Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

Crypto Cobra Chiangrai สร้างประวัติศาสตร์รองแชมป์ BTL 2025 ปีแรกในลีก

CRYPTO COBRA CHIANGRAI รองแชมป์ BTL 2025 ปีแรกในลีก แพ้ฉิวเฉียด HI-TECH 82–85 เกมตัดสิน วางรากฐานสู่ “แฟรนไชส์เหนือสุดแห่งสยาม” ที่ขับเคลื่อนด้วยยุทธศาสตร์ข้อมูลและพลังชุมชน

เชียงราย, 2 กันยายน 2568 — เสียงนกหวีดสุดท้ายที่อาคารกีฬานิมิบุตรดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันเสี้ยววินาที ก่อนระเบิดเป็นเสียงโห่ร้อง—Crypto Cobra Chiangrai (CCC) ทีมหน้าใหม่ “ส่งตรงจากเชียงราย” พ่าย Hi-Tech อย่างหวุดหวิด 82–85 ใน Game 3 ของรอบชิงชนะเลิศ Basketball Thai League 2025 (BTL) ปิดฉากซีรีส์ด้วยผลรวม 2–1 เกม พร้อมคว้าตำแหน่ง รองแชมป์ (2nd Place) และเงินรางวัลตามระเบียบของลีก (ทีมระบุว่าอยู่ที่ 800,000 บาท ในช่องทางทางการของสโมสร) — จุดเริ่มต้นอันทรงพลังสำหรับทีมที่เพิ่งลงแข่งขันฤดูกาลแรก ทว่าก้าวสู่การเป็น “ผู้ท้าชิงแชมป์” อย่างเต็มภาคภูมิ

แม้ถ้วยแชมป์จะหลุดลอยเพียงแต้มสามในคืนชี้ชะตา แต่ CCC ได้สร้าง “ชัยชนะในความหมายที่กว้างกว่า” ตั้งแต่การบุกฝ่าฤดูกาลปกติจนถึงการล้มเต็งรองในรอบรองชนะเลิศ ก่อนยื้อแชมป์เก่าไปจนถึงเกมตัดสิน—ภาพจำที่สะท้อนว่าความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากกระแสฉาบฉวย หากเป็นผลจาก การบริหารจัดการทีมที่เป็นระบบ, การสร้างสมดุลระหว่างผู้เล่นต่างชาติและดาวดังไทย, การวางแทคติกที่เจาะจุดอ่อนคู่แข่ง, และเหนือสิ่งอื่นใด พลังเชียร์จากแฟนกีฬาเชียงราย ที่เริ่มก่อตัวเป็นฐานแฟนคลับเหนียวแน่นของแฟรนไชส์หน้าใหม่รายนี้

เส้นทางสู่เวทีชิงจาก “ทีมหน้าใหม่” สู่ “ผู้ท้าชิงที่เล่นเพื่อแชมป์”

เมื่อเปิดฤดูกาล BTL 2025 อย่างเป็นทางการ ลีกประกาศรายชื่อ 10 สโมสร เข้าร่วม พร้อมเงินรางวัลรวม 4 ล้านบาท สร้างมาตรฐานการแข่งขันอาชีพที่เข้มข้นขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา (เอกสารเปิดตัวอย่างเป็นทางการ) สำหรับ CCC—ที่เลือกวางอัตลักษณ์ เชียงราย” ไว้ในชื่อทีมอย่างเด่นชัด—นี่ไม่ใช่แค่การใส่โลโก้บนเสื้อแข่ง แต่คือ ยุทธศาสตร์ฐานราก เพื่อผูกพันกับผู้ชมและธุรกิจท้องถิ่นในจังหวัดเหนือสุดแดนสยาม ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์และอุตสาหกรรมกีฬาของเมือง

  • ฤดูกาลปกติ: CCC ปั้นผลงาน Top 4 พร้อมคุณภาพเกมที่นิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่ช่วงโค้งท้าย (ตามการสรุปผลการแข่งขันรายสัปดาห์/ไฮไลท์ของลีก)
  • เพลย์ออฟ: โมเมนตัมพุ่งสูงจาก เกมน็อกเอาต์ ที่ “คมกว่าตอนเปิดซีซัน” โดยเฉพาะเกมบุกที่เริ่มเคลื่อนตัวลื่นไหลตามแผน สองเสาหลักต่างชาติ + ตัวสร้างสรรค์เกมไทย จนก้าวสู่เวที รอบชิงชนะเลิศ (ตามตารางถ่ายทอดสดและสรุปของผู้จัด)

ไฮไลต์ชิ้นสำคัญที่หลายคนพูดถึงคือเกมที่ CCC ชนะ Banvas Slammers 91–79 ด้วยประสิทธิภาพการยิงที่เหนือกว่า—ภาพตัดต่อและคลิปรีแคปถูกแชร์จำนวนมากในชุมชนบาสฯ ไทย ตอกย้ำว่า ทีมหน้าใหม่แตะเพดานศักยภาพได้เร็ว” (อ้างอิงคลิปและรีแคปอย่างเป็นทางการของลีก)

คืนตัดสิน Game 3 ทำทุกเม็ดสกอร์ให้มีความหมาย—แต่ “สามแต้ม” สุดท้ายของคู่แข่งชี้ผล

ตั๋วเข้าชมที่ นิมิบุตร ถูกจับจองตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ กระแส เกม 3 ตัดสินแชมป์” ถูกปลุกโดยช่องถ่ายทอดสดกีฬาและเพจทางการของลีกตั้งแต่วันก่อนแข่ง: “FINALS GAME 3 อังคารที่ 2 ก.ย. 68 เวลา 18.00 น.” (ประกาศของลีกและผู้ถ่ายทอด) โครงสร้างการสื่อสารกลางของลีก—ผ่าน BTL Official และพันธมิตรถ่ายทอดสดอย่าง T Sports 7—ทำให้แบรนด์ของทีมหน้าใหม่อย่าง CCC ถูกดันสู่สปอตไลต์อย่างรวดเร็ว (ตารางถ่ายทอดสด/คอนเทนต์ไฮไลต์)

ในสนามจริง เกมเดินหน้าแบบ ชิงพื้นที่–สลับนำ ต่อเนื่อง การจับคู่ป้องกันใต้แป้นต่อสู้กับวงในของ Hi-Tech เป็นหมากสำคัญ ขณะที่ เพลย์เซ็ตดึงสกรีนสองชั้น เพื่อเปิดช็อต Pull-up/Spot-up ให้มือยิงของ CCC พาเกมไล่มาเรื่อย ๆ ถึงควอเตอร์สุดท้าย—สามนาทีสุดท้าย สกอร์เบียดแต้มต่อแต้ม ก่อนที่ Hi-Tech จะได้ “ลูกตัดใจ” ระยะกลางยาว และ ลูกโทษปิดเกม ทิ้งช่วง สามแต้ม พอดีเมื่อเสียงนกหวีดสิ้นสุด: Hi-Tech 85, CCC 82 (ถ่ายทอดสดทางการของรอบชิง)

ตัวเลขที่ขับอารมณ์

• เกมชิง 3 นัด—แพ้/ชนะห่างกัน เฉลี่ยไม่ถึง 10 แต้ม ต่อเกม สะท้อน “ความใกล้เคียงของคุณภาพทีม” มากกว่าชื่อชั้นในอดีต (วิดีโอรีแคปและถ่ายทอดสดของลีก)
เพลย์ออฟ CCC มี “ช่วงเวลา +Momentum” ยาวขึ้นชัดเจนจากกลางควอเตอร์ 2 ถึงกลางควอเตอร์ 3 เมื่อทีมสามารถรักษา Turnover ต่ำ + รีบาวด์สองฝั่งเสถียร (ชุดวิดีโอไฮไลต์อย่างเป็นทางการ)

รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม 5 ตำแหน่ง (All-Star Five) & ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) Basketball Thai League 2025 (BTL) Point Guard: ณัฐกานต์ เมืองบุญ (Hi-Tech Basketball Club) **Shooting Guard: Shaheed Davis (Crypto Cobra Chiangrai) Small Forward: Accheaus D'juan Fields (Shoot It Dragons) Power Forward: อิบราฮิม ดาบี (TGE Basketball Club) Center: อิมานุเอล ชิเนดุ เอเจสุ (Hi-Tech Basketball Club) Mฮญ: อิมานุเอล ชิเนดุ เอเจสุ (Hi-Tech Basketball Club)

เหตุผลเชิงโครงสร้างของความสำเร็จ CCC ไม่ใช่ “ม้ามืด” แต่คือ “แผนระยะยาว”

  1. วิสัยทัศน์หัวหน้าผู้ฝึกสอน (“โค้ชนิก”)
    โค้ชวางระบบที่ชัดเจน—ขับเคลื่อนด้วยเกมรับที่มีวินัย เพื่อต่อยอดเป็นทรานซิชันเกมรุกเร็ว และเมื่อเข้าสถานการณ์ครึ่งสนามจะดึง Two-man game ให้ผู้เล่นต่างชาติเสาหลักเป็น “แกนตัดสินใจ” ก่อนสลับสปีดด้วย Shot-creator สัญชาติไทย ในเพลย์ที่ 2–3 ของคอนเซ็ปต์เดียวกัน ทำให้ทีม “อ่านเกมคู่แข่งแล้วเอาไปใช้ได้จริง” ไม่ใช่เพียงแผนบนกระดาน
  2. สเก๊าท์–สรรหาผู้เล่นที่ “ชัดในบทบาท”
    โครงสร้างโรสเตอร์ของ CCC เน้น ต่างชาติ 2 แกน ที่สร้างอิมแพ็กทั้งสองฝั่งของคอร์ท ผนวก มือทำเพลย์ชาวไทย ที่พลิกสปีดเกม/สร้างความแตกต่างภายใต้แรงกดดันสูง—ภาพที่สะท้อนชัดในช่วงเพลย์ออฟเมื่อทีมต้องการ “บาสเกตบอลแบบเล่นเพื่อชนะในครึ่งสนาม”
  3. ข้อมูล–คอนเทนต์–คอมมูนิตี้ (3C) ที่เดินไปด้วยกัน
    แม้เพจโซเชียลของสโมสรจะเพิ่งตั้งต้น แต่การที่ลีกและพันธมิตรสื่อสร้าง “ทางด่วน” ให้ทีมหน้าใหม่เข้าโฟกัสของผู้ชมทั่วประเทศ—ตั้งแต่กราฟิกก่อนแข่ง, การนับถอยหลัง, ไปจนคัทยาวไฮไลต์หลังเกม—ทำให้ CCC สร้างฐานแฟนได้ทันที (คอนเทนต์ทางการของลีก/ผู้ถ่ายทอด) ด้านท้องถิ่น เชียงรายก็เริ่มเห็นผลทางเศรษฐกิจจากอีเวนต์กีฬา—ตั้งแต่ร้านค้าเมอร์ชไปจนเศรษฐกิจท่องเที่ยววันแข่ง

มองผ่านกรอบ “เมือง–ลีก–ตลาด” ทำไม “เชียงราย” สำคัญต่อบาสอาชีพไทย

การมีสโมสรระดับอาชีพที่ส่งเสียงจากหัวเมืองใหญ่ภาคเหนือไม่ใช่เรื่องภาพลักษณ์เท่านั้น แต่คือการ กระจายโอกาส ให้ชุมชนกีฬาในพื้นที่เกิด “แรงดูด” ให้เยาวชนเลือกเส้นทางอาชีพ, โค้ชท้องถิ่นมีเวทีแสดงฝีมือ, ผู้ประกอบการสร้างอีโคซิสเต็มธุรกิจกีฬา—ทุกอย่างเชื่อมเป็นวงจรเดียวกัน

  • เชิงลีก: BTL 2025 ถูกถ่ายทอดแบบแฟนลี่–เฟรนด์ลี่ เนื้อหาสม่ำเสมอ (BTL OFFICIAL / T Sports 7) ทำให้ “การเล่าเรื่องของทีมหน้าใหม่” เดินทางถึงผู้ชมได้จริง ไม่ถูกกลบด้วยชื่อเก่าหรือกลุ่มทุนใหญ่ (เพจ/ช่องทางทางการ)
  • เชิงเมือง: แฟนจากเชียงรายเริ่มมี “เดสติเนชันกีฬา” ใหม่—จากคอนเทนต์ออนไลน์สู่ทริปดูเกมใหญ่ในกรุงเทพฯ และในอนาคตเมื่อทีมจัดแมตช์เหย้ารูปแบบแฟนเดย์ จะยิ่งต่อยอด Sports Tourism ของจังหวัดได้อีกชั้น
  • เชิงตลาด: ฐานธุรกิจสปอนเซอร์ท้องถิ่น + ผู้เล่นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเชียงราย (กาแฟ, งานดีไซน์, งานหัตถกรรม) สามารถ “บันเดิล” กับกิจกรรมของสโมสร—เป็นรายได้เสริมที่ไม่ขึ้นกับผลการแข่งขันโดยตรง

บทเรียนจาก Game Film จุดแข็ง–จุดปรับ

จุดแข็งหลัก

  • Game Plan & Execution: CCC ใช้แผน 1–2 เคาน์เตอร์เพลย์ ที่ชัดเจนและทำซ้ำได้ภายใต้แรงกดดัน—สะท้อนจากคุณภาพช็อตที่ได้ช่วงควอเตอร์ 2–3
  • Rebound Mentality: แม้ส่วนสูงบางตำแหน่งเป็นรอง แต่ “การบล็อกเอาต์แอคทีฟ” ทำให้ทีมได้โอกาส Second Chance มากพอสร้างสกอร์

จุดที่ควรปรับ

  • Close-out Game: โมเมนตัมช่วงท้ายเกมยัง Swing ตามรูปเกมฝ่ายตรงข้าม—โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งบีบให้เล่น Isolation มากกว่าระบบ
  • Bench Production: เกมซีรีส์ยาวต้องการสกอร์จากม้านั่งให้สม่ำเสมอขึ้น เพื่อถนอมโหลดผู้เล่นแกนหลักในควอเตอร์ท้าย

จาก “รองแชมป์ปีแรก” สู่ “แผน 2–3 ปี” ที่ไล่ล่าบัลลังก์

ในบริบทของลีกอาชีพ การไปถึงรอบชิงปีแรกคือ บันทึกหน้าแรกของโครงการระยะยาว—ไม่ใช่แค่ “ฤดูกาลแห่งความประหลาดใจ” และหายไป การสร้างทีมที่ยั่งยืนของ CCC ควรยึดแกน 3 ประการ:

  1. เสถียรภาพโค้ชและคอร์ผู้เล่น – ล็อกสัญญาแกนหลัก, เติมชิ้นส่วน 3-and-D & Secondary Creator ที่เข้ากับระบบ
  2. พัฒนาการใช้ข้อมูล (Analytics) – วัดคุณภาพช็อต (eFG%), โอกาสสองจังหวะ, Lineup Combination ที่มี Net Rating บวก เพื่อใช้จริงในเพลย์ออฟ
  3. ต่อยอดฐานแฟนเชียงราย – สร้าง Match-day Experience และกิจกรรมร่วมกับสถาบันการศึกษา/ธุรกิจท้องถิ่น เพื่อแปลง “ผู้ชมครั้งคราว” เป็น “สมาชิกถาวร”

หากทำได้ Crypto Cobra Chiangrai จะไม่ใช่ “ทีมที่เคยเข้าชิง” แต่เป็น ผู้ท้าชิงตัวจริง ที่พร้อมทวงบัลลังก์ในวัฏจักรถัดไป

CCC แพ้ด้วยระยะ 3 แต้ม แต่ชนะหัวใจแฟนทั่วประเทศด้วย วิธีการเล่นที่มีวินัยและมีสไตล์—และที่สำคัญชนะ “โจทย์ของแฟรนไชส์กีฬาอาชีพ” ตั้งแต่ปีแรก: รู้ว่าตัวเองเป็นใคร, จะชนะอย่างไร, และจะเติบโตไปพร้อมเมืองของตัวเองอย่างไร ฤดูกาลหน้า ซีรีส์ชิงอาจยังมี Hi-Tech หรือใครก็ตามยืนขวาง แต่ “งูเห่าแห่งเชียงราย” ได้ปล่อยคำเตือนไปแล้ว—นี่ไม่ใช่ไฟแฟลช แต่นี่คือยุคสมัยที่กำลังก่อตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Basketball Thai League
  • T Sports 7
  • Daily News Online
  • Crypto Cobra Chiangrai
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“ลงสายลงดิน”: เชียงรายเร่งยกระดับภูมิทัศน์เมือง สู่ Smart City อย่างยั่งยืน

เชียงรายเร่ง “ลงสายลงดิน” ยกเครื่องภูมิทัศน์เมืองสู่ Smart City เป้าหมาย เม.ย. 2569—แต่เส้นทางสู่ความทันสมัยยังติดขัดด้วย “สายเก่า” และความล่าช้าเชิงโครงสร้าง

เชียงราย, 1 กันยายน 2568 — เมืองเชียงรายตื่นอีกครั้งกับคำถามซ้ำเดิมของคนเมือง: เมื่อไรเสาไฟฟ้าและพะเนินพะย่อของสายสื่อสารจะหายไปจากท้องฟ้าเมืองเก่าแก่แห่งนี้เสียที คำตอบเริ่มมีรูปธรรม เมื่อจังหวัดเดินหน้าติดตามความคืบหน้า “โครงการนำสายไฟฟ้า–สายสื่อสารลงใต้ดิน” และวางหมุดเวลาแล้วเสร็จไว้ที่ กลางเดือนเมษายน 2569 เพื่อให้ทันรับฤดูกาลท่องเที่ยวและยกระดับภาพลักษณ์เมืองให้ “สะอาด สวยงาม และอัจฉริยะ” อย่างที่วางวิสัยทัศน์ร่วมกันไว้

การประชุมความคืบหน้าเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 มี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และผู้แทนหน่วยงานหลักทั้ง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ./PEA) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โดยย้ำเป้าหมายผูกกับวาระใหญ่ระดับชาติ ทั้งการพลิกโฉมเชียงรายสู่ Smart City และการหนุนบทบาท “เชียงราย–แม่สาย” ใน ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (Northern Economic Corridor: NEC) ที่รัฐบาลมุ่งผลักดันให้เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของประเทศ

ฉากปฏิบัติการเร่งเก็บเสา–ย้ายสาย รับไฮซีซันท่องเที่ยว

ความคืบหน้าที่จับต้องได้เริ่มเห็นเป็นชิ้นเป็นอัน—บริเวณ ห้าแยกพ่อขุนเม็งรายมหาราช และพื้นที่โดยรอบดำเนินการลงสายใต้ดินแล้ว ขณะที่แนวถนนยุทธศาสตร์ในเขตเมือง เช่น ถนนธนาลัย–กำแพงเมือง และช่วง จากแยก สภ.เมืองเชียงราย ถึงสถานีขนส่งแห่งที่ 1 กำลังทยอยนำสายลงท่อและรื้อถอนเสาไฟฟ้า เพื่อคลี่คลายภาพจำ “เมืองสายระโยงระยาง” ให้หมดไปตามกรอบเวลาที่วางไว้

“เมื่อโครงการแล้วเสร็จ เมืองจะโล่งตา สะอาด และเป็นระเบียบมากขึ้น” คือสารที่ทีมบริหารท้องถิ่นส่งถึงประชาชนควบคู่กับแผนย่อย ปรับไฟส่องสว่าง–ทำถนน–ทำฟุตปาธใหม่ และตั้ง ศูนย์จัดการอัจฉริยะ เพื่อดูแลระบบเมืองหลังงานโยธาจบครบวงจร เป้าหมายไม่ใช่เพียง “ความสวยงาม” แต่คือการยกระดับ ความปลอดภัย–คุณภาพชีวิต–ศักยภาพเศรษฐกิจเมือง ในแพ็กเกจเดียว

โครงสร้างโครงการ 2 เส้นเรื่อง 2 พื้นที่ งบรวมแตะเกือบ 800 ล้านบาท

ภาพใหญ่ของเชียงรายไม่ได้มีเพียงงานในเขตเทศบาลนคร หากยังมีโครงการคู่ขนานที่ อำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นด่านการค้า–ท่องเที่ยวสำคัญติดชายแดนเมียนมา ทั้งสองโครงการมีรูปแบบลงทุนและไทม์ไลน์ต่างกัน แต่ประสงค์ปลายทางเดียวกันคือ “ท้องฟ้าสะอาด เมืองทันสมัย ระบบสื่อสารเสถียร”

  • โครงการเขตเทศบาลนครเชียงราย — งบประมาณภาพรวมที่สื่อท้องถิ่นและเอกสารทางการระบุอยู่ราว 488.76–500 ล้านบาท โดยเป็นความร่วมมือร่วมลงทุน PEA ~55% : เทศบาล ~45% ครอบคลุมเส้นทางนำร่อง 5 เส้น ระยะทางรวมประมาณ 4.65 กม. (เช่น ถ.รัตนาเขต ถ.บรรพปราการ ถ.ธนาลัย ถ.ประสพสุข และแนวเชื่อมโบราณสถาน–จุดสัญลักษณ์เมือง) ก่อนขยายผลสู่โซนเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวอื่นต่อเนื่อง
  • โครงการเขตอำเภอแม่สาย — รูปแบบร่วมทุน PEA ~60% : เทศบาลตำบลแม่สาย ~40% ครอบคลุมแนวถนนสายหลักราว 2.8–3 กม. จากด่านพรมแดนสู่โซนพาณิชยกรรม โดยเทศบาลแม่สายยืนยันการเดินเครื่องร่วมกับ PEA และหน่วยงานรัฐตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมา

ตัวเลขงบประมาณสะท้อน “ขนาดงาน” และความคาดหวัง: โครงสร้างพื้นฐานใต้ดินราคาแพงกว่าระบบอากาศหลายเท่า แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนคือ ความปลอดภัย–ความทนทานต่อพายุ–และความพร้อมด้านสื่อสาร สำหรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลและการท่องเที่ยวคุณภาพ

ความล่าช้าเชิงโครงสร้าง และ “มรดกสายเก่า” บนเสาเดียว

แม้เป้าหมายชัด แต่เส้นทางสู่เส้นชัยไม่ได้ราบรื่น โครงการในพื้นที่เมืองเคยสะดุดจนต้อง “คืนงบ” ย้อนไปเมื่อ 2–3 ปีก่อน จากนั้นจึงเริ่มตั้งหลักใหม่ ลงนาม MOU และสัญญาจ้างจริงในช่วงกลางปี 2565 ทำให้ดีเลย์จากแผนเดิมไปกว่า 2 ปี ส่วนแม่สาย แม้เริ่มขุดเจาะตั้งแต่ปลายปี 2563 แต่สถานะล่าสุดคาดหมายแล้วเสร็จยืดไปถึง เมษายน 2569 หรือช้ากว่าแผนเดิม 4–5 ปี ปัจจัยหลักไม่ใช่ความตั้งใจ หากเป็น “ปมโครงสร้าง” ที่ซ้อนกันหลายชั้น ทั้งการประสานหลายหน่วยงาน งบประมาณ และข้อจำกัดเชิงเทคนิค—โดยเฉพาะ ปัญหาสายสื่อสารค้างเก่า จากผู้ประกอบการหลายค่ายที่ไม่ได้ใช้งาน แต่ยังพาดคาราวะบนเสาร่วมกับสายใช้งานจริงจนจัดระเบียบลำบาก หน่วยงานกำกับและท้องถิ่นต่างยอมรับว่า “สายที่รกรุงรังจำนวนมาก” เป็นอุปสรรคสำคัญในการย้ายลงดินและรื้อเสาในเฟสสุดท้ายของงาน

ภาพ “สายจำนวนมากบนเสาต้นเดียว” ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะเชียงราย กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ก็เผชิญสถานการณ์คล้ายกัน จนเกิดการทบทวน มาตรการจัดระเบียบสายสื่อสาร และแบบแผนการรื้อสายที่เลิกใช้อย่างจริงจังในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา—ทั้งผ่านบทบาทของ กสทช., รัฐบาลท้องถิ่น และความร่วมมือกับผู้ประกอบการเอกชน

นโยบาย–แรงหนุนระดับชาติ “ลงดิน” ไม่ใช่แค่สวย แต่คือยุทธศาสตร์

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ส่งสัญญาณเชิงนโยบายชัด หลายครั้งรัฐมนตรีดีอีเอสลงพื้นที่เชียงรายและแม่สายด้วยตนเอง เพื่อเร่งรัด “จัดระเบียบสาย–นำลงท่อร่วม” ในจุดยุทธศาสตร์ของ NEC–Creative Lanna ผลลัพธ์ที่รัฐมองหาไม่ใช่เพียงวิวเมืองสะอาด หากรวมไปถึง ระบบสื่อสารที่เสถียร รองรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การค้า–การลงทุนชายแดน และท่องเที่ยวระดับสากล โดยโมเดลรายได้ในอนาคตยังสามารถเปิดให้เช่า “ท่อร้อยสาย” ใต้ดินแก่ผู้ให้บริการรายอื่นเพื่อกระจายต้นทุนและสร้างความคุ้มในการลงทุนระยะยาวด้วย

บนเส้นนโยบายเดียวกัน ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ถูกออกแบบให้บูรณาการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลกับวัฒนธรรม–การท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ เพื่อยกระดับศักยภาพจังหวัดหัวเมืองเหนืออย่างเชียงรายให้เป็น “แพลตฟอร์ม” เชื่อมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และชายแดน สัญญาณเหล่านี้ทำให้ “ลงสายลงดิน” ไม่ใช่งานโยธาโดด ๆ แต่คือ ฐานราก Smart City ที่ต้องรีบปักหมุดให้ทันเวลา

ผลกระทบวันนี้–ประโยชน์วันหน้า ตัวเลข–ความรู้สึก–และความคุ้มค่า

วันนี้ งานลงดินหลีกเลี่ยงผลกระทบด้วยการทำงานกลางคืน ปิด–เปิดการจราจรเป็นช่วง ๆ และติดตั้งป้ายเตือนเพื่อความปลอดภัย แต่ไม่ว่าจัดการดีเพียงใด ผลกระทบชั่วคราวต่อผู้ค้าริมทางและการสัญจรย่อมเกิดขึ้น พรุ่งนี้ เมื่อรื้อเสาออกหมด เมืองจะได้ 3 ผลลัพธ์หลัก:

  1. ทัศนียภาพ — “ฟ้าโล่ง–เมืองโล่ง” เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว ถ่ายรูปได้แบบไม่ต้องหลบสาย
  2. ความปลอดภัยและความทนทาน — ลดความเสี่ยงเสาล้ม สายขาด วาตภัย และไฟไหม้จากการลักลอบเกี่ยวสาย
  3. ความพร้อมดิจิทัล — สัญญาณสื่อสารเสถียร รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ร้านค้า–บริการ–อีคอมเมิร์ซ และงานอีเวนต์ไมซ์

กรอบคิด “คุ้ม–ไม่คุ้ม” จึงต้องมองฐานะ “สินทรัพย์สาธารณะระยะยาว” ไม่ใช่เพียงค่าใช้จ่าย ณ ปีงบประมาณเดียว—โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจหลัก ด่านพรมแดน และย่านท่องเที่ยวที่ค่าประโยชน์แฝง (externalities) สูงกว่าค่าใช้จ่ายงานโยธา

ทำอย่างไรให้ “เม.ย. 69” ไม่ใช่แค่นัดหมายบนกระดาษ

ปลดล็อก “สายเก่า” ให้จริง—ต้องมี มาตรการบังคับใช้ ชัดเจนให้ผู้ประกอบการร่วมรื้อถอนสายเลิกใช้งานในจุดที่จะลงดิน มิฉะนั้นงานจะค้างอยู่ที่เสาและหน้าตู้สื่อสารปลายทางไม่จบสิ้น กรอบร่วมมือรูปแบบ “ท่อร้อยสายร่วม” และอัตราค่าใช้ท่อที่เป็นธรรม จะช่วยให้เอกชนเต็มใจย้ายเร็วขึ้น การสื่อสารสาธารณะให้โปร่งใส—เผย แผนที่เส้นทาง–สถานะก่อสร้าง–กำหนดรื้อเสา แบบรายถนน และแจ้งผลกระทบล่วงหน้า ช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างก่อสร้างและเพิ่มความร่วมมือจากภาคธุรกิจท้องถิ่น ซึ่งมีการวาง มาตรการคุมงานขุดในอนาคต—เมื่อมีท่อใต้ดินมากขึ้น เมืองต้องมีกติกา “ขุดอย่างไรไม่ทำเคเบิลเสียหาย” และศูนย์ข้อมูลสาธารณูปโภคร่วม (one map) สำหรับผู้รับเหมาภาครัฐ–เอกชน เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุเสียหายและงานซ้ำซ้อน และให้ความสำคัญกับ “ย่านเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว” ก่อน—จัดลำดับความสำคัญ (phasing)ถนนที่ให้ผลกระทบเชิงบวกระดับเมืองสูงสุด แล้วค่อยไล่ขยายไปสายรอง เพื่อสร้าง “ชัยชนะระยะสั้น” (quick wins) และความเชื่อมั่นของสาธารณะ

เสียงสะท้อนจาก “สนามจริง” บทเรียนที่ต้องจำ

บทเรียนจากหลายเมืองชี้ชัดว่าปัญหาสายสื่อสารที่รกรุงรังเกิดจาก การติดตั้งใหม่โดยไม่รื้อของเก่า และ ความเป็นเจ้าของสายกระจัดกระจาย กสทช. และหน่วยงานท้องถิ่นจึงร่วมกันจัดทำแนวทางและปฏิบัติการ “จัดระเบียบสาย” ในหลายจังหวัด พร้อมผลักดันการย้ายลงท่อร่วมตามความพร้อมของถนนและงบประมาณ ยิ่งในเชียงรายที่มีความหมายเชิง เศรษฐกิจชายแดน + ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การแก้ปมนี้ให้เด็ดขาดคือ เงื่อนไขความสำเร็จ ที่ต้องทำคู่ขนานกับงานโยธาใต้ดิน

จาก “ฟ้าโล่ง” สู่ “เมืองอัจฉริยะ” ถาวร

เชียงรายกำลังเดินจาก “ภาพจำเสา–สาย” ไปสู่ “ภาพจริงเมืองสะอาด–ปลอดภัย–เชื่อมต่อฉลาด” หากทำได้ตามเป้าหมาย เมษายน 2569 เมืองจะได้ทั้ง ภูมิทัศน์ใหม่, โครงสร้างสื่อสารพร้อมใช้, และ ความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว–นักลงทุน ในฐานะจุดหมายระดับภูมิภาคที่พึ่งพาได้ แต่ความสำเร็จนั้นไม่ได้วัดด้วยความเร็วในการขุดเพียงอย่างเดียว—มันวัดด้วย คุณภาพการประสานงาน ความเข้มแข็งของ กติกาเชิงกำกับ ต่อ “สายเก่า” และ ความโปร่งใสในการสื่อสารกับประชาชน ตลอดทาง

เมื่อ “สายบนฟ้า” ลงดิน—สิ่งที่ลอยขึ้นแทนคือ ความหวังของเมือง ที่จะก้าวสู่ Smart City บนฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของ NEC อย่างเต็มภาคภูมิ

แผนที่ข้อมูล (สำหรับผู้นำไปใช้ตัดสินใจ–ปฏิบัติการ)

  • ขอบเขตโครงการเมืองเชียงราย: นำร่อง 5 เส้นทาง ระยะรวม ~4.65 กม. สัดส่วนลงทุน PEA ~55% : เทศบาล ~45%—ขยายผลตามย่านเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวสำคัญ (ข้อมูลภาพรวมจากการลงพื้นที่ติดตามและถ้อยคำของ รมว.ดีอีเอส ต่อพื้นที่เชียงราย/แม่สาย)
  • แม่สาย: แนวถนนสายหลักราว 2.8–3 กม. เริ่มกระบวนการร่วมกับ PEA ตั้งแต่ปลายปี 2563—เร่งรัดย้ายสาย–จัดระเบียบ คาดเสร็จ เม.ย. 2569 (ยืนยันจากเทศบาลแม่สายและรายงานสื่อเศรษฐกิจ)
  • นโยบาย–ยุทธศาสตร์: ดีอีเอสผลักดันย้ายสายลงดินในจุดยุทธศาสตร์ NEC–Creative Lanna เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว–การลงทุน และใช้ “ท่อร้อยสายร่วม” เป็นกลไกคุ้มทุนระยะยาว
  • ข้อจำกัดที่ต้องจัดการ: สายสื่อสารค้างเก่าจำนวนมาก—ต้องเร่งมาตรการร่วมรื้อถอน–ย้ายลงท่อ และคุมมาตรฐานเดินงานขุดในอนาคต (แนวทางกสทช., ภาครัฐท้องถิ่น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลตำบลแม่สาย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล/ดีอีเอส–สื่อเศรษฐกิจ” ฐานเศรษฐกิจ (มองโครงการในกรอบ NEC–Creative Lanna และบทบาท NT/ผู้ให้บริการสื่อสาร)
  • สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3/กรมประชาสัมพันธ์
  • ThaiPBS / ป.ป.ช.
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” คว้า 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ Creative Cultural District ของไทย

ชัยชนะแห่งวัฒนธรรม “ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” ติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ Creative Cultural District ของประเทศไทย จุดประกายผ้าทอไทลื้อสู่ Soft Power และย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 — เช้าวันปลายฝน ณ อำเภอเชียงของ เรื่องเล่าเก่าของเส้นด้าย ลวดลาย และกี่ทอของชุมชนไทลื้อบ้านศรีดอนชัย ถูกขึงตึงเป็น “โครงบนหูกใหม่” ของการพัฒนาย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เมื่อโครงการ ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์ (Creative Sri Don Chai)” ได้รับการคัดเลือก ติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบ ของประเทศไทย ภายใต้โครงการ Creative Cultural District ที่ขับเคลื่อนโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) หลังผ่านเวิร์กช็อปเข้มข้น 3 วันเต็ม (22–24 ส.ค. 2568) ที่กรุงเทพฯ ร่วมกับอีก 11 ทีมจากทั่วประเทศ

ผลการคัดเลือกซึ่งประกาศในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงธงหมุดหมายบนแผนที่การพัฒนา แต่คือ “สัญญาณเปลี่ยนเกลียวด้าย” จากผ้าทอในฐานะสินค้าหัตถกรรม ไปสู่ “งานออกแบบ–นวัตกรรมทางวัฒนธรรม” ที่มีตลาดและมูลค่าเพิ่มรองรับทั้งระบบ โดยมี ทุนสนับสนุนสูงสุด 1,000,000 บาท/พื้นที่ต้นแบบ พร้อมเครือข่ายที่ปรึกษาข้ามสาขาเพื่อพัฒนาต้นแบบพื้นที่ให้เกิดขึ้นจริงในช่วง 12 เดือนถัดไป

จากเวิร์กช็อปสู่สนามจริง ผสานภูมิปัญญากับนวัตกรรมอย่างมีระบบ

ตลอด 3 วันของ Creative Cultural District Workshop ทีมพื้นที่จาก ศรีดอนชัย ได้รับคำแนะนำเชิงลึกทั้งด้านนโยบาย ออกแบบ และย่านสร้างสรรค์ จากคณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ผศ.ดร.ปูรณ์ ขวัญสุวรรณ (นโยบาย Thailand as Brand), ผศ.ดร.ฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร (การพัฒนาย่านนวัตกรรมและพื้นที่สร้างสรรค์), ผศ.ดร.สักรินทร์ แซ่ภู่ (ออกแบบสภาพแวดล้อมชุมชนเมือง) และ คุณสุวิทย์ วงศ์รุจิราวาณิชย์ (การสร้างอัตลักษณ์–แบรนด์ชุมชน) ตลอดจนที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมและการสื่อสารอีกหลายราย

แกนเนื้อหาของเวิร์กช็อปมี 3 ขั้นตอนที่ชัดเจน

  1. Mapping — ทำแผนที่ทุนวัฒนธรรมในพื้นที่ ทั้งกลุ่มช่างทอ ลวดลาย วัสดุ เครื่องมือ โรงทอ จุดเรียนรู้ และเส้นทางการท่องเที่ยว
  2. Mock-up/Prototype — ออกแบบต้นแบบย่าน/ผลิตภัณฑ์/ประสบการณ์ ตั้งแต่งานคราฟต์ร่วมสมัย ผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่มีมาตรฐานคุณภาพ ไปจนถึงเทศกาลย่อยในหมู่บ้านที่เล่าเรื่องผ้า
  3. Implementation Plan — แผนปฏิบัติงาน 6–12 เดือน ครอบคลุมการบริหารจัดการพื้นที่ การตลาด การยกระดับมาตรฐาน และการติดตามประเมินผล

ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” โดดเด่นด้วยการ แปลงผ้าเป็นระบบนิเวศ: จาก “สินค้าสวย” เป็น “ชุดความรู้–กระบวนการ–ประสบการณ์” ที่เชื่อม คนทอ–คนออกแบบ–ตลาด เข้าด้วยกัน ตั้งแต่ต้นน้ำ (ปลูกฝ้าย/คัดเส้นใย/ย้อมสีธรรมชาติ) กลางน้ำ (ทอลาย ตัดเย็บ มาตรฐานคุณภาพ) จนถึงปลายน้ำ (ค้าปลีก–ค้าส่ง–ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์) ทั้งหมดวางอยู่บน เป้าหมายร่วม คือ ยกระดับรายได้และศักดิ์ศรีช่างทอ ควบคู่กับ การสืบสานอัตลักษณ์ลายไทลื้อ อย่างมีชีวิต

ผ้าทอไทลื้อ จาก “สินค้าราคาถูก” ข้ามแดน สู่ Soft Power ที่มีเรื่องเล่าและมาตรฐาน

กว่า 40 ปี ที่ชุมชนและเครือข่ายนักวิชาการ–ผู้ประกอบการพยายาม “เติมคุณค่าและอุดมการณ์” ให้ผ้าทอไทลื้อและผ้าพื้นถิ่นประเภทอื่นๆ จนกลายเป็น คลื่น Soft Power ที่ส่งพลังต่อยอดไปสู่ ภาพยนตร์ แฟชั่น ศิลปะ การท่องเที่ยว และอาหาร โครงการ ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” เลือก “จับแก่น” ของความพยายามนั้น แล้วต่อยอดด้วย หลักคิดแบบนักออกแบบ (Design Thinking) เพื่อแก้โจทย์สำคัญ 3 ประการ

  • มูลค่า: ตีความลาย–วิธีทอ ให้เป็นผลงานออกแบบร่วมสมัย บนมาตรฐานคุณภาพ–ความทนทาน–การใช้สีธรรมชาติ และการติดตามย้อนกลับได้ (traceability)
  • ตลาด: สร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ (ใส่ได้ ใช้ได้ ดูแลรักษาง่าย) พร้อมช่องทางออนไลน์–ออฟไลน์ และการจับคู่กับดีไซเนอร์/แบรนด์
  • ประสบการณ์: พัฒนาเส้นทางเรียนรู้–เวิร์กช็อป–เทศกาลย่อย ให้ผู้มาเยือนสัมผัส “เรื่องเล่าหลังลายผ้า” ตั้งแต่การย้อมสีจนถึงการสวมใส่

เมื่อ “คุณค่า” (Value) มาก่อน “ราคา” (Price) ผ้าทอจึงไม่ต้องแข่งขันด้วยต้นทุนต่ำ หากแข่งขันด้วย เรื่องเล่า–มาตรฐาน–ความยั่งยืน ที่แปรเป็น มูลค่าเพิ่ม ซึ่งชุมชนได้ส่วนแบ่งอย่างเป็นธรรม

5 พื้นที่ต้นแบบ ภูมิศาสตร์ของความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลาย

นอกจากเชียงรายแล้ว โครงการยังคัดเลือกพื้นที่ต้นแบบที่สะท้อน ความหลากหลายของทุนวัฒนธรรมไทย ได้แก่

  • ข่วงเมืองลำพูน (ลำพูน) — ย่านประวัติศาสตร์ที่มีมรดกหัตถกรรม–ศรัทธาเป็นแกนกลาง
  • สิงห์ท่า เธียเตอร์ (ยโสธร) — สร้างพื้นที่ศิลปะการแสดงร่วมสมัยเคียงคู่วัฒนธรรมอีสาน
  • ช่างเรือรุ่นใหม่ – เรียน รู้ สาน (พระนครศรีอยุธยา) — สืบสานงานต่อเรือและภูมิปัญญาแม่น้ำให้คนรุ่นใหม่
  • เขาหลักเซิร์ฟทาวน์ (พังงา) — เมืองชายฝั่งที่เปลี่ยน “คลื่นทะเล” เป็นอัตลักษณ์ไลฟ์สไตล์–กีฬา–ท่องเที่ยว

การเลือกที่ ต่างทุน ต่างทรัพยากร แต่มี หลักคิดร่วม เรื่องการออกแบบและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทำให้เครือข่ายพื้นที่ต้นแบบสามารถเรียนรู้ข้ามวิชา–ข้ามภูมิภาคได้จริง เชียงรายจึงไม่ได้เดินลำพัง แต่เดินไปกับเพื่อนบ้านที่กำลังสร้างย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยกัน

เชื่อมเป้าหมายระดับประเทศ จาก “Thailand as Brand” สู่ “Creative Cities Network”

ในภาพใหญ่ โครงการ Creative Cultural District ทำงานสอดรับนโยบายระดับชาติที่เน้น อุตสาหกรรมสร้างสรรค์–Soft Power–เศรษฐกิจฐานวัฒนธรรม โดยใช้การออกแบบเป็นเครื่องมือเชื่อม อัตลักษณ์ท้องถิ่น กับ มาตรฐานสากล ทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับกรอบ UNESCO Creative Cities Network (UCCN) ที่ส่งเสริมให้เมืองใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ประเทศไทยมีเมืองในเครือข่าย UCCN หลายสาขา อาทิ กรุงเทพฯ (Design), เชียงใหม่ (Crafts & Folk Art), ภูเก็ต (Gastronomy), สุโขทัย (Crafts & Folk Art) และ เพชรบุรี (Gastronomy)—แต่ละเมืองล้วนพิสูจน์ว่า หากเมือง ลงทุนกับ “คน–พื้นที่–เรื่องเล่า” อย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถต่อยอดเป็น เศรษฐกิจชุมชนที่ยืนได้ และ ภาพลักษณ์เมืองที่ยั่งยืน เชียงรายในฐานะ “ผู้เล่นใหม่” จึงกำลังวางฐานสู่ UCCN สาขาการออกแบบ ด้วยกลยุทธ์ “คนรุ่นใหม่ทำงานกับช่างทอจริง ในพื้นที่จริง เพื่อชิ้นงานจริง”

แผนเดินเกม 12 เดือน ย่านเริ่มได้จาก 3 จุดเล็ก—ของ สถานที่ ประสบการณ์

เพื่อให้ “ธงพื้นที่ต้นแบบ” ไม่หยุดอยู่บนเวทีประกาศผล ทีมศรีดอนชัยวาง Roadmap 12 เดือน ที่ทำได้จริงและวัดผลได้

  1. Product Track (ของ) — พัฒนาคอลเลกชันตัวอย่าง 3–5 กลุ่มสินค้า (สวมใส่/ของใช้/ของแต่งบ้าน) ด้วยลายไทลื้อ ติดตามย้อนกลับได้ ย้อมสีธรรมชาติบางส่วน และตั้งมาตรฐานคุณภาพ–บำรุงรักษา
  2. Place Track (สถานที่) — ย่านนำร่องที่มีป้าย–ทางเดิน–จุดเล่าเรื่องแบบ wayfinding ซึ่งสื่อสารเรื่องลายผ้า กระบวนการย้อม การทอ และเชื่อมโฮมสเตย์/พิพิธภัณฑ์ชุมชน
  3. Program Track (ประสบการณ์) — เวิร์กช็อปถอดลาย/ย้อมคราม/ทอลอง พร้อม “ตลาดนัดคราฟต์รายเดือน” ในหมู่บ้าน และกิจกรรมทดลองกับโรงเรียนในพื้นที่

ตัวชี้วัด (KPIs) จะไม่หยุดที่ “จำนวนคนร่วมงาน” แต่ลงลึกถึง รายได้ใหม่ของช่างทอ–การจ้างงานเยาวชน–จำนวนชิ้นงานเข้าสู่การผลิตจริง–อัตราการกลับมาเยือนซ้ำของผู้มาเที่ยว ทุกไตรมาสมีการทบทวนและปรับแผนอย่างโปร่งใส โดยเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะผ่านช่องทางชุมชน/องค์กรท้องถิ่น

เศรษฐกิจ–สังคม–สิ่งแวดล้อม เส้นด้ายสามเกลียวของการเปลี่ยนผ่าน

เศรษฐกิจ — เมื่อผ้าทอถูก “ยกระดับมาตรฐานและเรื่องเล่า” มูลค่าเพิ่มจะเกิดขึ้นในหลายจุด: ค่าฝีมือที่เป็นธรรม, ช่องทางจำหน่ายที่ดีขึ้น, ผลิตภัณฑ์ต่อยอด (collab กับดีไซเนอร์/แบรนด์), และบริการท่องเที่ยว–เวิร์กช็อปที่มีราคาต่อหัวสูงขึ้นกว่าทัวร์ทั่วไป

สังคม — การ “ฝึกงานกับช่างจริง” ทำให้เยาวชนเห็นอาชีพสร้างสรรค์ในบ้านเกิด ไม่ต้องย้ายถิ่นเสมอไป ขณะเดียวกัน ผู้สูงวัยผู้เป็น “ธนาคารความรู้” ได้ถ่ายทอดทักษะและเกียรติภูมิให้คนรุ่นถัดไป เกิดการเรียนรู้ข้ามรุ่นที่จับต้องได้

สิ่งแวดล้อม — แผนย้อมสีธรรมชาติ การใช้เส้นใยท้องถิ่น และการจัดการเศษวัสดุ ให้ความหมายกับ “แฟชั่นที่รับผิดชอบ” ลดการใช้เคมี และสร้างการรับรู้เรื่องการดูแลธรรมชาติในรายละเอียดของงานผ้า

เสียงจากเวทีข้อคิดที่น่าจดจากผู้เชี่ยวชาญ

แม้เวทีจะไม่ใช่งานประกาศนโยบายครั้งใหญ่ แต่สารที่ผู้เชี่ยวชาญฝากไว้ตรงกันคือ

  • ย่านสร้างสรรค์ต้องแก้ปัญหาจริง: เริ่มจากปัญหาเล็กๆ ที่ชุมชนอยากแก้ (รายได้ช่าง การตลาด การเดินทางในหมู่บ้าน) แล้วออกแบบทางออกที่ “ทำได้” ไม่ใช่ “พูดได้”
  • น้อยแต่ชัด: เลือก pilot ที่เห็นผลเร็ว สื่อสารง่าย ขยายต่อได้ เช่น ตลาดคราฟต์รายเดือนที่ช่างเป็นเจ้าของร่วมกับนักเรียน
  • การออกแบบคือการจัดกระบวนการ: ไม่ใช่แค่ทำของสวย แต่จัดคน–เวลา–สถานที่–ทรัพยากร ให้ชุมชน “เป็นเจ้าของ” จริง

หลักคิดเหล่านี้สอดคล้องกับแผนของศรีดอนชัยที่เน้น ownership และ ผลลัพธ์ที่ใช้ได้จริง มากกว่ารูปถ่ายสวยๆ เพียงชั่วครั้ง

เชียงรายกับเส้นทางสู่ “เมืองออกแบบ” เดินด้วยคน ไม่ใช่โครงการ

ความสำเร็จของ “ศรีดอนชัยใช้สร้างสรรค์” เกิดขึ้นท่ามกลางความเคลื่อนไหวของเชียงรายที่กำลัง ยกระดับสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโกด้านการออกแบบ ทั้งจากบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัย เครือข่ายศิลปิน–นักออกแบบ และชุมชนชาติพันธุ์ การติด 1 ใน 5 พื้นที่ต้นแบบครั้งนี้จึงเป็น ฟันเฟืองสำคัญ ที่จะทำให้ “เส้นด้ายเมืองสร้างสรรค์” ถักทอแน่นขึ้น

ในภาพที่กว้างกว่า ศรีดอนชัยกำลังก้าวออกจากการเป็น “แหล่งผลิตผ้าทอ” ไปสู่การเป็น “สนามเรียนรู้–พื้นที่ทดสอบนวัตกรรมทางวัฒนธรรม” ที่ผู้มาเยือนสามารถเห็นวงจรเต็มรูป (ปลูก–ทอ–ใช้–เล่าเรื่อง) และสัมผัสคุณค่าที่อยู่เบื้องหลังทุกลายผ้าได้อย่างเป็นรูปธรรม

จากลายบนผืนผ้า สู่ลายทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัด

ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่ปลายทาง แต่คือจุดเริ่มของ การทำงานจริง ที่ต้องอาศัยวินัย ความต่อเนื่อง และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย — ช่างทอ เยาวชน โรงเรียน หน่วยงานท้องถิ่น มหาวิทยาลัย และเอกชนผู้พร้อมหนุนตลาด หากเดินตามแผน 12 เดือนด้วยการวัดผลโปร่งใส ศรีดอนชัยย่อมเป็น ต้นแบบย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่พิสูจน์ได้ว่าการออกแบบสามารถ ยกระดับรายได้ รักษาอัตลักษณ์ และเสริมความภูมิใจ ให้ชุมชนได้พร้อมกัน

และเมื่อถึงวันนั้น “ผ้าทอไทลื้อ” จะไม่ใช่เพียงที่ระลึกของผู้ผ่านทางอีกต่อไป หากเป็น Soft Power ที่เล่าเรื่องเชียงรายในภาษาสากล—ชัดเจน อ่อนน้อม และทรงพลัง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA
  • UNESCO Creative Cities Network (UCCN)
  • THACCA-Thailand Creative Culture Agency
  • Creative Cultural District
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“อบจ.เชียงราย” เปิดเวที “Design Best Practice” ดันเยาวชนสู่พลังขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์

 “อบจ.เชียงราย” เปิดเวที Chiangrai Design Best Practice จุดไฟ “คนรุ่นใหม่” สู่พลังขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์โลก

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568  — ในห้องประชุมสว่างไสวของโรงแรมแสนโฮเทล เช้าวันสิ้นเดือนสิงหาคม ผู้คนต่างวัย—นักเรียน มหาวิทยาลัย ครู อาจารย์ นักออกแบบ ช่างฝีมือท้องถิ่น ไปจนถึงผู้บริหารท้องถิ่น—ทยอยนั่งประจำโต๊ะกลุ่มย่อยต่อหน้าแผ่นงานและตัวอย่างวัสดุที่จัดวางเรียงราย เสียงสนทนาคละเคล้าระหว่าง “ภูมิปัญญาเดิม” กับ “สภาวะใหม่” ของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จุดร่วมเดียวกันคือคำถามง่ายๆ ที่ท้าทายทุกคนว่า เราจะออกแบบอนาคตเชียงรายให้ยั่งยืนด้วยรากวัฒนธรรมได้อย่างไร” นี่คือภาพเปิดของเวที “Chiangrai Design Best Practice : Knowledge Transfer from Culture to Youth” ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ตั้งใจ “ยกห้องเรียนทั้งเมือง” เพื่อส่งต่อองค์ความรู้การออกแบบจากวัฒนธรรมสู่เยาวชน และวางรากฐานจังหวัดสู่การเป็นสมาชิก เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network: UCCN) ด้านการออกแบบในก้าวต่อไป

พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนและงบประมาณ อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่ประธาน พร้อมเครือข่ายภาคีจากหลากหลายสาขา ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากเมืองเครือข่ายสร้างสรรค์ในประเทศ อาทิ เพชรบุรี (ถ่ายทอดประสบการณ์ด้านอาหารและหัตถกรรมเชิงวัฒนธรรม) และ สุพรรณบุรี (แนวทางการใช้ดนตรี–ศิลปะร่วมสมัยต่อยอดเมือง) ตลอดจนผู้แทนจาก นครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเข้าร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการออกแบบเชิงเมือง

คนรุ่นใหม่” คือหัวใจของเมืองออกแบบ

ภายหลังพิธีเปิด นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เดินทางมาพบปะผู้เข้าร่วมและย้ำ “แกนกลาง” ของเวทีครั้งนี้อย่างชัดเจนว่า การพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงสร้างแลนด์มาร์ก แต่ต้องสร้าง “คน” และ “โอกาส” ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ ลงมือทำ และนำภูมิปัญญาท้องถิ่นไปต่อยอดบนมาตรฐานสากล

“เชียงรายจะก้าวสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์โลกได้อย่างยั่งยืน ก็ต่อเมื่อคนรุ่นใหม่มีบทบาทและเป็นพลังขับเคลื่อน เราจึงต้องลงทุนกับการเรียนรู้และการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเป็นนักออกแบบแห่งอนาคต” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

คำกล่าวดังกล่าววาง “ธง” ให้กิจกรรมทั้งวันเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน: ถอดบทเรียนจากวัฒนธรรม แปลงเป็นโจทย์ออกแบบ ต่อยอดเป็นต้นแบบ (prototype) ที่ใช้ได้จริง พร้อมเครื่องมือให้เยาวชนกลับไปขยายผลในโรงเรียน ชุมชน และสตาร์ทอัพ/เอสเอ็มอีที่กำลังก่อตัว

ห้องทดลอง “Best Practice” จากภูมิปัญญา สู่ผลิตภัณฑ์–พื้นที่–ประสบการณ์

โครงสร้างการประชุมเชิงปฏิบัติการแบ่งเป็น 3 แทร็กหลัก เชื่อมโยงตั้งแต่ “ของที่ทำ” ไปถึง “เมืองที่อยู่” และ “ประสบการณ์ที่ขาย” ดังนี้

  1. Design × Craft & Heritage — สำรวจทุนวัฒนธรรมเชียงราย เช่น สิ่งทอ ลายชนเผ่า งานไม้ งานดิน และงานโลหะพื้นถิ่น จากนั้นพัฒนาเป็น “ชุดเครื่องมือออกแบบ” (design toolkit) สำหรับนักเรียน–นักออกแบบรุ่นใหม่ ตั้งแต่วิธีเก็บข้อมูลลวดลาย ถ่ายทอดเรื่องเล่าของชุมชน ไปจนถึงการตั้งมาตรฐานคุณภาพสินค้าให้พร้อมส่งออก
  2. Product & Circular Design — ตั้งโจทย์ลดขยะและเพิ่มมูลค่า เช่น นำเศษวัสดุการเกษตร/เศษไม้จากงานช่าง กลับมาออกแบบเป็นของใช้ร่วมสมัย เน้นการคำนวณอายุการใช้งาน (life cycle) ต้นทุน–ราคาที่เหมาะสม และการผลิตแบบจิ๋วแต่แจ๋วที่ช่างท้องถิ่นทำได้
  3. Place–Making & Creative Tourism — แปลงทุนวัฒนธรรมให้เป็น “ประสบการณ์ในพื้นที่” ตั้งแต่การออกแบบป้ายทางเท้า–เส้นทางจักรยานเชื่อมชุมชนช่าง, ตลาดนัดงานคราฟต์รายเดือน ไปจนถึงเทศกาลขนาดเล็กที่โรงเรียนเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้เยาวชนเรียนรู้ทักษะจัดการอีเวนต์และการสื่อสารสาธารณะ

แกนร่วมของทั้งสามแทร็กคือ ความเป็นเจ้าของ (ownership) ของชุมชนและเยาวชนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยหลักการ “เรียน–ลอง–ใช้” ในพื้นที่ แทนการนำแนวคิดสำเร็จรูปจากที่อื่นมาใส่

ทำไม “ยูเนสโก เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” ถึงสำคัญ

เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network – UCCN) เป็นกรอบความร่วมมือระดับโลกที่ส่งเสริมให้เมืองใช้ “วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์” เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน เมืองสมาชิกแบ่งตามสาขา เช่น Design, Crafts & Folk Art, Gastronomy, Music, Film, Literature, Media Arts เป็นต้น

ประเทศไทยมีเมืองสมาชิก UCCN หลายแห่งที่สร้างชื่อบนเวทีโลก อาทิ กรุงเทพฯ (Design), เชียงใหม่ (Crafts & Folk Art), ภูเก็ต (Gastronomy), สุโขทัย (Crafts & Folk Art) และ เพชรบุรี (Gastronomy) เมืองเหล่านี้ต่างพิสูจน์ว่า เมื่อ “ทุนวัฒนธรรม” พบ “ระบบสนับสนุนที่เหมาะสม” ก็สามารถเปลี่ยนเป็น อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่ทำให้คนอยู่ได้ เมืองอยู่รอด และเอกลักษณ์ท้องถิ่นยังสดอยู่เสมอ

สำหรับเชียงราย การมุ่งไปสู่ UCCN สาขาการออกแบบ (Design) มีเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ชัดเจน

  • เชียงรายมี รากหัตถกรรมเข้มแข็ง และ artisan ท้องถิ่นหลากหลายชาติพันธุ์ ซึ่งพร้อมถูกยกระดับด้วยเครื่องมือการออกแบบสมัยใหม่
  • เมืองมี เครือข่ายศิลปิน–นักออกแบบร่วมสมัย จากสถาบันการศึกษาและเอกชนที่พร้อมเป็น “พี่เลี้ยง” ให้เยาวชน
  • เชียงรายเชื่อมโยง การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–ธรรมชาติ ซึ่งการออกแบบสามารถเพิ่มคุณค่าในห่วงโซ่ประสบการณ์ได้ตั้งแต่ป้าย–ทาง–ตลาด–เทศกาล

กล่าวโดยสรุป การเลือก “Design” ไม่ได้หมายถึงเน้น “รูปลักษณ์สวย” หากคือการนำ “วิธีคิดแบบนักออกแบบ” ไปแก้ปัญหาเมืองและสร้างมูลค่าใหม่ทั้งระบบ

แผนเดินเกม 12 เดือน จากเวทีวันนี้ สู่คำขอเป็นสมาชิกพรุ่งนี้

อบจ.เชียงรายได้วางกรอบความคืบหน้าหลังเวทีอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้ “พลังงานของห้องประชุม” กลายเป็น “โครงการที่เดินได้จริง” รวมถึงรองรับเกณฑ์สำคัญของ UCCN ที่เน้น ความต่อเนื่อง–ผลลัพธ์–ความร่วมมือ ได้แก่

  1. ฐานข้อมูลทุนสร้างสรรค์ (Creative Assets Mapping) — รวบรวมช่างฝีมือ ลาย–แบบ–วัสดุ เครื่องมือ แหล่งเรียนรู้ และผู้ประกอบการที่พร้อมเชื่อมกับเยาวชนและหลักสูตรในพื้นที่
  2. หลักสูตรสั้น/สตูดิโอเยาวชน — เปิดสตูดิโอในโรงเรียน/ชุมชน ให้เยาวชนได้ฝึกงานกับช่าง–นักออกแบบจริง และพัฒนาต้นแบบอย่างน้อย 1 ชิ้นงาน/ทีม เพื่อจัดแสดงใน “เทศกาลออกแบบเชียงราย”
  3. เครือข่ายเมือง–มหาวิทยาลัย–เอกชน — จับคู่ที่ปรึกษา (mentor matching) ระหว่างนักออกแบบอาชีพ/สตูดิโอ กับทีมเยาวชน/ผู้ประกอบการรุ่นใหม่
  4. เทศกาล/ตลาดต้นแบบ (Pilot Events) — จัดกิจกรรมขนาดกะทัดรัดเน้นคุณภาพ เช่น งานคราฟต์รายเดือน เส้นทางชมชุมชนช่าง 1 วัน เทศกาลทดลองในย่านนำร่อง เพื่อทดสอบมาตรการจราจร สิ่งอำนวยความสะดวก และระบบสื่อสาร
  5. ติดตามผลลัพธ์และสื่อสารสาธารณะ — วัดผลเป็นรูปธรรม เช่น จำนวนชิ้นงานต้นแบบที่เข้าสู่เชิงพาณิชย์ จำนวนผู้ร่วมกิจกรรม การสร้างรายได้ให้ชุมชน ชื่อเสียงเชิงสื่อ และการมีส่วนร่วมของเยาวชน

แผนนี้ไม่เพียงตอบโจทย์การเตรียมความพร้อมต่อการสมัคร UCCN หากยังทำหน้าที่ ยกระดับคน–งาน–เมือง” ระหว่างทางอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนจากเมืองเพื่อนทำอย่างไรให้ “การออกแบบ” ไม่หยุดที่คำว่า “สวย”

ผู้เชี่ยวชาญจากเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์—ทั้งในและต่างประเทศ—เสนอ 3 หลักคิดที่ทำให้การออกแบบ “อยู่รอด” ในโลกจริง

  • การออกแบบต้องแก้ปัญหา: เริ่มจากปัญหาจริง เช่น พื้นที่สาธารณะที่คนเลี่ยงใช้ ทางเท้าไม่ปลอดภัย ตลาดที่เงียบลง เครื่องมือคือ human-centered design—ฟัง ถาม ทดลอง แล้วปรับ
  • เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular): เมืองสามารถเป็น “โรงงานรีไซเคิลเชิงสร้างสรรค์” ได้ นำเศษวัสดุจากป่า–ไร่–โรงงานขนาดเล็ก มาออกแบบให้มีคุณค่าใหม่
  • ทำเล็ก–แต่ชัด: ไม่ไล่โครงการใหญ่เกินแรง เลือก “จุดริเริ่ม (pilot)” ที่ทำแล้วเห็นผล สื่อสารได้ และคูณต่อได้ เช่น ย่านเดียว ซอยเดียว โรงเรียนเดียว แล้วค่อยขยาย

ทั้งสามหลักการสอดคล้องกับโครงสร้างเวทีในวันนี้ และปรับใช้กับบริบทเชียงรายได้โดยไม่ต้องยืมแบบใครมา

เยาวชนคือผู้เล่นหลัก จาก “ผู้ชม” สู่ “ผู้จัด”

เวที Chiangrai Design Best Practice ไม่ได้เชิญเยาวชนมา “นั่งฟัง” แต่ให้ลงมือคิด–ทำ–นำเสนอ ตั้งแต่การตีความลวดลายชาติพันธุ์ไปสู่สินค้าพกพาร่วมสมัย การออกแบบเครื่องหมาย–สัญลักษณ์สำหรับงานวิ่งชุมชน ไปจนถึงแผนตลาดนัดงานคราฟต์รายเดือนของโรงเรียน จุดเด่นคือการสอน ทักษะนุ่ม (soft skills) ที่โรงเรียนมักไม่ค่อยเน้น ได้แก่

  • การเล่าเรื่อง (storytelling) และการสื่อสารข้ามรุ่น
  • การทำงานทีมสหสาขา (designer–artisan–business)
  • การประเมินต้นทุน–ตั้งราคา–คำนึงเรื่องสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม

ผลที่อยากเห็นจึงไม่ได้วัดจาก “ถ้วยรางวัล” แต่คือ จำนวนผู้เล่นหน้าใหม่ ที่พร้อมลุกขึ้น “จัดการ” โปรเจกต์เล็กๆ ในย่านและโรงเรียนของตน

เมือง–ชุมชน–เอกชน ใครทำอะไร เพื่อให้ต่อเนื่อง

เพื่อให้การเดินหน้ามีความต่อเนื่อง อบจ.เชียงรายวาง “บทบาทร่วม” ไว้เป็นภาพเดียว

  • อบจ./เทศบาล — ดูแลโครงสร้างรองรับ (พื้นที่สาธารณะขนาดเล็ก งบสนับสนุนกิจกรรมย่าน ช่องทางประชาสัมพันธ์) และทำหน้าที่ “ตัวเชื่อม” หน่วยงานกับโรงเรียน/ชุมชน
  • โรงเรียน/มหาวิทยาลัย — เปิดสตูดิโอฝึกงานกับช่าง–นักออกแบบ จัดทำคลินิกออกแบบรายเดือน และบูรณาการหน่วยกิตบริการชุมชน
  • ช่างฝีมือ/ผู้ประกอบการ — เป็น “พี่เลี้ยง” ตัวจริงด้านทักษะ–คุณภาพ สร้างต้นแบบที่ผลิตได้จริง และเปิดบ้าน–เวิร์กช็อปให้เรียนรู้
  • เอกชน/ผู้สนับสนุน — สนับสนุนทุนต้นแบบ ค่าการสื่อสาร และช่วยเปิดตลาด/ช่องทางจำหน่าย

เมื่อทุกคนมี “บท–เวลา–เป้าหมาย” ร่วมกัน เมืองก็จะมี ระบบนิเวศออกแบบ” ที่ยืนได้ด้วยตนเอง ไม่ขึ้นกับโครงการระยะสั้น

ตัวชี้วัดที่จับต้องได้น้อยแต่คม

เพื่อให้การสื่อสารสาธารณะชัดเจน อบจ.เชียงรายเน้นตัวชี้วัดที่ประชาชน “เห็น–สัมผัส–ใช้” ได้จริง เช่น

  • จำนวนต้นแบบผลิตภัณฑ์ ที่เกิดจากทีมเยาวชนและเข้าสู่การผลิตจริง
  • จำนวนพื้นที่สาธารณะ/กิจกรรมย่าน ที่ได้รับการออกแบบใหม่พร้อมใช้งาน (ป้าย–ทางเท้า–ตลาดนัดคราฟต์)
  • โอกาสทางอาชีพ ของเยาวชน (ฝึกงาน–จ้างงาน–ตั้งต้นธุรกิจ)
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน วัดจากผู้ร่วมกิจกรรมและความถี่การใช้งานพื้นที่หลังออกแบบ

ตัวชี้วัดเหล่านี้จะถูกนำไปประกอบ แผนขอเป็นสมาชิก UCCN ซึ่งให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์ที่เกิดบนพื้น” ไม่ใช่เอกสารอย่างเดียว

มองไกลกว่าวันนี้เชียงรายบนแผนที่เมืองสร้างสรรค์โลก

หากเดินตามแผน 12 เดือนอย่างมีวินัย เชียงรายจะมี “คลังผลงาน” และ “หลักฐานการทำงานร่วม” ที่พร้อมสำหรับการสมัครเข้าร่วมเครือข่าย UCCN ในวาระถัดไป ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมืองจะได้ คนรุ่นใหม่ที่มีทักษะออกแบบ เป็นทุนมนุษย์ชุดใหม่ของจังหวัด และได้ โมเดลย่านทดลอง ที่ขยายผลต่อยอดได้ทั่วเมือง—จากย่านศิลปหัตถกรรม ไปสู่ย่านอาหารพื้นถิ่น และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เชียงรายอาจไม่ได้เป็น “เมืองใหญ่” ในเชิงประชากร แต่เป็น “เมืองใหญ่” ในเชิงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและศิลปกรรม การเอา “การออกแบบ” เป็นตัวเชื่อมรากวัฒนธรรมกับตลาดสมัยใหม่ จึงเป็นคำตอบที่เหมาะสม ทั้งเพื่อ สร้างรายได้ให้ชุมชน และ รักษาอัตลักษณ์ ให้คงอยู่ในชีวิตประจำวันของคนรุ่นต่อๆ ไป

ท้ายที่สุด เวที Chiangrai Design Best Practice วันนี้ไม่ได้ปิดท้ายด้วยคำว่าจบ แต่ปิดด้วยคำว่า เริ่ม” — เริ่มโครงการเล็กๆ ในโรงเรียน เริ่มยกของจริงกับช่าง เริ่มเปิดพื้นที่สาธารณะให้เป็นห้องเรียนของเมือง และเริ่มวางหมุดหมายว่า “เชียงราย” จะยืนอยู่ตรงไหนบนแผนที่เมืองสร้างสรรค์ของโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • UNESCO Creative Cities Network (UCCN)
  • Creative Economy Agency (CEA) ประเทศไทย
  • Bangkok City of Design / Chiang Mai City of Crafts & Folk Art / Phuket City of Gastronomy / Sukhothai City of Crafts & Folk Art / Phetchaburi City of Gastronomy
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

“บ้านลิไข่” เชียงราย แลนด์มาร์คฮีลใจใหม่ ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

บ้านลิไข่” แลนด์มาร์คลับแห่งใหม่ เชียงราย ขานรับเทรนด์ท่องเที่ยวฮีลใจ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่ผู้คนต้องการหลีกหนีจากความเร่งรีบของชีวิตเมือง “บ้านลิไข่” ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มที่แสวงหาการเยียวยาจิตใจผ่านการสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

การค้นพบแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้เริ่มต้นจากการที่ชุมชนท้องถิ่นร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความงามที่ซ่อนเร้นของนาขั้นบันไดบริเวณนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก

จากหมู่บ้านเล็กๆ สู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

บ้านลิไข่เดิมเป็นหมู่บ้านย่อยของบ้านนางแลใน หมู่ที่ 7 ที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าอาข่าและลาหู่ ชุมชนเล็กๆ แห่งนี้มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะการทำนาขั้นบันไดที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อชุมชนเริ่มตระหนักถึงศักยภาพทางการท่องเที่ยวของพื้นที่ตนเอง จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการจัดกิจกรรม “LI KHAI Nature Walk” เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2566 ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการส่งเสริมการท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติเข้ากับการสร้างรายได้ให้ชุมชน

“การจัดกิจกรรมครั้งนั้นไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่การดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่เราต้องการระดมทุนเพื่อสร้างห้องน้ำและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการรองรับนักท่องเที่ยว” ข้อมูลจากการดำเนินการของชุมชนระบุ

ผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นนี้ปรากฏชัดเจนในรูปแบบของการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีรายได้จากการท่องเที่ยว ชุมชนได้นำเงินกลับมาลงทุนในการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งส่งผลให้ประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวดียิ่งขึ้น สร้างกระแสบอกต่อที่เป็นบวก และดึงดูดผู้มาเยือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีความงาม วิเคราะห์สถิติและข้อมูลเชิงลึก

การวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นที่ทำให้บ้านลิไข่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย โดยหากพิจารณาจากระยะทางจากตัวเมือง บ้านลิไข่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียง 20-26 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางจากสนามบินแม่ฟ้าหลวงเพียง 25 นาที ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่าแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ

สถิติที่น่าสนใจคือระยะทางการเดินเท้าในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ซึ่งมีความยาวประมาณ 2-3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินโดยเฉลี่ย 1-1.5 ชั่วโมง สำหรับการไปเที่ยวเดียว ความยาวเส้นทางนี้ถือเป็นจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการท้าทายตัวเองกับความสามารถในการเข้าถึงของนักท่องเที่ยวทั่วไป ไม่ยากเกินไปจนท้อแท้ แต่ก็ไม่ง่ายเกินไปจนขาดความรู้สึกของการผจญภัย

เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอื่นๆ เช่น บ้านป่าบงเปียงในจังหวัดเชียงใหม่ ผู้มาเยือนได้ให้ความเห็นว่าบรรยากาศและทะเลหมอกยามเช้าที่บ้านลิไข่มีความอลังการที่ไม่แพ้กัน แต่ยังคงความเงียบสงบและเป็นธรรมชาติมากกว่า การเปรียบเทียบนี้มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์การตลาด เนื่องจากสื่อสารไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์และเข้าใจถึงคุณค่าของสถานที่ที่ยังคงความบริสุทธิ์

วิถีธรรมชาติบำบัด เส้นทางสู่การฟื้นฟูจิตใจ

หัวใจสำคัญของประสบการณ์การเยือนบ้านลิไข่อยู่ที่การเดินบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ถูกออกแบบมาให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมอย่างใกล้ชิด เส้นทางแบ่งออกเป็นจุดหลัก 3 กิโลเมตร ประกอบด้วย กิโลเมตรแรกเป็นจุดยิงก๋งตรงป่าสัก กิโลเมตรที่ 2 เป็นนาขั้นบันไดจุดที่ 1 และกิโลเมตรที่ 3 เป็นจุดชมวิว

การเดินตลอดเส้นทางนี้ให้ประสบการณ์ที่หลากหลายและครอบคลุมระบบนิเวศที่แตกต่างกัน นักเดินทางจะได้เดินผ่านป่าไผ่ที่ให้ร่มเงาเย็นสบาย ลำธารเล็กๆ ที่ส่งเสียงเซาเซา และไร่ข้าวโพดที่แสดงให้เห็นถึงการทำเกษตรของชาวบ้าน ตลอดการเดินจะได้ยินเสียงนกร้องและเสียงน้ำตกที่ดังแว่วมาเป็นเพลงประกอบธรรมชาติ

จุดหมายปลายทางหลักคือนาขั้นบันไดที่มีความงดงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝน เมื่อนาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวขจีสดใส เป็นภาพที่สร้างความประทับใจและเป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยม สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ยังมีจุดพิเศษต่างๆ ที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ เช่น สะพานไม้ ชิงช้า ป้ายจุดชมวิว โขดหิน และกระจกที่สะท้อนวิวเส้นทางเดิน

มิติเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ตัวเลขและผลกระทบ

การพัฒนาการท่องเที่ยวในบ้านลิไข่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่น่าสนใจ โดยมีตัวเลือกที่พักที่หลากหลายเพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อและความต้องการที่แตกต่างกัน

โฮมสเตย์ในหมู่บ้านมีราคาอยู่ที่ประมาณ 700 บาทต่อคน ซึ่งรวมอาหารเย็นและอาหารเช้า นับเป็นราคาที่เข้าถึงได้สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ในขณะที่นักเดินทางสายประหยัดสามารถเลือกตั้งแคมป์ได้ด้วยค่าธรรมเนียมเพียง 50 บาทต่อเต็นท์ ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการวางแผนทางเศรษฐกิจที่มีเป้าหมายให้การท่องเที่ยวเป็นประโยชน์ต่อชุมชนโดยไม่สร้างอุปสรรคทางการเงินที่มากเกินไป

ความสำเร็จของแบบจำลองนี้สามารถมองเห็นได้จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการสร้างห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว การจัดเตรียมจุดจอดรถ และการพัฒนาจุดถ่ายภาพต่างๆ ที่กลมกลืนกับธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวที่ถูกนำกลับมาใช้เพื่อปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาธุรกิจเสริมในรูปแบบของร้านอาหารและคาเฟ่ที่ออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ริมลำธารจากน้ำตกนางแล ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถนั่งพักผ่อนและแช่เท้าในน้ำได้ รวมถึงคาเฟ่ยอดนิยมอย่าง “คาเฟ่ คาใจ” และ “Foreste’ Camp&Cafe'”

ผลกระทบเชิงสังคมและวัฒนธรรม

การท่องเที่ยวที่บ้านลิไข่ไม่ได้เป็นเพียงการมอบประสบการณ์ให้กับนักเดินทางเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ที่นักท่องเที่ยวจะมีโอกาสได้เห็นชาวบ้านในชุดประจำเผ่า ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง

การได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชุมชนชาวเขาที่ยังคงรักษาประเพณีและภูมิปัญญาการทำเกษตรแบบขั้นบันไดไว้ได้ ทำให้การเดินทางมีมิติที่ลึกซึ้งกว่าการท่องเที่ยวธรรมดา นักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นเพียงผู้ชม แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนให้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าบ้านลิไข่จะมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวสูง แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข เส้นทางการเดินทางในช่วงสุดท้ายก่อนถึงหมู่บ้านมีลักษณะแคบและมีความลาดชัน ผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ถนนอาจลื่นมาก นักเดินทางจำนวนไม่น้อยจึงเลือกจอดรถไว้ที่จุดจอดใกล้กับคาเฟ่ แล้วเดินเท้าหรือใช้มอเตอร์ไซค์ต่อไป

อีกความท้าทายหนึ่งคือการจำกัดของสิ่งอำนวยความสะดวก โฮมสเตย์ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เรียบง่าย ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น และไฟฟ้ามีจำกัดเพียงพอสำหรับแสงสว่าง ไม่เพียงพอสำหรับการชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นักท่องเที่ยวจึงต้องเตรียมพาวเวอร์แบงค์ไปด้วย บางพื้นที่ยังไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ที่เสถียร ทำให้ต้องพกเงินสดติดตัวไป

กลยุทธ์การท่องเที่ยวตามฤดูกาล

การวิเคราะห์รูปแบบการท่องเที่ยวแสดงให้เห็นว่าแต่ละช่วงเวลาจะมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ช่วงฤดูฝนจะให้ประสบการณ์ของธรรมชาติที่เขียวขจีและสดชื่นที่สุด บรรยากาศเย็นสบายทำให้การเดินเท้าไม่ร้อนจนเกินไป ในขณะที่ฤดูหนาวจะมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นทะเลหมอกปกคลุมภูเขาในยามเช้า

นักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ทางวัฒนธรรมควรพิจารณาการเดินทางในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เนื่องจากจะมีโอกาสได้เห็นชาวบ้านแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า ซึ่งเป็นการเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เทรนด์การท่องเที่ยวฮีลใจและผลกระทบต่ออุตสาหกรรม

ปรากฏการณ์ของบ้านลิไข่สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์การท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันที่เน้นการ “ฮีลใจ” หรือการฟื้นฟูจิตใจผ่านการสัมผัสธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากความเครียดและความกดดันในสังคมเมือง การที่สถานที่แห่งนี้ถูกบรรยายว่าเป็น “การเยียวยาจิตใจ” และ “การเดินทางที่คุ้มค่ามาก” แสดงให้เห็นว่าคุณค่าของการท่องเที่ยวไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราหรือความสะดวกสบายเท่านั้น แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและสร้างการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

การเติบโตของบ้านลิไข่ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนในประเทศไทย รูปแบบการพัฒนาที่เริ่มจากภายในชุมชนและขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้ สามารถเป็นต้นแบบสำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพคล้ายคลึงกัน

คำแนะนำสำหรับนักเดินทาง

สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปยังบ้านลิไข่ ควรเตรียมตัวโดยเลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับการเดินป่าและมีคุณสมบัติกันลื่น โดยเฉพาะในฤดูฝน ควรพกพาวเวอร์แบงค์และเงินสดติดตัวไป เนื่องจากอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในพื้นที่ยังมีข้อจำกัด

ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือปัญหาสุขภาพ เช่น หอบหืด ควรพิจารณาถึงระยะทางการเดินเท้าที่ค่อนข้างไกลและเตรียมยาประจำตัวให้เพียงพอ แม้ว่าเส้นทางจะไม่ชันมากนักและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น แต่การเดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรยังคงต้องใช้สมรรถภาพทางร่างกายในระดับหนึ่ง

อนาคตของการท่องเที่ยวยั่งยืน

บ้านลิไข่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการท่องเที่ยวที่สร้างผลลัพธ์ในหลายมิติ ทั้งการอนุรักษ์ธรรมชาติ การสืบทอดวัฒนธรรม การสร้างรายได้ให้ชุมชน และการมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพให้กับนักท่องเที่ยว ความสำเร็จในการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากการวางแผนอย่างรอบคอบและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

สำหรับนักเดินทางที่ต้องการมากกว่าการพักผ่อนธรรมดา แต่ต้องการประสบการณ์การ “ค้นพบ” และการ “เยียวยาจิตใจ” ที่แท้จริง บ้านลิไข่จึงเป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบ การเดินทางมายังที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ได้พบกับความงามของธรรมชาติ แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ในขณะที่แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งกำลังเผชิญกับปัญหาการท่องเที่ยวมากเกินพอ (Overtourism) บ้านลิไข่กลับสามารถรักษาสมดุลระหว่างการต้อนรับนักท่องเที่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างยอดเยี่ยม

มุมมองและทิศทางอนาคต

บ้านลิไข่เป็นตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวที่ชุมชนเป็นเจ้าของ (Community-Based Tourism) ที่สามารถสร้างรายได้ในระดับครัวเรือนและส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง การที่ชุมชนสามารถนำรายได้จากการท่องเที่ยวมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้วยตนเอง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของชุมชนและความยั่งยืนของรูปแบบการท่องเที่ยวนี้

ความสำคัญกับการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวออกจากแหล่งท่องเที่ยวหลักและสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่” ทิศทางนี้สอดคล้องกับนโยบายการท่องเที่ยวยั่งยืนของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการกระจายผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวสู่ชุมชนท้องถิ่น

การจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อม

การพัฒนาการท่องเที่ยวในบ้านลิไข่ได้รับการดำเนินการภายใต้หลักการของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด พื้นที่นี้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก จึงมีข้อจำกัดทางกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

การสร้างจุดถ่ายภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้รับการออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติและไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ วัสดุที่ใช้เป็นไม้และวัสดุธรรมชาติ การจัดวางตำแหน่งต่างๆ คำนึงถึงการไม่รบกวนเส้นทางเดินของสัตว์ป่าและการไหลของน้ำตามธรรมชาติ

การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวโดยธรรมชาติผ่านข้อจำกัดของที่พักและการเข้าถึงที่ไม่ง่ายเกินไป ทำให้สามารถควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดปัญหาขยะล้นหรือการทำลายธรรมชาติจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาต่อไป

แม้ว่าบ้านลิไข่จะมีพัฒนาการที่น่าชื่นชม แต่ยังมีพื้นที่สำหรับการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป การปรับปรุงเส้นทางการเข้าถึงให้ปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน จะช่วยให้นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

การพัฒนาระบบการสื่อสารและข้อมูลข่าวสารสำหรับนักท่องเที่ยว เช่น การติดตั้งป้ายบอกทางและข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นตลอดเส้นทาง จะเพิ่มมูลค่าทางการศึกษาและทำให้ประสบการณ์การเดินทางสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงรายเพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวแบบครบวงจร จะช่วยยืดระยะเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยวและเพิ่มรายได้ให้กับพื้นที่

ผลกระทบระดับชาติและภูมิภาค

ความสำเร็จของบ้านลิไข่มีนัยสำคัญในระดับที่กว้างขึ้น ในฐานะที่เป็นตัวอย่างของการท่องเที่ยวยั่งยืนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีชุมชนชาวเขาและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

การที่นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยวแออัด สร้างโอกาสให้กับชุมชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยว โดยไม่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากภายนอกที่อาจนำมาซึ่งการสูญเสียการควบคุมในชุมชน

ความสำเร็จของบ้านลิไข่ยังส่งสัญญาณเชิงบวกต่อนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่เน้นการกระจายการท่องเที่ยวสู่พื้นที่ใหม่และการสร้างคุณค่าจากทรัพยากรท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

การเดินทางไปยังบ้านลิไข่จึงไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการมีส่วนร่วมในการสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนอื่นๆ พัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวของตนเองในรูปแบบที่เคารพธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวยั่งยืนที่แข็งแกร่งในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ข้อมูลเกี่ยวกับป่าสงวนแห่งชาติแม่ข้าวต้ม-ห้วยลึก)
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากชุมชนบ้านลิไข่ ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

TEI นำร่อง “ปฏิบัติการร่วมเมืองคู่ขนาน” แก้ปัญหาหมอกควันชายแดน เชียงราย-พะเยา

TEI จับมือท้องถิ่น–อุทยานฯ เดินเครื่อง “เมืองคู่ขนาน” ลดจุดเผา สกัด PM2.5 ข้ามแดน ภาคเหนือวางกลไกปฏิบัติการร่วมตรงจุด

เชียงราย/พะเยา, 31 สิงหาคม 2568  — ปลายฤดูฝนที่ภาคเหนือยังฉ่ำเมฆ ฝุ่นควันอาจดูห่างไกลสายตา แต่ในสมุดบันทึกภารกิจของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ช่วง 27–29 สิงหาคม 2568 กลับเป็นต้นทางของ “ฤดูกาลเตรียมพร้อม” อันเข้มข้น ทีมงานนำโดย คุณวิลาวรรณ น้อยภา หัวหน้าโครงการ ขยับลงพื้นที่ แนวชายแดน จ.เชียงราย–พะเยา เพื่อพัฒนา “กลไกร่วมเชิงปฏิบัติการ” กับเทศบาล อบต. อุทยานฯ และชุมชนท้องถิ่น ภายใต้กรอบ ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) ที่เน้นแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การลดการเผาในที่โล่ง การจัดการเศษวัสดุการเกษตร ไปจนถึงการออกแบบความร่วมมือ “เมืองคู่ขนาน” ให้ทำงานสอดรับกับพื้นที่เพื่อนบ้านนอกพรมแดน

ภาพแรกของการทำงานคือการ “ฟัง” TEI เปิดวงพูดคุยกับผู้นำชุมชน เกษตรกร และเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับพื้นที่ เพื่อวินิจฉัยต้นทุน–ข้อจำกัดของแต่ละอำเภออย่างละเอียด เป้าหมายไม่ใช่ “แผนใหญ่ฉบับเดียวใช้ได้ทุกที่” แต่คือ แผนย่อยที่จำเพาะกับภูมิประเทศ–ภูมิงาน–ภูมิคนนั้นๆ แล้วค่อยเชื่อมเข้าหากันเป็นระบบเดียวในระดับลุ่มน้ำและแนวชายแดน

เจาะลึก “ต้นทุนพื้นที่” สู่แผนจุดเดียว–ลิงก์หลายจุด

จากการสำรวจและหารือภาคสนาม TEI สรุป “จุดตั้งหลัก” ใน 5 พื้นที่เป้าหมาย ดังนี้

1) เทศบาลตำบลศรีดอนชัย (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
หัวใจคือ ข้าวและฟางหลังเกี่ยว ที่เป็นก้อนปัญหาซ้ำซากทุกปลายปี TEI เห็นศักยภาพการบริหารจัดการร่วม—ตั้งแต่การรวบรวม แยกประเภท และวางระบบขนส่ง–แปรรูป—เพื่อ ลดแรงจูงใจในการเผา และเปลี่ยนภาระเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจในชุมชน แนวทางปฏิบัติจึงย้ำ “ร่วมกันทำ” ระหว่างเทศบาล–กลุ่มเกษตรกร–เอกชนท้องถิ่น

2) เทศบาลตำบลครึ่ง (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
พื้นที่มี ทุนทางนิเวศครบ ทั้งดิน–น้ำ–ป่า และชุมชนเข้มแข็ง สิ่งที่ต้องเร่งคือการ ยกระดับความร่วมมือข้ามตำบล ให้เดินจังหวะเดียวกันจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น การนัดหมายช่วงไถกลบ/เก็บเศษวัสดุ การทำแนวกันไฟเชื่อมต่อกัน และการแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุในระดับกลุ่มบ้าน

3) เทศบาลตำบลบุญเรือง (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
ป่าชุ่มน้ำบ้านบุญเรือง คือ “ทรัพย์สินส่วนรวม” ที่ชุมชนดูแลได้ดีอยู่แล้ว TEI เสนอการต่อยอดด้วย การประเมินทรัพยากรเชิงระบบ (สำรวจพืช–สัตว์–บริการระบบนิเวศ) ควบคู่แผนจัดการไฟป่าเชิงป้องกัน ให้ป่าชุ่มน้ำทำหน้าที่เป็น buffer ลดไฟแล้ง–ควัน และเป็นแหล่งเรียนรู้ของเยาวชน

4) อบต.ตับเต่า (อ.เทิง จ.เชียงราย)
จุดแข็งคือ ความร่วมมือข้ามแดนที่มีอยู่เดิม ทั้งด้านแนวกันไฟและกิจกรรมวัฒนธรรม TEI มองโอกาส ยกระดับเป็นกลไก 4 อำเภอคู่ขนาน ฝั่งไทยให้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้การทำงานในแนวเขตชายแดน “ต่อกันติด” ทั้งข้อมูล จุดเฝ้าระวัง และกำลังอาสาสมัคร อนาคตหากประสานประเทศเพื่อนบ้านแบบจุดต่อจุด จะช่วยลดไฟ–ควันข้ามแดนได้จริง

5) อุทยานแห่งชาติภูซาง (จ.พะเยา)
บทบาทของ อุทยานฯ สำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือ ควบคุมไฟป่าเชิงป้องกัน ด้วยแนวกันไฟ/ลาดตระเวน ทางอ้อมคือ สร้างพื้นที่เรียนรู้กับชุมชนเกษตร รอบนอก—แลกเปลี่ยนวิธีจัดการเศษวัสดุการเกษตรที่ไม่เผา และตั้ง “แนวปฏิบัติที่ดี (Good Practices)” ร่วมกัน ลดโอกาสไฟป่าลามจากพื้นที่เกษตรเข้าสู่พื้นที่อนุรักษ์

ภาพรวมที่ปรากฏคือ แพตเทิร์นเดียวกันในบริบทต่างกัน”: ถ้าจะแก้หมอกควันแบบยั่งยืน ต้องจัดการตั้งแต่ เศษวัสดุ–ไฟป่า–ข้ามแดน พร้อมกัน และต้องทำให้ หลายวงทำงานเป็นวงเดียว

ทำไมต้องเร่งวันนี้ ทั้งที่วิกฤตหนักสุดอยู่ใน “หน้าแล้ง” พรุ่งนี้

แม้ เดือนกุมภาพันธ์–เมษายน จะเป็น “หน้าวิกฤตฝุ่น” ของภาคเหนือ แต่ งานเตรียมพร้อม ต้องเริ่มตั้งแต่ปลายฤดูฝน–ต้นฤดูหนาว ด้วยเหตุผล 3 ประการ

  1. หน้าที่และฤดูกาลเกษตร: หลังเก็บเกี่ยวคือช่วงตัดสินใจว่าจะ “เผาหรือไม่เผา” ถ้าจัดระบบรวบรวม–ขน–แปรรูปได้ทัน จะลดการเผาได้มากก่อนถึงหน้าแล้ง
  2. โครงข่ายไฟป่า: แนวกันไฟต้องทำก่อนใบไม้ร่วงและเชื้อเพลิงสะสม การฝึกอาสา–ตั้งจุดเฝ้าระวัง–ซ้อมเหตุ ต้องจบก่อน “สัปดาห์แดง”
  3. การประสานข้ามพื้นที่: การนัดจังหวะงานพร้อมกัน—ตำบลข้างเคียง อำเภอข้างเคียง และ เมืองคู่ขนาน—ต้องใช้เวลาเจรจาและซ้อมงานหลายรอบ

ด้วยกรอบคิดนี้ TEI จึงเลือก “ลงมือในฤดูกาลที่สงบ” เพื่อ ลดปัญหาในฤดูกาลที่ปะทุ

เมืองคู่ขนาน” คืออะไร และสำคัญอย่างไรกับควันข้ามแดน

คำว่า เมืองคู่ขนาน (Twin/Parallel Border Towns) ในโครงการนี้หมายถึง กลุ่มพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย ที่ทำงาน “เป็นฝั่งเดียวกัน” และเตรียมพร้อมสำหรับการเชื่อมประสานกับ พื้นที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีระบบเกษตร–ป่า–เส้นทางควันเชื่อมกันอยู่แล้ว จุดแข็งของโมเดลนี้คือ

  • เจรจาเรื่องยากในขนาดเล็ก: เริ่มจากชุมชน–ตำบลที่เผชิญปัญหาร่วมกันจริง กำหนด “กติกาเล็กๆ ที่ทำได้เลย” เช่น วันงดเผา การแจ้งเตือนก่อนเผา การแชร์จุดรวบรวมเศษวัสดุ
  • ขยายผลขึ้นระดับใหญ่: เมื่อหลายวงเล็กทำงานได้จริง จึงยกระดับเป็น ระดับอำเภอ–จังหวัด และค่อยเชื่อม ประเทศ–ประเทศ
  • ลดการโทษกันเอง: เมื่อมีข้อมูลร่วม (วัน–เวลา–ทิศทางลม–จุดร้อน/Hotspot) การสื่อสารพลิกจาก “โทษกัน” เป็น “แก้ด้วยกัน”

ในเชิงนโยบาย โมเดลนี้สอดรับ กรอบความร่วมมือด้านหมอกควันข้ามแดนของอาเซียน และแนวคิด One Health/One Air ที่เชื่อมสุขภาพคน–ป่า–การเกษตรเข้าด้วยกัน

กติกาอากาศของไทยเส้น 37.5 µg/m³ ที่ต้องไม่ข้าม

การจัดการ PM2.5 ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือ มาตรฐานคุณภาพชีวิตที่กฎหมายกำหนด โดยประเทศไทยกำหนด ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงของ PM2.5 ที่ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเข้มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิมในช่วงก่อนหน้า การวางแผนเชิงปฏิบัติการจึงต้องมี เป้าหมายเชิงตัวเลข” ให้วัดผลได้ ทั้งจำนวน วันเกินมาตรฐาน ในช่วงวิกฤต จำนวน จุดความร้อน (hotspot) ในเขตรับผิดชอบ และ พื้นที่เฝ้าระวัง ที่ต้องลดเหตุซ้ำซ้อน

บทเรียนสำคัญจากหลายเมืองคือ: หาก “ย้ายเศษวัสดุ–จัดการไฟ–สื่อสารเตือนล่วงหน้า” ได้ล่วงหน้าก่อน 4–6 สัปดาห์ จำนวนวันเกินมาตรฐานสามารถลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ภูมิอากาศไม่เป็นใจ

แปลแผนให้เป็นงาน 5 วงปฏิบัติการที่ทุกพื้นที่ทำร่วมกันได้

จากข้อสรุปภาคสนาม TEI และภาคีท้องถิ่นเห็นพ้อง 5 วงงาน ที่จะขับเคลื่อนไปพร้อมกัน โดยปรับวิธีตามบริบทพื้นที่

  1. วงเศษวัสดุการเกษตร: ทำบัญชีปริมาณ–ช่วงเวลา–พิกัดแหล่งกำเนิด วางจุดรวบรวมร่วม และตารางเคลื่อนย้ายให้ทัน “หน้าตัดสินใจ” ของเกษตรกร
  2. วงไฟป่าเชิงป้องกัน: วางผังแนวกันไฟเชื่อมตำบล–อำเภอ กำหนดพื้นที่ซ้อม–วันปฏิบัติการ และช่องทางสื่อสารเหตุจริง
  3. วงข้อมูลร่วม: สรุป “แดชบอร์ดชุมชน” ที่ดูเข้าใจง่าย—จำนวน hotspot/วัน–สัปดาห์, จุดเสี่ยง, แผนที่ทางเลือกขนเศษวัสดุ—เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกัน
  4. วงสื่อสารสาธารณะ–สุขภาพ: ปรับข้อความให้กระชับ เข้าใจง่าย แจ้ง “วันสีส้ม–สีแดง” ล่วงหน้า แนะการป้องกันตนเองสำหรับกลุ่มเสี่ยง
  5. วงเมืองคู่ขนาน–ข้ามแดน: นัดคุยระดับผู้นำท้องถิ่นที่ติดกันตามแนวชายแดน วาง “กติกาปฏิบัติร่วม” ที่เริ่มได้เลย เช่น ช่วงเวลาห้ามเผา–ช่องทางแจ้งเตือน–การขอแรงสนับสนุนเมื่อเหตุลุกลาม

ทุกวงงานมีเงื่อนไขเดียวกัน: ต้องมีเจ้าภาพชัด–กำหนดเวลา–วัดผลได้ และรายงานต่อกันอย่างสม่ำเสมอ

เรื่องเล่าจากพื้นที่เมื่อ “ป่าชุ่มน้ำ” กลายเป็นห้องเรียนอากาศ

ที่ บ้านบุญเรือง ป่าชุ่มน้ำที่ชุมชนดูแลร่วมกันหลายปี ถูกกล่าวถึงในวงคุยว่าเป็น ตัวกันชนฝุ่น–ไฟ” โดยธรรมชาติ จุดแข็งนี้เปิดโอกาสให้พื้นที่กลายเป็น ห้องเรียนอากาศสะอาด” ของเด็กๆ ในตำบล—เรียนรู้การวัดคุณภาพอากาศเบื้องต้น แผนที่ลม และการใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ชาวบ้านบอกตรงกันว่า เมื่อเห็นคุณค่าร่วม “ควัน” ก็ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของทั้งหมู่บ้าน

แรงจูงใจ–งบประมาณ–พรมแดนที่มองไม่เห็น

การเปลี่ยนจาก “เผาเพราะเร็วและง่าย” ไปสู่ “จัดการอย่างเป็นระบบ” ต้องการ แรงจูงใจที่ชัด ทั้งในรูปแบบความสะดวก (จุดรับ–รถขน–ค่าใช้จ่ายไม่สูงกว่าการเผา) และในรูปแบบ “ผลได้” กับชุมชน ขณะเดียวกัน งบประมาณดูแลระยะยาว เป็นโจทย์สำคัญ—แนวกันไฟ/อุปกรณ์/ค่าดูแล—ต้องไม่ใช่งบปีต่อปีที่กระท่อนกระแท่น ส่วนมิติข้ามแดนคือ เส้นควันไม่มีด่านตรวจ แม้จะทำดีฝั่งไทย หากลมพัดพาเหตุจากข้างนอกเข้ามา ปัญหาก็ยังเกิด การคุย “เมืองคู่ขนาน” จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น เงื่อนไขของความสำเร็จ

จากแผนที่ปักหมุด สู่ระบบที่เดินได้เอง

การลงพื้นที่ของ TEI รอบนี้ ไม่ใช่พิธีเปิดโครงการ หากคือขั้นตอน “วิเคราะห์–ออกแบบ–นัดหมายปฏิบัติ” ที่ยึดเป้าหมายร่วมคือ ลดการเผาและจุดความร้อนในฤดูวิกฤต ให้ได้มากที่สุด ด้วยการทำงานพร้อมกัน 5 วงใน 5 พื้นที่ และยกระดับสู่ เมืองคู่ขนาน ของภาคเหนือ แนวทาง CLEAR Sky Strategy ย้ำหลัก 3 ข้อ

  • Evidence-led: ตัดสินใจจากข้อมูลจริงของพื้นที่ ไม่ใช่สูตรสำเร็จจากที่อื่น
  • People-first: ทำให้ประชาชน–เกษตรกร “อยากร่วม” เพราะง่ายขึ้นและคุ้มขึ้น
  • Alliances: สร้างพันธมิตรแนวราบ (ชุมชน–ท้องถิ่น–อุทยานฯ) และแนวดิ่ง (อำเภอ–จังหวัด–ประเทศเพื่อนบ้าน)

ปลายฤดูฝนปีนี้จึงเป็นมากกว่าช่วงพักหายใจของเมืองเหนือ แต่เป็น หน้าต่างเวลา ที่หน่วยงาน–ชุมชนต้องใช้ให้คุ้มที่สุด เพื่อให้เมื่อฤดูควันวนมาอีกครั้ง เมืองชายแดนจะไม่ยืนอยู่ลำพัง

เช็คพอยต์ความสำเร็จที่ชัด วัดได้ และสื่อสารได้

  1. ลดจำนวน hotspot ในเขตเป้าหมายเทียบค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง
  2. ลดวันเกินมาตรฐาน PM2.5 (24 ชม. > 37.5 µg/m³) ในช่วง ก.พ.–เม.ย.
  3. เพิ่มอัตราการจัดการเศษวัสดุที่ไม่เผา (เช่น รวบรวม–ส่งต่อ–แปรรูป) ต่อพื้นที่เพาะปลูก
  4. ความถี่ของการซ้อม/ปฏิบัติการไฟป่าเชิงป้องกัน และเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
  5. จำนวนข้อตกลงเมืองคู่ขนานที่ลงมือจริง (เช่น วันงดเผาร่วม–ช่องทางแจ้งเตือน–แผนทางเลือก)

เมื่อประชาชนเห็น “เข็มวัด” ขยับลงและชีวิตประจำวันดีขึ้น ความไว้ใจต่อระบบก็จะขยับขึ้นตาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)
  • เทศบาลตำบลศรีดอนชัย/เทศบาลตำบลครึ่ง/เทศบาลตำบลบุญเรือง (อ.เชียงของ จ.เชียงราย)
  • องค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่า (อ.เทิง จ.เชียงราย)
  • อุทยานแห่งชาติภูซาง (จ.พะเยา) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • กรอบความร่วมมือหมอกควันข้ามแดนอาเซียน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เชียงรายปักหมุด “MICE City กาแฟ” สำเร็จ หลังโครงการสร้างยอดขายกว่า 4.4 ล้านบาท

เชียงราย “MICE City แห่งกาแฟ” สร้างยอดจับคู่ธุรกิจ 4.4 ล้านบาท จากกิจกรรม Coffee Journey 2025

เชียงราย 31 สิงหาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายก้าวสำคัญสู่การเป็น “MICE City แห่งกาแฟ” หลังโครงการ “Chiangrai Specialty Coffee MICE Journey 2025” ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ สร้างยอดจับคู่ธุรกิจกาแฟคุณภาพสูงมูลค่ารวมกว่า 4.4 ล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพของเชียงรายในการเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับธุรกิจไมซ์ระดับชาติ

เส้นทางแห่งการเรียนรู้ จากไร่สู่ถ้วยกาแฟ

กิจกรรมที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 สิงหาคม 2568 ณ หมู่บ้านปางขอน จังหวัดเชียงราย เป็นผลงานความร่วมมือระหว่าง Chiangrai Coffee Lovers (CCL) กับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างสะพานเชื่อมต่อผู้ประกอบการกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วยเจ้าของโรงคั่วกาแฟจาก 15 แห่งทั่วประเทศ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก The Roastery by Roj, School Coffee และทีมงานดอยตุง รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจากไร่กาแฟชื่อดังในพื้นที่ อาทิ ไร่กาแฟครอบครัวมะ, ไร่กาแฟ Magpie, ไร่กาแฟ Soyi และไร่กาแฟดอยกอดรัก

สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ผู้เข้าร่วมทุกคนยินดีที่จะ “ลุยฝน” เพื่อเดินทางไปเยี่ยมชมไร่กาแฟและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเกษตรกรกว่า 30 ชีวิต ซึ่งสะท้อนถึงความจริงจังในการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

วิสัยทัศน์ 4 มิติ ขับเคลื่อนกาแฟไทยสู่เวทีโลก

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศ

ประการแรก การส่งเสริมการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการกาแฟและการท่องเที่ยว ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกไปจนถึงคนคั่วและคนชง เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็งและโปร่งใส ประการที่สอง การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและเกษตรกรในด้านการผลิต การแปรรูป และการบริหารจัดการกาแฟโดยใช้ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์และแนวทางมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และประการที่สาม การเปิดพื้นที่ให้เกิดการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และการนำเสนอกาแฟคุณภาพจากเกษตรกรสู่ตลาดที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ผลิต รวมไปถึง ประการสุดท้าย การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและเชิงวัฒนธรรมบนฐานกาแฟพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชนตามแนวทางของสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

การเกษตรแบบผสมผสาน หัวใจแห่งความยั่งยืน

หนึ่งในจุดเด่นที่โดดเด่นของการเดินทางครั้งนี้คือการได้เห็นแนวทางการเกษตรแบบผสมผสานของเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งไม่เพียงแต่ปลูกกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่ยังปลูกร่วมกับพืชอื่นๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมดุล

วิธีการเกษตรแบบนี้ส่งผลให้ดินและน้ำมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ลดการใช้สารเคมี และส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของเมล็ดกาแฟที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กาแฟจากเชียงรายได้รับการยอมรับจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ

พงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย ผู้ผลักดันโครงการ กล่าวว่า “การได้เห็นความตั้งใจของคนปลูก ทำให้เราตระหนักว่าหน้าที่ของคนคั่วและคนชงไม่ใช่แค่ทำให้กาแฟอร่อย แต่คือการเคารพและต่อยอดความตั้งใจของคนต้นน้ำให้ไปถึงมือคนดื่มอย่างสมบูรณ์ที่สุด”

รูปธรรมของยอดซื้อขายทะลุเป้าหมาย

ความสำเร็จของกิจกรรมครั้งนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ความประทับใจหรือการแลกเปลี่ยนความรู้เพียงอย่างเดียว แต่สามารถวัดผลได้เป็นรูปธรรมจากยอดการจับคู่ทางธุรกิจที่เกิดขึ้นระหว่างงาน

จากการจับคู่ธุรกิจระหว่างเกษตรกรและผู้แปรรูปกาแฟกว่า 30 คน กับผู้เข้าร่วมจาก 15 โรงคั่วกาแฟ มีการจองสั่งซื้อเมล็ดกาแฟดิบ (Green Coffee Bean) เฉลี่ยโรงคั่วละ 1 ตัน ทั้งในระดับกาแฟคุณภาพ (Quality Mass) และระดับกาแฟพิเศษ (Specialty Grade) รวมยอดซื้อขายทั้งหมดมากกว่า 4.4 ล้านบาท

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการที่สูงของตลาดต่อกาแฟคุณภาพจากเชียงราย และเป็นบทพิสูจน์ว่าเมื่อคนต้นน้ำและคนปลายน้ำได้มาพบปะกัน จะเกิดเป็นการเชื่อมโยงทางธุรกิจที่ยั่งยืนและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล

กาแฟไทยดาวรุ่งแห่งอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม

ธุรกิจกาแฟยังคงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่องในประเทศไทย โดยข้อมูลจากบริษัทสำรวจตลาด Euromonitor International ระบุว่า มูลค่าตลาดกาแฟไทยในปี 2566 อยู่ที่ 34,470.3 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นเป็นกว่า 65,000 ล้านบาทในปี 2568

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยให้เห็นภาพการเติบโตที่น่าสนใจ โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม) มีการจดทะเบียนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกาแฟเพิ่มขึ้นกว่า 5.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

อรรถน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้กล่าวในงานเสวนา ‘Coffee Fest’ ณ ไอคอนสยาม ว่า “กาแฟไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่เป็นวัฒนธรรมการบริโภคที่เชื่อมโยงผู้คนทุกเพศทุกวัย และยังเป็นธุรกิจที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ก้าวเข้าสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง”

ทางด้านการส่งออก ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ระบุว่า ในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งออกกาแฟ 125.89 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 15.59 เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยอมรับกาแฟไทยในตลาดโลก

แนวคิดใหม่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรบนฐานกาแฟ

โครงการ “ChiangRai Coffee Journey 2025” ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ แต่ยังเป็นการนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ใหม่และน่าสนใจ ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้แบบ 360 องศา ตั้งแต่การดูแลต้นกาแฟ การเก็บเกี่ยว การแปรรูป ไปจนถึงการชิมและประเมินคุณภาพ

กิจกรรมลักษณะนี้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก (Small Group Tourism) และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์ที่แท้จริงและมีส่วนร่วม

หนึ่งในผู้เข้าร่วม จากร้าน Heartmade Craft Coffee Roaster กล่าวว่า “สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือการได้พูดคุยกับคนต้นน้ำผู้ปลูกกาแฟ ที่เลือกทำเกษตรแบบผสมผสาน ไม่ใช่แค่การปลูกกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่ยังปลูกร่วมกับพืชอื่นๆ สร้างระบบนิเวศที่สมดุล”

MICE City เป้าหมายใหม่ของเชียงราย

การจัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการขับเคลื่อนเชียงรายสู่การเป็น MICE City ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยใช้กาแฟเป็นจุดขายหลัก ซึ่งแตกต่างจากเมืองไมซ์อื่นๆ ในประเทศที่มักเน้นไปที่โครงสร้างพื้นฐานหรือความทันสมัยของสถานที่

TCEB ในฐานะหน่วยงานหลักในการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศ ได้ให้การสนับสนุนโครงการนี้เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาเมืองไมซ์รูปแบบใหม่ที่มีเอกลักษณ์และความยั่งยืน

การที่เชียงรายมีความโดดเด่นในด้านการผลิตกาแฟคุณภาพสูง ประกอบกับธรรมชาติที่สวยงามและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เข้มแข็ง จึงเป็นจุดแข็งที่สำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวไมซ์ที่ต้องการประสบการณ์ที่แตกต่างจากเมืองใหญ่

ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น

ความสำเร็จของโครงการนี้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนท้องถิ่นหลายมิติ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมมากขึ้นจากการขายตรงให้กับโรงคั่วกาแฟ โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง

นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น เช่น บริษัททัวร์ รถเช่า และชุมชนได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองสู่การเป็น DMC (Destination Management Company) ที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมไมซ์ที่กำลังเติบโตในอนาคต

การพัฒนาในลักษณะนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน และเป็นการกระจายความเจริญจากเมืองใหญ่สู่พื้นที่ห่างไกล ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาประเทศที่เน้นความเท่าเทียมและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

เทรนด์การบริโภคกาแฟ โอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการ

ตลาดกาแฟไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยข้อมูลจากการวิเคราะห์ของ Euromonitor International แสดงให้เห็นว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) ตลาดกาแฟไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 8.55 ต่อปี

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ มากกว่าเพียงแค่เครื่องดื่ม เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพ เรื่องราวเบื้องหลัง และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์มากขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติมจากเนสกาเฟ ระบุว่า กาแฟเป็นหนึ่งในเครื่องดื่ม 3 อันดับแรกที่คนไทยนิยมดื่มในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพในการขยายตัวต่อไป

ความท้าทายและโอกาสในอนาคต

แม้ว่าผลลัพธ์จากโครงการนี้จะน่าประทับใจ แต่การพัฒนาเชียงรายสู่การเป็น MICE City แห่งกาแฟยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

ความท้าทายหลักคือการรักษามาตรฐานคุณภาพของกาแฟให้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับนักท่องเที่ยวไมซ์ และการสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการระดับสากล

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เชียงรายมีอยู่ก็มีมากมาย ตั้งแต่ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการปลูกกาแฟคุณภาพสูง วัฒนธรรมท้องถิ่นที่เข้มแข็ง และที่สำคัญคือจิตวิญญาณของคนในพื้นที่ที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

จากไร่กาแฟสู่เวทีโลก

โครงการ “ChiangRai Coffee Journey 2025” เป็นมากกว่าการจัดกิจกรรมเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญของการพัฒนาเชียงรายสู่การเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับธุรกิจไมซ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ความสำเร็จจากยอดซื้อขายกว่า 4.4 ล้านบาทในเวลาเพียง 3 วัน เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าตลาดพร้อมรับและชื่นชมคุณภาพของกาแฟเชียงราย การที่ผู้ประกอบการจาก 15 โรงคั่วทั่วประเทศยินดีที่จะเดินทางมาสัมผัสและเรียนรู้ด้วยตนเอง แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของพื้นที่

สิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดคือการที่โครงการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่ผลกำไรทางธุรกิจ แต่ยังคำนึงถึงความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง การเกษตรแบบผสมผสานที่เกษตรกรในพื้นที่ใช้ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างคุณภาพกาแฟที่เป็นเลิศ

หากเชียงรายสามารถรักษาโมเมนตัมนี้ไว้ได้ และพัฒนาต่อยอดในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริการ และการสื่อสารกับตลาดสากล ไม่นานเชียงรายอาจกลายเป็น “เมืองไมซ์ที่หอมกรุ่นที่สุด” และเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ ในการใช้จุดแข็งทางการเกษตรเป็นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์

เสียงจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ผู้แทนจากสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย แสดงความมั่นใจว่า การจัดกิจกรรมลักษณะนี้จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับการจัดประชุมและนิทรรศการที่มีคุณภาพ

“การที่เราสามารถสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับผู้เข้าร่วมประชุม โดยผสมผสานระหว่างการเรียนรู้ทางธุรกิจกับการสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น จะเป็นจุดขายที่สำคัญในการดึงดูดองค์กรและบริษัทต่างๆ ให้เลือกเชียงรายเป็นสถานที่จัดกิจกรรม” ผู้แทนสมาคมฯ กล่าว

กลยุทธ์ต่อยอดสู่อนาคต

จากความสำเร็จของโครงการครั้งนี้ CCL และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางแผนกิจกรรมต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่าย รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานกาแฟ

การจัดกิจกรรม Road Show ไปยังเมืองใหญ่อื่นๆ เพื่อนำเสนอกาแฟคุณภาพจากเชียงราย และการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการซื้อขายกาแฟโดยตรงระหว่างเกษตรกรและผู้ประกอบการ ก็เป็นอีกหนึ่งแผนงานที่น่าจับตามอง

ทั้งนี้ การพัฒนาระบบมาตรฐานการรับรองคุณภาพกาแฟ (Coffee Certification) เฉพาะสำหรับเชียงราย ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อและเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ ก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญ

แรงบันดาลใจจากความสำเร็จ

เรื่องราวของ “ChiangRai Coffee Journey 2025” เป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ แต่สร้างผลกระทบในวงกว้าง การที่ผู้เข้าร่วมทุกคนยินดีที่จะ “ลุยฝน” เพื่อเรียนรู้และสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริง แสดงให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือที่เกิดจากใจจริง

กิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างธุรกิจ แต่เป็นการสร้าง “ชุมชนแห่งการเรียนรู้” ที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาในระยะยาว

ดังที่หนึ่งในผู้เข้าร่วมกล่าวสรุปไว้อย่างสวยงามว่า “Coffee Journey ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทริปเรียนรู้ แต่เป็นการเดินทางของหัวใจที่เชื่อมโยงคนปลูก คนคั่ว คนชง และคนดื่มเข้าด้วยกันในถ้วยกาแฟเดียว”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • สมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย
  • Chiangrai Coffee Lovers (CCL)
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
  • The Roastery by Roj
  • School Coffee
  • ทีมงานดอยตุง
  • ไร่กาแฟครอบครัวมะ, ไร่กาแฟ Magpie, ไร่กาแฟ Soyi, ไร่กาแฟดอยกอดรัก
  • Heartmade Craft Coffee Roaster
  • ข้อมูลสถิติการตลาดจาก Euromonitor International
  • สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เทเบิลเทนนิสชิงแชมป์จังหวัดเชียงรายพร้อมระเบิดศึกแล้ววันนี้

 “ศึกปิงปองชิงแชมป์จังหวัด 2568” ปลุกพลังเมืองกีฬา เวทีรวมรุ่น เยาวชน–อาวุโส สานสุขภาพ เศรษฐกิจ และเครือข่ายชุมชน

เชียงราย, 31 สิงหาคม 2568 — เสียงลูกปิงปองกระทบโต๊ะที่ดังเป็นจังหวะชัดเจนในฮอลล์ใหญ่ของศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ GMS อาคารเชียงแสน กลายเป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาคึกคักของวงการเทเบิลเทนนิสเชียงราย เมื่อฝ่ายเทเบิลเทนนิส สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย นำโดย น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ประธานฝ่ายเทเบิลเทนนิส จัดการแข่งขัน ชิงชนะเลิศจังหวัดเชียงราย ประจำปี 2568” ระหว่างวันที่ 30–31 สิงหาคม 2568 บนมาตรฐานการแข่งขันที่ยกระดับทั้ง “คุณภาพสนาม–ระบบจัดการ–ความโปร่งใส” เพื่อให้เป็นเวทีกลางของนักกีฬาทุกช่วงวัย ตั้งแต่เยาวชน นักกีฬาสมัครเล่น ไปจนถึงรุ่นอาวุโส

บรรยากาศวันแรก (30 ส.ค.) เข้มข้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีการลงสนามรวม 277 คู่ ต่อเนื่องหลายคอร์ท ผู้เล่นต่างพก “ไฟ” และ “ไมตรี” ลงสู่โต๊ะเดียวกัน—ภาพที่สะท้อนเสน่ห์ของกีฬา: แข่งขันเพื่อชนะ แต่ออกจากโต๊ะด้วยรอยยิ้มและความเคารพคู่ต่อสู้ การออกแบบรายการที่เปิดกว้างหลายรุ่นอายุช่วยให้ทุกคน “มีเวทีของตนเอง” ทั้งยังเป็นพื้นที่เรียนรู้ข้ามรุ่น เยาวชนได้ซึมซับวินัยการซ้อมและการควบคุมอารมณ์ ขณะที่รุ่นอาวุโสส่งต่อบทเรียนเชิงเทคนิค—ทั้งมุมมองเกม การอ่านสปิน และการยืนตำแหน่ง—ซึ่งหายากจากตำรา

สนาม–มาตรฐาน–ระบบ ต้นทุนความน่าเชื่อถือของการแข่งขัน

ฝั่งผู้จัดวางระบบการแข่งขันตามคู่มือสากล ตั้งแต่การจัดโต๊ะ อุปกรณ์ ลูก และการกำกับดูแลด้วยผู้ตัดสินที่ผ่านการอบรม โดยยึดกรอบ “กติกา ITTF” เป็นหลัก เพื่อให้การตัดสินและประสบการณ์ของนักกีฬาไม่หลุดจากมาตรฐานโลก จุดนี้สำคัญต่อการยกระดับสมรรถนะ เพราะนักกีฬาคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมจริงแบบที่พบในรายการระดับชาติในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระยะห่างโต๊ะ–ฉากหลังที่ช่วยอ่านสปิน–และการบันทึกผลที่เป็นระบบ ซึ่งทั้งหมดพิงบนฐานเอกสารข้อบังคับจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (ITTF) ที่กำหนดกติกาหลักและแนวทางการแข่งขันไว้ชัดเจนเพื่อความเป็นธรรมของเกมทั่วโลก

ตัวสถานที่ก็ไม่ธรรมดา—ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ GMS จังหวัดเชียงราย (อาคารเชียงแสน) เป็นโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดที่ออกแบบรองรับการจัดแสดงสินค้า–ประชุม–แข่งขันกีฬาในอาคารขนาดใหญ่ พร้อมระบบอำนวยความสะดวกครบถ้วน ทั้งลานจอด บริเวณพักคอย ผู้ปกครองและผู้ชมจึงเข้าถึงง่าย เมืองก็พร้อมรับนักกีฬาและผู้ติดตามจากอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัด (และจังหวัดใกล้เคียง) สร้างมูลค่าเพิ่มด้าน “ไมซ์–สปอร์ตอีเวนต์” แบบบูรณาการ

มากกว่าถ้วยรางวัลกีฬาคือแพลตฟอร์มสร้างสุขภาพและทุนทางสังคม

รายการปีนี้เน้น “กระจายโอกาส” ให้คนทุกวัย—ตั้งแต่รุ่นเยาว์ที่เพิ่งเริ่มจับไม้ไปจนถึงรุ่นอาวุโส—เพราะสมการของกีฬาไม่ได้จบที่สกอร์ หากแต่ขยายผลสู่สุขภาวะของคนเชียงรายทั้งมิติร่างกาย จิตใจ และชุมชน งานวิจัยเชิงนโยบายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ชัดว่า การมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ (หรือกิจกรรมหนัก 75–150 นาที/สัปดาห์) ช่วยลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เพิ่มคุณภาพชีวิต และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่ฝ่ายจัดพยายามดึงคนทั่วไปเข้ามา “สัมผัสกีฬา” ผ่านการเชียร์และกิจกรรมร่วมข้างสนาม เพราะแค่ “ได้มาเดิน–นั่งเชียร์–มีส่วนร่วม” ก็เริ่มต้นคะแนนสุขภาพได้แล้ว

สำหรับนักกีฬารุ่นอาวุโส การเปิดคลาสการแข่งขันแยกตามวัย (เช่น 50+, 55+, 60+) ไม่เพียงทำให้สนามแข่งขันเป็นธรรม แต่ยังช่วย “ดึงกลับ” คนวัยทำงานและวัยหลังเกษียณให้กลับมามีวินัยการฝึกซ้อมที่พอเหมาะ ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง และเพิ่มปฏิสัมพันธ์ทางสังคม—ปัจจัยป้องกันความโดดเดี่ยวที่ WHO ให้ความสำคัญไม่แพ้เรื่องฟิตเนสทางกาย

ดีไซน์รายการเพื่อพัฒนา “คอขวด” ที่ผู้จัดรู้และแก้

แม้จำนวนแมตช์วันแรกพุ่งสูงถึง 277 คู่ แต่ “ความหนาแน่น” นี้ไม่ได้ทำให้ระบบรวน เพราะฝ่ายจัดเตรียม ตารางเวลา–ไหลงาน (flow) และ แผนสำรอง (contingency) ล่วงหน้า ตั้งแต่การเรียกคอร์ต การบันทึกผลแบบเรียลไทม์ ไปจนถึงการสื่อสารผ่านประกาศกลาง—กุญแจลดคอขวดและข้อโต้แย้งเวลาทับซ้อน ขณะเดียวกัน การวางผังโต๊ะให้ผู้ชมเห็นเกมพร้อมกันหลายคอร์ท ยังเพิ่ม “ประสบการณ์สนาม” ให้ผู้ปกครองและแฟนกีฬาได้ติดตามลูกหลานและนักกีฬาที่ชื่นชอบในเวลาเดียวกัน

อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายเทคนิคเน้น วินัยก่อน–หลังแข่ง เช่น ช่วงอบอุ่นร่างกายสั้น ๆ บนโต๊ะซ้อม การควบคุมอุณหภูมิและความสว่างคงที่ เพื่อไม่ให้สภาพแวดล้อมกลายเป็นตัวแปรที่บดบังคุณภาพแท้จริงของผู้เล่น ทั้งหมดนี้ยึดแนวทางจากคู่มือและธรรมเนียมปฏิบัติของสมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย (TTAT) ซึ่งเป็นองค์กรกลางด้านพัฒนากีฬาประเภทนี้ในประเทศ

พลังข้ามรุ่น เมื่อผู้ฝึกสอน–ครู–โค้ช คือเสาหลักหลังโต๊ะ

ในสนามเดียวกัน ภาพที่เด่นชัดไม่แพ้ผู้เล่นคือ “ทีมโค้ช–ครูพละ–ผู้ฝึกสอนสโมสร” ที่ยืนเรียงแนวข้างคอร์ต คอยบันทึกจังหวะผิดพลาดและจุดแข็งของลูกศิษย์ เพื่อนำไปออกแบบการซ้อมเฉพาะบุคคล (individualized training) จุดที่เห็นได้ชัดในรายการแบบหลายรุ่นคือ พัฒนาการเชิงเทคนิค ของเยาวชน: การอ่านเสิร์ฟสั้น–ยาว การเปิดเกมบอลสาม (third ball attack) และการแก้ทางสปิน ซึ่งต้องอาศัย “ภาพจริง” จากเกมแข่งขันมากกว่าการซ้อมล้วน ๆ การมีรายการในจังหวัดที่เชื่อมโยงทุกช่วงวัยจึงเป็น “ห้องทดลองมีชีวิต” ของโค้ชและผู้เล่นไปพร้อมกัน

ผู้ปกครองเองคือแรงขับที่ทรงพลัง—เสียงเชียร์ที่พอดี (ไม่กดดัน) การจัดการเวลาพัก–โภชนาการ และการยอมรับผลการแข่งขันอย่างมีวุฒิภาวะ ล้วนเป็น “ต้นแบบ” ด้านวัฒนธรรมกีฬาให้ลูกหลานเห็นจากที่บ้าน แล้วนำกลับมาปฏิบัติในสนามจริง

เศรษฐกิจชุมชน–สปอร์ตทัวริซึมเมื่อการแข่งขันทำให้เมืองคึกคัก

รายการระดับจังหวัดที่ใช้ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ทำให้ “อีโคซิสเต็ม” รอบสนามขยับพร้อมกัน—ร้านอาหารเล็ก ๆ ใกล้ฮอลล์มีลูกค้าแน่นขึ้น ร้านอุปกรณ์กีฬา–ยางปิงปอง–ไม้–เสื้อทีม ได้ออกบูธและทำตลาดกับกลุ่มเป้าหมายตรง ๆ โฮสเทลและโรงแรมขนาดกลางรอบเมืองรับอานิสงส์จากทีมต่างอำเภอที่เดินทางมาพัก 1–2 คืน ขณะที่ระบบขนส่งท้องถิ่น (แท็กซี่–รถสองแถว–รถเช่า) ถูกใช้มากขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์

องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้การแข่งขันไม่ได้เป็นเพียง “ต้นทุนจัดงาน” ของสมาคมกีฬา แต่เปลี่ยนเป็น “การลงทุนทางสังคม” ที่สร้างรายได้หมุนเวียนในเมือง และต่อยอดภาพลักษณ์ Sport Event Friendly City ของเชียงราย—โมเดลที่เมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสามารถเพิ่มมิติ “กีฬาในอาคาร” เข้ามาเติมเต็มฤดูกาลท่องเที่ยว

มาตรฐานวันนี้ เพื่อความฝันวันพรุ่งนี้

การยึดกติกา ITTF อย่างเคร่งครัดคือรากฐานของการก้าวสู่เวทีใหญ่—เพราะเมื่อนักกีฬาเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะสู่ระดับเขต ภาค ประเทศ หรือแม้แต่รายการนานาชาติ โครงสร้างการตัดสิน–รูปแบบการแข่งขัน–การจัดพื้นที่ จะคุ้นมือคุ้นตา การปรับตัวจึงเหลือเพียงคุณภาพชั้นเชิงและการจัดการความกดดัน งานนี้จึงถูกวางบทบาทเป็น “บันไดขั้นกลาง” ที่มั่นคงระหว่างการซ้อมในสโมสรกับรายการชิงแชมป์ระดับชาติ

ในเชิงองค์กร ผู้จัดยังได้ “ข้อมูลจริง” จากสนาม—จำนวนแมตช์ต่อคอร์ตต่อชั่วโมง จุดคอขวดของการเรียกคิว เวลาพักที่เหมาะสมต่อรุ่นอายุ ไปจนถึงรูปแบบประกบคู่ที่ทำให้ผู้เล่นได้เจอคู่แข่งหลากสไตล์—เพื่อยกระดับคู่มือจัดการแข่งขันฉบับจังหวัดในปีถัดไป ขณะที่ฝ่ายพัฒนาบุคลากรผู้ตัดสินสามารถคัดเลือกและประเมินผู้ตัดสินดาวรุ่งจากสถานการณ์จริง เพิ่มจำนวนกำลังคนพร้อมใช้ในปฏิทินแข่งขันที่จะหนาแน่นขึ้น

เมืองกีฬาอย่างยั่งยืน แผนที่ควรต่อยอด

  1. ปฏิทินระยะยาว – จัดวางรายการอย่างน้อย 2–3 ครั้ง/ปี แยกตามช่วงวัย/ทักษะ เพื่อให้โค้ชวางแผน periodization (ซ้อม–แข่ง–พัก–ฟื้น) และให้ผู้เล่นมีเป้าหมายชัดในแต่ละไตรมาส
  2. คลินิกเทคนิค–ผู้ตัดสิน–ผู้จัดการทีม – ควบคู่การแข่งขัน ควรมีเวิร์กช็อปสั้น ๆ จากผู้ทรงคุณวุฒิ TTAT หรืออดีตนักกีฬาทีมชาติ เพื่อถ่ายทอดทักษะเฉพาะด้านและกฎกติกาที่อัปเดตตาม ITTF อย่างสม่ำเสมอ
  3. ดิจิทัลเรคคอร์ด – จัดเก็บสถิติเกมขั้นพื้นฐาน (อัตราเสิร์ฟได้เปรียบ/เสียเปรียบ การเปิดบอลสามสำเร็จ การรับเสิร์ฟสั้นยาว) ให้ทีมโค้ชนำไปวิเคราะห์ภายหลัง
  4. เข้าถึงชุมชน – ประสานโรงเรียนและเทศบาลในอำเภอต่าง ๆ ส่งทีมเข้าร่วมและหมุนเวียนเป็นเจ้าภาพบางประเภทการแข่งขัน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทางและสร้างฐานผู้เล่นใหม่
  5. สื่อ–เรื่องเล่า – บันทึก “เส้นทางนักกีฬาทุกวัย” จากรายการระดับจังหวัดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และสื่อสารว่ากีฬาไม่จำกัดอายุ—ใครเริ่มวันนี้ก็เดินหน้าได้ทันที

ชวนคนเมืองร่วมเชียร์ฟรี—ทำคะแนนสุขภาพไปด้วยกัน

ผู้จัดเชิญชวนประชาชนร่วมชมรอบชิงชนะเลิศ วันที่ 31 ส.ค. 2568 เข้าชมฟรี ตลอดวัน ณ ฮอลล์หลักของศูนย์ GMS—โอกาสดีสำหรับครอบครัวที่อยากพาบุตรหลานรู้จักกีฬาใกล้ตัว ใช้อุปกรณ์ไม่มากและเล่นได้ทุกฤดูกาล การได้เห็น “ทักษะจริง” ต่อหน้าจะจุดประกายให้เด็กหลายคนอยากเริ่มจับไม้ และทำให้ผู้ใหญ่หลายคนอยากกลับมาออกกำลัง—สอดคล้องกับข้อแนะนำ WHO ที่ผลักดันให้ทุกคนเพิ่มกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวันอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ ซึ่งเทเบิลเทนนิสเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ปรับความหนักเบาได้ดี เหมาะทั้งหัดใหม่และผู้สูงอายุ

โต๊ะเดียวที่เชื่อมทั้งเมือง

“ศึกปิงปองชิงแชมป์จังหวัดเชียงราย 2568” แสดงให้เห็นพลังของกีฬาในสามมิติ—พัฒนาคน, ขยับเศรษฐกิจท้องถิ่น, และ สร้างทุนทางสังคม ผ่านโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดมาตรฐานเดียวกัน ทุกคนยืนเท่ากันหน้าโต๊ะ—แพ้ชนะอยู่ที่วินาทีของการตัดสินใจและวินัยการซ้อม เมืองได้เวทีโชว์ศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานระดับไมซ์ที่พร้อมรองรับอีเวนต์กีฬาในอาคาร ขณะที่เครือข่ายโค้ช–ครู–ผู้ปกครอง–ผู้ประกอบการท้องถิ่น ก็พบกันในภารกิจเดียว: ทำให้กีฬาเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนเชียงราย

การลงทุนกับกีฬาไม่ใช่ต้นทุนที่จมหาย แต่คือ เงินออมสุขภาพ ของเมือง—ลดภาระค่ารักษา เพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนจากการจัดงาน และยกคุณภาพชีวิตของชุมชน เมื่อการแข่งขันสะท้อนมาตรฐาน และเรื่องเล่าของนักกีฬาถูกเล่าต่อ เมืองจะค่อย ๆ ขยับจาก “จัดรายการได้ดี” ไปสู่ “ปลายทางของการพัฒนากีฬาเทเบิลเทนนิสภาคเหนือ” อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การอนามัยโลก (WHO)Guidelines on physical activity and sedentary behaviour (2020): แนวทางกิจกรรมทางกายสำหรับประชากรวัยต่าง ๆ แนะนำ 150–300 นาที/สัปดาห์สำหรับกิจกรรมระดับปานกลาง และ 75–150 นาที/สัปดาห์สำหรับกิจกรรมหนัก
  • สหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติ (ITTF)ITTF Handbook / Statutes (รวม “Laws of Table Tennis” และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง): กรอบกติกาสากรและแนวปฏิบัติการแข่งขันที่ใช้ทั่วโลก
  • สมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสแห่งประเทศไทย (TTAT) – เว็บไซต์ทางการ: ข้อมูลกิจกรรม/พัฒนากีฬา/การรับรองบุคลากรและการแข่งขันในประเทศ
  • ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ GMS จังหวัดเชียงราย (อาคารเชียงแสน) – ข้อมูลสถานที่ ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการจัดงานขนาดใหญ่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

อบจ.เชียงรายเปิดศึกฟุตบอล สร้างทีมเวิร์ก-สุขภาพที่ดีให้บุคลากร

เชียงรายเดินหน้าสู่ “เมืองกีฬา” ด้วยพลังบวกจากทุกวัย นายก อบจ. ร่วมหนุนฟุตบอลอาวุโสสู่เวทีประเทศ เปิดลีกภายในสร้างสุขภาวะคนทำงาน—จากสนาม X-Arena สู่ภาพใหญ่ของนโยบายกีฬาเพื่อมวลชน

เชียงราย, 30 สิงหาคม 2568—สายลมปลายฤดูฝนพัดผ่านสนาม X-Arena เชียงราย ท่ามกลางเสียงเชียร์เป็นจังหวะและรองเท้าสตั๊ดที่นับก้าวบนหญ้าอย่างมั่นคง นักฟุตบอลรุ่นใหญ่วัย 50+, 55+ และ 60+ หลายสิบชีวิตกำลังก้าวเข้าสู่รอบคัดตัวแทนจังหวัด เพื่อชิงสิทธิ์ “ฟุตบอลอาวุโส อบจ. คัพ ชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1” บรรยากาศเข้มข้นแต่เป็นมิตร—ภาพที่สะท้อนว่ากีฬาไม่ใช่แค่เรื่องชัยชนะ หากคือทุนสุขภาพ ทุนสังคม และทุนความหวังของชุมชน

ในวันเดียวกัน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เดินเข้าสนามพร้อมคำกล่าวให้กำลังใจสั้น ๆ แต่ชัดเจนถึงความตั้งใจของจังหวัดในการ “ทำให้สนามกีฬาอยู่ใกล้ประชาชนมากที่สุด” ก่อนเป็นประธานเปิดการแข่งขันฟุตบอล 7 คน “CR-PAO League CUP 2025” รายการภายในองค์กรที่รวบรวมผู้บริหาร สมาชิกสภา ข้าราชการ และพนักงาน อบจ.เชียงราย รวม 7 ทีม โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน อาทิ SCG และ Dolphin Toilet Partition เพื่อใช้กีฬาเป็นสื่อกลางสร้างสุขภาพ ความสามัคคี และทีมเวิร์กในที่ทำงาน

ภาพเล่าเรื่องจากสนามวันนั้นจึงไม่ใช่ “ข่าวกิจกรรม” ธรรมดา แต่เป็น “จุดเริ่มของทิศทาง”—ทิศทางที่พัฒนาเมืองด้วยกีฬาในมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม โดยมีผู้สูงวัยและคนทำงานเป็นพระเอกเคียงข้างกัน

จากสนามท้องถิ่นสู่โจทย์ใหญ่ของจังหวัด—ทำไม “กีฬา” ถึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช่ตอนนี้

เชียงรายกำลังยกระดับความเป็น “เมืองที่น่าอยู่” ไปอีกขั้นผ่านนโยบายด้านกีฬาและกิจกรรมทางกายที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย เหตุผลสำคัญมีอย่างน้อยสามประการ

  1. โครงสร้างประชากรเปลี่ยนเร็ว—ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ สัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนระบบบริการและสวัสดิการต้อง “ปรับฐานคิด” จากการรักษาเมื่อป่วย ไปสู่การลงทุนกับการป้องกันโดยใช้กีฬาและกิจกรรมทางกายเป็นเครื่องมือหลัก แนวโน้มจากหน่วยงานด้านสถิติและแผนพัฒนาประเทศชี้สัญญาณเดียวกัน: สูงวัยมากขึ้นและยาวนานขึ้น จึงต้องออกแบบนโยบายที่ทำให้ผู้สูงวัย “แข็งแรงและมีส่วนร่วม” ไม่ใช่เพียง “อยู่รอด” เท่านั้น (อ้างอิงข้อมูลชุดสถานการณ์ผู้สูงอายุและแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13)
  2. หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์หนุนชัด—องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่รวมถึงผู้สูงอายุทำกิจกรรมทางกายระดับปานกลาง 150–300 นาทีต่อสัปดาห์ ควบคู่การฝึกเสริมกำลังและทรงตัวเพื่อลดความเสี่ยงล้มและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) แนวทางเดียวกันนี้ถูกนำไปปรับใช้ในไทยโดยหน่วยงานด้านสุขภาพ เช่น กรมอนามัย ซึ่งสื่อสารข้อแนะนำ 150 นาที/สัปดาห์อย่างต่อเนื่องกับประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่นที่ทำงานภาคสนาม
  3. นโยบายกีฬามวลชนของไทยเดินหน้า—การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) วางหลักการชัดเจนว่ากีฬามวลชนและกิจกรรมทางกายคือกลไกเพิ่มคุณภาพชีวิตและทุนมนุษย์ พร้อมผลักดันเครื่องมือ งบประมาณ และเครือข่ายระดับจังหวัด—องค์ประกอบที่เอื้อให้ อบจ. เข้ามาเป็น “แม่งาน” ด้านกีฬาเชิงระบบ ร้อยเรียงสนาม คน และปฏิทินกิจกรรมเข้าด้วยกัน

ภายใต้ภาพใหญ่ดังกล่าว เชียงรายจึงเลือก “ขยับ” ด้วยแผนที่จับต้องได้—ตั้งแต่สร้างเวทีให้ผู้สูงวัยแสดงศักยภาพ ไปจนสร้างพื้นที่ (ลีกภายใน) ให้คนทำงานขยับกายเป็นกิจวัตร เพื่อลดค่าป่วย ลดความเครียด และต่อยอดเป็นวัฒนธรรมองค์กร

ฉากจาก X-Arena ฟุตบอลอาวุโส—ทักษะ ประสบการณ์ และน้ำใจ

ช่วงบ่ายที่เมฆเริ่มโปรย นักเตะรุ่น 50+, 55+ และ 60+ ทยอยลงอบอุ่นร่างกาย—ท่าทางระมัดระวังแต่คล่องแคล่ว ผู้เล่นบางคนรัดสน็อปเข่า บางคนพกยาดม แต่ทุกคนมีอย่างเดียวกันคือแววตาที่มุ่งมั่น “ยังอยากลงแข่งให้ลูกหลานได้เห็น” หนึ่งในโค้ชทีมกล่าวระหว่างพักน้ำ

รูปแบบการคัดเลือกเน้น ทักษะพื้นฐาน-ความฟิต-การเล่นเป็นทีม เพื่อเตรียมตัวสู่การแข่งขันระดับประเทศในรายการ “อบจ. คัพ” รุ่นอาวุโส ที่มุ่งหมายให้เวทีกีฬาเปิดกว้างสำหรับวัยที่สังคมมักคิดว่า “ถึงเวลาเบรก” ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ การออกกำลังกายที่พอเหมาะช่วยเพิ่มสมรรถภาพหัวใจและปอด ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง รวมทั้งช่วยเรื่องความจำและอารมณ์—ประโยชน์ที่สอดคล้องกับแนวทางของ WHO และหน่วยงานสุขภาพไทยซึ่งแนะนำการออกแรงแบบแอโรบิกผสมฝึกกล้ามเนื้อและการทรงตัวสำหรับวัยสูงอายุ  

การสร้างเวทีให้ “รุ่นใหญ่” กลับมาครื้นเครงในสนาม จึงเป็นมากกว่าเรื่องกีฬา หากคือ นโยบายสุขภาพเชิงรุก ที่อาศัย “ความสนุกและความภูมิใจ” เป็นแรงขับ—ต้นทุนทางสังคมที่เงินซื้อไม่ได้

CR-PAO League CUP ฟุตบอล 7 คนที่มากกว่าเกม—แพลตฟอร์มสร้างสุขภาพและทีมเวิร์ก

ครั้นถึงพิธีเปิด “CR-PAO League CUP 2025” นายก อบจ.เชียงราย ประกาศความพร้อมของ 7 ทีมจากบุคลากรในองค์กร โดยตั้งเป้าหมายสองข้อชัดเจน: (1) สร้างสุขภาพกาย-ใจให้คนทำงาน และ (2) สร้างทีมเวิร์กเพื่อกลับไปยกระดับประสิทธิภาพงานบริการประชาชน

การแข่งขันรูปแบบ 7 คนบริหารจัดการง่าย ใช้เวลาสั้น กระตุ้นให้เกิด “กิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ” แทรกในชีวิตประจำวันของข้าราชการและพนักงาน—ปัจจัยที่สอดรับแนวทางองค์การอนามัยโลกเรื่องการเพิ่ม “Active Minutes” รายสัปดาห์ ตลอดจนข้อแนะนำของกรมอนามัยไทยที่สื่อสารอย่างกว้างขวางในช่วงหลัง เพราะการสะสมเวลาออกกำลังกายเป็นชั่วโมงต่อสัปดาห์—even แบบสั้น ๆ หลายครั้ง—ช่วยลดความเสี่ยงเจ็บป่วยระยะยาวได้จริง

ความร่วมมือจาก SCG และ Dolphin Toilet Partition ในฐานะภาคเอกชนท้องถิ่น ชี้ให้เห็นการระดมพลังหลายภาคส่วน (multi-stakeholder) ที่เมืองสมัยใหม่ใช้ขับเคลื่อน—อบจ. สร้างเวทีและมาตรฐานความปลอดภัย เอกชนช่วยอุปกรณ์และโลจิสติกส์ สโมสร/สนามเอกชนอย่าง X-Arena เชียงราย ทำหน้าที่เป็น “ฮับกีฬา” ที่เข้าถึงง่าย สนับสนุนกิจกรรมได้ต่อเนื่องตลอดปี

ตัวเลขที่ชวนคิด—ทำไมกีฬา (จริง ๆ) ช่วยเมืองและช่วยรัฐ

  • สังคมสูงวัย = ต้องลงทุนกับ “สุขภาพป้องกัน”
    รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยอธิบายทิศทางการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อระบบสุขภาพและงบประมาณรัฐ หากไม่เร่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการขยับกายของประชาชน โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่ประชาชนเข้าถึงบริการมากที่สุด 
  • เกณฑ์กิจกรรมทางกายสากลชัดเจน
    WHO กำหนดกรอบ 150–300 นาที/สัปดาห์สำหรับผู้ใหญ่/ผู้สูงอายุ พร้อมแนะนำการเสริมกำลังกล้ามเนื้อและการฝึกทรงตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน แนวทางนี้ถูกถ่ายทอดเป็นสื่อสารสาธารณะของกรมอนามัยไทยต่อเนื่อง—เป็น “ค่ามาตรฐาน” ที่ อบจ. และหน่วยงานท้องถิ่นนำไปออกแบบโปรแกรมได้ทันที เช่น ฟุตบอล 7 คนสัปดาห์ละ 2–3 ครั้งรวมให้ได้ 150 นาที เป็นต้น
  • กีฬามวลชนคือวาระแห่งชาติด้านคุณภาพชีวิต
    เอกสารแนวทาง/งบประมาณของการกีฬาแห่งประเทศไทยย้ำบทบาท “กีฬามวลชน” ในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและศักยภาพมนุษย์—สอดรับกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ของสภาพัฒน์ที่ผลักดันสุขภาวะและทุนมนุษย์เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์แกนหลักของประเทศ

ตัวเลขและกรอบมาตรฐานเหล่านี้ ทำให้การตัดสินใจของ อบจ.เชียงรายในวันนี้ “มีหลักฐานรองรับ” มากกว่าความเชื่อ—และพร้อมถอดบทเรียนไปยังพื้นที่อื่น

นายกฯ นก อทิตาธร เปิดการแข่งขันฟุตบอล "CR-PAO League CUP 2025" ฟาดแข้งกระชับมิตร เสริมความสามัคคีบุคลากร อบจ.เชียงราย

บริหารความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ ความปลอดภัยของนักเตะอาวุโสต้องมาเป็นที่หนึ่ง

เมื่อผลักดันกีฬาในกลุ่มผู้สูงอายุ สิ่งที่ต้องมาคู่กันคือ มาตรการความปลอดภัย ตั้งแต่คัดกรองสุขภาพเบื้องต้น (เช่น แบบประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ/ความดัน) ออกแบบภาระงานตามวัย (intensity/interval) ไปจนถึงการเตรียมทีมแพทย์/กู้ชีพ ณ จุดแข่ง การยืดเหยียดก่อน-หลัง การอบอุ่นและคูลดาวน์อย่างเพียงพอ ตลอดจนการจัดตารางแข่งที่ลดความร้อนและความล้าเกินจำเป็น—แนวทางที่สอดคล้องกับข้อเสนอของ WHO และคู่มือสุขภาพระดับประเทศที่เน้น “ปลอดภัย-สนุก-ต่อเนื่อง” เป็นเงื่อนไขให้เกิดพฤติกรรมซ้ำ

จากเกมลูกหนังสู่ “ทุนสังคม” และ “ทุนเศรษฐกิจท้องถิ่น”

  1. สุขภาพประชาชนดีขึ้น = ภาระโรคลดลง
    คนทำงานในองค์กรที่มีกิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ มีแนวโน้มลาป่วยลดลง ประสิทธิภาพงานดีขึ้น ความสัมพันธ์ในทีมดีขึ้น—ผลลัพธ์นุ่ม ๆ ที่สะสมกลายเป็นความก้าวหน้าขององค์กรภาครัฐซึ่งให้บริการประชาชนโดยตรง
  2. สนาม/ลีก = ปฏิทินเศรษฐกิจชุมชน
    ทุกครั้งที่มีนัดแข่ง คือตลาดนัดขนาดย่อมของผู้ค้าอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์กีฬา ผู้ให้บริการขนส่งในชุมชน—เม็ดเงินหมุนเวียนเล็ก ๆ แต่ถี่และจริง ซึ่งหากวางปฏิทินกิจกรรมทั้งปี จะเกิด ฤดูกีฬาท้องถิ่น” ที่ช่วยเสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานรากโดยไม่ต้องพึ่งฤดูกาลท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว
  3. สร้างต้นแบบ “เมืองกีฬา” เชื่อมโรงเรียน-ชุมชน-ท้องถิ่น
    เมื่อ อบจ. ทำสำเร็จในองค์กร ย่อมต่อยอดไปสู่เครือข่ายโรงเรียน ชุมชน และ อปท. เพื่อนบ้าน เกิดทัวร์นาเมนต์ย่อยตามช่วงวัย ทั้งเยาวชน วัยทำงาน และอาวุโส—โครงข่ายที่พาเชียงรายไปสู่ภาพของ “เมืองกีฬา” อย่างยั่งยืน โดยมีกลไก กกท. และแผนพัฒนาฯ ระดับชาติเป็นพี่เลี้ยงด้านกรอบนโยบายและงบประมาณ

เสียงจากสนามความภาคภูมิใจที่แบ่งปันได้

ระหว่างพักครึ่งทีมอาวุโสรุ่น 60+ นักเตะคนหนึ่งบอกว่า “ผมดีใจที่ยังได้ลงสนาม เพราะฟุตบอลมันทำให้รู้สึกว่าเรายังมีบทบาท” เสียงสั้น ๆ แต่ตรงใจผู้ชมข้างสนามที่เป็นลูกหลาน—นี่คือ คุณค่าทางสังคม ของกีฬา ที่ทำให้คนต่างวัย “เจอกันตรงกลาง” อย่างงดงาม

ฝ่ายจัดการแข่งขันย้ำว่า รายการ “อบจ. คัพ” รุ่นอาวุโส จะให้ความสำคัญกับ มาตรฐานสนาม อุปกรณ์ และทีมเวชกีฬา เพื่อความปลอดภัย พร้อมจัดการความร้อน ความชื้น และเวลาพักตามวัย—เกณฑ์ที่ขยับได้ตามข้อมูลสุขภาพของนักกีฬาแต่ละรุ่น

เชื่อมโยงนโยบาย บทบาท อบจ. กับการทำงานเชิงข้อมูล

ความก้าวหน้าด้านกีฬาในวันนี้ไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย อบจ.เชียงรายสื่อสารบทบาทด้านการสนับสนุนกีฬาและกิจกรรมสาธารณะผ่านช่องทางทางการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเว็บไซต์และเพจทางการ เพื่อเชื่อม “ข่าวกิจกรรม” เข้ากับ “การรับรู้ของสาธารณะ” ว่ากีฬาคือวาระเมือง มิใช่เพียงความสนุกเฉพาะกลุ่ม—แนวทางสื่อสารสาธารณะที่สำคัญต่อการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน

สิ่งที่เชียงรายทำวันนี้ “ถูกโจทย์” และ “ทันเวลา”

  1. ถูกโจทย์—เพราะตอบต่อสังคมสูงวัยด้วยเครื่องมือที่มีหลักฐานรองรับ (กีฬา/กิจกรรมทางกาย) และยึดเกณฑ์สากล-เกณฑ์ไทย (150 นาที/สัปดาห์ + เสริมกำลัง + ทรงตัว) เป็นแกนกลางของการออกแบบโปรแกรม
  2. ทันเวลา—เพราะวางระบบตั้งแต่คนทำงานในองค์กร (ลีก 7 คน) จนถึงผู้สูงวัย (อบจ. คัพ) เพื่อสร้างพฤติกรรมซ้ำต่อเนื่อง พร้อมต่อยอดเป็นปฏิทินกิจกรรมทั้งปี และขยายความร่วมมือกับเอกชน-สนามกีฬา-ชุมชนให้เป็น “โครงข่ายเมืองกีฬา”
  3. ต่อเติมได้—ด้วยการเชื่อมกรอบนโยบายของ กกท. และแผนพัฒนาฯ เข้ากับข้อมูลสุขภาพในพื้นที่ เพื่อวัดผลเป็นรูปธรรม: อัตราการมีกิจกรรมทางกายของประชาชน, วันลาป่วยของบุคลากร, และการมีส่วนร่วมของชุมชน—ตัวชี้วัดที่ทำให้ “กีฬามวลชน” กลายเป็น นโยบายสาธารณะที่วัดผลได้

ในท้ายที่สุด ลูกฟุตบอลลูกหนึ่งที่กลิ้งอยู่กลางสนาม X-Arena จึงมิใช่สัญลักษณ์ของการแข่งขันอย่างเดียว แต่คือ สัญลักษณ์ของการลงทุนในคน—การลงทุนที่เริ่มต้นจากเสียงนกหวีด พาไปไกลถึงคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจฐานราก และความภูมิใจร่วมของชุมชนเชียงราย

  • รายการคัดตัวแทนฟุตบอลอาวุโส อบจ. คัพ: จัดคัดตัวรุ่น 50+, 55+, 60+ ณ สนาม X-Arena เชียงราย เป้าหมายส่งทีมตัวแทนจังหวัดสู่ “ชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1”
  • การแข่งขันภายใน “CR-PAO League CUP 2025”: ฟุตบอล 7 คน 7 ทีม จากผู้บริหาร สมาชิกสภา ข้าราชการ และพนักงาน อบจ.เชียงราย โดยมีภาคเอกชนในพื้นที่ร่วมสนับสนุน
  • เป้าหมายยุทธศาสตร์ ยกระดับสุขภาพคนทำงาน-ผู้สูงวัย, สร้างทีมเวิร์กองค์กร, และต่อยอดสู่ “เมืองกีฬา” โดยอาศัยกรอบกีฬามวลชนของ กกท. และเกณฑ์กิจกรรมทางกายของ WHO/กรมอนามัย
นายก อบจ.เชียงราย ให้กำลังใจทัพนักเตะอาวุโส ลุยศึก "อบจ. คัพ" ครั้งที่ 1

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย – ช่องทางข้อมูลกิจกรรม/นโยบายด้านกีฬาและชุมชน (เว็บไซต์และเพจทางการ).
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) – แนวทางกิจกรรมทางกายสำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ 150–300 นาที/สัปดาห์ และคำแนะนำด้านความปลอดภัย/การเสริมกำลังและการทรงตัว.
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข – ข้อแนะนำกิจกรรมทางกายสำหรับประชาชนไทย สื่อสารเป้าหมาย 150 นาที/สัปดาห์ และสาระเกี่ยวกับ Active Lifestyle.
  • การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) – เอกสารนโยบาย/งบประมาณด้านการส่งเสริมกีฬาเพื่อมวลชนและการยกระดับศักยภาพกีฬาในระดับจังหวัด/พื้นที่.
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) – รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย (แนวโน้มสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง).
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช./NESDC) – เอกสารขยายความแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570): มิติสุขภาวะ-ทุนมนุษย์และเมืองน่าอยู่.
  • X-Arena เชียงราย – สนามกีฬาเอกชนในพื้นที่ที่ทำหน้าที่เป็นฮับกิจกรรมชุมชน.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายได้งบกลางก้อนใหญ่ 363 ล้านบาท ซ่อมโครงสร้างพื้นฐานและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ครม. อนุมัติงบกลาง 363.62 ล้านบาท ฟื้นฟูเชียงราย 18 โครงการ หลังวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ ซ่อม–เสริม–สร้างขวัญ พร้อมปูรากฐานรับมือภัยพิบัติรอบใหม่

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 — หนึ่งปีให้หลังจากมหาอุทกภัยปลายปี 2567 เชียงรายกำลังยกเครื่องฟื้นฟูครั้งใหญ่ด้วย “งบกลาง” 363.62 ล้านบาท ที่ ครม. อนุมัติเมื่อ 26 ส.ค. 2568 โจทย์ไม่ได้มีเพียงซ่อมถนน–เขื่อน–ระบายน้ำ แต่ต้องประคองเศรษฐกิจท้องถิ่นและขวัญกำลังใจชุมชนไปพร้อมกัน ตัวเลขนี้คิดเป็นราว 5.6% เมื่อเทียบมูลค่าความเสียหายรวมของจังหวัด 6,412 ล้านบาท สะท้อนว่า “งบชุดนี้” มุ่งจี้จุดโครงสร้างพื้นฐานรัฐเป็นหลัก ขณะที่การเยียวยาภาคครัวเรือนและเกษตรถูกผลักไปยังแหล่งงบและมาตรการอื่น การเดินเกมหลายชั้นเช่นนี้ จะเพียงพอที่จะเปลี่ยน “ความเสียหาย” ให้กลายเป็น “ภูมิคุ้มกัน” ได้จริงหรือไม่—คำตอบอยู่ที่ประสิทธิภาพการบูรณาการและความต่อเนื่องหน้างานมากกว่าตัวเลขเพียงอย่างเดียว

บทเรียนจากปลายปี 2567 เมื่อเชียงราย “หนักสุด” ในประเทศ

ปลาย ก.ย.–ต.ค. 2567 เชียงรายเผชิญน้ำหลาก–ดินโคลนถล่มจากอิทธิพลพายุหลายลูก พื้นที่ อ.แม่สาย ถูกซัดซ้ำด้วยตะกอนและน้ำป่า โครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน คอสะพาน โรงเรียนเสียหายจำนวนมาก การประเมินในห้วงวิกฤตระบุว่า 9 อำเภอ ได้รับผลกระทบ 53,209 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ระบบประปาบางจุดต้องหยุดบริการชั่วคราว สรุปความเสียหายด้านเศรษฐกิจของเชียงราย 6,412 ล้านบาท สูงสุดในประเทศ ขณะที่ทั้งประเทศเสียหายราว 24,251 ล้านบาทเชียงรายแบกไว้ถึงหนึ่งในสี่ ของความสูญเสียทั้งหมด

ไม่นานหลังเหตุการณ์ 29 พ.ย. 2567 รัฐบาลเคยอนุมัติโครงการเร่งด่วนบางส่วนไปแล้ว ทว่าการ “ซ่อมใหญ่” ที่ต้องสำรวจ–ออกแบบ–ขออนุญาต–เข้าประชุม ครม. เป็นเรื่องของเวลา รอบนี้จึงเป็น งบฟื้นฟูเชิงโครงสร้างระยะกลาง–ยาว ที่เดินตามกระบวนการงบประมาณ

งบกลาง 363.62 ล้านบาท จุดโฟกัสและเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์

แม้ตัวเลข 363.62 ล้านบาทจะดูเล็กเมื่อเทียบ “ความเสียหาย 6,412 ล้านบาท” (คิดเป็น ประมาณ 5.6% โดยการคำนวณ 363.62 ÷ 6,412 = 0.0567) แต่ “ฐานคิด” งบกลางชุดนี้ต่างกัน:

  • มุ่งซ่อม–เสริมทรัพย์สินสาธารณะของรัฐ (ถนน เขื่อน ระบบระบายน้ำ ระบบสาธารณูปโภค) เพื่อให้เมืองและการสัญจรกลับสู่สมรรถนะ
  • ระบายแรงกดดันเศรษฐกิจ–สังคม ด้วยกิจกรรมกระตุ้นท่องเที่ยว–ตลาดชุมชน เพื่อเยียวยาจิตใจและรายได้ฐานราก
  • เปิดทางโครงการสำคัญที่ติดขั้นตอนที่ดิน ให้เดินต่อได้ เมื่อผ่านการอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่

ขณะเดียวกัน การช่วยเหลือด้านอื่นยังมาจาก “ถังงบคนละใบ” เช่น มาตรการช่วยค่าไฟฟ้าผู้ประสบอุทกภัยใน 18 จังหวัด วงเงิน 1,696 ล้านบาท (ยกเว้นค่าไฟเดือนก.ย. 67 และลด 30% เดือนต.ค. 67 สำหรับครัวเรือน/กิจการขนาดเล็กที่เข้าเกณฑ์) รวมถึงงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเชียงรายที่เคยอนุมัติ 49.92 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเร่งด่วน และงบซ่อมทาง–แหล่งน้ำในจังหวัดอื่นที่ ครม. อนุมัติในช่วงเม.ย.–พ.ค. 2568 สะท้อน “ภาพใหญ่” ว่า การจัดการภัยพิบัติไทยยังเดินด้วยหลายกลไกพร้อมกัน

“18 โครงการ” ที่ได้รับไฟเขียว ซ่อมกายภาพ–ยกเครื่องเมือง–ปลุกเศรษฐกิจ

การจัดชุดฟื้นฟูครั้งนี้ครอบคลุม สามมิติหลัก ดังนี้

1) โครงสร้างพื้นฐาน (รวม ราว 264.49 ล้านบาท)

ซ่อม–เสริมระบบคมนาคมและป้องกันตลิ่งในจุดวิกฤต โดยมีงานเด่น ได้แก่

  • ฟื้นฟู–ป้องกันทางหลวงหมายเลข 131 (กม. 8+700–9+300) วงเงิน 45.00 ล้านบาท – เส้นทางหลักที่รับภาระการสัญจรเมือง–ชานเมือง
  • ฟื้นฟูทางหลวง 1232 ช่วงอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย–เวียงชัย (กม. 0+000–2+000) วงเงิน 45.00 ล้านบาท – เส้นทางเศรษฐกิจสำคัญของตัวจังหวัด
  • ซ่อมถนน–รางระบายน้ำในชุมชนแม่สาย หลายจุด: เหมืองแดง (52.23 ล้านบาท), ไม้ลุงขน (53.20 ล้านบาท), เกาะทราย (24.04 ล้านบาท), ป่ายางชุม (12.18 ล้านบาท), สายลมจอย–ดอยเวา (12.18 ล้านบาท) — โฟกัสจ่อจุดน้ำหลากซ้ำซาก
  • ถนนเลียบคลองชลประทาน (ริมกก, อ.เมือง) 3.28 ล้านบาท และ ปรับผิวจราจร–ฟุตปาธถนนไกรสรสิทธิ์ 1.80 ล้านบาท เพื่อคืนสภาพความปลอดภัย
  • ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (สวนสาธารณะฝั่งหมิ่น–ร่องเสือเต้น–ป่าแดง) 25.00 ล้านบาท และ เขื่อนสวนสาธารณะเกาะลอย 14.23 ล้านบาท — เพิ่มเกราะกันน้ำกัดเซาะพื้นที่สาธารณะ
  • เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ เขตเทศบาลนครเชียงราย 17.63 ล้านบาท — ช่วย “คอขวด” เมืองชั้นในให้ระบายทันฝน

หมายเหตุสำคัญ ยังมีโครงการ ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (หมู่บ้านธนารักษ์, อ.เมือง) วงเงิน 29.10 ล้านบาท ที่ยัง “ไม่เข้าแพ็กเกจ” เพราะอยู่ระหว่างขออนุญาตใช้ที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์ หากผ่านจะสามารถเสนอของบในขั้นตอนต่อไปได้

2) ระบบสาธารณูปโภค (รวม 32.65 ล้านบาท)

  • ปรับปรุงซ่อมแซมระบบจัดการน้ำเสีย 17.65 ล้านบาท — ลดความเสี่ยงด้านสุขาภิบาลหลังน้ำลด
  • ปรับปรุงระบบกลบฝังขยะมูลฝอย 15.00 ล้านบาท — รองรับภาระขยะหลังการทำความสะอาดครั้งใหญ่

3) ฟื้นฟูเศรษฐกิจ–สังคม (รวม 20.20 ล้านบาท)

  • โครงการ “หลงแสงเวียง เจียงฮาย (Light Festival)” 9.68 ล้านบาท — เทศกาลแสงสีคืนชีวิตเมือง กระตุ้นท่องเที่ยว–บริการ–ค้าปลีก
  • บูรณาการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของเชียงราย 9.33 ล้านบาท — แพ็กเกจพยุงกิจกรรมเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • ส่งเสริมและพัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน 1.19 ล้านบาท — ปรับตัว “ของดีชุมชน” สู่ตลาดยุคใหม่

ภาพรวมสะท้อนแนวคิด “ฟื้นบ้าน–ฟื้นเมือง–ฟื้นใจ” ไม่ใช่ซ่อมกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ประคองรายได้–แรงงาน–ความหวังให้กลับมาคึกคักพร้อมกัน

ทำไม “เทศกาลแสงสี” จึงอยู่ในงบฟื้นฟูน้ำท่วม?

คำถามนี้ถูกตั้งขึ้นแทบทุกครั้งที่มี “งบอีเวนต์” เข้ามาในแพ็กเกจภัยพิบัติ เหตุผลเชิงนโยบายคือ เศรษฐกิจเชียงรายพึ่งพาการท่องเที่ยว และ กิจกรรมเมือง การคืน “เหตุผลให้คนออกมาใช้จ่าย” มีผลต่อรายได้หาบเร่–แผงลอย–โรงแรม–ร้านอาหาร–รถรับจ้าง ตลอดจนสร้าง “วาระแห่งเมือง” ให้ผู้คนร่วมกันก้าวข้ามบาดแผล อย่างไรก็ดี ความคุ้มค่า–ความโปร่งใส–ตัวชี้วัด (จำนวนนักท่องเที่ยว ยอดใช้จ่าย หมุนเวียนในท้องถิ่น) ต้องถูกติดตามอย่างจริงจัง เพื่อให้ “ทุกบาท” กลับมาเป็น “โอกาส” ไม่ใช่แค่ภาพจำชั่วคราว

จากวิกฤตสู่โอกาสปรับระบบให้ “ไว–ลึก–ยืดหยุ่น”

การอนุมัติครั้งนี้เกิดเกือบครบปีหลังเกิดเหตุการณ์ สะท้อนความเป็นจริงของกระบวนการงบฟื้นฟูขนาดใหญ่ที่ต้อง สำรวจ–ออกแบบ–อนุญาต–พิจารณา ครม. ประเด็นเชิงระบบที่ผู้ปฏิบัติหน้างานชี้ตรงกัน คือ

  1. เร่งรัดขั้นตอนหลังภัย: ให้งบซ่อมใหญ่ “เริ่มได้เร็ว” กว่าวัฏจักรงบประจำปีปกติ โดยวางกลไกสำรวจความเสียหายมาตรฐาน–ทีมนักออกแบบเร่งด่วน–กรอบเงื่อนไขจัดซื้อเฉพาะฉุกเฉินที่คุมได้
  2. ลงทุนเชิงป้องกันล่วงหน้า: แทน “ซ่อมหลังพัง” ควร ขุดลอก–ขยายทางระบายน้ำ–ยกผิวจราจรจุดเสี่ยง ตามข้อมูลภูมิประเทศ–สถิติฝน–ประวัติน้ำท่วม เพื่อบรรเทาผลกระทบคลื่นวิกฤตรอบถัดไป
  3. ศูนย์ข้อมูลเดียว–มาตรฐานเดียว: รวมศูนย์ข้อมูลความเสียหาย–โครงการ–สถานะงาน ให้ทุกหน่วยใช้ ข้อมูลชุดเดียวกัน ลดซ้ำซ้อน และเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อคุมความโปร่งใส
  4. เชื่อม “งานแข็ง” กับ “งานนุ่ม”: สร้างเครือข่ายอาสา–ชุมชน–ท้องถิ่นคู่ขนานงานวิศวกรรม เช่น การเตือนภัยชุมชน–ช่องทางร้องเรียนเร็ว–การซ้อมอพยพ เพิ่ม “ภูมิทัศน์ความพร้อม” ของเมืองทั้งระบบ

เสียงจากตัวเลข งบ 363.62 ล้านบาท จะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง?

  • คืนสมรรถนะเมือง: เมื่อถนน–ระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่งกลับมาทำงาน การเดินทาง–ขนส่ง–ท่องเที่ยวจะ “ไหลลื่น” ขึ้น ลดต้นทุนแฝงหลังวิกฤต
  • กันซ้ำจุดเดิม: งานระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่งในจุดล่อแหลม เช่น ริมกก–ย่านเทศบาล จะลดโอกาส “ท่วมซ้ำ–กัดเซาะซ้ำ”
  • ฟื้นขวัญ–รายได้: กิจกรรมเมืองและโครงการตลาดชุมชน ช่วยให้เศรษฐกิจฐานราก “เริ่มเดิน” ระหว่างรอโครงการใหญ่ทยอยเสร็จ
  • เซ็ตมาตรฐานใหม่: โครงการที่ยังติดขั้นตอนที่ดิน (เช่น เขื่อนธนารักษ์ 29.10 ล้านบาท) จะเป็นบททดสอบว่าระบบประสานงานที่ดิน–น้ำ–ทางหลวง ทำได้เร็วเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ได้วัดที่ “ก้อนงบ” แต่คือ ผลลัพธ์เชิงพื้นที่ — ถนนที่น้ำไม่ขัง, ชุมชนที่ไม่ต้องอพยพซ้ำ, ผู้ประกอบการที่ลืมตาได้ และ การสื่อสารความคืบหน้าอย่างโปร่งใส ให้ประชาชนติดตามได้

ไทม์ไลน์ย่อ จากน้ำหลากสู่เงินลงพื้นที่

  • ก.ย.–ต.ค. 2567: น้ำหลาก–ดินโคลนถล่ม 9 อำเภอ กระทบ 53,209 ครัวเรือน เสียชีวิต 14 ราย
  • ปลาย ก.ย. 2567: นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่กำชับฟื้นฟู–ช่วยเหลือเร่งด่วน
  • 29 พ.ย. 2567: ครม. อนุมัติโครงการเร่งด่วนเบื้องต้นบางส่วน
  • ตลอดต้น–กลางปี 2568: จังหวัดจัดทำแผนฟื้นฟู–สำรวจ–ออกแบบ–ประสานหน่วยงานเจ้าของพื้นที่
  • 26 ส.ค. 2568: ครม. อนุมัติงบกลาง 363.62 ล้านบาท สำหรับ 18 โครงการในเชียงราย (ผ่านการเสนอโดยกระทรวงมหาดไทย และเบิกจ่ายตามระเบียบผ่านสำนักงบประมาณ)

มองไปข้างหน้า เชียงราย “ยืดหยุ่นขึ้น” ได้อย่างไร

  1. ส่งมอบงานให้ทันฤดูฝน: งานถนน–ระบายน้ำต้องเร่งจังหวะให้สอดคล้องฤดูกาล ลดความเสี่ยงงานเปิดหน้าขุดในช่วงฝนชุก
  2. คุมคุณภาพ–ความทนทาน: ใช้มาตรฐานวัสดุและแบบก่อสร้างที่เหมาะกับพื้นที่ลาดเชิงเขา–ดินอุ้มน้ำสูง เพิ่มอายุใช้งาน
  3. รายงานความคืบหน้าเป็นระยะ: เปิดเผยงบ–สัญญา–สถานะงาน–รูป Before/After ต่อสาธารณะในเว็บ/เพจทางการ เพื่อความโปร่งใส–ร่วมตรวจสอบ
  4. ยกระดับ “แผนที่เสี่ยง”: ผนวกข้อมูลฝน–น้ำหลาก–ทิศทางไหล–จุดคอขวด เข้ากับงานวางผังเมือง–จราจร–ก่อสร้างใหม่ ลดสร้างปัญหาในอนาคต

จาก “งบฟื้นฟู” สู่ “วาระป้องกันใหม่ของเมือง”

แพ็กเกจ 363.62 ล้านบาท คือก้าวสำคัญที่จะช่วยให้เชียงรายกลับมายืนได้มั่นคงขึ้น ทั้งในเชิงคมนาคม ป้องกันตลิ่ง สุขาภิบาล และเศรษฐกิจชุมชน แต่คำถามที่ยากกว่า คือเมืองจะ ไม่กลับไปเจอซ้ำ ได้อย่างไร คำตอบอยู่ที่การลงทุนเชิงป้องกันล่วงหน้า–การเร่งรัดขั้นตอนโครงการ–การสื่อสารโปร่งใส และการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เมื่อ “ซ่อมวันนี้” ถูกวางบนฐานคิด “กันพรุ่งนี้” เชียงรายจะไม่เพียงฟื้นตัว แต่จะ ยืดหยุ่น พร้อมรับพายุลูกต่อไป

โครงการที่ได้รับอนุมัติ (สรุปตามเอกสารจังหวัด)

  1. หลงแสงเวียง เจียงฮาย (Light Festival) — 9.68 ลบ.
  2. ฟื้นฟูทางหลวงหมายเลข 131 (กม. 8+700–9+300) — 45.00 ลบ.
  3. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนเหมืองแดง (แม่สาย) — 52.23 ลบ.
  4. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนเกาะทราย (แม่สาย) — 24.04 ลบ.
  5. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนไม้ลุงขน (แม่สาย) — 53.20 ลบ.
  6. ถนน–รางระบายน้ำ สายลมจอย–ดอยเวา (เวียงพางคำ) — 12.18 ลบ.
  7. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนป่ายางชุม (แม่สาย) — 12.18 ลบ.
  8. ถนน ค.ส.ล. เลียบคลองชลประทาน (ริมกก, อ.เมือง) — 3.28 ลบ.
  9. ปรับปรุงระบบจัดการน้ำเสีย — 17.65 ลบ.
  10. บูรณาการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ — 9.33 ลบ.
  11. ฟื้น–พัฒนาทางหลวง 1232 (กม. 0+000–2+000) — 45.00 ลบ.
  12. ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (ฝั่งหมิ่น–ร่องเสือเต้น–ป่าแดง) — 25.00 ลบ.
  13. เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ เขตเทศบาลนครเชียงราย — 17.63 ลบ.
  14. ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งสวนสาธารณะเกาะลอย — 14.23 ลบ.
  15. ปรับปรุงทางเท้าถนนกองคำ ชุมน้ำลัด — 5.00 ลบ.
  16. ปรับปรุงระบบกลบฝังขยะมูลฝอย — 15.00 ลบ.
  17. ปรับผิวจราจร (AC) และฟุตปาธถนนไกรสรสิทธิ์ — 1.80 ลบ.
  18. ส่งเสริม–พัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน — 1.19 ลบ.

อยู่ระหว่างขั้นตอน เขื่อนป้องกันตลิ่งริมกก (หมู่บ้านธนารักษ์, อ.เมือง) — 29.10 ลบ. รออนุญาตใช้ที่ดินราชพัสดุ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 สิงหาคม 2568: รายการ “งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น” สำหรับจังหวัดเชียงราย (18 โครงการ วงเงิน 363.62 ล้านบาท) — เอกสารสรุปผลการประชุม ครม. และข่าวแจกสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • สำนักงบประมาณ (สงป.): คำชี้แจงการเบิกจ่ายงบกลางปีงบประมาณ 2568 หมวดฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานจังหวัดที่ประสบสาธารณภัย
  • กระทรวงมหาดไทย: หนังสือเสนอ ครม. โครงการฟื้นฟูหลังอุทกภัยจังหวัดเชียงราย และกรอบนโยบายช่วยเหลือ/เยียวยาจังหวัดประสบภัย
  • จังหวัดเชียงราย (สำนักงานจังหวัด/ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย): แผนฟื้นฟู 19 โครงการที่เสนอ (อนุมัติจริง 18 โครงการ) และรายละเอียดรายการงานถนน–ระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่ง–กิจกรรมเศรษฐกิจ
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.): สรุปสถานการณ์อุทกภัย ก.ย.–ต.ค. 2567 จังหวัดเชียงราย—จำนวนครัวเรือน/ผู้เสียชีวิต/โครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย
  • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) / กระทรวงมหาดไทย: มาตรการช่วยค่าไฟฟ้า 18 จังหวัดผู้ประสบอุทกภัย (ยกเว้นเดือน ก.ย. 67 และลด 30% เดือน ต.ค. 67) อนุมัติในวาระเดียวกัน
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.): มติ/งบประมาณช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย 49.92 ล้านบาท (กันยายน 2567)
  • กรมทางหลวง/กรมทางหลวงชนบท/กรมชลประทาน: ข่าว/เอกสารงบซ่อมโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งน้ำในจังหวัดต่าง ๆ (เม.ย.–พ.ค. 2568) เพื่อเทียบเคียงภาพรวมงบภัยพิบัติของปีงบประมาณเดียวกัน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News