Categories
NEWS UPDATE

สร้างทักษะเท่าทันสื่อ เด็ก ป.5 พร้อมหนังสือพิมพ์ออนไลน์

โครงการ “สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์” เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 มูลนิธิสภาการสื่อมวลชนและสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติได้จัดพิธีเปิดตัวโครงการ “สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์” ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมงาน รวมถึงผู้แทนโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภูมิภาค เพื่อร่วมสร้างทักษะเท่าทันสื่อในกลุ่มนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5

ส่งเสริมความเข้าใจสื่อในยุคดิจิทัล

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า โครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมีเป้าหมายหลักคือการสร้างทักษะในการรับรู้และจำแนกเนื้อหาสื่อที่สร้างสรรค์และไม่สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับเด็กยุคดิจิทัล 4.0

“การเรียนรู้ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์จะช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน ความเข้าใจ และการแยกแยะข่าวสาร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ในทุกสาขาวิชา และยังช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการปรับตัวในสังคมยุคใหม่” นายชวรงค์กล่าว

โครงการเพื่อเสริมสร้างทักษะในโรงเรียน

โครงการดังกล่าวได้คัดเลือกโรงเรียนจำนวน 220 แห่งจากทั่วประเทศ ทั้งในสังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น โดยมีกิจกรรมเสริมสร้างทักษะสำหรับนักเรียนและครูผู้สอนในรายวิชาภาษาไทย

กิจกรรมหลักประกอบด้วย

  1. การอบรมครูผู้สอน: ครู 1 คนต่อโรงเรียนจะได้รับการอบรม 1 วัน เพื่อเรียนรู้การใช้หนังสือพิมพ์และหนังสือพิมพ์ออนไลน์ในกระบวนการสอน
  2. กิจกรรมสัปดาห์ “สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์”: ครูจะนำความรู้ไปปรับใช้ในชั้นเรียน โดยให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านหนังสือพิมพ์ฉบับจริง 5 ฉบับ รวมถึงแบบฝึกหัดที่ออกแบบมาเฉพาะ

พื้นที่เป้าหมายและช่วงเวลาการดำเนินการ

โครงการนี้จะเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2568 โดยครูที่ผ่านการอบรมจะจัดกิจกรรมในโรงเรียนช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 สำหรับโรงเรียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ จะใช้หนังสือพิมพ์ระดับชาติ

โดยในส่วน กทม. ปริมณฑล ภาคกลางจะจัดกิจกรรมฯ วันที่ 3-7 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ใช้

  1. หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 
  2. หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
  3. หนังสือพิมพ์มติชน
  4. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

และส่วนพื้นที่จังหวัดภูมิภาค กลุ่มโรงเรียนที่ใช้หนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาค 7 ฉบับ ประกอบด้วย

  1. หนังสือพิมพ์ประชามติ จ.ตราด
  2. หนังสือพิมพ์เพชรภูมิ จ.เพชรบุรี
  3. หนังสือพิมพ์สงขลาโฟกัส จ.สงขลา
  4. หนังสือพิมพ์หัวหินสาร จ.ประจวบคีรีขันธ์
  5. หนังสือพิมพ์ส่องใต้นิวส์ จ.สตูล
  6. หนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ จ.เชียงใหม่
  7. หนังสือพิมพ์ปทุมมาลัย จ.อุบลราชธานี

จะจัดสัปดาห์ “สร้างเสริมทักษะเท่าทันสื่อเพื่อเด็กด้วยหนังสือพิมพ์” ระหว่างวันที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2568

เน้นการเรียนรู้เท่าทันสื่อในบริบทดิจิทัล

กิจกรรมการเรียนรู้จะมุ่งเน้นไปที่การจำแนกข่าวสาร การแยกความแตกต่างระหว่างหนังสือพิมพ์ฉบับพิมพ์และออนไลน์ การรู้เท่าทันสื่อ และการใช้สื่ออย่างปลอดภัย รวมถึงการป้องกันภัยจากสื่อไซเบอร์

เสวนาเรื่องนวัตกรรมสื่อ

ในงานเปิดตัวโครงการ ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “นวัตกรรมสื่อกับการเรียนรู้เท่าทันสื่อในห้องเรียนภาษาไทย” โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและสื่อมวลชนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เช่น ดร.วสันต์ สุทธาวาศ จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน คุณฐิติวรรณ ไสวแสนยากร บรรณาธิการข่าวการศึกษา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และคุณภูวสิษฏ์ สุขใส บรรณาธิการสงขลาโฟกัส

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

โครงการนี้คาดว่าจะช่วยให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวนกว่า 4,500 คน ได้รับทักษะเท่าทันสื่อผ่านการเรียนรู้ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างพื้นฐานการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในระยะยาว

มูลนิธิสภาการสื่อมวลชนเชื่อว่า โครงการนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่สามารถใช้สื่ออย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ นำไปสู่การพัฒนาทักษะชีวิตในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายจัดสัมมนายกระดับเส้นทางการท่องเที่ยว สู่การเป็นจุดหมายระดับโลก

เชียงรายเปิดเวทีสัมมนายกระดับเส้นทางการท่องเที่ยว เสริมศักยภาพเมืองต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 เทศบาลนครเชียงราย นำโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารเทศบาล จัดงานสัมมนาวิชาการเพื่อยกระดับเส้นทางการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ความพร้อมของเทศบาลนครเชียงราย

นายวันชัย จงสุทธานามณี กล่าวในหัวข้อ “ความพร้อมของเทศบาลนครเชียงรายในการรองรับการท่องเที่ยว” ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เทศบาลได้มุ่งพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดกิจกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งให้เชียงรายกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

ความร่วมมือในมิติด้านศิลปะ

อาจารย์ทรงเดช ทิพย์ทอง ศิลปินเชียงราย กล่าวถึงความสำคัญของศิลปะในฐานะเครื่องมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยว พร้อมชื่นชมเทศบาลนครเชียงรายที่ให้การสนับสนุนศิลปินอย่างเต็มที่ โดยอนาคตอาจได้เห็นโครงการสร้างสรรค์ประติมากรรมขนาดใหญ่กว่า 300 ชิ้นในเมืองเชียงราย ซึ่งจะเป็นแลนด์มาร์กสำคัญและอาจเป็นแห่งแรกในโลก

ความพร้อมของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง

นาวาอากาศตรี ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กล่าวว่า ท่าอากาศยานพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว โดยปี 2019 มีผู้เดินทางผ่านสนามบินมากถึง 2.9 ล้านคน แม้ในปี 2023 จะลดลงเหลือ 1.9 ล้านคน แต่ยังคงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยมีสายการบินให้บริการทั้งหมด 6 สาย และยังมีแผนสนับสนุนให้เชียงรายกลายเป็นศูนย์ซ่อมอากาศยานในอนาคต

แผนการท่องเที่ยวทั้ง 12 เดือน

นายสมชาย ชมภูมิน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ททท. ได้จัดเตรียมแผนการท่องเที่ยวตลอด 12 เดือนสำหรับภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงราย ซึ่งครอบคลุมทั้งการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยว โปรโมชั่นพิเศษ และการประชาสัมพันธ์สถานที่ต่างๆ ที่เหมาะสมกับทุกฤดูกาล

ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวชื่นชมความร่วมมือของทุกฝ่ายในการจัดสัมมนาครั้งนี้ พร้อมเน้นย้ำว่าเชียงรายเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัยและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่สามารถสัมผัสบรรยากาศหนาวเย็นและความงดงามทางธรรมชาติที่หลากหลาย

การบูรณาการเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยว

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงความสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาเมืองเชียงรายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ เพื่อสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ในจังหวัดเชียงราย

เชียงรายพร้อมแล้วที่จะเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยงานสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสในวงการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายต่อไป

วัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมการสัมมนาฯ 
มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันปรึกษาหารือแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งเสริมการท่องเที่ยว การค้า การลงทุนของประเทศและจังหวัดเชียงราย เตรียมความพร้อมของเมือง ของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจสายการบิน และการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ภาคีเครือข่ายการท่องเที่ยว ในการยกระดับเส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย หลังจากได้ประสบสาธารณภัย (อุทกภัย) ระหว่างวันที่ 11 – 18 กันยายน 2567 ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทรัพย์สินบ้านเรือนเสียหาย ซึ่งในปัจจุบันได้กลับคืนสู่สภาวะเกือบเป็นปกติแล้ว และอยู่ระหว่างการฟื้นฟูสภาพพื้นและเศรษฐกิจหลังเกิดอุทกภัย โดยการผนึกกำลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ผสมผสานทั้งการท่องเที่ยว กีฬา ผลิตภัณฑ์ชุมชน วิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อเตรียมพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายฟื้นฟูเศรษฐกิจ สู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก

เชียงรายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มุ่งสู่การเป็นเจ้าภาพ PATA DESTINATION MARKETING FORUM 2025

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจจังหวัดเชียงราย (กรอ.จ.เชียงราย) ครั้งที่ 1/2568 เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

เชียงรายลุ้นเป็นเจ้าภาพ PATA 2025 กระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในที่ประชุม คือ ความคืบหน้าในการเสนอตัวของจังหวัดเชียงรายให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน PATA DESTINATION MARKETING FORUM 2025 ซึ่งหากได้รับการคัดเลือก จะเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในเวทีระดับโลก และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ยังจะได้รับประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวอีกด้วย

ปรับปรุงโครงสร้าง กรอ.เชียงราย เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ที่ประชุมได้มีการแก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ กรอ.จ.เชียงราย เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบข้อกฎหมายและตำแหน่งปัจจุบันของสมาชิก ทำให้การขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะกรรมการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้มีการแจ้งแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานของ กรอ.จังหวัด และกรอ.กลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รวมถึงแผนปฏิบัติการและระบบติดตามการฟื้นฟูเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม ในจังหวัดเชียงราย ระยะที่ 2 เพื่อให้การฟื้นฟูเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

สถานการณ์เศรษฐกิจเชียงรายล่าสุด

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังจังหวัดเชียงราย โดยพบว่าเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนกันยายน 2567 หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การท่องเที่ยวกลับมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2567 จังหวัดเชียงรายมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.39 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สร้างรายได้ให้กับจังหวัดกว่า 33,864.04 ล้านบาท ส่วนมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนด้านจังหวัดเชียงราย ในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 95,797.50 ล้านบาท

ผลักดันโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังภัยพิบัติ

ที่ประชุมยังได้พิจารณาข้อเสนอโครงการของภาคีเครือข่าย ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย เพื่อฟื้นฟูพื้นที่และเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ปี พ.ศ. 2567 เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล นอกจากนี้ ยังได้มีการวางแผนการประชุมคณะกรรมการ กรอ.จ.เชียงราย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการต่างๆ และวางแผนการดำเนินงานในอนาคต

สรุป

การประชุม กรอ.จ.เชียงราย ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดเชียงรายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยมีการวางแผนและดำเนินงานอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. จังหวัดเชียงรายมีแนวโน้มที่จะได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดงาน PATA DESTINATION MARKETING FORUM 2025 มากน้อยเพียงใด? การได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดงานดังกล่าวขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ศักยภาพของจังหวัดในการจัดงาน ความพร้อมของสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
  2. การจัดงาน PATA จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายอย่างไร? การจัดงาน PATA จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในระดับสากล ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนมากขึ้น และกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวให้เติบโต
  3. จังหวัดเชียงรายมีแผนการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างไร? จังหวัดเชียงรายมีแผนปฏิบัติการและระบบติดตามการฟื้นฟูเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม ซึ่งจะดำเนินการโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่จะช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและเศรษฐกิจของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
  4. ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายอย่างไร? ภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยวและการค้า ซึ่งภาคเอกชนจะร่วมมือกับภาครัฐในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุน
  5. ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาจังหวัดเชียงรายได้อย่างไร? ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาจังหวัดเชียงรายได้หลายช่องทาง เช่น การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน การให้ข้อมูลข่าวสารแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการเลือกผู้แทนที่สามารถสะท้อนความต้องการของประชาชนได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

อนุทินสั่งรับมือพายุหม่านหยี่ เร่งฟื้นฟูน้ำท่วมแม่สาย

“มหาดไทยเตรียมพร้อมรับมือพายุหม่านหยี่ เร่งฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมแม่สาย”

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ณ กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์พายุหม่านหยี่ที่กำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย โดยกล่าวว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้เตรียมแผนเผชิญเหตุและแผนรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติที่จะมาถึง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น พื้นที่ลาดเชิงเขาที่อาจเกิดดินถล่ม หรือถนนที่อาจถูกน้ำท่วมขังจนทำให้การสัญจรถูกตัดขาดได้ ทางกระทรวงได้กำชับให้มีการตั้งจุดตรวจเตือนให้กับผู้สัญจรไปมา พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังในจุดเสี่ยง พร้อมทั้งมีการเตรียมอุปกรณ์และเครื่องจักรเพื่อช่วยเคลียร์พื้นที่และซ่อมแซมถนนที่อาจได้รับความเสียหาย

การฟื้นฟูพื้นที่แม่สาย จังหวัดเชียงราย

นอกจากนี้ นายอนุทินยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการฟื้นฟูพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา โดยปัจจุบันทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้เสนอแนวทางการวางผังเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ดังกล่าว โดยมุ่งเน้นการสร้างฝายและเขื่อนถาวรเพื่อป้องกันน้ำท่วมในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบและดำเนินการ

นายอนุทินระบุว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดที่เกิดปัญหา โดยเฉพาะในตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นจุดที่เกิดการลุกล้ำพื้นที่สาธารณะ ทำให้เกิดการอุดตันของทางน้ำ และเป็นสาเหตุให้น้ำไม่สามารถระบายได้ตามปกติ กระทรวงมหาดไทยจึงมีแผนที่จะเร่งเวนคืนพื้นที่ดังกล่าวเพื่อนำไปสร้างระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเตรียมความพร้อมรับมือพายุหม่านหยี่

นายอนุทินเน้นย้ำว่าการเตรียมการรับมือพายุหม่านหยี่จะต้องเป็นไปอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการประสานงานระหว่างหน่วยงานในระดับจังหวัดและท้องถิ่น ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำหลากและดินถล่มที่จะเกิดขึ้น โดยให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง และเตรียมความพร้อมในการระดมกำลังคนและอุปกรณ์สำหรับการช่วยเหลือประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ กระทรวงยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตรวจสอบความพร้อมของเครื่องจักร อุปกรณ์ และยานพาหนะที่ใช้ในการบรรเทาสาธารณภัย พร้อมทั้งเตรียมการช่วยเหลือประชาชนในกรณีที่เกิดอุทกภัย เช่น การจัดหาถุงยังชีพ และสิ่งของจำเป็นเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยทันที

แนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว

นายอนุทินกล่าวเพิ่มเติมว่า ทางรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยการพัฒนาระบบระบายน้ำและการวางผังเมืองให้สามารถรองรับน้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงของน้ำท่วมในอนาคต นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนให้ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัยมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุที่ได้วางไว้ เพื่อให้สามารถลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน และเพื่อให้การฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

จากการเตรียมความพร้อมและการดำเนินการอย่างต่อเนื่องของหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ประชาชนสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลและช่วยเหลือในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ โดยนายอนุทินได้ย้ำว่า การร่วมมือของทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

สมศักดิ์เผยแผนคุมเหล้า-เบียร์ปีใหม่ เน้นปลอดภัยทุกพื้นที่

“สมศักดิ์” ไฟเขียวแนวทางควบคุมแอลกอฮอล์ช่วงปีใหม่ เน้นความปลอดภัย-กระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อพิจารณาแนวทางการควบคุมและกำหนดมาตรการการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชน พร้อมสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

แนวทางการควบคุมและส่งเสริมการขายแอลกอฮอล์ในโรงแรม

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่หารือในที่ประชุมคือการอนุญาตให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในห้องพักของโรงแรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยนายสมศักดิ์เปิดเผยว่า การอนุญาตดังกล่าวจะจำกัดเฉพาะในพื้นที่ห้องพักเท่านั้น เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อยู่ในมินิบาร์ โดยไม่ขยายการอนุญาตไปยังห้องอาหารหรือพื้นที่สาธารณะของโรงแรม การตัดสินใจนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความสะดวกแก่ผู้เข้าพักและกระตุ้นการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็ต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัยของประชาชน

ความเห็นเกี่ยวกับการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟ

ที่ประชุมยังได้พิจารณาประเด็นการขออนุญาตขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟ โดยเฉพาะในขบวนรถเช่าเหมาลำและตู้นอนชั้น 1 คณะกรรมการส่วนใหญ่มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสาร เนื่องจากเคยเกิดเหตุการณ์อาชญากรรมในอดีต ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ได้เสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกลับไปสรุปข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและมาตรการความปลอดภัย หากสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ การขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขบวนเช่าเหมาลำอาจได้รับการพิจารณาอนุมัติในอนาคต

มาตรการควบคุมการขายแอลกอฮอล์ช่วงเทศกาลปีใหม่

ในการเตรียมความพร้อมสำหรับเทศกาลปีใหม่ 2568 คณะกรรมการได้เน้น 4 มาตรการหลักเพื่อควบคุมและลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่:

  1. ขับเคลื่อนแบบบูรณาการ โดยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
  2. รณรงค์ประชาสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์
  3. ป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยง โดยการตั้งด่านตรวจและการเฝ้าระวังในชุมชนต่างๆ
  4. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เช่น การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสำหรับผู้ขับขี่และการเมาแล้วขับ

นายสมศักดิ์ยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อเข้ามามีบทบาทในการตรวจเตือนประชาชนเกี่ยวกับกฎหมายการดื่มแอลกอฮอล์ และการประเมินพฤติกรรมการดื่มสุราในชุมชน

การสนับสนุนด้านสุขภาพและความปลอดภัย

ภายหลังการประชุม นายสมศักดิ์ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า การประชุมครั้งนี้ได้เน้นถึงการควบคุมพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่มักมีการบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการดื่มแล้วขับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อครอบครัวและสังคมในวงกว้าง

รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงเทศกาล และสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ทั้งนี้ การออกมาตรการควบคุมการขายและการบริโภคแอลกอฮอล์ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ญี่ปุ่นขึ้นทะเบียน GI ให้ ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ ส่งเสริมส่งออกไทย

ข่าวดี! ญี่ปุ่นขึ้นทะเบียน GI ให้ ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ ส่งเสริมการส่งออกไทยสู่ตลาดโลก

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข่าวดีว่า กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของประเทศญี่ปุ่น ได้ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ให้กับ ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ ของไทย ซึ่งนับเป็นผลไม้ไทยชนิดแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียน GI ในประเทศญี่ปุ่น และเป็นสินค้าลำดับที่ 3 ที่ได้รับการรับรองต่อจาก ‘กาแฟดอยช้าง’ และ ‘กาแฟดอยตุง’

สับปะรดห้วยมุ่น ผลไม้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น

‘สับปะรดห้วยมุ่น’ มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากสับปะรดทั่วไป ด้วยเนื้อที่หนา นุ่ม รสชาติหวานอร่อย พร้อมทั้งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ การขึ้นทะเบียน GI ในครั้งนี้ ยังเป็นการยืนยันถึงคุณภาพของสับปะรดห้วยมุ่น และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นในการเลือกบริโภคสินค้าจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

ส่งเสริมการส่งออก เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการมากกว่า 850 ราย ที่มีศักยภาพในการผลิตสับปะรดห้วยมุ่นได้มากกว่า 180,000 ตันต่อปี สร้างมูลค่าตลาดมากถึง 1,200 ล้านบาท การได้รับการขึ้นทะเบียน GI ในญี่ปุ่นครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับสินค้าเกษตรของไทยเข้าสู่ตลาดโลก และยังช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับเกษตรกรไทยในการเพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ

โอกาสทางการตลาดในญี่ปุ่น

นอกจากการส่งออกสับปะรดสดที่ได้รับความนิยมแล้ว ยังพบว่าตลาดญี่ปุ่นมีความต้องการสับปะรดแปรรูปสูง เช่น น้ำสับปะรด สับปะรดกระป๋อง และสับปะรดอบแห้ง ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญในการส่งออกสับปะรดมากเป็นอันดับที่ 4 รองจากฟิลิปปินส์ คอสตาริกา และอินโดนีเซีย

ใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA)

การที่ไทยได้รับการขึ้นทะเบียน GI จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ในการลดภาษีนำเข้าสินค้าสับปะรดไปยังญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในตลาดญี่ปุ่นได้มากขึ้น

แผนการขยายตลาดสับปะรดห้วยมุ่น

รัฐบาลยังมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรไทยผลิตสินค้าคุณภาพและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยการสนับสนุนทั้งในด้านเทคโนโลยีการผลิต การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ อย่างเต็มที่

ความหวังใหม่สำหรับเกษตรกรไทย

การขึ้นทะเบียน GI ของ ‘สับปะรดห้วยมุ่น’ เป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพทางการค้าของไทย และเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรไทยหันมาพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดโลก การส่งออกสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพสูง ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร แต่ยังเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีสินค้าคุณภาพสูงในตลาดโลก

สวนสับปะรดห้วยมุ่นตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยมุ่น อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ 

    “ สับปะรดห้วยมุ่น ” หลายคนอาจจะได้ยินชื่อเสียงกันมาบ้างแล้วว่าเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่งของจังหวัดอุตรดิตถ์  มีรสชาติอร่อยไม่แพ้กับของจังหวัดอื่น สวนสับปะรดห้วยมุ่นตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยมุ่น อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์  ซึ่งหมู่บ้านของเราได้ปลูกสับปะรดมายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษ จนถึงปัจจุบันหมู่บ้านของเราได้ขยายพื้นการปลูกสับปะรดไปรอบๆหมู่บ้านใกล้เคียงเพิ่มขึ้นมา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

คนโสดไทยพุ่งสูง สศช.ชี้แนวทางแก้ไขหาคู่เพิ่ม

ไทยเข้าสู่ยุคสังคมคนโสด สภาพัฒน์เผยคนโสดวัยเจริญพันธุ์พุ่งสูง แนะพัฒนาแพลตฟอร์มหาคู่

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยข้อมูลที่ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมคนโสดมากขึ้น โดยจำนวนคนไทยในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) ที่ยังโสดเพิ่มขึ้นเป็น 40.5% จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ปี 2566 สะท้อนถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานและการสร้างครอบครัวที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

จำนวนคนโสดในไทยเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับอัตราการแต่งงานที่ลดลง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุว่า อัตราการแต่งงานของคนไทยลดลงต่อเนื่อง จากระดับ 57.9% ในปี 2560 เหลือเพียง 52.6% ในปี 2566 ขณะที่อัตราการหย่าร้างกลับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยคนโสดส่วนใหญ่พบได้ในพื้นที่เขตเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่มีสัดส่วนคนโสดสูงถึง 50.4%

ปัจจัยที่ทำให้คนไทยโสดเพิ่มขึ้น แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก

  1. ค่านิยมและทัศนคติที่เปลี่ยนไป
    การเป็นโสดในยุคใหม่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า SINK (Single Income, No Kids) ที่มุ่งเน้นการใช้จ่ายเพื่อตนเอง และ PANK (Professional Aunt, No Kids) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไปที่มีรายได้ดีและมุ่งเน้นการดูแลหลานแทนการมีลูก

  2. ความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกันในการหาคู่
    ข้อมูลจากบริษัท Meet & Lunch ในปี 2564 พบว่าผู้หญิงกว่า 76% จะไม่เดทกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และ 83% ไม่คบกับผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่า ขณะที่ผู้ชาย 59% จะไม่คบกับผู้หญิงที่ตัวสูงกว่าและอีกกว่า 60% ไม่เดทกับผู้หญิงที่เคยหย่าร้าง

  3. การขาดโอกาสในการพบปะผู้คน
    คนโสดในปี 2566 มีชั่วโมงการทำงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับเมืองที่คนทำงานหนักที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก ทำให้มีเวลาน้อยในการพบปะคนใหม่ ๆ

  4. นโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐยังไม่เพียงพอ
    แม้ว่าจะมีความพยายามส่งเสริมการแต่งงานและมีลูก แต่ยังไม่ครอบคลุมความต้องการของคนโสด ซึ่งต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่มีการสนับสนุนทั้งด้านการเงินและการพัฒนาแพลตฟอร์มหาคู่

แนวทางการแก้ปัญหาและส่งเสริมให้คนโสดมีคู่

เพื่อแก้ปัญหานี้ สภาพัฒน์เสนอแนวทางการสนับสนุนให้คนโสดสามารถหาคู่ได้ง่ายขึ้น เช่น

  • การพัฒนา แพลตฟอร์ม Matching ที่ให้บริการโดยภาครัฐร่วมกับผู้ให้บริการเอกชน
  • ส่งเสริมการมี Work-life Balance เพื่อให้คนโสดมีเวลามากขึ้นในการทำกิจกรรมที่ชอบและพบปะผู้คนใหม่ ๆ
  • ยกระดับทักษะและเพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ เพื่อให้คนโสดมีความมั่นใจในชีวิตและพร้อมที่จะสร้างความสัมพันธ์

กรณีศึกษาจากต่างประเทศที่น่าสนใจ

หลายประเทศได้ดำเนินการนโยบายส่งเสริมการแต่งงานที่ครอบคลุมมากกว่า เช่น

  • สิงคโปร์ จัดทำโครงการลดคนโสดโดยจ่ายเงินสนับสนุนการออกเดท
  • จีน ใช้แอปพลิเคชันหาคู่ที่พัฒนาจากฐานข้อมูลของคนโสดในเมือง
  • ญี่ปุ่น ใช้ระบบ AI ในการจับคู่เพื่อช่วยให้คนโสดพบคนที่เหมาะสม

สรุปสถานการณ์และแนวทางต่อไป

นายดนุชากล่าวว่า การสนับสนุนให้คนโสดมีคู่และสร้างครอบครัว เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและลดปัญหาการเกิดน้อยลงในระยะยาว การสร้างแพลตฟอร์มหาคู่ที่เข้าถึงง่ายและส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างสมดุลจะช่วยให้คนโสดมีโอกาสพบคนที่เหมาะสมและสร้างครอบครัวได้ง่ายขึ้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมจำนวนคนโสดในไทยถึงเพิ่มขึ้น?
    เพราะค่านิยมที่เปลี่ยนไป การทำงานหนัก และความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกันในการหาคู่

  2. ภาครัฐมีแนวทางส่งเสริมการมีคู่หรือไม่?
    มีการเสนอพัฒนาแพลตฟอร์ม Matching และสนับสนุน Work-life Balance

  3. กรณีศึกษาจากประเทศอื่น ๆ มีอะไรบ้าง?
    สิงคโปร์, จีน, และญี่ปุ่นมีการพัฒนาแอปพลิเคชันและโครงการสนับสนุนการหาคู่

  4. คนโสดในไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มไหน?
    กลุ่ม SINK และ PANK ซึ่งเน้นใช้จ่ายเพื่อตนเองและไม่มีลูก

  5. นโยบายใดที่จะช่วยให้คนโสดมีเวลาหาคู่มากขึ้น?
    การส่งเสริม Work-life Balance และการลดชั่วโมงการทำงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สรรพสามิตเปิดตัว QR บุหรี่ สแกนรู้ทันที แท้หรือเถื่อน

กรมสรรพสามิตเปิดตัว “QR บุหรี่” ตรวจสอบสินค้าด้วยมือถือ รู้ทันทีว่าบุหรี่แท้หรือเถื่อน

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงข่าวเปิดตัว “ระบบ QR บุหรี่ ตรวจ-ติด-ตาม” ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในการตรวจสอบและติดตามบุหรี่ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย โดยระบบนี้จะช่วยให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบข้อมูลบุหรี่ได้อย่างง่ายดาย เพียงใช้สมาร์ทโฟนสแกน QR Code ที่อยู่บนซองบุหรี่

ระบบ QR Code เพื่อความโปร่งใสและป้องกันบุหรี่เถื่อน

นายเผ่าภูมิกล่าวว่า ระบบ QR Code ที่พัฒนาขึ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ป้องกันการปลอมแปลง และ ตรวจสอบการชำระภาษี ของบุหรี่ทุกซองที่จำหน่ายในประเทศ โดยใช้เทคโนโลยี Unique QR Code ที่มีรหัสตรวจสอบ 13 หลักไม่ซ้ำกัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่ช่วยให้ตรวจสอบความถูกต้องของการเสียภาษีได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

QR Code ที่พิมพ์บนดวงแสตมป์ยาสูบจะประกอบไปด้วยข้อมูลสำคัญ เช่น

  • วันที่ชำระภาษี
  • ผู้ประกอบการ
  • ตราสินค้า
  • รายละเอียดสินค้า
  • สถานที่ผลิตและจัดส่ง

วิธีการใช้งานง่าย แค่สแกนก็รู้ข้อมูลทันที

ระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ ร้านค้า เจ้าหน้าที่ และประชาชนทั่วไป สามารถตรวจสอบความถูกต้องของบุหรี่ที่ซื้อมาได้ เพียงแค่ใช้สมาร์ทโฟนสแกน QR Code ที่อยู่บนซองบุหรี่ ข้อมูลทั้งหมดจะปรากฏบนหน้าจอทันที ทำให้รู้ได้ว่า

  • บุหรี่ซองนั้นชำระภาษีแล้วหรือไม่
  • ผลิตเมื่อไหร่
  • เป็นสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
  • บุหรี่แท้หรือเถื่อน

ประโยชน์ของระบบ QR บุหรี่ต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ

ระบบนี้จะช่วยสร้าง ความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ว่าสินค้าที่ซื้อเป็นของแท้และชำระภาษีถูกต้อง นอกจากนี้ยังช่วย ป้องกันการระบาดของบุหรี่เถื่อน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทั้งภาครัฐและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่บุหรี่เถื่อนแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง

ด้านผู้ประกอบการก็จะได้รับประโยชน์จากความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้นของสินค้าที่จำหน่าย และยังสามารถตรวจสอบสถานะของสินค้าที่รับมาจำหน่ายได้ว่าถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้มากขึ้น

ผลกระทบเชิงบวกต่อการจัดเก็บภาษีของรัฐ

นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการแล้ว ระบบ QR Code ยังช่วยให้ภาครัฐสามารถ ติดตามการจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย มากขึ้น เนื่องจากสามารถตรวจสอบและติดตามการเคลื่อนย้ายของบุหรี่แต่ละซองได้แบบ เรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเลี่ยงภาษีและบุหรี่เถื่อน

การนำข้อมูลไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค

ข้อมูลที่ได้รับจากระบบ QR Code ยังสามารถนำไปใช้ในการ วิเคราะห์แนวโน้มการบริโภคบุหรี่ ในเชิงลึกได้ ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐสามารถวางแผนนโยบายและมาตรการควบคุมการบริโภคบุหรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อนาคตของการขยายการใช้งานระบบ QR Code

ในระยะต่อไป กรมสรรพสามิตมีแผนที่จะขยายการใช้งานระบบ QR Code สำหรับบุหรี่ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อให้การควบคุมและตรวจสอบสินค้ามีความครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาบุหรี่เถื่อนที่กำลังเป็นปัญหาในปัจจุบัน

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ระบบ QR บุหรี่มีวัตถุประสงค์อะไร?
    เพื่อป้องกันการปลอมแปลงและตรวจสอบการชำระภาษีของบุหรี่ทุกซอง

  2. ผู้บริโภคสามารถใช้งานระบบนี้ได้อย่างไร?
    เพียงใช้สมาร์ทโฟนสแกน QR Code ที่อยู่บนซองบุหรี่ ข้อมูลจะปรากฏบนหน้าจอทันที

  3. ระบบนี้จะช่วยป้องกันบุหรี่เถื่อนได้อย่างไร?
    ช่วยให้เจ้าหน้าที่และประชาชนสามารถตรวจสอบสถานะบุหรี่ได้ทันทีว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่

  4. การขยายการใช้งานระบบในอนาคตเป็นอย่างไร?
    กรมสรรพสามิตมีแผนที่จะนำระบบไปใช้กับบุหรี่ที่นำเข้าจากต่างประเทศในอนาคต

  5. ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับคืออะไร?
    ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าที่จำหน่ายและป้องกันการรับสินค้าปลอมเข้ามาขายในตลาด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมสรรพสามิต

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เริ่มปี 2568 กระตุ้นเศรษฐกิจ

รัฐบาลเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เป็นของขวัญปีใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 2568

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเดินหน้าผลักดันนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อต้อนรับปีใหม่ให้กับผู้ใช้แรงงาน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มกำลังซื้อและสนับสนุนเศรษฐกิจในภาพรวม

เตรียมจัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีชุดใหม่

ในขั้นตอนการดำเนินการ กระทรวงแรงงานได้เร่งรัดการจัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างหรือบอร์ดไตรภาคีชุดใหม่ เพื่อทดแทนคณะกรรมการชุดเดิมที่กำลังหมดวาระ โดยจะมีการเสนอรายชื่อกรรมการฝ่ายรัฐที่ยังว่างอยู่ 2 คน ให้กับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้

ทั้งนี้ รายชื่อที่เสนอจะรวมถึงอดีตผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นนายอัครุตม์ สนธยานนท์ รองปลัดกระทรวงการคลัง และว่าที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานคนใหม่ เพื่อร่วมทำงานกับฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง

เป้าหมายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน

กระทรวงแรงงานมีความชัดเจนในการผลักดันนโยบายนี้ โดยตั้งเป้าหมายให้เริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันทั่วประเทศให้ทันวันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนคาดหวังของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล ในขณะเดียวกัน กระทรวงฯ ยังเร่งรัดให้คณะกรรมการค่าจ้างชุดใหม่จัดประชุมในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อสรุปอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมกับแต่ละจังหวัด

“ตอนนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้รับทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว และจะเสนอที่ประชุม ครม.ได้ในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเร่งประชุมคณะกรรมการไตรภาคี โดยคาดว่าจะสามารถสรุปข้อสรุปได้ภายในเดือนธันวาคม 2567” แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานกล่าว

ข้อยกเว้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

แม้การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ แต่รัฐบาลก็ได้พิจารณาถึงความยืดหยุ่นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงอย่างรวดเร็ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้มอบหมายให้มีการช่วยเหลือและให้เวลาธุรกิจกลุ่มนี้ในการปรับตัวก่อน 1 ปี เพื่อให้สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้

กระบวนการประชุมคณะกรรมการไตรภาคี

หลังจากที่ ครม. เห็นชอบรายชื่อคณะกรรมการที่กระทรวงแรงงานเสนอ คณะกรรมการค่าจ้างจะเริ่มนัดประชุมครั้งแรกในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งการประชุมอาจต้องมีหลายรอบเพื่อพิจารณารายละเอียดจากคณะอนุกรรมการค่าจ้างระดับจังหวัด

การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้นับเป็นครั้งสำคัญที่รัฐบาลตั้งใจผลักดันเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับแรงงานไทย แต่อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระบุว่า ยังต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุม ครม. ในวันที่ 19 พฤศจิกายน เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายและสามารถบังคับใช้ได้ทันเวลา

รัฐบาลเร่งเดินหน้าเพื่อให้ทันปีใหม่ 2568

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่า การปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถช่วยให้ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงปีใหม่ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

สรุปประเด็นสำคัญ

  • รัฐบาลเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ เริ่ม 1 มกราคม 2568
  • จัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีชุดใหม่ เสนอ ครม. พิจารณาวันที่ 19 พฤศจิกายน
  • ขึ้นค่าแรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมยกเว้นธุรกิจขนาดเล็กเพื่อให้ปรับตัว

FAQs

  1. การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเริ่มเมื่อไหร่?
    เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

  2. ทำไมรัฐบาลถึงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ?
    เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับแรงงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ

  3. ธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
    ธุรกิจขนาดเล็กอาจได้รับการผ่อนผันในการปรับขึ้นค่าแรง เพื่อให้มีเวลาปรับตัว

  4. คณะกรรมการไตรภาคีมีหน้าที่อะไร?
    พิจารณาและกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ

  5. มาตรการนี้มีผลทั่วประเทศหรือไม่?
    ใช่ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีที่อาจได้รับการผ่อนผัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงแรงงาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

กระทรวงดีอีเผยภัยออนไลน์ สร้างความเสียหาย 1.9 หมื่นล้านบาท

กระทรวงดีอีเผย มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงออนไลน์ พุ่งสูงถึง 1.9 หมื่นล้านบาทใน 1 ปี

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจ เกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีฯ เป็นประธานในการแถลงข่าว ณ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) โดยเปิดเผยว่า มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงทางออนไลน์สูงถึง 19,000 ล้านบาท ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเดือนตุลาคม 2567

ยอดการแจ้งเหตุพุ่งสูง การหลอกลวงออนไลน์หลากหลายรูปแบบ

จากสถิติของศูนย์ AOC ในระยะเวลา 1 ปี มีผู้โทรเข้าสายด่วน 1441 จำนวน 1,176,512 สาย และมีการระงับบัญชีที่ต้องสงสัยรวม 348,006 เคส โดยกลุ่มอายุที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มวัยทำงานอายุ 20-49 ปี มีจำนวนสูงถึง 145,302 เคส คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 8,223 ล้านบาท โดยผู้หญิงตกเป็นเหยื่อมากที่สุดถึง 64.05% โดยส่วนใหญ่ถูกหลอกในรูปแบบการโอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษและการลงทุนออนไลน์

ช่องทางยอดนิยมที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงประชาชน

  • Facebook พบเคสการหลอกลวงถึง 26,804 เคส คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 718 ล้านบาท
  • Call Center มีจำนวน 22,299 เคส มูลค่าความเสียหาย 945 ล้านบาท
  • เว็บไซต์ต่างๆ ถูกใช้เป็นช่องทางหลอกลวงถึง 16,510 เคส คิดเป็นมูลค่า 1,148 ล้านบาท
  • TikTok มีการหลอกลวง 994 เคส มูลค่า 65 ล้านบาท
  • ช่องทางอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 20,518 เคส มูลค่าความเสียหาย 1,262 ล้านบาท

กลุ่มจังหวัดที่มีการแจ้งเหตุสูงสุด

  1. กรุงเทพมหานคร มีการแจ้งเหตุ 84,241 ครั้ง และระงับบัญชีได้ 48,558 บัญชี
  2. สมุทรปราการ มีการแจ้งเหตุ 17,853 ครั้ง และระงับบัญชีได้ 10,968 บัญชี
  3. นนทบุรี, ชลบุรี และปทุมธานี ตามลำดับ

กระทรวงดีอี เร่งดำเนินมาตรการป้องกันอาชญากรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ย้ำว่า กระทรวงดีอีมุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในสังคม พร้อมเร่งรัดมาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อยับยั้งแก๊งมิจฉาชีพและลดผลกระทบที่เกิดขึ้น

ข้อแนะนำเพื่อป้องกันภัยออนไลน์

กระทรวงดีอีแนะนำประชาชนให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวแก่บุคคลที่ไม่รู้จัก หลีกเลี่ยงการโอนเงินให้กับแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมถึงการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งนี้ หากพบว่ามีการหลอกลวงหรือการกระทำที่น่าสงสัย สามารถแจ้งเหตุได้ที่สายด่วน 1441 หรือผ่านช่องทางออนไลน์ของศูนย์ AOC

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE