเวลาเรียนรู้ตั้งแต่ 10 วันถึง 3 เดือน ขึ้นอยู่กับทักษะของแต่ละคน

“คนที่ไม่เคยปักผ้ามาก่อนก็มี เราสอนทุกขั้นตอนจนเขาทำได้”

หลังจากฝึกจนสามารถปักผ้าได้แล้ว กลุ่มจะจ่ายค่าตอบแทนตามขนาดของชิ้นงาน ผู้สูงอายุสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละ 1,000-2,500 บาท ทำให้พวกเขามีความภูมิใจและลดภาระของลูกหลาน

“บางคนบอกว่าพอได้เงินจากงานปักผ้า เขาเอาไปซื้อของใช้ส่วนตัวเอง ไม่ต้องขอเงินลูกหลาน”

เอกลักษณ์ของผ้าปักบ้านสันกอง

จุดเด่นของผลงานคือ ความละเอียด ประณีต และลวดลายที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชุมชน ลวดลายที่นิยม ได้แก่

  • ลายเมล็ดข้าวสาร สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์
  • ลายใบไม้และดอกไม้ ถ่ายทอดความงามของธรรมชาติ
  • ลายสายน้ำและก้นหอย เป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องและความสงบ

“ผลงานแต่ละชิ้นไม่มีแบบซ้ำกันเลย เพราะมันเกิดจากจินตนาการของคนปัก”

กลุ่มสามารถผลิตผลงานได้กว่า 300-400 ชิ้นต่อเดือน ชิ้นเล็กใช้เวลาปัก 2-3 วัน ส่วนชิ้นใหญ่ใช้เวลาถึง 2-3 เดือน

สตรีดีเด่นแห่งเชียงราย: นางนิธี สุธรรมรักษ์ ผู้สืบสานผ้าปักมือ สู่รางวัลระดับประเทศ

การได้รับรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถและความทุ่มเทของนางนิธี ในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะการปักผ้าด้วยมือ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นบ้านสันกอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ผลงานของนางนิธี ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงให้กับชุมชน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับสตรีในท้องถิ่น ในการพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

การพัฒนาและการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น

นิธีวางแผนพัฒนาให้สินค้าของกลุ่มสอดคล้องกับ แนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) โดยนำเศษวัสดุกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“เศษด้าย เศษผ้า ไม่เคยถูกทิ้ง ทุกอย่างถูกนำมาใช้ใหม่หมด”

นอกจากนี้เธอยังต้องการให้ กระทรวงพาณิชย์เข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาด

การถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้ต้องขัง

นิธีไม่ได้สอนแค่ในชุมชน แต่ยังนำความรู้ด้านผ้าปักเข้าไปถ่ายทอดให้กับผู้ต้องขังชายในเรือนจำกลางเชียงราย

“ช่วงแรกไม่มีใครเชื่อว่าผู้ต้องขังชายจะปักผ้าได้ แต่พอเริ่มฝึก ฝีมือก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ”

จากเดิมที่มีผู้สนใจเข้าเรียน 80 คน เพิ่มขึ้นเป็น 200 คน ตอนนี้ เรือนจำกลางเชียงรายตั้งกองงาน “ผ้าปัก” อย่างเป็นทางการ และเป็นแหล่งผลิตชิ้นงานให้กับกลุ่ม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับงานผ้าปักบ้านสันกอง

  • กลุ่มผ้าปักบ้านสันกองมีสมาชิกกว่า 100 คน อายุตั้งแต่ 55-88 ปี
  • สามารถผลิตได้ 300-400 ชิ้นต่อเดือน
  • เป็นสินค้า OTOP ระดับ 5 ดาวของเชียงราย และได้รับมาตรฐาน มผช.249/2557
  • โครงการสอนผ้าปักในเรือนจำกลางเชียงรายมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน

สรุป: นิธี สุธรรมรักษ์ ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง

นิธี สุธรรมรักษ์ ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำกลุ่มอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน แต่ยังเป็นผู้ที่ผลักดันให้ผ้าปักไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล เธอเป็นตัวอย่างของสตรีที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นอาชีพที่ยั่งยืน และยังคงสานต่อภารกิจนี้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

คุณสมบัติสตรีดีเด่น: นางนิธี สุธรรมรักษ์

การคัดเลือกสตรีดีเด่นด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินงานวันสตรีสากล กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกที่เข้มงวด เพื่อให้ได้สตรีที่ทรงคุณค่าและเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม ซึ่งนางนิธี สุธรรมรักษ์ มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี้

  1. ความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญ: นางนิธีมีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปักผ้าด้วยมือ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
  2. คุณธรรมและจริยธรรม: นางนิธีเป็นสตรีที่มีคุณธรรมและจริยธรรม เป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไปและสังคม
  3. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม: นางนิธีได้รับการยอมรับและมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมในสังคม มีการริเริ่มแผนงาน/โครงการ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างต่อเนื่อง
  4. ความสามารถในการถ่ายทอดและผลักดัน: นางนิธีมีความสามารถในการถ่ายทอด ผลักดัน และเชื่อมโยงประสบการณ์ให้เกิดประโยชน์ในชุมชนและสังคม
  5. บทบาทในการส่งเสริมความเสมอภาค: นางนิธีมีบทบาทในการส่งเสริม เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติในการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ การคุ้มครองสิทธิสตรี หรือการพัฒนาศักยภาพของสตรี
  6. ไม่เคยได้รับรางวัลในรอบ 5 ปี: นางนิธีไม่เคยได้รับรางวัลเนื่องในวันสตรีสากลของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พม. ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา

จากภูมิปัญญาท้องถิ่น สู่รางวัลระดับประเทศ

นางนิธี สุธรรมรักษ์ เป็นแบบอย่างของสตรีที่ประสบความสำเร็จในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่น ด้วยความมุ่งมั่นและความทุ่มเท นางนิธีได้พัฒนาฝีมือการปักผ้าด้วยมือ จนเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ และได้รับรางวัลสตรีดีเด่นด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ประจำปี 2568

รางวัลที่นางนิธีได้รับในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเกียรติประวัติส่วนตัว แต่ยังเป็นเกียรติประวัติของชุมชนบ้านสันกอง และจังหวัดเชียงราย ที่มีสตรีผู้ทรงคุณค่าและเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม

นางนิธี สุธรรมรักษ์ เป็นแรงบันดาลใจให้กับสตรีไทย ในการพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ด้วยความสามารถและความมุ่งมั่น สตรีไทยสามารถสร้างชื่อเสียงและสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / ผ้าปัก by นิธี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“สมศักดิ์หนุน” รพ.ใช้ยาสมุนไพรไทย รับงบ 60 ล้าน!

สปสช. หนุน รพ.ใช้สมุนไพรไทยแทนยาแผนปัจจุบัน พร้อมงบสนับสนุน 60 ล้านบาท

กระทรวงสาธารณสุขเร่งผลักดันยาสมุนไพรไทย

กรุงเทพฯ, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศมาตรการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในโรงพยาบาลภาครัฐ โดยมีเป้าหมายให้โรงพยาบาลนำยาสมุนไพรมาใช้แทนยาแผนปัจจุบันใน 5 รายการหลัก เพื่อรับงบสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รวมกว่า 60 ล้านบาท ภายในปีงบประมาณ 2568 หากดำเนินการสำเร็จ โรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับงบประมาณเฉลี่ยแห่งละ 200,000 บาท

10 สมุนไพรไทยรักษาโรคพบบ่อย

รมว.สาธารณสุขเผยว่า ปัจจุบันมีการใช้ยาสมุนไพร 10 รายการที่ได้รับการรับรองให้ใช้รักษา 10 กลุ่มอาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่

  • ยาไพล แก้ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
  • ยาฟ้าทะลายโจร รักษาไข้หวัดและโควิด-19
  • ยาขมิ้นชัน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • ยาเพชรสังฆาต รักษาริดสีดวงทวาร
  • ยาขิง บรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ
  • ยามะระขี้นก แก้อาการเบื่ออาหาร
  • ยากล้วย บรรเทาอาการท้องเสีย
  • ยาหอมเทพจิตร ช่วยเรื่องนอนไม่หลับ
  • ยาพริก บรรเทาอาการชาจากอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ยาว่านหางจระเข้ ใช้รักษาแผลและดูแลผิวหนัง

5 สมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน

เพื่อส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรแทนยาแผนปัจจุบัน สปสช. ได้ประกาศ 5 รายการสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้แทนยาแผนปัจจุบัน ได้แก่

  1. ครีมไพล แทนยาบาล์มแก้ปวด
  2. ยาประสะมะแว้ง แทนยาแก้ไอ
  3. ขมิ้นชัน ธาตุอบเชย แทนยาขับลม
  4. เพชรสังฆาต แทนยาริดสีดวง
  5. มะขามแขก แทนยาระบาย

งบประมาณสนับสนุนและเป้าหมายอนาคต

กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าหมายขยายงบประมาณสนับสนุนการใช้ยาสมุนไพรให้เพิ่มขึ้นจาก 1,500 ล้านบาทในปี 2568 เป็น 3,000 ล้านบาทในปี 2569 โดยคาดหวังว่าการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยจะช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเข้าสู่ตลาดโลก

ขยายตลาดสมุนไพรไทยสู่ต่างประเทศ

นอกจากการส่งเสริมให้ใช้สมุนไพรภายในประเทศแล้ว รัฐบาลยังมีแผนขยายตลาดสมุนไพรไทยไปสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการนำยาดมและยาหม่องไปเปิดตลาดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ในช่วงพิธีฮัจย์ ซึ่งมีนักแสวงบุญนับล้านคนเดินทางไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียในแต่ละปี

สถิติการใช้ยาสมุนไพรและผลกระทบทางเศรษฐกิจ

จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 พบว่า

  • มูลค่าการใช้ยาในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติอยู่ที่ 70,500 ล้านบาท
  • ในจำนวนนี้เป็นการใช้ยาแผนปัจจุบัน 69,000 ล้านบาท
  • ขณะที่การใช้ยาสมุนไพรอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท
  • คาดการณ์ว่าการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยจะช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดสมุนไพรจาก 13,000 ล้านบาท เป็น 190,000 ล้านบาท ในอนาคต

บทสรุป

การผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับและใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบันในโรงพยาบาลของรัฐ ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ลดการพึ่งพายานำเข้า และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ หากมาตรการนี้ประสบความสำเร็จ จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยที่มีศักยภาพในระดับโลกได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

แพเปียก ‘แม่สรวย’ เปิดแล้ว อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวชุมชน

เชียงรายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ล่องแพเปียกแม่สรวย เปิดฤดูกาลปี 2568

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัวกิจกรรมท่องเที่ยวโดยชุมชน “การล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย” อย่างเป็นทางการ โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีเปิดกิจการดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

พิธีเปิดกิจกรรมล่องแพเปียกแม่สรวย

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00 น. ณ บริเวณลำน้ำแม่สรวย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางสาวณิชาภา สันธิ หัวหน้าฝ่ายกิจการคณะผู้บริหาร และ นางสาวสุมิตรา บางขะกูล หัวหน้าฝ่ายการท่องเที่ยว ร่วมเปิดตัวกิจกรรมสำคัญนี้

ในพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางสาวสุภาภรณ์ ยาลังคำ ปลัดอำเภอแม่สรวย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมรับฟังรายงานจาก นายประดิษฐ์ สุวรรณ์ ประธานกลุ่มแพเปียก และมีผู้นำท้องที่และท้องถิ่นเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้

การส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน

กิจกรรม ล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย – ลำน้ำแม่ลาว จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 พฤษภาคม 2568 ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมอาชีพและการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นเวทีสำคัญในการสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

นอกจากนี้ การจัดงานยังมุ่งเน้นการสร้างเอกลักษณ์และวัฒนธรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชนมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ล่องแพเปียก ท่ามกลางความงดงามของธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กิจกรรมการล่องแพเปียกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิด การสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ อย่างยั่งยืน ไม่เพียงแต่เจ้าของแพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่น และธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นายประดิษฐ์ สุวรรณ์ ประธานกลุ่มแพเปียก กล่าวว่าการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ได้สร้างรายได้หมุนเวียนให้กับชุมชนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและเกิดความร่วมมือระหว่างชาวบ้านในการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นไปอย่างยั่งยืน

แนวทางการพัฒนาในอนาคต

อบจ.เชียงราย มีแผนพัฒนาโครงการล่องแพเปียกให้มีความปลอดภัยและยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้แก่:

  • การเพิ่มมาตรการความปลอดภัย – กำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ช่วยชีวิตและการอบรมไกด์นำเที่ยว
  • การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ – ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน – ปรับปรุงท่าเทียบแพ จุดจอดรถ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว

สรุป

การเปิดตัว ล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญของการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่สามารถสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐและการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้กิจกรรมนี้กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การล่องแพเปียกแม่สรวยมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
    ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับแพ็คเกจท่องเที่ยวที่เลือก โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากกลุ่มแพเปียกแม่สรวยได้
  2. การล่องแพเปียกเหมาะกับทุกวัยหรือไม่?
    กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับทุกวัย แต่ควรมีการดูแลเด็กและผู้สูงอายุเป็นพิเศษเพื่อความปลอดภัย
  3. นักท่องเที่ยวควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
    ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม เตรียมอุปกรณ์กันน้ำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย
  4. สามารถจองล่องแพล่วงหน้าได้หรือไม่?
    สามารถจองล่วงหน้าผ่านกลุ่มแพเปียกแม่สรวย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความสะดวก
  5. มีมาตรการด้านความปลอดภัยอะไรบ้าง?
    มีอุปกรณ์ชูชีพ การอบรมไกด์นำเที่ยว และการตรวจสอบสภาพแพเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI AUTOMOTIVE

บิดทั่วเชียงราย 939 กม. สุดท้าทาย IRON MAN RALLY 2025

IRON MAN NIGHT RALLY 2025 เริ่มแล้ว! ผู้ว่าฯ เชียงรายปล่อยตัวนักแข่งส่งเสริมการท่องเที่ยว

เปิดประสบการณ์ขับขี่มอเตอร์ไซค์บนเส้นทางสุดท้าทาย พร้อมเน้นย้ำมาตรการความปลอดภัยตลอดการแข่งขัน

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568จังหวัดเชียงรายเปิดตัวการแข่งขัน Iron Man Night Rally 2025 & Explorers Rally 2025 อย่างเป็นทางการ โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยตัวผู้เข้าร่วมกิจกรรม ณ โรงแรม เฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น อำเภอเมืองเชียงราย พร้อมเน้นย้ำถึง มาตรการความปลอดภัยในการขับขี่ และ การส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตระดับนานาชาติ

ในพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก ศาสตรเมธี ดร.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ และ ดร.ปรีชา อนุรักษ์ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย รวมถึงตัวแทนจากฝ่ายจัดการแข่งขันและผู้เข้าร่วมการแข่งขันกว่า 300 คนเข้าร่วม

IRON MAN NIGHT RALLY 2025: การแข่งขันสุดโหดบนเส้นทางเชียงราย

การแข่งขัน Iron Man Night Rally 2025 ถือเป็นรายการแข่งขันที่ท้าทายที่สุดรายการหนึ่งของประเทศไทย โดยนักแข่งต้องขับขี่มอเตอร์ไซค์ในระยะทางรวม 939 กิโลเมตร ซึ่ง กว่า 70% ของเส้นทางอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ที่มีความหลากหลายของภูมิประเทศ ทั้งเส้นทางภูเขาสูงชัน โค้งหักศอก และทางเรียบสลับพื้นที่ป่า

ไฮไลต์ของเส้นทางการแข่งขัน ได้แก่:  ดอยแม่สลอง – เส้นทางขึ้นดอยที่มีโค้งต่อเนื่องหลายร้อยโค้ง ภูชี้ฟ้า – ถนนลัดเลาะผ่านแนวภูเขาที่สามารถมองเห็นทะเลหมอก สามเหลี่ยมทองคำ – เส้นทางบรรจบสามประเทศ ไทย-ลาว-เมียนมา อุทยานแห่งชาติดอยหลวง – ท้าทายด้วยเส้นทางลัดเลาะป่าธรรมชาติ เส้นทางดอยตุง – พื้นที่สูงชันที่ต้องใช้ทักษะและสมาธิขั้นสูง

ผู้เข้าร่วมแข่งขันต้องเผชิญกับการขับขี่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันตลอดการแข่งขัน ทั้งถนนที่มีแสงสว่างจำกัด โค้งอันตราย และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงตามระดับความสูง

ข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสำหรับนักแข่ง

ก่อนออกเดินทาง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยผู้ว่าฯ เชียงราย ได้กล่าวเน้นย้ำถึง มาตรการความปลอดภัยสำคัญ ที่นักแข่งต้องปฏิบัติ ดังนี้:

  1. ตรวจสอบสภาพรถและอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนออกเดินทาง
  2. เช็กระบบไฟส่องสว่าง กระจกมองข้าง และกระจกมองหลัง
  3. ศึกษาทำความเข้าใจเส้นทางล่วงหน้า
  4. ระมัดระวังเส้นทางที่มีแสงสว่างจำกัดและจุดอันตราย
  5. รักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า ใช้ความเร็วให้เหมาะสม
  6. ใช้ไฟสูงและไฟสปอร์ตไลท์อย่างถูกต้องเพื่อลดอุบัติเหตุ
  7. หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่
  8. งดฟังเพลงหรือทำกิจกรรมที่ทำให้เสียสมาธิ
  9. เตรียมชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น ไฟฉาย อุปกรณ์ปฐมพยาบาล น้ำดื่ม และที่ปะลมยาง

การขับขี่ที่ปลอดภัยไม่ใช่เพียงแค่ทักษะของนักแข่ง แต่หมายถึงการเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกาย อุปกรณ์ และความเข้าใจในเส้นทาง” นายชรินทร์ กล่าว

ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านมอเตอร์สปอร์ต

การแข่งขัน Iron Man Night Rally 2025 ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันที่ท้าทายสำหรับผู้รักมอเตอร์ไซค์เท่านั้น แต่ยังเป็น เครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย ด้วยเส้นทางที่ผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ นักแข่งและผู้ร่วมชมการแข่งขันจะได้สัมผัส ความสวยงามของธรรมชาติ วัฒนธรรมล้านนา และวิถีชีวิตของชาวเชียงราย

นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมครั้งนี้ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น เช่น:

  • กระตุ้นการท่องเที่ยวเชิงกีฬา – ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มมอเตอร์สปอร์ตจากทั่วประเทศ
  • เพิ่มรายได้ให้กับชุมชน – โรงแรม ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดได้รับประโยชน์
  • สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น – ผู้ผลิตสินค้า OTOP และของที่ระลึกสามารถจำหน่ายสินค้าให้นักแข่งและนักท่องเที่ยว

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง และกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตระดับประเทศเช่นนี้ จะช่วยให้เชียงรายเป็นที่รู้จักในฐานะจุดหมายปลายทางของนักเดินทางสายผจญภัยมากขึ้น” นายชรินทร์ กล่าวเสริม

สร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการขับขี่

นอกเหนือจากการแข่งขัน Iron Man Night Rally 2025 แล้ว ผู้ว่าฯ เชียงรายยังกล่าวถึง ความสำคัญของการส่งเสริมวัฒนธรรมการขับขี่ปลอดภัย โดยเน้นให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชนและประชาชนทั่วไป

ทุกท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ ต่างก็มีอุปกรณ์สวมใส่เพื่อความปลอดภัย มีทักษะการขับขี่ที่ดี ซึ่งจะช่วยสร้างจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนนให้กับเยาวชนเชียงราย รวมถึงประชาชนทั่วไป” ผู้ว่าฯ กล่าว

ตัวอย่างอุปกรณ์ที่นักแข่งต้องใช้ ได้แก่:

  • หมวกกันน็อคมาตรฐานสูง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะ
  • ชุดขับขี่พร้อมสนับศอกและสนับเข่า ลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ
  • รองเท้าหุ้มข้อเพื่อการทรงตัวที่ดีขึ้น

สรุป

  • การแข่งขัน Iron Man Night Rally 2025 เป็นรายการมอเตอร์สปอร์ตที่ท้าทายระยะทางรวม 939 กิโลเมตร
  • ผู้ว่าฯ เชียงรายเป็นประธานเปิดงานและปล่อยตัวผู้เข้าแข่งขัน
  • เส้นทางแข่งขันกว่า 70% อยู่ในพื้นที่เชียงราย ผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
  • มาตรการความปลอดภัยถูกเน้นย้ำอย่างเข้มงวด
  • กิจกรรมนี้ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของเชียงราย
  • เป็นโอกาสในการสร้างจิตสำนึกด้านการขับขี่ปลอดภัยให้กับเยาวชนและประชาชนทั่วไป

การแข่งขัน Iron Man Night Rally 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การแข่งขันมอเตอร์ไซค์ แต่ยังเป็น แพลตฟอร์มสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัย และกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

สธ. แจงไวรัส HKU5 ในค้างคาว แค่งานวิจัย ย้ำไทยเฝ้าระวังเข้มแข็ง

กระทรวงสาธารณสุขไทยยัน HKU5-CoV-2 ยังไม่มีการระบาดในคน

ปลัด สธ. ย้ำไทยมีระบบเฝ้าระวังเข้มแข็ง ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

กรุงเทพฯ, 22 กุมภาพันธ์ 2568กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ HKU5-CoV-2 ในคน แม้จะมีรายงานจากการวิจัยในห้องปฏิบัติการของจีนเมื่อปี 2566 ว่าไวรัสนี้สามารถเกาะกับตัวรับในเซลล์ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ดีเช่นเดียวกับโควิด-19

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รายงานดังกล่าวเป็นเพียงผลการทดลองในห้องแล็บ ยังไม่มีหลักฐานทางระบาดวิทยาที่ชี้ว่าไวรัสนี้สามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง และไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อจากสายพันธุ์นี้แต่อย่างใด

“ข้อมูลที่มีในขณะนี้เป็นเพียงรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานว่ามีการแพร่กระจายสู่คนหรือเกิดการระบาดจริงในประชากรทั่วไป ดังนั้นประชาชนไม่ควรตื่นตระหนก” นพ.โอภาสกล่าว

HKU5-CoV-2 คืออะไร?

HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่ถูกค้นพบในค้างคาว และจัดอยู่ในตระกูล Merbecovirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของไวรัสโคโรนา นักวิจัยพบว่าไวรัสนี้มีความสามารถในการจับกับเอนไซม์ ACE2 ซึ่งเป็นตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันสามารถก่อโรคในมนุษย์ได้

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันไวรัสวิทยาหวู่ฮั่น ประเทศจีน ได้ทดสอบ HKU5-CoV-2 ในเซลล์ตัวอย่างของระบบทางเดินหายใจและลำไส้ของมนุษย์ และพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสสามารถจับกับเยื่อหุ้มเซลล์ได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าสู่เซลล์มนุษย์ยังต่ำกว่า SARS-CoV-2 หรือไวรัสโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ไม่ควร “ตีความเกินจริง” เกี่ยวกับความเสี่ยงของ HKU5-CoV-2 ต่อมนุษย์ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้จริง

ไทยติดตามไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างใกล้ชิด

นพ.โอภาส ยืนยันว่า ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคระบาดที่เข้มแข็ง โดยกรมควบคุมโรคและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำงานร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อ ติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน สายพันธุ์ที่พบในไทยยังคงเป็น โอมิครอน JN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ และไม่มีหลักฐานว่ามีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ไทยยังคงมีมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดสำหรับนักเดินทางขาเข้า โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรคทางเดินหายใจ

มาตรการป้องกันไวรัส: ใช้ได้กับทุกสายพันธุ์

แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 สามารถระบาดในมนุษย์ได้ แต่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มาตรการป้องกันโรคทางเดินหายใจที่ใช้ในปัจจุบันสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจากไวรัสทุกชนิดได้ ได้แก่:

  • สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัด
  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่าโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัดหรือระบบระบายอากาศไม่ดี
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคทางเดินหายใจ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนโควิด-19

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยาและวัคซีน

หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับ HKU5-CoV-2 หุ้นของบริษัทยาผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 เช่น Pfizer, Moderna และ Novavax ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ เช่น ดร.ไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม จากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา กล่าวกับ Reuters ว่า ปฏิกิริยาของตลาดและสื่อบางส่วนอาจเกินจริง เพราะยังไม่มีหลักฐานว่าไวรัสนี้มีความเสี่ยงต่อมนุษย์ในระดับที่ควรกังวล

แนวทางการรักษาหาก HKU5-CoV-2 แพร่สู่คน

หาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้จริง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแนวทางการรักษาที่อาจใช้ได้ ได้แก่:

  • แอนติบอดีโมโนโคลนอล (Monoclonal Antibodies) – เป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสู้กับไวรัส
  • ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs) – ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ลดความรุนแรงของอาการ เช่นเดียวกับยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของการรักษาจะขึ้นอยู่กับความสามารถของไวรัสในการแพร่เชื้อและอัตราการกลายพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมหาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่ระบาดในคนได้ในอนาคต

สรุป

  • HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่พบในค้างคาว และเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไวรัสโคโรนา
  • ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง
  • ไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคที่เข้มแข็ง และติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง
  • มาตรการป้องกัน เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสทุกสายพันธุ์
  • ตลาดหุ้นบริษัทยาผลิตวัคซีนปรับตัวสูงขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่

แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 จะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ในขณะนี้ แต่การเฝ้าระวังและการศึกษาต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข / forbes

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News